2244อื่นๆโครงการศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟู ภาษา ภูมิปัญญา วัฒนธรรมชาวกูย โดยกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกูย บ้านขี้นาค ตำบลตูม อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษสรรณ์ญา กระสงข์<p>
รายงานที่จัดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ และพัฒนาการ รวมถึงวิถีชีวิต ตลอดจนถึงการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ และฟื้นฟู ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และภาษาของชาติพันธุ์กูย ชุมชนบ้านขี้นาค ผ่านการจัดกิจกรรมในหลายรูปแบบ อาทิ การสอดแทรกหลักสูตรการเรียนภาษากูยในโรงเรียน การปรึกษาหารือในการสร้างกติการ่วมกันของคนในชุมชน และการเผยแพร่ภูมิปัญญาผ่านกิจกรรม Workshop</p>
<p>
</p>กูย, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดินตำบลตูน อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย2556ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2244
2243รายงานการวิจัยพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีศึกษาแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่วิชุลดา มาตันบุญโครงการวิจัยเรื่อง “พัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ โดยมีพื้นที่ศึกษาในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และเก็บข้อมูลเพิ่มเติมที่อำเภอเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และเมืองตองยี รัฐฉาน ประเทศสหภาพเมียนมาร์ ผลการวิจัยพบว่า แรงงานไทใหญ่ที่เข้ามาทำงานในอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่มีทั้งแรงงานถูกกฎหมายและแรงงานผิดกฎหมาย แรงงานเหล่านี้พัฒนาการการเคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 ยุค ซึ่งในแต่ละยุคมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแตกต่างกัน ทั้งปัจจัยในประเทศสหภาพเมียนมาร์และปัจจัยในประเทศไทยไทใหญ่, กลุ่มชาติพันธุ์, แรงงานข้ามชาติ, อาเซียนตำบลเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2562ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2243
2242รายงานการวิจัยความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทยวิชุลดา มาตันบุญโครงการวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย เล่มนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่มีพื้นที่เป้าหมายงานวิจัยคืออำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และเก็บข้อมูลบางส่วนที่ชุมชนลื้อแขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และชุมชนลื้อที่เมืองสิบสองปันนา มนฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ผลการวิจัยพบว่า ชาวลื้อทั้งสามประเทศมีการยึดโยงความสัมพันธ์กันบนฐานของความเป็นชาติพันธุ์ลื้อด้วยกัน มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านระบบเครือญาติ และเครือญาติโดยการสมรส ผ่านงานประเพณีและวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และที่มาของคนลื้อแต่ละพื้นที่ ความเชื่อด้านผีบรรพบุรุษและสายสกุล รวมถึงผีบ้านและผีเมืองที่ชาวลื้อเคารพนับถือ มีบางส่วนที่มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายอย่างเป็นทางการผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมของหน่วยงานภาครัฐ และความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายการค้าขายและการทำธุรกิจ ในปัจจุบันปัจจัยที่สำคัญที่ช่วยให้คนลื้อได้กระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้นแม้จะอยู่คนละประเทศคือการมีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ช่วยให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้เร็วและง่ายขึ้นลื้อ, กลุ่มชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ความสัมพันธ์ตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2562ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2242
2241รายงานการวิจัยการศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนวสันต์ ปัญญาแก้ว, วัฒนา สุกัณศีล, กนกวรรณ สมศิริวรางกูลจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีผู้คนหลากหลาย ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ มีไม่น้อยกว่า 10 กลุ่มชาติพันธุ์ ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ในอำเภอต่างๆ ซึ่งอาจจำแนกออกเป็นกลุ่มสำคัญ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มชนพื้นเมือง กลุ่มไทพื้นราบและกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยกับโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ ทว่าความคาดหวังที่พวกเขามีต่อพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์เป็นอันดับแรกนั้น ไม่ใช่เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ แต่เป็นเรื่องความสำคัญทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม กลไกสำคัญในการจัดแสดงอัตลักษณ์ วัฒนธรรม การรื้อฟื้นสืบสานภาษา ภูมิปัญญาความรู้ของบรรพชนที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังต่อไปแม่ฮ่องสอน, ความเหลื่อมล้ำ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์, การมีส่วนร่วมตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2563ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2241
2240รายงานการวิจัยมองไทสิบสองปันนากับชาติจีนยุคใหม่ ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อวสันต์ ปัญญาแก้วงานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวลื้อในดินแดนสิบสองปันนาที่ถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งภายใต้การปกครองของมณฑลยูนนาน โดยเน้นถ่ายทอดผ่านมุมมองของคนในและเรื่องเล่า รวมถึงชีวประวัติของผู้นำจารีตชาวลื้อที่ปรับตัวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองภายใต้การบริหารงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาลท้องถิ่นสิบสองปันนา<br />
<br />
ผู้วิจัยได้ให้ข้อเสนอว่าความพยายามรื้อฟื้นประเพณีและพิธีกรรมดั้งเดิมขึ้นมาใหม่ไม่เพียงแต่เป็นการเคลื่อนไหวของขบวนการทางวัฒนธรรมแต่ยังเป็นการจารึกจดจำและแสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์สังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ, ชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ผู้นำจารีต, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, เชียงรุ้งตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2561ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2240
2239อื่นๆแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานีวรวิทย์ นพแก้ว, กิตติพัฒน์ คงมะกล่ำ, สมบัติ ชูมา, อังคาร ครองแห้ง, รัตนา ภูเหม็นการศึกษาเรื่อง “แนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตําบลทองหลาง อําเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี” มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์เชิงพื้นที่ วิถีชีวิตวัฒนธรรม และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง รัฐกับชุมชนด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เพื่อศึกษาวิเคราะห์และถอดบทเรียนรูปแบบการจัดการความขัดแย้งเชิง สร้างสรรค์ด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ชุมชนบ้านภูเหม็น ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 และเพื่อเสนอแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เป็นชุมชนดั้งเดิมมีประวัติศาสตร์ตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนาน ในอดีตทําเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ปัจจุบันเหลือเพียงการทําไร่ข้าว นับถือ “เจ้าวัด” ซึ่งเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณ มีสถานการณ์ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน ที่มีผลจากการประกาศป่าสงวนแห่งชาติ สวนป่า และวนอุทยานทับที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนที่เคยอาศัยอยู่มาก่อน จากการศึกษา พบว่า แนวทางการจัดการที่ดินทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ควรบริหารจัดการในรูปแบบพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม หรือ พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ โดย กําหนดแนวเขตรอบนอกให้ชัดเจน ภายในให้จัดโซนพื้นที่อย่างละเอียดทั้งพื้นที่การใช้ประโยชน์ และพื้นที่อนุรักษ์ แล้วร่วมกันบริหารจัดการร่วมกัน ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, โผล่ว, พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2563ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2239
2238รายงานการวิจัยพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวนรชพรรณ ฆารพันธ์, ปณต สุสุวรรณการวิจัยในครั้งนี้มุ่งศึกษาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวนในหลายด้าน อันได้แก่ ด้านการศึกษาพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศในการสื่อสารการรับรู้ข้อมูลต่างๆ กระแสความนิยม รวมถึงการเข้าเรียนในระบบการศึกษาของไทยภาคบังคับ ซึ่งให้ผู้เข้าเรียนใช้ภาษากลางในการสื่อสารพูดคุย มีการนำวัฒนธรรมของชาวพวนมาพัฒนากิจกรรมให้เกิดความโดดเด่นหรือการผลิตใหม่ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวไทยพวนให้กับคนทั่วไปได้รู้จัก ยอมรับจนเกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมขึ้น ส่วนในด้านการสืบทอดของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่า ชาวพวนรับรู้และมีสำนึกในความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พวนที่อพยพมาจากประเทศลาวเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย มีการสร้างตัวตน และการยอมรับโดยการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านเครือข่ายทั้งในระดับหมู่บ้านจนถึงระดับประเทศพลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, พวน, วัฒนธรรมตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ประเทศไทย2562ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2238
2237รายงานการวิจัยพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนจังหวัดตากและจังหวัดกำแพงเพชร ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)พิเชฐ สายพันธ์ลักษณะวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษา โครงการวิจัย “พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนของจังหวัดตากและกำแพงเพชร” มีความซับซ้อนระหว่างพลวัตที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากการพัฒนาโดยเฉพาะตั้งแต่การสร้างเขื่อนภูมิพลที่อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เป็นต้นมา ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศทำให้มีการอพยพข้ามแดนของชาวกะเหรี่ยงและการตั้งศูนย์อพยพในฝั่งประเทศไทยตามแนวจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน ทำให้เห็นผลกระทบต่อแบบแผนภูมิปัญญาอย่างสอดคล้องกับระบบนิเวศน์ที่เผชิญกับการเปลี่ยนผ่านทั้งเกี่ยวข้องกับป่าและพื้นราบ รวมถึงความเชื่อที่ทำให้เกิดการแบ่งกลุ่มที่แตกต่าง เป็นผลมาจากกระบวนการทางประวัติศาสตร์สังคมที่ผ่านมา ตลอดจนเงื่อนไขทางการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองที่ต้องต่อรองกับปัญหาที่ทำกินและการตั้งถิ่นฐานจากผลของการพัฒนาและนโยบายที่ทำกินในพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทย ปัญหาของกะเหรี่ยงในพื้นที่นี้จึงมีลักษณะซับซ้อน และเป็นประเด็นมีความน่าสนใจที่ควรทำการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกลุ่มนี้พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง,แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิตตำบลแม่ตื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ประเทศไทย2562ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2237
2236รายงานการวิจัยชาวโอรังอัสลี ภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทยบัณฑิต ไกรวิจิตร, ฌายิบ อาแวบือซา, งามพล จะปกิยา, ซะการีย์ยา อมตยา, สุริยาณี มะราเซะ, นัสซอรี บิสลิมิน, อับดุลเราะห์มาน วิชา<div>
โอรังอัสลีในจังหวัดยะลาและนราธิวาสอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าของเทือกเขาสันกะลาคีรี ซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรขนาดใหญ่ คาบสมุทรมลายูหรือแหลมมลายู ชาวมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกเทือกเขาสันกาลาคีรีในภาษามลายูว่า "บูกิตบือชา" และในงานศึกษานี้พื้นที่ศึกษาเกือบทั้งหมดอยู่ในอุทยานแห่งชาติบางลางและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลาและบางส่วนอยู่ในพื้นที่ชุมชนรอบป่า ซึ่งโอรังอัสลีมีความสัมพันธ์ในสภาพแวดล้อมตนเองอย่างเข้มข้นพวกเขาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีพื้นฐานและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการยังชีพเพื่อความอยู่รอด สามารถพัฒนาความเชี่ยวชาญจากสังคมล่าสัตว์และเก็บหาของป่าเข้าสู่โลกทันสมัยหลากหลายมิติ จากสภาพแวดล้อมที่อาศัยที่อุดมสมบูรณ์แวดล้อมด้วยสรรพสัตว์ พรรณไม้ ภายหลังรัฐบาลไทยได้สร้างเขื่อนบางลางทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ส่งผลต่อการลดลงของความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางถนนเข้าสู่ใจกลางป่า เส้นทางเรือที่เปิดให้คนเดินทางเข้าพื้นที่ แต่กระนั้นแม้ระบบนิเวศน์เปลี่ยนแปลงไปพวกเขาจำนวนหนึ่งก็สามารถปรับตัวกับการอาศัยในสภาพแวดล้อมระบบนิเวศทางน้ำ ค้นพบการหาที่อยู่อาศัยแบบใหม่ ร่อนเร่ตามเกาะแก่งต่าง ๆ และใช้เรือเคลื่อนที่เร็วเพื่อรับจ้างทำงานเป็นอาชีพ</div>โอรังอัสลี, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, อัตลักษณ์ตำบลแม่หวาด อำเภอธารโต จังหวัดยะลา ประเทศไทย2562ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2236
2235รายงานการวิจัยพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานี และนครสวรรค์ ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)นัฐวุฒิ สิงห์กุล, วราภรณ์ มนต์ไตรเวศย์งานศึกษาวิจัยชิ้นนี้ได้สำรวจและศึกษาชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานีและจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 ถึง สิงหาคม 2562 โดยใช้วิธีการศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณนา การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตการณ์ภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมในพิธีกรรมสำคัญของชุมชน โดยสะท้อนให้เห็นว่า พลวัตของชุมชนกะเหรี่ยงในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีการเปลี่ยนแปลงภายใต้ผลกระทบของการพัฒนาทั้งเรื่องของการใช้ประโยชน์จากที่ดินและป่าไม้ การออกกฎหมายของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องป่าไม้และที่ดินที่กระทบต่อสิทธิและความเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และการเป็นชุมชนดั้งเดิมที่อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ การเปลี่ยนแปลงในด้านวิถีการผลิตจากการทำไร่หมุนเวียนสู่การปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมกะเหรี่ยงที่มีความแตกต่างกัน ภายใต้ลัทธิทางความเชื่อทางศาสนาหรือลัทธิเจ้าวัด ทั้งความเชื่อเรื่องด้ายเหลือง ด้ายขาวและกินน้ำสุก ในชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีลัทธิเจ้าวัดถือเป็นศูนย์กลางทางความเชื่อและความรู้ทางประเพณีวัฒนธรรมที่สำคัญของชุมชนกะเหรี่ยง การปรับตัวภายใต้วิถีของการท่องเที่ยวและการพัฒนาชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณแนวกันชนห้วยขาแข้ง ในขณะที่ชุมชนกะเหรี่ยงในจังหวัดนครสวรรค์ไม่ปรากฏชุมชนกะเหรี่ยงดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่ มีเพียงกะเหรี่ยงนอกหรือกะเหรี่ยงที่มาจากฝั่งพม่าที่เข้ามาทำงานในจังหวัดนครสวรรค์และการรวมกลุ่มของแรงงานข้ามชาติในการจัดงานเชิงวัฒนธรรม การผูกข้อมือกะเหรี่ยง ที่เป็นงานเชิงวัฒนธรรมและเชิงการเมืองที่สำคัญของชาวกะเหรี่ยงบนแผ่นดินข้ามแดนพลวัต, ชุมชนชาติพันธุ์, กลุ่มชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิตตำบลวังยาว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ประเทศไทย2562ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2235
2234อื่นๆถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษ ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553นภาพร อติวานิชยพงศ์, ปรัชญาพร โพธิ์แก้ว, สรัญญา กุลชะโมรินทร์, ปิ่นปินัทธ์ กมลอิง, อำไพ ดาวกลางไพรโครงการถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ได้มีการศึกษาใน 4 พื้นที่ ประกอบด้วย 1) บ้านห้วยหินลาดใน ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย 2) บ้านจะแก หมู่ 6 ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 3) บ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ และ 4) บ้านเลตองคุ ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก ผลการศึกษาพบว่า ในอดีตพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความโดดเด่นในด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจของชาวบ้านในชุมชนทั้ง 4 พื้นที่ ต่อความหมายของการประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ แบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ กลุ่มแรก รับรู้และเข้าใจความหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้นําชุมชนที่ทํางานใกล้ชิดกับหน่วยงานของรัฐ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ไม่เคยรับรู้และไม่เข้าใจความหมาย หรือเคยได้ยินบ้างแต่ไม่รับรู้ความหมาย และ กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ให้ความสําคัญกับการถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษเพราะไม่ รู้สึกว่ามีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขา แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่หลังการประกาศให้เป็นพื้นที่นําร่องเขตวัฒนธรรมพิเศษ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์และฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ควรต้องมีแนวทางที่แตกต่างกันไป เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความแตกต่างกัน คือบ้านห้วย หินลาดในเป็นพื้นที่ซึ่งชุมชนมีความเข้มแข็งในการรักษาอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ กะเหรี่ยงที่มีมาตั้งแต่อดีต บ้านจะแกเป็นพื้นที่ซึ่งเริ่มมีปัญหาการคุกคามอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชน ส่วนบ้านหนองมณฑาและบ้านเลตองคุเป็นพื้นที่ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมไปค่อนข้างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการได้รับประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ กะเหรี่ยง, เขตวัฒนธรรมพิเศษ, ชาติพันธุ์ตำบลบ้านโป่ง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2563ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2234
2233รายงานการวิจัยพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)ดำรงพล อินทร์จันทร์โครงการวิจัย พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษาสามจังหวัดทางภาคตะวันตกของไทย ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรีและเพชรบุรี ที่มีบริบทแวดล้อมของพื้นติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน อันส่งผลกระทบในหลายมิติทั้งต่อการตั้งถิ่นฐาน การเคลื่อนย้าย และการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากร สังคมและวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงจากอดีตเรื่อยมากระทั่งปัจจุบัน เช่น ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ “กะเหรี่ยงไทย” หรือ “ไทยกะเหรี่ยง” ดำเนินไปในลักษณะคู่ขนานกับบริบทการเมืองของพม่าหรือเมียนมาร์มาช้านาน ภาพลักษณ์ของชาวกะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทยปรากฏปฏิสัมพันธ์เชิงบวก จาก “ผู้อพยพพลัดถิ่น” มาพำนักอาศัยเคลื่อนสู่ลักษณะ “คนพื้นเมืองพื้นถิ่น” บางชุมชนผสมผสานกลืนกลายเป็นไทยทั้งทางพลเมืองและทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน “ความเป็นกะเหรี่ยง/กะหร่าง” ปรากฏอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการธำรงชาติพันธุ์เชื่อมโยงสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างชุมชนเป็นเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่ขยายตัวออกไปกะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, คนพลัดถิ่น, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิตตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2562ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2233
2232รายงานการวิจัยแนวทางการส่งเสริมศักยภาพชุมชนมอญเจ็ดริ้วในการจัดการวัฒนธรรมชัยรัตน์ วงศ์กิจรุ่งเรืองชุมชนเจ็ดริ้วมีระบบความเชื่อของชาวมอญที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ การมีสำนึกร่วมกันของคนในชุมชน โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับผีมอญ ประเพณี และการใช้ภาษา นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการฟื้นฟู อนุรักษ์ และถ่ายทอดวัฒนธรรม ทั้งยังพบว่าภูมิปัญญาพื้นบ้านอย่างการปักผ้าสไบมอญได้เป็นที่ยอมรับของคนทั้งจากภายในและภายนอกชุมชน รวมทั้งการได้รับรางวัลก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและสามารถขายเป็นสินค้าสร้างรายได้ อย่างไรก็ดีชุมชนเจ็ดริ้วมีศักยภาพในการจัดการวัฒนธรรมที่น่าสนใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาและข้อจำกัด ตามที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ไว้ถึงแนวทางในการส่งเสริมศักยภาพของชุมชนในการจัดการวัฒนธรรมดังกล่าวมอญ, ชาติพันธุ์, เจ็ดริ้ว, วัฒนธรรมและประเพณี, การจัดการวัฒนธรรมตำบลเจ็ดริ้ว อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ประเทศไทย2561ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2232
2231-ภูมิทัศน์ชาติพันธุ์ แผนที่ชุมชนชาติพันธุ์ในกรุงเทพมหานครจารุวรรณ ขำเพชรสังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ที่ประกอบร่างมาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์ นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี สาเหตุมาจากการเป็นเมืองท่าในแถบอุษาคเนย์ทำให้มีชนชาติต่าง ๆ เข้ามาทำการติดต่อค้าขาย รวมถึงตั้งรกรากนับแต่นั้นเป็นต้นมา อาทิ ญี่ปุ่น โปรตุเกส จีน รวมถึงการกวาดต้อนเฉลยจากการทำศึกสงครามมาไว้ เช่น ลาว มอญ ญวน เรื่อยมาจนถึงช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแต่ละกลุ่มชน/ชาติพันธุ์จะมีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง รายงานเล่มนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเกี่ยวกับชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในกรุงเทพฯ ในประเด็นเกี่ยวกับศาสนา ประเพณี พิธีกรรม วิถีชีวิต ที่อยู่อาศัย เพื่อที่จะจัดทำออกมาให้อยู่ในรูปแบบภูมิทัศน์และแผนที่ชุมชนชาติพันธุ์กลุ่มชาติพันธุ์, มุสลิม, จีน, มอญ, ลาว, ภูมิทัศน์, ภูมิทัศน์วัฒนธรรม, ธนบุรี, ประวัติศาสตร์ตำบลเจ็ดริ้ว อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2561ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2231
2230รายงานการวิจัยการศึกษาภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึ้นในปรเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวกรด เหล็กสมบูรณ์<p>
กลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในอาเซียนที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน เดิมมีถิ่นฐานพำนักอาศัยอยู่ในเมืองเชียงตุง หัวเมืองใหญ่ทางตะวันออกของที่ราบสูงฉาน ในช่วงระยะหลายร้อยปีที่ผ่านมาได้มีการอพยพ เคลื่อนย้าย และตั้งถิ่นฐานเพื่อพำนักอยู่อาศัยอยู่กระจัดกระจายตามพื้นที่ในเมืองเล็กเมืองน้อย รวมไปจนถึงพื้นที่ของสิบสองพันนา โดยการตั้งถิ่นฐานปัจจุบันพบว่าอาศัยอยู่ในหลายพื้นที่ทั้งในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และในภาคเหนือของประเทศไทย เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย ในด้านภูมิปัญญาชาวไทขึนมีภูมิปัญญาด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่น่าสนใจและน่าศึกษา เพราะใช้การรักษาแบบท้องถิ่นหรือแบบพื้นบ้าน ในลักษณะของการรักษาแบบองค์รวม โดยมีมุมมองต่อสุขภาพความเจ็บป่วยทางกายและทางจิตใจในลักษณะที่ไม่ได้แยกจากกัน ความเจ็บป่วยที่มีอาการต่างกันหรือเป็นโรคต่างกัน อาจจะมีสาเหตุเดียวกัน และมีวิธีการเยียวยารักษาแบบเดียวกัน โดยวิธีการเยียวยาความเจ็บป่วยอาจจะใช้มากกว่าหนึ่งวิธี การรักษาความเจ็บป่วยของชาวไทขึนจึงต้องอาศัยความรู้ที่หลากหลายและมีความสัมพันธ์กันทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคมวัฒนธรรม สภาพการเปลี่ยนแปลงในสังคมโลกปัจจุบันโดยเฉพาะเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ได้มีบทบาทมาช่วยเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ส่งผลให้ภูมิปัญญาในการดูแลรักษาสุขภาพดังกล่าว กำลังจะถูกลืมเลือนและสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนนั้น ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญประการหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและ การรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้อย่างดี สามารถนำมาพัฒนาคลังข้อมูลดิจิทัลภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพ และเป็นแนวทางในการจัดการองค์ความรู้และภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งจะนำมาสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประยุกต์ใช้งานให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมต่อไป</p>ภูมิปัญญา, คลังข้อมูล, พิธีกรรม, กลุ่มชาติพันธุ์, ไทขึนตำบลสันกำแพง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2562https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2230
2228อื่นๆการรวบรวมภูมิปัญญาท้องถิ่นหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ชุมชนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่อภิสรา แซ่ลี, กิตติทัช คุณยศยิ่ง, ภัทร์นิธิ กาใจ, ยุพารัตน์ บัวหอม, ยุทธการ เทพจันตา, ธีรินทร์ แสนคำ, พิมพ์ธิดาภัทร์ เศรษฐกิจ, ประภาพร คำแสนโครงการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นโดยการสังเกต การสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลประกอบไปด้วย กลุ่มของผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้สูงอายุ รวมไปถึงเด็กและเยาวชน ในชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีประวัติหมู่บ้านที่เล่าขานกันมายาวนาน ประกอบกับได้มีการจัดเสวนาทางวิชาการและนิทรรศการเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวและอัตลักษณ์หัตถกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งแก่สาธารณะ<br />
<br />
แม้กระแสโลกาภิวัตน์เคลื่อนผ่าน แต่สำหรับชุมชนม้งขุนช่างเคี่ยนยังคงรักษาอัตลักษณ์ของหัตถกรรมพื้นบ้านไว้ ที่เห็นอย่างได้ชัดหัตถกรรมจากสองมือหญิงสาวชาวม้ง คือ เสื้อผ้า ที่ถูกถักทอจากเส้นใยกัญชงด้วยลวดลายที่เป็นอัตลักษณ์ของกลุ่มม้งขาว อีกทั้งยังปรากฏเครื่องใช้ที่ยังคงผลิตขึ้นในครัวเรือนจากแรงกายของชายหนุ่ม รวมถึงการประดิษฐ์ของเล่น ซึ่งหัตถกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษและสะท้อนบทบาทหน้าที่ระหว่างชาย หญิงได้เป็นอย่างดีม้ง, กลุ่มชาติพันธุ์, หัตถกรรม, นิทรรศการตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2562ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2228
2227อื่นๆมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลงสุนทร ทัศนาสาร“มันนิ” กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดสตูล ชาวมันนิส่วนมากยังคงดำรงชีวิตแบบดั้งเดิมที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษ การทำมาหากินของมันนิยังคงอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ปัจจุบันกระแสการท่องเที่ยวได้หลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น อีกทั้งพวกเขาต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตเข้าร่วมกับชาวบ้านเพราะแหล่งอาหารและปัจจัยพื้นฐานเกี่ยวกับการดำรงชีพในป่าเริ่มลดลงจากกระแสการพัฒนาแนวใหม่ โครงการมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง จึงดำเนินกิจกรรมขึ้นเพื่อเรียนรู้เข้าใจเรื่องราวของชาวมันนิ กิจกรรมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก เป็นการศึกษาถึงวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์มันนิในพื้นที่ศึกษา ส่วนที่สอง เป็นการจัดสัมมนาวิชาการในลักษณะของนิทรรศการเคลื่อนที่นำเสนอชีวิตเรื่องราวของชาวมันนิให้รับรู้เป็นวงกว้าง เพื่อการนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาในอนาคตมันนิ, กลุ่มชาติพันธุ์, วิถีชีวิต, นิทรรศการตำบลช้างเผือก อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล ประเทศไทย2562https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2227
2226รายงานการวิจัยการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยาย ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่เอกภักดิ์ จำแน่, กรกฎ จะนู, จักรวาล กิริยาภรณ์, ศิริพร จุฬาลักษณ์นาถ, กรรณิการ์ สิงตะจักร์, ปฐวีพร จิ๋วสายแจ่มโครงการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยายชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ดำเนินการโดยนักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เพื่อเก็บรวบรวมองค์ความรู้ทางด้านวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม จัดทำหนังสือภาพถ่ายพร้อมคำบรรยายทางวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม และจัดเวทีคืนความรู้สู่ชุมชนนำเสนอข้อมูลพื้นที่พหุวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างไรก็ดี ในภายหลังพื้นที่ที่ได้กำหนดไว้นั้นไม่สามารถเข้าไปดำเนินกิจกรรมได้ เนื่องจากข้อจำกัดของระยะห่างของแต่ละหมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ดำเนินโครงการจึงได้มีการระบุพื้นที่ใหม่ โดยอยู่ในอำเภอและจังหวัดเดียวกัน ซึ่งก็คือ ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน) บ้านหนองแขม ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรมที่มีการอยู่ร่วมกันของ 4 กลุ่มชาติพันธุ์อันได้แก่ ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน ซึ่งมีความหลากหลายทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 4 กลุ่มอยู่ร่วมกัน โดยยังคงรักษาวัฒนธรรมเดิมของแต่ละกลุ่ม อาทิ ความเชื่อที่เกี่ยวกับบรรพบุรุษ การประกอบประเพณีพิธีกรรมตามวาระสำคัญ อย่างไรก็ดี พบความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนับถือศาสนา การแลกรับปรับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ และการได้รับอิทธิพลจากภายนอกชุมชนลาหู่, ลีซู, กลุ่มชาติพันธุ์, พหุวัฒนธรรม, เชียงใหม่ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2562https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2226
2225อื่นๆโครงการนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม : จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ปัญณวิชญ์ แสงจันทร์, เมธินี ศรีบุญเรือง, ศรัณย์พงศ์ สินธุยี่, ต้นตะวัน สุวรรณศรี, ดวงกมล ตาเต๊อะ, นพรัตน์ กุมาลา, สิรินทร์รัตน์ สิงห์คำ, พิสุทธิลักษณ์ บุญโตปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, วัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ชุมชนตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2562https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2225
2224อื่นๆโครงการศึกษาวิจัยพิธีกรรมปวาเก่อญอ (กะเหรี่ยง) ในรอบปีกระบวนการผลิตพื้นที่ลุ่มน้ำแม่แปะตอนบนปราชญ์กฤษฎ์โมกข์ คีรีกิจไพศาล, อัศวิน พิเชฐกุลสัมพันธ์, ประสงค์ สกลคีรี, ธงชัย พิเชฐกุลสัมพันธ์, ชัยรัตน์ อัศวพนาสัณฑ์, ศุภชัย เจริญวิวัฒน์กุล, พรชัย โปโชโร, วิเชียร คีรีภูวดลสังคมปัจจุบันของชาติพันธุ์ปวาเก่อญอมีวิถีการดำเนินชีวิตเปลี่ยนแปลงจากอดีตไปมาก ส่วนใหญ่ผู้คนในชุมชนมีความเร่งรีบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันที่มีการแข่งขันกันอย่างรอบด้าน ต่างจากอดีตที่ชาติพันธุ์ปวาเก่อญอ (กะเหรี่ยง) เป็นชาติพันธุ์ที่มีความเรียบง่ายผูกพันกับธรรมชาติ ความเชื่อ ความศรัทธาที่ละเอียดอ่อนแสดงออกมาในรูปแบบของพิธีกรรมต่าง ๆ ทุกขั้นตอนที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีพเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่แฝงคำสอนเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ปฏิบัติสืบทอดกันมากลายเป็นกฎเกณฑ์สำคัญในการดำรงชีวิตของคนปวาเก่อญอ ส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาส่งผลกระทบกลายเป็นแรงผลักดันให้กลุ่มคนรุ่นใหม่เล็งเห็นถึงเป้าหมายและประโยชน์ที่ได้เข้ามามีบทบาทรวมกลุ่มเพื่อหาแนวทางในการศึกษาวิจัยพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่แปะตอนบน ที่เป็นกลไกเล็ก ๆ ในการช่วยอนุรักษ์ หวงแหนทรัพยากรทางวัฒนธรรมกะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, ความเป็นอยู่ประเพณี, กลุ่มชาติพันธุ์, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดินตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2557ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2224
2223รายงานการวิจัยพลวัตจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ของลาวโซ่ง/ไทดำจากพิธีกรรมความตายพิเชฐ สายพันธ์<div>
จากการศึกษาพบว่า โลกทัศน์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำมีการแบ่งดินแดนออกเป็นคู่ขนาน คือ เมืองฟ้า-เมืองลุ่ม โดยเมืองฟ้าเป็นที่อยู่ของ “ผีด้ำ” หรือบรรพชนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติที่คอยควบคุมดูแลมนุษย์ที่อยู่ในเมืองลุ่ม (โลกมนุษย์) ในพิธีกรรมความตายของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำจะมีการสวดเพื่อส่งวิญญาณผู้ตายให้ไปสู่เมืองฟ้าโดยเนื้อหาของบทสวดจะมีการเท้าความย้อนไปถึงประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานและการเดินทางเคลื่อนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์จากที่ตั้งในปัจจุบันกลับไปยังดินแดนสิบสองจุไทเดิมจนถึงเมืองลอที่เป็นต้นกำเนิดทางประวัติศาสตร์และเป็นสถานที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองลุ่มกับเมืองฟ้า </div>
<div>
</div>
<div>
กลุ่มชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำในประเทศไทยมีการรับเอาพิธีกรรมสวดอภิธรรมเข้ามาผสมผสานในพิธีกรรมความตายแต่ไม่ได้ส่งผลต่อระบบโครงสร้างเดิมที่มีอยู่แล้ว เพียงแต่เข้ามาเสริมคำอธิบายจักรวาลของชาวลาวโซ่ง/ไทดำให้มีความสมบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น</div>ลาวโซ่ง, ไทดำ, จักรวาลทัศน์, คนพลัดถิ่น, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2561ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2223
2222รายงานการวิจัยรายงานศึกษาการทำบุญ-กินบุญ: พิธีกรรม ประเพณีวิถีชีวิต พลวัตของความเชื่อ ทางศาสนาและวัฒนธรรมของชาวมุสลิมกรณีศึกษาชุมชนมัสยิดยะวา กรุงเทพมหานครสุนิติ จุฑามาศ<div>
การทำบุญ-กินบุญ ของชาวมุสลิม เป็นพิธีกรรมที่มีการปฏิบัติกันในโอกาสพิเศษต่าง ๆ มีลักษณะเป็นงานของชุมนุมซึ่งเจ้าภาพจะเชิญจะมีการเชิญแขกไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องและคนในชุมชนมาร่วมงานในสถถานที่ใดที่หนึ่งในชุมชน โดยในส่วนของพิธีกรรมเป็นการร่วมกันอ่านบทสวดภาษาอาหรับที่บรรจงร้อยเรียงจากโองการต่าง ๆ ของพระคัมภีร์อัลกุรอาน การกล่าวรำลึกถึงพระเจ้า การสรรเสริญศาสดามุฮัมมัดและการขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้า หลังจากส่วนของพิธีกรรมก็จะมีการเลี้ยงสำรับอาหารคาวหวานก่อนที่จะแยกย้ายกลับ แนวคิดเรื่องการทำบุญ-กินบุญเชื่อมโยงกับมิติความเชื่อของศาสนาอิสลามในเรื่องการประกอบกรรมดีและการบริจาคเพื่อแสวงหาความความจำเริญและสิริมงคลแก่ผู้มาร่วมชุมนุมเป็นการสะสมเสบียงความดีเพื่อให้รอดพ้นจากการลงโทษในโลกหลังความตายและวันพิพากษา อีกทั้งยังเชื่อว่าผลบุญที่กระทำนั้นสามารถส่งต่อโดยการตั้งเจตนาอุทิศให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วได้อีกด้วย จากการสำรวจเก็บข้อมูลภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมเพื่อศึกษาผ่านพิธีกรรมการทำบุญ-กินบุญของชาวมุสลิมเชื้อสายชวาและเชื้อสายมลายูในชุมชนแห่งนี้ชี้ให้เห็นถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงในด้านของความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรม ทั้งการผสมผสานความเชื่อของศาสนาอิสลามแบบรหัสนัยนิยมกับความเชื่อท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงการต่อรองและปรับตัวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในบริบทของชุมชนเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังความวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังพบว่าการทำบุญ-กินบุญเป็นเครื่องมือสำคัญในการธำรงอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ของตนเองผ่านภาษาและอาหารที่ใช้ประกอบในงาน</div>ความเชื่อ, ศาสนาและวัฒนธรรม, ชาวมุสลิมตำบลแขวงยานนาวา อำเภอเขตสาทร จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2564ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2222
2221รายงานการวิจัยการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ชูพินิจ เกษมณี, กิตติศักดิ์ รัตนกระจ่างศรี, แกม อะวุงชิ ชิมเร, พิราวรรณ วงศ์นิธิสถาพรจากการสำรวจถึงชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลกพบว่า ชนเผ่าพื้นเมืองอาศัยอยู่ในมากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก มีอัตราส่วนร้อยละมากกว่า 6 ของประชากรโลก ภายในประชากรร้อยละ 15 ตกอยู่ในสภาวะคนชายขอบและมีสถานะภาพยากจนที่สุด จึงมีการหารือจากสหประชาชาติ ได้จัดตั้ง คณะทำงานว่าด้วยประชากรชนเผ่าพื้นเมือง (Working Group on indigenous Population) ในปี 1982 เรียกย่อๆว่า WGIP ได้เริ่มยกร่างปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองตั้งแต่ปี 1985 แล้วเสร็จในปี 1993 ณ คณะอนุกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ นับจากปี 1995-2006 คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาร่างเนื้อหาปฏิญญาฯ ที่นำเสนอต่อ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชน ผ่านความเห็นชอบแล้วค่อยสู่การนำเสนอสู่ สมัชชาใหญ่ โดยเข้าร่วมจากหลายประเทศในการประชุมสหประชาชาติ และเห็นชอบเป็นส่วนใหญ่ถึง ๑๔๔ ประเทศ จนได้มีวันจัดตั้ง ประกาศวันสากลแห่งชนเผ่าพื้นเมืองโลก ทุกวันที่ 9 สิงหาคม ทุกปี ตั้งแต่ปี 1993 พร้อมทั้งนิยามมโนภาพให้ความหมายต่อคำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง (indigenous Peoples)” เป็นคำสากล แต่ก็มีหลายประเทศมีการใช้คำชื่อเรียกที่แตกต่างกันอยู่บ้างเช่น ชนพื้นถิ่น ชนพื้นเมือง กลุ่มปฐมชาติ ส่วนในประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ปรากฏในมาตรา ใช้คำว่า กลุ่มชาติพันธุ์ จากแผนการปฏิรูปประเทศ กำหนดให้มีการจัดทำ พระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยรัฐบาลมอบหมายให้ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร รับผิดชอบในส่วนพระราชบัญญัติดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับสังคมพหุวัฒนธรรม ที่มีประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละสภาพภูมิศาสตร์ เหนือ ใต้ กลาง อีสาน เนื่องจาก ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยที่ใช้ชีวิตพึ่งพาธรรมชาติ แต่ขาดการรับรองสิทธิทางกฎหมายในด้านต่างๆ และด้วยเหตุนี้ ชนเผ่าพื้นเมืองอาจมีสภาพเป็นกลุ่มเปราะบางถูกละเมิดสิทธิได้จากภาครัฐและภาคเอกชนในช่วงของการพัฒนาประเทศในสังคมอุตสาหกรรม ดังนั้นแล้วในการที่ร่างพระราชบัญญัติจึงต้องมีการศึกษากฎหมายและนโยบายส่งเสริมกลุ่มชาติพันธุ์ จึงมีการศึกษาระบบของหลายประเทศ ได้แก่ประวัติความเป็นมา ประสิทธิภาพของกฎหมายที่นำมาใช้ เพื่อดูเป็นแนวพิจารณาว่าควรยกร่างกฎหมาย พระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์กลุ่มชาติพันธุ์ ให้ไปในทิศทางใดให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย (น.3-น.7)ชาติพันธุ์, สิทธิมนุษยชน, ชนเผ่าพื้นเมือง, นโยบาย, กฎหมายตำบลแขวงยานนาวา อำเภอเขตสาทร จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2563ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2221
2220รายงานการวิจัยชาติพันธุ์สัมพันธ์ในพื้นที่ของพุทธศาสนาของกลุ่มปลัง (ไตดอย-ลัวะ)พลวัฒ ประพัฒน์ทอง, เชิดชาติ หิรัญโร, และพวงผกา ธรรมธิการศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประเพณี คติความเชื่อ และภูมิทัศน์ทางพุทธศาสนาของกลุ่มชาติพันธุ์ปลังใน 2 พื้นที่ คือเชียงรายและเชียงตุง และเพื่อศึกษาการใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องมือ ในการสร้างความเป็นพลเมืองดีอย่างยั่งยืนในสังคมพหุวัฒนธรรม ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการทำงานภาคสนาม ในพื้นที่เชียงราย เชียงตุง และเมืองสิบสองปันนา ซึ่งเป็นพื้นที่เดิมของกลุ่มปลัง โดยผลการศึกษาพบว่า กลุ่มปลังอาศัยอยู่ในพื้นที่สูง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่มีรัฐเป็นของตัวเอง แต่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐจารีต และใช้เรื่องราวทางพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือปฏิสัมพันธ์กับชาติพันธุ์อื่น โดยมีประเด็นสำคัญหกอย่าง คือหนึ่ง กลุ่มปลังและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นมีชาติกำเนิดเดียวกัน สอง กลุ่มปลังพบพระพุทธเจ้าก่อนกลุ่มชาติพันธุ์อื่น สาม กลุ่มปลังมีภารกิจสืบทอดพระพุทธศาสนา ที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางชาติพันธุ์มาถึงปัจจุบัน สี่ กลุ่มปลังในฐานะชาติพันธุ์ในอำนาจของเจ้าฟ้า ห้า พื้นที่เชิงกายภาพของกลุ่มปลังกำหนดโดยพระธาตุ และสัญญะทางพุทธศาสนา และหก พื้นที่ทางทัศนศิลป์สามารถอภิปรายได้ว่า กลุ่มปลังในพื้นที่สูงมีพื้นที่ทางศาสนาทับซ้อน กับกลุ่มปลังในพื้นที่ราบ และมีอำนาจรัฐจารีต โดยเป็นกลุ่มที่อยู่ระหว่างสังคมที่มีความเชื่อดั้งเดิมและสังคมศาสนาปลัง, ไตดอย-ลัวะ, ชาติพันธุ์, ชาติพันธุ์สัมพันธ์, พุทธศาสนา, พื้นที่ทางวัฒนธรรม, เชียงราย, เชียงตุงตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2563ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2220
2219รายงานการวิจัยความหลากหลายพันธุ์พืช ไร่หมุนเวียนและผู้หญิง ความเป็นหนึ่งที่สืบทอดความคงอยู่ของความหลากหลายพันธุ์พืช ภายใต้โครงการจัดการสิ่งแวดล้อมและไร่หมุนเวียนประเสริฐ ตระการศุภกรไร่หมุนเวียน, ผู้หญิง, ความหลากหลายทางพันธุ์พืช, ระบบนิเวศ, วิถีชีวิตรอบปี, วัฒนธรรมและภูมิปัญญา, ชาวกะเหรี่ยงตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2557https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2219
2218รายงานการวิจัยโครงการสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนามพิเชฐ สายพันธ์การสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยางานชิ้นนี้ มุ่งศึกษาองค์ความรู้กลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” และ ”ม้ง” ในประเทศเวียดนาม ผู้วิจัยได้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ประวัติการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม, การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ในเวียดนาม และการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” ในเวียดนาม นอกจากนี้ผู้วิจัยได้รวบรวมเอกสารที่น่าสนใจพร้อมรายการบรรณานุกรมและบทวิเคราะห์ที่สำคัญไว้ เพื่อประโยชน์ต่อการทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยชาติพันธุ์วิทยา, การวิจัย, ไท, ม้ง, เวียดนามตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ประเทศเวียดนาม2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2218
2217วิทยานิพนธ์อัตลักษณ์และการรักษาอัตลักษณ์ของคนไทยเชื้อสายมลายูที่ย้ายถิ่นมาตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพมหานคร : กรณีศึกษา ชุมชนมุสลิมเสรีไทยซอย 4ซูไวบะห์ โต๊ะตาหยงงานวิจัยเรื่อง อัตลักษณ์และการรักษาอัตลักษณ์ของคนไทยเชื้อสายมลายูที่ย้ายถิ่นมาตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพมหานคร : กรณีศึกษา ชุมชนมุสลิมเสรีไทยซอย 4 ใช้วิธีการวิจัยแบบเชิงคุณภาพ มีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและใช้การสังเกตการแบบมีส่วนร่วม มีการสัมภาษณ์แบบเชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลหลักทั้งสิ้น 15 ราย ทำให้พบว่าสิ่งบ่งชี้ความเป็นคนไทยเชื้อสายมลายูในชุมชนมุสลิมเสรีไทยซอย 4 คือ ภาษา การแต่งกาย การนับถือศาสนาอิสลาม ประเพณีและค่านิยม ส่วนทางด้านลักษณะนิสัยเด่นของคนไทยเชื้อสายมลายูในชุมชนมุสลิมเสรีไทยซอย 4 คือ มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักสงบ เรียบง่าย มีสัมมาคารวะ อ่อนน้อมถ่อมตน กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ซื่อสัตย์สุจริต มีความจริงใจ ยึดหลักคุณธรรม ด้านอัตลักษณ์สำคัญของคนไทยเชื้อสายมลายูในชุมชนมุสลิมเสรีไทยซอย 4 คือ อัตลักษณ์ทางภาษา อัตลักษณ์ด้านการแต่งกาย อัตลักษณ์ด้านอาหาร ซึ่งทั้งหมดล้วนถูกปรับเปลี่ยนในบางเรื่องเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทสังคมในปัจจุบัน ส่วนอัตลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงทั้งหมดคือ อัตลักษณ์ด้านยารักษาโรคที่ได้หันมารักษากับแพทย์แผนปัจจุบันทั้งหมดส่วนความเชื่อประเพณีแบบอิสลามพื้นบ้านคนไทยเชื้อสายมลายูในชุมชนมุสลิมเสรีไทยซอย 4 มีการปรับตัวบางส่วนให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชน (น.5)อัตลักษณ์, คนไทยเชื้อสายมลายู, ชาติพันธุ์ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ประเทศเวียดนาม2561ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2217
2216รายงานการวิจัยโครงการ “ปาสะโฮโพ” รักวิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนสันโป่งสุริยัน ปาละอ้าย<div>
คณะผู้จัดทำได้ดำเนินโครงการโดยผ่านกระบวนการในการมีส่วนร่วมผ่านการอิงหลักการของ KUSA คือ ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ ทัศนคติ ส่งผลให้การจัดโครงการเกิดผลลัพธ์ตามที่ตั้งไว้และโครงการได้มีการจัดประเด็นพิธีกรรมของคนบ้านสันโป่งออกมาสามประเด็น คือ พิธีกรรมทางชุมชน พิธีกรรมทางครอบครัวและพิธีกรรมทางเกษตร ตรงส่วนนี้การจัดกิจกรรมได้รับความร่วมมือจากเด็กและเยาวชนจนทำให้เกิดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมและได้สร้างความรู้ความเข้าใจพร้อมเกิดการปรับเปลี่ยนทัศนคติได้จริงตามวัตถุประสงค์ เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอที่มีทั้งหมดสามด้าน คือ ด้านชุมชน ด้านเกษตรและด้านครอบครัว อีกทั้งยังทำให้เกิดผลลัพธ์ คือ ผู้เข้าร่วมโครงการร้อยละ 80 ได้มีการออกแบบผลงานเช่น หนังสือเล็กและได้มีการนำความรู้ไปต่อยอดในการศึกษา รวมไปถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจนเกิดความสามัคคีตามที่ตัวโครงการได้ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ (น.4,18)</div>พิธีกรรม, ปกาเกอะญอ, คนสันโป่งตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ประเทศเวียดนาม2562ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2216
2215รายงานการวิจัยโครงการศึกษาวิจัยองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่าทรงวุฒิ แลเชอะ และคณะโครงการศึกษาวิจัยองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ของชาติพันธุ์อาข่าได้ตระหนักถึงปัญหาและคำนึงความสำคัญของการจัดเก็บองค์ความรู้ของเมล็ดพันธุ์พืชผัก และผลไม้ต่างๆที่มีความสำคัญต่อวิถีชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เป็นความมั่นคงทางอาหารของชุมชน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับวิถีการดำรงชีพที่เรียบง่ายพอเพียง ชุมชนอาข่าตั้งแต่อดีตมีการปลูกพืชผักสวนครัวจากการพึ่งพิงธรรมชาติไว้บริโภค แบ่งปัน พึ่งพาอาศัยกันของคนในชุมชน สิ่งที่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นของชุมชน เริ่มเกิดจากการสูญเสียละทิ้งวิถีการดำรงชีพแบบเดิมไป เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการรัฐ การจำกัดพื้นที่ มีการส่งเสริมการเกษตรเชิงพาณิชย์ ที่เบี่ยงเบนวิถีชีวิตให้หันไปสู่ปลูกพืชที่สร้างเงิน แม้ว่าจะส่งผลทำให้ชุมชนมีรายได้มากขึ้น เงินที่ได้นำมาสู่สิ่งอำนวยความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน แต่ก็ทำให้คนในชุมชนห่างเหินกันขึ้นเรื่อยๆ มีใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่มากขึ้น เพราะแต่ละครัวเรือนใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับทำการเกษตรเพื่อรายได้ ความเป็นชุมชนถูกลดทอน ชุมชนยังต้องพึ่งพาอาศัยเมล็ดพันธุ์จากภายนอกที่มีราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆทุกวันตามกระแสเศรษฐกิจ รวมทั้งไม่สามารถขยายพันธุ์เมล็ดมาใช้เองได้เนื่องจากเป็นพืชเชิงเดี่ยว มีการใช้ปุ๋ยเคมีบำรุงดินเนื่องจากพื้นที่จำกัดและสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ต้องใช้ปริมาณสูงเนื่องจากปลูกพืชเชิงพาณิชย์ อีกทั้งความแปรปรวนทางสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนยังส่งผลโดยตรงต่อผลผลิต ทำให้รายได้ของคนในชุมชนไม่พอใช้ในชีวิตประจำวัน โดยโครงการได้มีการวางแผน เก็บรวบรวมข้อมูลเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่นของชุมชนให้มาอยู่ในรูปแบบคู่มือองค์ความรู้ของชุมชน สร้างความตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงอาชีพการเกษตรที่มีผลกระทบต่อเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่น รวมถึงจัดตั้งศูนย์เมล็ดพันธุ์พืชชุมชน ส่งเสริมพัฒนาศักยภาพขององค์กรในชุมชน จากการประชุม เปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยนพูดคุยกัน โดยให้คนชุมชนมาร่วมวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยได้รับความร่วมมือจากชุมชนทุกระดับ กระทั่งชุมชนสามารถวิเคราะห์ปัญหาและจัดเก็บองค์ความรู้ มาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาเองได้ โดยผลการดำเนินของโครงการส่งผลทำให้เมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่นฟื้นฟูกลับมาสร้างความหลากหลายทางชีวภาพในสภาพแวดล้อมอีกครั้ง ส่งผลให้ชุมชนกลับมามีความมั่นคงทางอาหารอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าปัญหาการเกษตรเชิงพาณิชย์หรือการใช้สารเคมีจะยังมีอยู่ (น.4-5)เมล็ดพันธุ์พืช, ชุมชนอาข่า, วิถีการดำเนินชีวิต, พืชท้องถิ่น, ผลกระทบตำบลป่าไหน่ อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2556ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2215
2214รายงานการวิจัยกิจกรรมพึ่งตนเองกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ไตหย่า หมู่บ้านน้ำบ่อขาว ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายเลหล้า ตรีเอกานุกูลการศึกษาวิถีชีวิตการพึ่งตนเองของชุมชนชาวไตหย่า บ้านน้ำบ่อขาว ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ผู้วิจัยได้ลงพื้นที่เข้าไปเก็บข้อมูลโดยใช้วิธีการภาคสนามทางมานุษยวิทยา โดยใช้เวลาเป็นเวลา 1 ปี (น.30) จากการศึกษาความเป็นมาพบว่าเป็นชุมชนที่ชาวไตหย่าอาศัยอยู่มากกว่าที่อื่นๆ มีจำนวนทั้งสิ้น 210 คน (น.32) หลังจากเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมค่อยๆปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบตลาด วิถีชีวิตการพึ่งการเกษตรอย่างเดียวไม่เพียงพอเลยต้องมีการทำอาชีพเสริมเข้าสู่ระบบตลาด โดยมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยผันแปรไปกับสภาวะโลก ผลกระทบจากที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในพ.ศ.2535 ส่งผลสู่ชุมชนบ้านน้ำบ่อขาวของชาวไตหย่า พร้อมทั้งเกิดปัญหาโรคติดต่อเข้ามาในหมู่บ้าน ทำให้ชุมชนอ่อนแอ (น.37) ผู้นำของคริสตจักรที่เป็นที่ศรัทธาของชาวบ้านได้ประชุมกับชาวบ้านถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จนทำให้เกิดการรวมกลุ่ม จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ในชุมชนขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การจัดตั้งกลุ่มนี้เองส่งผลให้มีการจัดตั้งกลุ่มอื่นๆขึ้น โดยใช้พื้นที่คริสตจักรเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมที่ทำให้ผู้คนมารวมตัวกัน ทั้งนี้เกิดจากตัวของชาวไตหย่าได้ตระหนักและเข้าใจถึงศักยภาพของชุมชนและวัฒนธรรมอันดีงามที่มีอยู่ของตนเอง (น.39-40) ผลการศึกษาพบว่า การจัดตั้งกลุ่มพึ่งตนเอง ส่งผลทำให้ สภาพชีวิตความเป็นอยู่เริ่มดีขึ้นตามลำดับ มีการแสดงวัฒนธรรมของตัวเองออกสู่พื้นที่ทางสังคมสร้างจุดเด่นให้ชุมชนในหลายเรื่อง โดยผู้วิจัยพิจารณาจากคุณภาพชีวิต ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านสังคม พบว่าผู้คนได้ใกล้ชิดและมีความสามัคคีกันมากขึ้น เกิดโครงสร้างและเครือข่ายทางสังคมในชุมชน ด้านเศรษฐกิจ พบว่าสามารถแก้ปัญหาหนี้นอกระบบได้ รวมไปถึงสร้างรายได้แก่ครัวเรือน และด้านจิตใจ ถือว่ากลายเป็นส่วนเยียวยาและสร้างขวัญกำลังใจแก่ชุมชน สามารถยืนหยัดและดำรงชีวิตต่อไปได้ กิจกรรมพึ่งตนเอง, การพัฒนาคุณภาพชีวิต, กลุ่มชาติพันธุ์ไตหย่าบ้านบ่อน้ำขาวตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2554ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2214
2212บทความภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ข้าวพื้นเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์อาข่าในจังหวัดเชียงรายเสถียร ฉันทะ และสุรินทร์ ทองคำการวิจัยนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ข้าวพื้นเมืองของชาวอาข่าในจังหวัดเชียงราย โดยมีวิธีการเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่มกับกลุ่มพ่อบ้าน แม่บ้าน และอื่น ๆ จำนวน 70 คน ซึ่งผลการศึกษาพบว่า ชาวอาข่ามีภูมิปัญญาในการจัดการข้าวพื้นเมืองตั้งแต่การคัดเลือกพันธุ์ การเก็บรักษา การเก็บเกี่ยว เป็นต้น และมีการนำข้าวพื้นเมืองมาใช้ประโยชน์อีกหลายด้าน เช่น ใช้ในการทำขนม ใช้ประกอบพิธีกรรม เป็นต้น และชาวอาข่าในจังหวัดเชียงรายได้อนุรักษ์พันธุ์ข้าวไว้ทั้งหมด 7สายพันธุ์ และยังมีการแลกเปลี่ยนพันธุ์ข้าวกันภายในชุมชนและนอกชุมชนอีกด้วย (น.67)อาข่า, ภูมิปัญญาท้องถิ่น, ข้าวพื้นเมือง, กลุ่มชาติพันธุ์ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2563https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2212
2202บทความการเปลี่ยนแปลงในเครื่องใช้ เครื่องจักสานของชาวลาวโซ่งอดิศร ศรีเสาวนันท์ลาวโซ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความรอบรู้เกี่ยวกับงานจักสาน จนมีเครื่องมือที่ใช้เฉพาะในกลุ่ม เช่น กระเหล็บ โฮ่ หรือขมุก ซึ่งแต่เดิมเครื่องจักสานของชาวลาวโซ่งทำจากวัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่น ทั้งไม้ไผ่และหวายมาผลิตใช้กันเองในครัวเรือน แต่หากต้องการความแข็งแรงทนทานจึงจะใช้ไม้เนื้อแข็งมาเป็นส่วนประกอบหรือทำจากไม้ทั้งชิ้น ซึ่งการใช้งานมีตั้งแต่ในชีวิตประจำวัน ในครัวเรือน การทำนาไปจนถึงในพิธีกรรมตามวาระต่าง ๆ ต่อมาเมื่อวิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปข้าวของเครื่องใช้จึงต้องปรับตัวตามไปด้วย ดังเช่น การถูกแทนที่ด้วยวัสดุเครื่องใช้สมัยใหม่ มีการนำเครื่องจักสานมาประยุกต์เพื่อใช้ในงานที่หลากหลาย หรือการนำวัสดุสมัยใหม่มาแทนที่วัสดุจากธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงด้านคุณค่าของเครื่องใช้ จากแต่เดิมซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อการใช้งาน กลายมาเป็นเครื่องแสดงออกถึงคุณค่าทางสังคมทั้งภายในและภายนอกกลุ่มชาติพันธุ์ เครื่องใช้, เครื่องจักสาน, การปรับเปลี่ยน, วิถีชีวิต, ลาวโซ่งตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2553ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2202
2201-แบบแผนและความสัมพันธ์ของเรือนพื้นถิ่นระหว่างกลุ่มคนไทย-อีสานและไทย-โคราช พื้นที่กรณีศึกษาตำบลบ้านค่าย อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิศุภชัย ถนอมพันธ์, ชินศักดิ์ ตัณฑิกุลกลุ่มคนไทย-อีสานและไทย-โคราช ณ บ้านค่ายหมื่นแผ้ว มีการสร้างบ้านเรือนที่ยังคงยึดถือแบบแผนของผังพื้นเรือนดั้งเดิมเอาไว้อย่างเหนียวแน่น แต่มีการปรับรูปลักษณ์ภายนอกตามการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต ทั้งนี้พบว่า รูปแบบของเรือนไทย-โคราช มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เช่น มีการปรับจากหลังคาทรงจั่วสูงมาเป็นทรงจั่วเตี้ย ส่วนเรือนไทย – อีสานยังคงทำตามแบบเรือนดั้งเดิมไว้ อย่างไรก็ตาม การอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างยาวนานร่วม 2 ศตวรรษของคน 2 กลุ่ม ย่อมเกิดการหยิบยืมองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมระหว่างกัน ดังเช่น ชาวไทย-อีสาน นำรูปแบบของผังเรือนชาวไทยโคราชมาใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยผ่านการแต่งงานระหว่างกันรวมถึงการนำเข้าโดยกลุ่มช่างในพื้นที่ เรือนพื้นถิ่น, ไทยอีสาน, ไทยโคราช, แบบผสม, ความสัมพันธ์ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2557https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2201
2200บทความภูมิหลังการเคลื่อนย้ายประชากรชาวยวนเชียงแสนและการตั้งถิ่นฐานในบริเวณตอนกลางของประเทศไทยนราธิป ทับทัน, ชินศักดิ์ ตัณฑิกุลผลจากภาวะสงครามในช่วงต้นรัตนโกสินทร์เป็นเหตุผลหลักที่นำไปสู่การอพยพเคลื่อนย้ายของผู้คนชาวยวนเชียงแสน โดยถูกส่งไปยังหัวเมืองชั้นในช่วงรัตนโกสินทร์นั้น สาเหตุสำคัญด้วยว่าอยู่ห่างไกลจากถิ่นฐานเดิมจึงเป็นการป้องกันการหลบหนี อีกทั้งเพื่อสร้างความมั่นคงทางประชากร การเกณฑ์แรงงานฟื้นฟูบ้านเมือง สร้างความมั่งคั่งจากการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในรูปแบบการเก็บส่วย ภาษีอากร ซึ่งรัฐมักให้ตั้งถิ่นฐานอยู่รวมกันเป็นกลุ่มตามเชื้อชาติ การเข้ามาอยู่ในพื้นที่บริเวณตอนกลางนี้เองชุมชนได้ขยายตัวออกไปบริเวณกว้างครอบคลุมหลายจังหวัด อาทิ บริเวณลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำเจ้าพระยาในภาคกลาง ลุ่มน้ำแม่กลองในภาคตะวันตก ซึ่งชุมชนชาวยวนเชียงแสนในบริเวณตอนกลางของประเทศไทยหลายแห่งยังคงรักษาวัฒนธรรมบางประการของกลุ่มชาติพันธุ์ยวนไว้ได้อย่างดียวน, ยวนเชียงแสน, การตั้งถิ่นฐาน, ชุมชน, หมู่บ้าน, ประวัติศาสตร์ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2560ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2200
2199บทความบ้านพื้นถิ่นลาวเวียง...ที่บ้านเลือกวันดี พินิจวรสินกลุ่มชาติพันธุ์ลาวเวียง มีการปลูกสร้างบ้านเรือนที่มีรูปแบบเฉพาะทางสถาปัตยกรรม อย่างไรก็ตาม เมื่อวันเวลาผันผ่านจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแปรผันตามยุคสมัยผสมกลมกลืนกับลักษณะเรือนไทยภาคกลาง ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนในพื้นที่ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี อันเป็นแหล่งตั้งมั่นของชนกลุ่มนี้มาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี โดยสามารถสังเกตเห็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของเรือนไทยภาคกลางในเรือนลาวเวียง ประกอบด้วย การปิดล้อมบริเวณเรือนนอนที่มีการใช้ผนังฝาปะกนและหลังคาจั่วทรงสูงแบบมีตัวเหงา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของบ้านเรือนในชุมชนบ้านเลือก ยังคงรักษาแบบแผนและลำดับ รวมถึงที่ว่างภายในเรือนสมัยอดีตเอาไว้ได้เป็นอย่างดีบ้านพื้นถิ่น, ลาวเวียง, บ้านเลือก, แบบแผนของที่ว่างตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2555https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2199
2198บทความการสู่ขวัญของกลุ่มชาติพันธุ์กูยในจังหวัดศรีสะเกษบูรณ์เชน สุขคุ้มชาวกูยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องราวของวิญญาณบรรพบุรุษและพิธีกรรมการสู่ขวัญ โดยเชื่อว่าพิธีกรรมดังกล่าวเป็นเสมือนการเรียกให้ขวัญมาอยู่กับตัวและให้ผีบรรพบุรุษคุ้มครองดูแลลูกหลาน ความผูกพันของชาวกุยที่มีต่อพิธีสู่ขวัญสะท้อนผ่านโอกาสของการประกอบพิธีกรรมที่เชื่อมโยงอยู่กับชีวิตของผู้คนทั้งในแง่ของการเปลี่ยนผ่านช่วงวัย การประกอบอาชีพ และความเจ็บป่วย เริ่มตั้งแต่การสู่ขวัญในช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต เช่น การสู่ขวัญเด็กแรกเกิด การสู่ขวัญนาค สู่ขวัญพระภิกษุ สู่ขวัญพิธีแต่งงาน สู่ขวัญพระพุทธรูปในพิธีศพ สู่ขวัญเพื่อความเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ยังมีการสู่ขวัญในพิธีเซ่นสรวง เช่น สู่ขวัญข้าวเปลือกและสู่ขวัญขึ้นบ้านใหม่ รวมไปถึงการสู่ขวัญสำหรับผู้ป่วยเพื่อสะเดาะเคราะห์และเรียกขวัญ การสู่ขวัญของชาวกูยจึงเป็นพิธีกรรมที่มีคุณค่าทั้งต่อตัวบุคคลและสังคมเป็นอย่างยิ่ง การสู่ขวัญ, กลุ่มชาติพันธุ์, กูยตำบลกู่ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย2564ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2198
2189บทความจาก “มะนิ่ฮ ญัฮกุร” (ชาวญัฮกุร) สู่การเป็นมอญทวารวดี และกระบวนการคืนความรู้สู่ชุมชนบ้านไร่พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ และคณะค.ศ. 1984 นับเป็นการเริ่มต้นศักราชการเชื่อมโยงภาษาของชาวญัฮกุรเข้ากับชาวมอญโบราณสมัยทวาราวดี โดย เจอราร์ด ดิฟฟอล์ธ (Gerard Diffloth) นักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกัน ซึ่งต่อมาได้รับความสนใจจากกลุ่มชาวมอญกู้ชาติ ในฐานะหลักฐานยืนยันเชื้อสายที่เก่าแก่กว่าชาวพม่าหรือกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ กระทั่งเมื่อกาลสมัยแปรเปลี่ยน อันเป็นผลพวงจากการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวส่งผลให้คำอธิบายเกี่ยวกับชาวญัฮกุรในฐานะชาวมอญโบราณเริ่มชัดเจนมากขึ้น ซึ่งนับเป็นการทำให้ชื่อของชาวญัฮกุรถูกกลืนหายไป อย่างไรก็ตาม ชาวญัฮกุรแห่งบ้านไร่ อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการวิจัย ซึ่งช่วยก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับชาติพันธุ์ของตน จนนายอนันต์ ลิมปคุปตถาวร ให้ทุนสนับสนุนสำหรับจัดพิมพ์หนังสือเรื่อง “ญัฮกุร มอญโบราณแห่งเทพสถิต” เพื่อให้ความรู้แก่บุคคลทั่วไปและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมร่วมด้วยญัฮกุร, ชาติพันธุ์, นิทาน, อัตลักษณ์ตำบลบ้านไร่ อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ประเทศไทย2557https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2189
2188บทความภูมิปัญญาการปรับตัวในบ้าน - เรือนลาวเวียง บริเวณลุ่มน้ำภาคกลางวันดี พินิจวรสินชาวลาวเวียงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพมาจากเวียงจันทน์ ของสปป.ลาว เมื่ออพยพมาแล้วก็ได้นำเอาแบบแผนทางสถาปัตยกรรมจากถิ่นที่อยู่เดิมมาใช้ด้วย และได้มีการปรับใช้ให้เข้ากับวัฒนธรรมของไทย ไม่เพียงแต่นำเอาแบบแผนทางสถาปัตยกรรมมาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงวิถีชีวิตและความเชื่อต่าง ๆ นอกจากนี้ภูมิปัญญา การปฏิบัติตนของชาวลาวเวียงยังสะท้อนให้เห็นถึงการรักษาวัฒนธรรมของตนเองไว้อยู่ด้วย (น.45)ลาวเวียง, ภูมิปัญญา, การปรับตัว, บ้านพื้นถิ่น, ลุ่มนํ้าภาคกลางตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2556ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2188
2186บทความดนตรีชาวเมี่ยนในอำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชรประทีป นักปี่การวิจัยดนตรีของชาวเมี่ยนในอำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร พบว่า มีเครื่องดนตรีทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก่ หยัด โย ต้งล่อ และเฉ่าเจ้ย ในด้านของลักษณะเพลงมักจะมีการบรรเลงแบบวนซ้ำ และมีเสียงดนตรีเพียง 5เสียง ทำนองจะมีลักษณะเลียนภาษาพูด ส่วนจังหวะมีทั้งหมด 4จังหวะ ในด้านบทบาทหน้าที่ของดนตรี ชาวเมี่ยน จะใช้ในการประกอบพิธีกรรมเท่านั้น และผู้ที่จะบรรเลงดนตรีได้นั้นจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีกรรมแต่ละพิธีด้วยเมี่ยน, เย้า, หยัด, ดนตรีชาติพันธุ์, ดนตรีตำบลบ้านเลือก อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร ประเทศไทย2561ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2186
2185บทความภูมิปัญญาดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ ไทเขิน ไทลื้อ และลาหู่ ในพื้นที่เทศบาลตำบลบ้านดู่ จังหวัดเชียงรายองอาจ อินทนิเวศผู้วิจัยศึกษาภูมิปัญญาทางดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเขิน ไทลื้อ และลาหู่ ที่เทศบาลตำบลบ้านดู่ จังหวัดเชียงราย โดยในการวิจัยครั้งนี้มีผู้ร่วมกระบวนการวิจัย ได้แก่ นักดนตรี นักวิชาการท้องถิ่น และผู้นำชุมชนมีเครื่องมือและอุปกรณ์บันทึกภาพและเสียงในการเก็บข้อมูลภาคสนาม รวมทั้งมีการสัมภาษณ์ และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ ซึ่งผลการวิจัยพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินมีการฟ้อนหลายชนิด กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อมีการขับร้องที่เรียกว่า การขับลื้อ และกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ มีเครื่องดนตรีที่หลากหลายชนิด ในด้านการอนุรักษ์ภูมิปัญญาดนตรี พบว่า มีการถ่ายทอดแนวคิดที่เกี่ยวกับประเพณีวัฒนธรรมออกมาในรูปแบบของดนตรี และยังมีการแต่งกายพื้นเมืองในการแสดงด้วย รวมถึงเรื่องของภาษาที่อยู่ในเนื้อร้องก็ยังคงอนุรักษ์ไว้ดังเดิม ส่วนในเรื่องของแนวทางการอนุรักษ์ คือ ควรทำให้เป็นรูปธรรม เช่น การจัดทำเอกสารให้ความรู้ จัดตั้งชมรมอนุรักษ์ภายในท้องถิ่น รวมถึงควรจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับดนตรีชาติพันธุ์ภายในโรงเรียนด้วย (น.107)การอนุรักษ์, ชาติพันธุ์, ดนตรี, เทศบาลตำบลบ้านดู่ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2557https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2185
2184บทความดนตรีในวัฒนธรรมไทยอง จังหวัดเชียงรายองอาจ อินทนิเวศการศึกษาดนตรีวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยองในจังหวัดเชียงราย พบว่า ดนตรีของชาวไทยองเป็นสื่อกลางในการเชื่อมความสัมพันธ์ของผู้คน วงดนตรีของชาวไทยองแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ วงกลองหลวงและวงกลองสิ้งหม้อง มักใช้ประกอบในประเพณีทางพระพุทธศาสนาและมีการแข่งขันกันในระดับชุมชน นอกจากนี้ยังมีการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้กับดนตรี ทำให้ดนตรีของชาวไทยองมีบทบาทหน้าที่สำคัญในการสร้างความสามัคคีของแต่ละชุมชนไทยอง, วัฒนธรรม, พื้นบ้านล้านนา, ดนตรีชาติพันธุ์วิทยา, เชียงรายตำบลป่าหุ่ง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2563https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2184
2183บทความปะคำ: วิถีชีวิตและการดำรงอยู่ของคนเลี้ยงช้างภายใต้พลวัตการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมเภา บุญเยี่ยมเมื่อปัจจัยหลายสาเหตุทั้งการปิดป่าของกัมพูชา การลดลงของผืนป่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ล้วนส่งผลต่อวิถีชีวิตของชาวไทยโคราชหรือไทยเบิ้ง บ้านปะคำ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ จากชุมชนเก่าแก่ที่ผูกพันกับการเลี้ยงช้างมานานกว่า 200 ปี ต้องกลายเป็นชุมชนที่ไม่เหลือช้างสักเชือก พิธีกรรมสำคัญเกี่ยวกับช้างกลายเป็นความล้าสมัย การปรับตัวภายใต้พลวัตการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อวัฒนธรรมความเชื่อของชุมชน ยิ่งเมื่อเทียบกับอีก 2 พื้นที่ซึ่งปรับตัวได้ดีกว่า นั่นคือ ชาวลาวบ้านค่ายหมื่นแผ้ว จังหวัดชัยภูมิ และชาวส่วยบ้านตากลาง จังหวัดสุรินทร์ ที่ต่างสันนิษฐานว่ามาจากตำราเถื่อนช้างเล่มเดียวกันวิถีชีวิต, การดำรงอยู่, พลวัตตำบลปะคำ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2183
2181บทความเรือนลาวแง้วที่บ้านตาลเสี้ยน สระบุรีอรศิริ ปาณินท์กลุ่มชาติพันธุ์ลาวแง้ว ถูกกวาดต้อนมาจากพื้นที่ชนบทของเมืองเวียงจันทน์ หรือหลวงพระบาง โดยเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศไทยเป็นระยะเวลากว่า 200 ปี ส่งผลให้บ้านเรือนของชาวลาวแง้วได้รับอิทธิพลจากเรือนไทย เห็นได้จากการเปรียบเทียบเรือนอนุรักษ์ ที่บ้านดอนหนูน เมืองไซทานี เวียงจันทน์ และเรือนชนบทของลาวที่บ้านหัวห้า เมืองหากซายฟอง ที่ยังคงมีรูปแบบของเรือนลาว ซึ่งต่างจากเรือนลาวแง้วบ้านตาลเสี้ยน ตำบลหนองแก อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ที่ได้รับอิทธิพลของเรือนไทยแบบประเพณี ผ่านลักษณะของเรือนจั่วแฝดและมีองค์ประกอบตกแต่งภายในเป็นศิลปะแบบจีน อย่างไรก็ตาม ยังพบลำดับการเข้าถึงแบบเรือนลาว นั่นคือ เข้าจากบันไดหลักสู่ระเบียงใต้หลังคา ต่อเนื่องมายังห้องกลาง ห้องนอน และแยกซ้ายหรือขาวสู่เรือนครัว ปรากฏการณ์ดังกล่าว แสดงให้เห็นการกลืนกลายทางสถาปัตยกรรมและการปรับตัวของวิถีชีวิตชาวลาวแง้วในไทยลาวแง้ว, ลาวเวียง, เรือนลาว, เรือนไทยประเพณี, รูปลักษณ์ตำบลหนองแก อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ประเทศไทย2559https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2181
2180บทความมิติทางวัฒนธรรมและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ชองในจังหวัดจันทบุรีโสวัตรี ณ ถลาง, กนิษฐา แย้มโพธิ์ใช้, สุดารัตน์ รอดบุญส่งชอง กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมมีวิถีการดำรงชีพผูกพันอยู่กับป่า โดยเฉพาะการรวมกลุ่มกันทางสังคมในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี บริเวณทิวเขาสอยดาวและเขาคิชฌกูฎ อัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์จึงปรากฏในลักษณะของการพึ่งพิงธรรมชาติ เห็นได้จากการเลี้ยงชีพด้วยการปลูกข้าวไร่ เก็บของป่า ความเชื่อเกี่ยวกับภูติผีและการแสดงออกทางภูมิปัญญาในการใช้สมุนไพรรักษา กระทั่งการเข้ามาของยุคสมัยใหม่ได้เปลี่ยนโฉมหน้าวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ที่จำต้องรับเอาวัฒนธรรมภายนอกเข้ามาผสมผสาน ปรับให้เข้ากับวิถีชีวิตของตนเอง แนวโน้มการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ชองในอนาคต จึงมีลักษณะของการพยายามสร้างพื้นที่ทางสังคม สร้างความร่วมมือจากทุกระดับ ทั้งจากคนในและคนนอก ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ภูมิปัญญาในด้านต่าง ๆ รวมถึงประเพณีและภาษา ได้รับการอนุรักษณ์และถ่ายทอดสู่รุนหลังและเป็นที่ยอมรับในสังคมได้มิติทางวัฒนธรรม, การปรับตัว, กลุ่มชาติพันธุ์ชอง, จังหวัดจันทบุรีตำบลตะเคียนทอง อำเภอเขาคิชฌกูฎ จังหวัดจันทบุรี ประเทศไทย2556https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2180
2179บทความสถาปัตยกรรมจองวัดปะโอ (ต่องสู้) ในประเทศไทย และเมืองสะเทิมอิสริยะ นันท์ชัย, โชติมา จตุรวงค์จอง หรือ วิหาร อาคารที่สำคัญที่สุดภายในวัด เป็นอาคารอเนกประสงค์อันประกอบด้วยหลายส่วนสำคัญ เช่น พระพุทธรูป ส่วนโถงกลางสำหรับประกอบศาสนพิธี ซึ่งงานสถาปัตยกรรมจองวัดปะโอในภาคเหนือตอนบนของไทยและเมืองสะเทิม พม่าตอนล่าง ถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19-20 บทความนี้จึงเป็นการศึกษาสถาปัตยกรรมวัดศรีรองเมือง วัดม่อนปู่ยักษ์ จังหวัดลำปาง วัดหนองคำ จังหวัดเชียงใหม่และวัดนันตาราม จังหวัดพะเยา เปรียบเทียบกับสถาปัตยกรรมวัดปะโอ เมืองสะเทิมในพม่าตอนล่าง ได้แก่ วัดเยาง์ไวน์ วัดเร็บอินเจาง์ โดยพบว่า สถาปัตยกรรมจองวัดปะโอมีลักษณะคล้ายกันในความเป็นอาคารอเนกประสงค์ แต่จะมีข้อแตกต่างในรายละเอียดปลีกย่อย ตามแต่สภาพภูมิประเทศ ศิลปกรรมพื้นถิ่น สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม อย่างไรก็ตามงานสถาปัตยกรรมจองวัดได้แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ สถานะทางสังคม รวมทั้งการมีตัวตนแห่งที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ปะโอได้อย่างชัดเจนปะโอ, ต่องสู้, จอง, สะเทิม, สังฆิกวิหารตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2562https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2179
2178บทความดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์บีซูองอาจ อินทนิเวศกลุ่มชาติพันธุ์บีซูได้เดินทางอพยพเรื่อยมากระทั่งส่วนหนึ่งได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในจังหวัดเชียงราย ก่อนกระจายตัวไปตั้งหมู่บ้านในหลายพื้นที่ อย่างบ้านปุยคำ ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งปัจจุบันเป็นหมู่บ้านที่มีประชากรมากที่สุดราว 400 คน ขณะเดียวกันผู้ศึกษาได้เลือก บ้านดอยชมภู ตำบลโป่งแพร่ อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่หลักในการเก็บข้อมูล ปรากฏการณ์องค์ความรู้เกี่ยวกับด้านดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์บีซูที่เกิดขึ้นในกิจกรรม ประเพณีของชุมชน โดยลักษณะของดนตรีที่นำมาใช้สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ 1.วงดนตรีสำหรับแห่ครัวตาน 2.วงเพลงขับร้อง ซึ่งลักษณะดนตรีทั้งสองประเภทได้แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานอัตอักษณ์ ตัวตนและภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์บีซูไว้อย่างแนบเนียนบีซู, เชียงราย, ดนตรีชาติพันธุ์วิทยาตำบลโป่งแพร่ อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2561https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2178
2177บทความการทำนายชีวิตด้วยกระดูกไก่ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงรายพลวัฒ ประพัฒน์ทองไก่บ้าน เครื่องมือที่สะท้อนภาวะความเป็นอยู่เรื่องการเจ็บไข้ของเจ้าของไก่ ผ่านผีเรือน ผีบรรพบุรุษ ซึ่งความเชื่อเรื่อง “ผี” เป็นความเชื่อดั้งเดิมที่ถูกสร้างให้เป็นรูปธรรมเชิงสัญลักษณ์ ก่อนที่ศาสนาจะเข้ามามีบทบาท ความเชื่อเรื่องผีปรากฏในตำราการทำนายกระดูกไก่ชองชาวลัวะ (ปลัง) บ้านห้วยน้ำขุ่น อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เกี่ยวพันถึงความเจ็บป่วยที่เกิดจากผี การเสียขวัญ การเสี่ยงทาย กระทั่งเมื่อมนุษย์ก้าวเข้าสู่สังคมเมืองมากขึ้น ผนวกกับการรับเอาศาสนาเข้ามาแทนที่ การทำนายจึงค่อย ๆ ถูกลดบทบาทลง เหลือเพียงร่องรอยจากการบันทึกเท่านั้น จากการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงรายใช้ไก่ทำนายชีวิตในลักษณะคู่ตรงข้าม คือ ดีหรือไม่ดี การเสี่ยงทาย การเปลี่ยนผ่านสถานภาพ แต่ไม่พบการใช้กระดูกไก่ในการทำนายชีวิตในกลุ่มชาติพันธุ์เร่ร่อน และในกลุ่มที่ใช้ภาษาตระกูลไท แต่พบในการทำนายในวรรณกรรมล้านนาที่เป็นการเสี่ยงทายกระดูกไก่แห้งที่เคยเสี่ยงทายมาแล้วการทำนายด้วยกระดูกไก่, ชาติพันธุ์, เชียงรายตำบลแม่ขะนิง อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ประเทศไทย2556https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2177
2176บทความภาษาอึมปี้ (Mpi)มยุรี ถาวรพัฒน์อึมปี้ , กลุ่มชาติพันธุ์ , แพร่ , ภาคเหนือ , ประเทศไทย , เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลสวนเขื่อน อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ประเทศไทย2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2176
2173บทความกลุ่มชาติพันธุ์กูย: วิถีการดำรงชีวิตของแรงงานอพยพตัดอ้อยภายใต้อุตสาหกรรมน้ำตาลไทยอุบล สวัสดิ์ผล, ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ, ชูพักตร์ สุทธิสาแรงงานอพยพรับจ้างตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูย บ้านตูม ตำบลตูม อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ มีบทบาทสำคัญเป็นแรงงานระดับล่างสุดของสายพานการผลิตอ้อยและน้ำตาลป้อนสู่ตลาดโลก แต่ในด้านคุณภาพชีวิตกลับสวนทางถดถอยอยู่ในภาวะย่ำแย่ ทั้งการเข้าถึงระบบสาธารณสุข การศึกษา และสภาพความเป็นอยู่ทั่วไป ด้วยระบบการผลิตทางเศรษฐกิจในระดับครอบครัวที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์กูย บ้านตูม ต้องมีการอพยพออกนอกชุมชน ด้วยรายรับที่ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในครอบครัว ต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากแหล่งต่าง ๆ รวมถึงการกู้ที่เป็น “การตกเขียวแรงงานตัดอ้อย” โดยวิธีการที่เถ้าแก่ไร่อ้อยนำเงินมาให้แรงงานกู้ก่อนผ่านระบบนายหน้าหรือหัวหน้าสายก่อนถึงฤดูกาลตัดอ้อย แล้วแรงงานจึงค่อยไปรับจ้างตัดอ้อยใช้หนี้ ด้วยวิธีการนี้ทำให้แรงงานตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูย บ้านตูม ติดกับดักวงจรปัญหาทางเศรษฐกิจ ต้องเป็นหนี้ยากที่จะหลุดพ้นจากวงจรนี้วิถีการดำรงชีวิต, กลยุทธ์การต่อรอง, แรงงานอพยพตัดอ้อย, กลุ่มชาติพันธุ์กูยตำบลตูม อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย2558ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2173
2172บทความชอุง ภาษาพลัดถิ่นจากกัมพูชา ที่กาญจนบุรีอิสระ ชูศรีชอุง, อูด, ชอง, ข่าสอูด, เขมรดง, กาญจนบุรีตำบลหนองเป็ด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2558ไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2172
2171-สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย : กะซองและซัมเรวิไล เปรมศรีรัตน์, พรสวรรค์ พลอยแก้วกะซองและซัมเร , กลุ่มชาติพันธุ์ , จันทบุรี , ตราด , ภาคตะวันออก , ประเทศไทย , เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลนนทรีย์ อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2171
2170-สารานุกรมชาติพันธ์ในประเทศไทย : อึมปี้มยุรี ถาวรพัฒน์อึมปี้ , กลุ่มชาติพันธุ์ , แพร่ , ภาคเหนือ , ประเทศไทย , เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลสวนเขื่อน อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ประเทศไทย2559ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2170
2169บทความรองเท้าในวิถีชาวซิกข์ : ปรัชญาจากปัญจาบสู่เจ้าพระยาอภิรัฐ คำวังหลักปรัชญาและคำสอนบางประการในศาสนาซิกข์เน้นถึงกระบวนการขัดเกลาทางสังคมและการควบคุมตนเองด้วยการขจัดศัตรูทั้ง 5 โดยเฉพาะความอหังการ ซึ่งสามารถปฏิบัติได้หลายวิธี เช่น การปวารณาตนเพื่อรับใช้สังคมด้วยความสมัครใจ กิจกรรมที่ได้รับความนิยม คือ การรับดูแลรองเท้าภายในคุรุดวารา กรุงเทพมหานคร ชาวซิกข์ทุกเพศทุกวัยจะหมุนเวียนเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสัมผัสและทำความสะอาดรองเท้าของผู้คน ทั้งนี้ ชาวซิกข์ถือว่า การปฏิบัติดังกล่าวเป็นการขจัดความอหังการและแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนตามคำสอนและปฏิบัติตนตามแนวทางของพระศาสดาวิถีแห่งซิกข์, การบริการรับใช้สังคม, เซว่า, กระบวนการขัดเกลาทางสังคม, รองเท้าในวิถีชาวซิกข์ตำบลสวนเขื่อน อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ประเทศไทย2553ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2169
2168บทความความคาดหวังของกลุ่มชาติพันธุ์อึมปี้ที่มีต่อผู้นำทางการเมืองท้องถิ่นที่พึงประสงค์ กรณีศึกษา: หมู่บ้านดง จังหวัดแพร่ปัญจพร คำโย, เนาวรัตน์ มากพูลผล และรัตนพงศ์ มิวันเปี้ย“บ้านดง” หรือที่คนในท้องถิ่นเรียกว่า “บ้านอึมปี้” เป็นหมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์อึมปี้อยู่ภายใต้เขตอำนาจของเทศบาลสวนเขื่อน อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ซึ่งมีประชากรเป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งในพื้นที่ของเทศบาลตำบลสวนเขื่อนที่มีส่วนร่วมทางการเมือง ทั้งการร่วมกิจกรรมและการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งผู้นำทางการเมืองท้องถิ่น จึงเกิดการตั้งคำถามถึงปัจจัยที่มีอิทธพลต่อระดับความคิดเห็นของกลุ่มชาติพันธุ์และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้นำทางการเมืองถ้องถิ่นตามความคาดหวังของกลุ่มชาติพันธุ์อึมปี้ โดยพบว่ากลุ่มชาติพันธุ์อึมปี้มีความคาดหวังต่อผู้นำทางการเมืองอยู่ในระดับมากที่สุด และปัจจัยจำเพาะบุคคล (สถานภาพ ระดับการศึกษา อายุ รายได้) ไม่มีผลต่อระดับความคิดเห็นที่มีต่อผู้นำทางการเมืองท้องถิ่น ซึ่งทั้งความคาดหวังที่มีต่อผู้นำท้องถิ่นที่พึงประสงค์กับความคิดเห็นที่มีต่อผู้นำทางการเมืองท้องถิ่นมีความสัมพันธ์เชิงบวกในทิศทางเดียวกันและมีระดับความสัมพันธ์สูงความคาดหวัง, อึมปี้, ผู้นำทางการเมืองท้องถิ่นตำบลสวนเขื่อน อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ประเทศไทย2563ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2168
2167บทความชาวซิกข์ในสยามและล้านนาว่าด้วยเรื่องประวัติศาสตร์การตั้งชุมชน ศาสนาและการค้าอภิรัฐ คำวังบทความนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการศึกษาวิจัยในโครงการ “อินเดียในประเทศไทย : พลวัตรในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ประชาคมอาเซียนและเอเชีย” (น.68) คนทั่วไปเมื่อกล่าวถึง “แขก” มักจะนึกถึง “แขกขายผ้า” จึงทําให้ชาวกรุงนึกถึง “พาหุรัด” และคนเมืองจะนึกถึง “ตลาดวโรรส” ซึ่งได้กลายเป็นภาพที่คุ้นตา โดยชาวซิกข์ถือเป็นชาวอินเดียกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งในสังคมไทย เดินทางเข้ามาค้าขายตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มตั้งถิ่นฐานมีลักษณะเด่นหลายประการ เช่น ชุมชนค้าผ้า ใช้ภาษาปัญจาบีในการสื่อสาร ปัจจุบันลูกหลานชาวไทยซิกข์ส่วนใหญ่มีการศึกษาที่สูงขึ้นและสนใจประกอบธุรกิจอื่นมากกว่าค้าผ้า ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าชาวไทยซิกข์จะสืบทอดกิจการดังกล่าวลดลงชาวซิกข์, ชาวไทยซิกข์, ศาสนาซิกข์, อินเดียศึกษา, ภารตะศึกษา, ชาวไทยอินเดีย, การค้าผ้าตำบลแขวงวังบูรพาภิรมย์ อำเภอเขตพระนคร จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2554ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2167
2166รายงานการวิจัยพลวัตทางชาติพันธุ์ ณ พรมแดนตะวันออก กรณีศึกษา กลุ่มภาษากะซองและซำเรดำรงพล อินทร์จันทร์ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน นอกจากส่งผลทางการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อประชาคมชาติพันธุ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์จะเป็นประเด็นปัญหาท้าทายที่นำมาทบทวนและพิจารณาในบริบทที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ทั้งในรูปแบบนโยบายการกำหนดพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มชาติพันธุ์พลัดถิ่น ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ทางชาติพันธุ์ของโลกที่เกิดขึ้นมายาวนาน โดยงานศึกษาวิจัยนี้มุ่งศึกษาสภาพสังคมวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่ม "กะซอง" และ "ซำเร" ท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจการเมืองบริเวณพื้นที่ชายแดนตะวันออกของไทย โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐดำเนินนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตราด ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอันจะนำมาซึ่งความเข้าใจต่อปรากฏการณ์ร่วมสมัยของชุมชนประชาคมชาติพันธุ์ และพัฒนาแนวนโยบายทางวัฒนธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่อไปกะซอง, ซำเร, งานผีแม่มด, สำนึกทางชาติพันธุ์ตำบลด่านชุมพล อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด ประเทศไทย2559ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2166
2165หนังสือแผ่นดินกลางใจกะเหรี่ยงแก่งกระจานทิพย์วิมล ศิรินุพงศ์, พรพรรณ กาญจนาธิวัฒน์หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงความเป็นมาเป็นไปของชาวกะเหรี่ยงแผ่นดินใหญ่ หรือบางกลอยบนแต่เดิมอาศัยอยู่เขตป่าสงวนแก่งกระจาน ซึ่งผู้เขียนไม่เพียงแต่กล่าวถึงความเป็นมาและการเปลี่ยนแปลงของชุมชนใจแผ่นดินเท่านั้น ยังกล่าวถึงวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรมดั้งเดิมของชุมชนก่อนที่จะถูกเผาทำลายบ้านเรือน และยุ้งฉาง อีกทั้งยังมีการขับไล่ที่ทำกินของชาวบ้านอีกด้วย ซึ่งรัฐเองได้ออกกฎหมายและมีคำสั่งให้ย้ายถิ่นฐานลงมาที่บางกลอยล่าง ทำให้วิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงใจแผ่นดินเปลี่ยนไปและไม่ความสอดคล้องกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน ชาวบ้านจึงต่อสู้เพื่อที่จะได้กลับไปใช้พื้นที่เดิม และเพื่อความเป็นธรรม หนังสือเล่มนี้จึงมีประเด็นที่ผู้เขียนได้ถอดบทเรียนให้เห็นคือ บทเรียนจากกรณีชุมชนกะเหรี่ยงบ้านใจแผ่นดิน หรือบางกลอยบน วิถีชุมชนและความเป็นชาติพันธุ์ในกระบวนการต่อสู้ ต่อรอง กับอำนาจรัฐและเงื่อนไขต่าง ๆกะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี, แก่งกระจานตำบลด่านชุมพล อำเภอบ่อไร่ จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2562ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2165
2164อื่นๆหมุนเวียนอย่างยั่งยืนอภินันท์ ธรรมเสนา, ศิราพร แป๊ะเส็ง, สกุลกร ยาไทย, ณัฐดนัย ตระการศุภกร, ลี - อายุ จือปาในประเทศไทย กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นทางแถบภาคเหนือ 9 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก กำแพงเพชร แพร่ สุโขทัย และภาคกลางด้านตะวันตก 6จังหวัด ได้แก่ อุทัยธานี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ทั้งนี้ชุมชนกะเหรี่ยงแต่ละแห่งนับเป็นชุมชนดั้งเดิมที่สืบย้อนไปได้ถึง 1,200 ปี มีการตั้งถิ่นฐานอยู่ในป่า ยังชีพโดยการทำเกษตรแบบ “ไร่หมุนเวียน” โดยจะหมุนเวียนการเพาะปลูกจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เพื่อให้พื้นที่เดิมได้พักและเริ่มสะสมสารอาหาร ซึ่งจะใช้ระยะเวลา 5-10 ปี การทำไร่หมุนเวียนจึงเป็นวิถีที่สอดคล้องกับหลักนิเวศป่าและภูมิปัญญาในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน แต่กลับขัดต่อความเข้าใจของคนทั่วไปที่มองว่าเป็นการทำไร่เลื่อนลอยซึ่งเป็นสาเหตุของการบุกรุกและทำลายป่า (หน้า 5) ช่วงเวลาที่ผ่านมาชาวกะเหรี่ยงจึงใช้ต้นทุนทางวัฒนธรรมของตนเป็นเครื่องมือลบล้างความเชื่อดังกล่าว จนสามารถผลักดันให้เกิดนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ทำให้รัฐผลักดันประเด็นไร่หมุนเวียนและประกาศให้วิถีภูมิปัญญาการทำไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยง หรือ “คึฉื่ย” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประจำปี 2556 แต่ก็ยังไม่เป็นที่เข้าใจของคนทั่วไปเท่าที่ควร ต่อมาในปี 2558 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ในฐานะองค์กรทางวิชาการ จึงเข้าสนับสนุนข้อมูลเพื่อขับเคลื่อน ฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง โดยทำงานร่วมมือกับภาคีเครือข่ายนักวิชาการและเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง นำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับไร่หมุนเวียนเพื่อปรับเปลี่ยนมุมมองและสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นกับคนในสังคม (หน้า 6) <br />
อย่างไรก็ตาม งานศึกษาทางวิชาการส่วนใหญ่ยอมรับว่า ไร่หมุนเวียนเป็นรูปแบบหนึ่งที่สร้างเสถียรภาพให้กับระบบนิเวศ และการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร กลับส่งผลทำให้สัดส่วนการใช้พื้นที่ทำให้ไร่หมุนเวียนลดลง เป็นเพราะ การทำไร่หมุนเวียนมีการปรับตัวโดยลดการใช้พื้นที่ เพื่อให้สอดคล้องกับพลวัตรทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คุณประโยชน์ของไร่หมุนเวียนยังได้รับการยอมรับโดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประกาศให้ไร่หมุนเวียนเป็นระบบวนเกษตรระบบหนึ่งที่มีความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศ (หน้า 21)ชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง, ไร่หมุนเวียน, ภูมิปัญญา, มติ ครม., เขตพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษตำบลด่านชุมพล อำเภอบ่อไร่ จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2561ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2164
2163บทความภูมิบุตรา : นโยบายเชื้อชาตินิยมในมาเลเซียเฉลิมชัย โชติสุทธิ์ในยุคอาณานิคมมาเลเซียภายใต้การปกครองของอังกฤษได้ใช้วิธีการปกครองโดยพยายามแบ่งแยกเชื้อชาติ เหตุจากความสะดวกในการปกครองและไม่ให้เกิดการรวมตัวกันต่อต้านเจ้าอาณานิคมนั้น ยังเป็นผลมรดกตกทอดส่งผลกระทบถึงปัจจุบัน ภายใต้พรรคแนวร่วมแห่งชาติในนามของพรรคอัมโน ที่ยังคงให้การสนับสนุนนโยบายภูมิบุตรา ซึ่งมีลักษณะของการให้สิทธิพิเศษบางประการกับชาวมลายูและชนพื้นเมืองเดิม โดยนโยบายดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อการครองตำแหน่งในการบริหารประเทศ (น.79) ด้วยสังคมประเทศมาเลเซียมีลักษณะแบบพหุสังคม เป็นสังคมที่แยกส่วนไม่กลมกลืน แต่ละเชื้อชาติแยกกันอยู่โดยมีวัฒนธรรม ประเพณี และภาษาต่างกัน (น.81) ซึ่งนโยบายนี้ได้แบ่งสังคมมาเลเซียออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ชนพื้นเมืองกับกลุ่มที่ไม่ใช่ชนพื้นเมืองซึ่งก็ได้แก่ชาวจีนและชาวอินเดีย<br />
รัฐบาลพรรคแนวร่วมแห่งชาติปกครองมาเลเซียด้วยคะแนนเลือกตั้งท่วมท้น ครองเสียงข้างมากมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี แต่ในระยะภายหลังผลจากการเลือกตั้งในปี 2008 และ 2013 คะแนนเสียงกลับมีแนวโน้มลดน้อยลงจนไม่สามารถครอบครองที่นั่งส่วนใหญ่ในสภาได้อย่างที่เคยเป็นมา สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่ลดลงต่อพรรคแนวร่วมแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง (น.79) สาเหตุหนึ่งมาจากปัจจัยความไม่พอใจต่อการดำเนินนโยบายภูมิบุตรา เพราะเป็นการเอื้อประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรมและไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย จึงเริ่มมีกระแสเอียงไปในทางสนับสนุนพรรคการเมืองที่ชูนโยบายที่ไม่คำนึงถึงเชื้อชาติชาติพันธุ์, นโยบายภูมิบุตรา, มาเลเซีย, ชนพื้นเมืองตำบลด่านชุมพล อำเภอบ่อไร่ จังหวัดเพชรบุรี ประเทศมาเลเชีย2557ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2163
2162หนังสือหนังสือภาพถ่ายวิถีชาวพวนแพร่ อุดรธานี สุพรรณบุรี เพชรบุรีรชพรรณ ฆารพันธ์การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์พวนในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ บ้านทุ่งโฮ้ง จังหวัดแพร่, บ้านถ่อน จังหวัดอุดรธานี, บ้านท่าตลาด จังหวัดสุพรรณบุรี และบ้านมาบปลาเค้า จังหวัดสุพรรณบุรี นั้น พบว่า ชาวพวนมีการรับรู้และสำนึกในความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พวนที่อพยพมาจากประเทศลาวเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย มีการสร้างตัวตนและการยอมรับโดยการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านเครือข่ายทั้งในระดับชุมชนจนถึงระดับประเทศ อีกทั้งยังได้พยายามอนุรักษ์สืบสานประเพณีวัฒนธรรมของตนเองจากรุ่นสู่รุ่นและพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบันเพื่อสร้างความโดดเด่นและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ผ่านอัตลักษณ์ชาติพันธุ์อย่างการออกแบบเครื่องแต่งกาย เป็นต้นชาติพันธุ์, พวน, ประเพณีวัฒนธรรม, อัตลักษณ์ตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ประเทศไทย2562ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2162
2161หนังสือเรียนรู้จากการซ่อมสร้างชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอยสดานุ สุขเกษมหนังสือเล่มนี้ถูกเขียนบนประสบการณ์จากการทำงานร่วมกันระหว่างผู้เขียนและชาวบ้านบางกลอย โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์สนทนากลุ่มย่อย ประชุม การใช้ภาพถ่าย การทำหุ่นจำลอง วาดภาพ และบันทึกการก่อสร้างบ้าน โดยมีชาวบ้านเป็นแกนหลักในการทำงานร่วมกัน ตลอดทั้งกระบวนการทำงานร่วมกัน เครื่องมือและวิธีการเหล่านี้เป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติข้อมูลเชิงลึกถูกนำมาวิเคราะห์แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อม วัฒนธรรม กิจกรรมและการใช้งานพื้นที่ เพื่อค้นหาการเปลี่ยนแปลงและการปรับเปลี่ยนของที่อยู่อาศัยของกะเหรี่ยงบางกลอย การเข้าร่วมในการประชุมเชิงปฏิบัติการเป็นส่วนสำคัญในการสร้างพลังและกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันการซ่อมสร้างชุมชนกะเหรี่ยง, หมู่บ้านบางกลอย, อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน, จังหวัดเพชรบุรีตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2562ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2161
2118วิทยานิพนธ์การเมืองเรื่องชาติพันธุ์และอัตลักษณ์ของไทยทรงดำ ศึกษากรณี อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรีเกรียงไกร ฮ่องเฮงเส็งงานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงระหว่างการเมืองของรัฐกับอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี และศึกษาการแข่งขันทางอัตลักษณ์ภายในกลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เป็นงานวิจัยที่มีกระบวนการศึกษาทั้งจากเอกสารและการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก โดยการลงพื้นที่ภาคสนามแบ่งเป็นการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและแบบไม่มีส่วนร่วม ผลการวิจัยพบว่าเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างชนกลุ่มใหญ่และชนกลุ่มน้อย ซึ่งชนกลุ่มใหญ่ในที่นี้คือชาวไทยที่ปกครองชนกลุ่มน้อยคือไทยทรงดำ นโยบายทางการเมืองของภาครัฐ ก่อนพุทธศักราช 2475 และหลังพุทธศักราช 2475 ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางอัตลักษณ์ของชาวไทยทรงดำ อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ทั้งในลักษณะของความยินยอมและถูกบังคับให้ต้องปฏิบัติตาม ส่วนการแข่งขันทางอัตลักษณ์ภายในกลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ อำเภอเขาย้อย พบปรากฏการณ์ช่วงชิงนิยามความหมายของการเป็นไทยทรงดำแท้ เพราะอัตลักษณ์ของไทยทรงดำในปัจจุบันเริ่มถูกกลืนกลาย ชาวไทยทรงดำจึงพยายามหาจุดยืนของกลุ่มชาติพันธ์ตนเองผ่านการแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆไทยทรงดำ, อัตลักษณ์, ชาติพันธุ์ตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2554ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2118
2117รายงานการวิจัยอำนาจ พื้นที่ และอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ : การเมืองเชิงวัฒนธรรมของรัฐชาติในสังคมไทยภาคเหนือยศ สันตสมบัติการศึกษาเกี่ยวกับการเมืองวัฒนธรรมว่าด้วยอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ การเปิดพื้นที่ทางสังคม การปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ชายขอบของสังคม รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างรัฐชาติกับกลุ่มชนท้องถิ่น วิธีวิจัยมีลักษณะการศึกษาชาติพันธุ์วรรณนาแบบพหุสนาม โดยพื้นที่วิจัยเป็นพื้นที่ซึ่งปฏิบัติการและปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจมีการปรับเปลี่ยนและเลื่อนไหลอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ เป็นพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวของผู้คน สินค้า และวัฒนธรรมข้ามพรมแดนของรัฐชาติมาโดยตลอด ซึ่งแต่ละพื้นที่ศึกษาก็มีบริบทและเงื่อนไขแตกต่างกัน ทั้งพื้นที่ชายแดน เช่น เชียงของ เชียงแสน ท่าสองยาง แม่อาย-ฝางและปางมะผ้า และพื้นที่ที่มิใช่พื้นที่ชายแดน เช่น ไนท์บาร์ซาร์ และบ้านม้งดอยปุย เป็นต้น ผลการศึกษาพบว่า ชายแดนเป็นพื้นที่ของความขัดแย้งทางวัฒนธรรมและอำนาจ อันเป็นผลมาจากการกระบวนการสร้างรัฐชาติเชิงเดี่ยวตามลัทธิชาตินิยมแบบเก่าของรัฐไทยที่แผ่ขยายอำนาจส่วนกลางมายังพื้นที่ชายแดนต้องประสบกับความท้าทายจากบริบทของพื้นที่ชายแดนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ดังนั้น อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์จึงมิได้มีรูปแบบแน่นอนตายตัว หากแต่เป็น “ยุทธวิธี” ในการนำเสนอตนเองที่เลื่อนไหลและปรับเปลี่ยนไปตามเงื่อนไข สถานการณ์และผลประโยชน์ที่เปลี่ยนแปลงไป อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ยังเป็นเรื่องของการเจรจาต่อรองและการต่อสู้ ด้วยการรื้อรั้วหรือขอบเขตทางชาติพันธุ์ ซึ่งตนเองสร้างไว้เพื่อแบ่งแยกหรือชนกลุ่มอื่น ๆ และรัฐล้อมไว้เพื่อกีดกันและการปรับเปลี่ยนจุดเผชิญหน้าระหว่างคนกลุ่มต่าง ๆ กระบวนการรื้อรั้วและสร้างใหม่อย่างต่อเนื่องดังกล่าวส่งผลทำให้โครงสร้างอำนาจในพื้นที่ชายแดนมีการก่อรูป ผลิตใหม่และนิยามความหมายในลักษณะที่เลื่อนไหลไปมาตามบริบทและเงื่อนไขของการเจรจาต่อรองที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาการเมืองเชิงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์, ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ, การเปิดพื้นที่ทางสังคม, กลุ่มชาติพันธุ์, เขตภาคเหนือตอนบนตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2117
2116รายงานการวิจัยชาติพันธุ์สัมพันธ์กับความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนทางภาคเหนือของไทยและลาวประสิทธิ์ ลีปรีชางานวิจัยนี้มุ่งศึกษาเกี่ยวกับบริบททางประวัติศาสตร์ว่าด้วยความมั่นคงของชาติกับชาติพันธุ์สัมพันธ์บนพื้นที่ชายแดนภาคเหนือของไทยและลาวผ่านช่วงเวลาสำคัญ 4 ยุค คือ ยุคอาณานิคม ยุคสงครามเย็น ยุคเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า และยุคอิทธิพลของทุนจีนในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยเน้นศึกษาผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติต่อความมั่นคงในชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ชายแดน ตลอดจนการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ วิธีวิจัยที่ใช้ในการศึกษา การวิจัยเชิงเอกสารและการวิจัยภาคสนาม ผลการศึกษาพบว่า ประการแรก นับตั้งแต่ยุคสงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน รัฐไทยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชาติที่เน้นเรื่องการรักษาอำนาจอธิปไตยของรัฐชาติเหนือความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของมนุษย์มากกว่า ประการที่สอง ภายใต้บริบทการรักษาความมั่นคงของชาติ ยิ่งรัฐแผ่ขยายอำนาจจากส่วนกลางมายังพื้นที่ชายแดนมากเท่าไหร่ ยิ่งสร้างความไม่มั่นคงในชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ชายแดนมากเท่านั้น โดยเฉพาะในยุคสงครามเย็นและยุคเปิดพรมแดนเพื่อการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านในปัจจุบันที่หน่วยงานทางด้านความมั่นคงมีอำนาจเหนือหน่วยงานด้านเศรษฐกิจและการปกครองในพื้นที่ชายแดน ประการที่สาม กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ชายแดนพยายามปรับตัวต่อสภาพบริบทที่ยากลำบากด้วยการแสวงหาความมั่นคงในชีวิตด้วยตนเอง ด้วยวิธีการที่หลากหลายและเครือข่ายความสัมพันธ์ที่มีอยู่ ประการสุดท้าย การเปิดพื้นที่ชายแดนเพื่อการค้าข้ามชาติและภูมิภาคไม่ได้สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ชายแดนหรือนายทุนท้องถิ่นรายย่อย แต่กลับให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่รัฐและนายทุนจากนอกพื้นที่ที่ซึ่งมีทุนและความสามารถในการเข้าถึงโอกาสมากกว่าความมั่นคงของชาติ, ความมั่นคงของมนุษย์, การปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์, พื้นที่ชายแดนฝั่งตะวันออกของภาคเหนือตอนบน, บ้านฮวก, บ้านน้ำตวงตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2560ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2116
2115รายงานการวิจัยม้งลาวในประเทศไทย : นโยบายและการดำเนินการของภาครัฐไทย (2518 - 2552)ประสิทธิ์ ลีปรีชา, สุภางค์ จันทวานิชปรากฎการณ์การอพยพข้ามเส้นแบ่งพรมแดนรัฐชาติของชาวม้งจากประเทศลาวเข้าสู่ประเทศไทยที่บ้านห้วยน้ำขาว เป็นผลพวงระยะยาวจากการล่าอาณานิคมของประเทศยุโรปกับการเกิดขึ้นของรัฐชาติสมัยใหม่ในภูมิภาคนี้ ตามมาด้วยบริบทความขัดแย้งทางการเมืองในยุคสงครามเย็นและบริบทของกระแสโลกาภิวัตน์ ในงานศึกษานี้เป็นการนำเสนอบริบททางด้านประวัติศาสตร์และการเมือง รวมทั้งอิทธิพลของกระแสโลกาภิวัฒน์ที่ส่งผลต่อการอพยพของชาวม้งจากประเทศลาวที่บ้านห้วยน้ำขาวในจังหวัดเพชรบูรณ์ ม้งลาวชุมชนถ้ำกระบอก จังหวัดสระบุรีและม้งลาว จังหวัดหนองคาย (น.3-4)ผู้อพยพชาวม้งลาว, ความเป็นชาติพันธุ์ม้งในบริบทรัฐชาติสมัยใหม่, ปัญหาความมั่นคง, นโยบายและปฏิบัติการของรัฐไทย, บ้านห้วยน้ำขาว, ชุมชนถ้ำกระบอก, ม้งลาวตำบลปากชม อำเภอปากชม จังหวัดเลย ประเทศไทย2554ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2115
2114รายงานการวิจัยการปกครองโดยเอกสาร: บัตรประจำตัวกับการเมืองว่าด้วยการควบคุมชนผู้มิใช่พลเมืองและแรงงานข้ามชาติปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรีงานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาการประกอบสร้างความเป็นพลเมืองและชนผู้มิใช่พลเมืองในไทย อันเป็นกระบวนการที่เปลี่ยนไปมาและขัดกัน ผ่านกลไกระบบบัตรประจำตัวของรัฐ โครงการวิจัยสืบสาววงศาวิทยาของการจารึกอัตลักษณ์ของประชาชนโดยรัฐในยุคต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์ และผลที่เกิดขึ้นต่อการสร้างความเป็นพลเมืองที่แตกต่างกัน งานวิจัยเสนอว่า ตรรกะในการปกครองประชากรผ่านเอกสารผันแปรไปมาระหว่างความต้องการแรงงานกับความปรารถนาในการสร้างความมั่นคงแห่งชาติในยุคสงครามเย็น การใช้เอกสารราชการในการบันทึกอัตลักษณ์ประชากร รับใช้การสร้างพรมแดนทางการเมืองเพื่อแยกผู้ที่เป็นไทยออกจากชนอื่นที่มิใช่ไทย ในทางตรงกันข้าม ในยุคเสรีนิยมใหม่ บัตรประจำตัวกลับทำหน้าที่ในการควบคุมกำกับผู้อพยพข้ามพรมแดนเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมชายแดนที่เติบโตขึ้นตลอดเวลา แทนที่จะสร้างความเป็นระเบียบให้กับชายแดน ระบอบเอกสารอันยุ่งเหยิงที่ถูกผลิตขึ้น ถูกจ่ายแจก ถูกนำมาใช้และฉวยใช้ กลับก่อให้เกิดพรมแดนเชิงตัวบทที่สับสน ความไร้ระเบียบของระบบ บัตรประจำตัวยังได้เปิดช่องให้เศรษฐกิจไม่เป็นทางการของการรีดไถ ส่วย สินบน และระบบนายหน้าได้เฟื่องฟูขึ้นอีก ด้วยการพยายามทำความเข้าใจต่อระบบบัตรประจำตัวอันอลหม่านและการต่อรองเพื่อการเลื่อนไหลของช่องทางไหลเวียนของเอกสารจึงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับความอยู่รอดและการเลื่อนชั้นสถานะของแรงงานข้ามชาติในชายแดนของไทยเอกสารราชการ, บัตรประจำตัว, ความเป็นพลเมือง, แรงงานอพยพ, การเคลื่อนย้ายตำบลปากชม อำเภอปากชม จังหวัดเลย ประเทศไทย2559ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2114
2113รายงานการวิจัยบุคคลสองสัญชาติ: ผลกระทบต่อความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซียจิราพร งามเลิศศุภรงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาว่า บุคคลสองสัญชาติมีผลกระทบต่อความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ กรอบการศึกษาครอบคลุมตั้งแต่ความเป็นมาของบุคคลสองสัญชาติ ปัจจัยที่เป็นแรงจูงให้มีสองสัญชาติ ข้อมูลจำนวนบุคคลสองสัญชาติและกฎหมายสัญชาติของมาเลเซีย การดำเนินความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาบุคคลสองสัญชาติระหว่างไทยกับมาเลเซีย รวมทั้งแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินการต่อบุคคลสองสัญชาติไทย–มาเลเซีย วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการวิจัยเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกจากบุคคลสองสัญชาติ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและฝ่ายความมั่นคง ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ก่อให้เกิดบุคคลสองสัญชาติ ประกอบด้วย (1.) กระบวนการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ที่ทำให้เกิดการขีดเส้นพรมแดนทางภูมิศาสตร์ของรัฐและบัญญัติกฎหมายสัญชาติ เพื่อเป็นเครื่องผูกพันบุคคลกับดินแดนของรัฐ แต่สิ่งเหล่านี้มิอาจสกัดกั้นความใกล้ชิดทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมระหว่างชาวมลายูมุสลิมในไทยและมาเลเซียที่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกัน และยังคงรักษาปฏิสัมพันธ์ข้ามพรมแดนเพื่อไปมาหาสู่ญาติพี่น้องอีกฝั่งตามปกติ (2.) การเมืองภายใน มาเลเซียมองว่าประเด็นบุคคลสองสัญชาติเกี่ยวข้องกับการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงภายในของมาเลเซียเอง โดยมาเลเซียต้องการให้สัญชาติแก่ชาวมลายูมุสลิมภาคใต้ที่ได้สัญชาติมาถ่วงดุลและเปิดล้อมคนมาเลเซียเชื้อสายจีนที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ในรัฐกลันตัง โดยกลุ่มคนมลายูมุสลิมภาคใต้ที่ได้สัญชาติจากมาเลเซียก็ล้วนแต่มีเชื้อสายมาเลเซีย และมีความผูกพันต่อรัฐมาเลเซียมากกว่ารัฐไทย นโยบายการให้สัญชาติแก่คนมลายูมุสลิมในไทยจึงกลายเป็นนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองในมาเลเซีย (3.) แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ชาวมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้ต้องการสัญชาติมาเลเซียเพื่อที่จะได้สามารถประกอบอาชีพในมาเลเซียได้ ที่ผ่านมารัฐไทยมีความพยายามแก้ไขปัญหาบุคคลสองสัญชาติมาเป็นเวลาสามทศวรรษ และพยายามแสวงหาความร่วมมือกับรัฐบาลมาเลเซีย โดยมีการจัดตั้งกลไกความร่วมมือด้วยกันในหลายระดับ ภายหลังจากการปะทะของสถานการณ์ที่รุนแรงระลอกใหม่ตั้งแต่ปี 2547 รัฐบาลไทยพยายามเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับบัตรประชาชนและต้องการกระชับความร่วมมือกับรัฐบาลมาเลเซียมากขึ้น แต่รัฐบาลมาเลเซียไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าที่ควรเนื่องจากเห็นว่าเป็นประเด็นละเอียดอ่อนและมีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ผลประโยชน์ทางการเมืองและสิทธิส่วนบุคคล สำหรับผลกระทบของบุคคลสองสัญชาติต่อความมั่นคงของไทยนั้นพบว่า บุคคลสองสัญชาติมีความเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบจริงในอดีต ทว่านับตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันก็ไม่พบหลักฐานที่เชื่อมโยงระหว่างบุคคลสองสัญชาติกับขบวนการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้แต่อย่างใด บุคคลสองสัญชาติที่เข้าร่วมในขบวนการก่อความไม่สงบเป็นคนรุ่นเก่า แต่ขบวนการรุ่นใหม่ที่ก่อเหตุในปัจจุบันไม่ได้มีสองสัญชาติ ดังนั้น การถือว่าบุคคลสองสัญชาติเป็นภัยต่อความมั่นคงจึงเป็นสิ่งสร้างทางสังคม (social construction) ที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังเหตุการณ์รุนแรงปะทุเมื่อปี 2547บุคคลสองสัญชาติ, ความมั่นคง, คนมลายูมุสลิมในไทย, คนมลายูมุสลิมในมาเลเซีย, ชายแดนไทย - มาเลเซียตำบลปากชม อำเภอปากชม จังหวัดเลย ประเทศไทย2551ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2113
2112รายงานการวิจัยพหุวัฒนธรรมในประเทศไทยจากมุมมองสตรีนิยมศิริจิต สุนันต๊ะพหุวัฒนธรรมนิยมเป็นวาทกรรมระดับโลกที่องค์กรระหว่างประเทศเรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ให้การสนับสนุนความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมภายในรัฐ จุดกำเนิดของแนวคิดนี้เริ่มต้นในทศวรรษที่ 1970 ในฐานะที่เป็นทั้งจุดยืนทางศีลธรรมและการเมือง และในฐานะนโยบายของรัฐที่พัฒนาขึ้นในบริบทของประเทศตะวันตกเป็นหลักในการปฏิบัติต่อความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมในประเทศ ทั้งนี้ พหุวัฒนธรรมนิยมตามแบบประเทศตะวันตกให้ความสำคัญกับแนวคิดเรื่องสิทธิและความเท่าเทียมเป็นหลัก เมื่อแนวคิดนี้ถูกเผยแพร่ไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แต่ละประเทศก็รับแนวคิดนี้ไปปรับใช้ตามบริบททางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมภายในของตน ความหมายของพหุวัฒนธรรมนิยมจึงขึ้นอยู่กับบริบทของท้องถิ่นนั้น ๆ บทความนี้จึงเป็นการสำรวจสถานะข้อโต้แย้งเรื่องพหุวัฒนธรรมนิยมในประเทศไทย โดยพหุวัฒนธรรมนิยม (multiculturalism) และความหลากหลายทางวัฒนธรรม (cultural diversity) เป็นแนวคิดที่ถูกใช้และผลักดันโดยนักวิชาการและภาคประชาสังคม เพื่อท้าทายวาทกรรมหลักเกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียวทางวัฒนธรรม การครอบงำทางวัฒนธรรม ตลอดจนการรวมศูนย์อำนาจการบริหารของกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐและผู้กำหนดนโยบายของไทยเริ่มให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความหลากหลายและให้การยอมรับแนวคิดพหุวัฒนธรรมนิยม แต่แนวคิดพหุวัฒนธรรมนิยมที่รัฐไทยให้การยอมรับมีความแตกต่างจากแนวคิดพหุวัฒนธรรมนิยมแบบสากล เพราะแนวคิดนี้จึงถูกนำไปใช้เพื่อตอกย้ำวาทกรรมชาตินิยมและผลิตซ้ำความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมหรือความสัมพันธ์แบบลำดับขั้นที่ดำรงสืบเนื่องมาจากระบอบอุปถัมภ์นิยมและเสริมความชอบธรรมของศูนย์อำนาจหลักของชาติในส่วนกลาง แนวคิด/นโยบายพหุวัฒนธรรมแบบสากลนิยมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแบบเสรีนิยมจึงเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึงในสังคมไทย หากแต่เป็นกระแสสังคมที่ก่อตัวขึ้นเพื่อท้าทายต่อจินตนาการของรัฐไทยต่อความเอกภาพทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมของสังคมไทยพหุวัฒนธรรม, ความหลากหลาย, ประเทศไทย, นโยบายรัฐตำบลปากชม อำเภอปากชม จังหวัดเลย ประเทศไทย2553ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2112
2111หนังสือเศรษฐกิจและการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้: การสำรวจเชิงวิพากษ์ชาลิตา บัณฑุวงษ์ประเด็นทางเศรษฐกิจและการพัฒนามีนัยยะสำคัญต่อสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในหลายแง่มุม งานศึกษานี้จึงสำรวจองค์ความรู้จากงานเขียนกลุ่มที่เป็นความคิดกระแสหลักและกระแสรอง จากงานเขียนทางวิชาการ เอกสารประกอบการสัมมนา ตลอดจนรายงานการดำเนินงานหรือการสรุปบทเรียนจากหน่วยงาน / องค์กรที่เกี่ยวข้อง โดยงานเขียนกลุ่มที่เป็นความคิดกระแสหลักมองว่า ความยากจนและความด้อยพัฒนาเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดความไม่สงบ งานเขียนในช่วงก่อน พ.ศ. 2547 มักเน้นอธิบายถึงสาเหตุที่เกิดจากฝ่ายชาวมลายูมุสลิมเองที่ไม่ยอมปรับตัวเข้ากับสังคมไทย และเป็นผู้ที่ไร้ศักยภาพในการพัฒนา ชาวมลายูมุสลิมส่วนใหญ่จึงมีฐานะยากจน โครงสร้างทางเศรษฐกิจจึงฐานแคบจำกัดแค่อาชีพในภาคการเกษตร ผู้คนจึงถูกชักจูงเข้าร่วมขบวนการก่อความไม่สงบได้ง่าย ข้อสรุปดังกล่าวได้สร้างความชอบธรรมให้กับปฏิบัติการพัฒนาของรัฐในพื้นที่ เพื่อลดความรู้สึกปฏิปักษ์ต่อรัฐและป้องกันไม่ให้ชาวมลายูมุสลิมเข้าร่วมในขบวนการก่อความไม่สงบ โดยนับตั้งแต่ พ.ศ. 2547 รัฐได้ทุ่มเทงบประมาณทางด้านความมั่นคงและการพัฒนาในพื้นที่เป็นจำนวนมหาศาล ทว่ากลับสวนทางกับสถิติความรุนแรงและจำนวนผู้เสียชีวิตที่ไม่ลดลง แต่กลับพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้การพัฒนาของรัฐและการขยายตัวของทุนในพื้นที่ ในแง่หนึ่งได้ส่งผลทำให้วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจของคนในท้องถิ่นสัมพันธ์กับเศรษฐกิจนอกภาคการเกษตรมากขึ้น ผู้คนสามารถปรับตัวให้อยู่รอดได้ในสถานการณ์ความรุนแรง มีการขยายตัวของธุรกิจท้องถิ่นและคุณภาพชีวิตของผู้คนดีขึ้น อย่างไรก็ตาม งานเขียนกลุ่มแนวคิดวัฒนธรรมชุมชนและเศรษฐกิจชุมชนกลับมองว่า การพัฒนาที่ชี้นำโดยรัฐและทุนต่างหากที่ส่งผลเสียต่อฐานทรัพยากร ระบบนิเวศ /สภาพแวดล้อมของชุมชน และทำลายวิถีการดำรงชีพแบบดั้งเดิมของคนในท้องถิ่นที่เน้นการพึ่งตนเองและยึดถือหลักพอเพียงบนฐานของเกษตรกรรม อันก่อให้เกิดสภาวะความยากจนและความด้อยพัฒนา และนำไปสู่สถานการณ์ความไม่สงบในที่สุด งานเขียนกลุ่มนี้จึงส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนบนฐานของวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของชุมชน อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอจากงานกลุ่มนี้ยังมีข้อจำกัดในแง่ที่ยังคงอธิบายในกรอบและวาทกรรมความมั่นคงของรัฐไทย มากกว่าจะชี้ให้เห็นถึงรากเหง้าที่แท้จริงของความรุนแรงอันเกิดจากปัญหาในเชิงโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียม อีกทั้งยังไม่เท่าทันต่อพลวัตรทางเศรษฐกิจในท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจนอกภาคการเกษตรมากขึ้น และผู้คนต้องการเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจแบบตลาดอย่างมีอำนาจต่อรองและเข้มแข็ง (น.31; 62 - 63)ชาวมลายูมุสลิม, เศรษฐกิจและการพัฒนา, สถานการณ์ความไม่สงบ, จังหวัดชายแดนภาคใต้, ประเทศไทยตำบลปากชม อำเภอปากชม จังหวัดเลย ประเทศไทย2560ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2111
2109วิทยานิพนธ์อัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ในบริบทการท่องเที่ยว ศึกษากรณี หมู่บ้านรวมมิตร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงรายวรเมธ ยอดบุ่นการศึกษาวิจัยเรื่องอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ในบริบทการท่องเที่ยวนั้น มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นในพื้นที่หมู่บ้านท่องเที่ยว ผลการวิจัยพบว่า บ้านรวมมิตรประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง อาข่า ม้ง ลีซู แต่ละกลุ่มมีอัตลักษณ์ดั้งเดิมที่ได้รับการสืบทอดเรื่อยมา เมื่อการท่องเที่ยวเข้ามามีบทบาทในชุมชนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอัตลักษณ์ของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นภาษา ที่ใช้ภาษาไทยถิ่นเหนือในการพูดรวมถึงการสื่อสารกับคนพื้นราบ ด้านการแต่งกาย ก็มีแนวโน้มว่าจะแต่งกายเหมือนกับคนพื้นราบมากขึ้นในชีวิตประจำวัน สำหรับชุดแต่งกายชาติพันธุ์จะสวมใส่เฉพาะวันสำคัญของชุมชน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงเป็นการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อให้เข้ากับบริบทการท่องเที่ยวและบริบทอื่น ๆ ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อชุมชน แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือ สำนึกของความเป็นชาติพันธุ์ที่ยังฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก และเมื่อได้มีการติดต่อและมีปฏิสัมพันธ์กับคนหลากหลายกลุ่ม ด้านหนึ่งมีผลทำให้อัตลักษณ์ของแต่ละกลุ่มชัดเจนมากขึ้น อีกด้านหนึ่งก็มีผลให้เกิดการผสมกลมกลืนระหว่างผู้คนกลุ่มต่าง ๆ ด้วยอัตลักษณ์, ชนกลุ่มน้อย, เชียงราย, การท่องเที่ยวตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2109
2108วิทยานิพนธ์การรื้อฟื้นพิธีกรรมในการจัดการป่าชุมชนของชาวปกาเกอะญอ กรณีศึกษาบ้านห้วยส้มป่อย ลุ่มน้ำแม่เตี๊ยะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่วิทยา พรมจักร์ประเด็นที่ต้องการศึกษามุ่งที่จะทำความเข้าใจการรื้อฟื้นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการป่าชุมชนของชาวปกาเกอะญอ โดยใช้วิธีการศึกษาหลายแนวทาง ยึดเอาขอบเขตด้านเนื้อหาหรือประเด็นปัญหาเป็นตัวตั้งและกำหนดวิธีการศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับประเด็นในกับการศึกษา ดังนี้ 1.การศึกษาจากเอกสาร ข้อมูลทุติยภูมิ ที่เกี่ยวกับกับประเด็นที่ศึกษา เช่น พัฒนาการการจัดการป่าไม้ของรัฐไทยในภาคเหนือ ความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ พัฒนาการของความขัดแย้งระหว่างคนพื้นราบกับคนบนดอย และผลกระทบที่ชาวปกาเกอะญอได้รับความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ (หน้า 30) 2.การสัมภาษณ์เชิงลึก สัมภาษณ์บุคคลสำคัญภายในชุมชน เจ้าหน้าที่ของภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ป่าชุมชน (อดีตและปัจจุบัน) ความรู้สึกและปฏิบัติการของกลุ่มคนต่าง ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ (หน้า 31) 3.การสำรวจภาคสนามด้านนิเวศวิทยาป่าไม้ เป็นการศึกษาความอุดมสมบูรณ์ทางนิเวศวิทยาป่าไม้ ศึกษาผลลัพธ์ทางนิเวศวิทยา โดยศึกษาผ่านภาพถ่ายดาวเทียม สัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ของชุมชนในปัจจุบัน ข้อมูลทางด้านสัตว์ป่า และข้อมูลทางด้านการจัดการ เป็นต้น (หน้า 31)การรื้อฟื้นพิธีกรรม, วาทกรรม, อัตลักษณ์, กลุ่มชาติพันธุ์, ชาวปกาเกอะญอ, คนเมืองตำบลดอยแก้ว อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2549ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2108
2107วิทยานิพนธ์อัตลักษณ์และการคงอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์กูยในอาณาบริเวณพนมดงรักดำเกิง โถทองอัตลักษณ์และการคงอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์กูยในอาณาบริเวณพนมดงรัก ประกอบด้วยพื้นที่ศึกษาสองส่วน คือ บ้านตะเคียน ตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย และบ้านเวียลเวง ตำบลซูก อำเภอปราสาทซอมโบร์ จังหวัดกัมปงธม ประเทศกัมพูชา ซึ่งทั้งสองพื้นที่ต่างมีพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับบริบททางธรรมชาติ และยังคงรักษาอัตลักษณ์ ความเชื่อ รวมทั้งพิธีกรรมไว้ อย่างกลุ่มชาติพันธุ์กูยบ้านตะเคียน จะประกอบพิธีแก็ลมอและพิธีเซ่นไหว้ “ยะจู๊ เพาะจู๊” ซึ่งจัดขึ้นทุกปี แต่งกายด้วยชุดสีดำย้อมมะเกลือ อีกทั้งภายในชุมชนยังใช้ภาษากูยในการสื่อสาร ส่วนพื้นที่บ้านเวียลเวง ตำบลซูก อำเภอปราสาทซอมโบร์ ประเทศกัมพูชา ยังพบการนับถือผีปู่ตาที่เรียกว่า “อาเรี๊ย เนี๊ยตา” และการเล่นประไวกูน (การเล่นตีกัน)<br />
อัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กูยในสองพื้นที่ทั้งในไทยและกัมพูชายังคงอยู่ได้เกิดจากความเพียร มุ่งมั่น และความยืนหยัด โดยมีตัวชี้วัดแปดดรรชนี ประกอบด้วย ความรับผิดชอบร่วม ปรับประยุกต์ให้รู้เท่าทัน ความภาคภูมิใจในภาษา มีศรัทธาในวิถีกูย เรียนรู้การอยู่ร่วมกัน ปรับตัวเพื่อความอยู่รอด มีวัฒนธรรมที่เข้มแข็งและศรัทธาเชื่อมั่นต่อธรรมชาติแวดล้อมวิถีชีวิต, สังคม, เศรษฐกิจ, การเมือง, กูย, พนมดงรักตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2554ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2107
2106-วิถียังชีพของชนเผ่าขมุในแขวงบ่อแก้ว ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวคำจันทร์ ปัญญาทองบ้านศรีบุญเรือง พื้นที่ศึกษาวิจัยถึงวิถียังชีพของชนเผ่าขมุ ตั้งอยู่ในอำเภอห้วยทราย จังหวัดบ่อแก้ว สปป.ลาว มีพัฒนาการการเปลี่ยนแปลงของหมู่บ้านแบ่งเป็นสี่ยุค ตั้งแต่ยุคก่อตั้งหมู่บ้าน (ค.ศ.1966-1977) เป็นยุคที่เริ่มบุกเบิกพื้นที่เพื่อก่อตั้งหมู่บ้าน โดยกลุ่มชาติพันธุ์ขมุ 7 ครอบครัว เข้ามาพักบริเวณค่ายทหารหรือชาวลาวเรียกว่า “ปาง” ยุคที่สอง คือ ยุคการเปลี่ยนแปลงตนเอง (ค.ศ. 1978-1985) ซึ่งเป็นยุคที่แยกตัวออกมาจากหมู่บ้านมีชัยสว่างแล้วตั้งเป็นหมู่บ้านศรีบุญเรือง โดยมีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำชุมชน ยุคที่สาม เป็นยุคการเปลี่ยนแปลง โดยการประกาศใช้แนวทางการเปลี่ยนแปลงใหม่ของพรรค (ค.ศ. 1986-2000) เป็นยุคที่รัฐบาลได้เปิดประเทศและเร่งดำเนินแผนการพัฒนาประเทศ เช่น การสร้างถนนและขยายเขตไฟฟ้าเข้าหมู่บ้านศรีบุญเรือง มีบริษัทเอกชนเข้ามาส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จึงทำให้เศรษฐกิจชุมชนขยายตัว และยุคปัจจุบัน (ค.ศ.2000-2011) เป็นยุคที่หมู่บ้านศรีบุญเรืองมีการติดต่อกับสังคมเมืองมากขึ้น มีครัวเรือนเพิ่มขึ้น โดยผู้ศึกษาวิจัยพบว่า ผลของการเปลี่ยนแปลงในด้านบริบทของหมู่บ้าน ที่แต่เดิมหมู่บ้านไม่มีถนนการตั้งบ้านเรือนจึงกระจุกตัวอยู่บริเวณที่ราบเชิงเขา โดยขยายตัวเป็นวงกลม กระทั่งมีการตัดถนนเข้าสู่หมู่บ้านเมื่อ ค.ศ. 1996การสร้างบ้านเรือนจึงได้ตั้งตามสองฟากฝั่งของถนน ผลกระทบด้านเศรษฐกิจชาวขมุได้เปลี่ยนจากการทำไร่เลื่อนลอยมาปลูกข้าวโพดและทำงานอื่น ๆ เช่นเดียวกับสภาพชีวิต สังคม ความเป็นอยู่ เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างการออกไปทำงานนอกชุมชน หรือแรงงานที่เปลี่ยนจากการลงแขกมาเป็นการจ้างแรงงานแทนขมุ, การเปลี่ยนแปลง, วิถีชีวิต,สังคม, เศรษฐกิจ,ประเพณี, ลาวตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดBokeo ประเทศลาว2555ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2106
2105วิทยานิพนธ์การปรับตัวทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทแดงบ้านโพนทอง เมืองนาทรายทอง นะคอนหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวศรีสมพร สุขวงศาการศึกษาประวัติศาสตร์ ลักษณะทางสังคมวัฒนธรรม และเงื่อนไขการปรับตัวทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทแดง บ้านโพนทอง เมืองนาซายทอง นะคอนหลวงเวียงจันทน์ พบว่า ประวัติศาสตร์ของไทแดงมีการย้ายถิ่นอย่างสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ไทแดงจึงมีกระบวนการปรับตัวยอมรับวัฒนธรรมอื่นที่เข้มแข็งมากกว่าเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง การปกครองในอดีตใช้ระบบแบบเจ้าก๊กเจ้าเหล่าและการปกครองแบบสืบทอดอำนาจ สังคมให้ความสำคัญกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง ทำให้มีการแบ่งบทบาทการทำงานระหว่างชายหญิงอย่างชัดเจน<br />
เงื่อนไขการปรับตัวของไทแดง ถูกแบ่งออกเป็น 3ช่วง คือ 1) ช่วงอพยพ การโยกย้ายถิ่นฐานชุมชนในหลายที่ ทำให้เกิดการผสมกลมกลืนวัฒนธรรมกับเจ้าของพื้นที่ 2) ช่วงตั้งหมู่บ้านระยะแรก ค.ศ. 1978 ไทแดงได้ตั้งชุมชนถาวรในพื้นที่นาทรายทองหรือหมู่บ้านโพนทองในปัจจุบัน ไทแดงปรับตัวทำนาตามนโยบายเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม และยกเลิกประเพณีบางอย่างที่ไม่เหมาะสมกับนโยบายรัฐ 3) ช่วงการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจเป็นการตลาด ชุมชนได้ประกอบอาชีพหลากหลายมากขึ้น และมีการปรับตัวทางประเพณีความเชื่อให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม เช่น เดิมชุมชนไทแดงนับถือผี แต่เนื่องจากชุมชนใกล้เคียง เช่น ไทลาว ไทพวน ไทขาวเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่นับถือศาสนาพุทธ ทำให้ไทแดงรุ่นถัดมาสนใจในการทำบุญที่วัดมากขึ้น แม้รุ่นพ่อแม่ไม่นิยมทำบุญที่วัด แต่ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด สรุปได้ว่าเงื่อนไขการปรับตัวของไทแดงเป็นผลมาจากนโยบายรัฐ วัฒนธรรมตามบริบทพื้นที่และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองตามยุคสมัย โดยที่ชุมชนก็ได้มีการปรับตัวและยอมรับความแตกต่างซึ่งกันและกันไทแดง, การปรับตัวทางด้านวัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์, บ้านโพนทอง, นะคอนหลวงเวียงจันทน์, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, เวียดนาม, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดViangchan ประเทศลาว2551ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2105
2104วิทยานิพนธ์ส่วยบ้านเปือยใหม่กับการธำรงชาติพันธุ์ท่ามกลางการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นในจังหวัดศรีสะเกษพจณิชา ศกุนะสิงห์วิทยานิพนธ์เรื่อง ส่วยบ้านเปือยใหม่กับการธำรงชาติพันธุ์ท่ามกลางการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นในจังหวัดศรีสะเกษ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม ผลวิจัยพบว่า รัฐกำหนดนโยบายระดับท้องถิ่น โดยการส่งเสริมให้ชุมชนรวมกลุ่มอาชีพทอผ้าและตัดเย็บ “เสื้อผ้าเก็บย้อมมะเกลือ” สินค้านี้ได้มีการจำหน่ายเป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) นโยบายดังกล่าวส่งเสริมให้ชาวส่วยได้สร้างสินค้าที่แสดงถึงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ตนเองให้สื่อสารออกไปสู่คนภายนอก ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น นอกจากนี้ชาวส่วยยังธำรงอัตลักษณ์ผ่าน “รำสะเอ็ง” ซึ่งเป็นพิธีกรรมสำคัญที่มีความเชื่อและประเพณีของชาวลาวร่วมอยู่ด้วย ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในชุมชนส่วย, กูย, เขมรป่าดง, อัตลักษณ์ชาติพันธุ์, พหุสังคม, เศรษฐกิจท้องถิ่น, บ้านเปือยใหม่, ศรีสะเกษ, อีสานใต้, สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์, เสื้อผ้าเก็บย้อมมะเกลือ,ตำบลพรหมสวัสดิ์ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย2559ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2104
2103วิทยานิพนธ์การใช้ทุนทางสังคมและทุนทางวัฒนธรรมในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนพหุชาติพันธุ์ในจังหวัดสกลนครนิภาพร มาลีลัยวิทยานิพนธ์เรื่อง การใช้ทุนทางสังคมและทุนทางวัฒนธรรมในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนพหุชาติพันธุ์ในจังหวัดสกลนคร เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากข้อมูลเอกสาร และวิจัยภาคสนามภายในชุมชนพหุชาติพันธุ์จำนวน 4 หมู่บ้าน ที่อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร กลุ่มชาติพันธุ์หลักในชุมชน ได้แก่ ผู้ไท ญ้อ และกะเลิง ผลวิจัยพบว่า สำนักบุญนิยมได้เข้ามาสร้างทุนนิยมทางศาสนาในจังหวัดสกลนคร โดยมุ่งเน้นด้านการรับบริจาคทรัพย์สินจำนวนมาก ลักษณะเช่นนี้ขัดแย้งต่อความเชื่อและวัฒนธรรมดั้งเดิมของพหุชาติพันธุ์ในชุมชน พหุชาติพันธุ์จึงรวมกลุ่มสร้างเครือข่าย เพื่อช่วงชิงพื้นที่ความเชื่อและปฏิเสธทุนนิยมทางศาสนาโดยการนำทุนทางสังคมและทุนทางวัฒนธรรมดั้งเดิมมาฟื้นฟูและเผยแพร่แก่คนภายในและคนภายนอกชุมชน ได้แก่ การส่งเสริมระบบเครือญาติที่เข้มแข็ง ประเพณีขึ้นเขาสรงน้ำพระ การเรียนจารและการอ่านคัมภีร์โบราณ การสร้างพิพิธภัณฑ์ พิธีกรรมเหยา ความเชื่อเรื่องผี นอกจากสิ่งเหล่านี้จะเป็นการต่อต้านการขยายอำนาจของสำนักบุญนิยมแล้ว ยังส่งผลให้ชุมชนพหุชาติพันธุ์เกิดการพัฒนาทางการเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองผู้ไท, ญ้อ, กะเลิง, พหุชาติพันธุ์, ทุนทางวัฒนธรรม, ทุนทางสังคม, ทุนนิยมทางศาสนา, สำนักบุญนิยม, เกาะดอนสวรรค์, หนองหาร, สกลนครตำบลพรหมสวัสดิ์ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2560ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2103
2101รายงานการวิจัยกระบวนการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่าสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน กรณีศึกษา กลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ คะยาห์ และกะเหรี่ยงพิทยา ฟูสาย และคณะการศึกษากระบวนการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ กะเหรี่ยง และคะยาห์ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ปัจจัยการย้ายถิ่นเพื่อเป็นแรงงานจากประเทศพม่าเข้าสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน แรงงานข้ามชาติกรณีศึกษาจำนวน 177 คน ซึ่งส่วนมากเป็นชาวไทใหญ่ กะเหรี่ยง และคะยาห์ เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง ชาวไทใหญ่เดินทางเข้ามาเป็นกลุ่ม ในขณะที่ชาวกะเหรี่ยงและคะยาห์เดินทางเข้ามาเป็นครอบครัว ส่วนมากใช้วิธีการเดินเท้าเข้ามาเนื่องจากมีความเสี่ยงน้อยกว่าในการถูกจับ ใช้เส้นทางธรรมชาติและเส้นทางจุดผ่อนปรน เข้ามาจากการชักชวนของเพื่อนและญาติ รองลงมาคือนายหน้าชาวไทใหญ่ มูเซอ และกะเหรี่ยง และเข้ามาด้วยตนเอง<br />
ปัจจัยผลักดันการพลัดถิ่นเข้ามาเป็นแรงงานข้ามชาติเกิดจาก (1) นโยบายการบังคับและการทำลายที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นผลจากการสู้รบของกองกำลังทหารกับชนกลุ่มน้อย (2) การพัฒนา ทั้งการถูกเวนคืนที่เพื่อก่อสร้างเขื่อน ทำเหมือง และทำโครงการ Contract Farming(3) การบังคับใช้แรงงานเป็นทหาร แรงงานทางการเกษตร ลูกหาบขนเสบียง และผู้นำทางให้หน่วยลาดตระเวน และ (4) การสังหาร ทำร้าย และข่มขืนผู้หญิงซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย<br />
ปัจจัยดึงดูดจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย ทางด้านภูมิศาสตร์พบว่ามีอาณาเขตติดต่อกับรัฐคะยาห์ รัฐฉาน และรัฐกะเหรี่ยงที่สะดวกต่อการเดินทาง ทางด้านสังคมพบว่ามีชาวไทใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่เป็นจำนวนมากตั้งแต่ พ.ศ. 2374 มีการติดต่อกันโดยตลอดและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทำให้ผู้อพยพไม่ต้องปรับตัวมากนัก ทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจพบว่ามีความมั่นคงและความปลอดภัยต่อชีวิตสูง มีค่าจ้างแรงงานสูง และรัฐไทยมีนโยบายที่ผ่อนปรนต่อแรงงานข้ามชาติ ไทใหญ่, คะยาห์, กะเหรี่ยง, แรงงานข้ามชาติ, แม่ฮ่องสอน, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, ประเทศพม่า, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลพรหมสวัสดิ์ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2553https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2101
2100วิทยานิพนธ์เศรษฐกิจการเมืองของความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศในบริบทความขัดแย้งทางชาติพันธุ์กะเหรี่ยง กรณีศึกษาค่ายอพยพนุโพ จังหวัดตากสกุลกร ยาไทยค่ายอพยพนุโพ จังหวัดตาก เป็นพื้นที่รองรับกลุ่มผู้อพยพซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากความขัดแย้งทางชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในประเทศพม่าที่ดำรงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2005-2015กลุ่มองค์กรความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศเข้ามามีบทบาทในการส่งมอบกระบวนการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาปัญหาทางด้านมนุษยธรรม แต่ด้วยความซับซ้อนของระบบอำนาจ การเมือง และเศรษฐกิจภายในค่ายอพยพ ทำให้ความช่วยเหลือบางส่วนอาจเป็นการหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจสงครามให้กับกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือ KNU<br />
การศึกษาพบว่า ปริมาณของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศไม่มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มหรือลดระดับความรุนแรงในพื้นที่ขัดแย้ง เนื่องจากปัจจัยแทรกสำคัญ คือ ความขัดแย้งเป็นไปในระดับกลุ่มผู้นำไม่ใช่ความขัดแย้งระดับประชาชน ทรัพยากรจากการช่วยเหลือไม่ได้หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจสงครามเป็นหลัก กระแสความกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศเพื่อปฏิรูปประเทศพม่า ทำให้ประชาคมลดการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมแก่องค์กรต่างประเทศซึ่งช่วยเหลือค่ายอพยพ และองค์ประกอบของประชากรอพยพชาวกะเหรี่ยงในค่ายเปลี่ยนไป กลุ่มส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีสายสัมพันธ์กับ KNU น้อย ทำให้ความช่วยเหลือที่ถูกส่งออกจากค่ายอพยพไปยังกลุ่ม KNU ลดลงตามไปด้วย กะเหรี่ยง, มนุษยธรรม, ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์, ตาก, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ประเทศไทย2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2100
2099วิทยานิพนธ์ความมั่นคงทางอาหารและสิทธิชุมชน: กรณีศึกษาการเข้าถึงแหล่งอาหารของชุมชนชาวเลหาดราไวย์ จังหวัดภูเก็ตศุภวรรณ จันทร์เติบการวิจัยเชิงคุณภาพนี้ศึกษาความมั่นคงทางอาหาร แหล่งและการเข้าถึงแหล่งอาหารและทรัพยากรตามธรรมชาติตามหลักสิทธิชุมชนดั้งเดิมของชาวเลซึ่งเป็นชาวอูรักลาโว้ยและชาวมอแกนในพื้นที่หาดราไวย์ จังหวัดภูเก็ต รวมทั้งการพัฒนาที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงกับชาวเลด้านสิทธิการเข้าถึงแหล่งอาหารและทรัพยากรทางธรรมชาติ และยังเสนอแนะแนวทางในการสร้างความมั่นคงทางอาหารตามหลักสิทธิชุมชน<br />
สิทธิชุมชนดั้งเดิมเป็นระบบการจัดการการเข้าถึงแหล่งอาหารและทรัพยากรทางธรรมชาติของชาวเลตั้งแต่ พ.ศ. 2488 ที่มีการตั้งถิ่นฐานถาวรในพื้นที่หาดราไวย์ ตามระบบนิเวศ 5 ระดับ คือ แหล่งบนเกาะ, ในทะเล, ชายฝั่งและแนวปะการัง, พื้นราบ และป่าบก โดยเน้นการเก็บหาจากธรรมชาติเป็นหลักฃผลจากการพัฒนาเมืองภูเก็ตส่งผลสำคัญต่อการจำกัดสิทธิการใช้พื้นที่ของชาวเล ทั้งการกำหนดเขตอนุรักษ์ พื้นที่หวงห้าม การเอื้อประโยชน์ต่อเอกชน และการกำหนดใช้พื้นที่ร่วมกันของชุมชน ส่งผลต่อวิถีชีวิตเดิมของชาวเลที่ต้องเข้าสู่กระบวนการทำให้เป็นคนไทยภายใต้กฎหมาย ทำให้ไม่สามารถใช้ทักษะและศักยภาพในการหาอาหารซึ่งถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษได้อย่างเต็มที่เนื่องจากเข้าถึงแหล่งอาหารไม่ได้ เกิดความเปลี่ยนแปลงค่านิยมในการบริโภคอาหารเป็นการพึ่งตลาด ชุมชนต้องปรับตัวจากสภาวะจำยอม เด็กและผู้ใหญ่ประสบปัญหาทางโภชนาการเกิดการแสวงหาลักษณะใหม่ คือ การขอทานนำมาสู่ภาพลบต่อกลุ่มชาวเล<br />
ผู้วิจัยเสนอข้อเสนอแนะสำคัญในการรื้อฟื้นสิทธิชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยรัฐควรสนับสนุนนโยบายคุณภาพชีวิตชาวเลโดยเฉพาะการประมงพื้นบ้าน ควรบูรณาการความร่วมมือจากหลายภาคส่วนเพื่อแก้ไขปัญหาจำนวนมากที่เกิดจากการปรับเปลี่ยนวิถีการเข้าถึงแหล่งอาหาร ชาวเลควรมีการรวมกลุ่มเพื่อเรียกร้องการแก้ไขปัญหา และควรมีการสร้างศักยภาพความมั่นคงทางอาหารที่ควบคู่ไปกับการรื้อฟื้นวิถีชีวิตท้องถิ่นซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญว่าด้วยสิทธิชุมชนความมั่นคงทางอาหาร, ชาวเล, อูรักลาโว้ย, มอแกน, ภูเก็ต, ภาคใต้, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย2556https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2099
2098วิทยานิพนธ์กระบวนการปรับตัวของพลังอำนาจกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงลัทธิฤาษีบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่าภาสกร ภูแต้มนิลลัทธิฤาษีบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า เป็นความเชื่อตามลัทธิของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโปและสะกอที่เรียกกลุ่มตนเองว่า “ตะละกู่” ซึ่งมีถิ่นฐานเดิมในเมืองกะยาอิงและขวยกะบอง ประเทศพม่า ซึ่งต่อมาได้อพยพหนีภัยสงครามเข้ามายังลุ่มน้ำแม่จัน จังหวัดตาก ลุ่มน้ำสุริยะ รัฐกะเหรี่ยง ในประเทศพม่า ลัทธินี้มีความเชื่อว่ามีต้นกำเนิดก่อนศาสนาพุทธ มีการผสมผสานความเชื่อทั้งผี พรามหณ์ พุทธตามหลักจักรวาลวิทยา<br />
การศึกษาใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อทำความเข้าใจมิติพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิกะเหรี่ยงฤาษีซึ่งไม่สามารถกำหนดเขตแดนได้อย่างชัดเจน การศึกษากำหนดพื้นที่ศูนย์กลางวัฒนธรรม คือ บ้านเลตองคุ ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นหลังจากที่พื้นที่วัฒนธรรมถูกแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ประเทศอันเป็นผลจากสนธิสัญญาแบ่งพรมแดนระหว่างสยามกับพม่า รัฐไทยใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในการเข้ามาจัดการพื้นที่ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะสิทธิการเป็นพลเมืองรัฐ ส่งผลให้มีการปรับตัวเพื่อเอาตัวรอดด้วยการขัดขืนต่อรอง ยอมรับ ผสมผสาน และประนีประนอม ในด้านวัฒนธรรม มีการปรับตัวยอมรับการศึกษาส่วนกลาง การเผยแผ่ศาสนาคริสต์และพุทธ การรักษาพยาบาล การแต่งกาย และการบริโภคอาหาร, ด้านสังคม ปรับตัวยอมรับอุดมการณ์รัฐชาติ การพัฒนากระแสหลัก และเทคโนโลยีสมัยใหม่ และด้านเศรษฐกิจ ปรับตัวใช้ทรัพยากรข้ามพรมแดนร่วมกับพม่าและยอมรับระบบตลาดกะเหรี่ยง, ลัทธิฤาษี, ตาก, ประเทศไทย, ประเทศพม่า, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ประเทศไทย2549https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2098
2097วิทยานิพนธ์วัฒนธรรมการเร่ร่อนในทะเล, การเปลี่ยนแปลงอาณาเขต และการปรับตัว: การใช้ทรัพยากร และรูปแบบการบริโภคในหมู่เกาะตอนใต้ของประเทศไทยเสาวภา อาศน์ศิลารัตน์วิถีชีวิตของชาวมอแกนซึ่งตั้งถิ่นฐานในบริเวณหมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมการเร่ร่อนในทะเลถูกเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากอันเนื่องมาจากการก่อตั้งอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ตั้งแต่ ค.ศ. 1981 เป็นต้นมา โดยขาดการคำนึงถึงกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์เป็นหลักซึ่งเป็นคนท้องถิ่น แม้ว่าในภายหลังจะมีการประนีประนอมการใช้ทรัพยากรร่วมกันแล้วก็ตาม<br />
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่ศึกษาเอกสารแผนแม่บทในการจัดการพื้นที่อุทยานหมู่เกาะสุรินทร์ร่วมกับการสัมภาษณ์กลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากฎระเบียบของรัฐจำกัดสิทธิพื้นที่อยู่อาศัยของชาวมอแกน จากเดิมที่มีวิถีการตั้งถิ่นฐานที่สัมพันธ์กับสภาพภูมิประเทศ ฤดูกาล และระบบสังคมทำให้ต้องย้ายไปอยู่รวมกันที่อ่าวบอนใหญ่ตามพื้นที่ที่รัฐจัดให้เนื่องด้วยการจัดการพื้นที่เพื่อการท่องเที่ยว ทั้งยังจำกัดสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรทางบกและทางทะเลด้วยการควบคุมลักษณะเครื่องมือจับสัตว์น้ำและพื้นที่ ซึ่งเดิมเป็นแหล่งอาหารสำคัญด้วยเหตุผลของการอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติ<br />
การอนุรักษ์และการท่องเที่ยวของอุทยานก่อให้เกิดการสูญเสียอำนาจในการปกครองตนเองของชาวมอแกน มีการจ้างงานชาวมอแกนในภาครัฐและภาคเอกชนส่งผลให้มีรายได้ในฤดูกาลท่องเที่ยว แต่ในขณะเดียวกันกลับเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตโดยเฉพาะระบบการใช้ทรัพยากรจากการหาด้วยตนเองเป็นการพึ่งพิงระบบตลาด รูปแบบอาหารเปลี่ยนแปลงจากอาหารตามธรรมชาติเป็นอาหารที่เสี่ยงต่อปัญหาทางโภชนาการ ทั้งยังส่งผลต่อความเสื่อมโทรมของพื้นที่และการลดจำนวนลงของทรัพยากรทางทะเลการเร่ร่อนในทะเล,มอแกน,พังงา,ภาคใต้,ประเทศไทย,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ประเทศไทย2550https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2097
2096หนังสือBeyond Rituals and Riots: Ethnic Pluralism and Social Cohesion in SingaporeLai Ah Eng, ed.บทคัดย่อในที่นี้ นำเสนอในแต่ละกลุ่มเนื้อหา ซึ่งมีเป้าหมายและขอบเขตแตกต่างกัน หนังสือแบ่งเป็นสามส่วนด้วยกัน มหภาคพหุลักษณ์ชาติพันธุ์ ในสามบทแรกสะท้อนประวัติศาสตร์ การเมือง และพัฒนาการพหุลักษณ์ชาติพันธุ์, จุลภาคและประเด็นปฏิสัมพันธ์และชาติพันธุ์สัมพันธ์ เน้นบริบทการให้การศึกษาและระบบโรงเรียน และความรู้สึกร่วมของชุมชน-สมาชิกภาพ ในสองบทท้าย เน้นมิติในชีวิตประจำวัน และวัฒนธรรม รวมถึงบทสุดท้ายที่มองความกลมกลืนและความรู้สึกร่วมชุมชนในยุคโลกาภิวัตน์ ชี้ให้เห็นการเคลื่อนย้ายคนในระบบเศรษฐกิจโลก<br />
<strong>กลุ่มแรก ประวัติศาสตร์ การเมือง สถาบันและนโยบาย</strong>ผู้เขียนในแต่ละบทแสดงให้เห็นถึงความยอกย้อนของรัฐบัญญัติของสิงคโปร์ รัฐธรรมนูญรองรับความแตกต่างทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์ แต่ในทางปฏิบัติแล้วกลับก่อให้เกิดปัญหาและความซับซ้อน<br />
Ganesan Narayana ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญกับการเมืองชาติพันธุ์กับการจัดการของรัฐในเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยผ่านตัวแทนชนชั้นนำของชุมชน แต่ระบบดังกล่าวเกิดช่องว่างด้วยเช่นกัน เพราะตัวแทนอาจไม่เชื่อมโยงหรือสะท้อนความต้องการของสมาชิกชุมชนอย่างแท้จริง ส่วน Eugene Tan ประเมินอาการผิดปกติของนโยบายพหุชาติพันธุ์ของรัฐ แม้ในทางหนึ่ง นโยบายรัฐส่งเสริมสำนึกชาติพันธุ์ที่หลากหลาย แต่กลับเกิดความกังขาถึงความภักดีของบางกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเฉพาะชนพื้นถิ่นมาเลย์/มุสลิม ชุมชนในหลายเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ชนส่วนน้อยมาเลย์มุสลิมถูกตั้งคำถามถึงความภักดี และเหมารวมถึงชนวนปัญหาความแตกแยกในสังคม ทำให้ตำแหน่งแห่งที่ของชุมชนมาเลย์มุสลิมซับซ้อนและชายขอบมากยิ่งขึ้น<br />
<strong>กลุ่มสอง การศึกษา </strong>เน้นการมองเรื่องการศึกษาและระบบโรงเรียน เนื้อหาในส่วนนี้ครองพื้นที่เกือบครึ่งของหนังสือ บรรณาธิการระบุถึงพื้นฐานสำคัญของสถาบันการศึกษาในการสร้างพลเมืองเพื่อยอมรับกับพหุลักษณ์เชื้อชาติและวัฒนธรรม แต่กลับสะท้อนถึงความอิหลักอิเหลื่อหลายประการ<br />
Chistine Lee et al. มองปฏิสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการในนักเรียนในช่วงชั้นตอนต้น โดยทั่วไป เป็นเรื่องสามัญที่เด็กจะรวมกลุ่มตามเชื้อชาติและเพศเดียวกัน เพราะพื้นฐานทางภาษาในการสื่อสาร แต่ปฏิสัมพันธ์ข้ามเชื้อชาติเกิดขึ้นได้ในกิจกรรมอย่างไม่เป็นทางการ และกิจกรรมเสริมหลักสูตร นำมาสู่ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันได้ Trivina Kang นักเรียนในช่วงวัยที่ศึกษาเกิดการแบ่งกลุ่มอย่างชัดเจน “โลกชาติพันธุ์” โดยมีภาษาเป็นสิ่งกำกับความเป็นคนในกับคนนอก ทรัพยากรครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญอีกส่วนหนึ่งในการผลักดันให้นักเรียนกระแสปกติจูงใจในการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ และผู้ปกครองมีส่วนในการตัดสินใจในหมู่นักเรียนมาเลย์ แต่กิจกรรมเสริมหลักสูตรเป็นโอกาสในการส่งเสริมให้เกิดการข้ามกลุ่มเชื้อชาติ ข้ามสายการศึกษา<br />
ส่วน Lanna Khong et al. ให้ความสำคัญกับการศึกษาแห่งชาติ (NE) ที่หมายถึงการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองของชาติ แม้โดยพื้นฐานโรงเรียนที่เป็นกรณีศึกษาเน้นความสำเร็จทางวิชาการ แต่ผู้นำในสถานศึกษามีบทบาทสำคัญกับกิจกรรมส่งเสริมความแน่นแฟ้นทางสังคมตามหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติและกิจกรรมเสริมศึกษา เช่น การถ่ายทอดความรู้ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ทั้งอาหาร เครื่องแต่งงาน และประเพณี แต่จำเป็นต้องก้าวไปให้ไกลกว่าสำหรับความรู้และความเข้าใจในชาติพันธุ์สัมพันธ์<br />
Angeline Khoo และ Lim Kang Min ศึกษามุมมองของครูฝึกสอนกับภาพเหมารวมแต่ละชาติพันธุ์ หลายกรณี ครูใหญ่และครูจำนวนไม่น้อยเพิกเฉยกับความแตกต่างทางวัฒนธรรม ฉะนั้น หากครูฝึกสอนเหล่านี้จะเป็นกำลังในการสร้างปฏิสังสรรค์ข้ามกลุ่มเชื้อชาติในอนาคต จำเป็นที่ต้องเผยให้เห็นอคติที่แฝงอยู่ในแต่ละบุคคล<br />
S. Gopinathan et al. มองนโยบายการศึกษาด้านภาษาและการจัดการความหลากหลาย ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการทบทวนนโยบายทวิภาษา เพราะภาษามีความสำคัญมากกว่าทักษะการใช้ภาษา หากแต่เป็นการสร้างสำนึกข้ามวัฒนธรรม ฉะนั้น การเปิดโอกาสทางเลือกในการเรียนภาษามีความสำคัญ พอ ๆ กับการพัฒนาหลักสูตรการเรียนภาษาที่เพิ่มเติมทักษะความรู้ข้ามวัฒนธรรมด้วย<br />
<strong>กลุ่มสามคนทำงานในองค์กร สื่อสารมวลชน และคลื่นคนต่างชาติร่วมสมัย </strong><br />
<u>งานสังคมสงเคราะห์</u>Lai Ah Eng และ Rosaleen Ow กล่าวถึงองค์กรพัฒนาสังคมที่ไม่มีลักษณะผูกกับชาติพันธุ์ เช่น หน่วยงานให้บริการครอบครัว (Family Service Centres) ซึ่งแตกต่างจากองค์กรพัฒนาสังคมประเภทผูกกับกลุ่มชาติพันธุ์ (self-help organization) จากการสำรวจ ผู้เขียนบทความพบว่าคนทำงานในหน่วยสังคมสงเคราะห์มีลักษณะเปิดกว้าง และพยายามอดทนอดกลั้น (tolerance) กับความแตกต่าง มากกว่าความเข้าใจในวัฒนธรรม แต่ในชีวิตประจำวันของการทำงาน คนทำงานเรียนรู้จากเพื่อนร่วมงาน และลักษณะงานกรุยทางให้คนทำงานต้องพัฒนาความรู้และความสามารถ บทความชี้ให้เห็นว่าองค์กรการพัฒนาประเภทผูกกับกลุ่มชาติพันธุ์ต้องเปิดกว้างมากขึ้น เพื่อให้มีเจ้าหน้าที่จากหลากหลายภูมิหลัง<br />
<u>งานวิเคราะห์ตัวบทประเภทสื่อมวลชน</u>Kenneth Paul Tan ชี้ให้เห็นภาพเหมารวมชาติพันธุ์ (ethnic stereotypes) ในภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ เช่น ตัวละคนเชื้อสายจีนที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตก มองข้ามภาษาจีนกลางและวัฒนธรรมจีน ให้ความสำคัญกับการเข้าสังคม ส่วนตัวละครเชื้อสายจีนที่ได้รับการศึกษาแบบจีน มักใช้ “สิงลิช” หรือภาษาอังกฤษถิ่นที่ผสมผสานจีนถิ่น มาเลย์ ให้ความสำคัญกับความเป็นจีนและแบ่งแยกตามกลุ่มภาษาท้องถิ่น เน้นการหาเงิน หยาบคาย และเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภาพเหมารวมชาติพันธุ์เป็นอาณาบริเวณที่ซับซ้อน ภาพเหมารวมเชิงลบเป็นสิ่งที่ยากจะลบล้างจากสังคม ทางออกอาจจะต้องคิดถึงการสร้างภาพเหมารวมเชิงบวก เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมในทางที่ดีขึ้น<br />
<u>ชุมชนกับความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมสิงคโปร์</u>Brenda Yeoh และ Shirlena Huangวางโจทย์งานศึกษาเกี่ยวกับคนต่างชาติที่รอบรู้และมีทักษะ (Foreign talents) กับความผูกพันทางสังคม ตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นชุมชนของคนต่างชาติในตลาดแรงงาน โดยสำรวจระดับการปรับตัวของคนงานต่างชาติกับคนท้องถิ่น การสำรวจนี้เกิดขึ้นจากข้อถกเถียงถึงสถานการณ์การหลั่งไหลของคนทำงานต่างชาติที่รอบรู้และทักษะสูง ในประเด็นการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม และค่านิยม “แปลกแยะ” ในข่ายใยทางสังคม ในความเป็นจริง ยิ่งคนต่างชาติหลากหลายมากเท่าไร ยิ่งส่งให้ภาพของพหุลักษณ์ชาติพันธุ์ซับซ้อนมากกว่าตัวแบบชาติพันธุ์ “C-M-I-O” ที่สร้างขึ้นโดยรัฐบาล และนำมาสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวแบบนั้น ชาติพันธุ์,ชาติพันธ์สัมพันธ์,พลเมืองสิงคโปร์,ความหลากหลายทางชาติพันธุ์,ความหลากหลายทางเชื้อชาติตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ประเทศไทย2547https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2096
2095รายงานการวิจัยWaves of Change: Traditional religion among the Urak Lawoi, sea nomads of Ko Lanta, ThailandErik Nilssonผู้ศึกษาต้องการทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงทางศาสนาในชุมชนอูรักลาโว้ยจากอิทธิพลของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและธรณีพิบัติภัย ค.ศ. 2004 โดยมีกรอบคำถาม<br />
<ul>
<li>
บทบาทและหน้าที่ของศาสนาดั้งเดิมสำหรับอูรักลาโว้ยในวันนี้</li>
<li>
การเข้ามาของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวส่งผลกระทบต่อศาสนาดั้งเดิมและวัฒนธรรมอย่างไร</li>
<li>
ชาวอูรักลาโว้ยพิจารณาเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัย ค.ศ. 2004 อย่างไร และส่งผลกับความเชื่อหรือไม่</li>
<li>
ในระยะยี่สิบปีนี้ศาสนาดั้งเดิมพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด</li>
</ul>
ในอีก 20 ปีข้างหน้า วิถีชีวิตของการหาปลาคงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของคนอูรักลาโว้ย คนหนุ่มสาวในบ้านศาลาด่านเข้ากับสังคมสมัยใหม่และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว วัฒนธรรมโต๊ะหมอที่เลือนรางลง แผ่วถางให้ชาวอูรักลาโว้ยกลายเป็นพุทธศาสนิกชนและคริสตชน มองเห็นถึงความเป็นไทยมากขึ้น ในทางหนึ่ง คนอูรักลาโว้ยได้รับการยอมรับในสังคมไทยมากขึ้น แต่แลกกับการสูญเสียความเป็นปึกแผ่นและวิถีชีวิตดั้งเดิมอูรักลาโว้ย, ชาวเลตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ประเทศไทย2553https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2095
2092รายงานการวิจัยรายงานฉบับสมบูรณ์สิทธิของชุมชนกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) กับการดำเนินเขตวัฒนธรรมพิเศษไร่หมุนเวียนในพื้นที่ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทกรณีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่ป่าภาคเหนือไพสิฐ พาณิชย์กุลชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่ภาคเหนือได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐในการประกาศพื้นที่เขตอุทยาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำไร่หมุนเวียนอันเป็นวิถีชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยงจึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการลดรอบไร่หมุนเวียน หรือการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการรวมกลุ่มกันของแต่ละพื้นที่เพื่อต่อสู้และเรียกร้องต่อภาครัฐมากขึ้นชุมชนกะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, ไร่หมุนเวียน, ข้อพิพาทที่ดิน, พื้นที่ป่าภาคเหนือตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ประเทศไทย2560https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2092
2091วิทยานิพนธ์พัฒนาการของการตั้งถิ่นฐานชุมชนอูรักลาโว้ยในพื้นที่ภูเก็ตจากมุมมองนิเวศวัฒนธรรมเมธิรา ไกรนทีชุมชนอูรักลาโว้ยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเป็นชุมชนเก่าแก่กว่าร้อยปี และถือได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีชาวอูรักลาโว้ยอาศัยอยู่มากที่สุด ผู้ศึกษาพบว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของพื้นที่จังหวัดภูเก็ตส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยของชาวอูรักลาโว้ย อย่างการขาดเอกสารสิทธิในพื้นที่ที่ตนตั้งถิ่นฐานมาเป็นเวลานาน ซึ่งแนวทางในการส่งเสริมความมั่นคงในการอยู่อาศัยควรได้รับความร่วมมือจากองค์กรรัฐ และองค์กรพัฒนาเอกชน โดยการจัดตั้งเป็นพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษเพื่อให้ชาวอูรักลาโว้ยสามารถดำรงวิถีชีวิต และวัฒนธรรมของกลุ่มตนเองได้การตั้งถิ่นฐาน, อูรักลาโว้ย, ภูเก็ต, นิเวศวัฒนธรรมตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย2552ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2091
2090หนังสือทักษะวัฒนธรรมชาวเล ร้อยเรื่องราวชาวเลมอแกน มอแกลน และอูรักลาโว้ย ผู้กล้าแห่งอันดามันนฤมล อรุโณทัย, พลาเดช ณ ป้อมเพชร, อุษา โคตรศรีเพชร, กิ่งแก้ว บัวเพชร, จีระวรรณ์ บรรเทาทุกข์หนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมองค์ความรู้เพื่อสร้างความเข้าใจ และความตระหนักในวัฒนะรรมของกลุ่มชาวเลในประเทศไทย 3 กลุ่มได้แก่ กลุ่มมอแกน กลุ่มมอแกลน และกลุ่มอูรักลาโว้ย โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่ การเกริ่นนำภาพรวมของชาวเล และข้อมูลเกี่ยวกับชาวเลทั้ง 3 กลุ่ม โดยครอบคลุมวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ที่เข้าใจง่าย ตลอดจนสถานการณ์ปัจจุบันของกลุ่มชาวเลชาวเล, มอแกน, มอแกลน, อูรักลาโว้ยตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย2557https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2090
2087หนังสือวิกฤติชาวเลปรีดา คงแป้นและคณะในปัจจุบันชาวเลที่ประกอบด้วยกลุ่มมอแกน มอแกลน และอูรักลาโว้ยกำลังประสบปัญหาหนี้สิน ปัญหาไร้สัญชาติ การขาดความภูมิใจในวัฒนธรรมของตน รวมทั้งการถูกลิดรอนสิทธิ์ในการเข้าพื้นที่สุสานเพื่อประกอบพิธีกรรม ซึ่งสาเหตุของวิกฤตดังกล่าวมาจากการครอบครองสิทธิ์ที่ดินของกลุ่มเอกชนเพื่อทำธุรกิจบนพื้นที่ริมชายหาด แต่การแก้ไขปัญหาดังกล่าวยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควรชาวเล, วิกฤติ, มอแกน, มอแกลน, อูรักลาโว้ยตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดพังงา ประเทศไทย2555https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2087
2086หนังสือภูมิปัญญาในการรักษาพันธุ์พืชอาหารและการจัดการทรัพยากรป่า 9 ชาติพันธุ์สุพจน์ หลี่จาการศึกษาในครั้งนี้เป็นการรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับการรักษาพันธุ์พืชอาหารของ 9 กลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่ อาข่า ลีซู ปกาเกอะญอ ม้ง เมี่ยน ดาราอาง ลัวะ ลาหู่ ไทลื้อ ผ่านการค้นคว้า และการเก็บข้อมูลจากคนในพื้นที่ พบว่าแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มีวิธีในการเก็บรักษาอาหารอยู่ 3 ลักษณะ ได้แก่ การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์และการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ การปลูกซ้ำทุกปีในช่วงฤดูฝน และการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อเพื่อบูชาเทวดาที่ดูแลรักษาพันธุ์พืช ซึ่งทั้งสามลักษณะเป็นภูมิปัญญาที่ทำให้มีอาหารไว้บริโภคตลอดทั้งปี อาข่า, ลีซู, ปกาเกอะญอ, ม้ง, เมี่ยน, ดาราอาง, ลัวะ, ลาหู่, ไทลื้อ, อาหาร, ป่า, ทรัพยากรธรรมชาติตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดพังงา ประเทศไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2086
2085วิทยานิพนธ์ทุนกับปฏิบัติการเพื่อสนับสนุนการดำรงชีพในพื้นที่ชายแดนของผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านจากประเทศเมียนมาร์ในอำเภอแม่สอด จังหวัดตากศิราพร แป๊ะเส็งงานศึกษาชิ้นนี้ต้องการค้นหาเงื่อนไขของการทำงานของผู้เคลื่อนย้ายจากประเทศพม่า ภายใต้ความเป็นพหุสังคมและความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงที่ทำงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านในพื้นที่เมืองชายแดน ซึ่งเป็นการทำงานอิสระ แต่เนื่องจากเป็นการทำงานของคนต่างด้าวจึงผิดกฎหมายแรงงาน อีกทั้งยังมีกระแสวิพากษ์ วิจารณ์จากสังคมว่าเป็นการแย่งงานจากคนไทยท้องถิ่น อย่างไรก็ตามข้อค้นพบจากการศึกษามีสามประการ คือ ประการแรก พื้นที่ชายแดนแม่สอดเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม อยู่ภายใต้การควบคุมจัดการของอำนาจรัฐและอำนาจท้องถิ่น มีการต่อรองเชิงอำนาจผ่านกลไกของพื้นที่และลักษณะพิเศษของเมืองชายแดน ประการที่สอง ผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านมีปฏิบัติการทางสังคม โดยใช้ช่องว่างกฎหมายและกติกาทางสังคมเพื่อทำงานผิดกฎหมายแรงงาน อีกทั้งใช้ทุนความรู้และทุนที่เป็นตัวเงินสนับสนุนการทำงาน เพื่อต่อรองกับโครงสร้างสังคม ผลักดันตัวเองสู่การทำงานอิสระ ประการที่สาม ผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านได้แสวงหาทุนที่เป็นเครือข่ายทางสังคม ในฐานะลักษณะของบุคคลและทุนทางวัฒนธรรม โดยใช้ทุนความรู้และทุนที่ติดตัวมาเป็นเครื่องมือเพื่อสนับสนุนการทำงานและพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองงานอิสระ, ผู้หญิงพม่า, ทำงานที่บ้าน, ตัดเย็บเสื้อผ้า, แม่สอด, เมียนมาร์ตำบลแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย2560ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2085
2082วิทยานิพนธ์ความเป็นชายขอบของกลุ่มชาติพันธุ์ถิ่น – ยวนในจังหวัดเลยนรินทร คูณเมืองการสร้างความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ของอาณาจักรสยาม ทำให้ประชาชนถูกเปลี่ยนจากความรู้สึกผูกพันกับเจ้า กลายเป็นความผูกพันกับพื้นที่ การสร้างแผนที่ทางภูมิศาสตร์ขึ้นใหม่ และการพัฒนาปรับเปลี่ยนสู่ความทันสมัย ทำให้เกิดพื้นที่พัฒนา และพื้นที่ด้อยพัฒนา เกิดกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงการพัฒนาส่วนกลาง ทำให้กลายเป็นบุคคลชายขอบ จากบริบทดังกล่าว ทำให้ชาวถิ่น – ยวนมีความรู้สึกว่าตนมีความแตกต่างและด้อยกว่า รู้สึกว่าตนไม่ใช่คนไทย และไร้ถิ่น<br />
อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกลดทอนการเป็นพลเมือง และกลายเป็นบุคคลชายขอบ การตอบโต้ โดยการใช้พลังทางสังคมในระดับชุมชนและระดับเครือข่ายต่อรองในเรื่องการถูกกีดกันการได้รับสัญชาติ การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การบริการของรัฐ การผลิตซ้ำและสร้างใหม่ของอัตลักษณ์ความเป็นชาวถิ่น – ยวน ตลอดจนการใช้กลไกจากนโยบายรัฐในการผลิตซ้ำวาทกรรม เพื่อใช้เป็นเวทีในการต่อสู้ความเป็นชายขอบ, กลุ่มชาติพันธุ์ถิ่น – ยวน, เลย, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ประเทศไทย2550ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2082
2078วิทยานิพนธ์กระบวนการเรียนรู้และถ่ายทอดภูมิปัญญาการรักษาสุขภาพของชาวไทเขิน: กรณีศึกษาบ้านป่าไผ่ หมู่ที่ 4 ตำบลช่อแล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ศิรานุช อ่อนอ้นการศึกษาภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านของชาวไทเขินมุ่งเน้นประเด็นเรื่อง “การถ่ายทอด” และ “กระบวนการเรียนรู้” โดยมีพื้นที่บ้านป่าไผ่ หมู่ที่ 4 ตำบลช่อแล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่เป็นกรณีศึกษาด้วยระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ<br />
ภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านของชาวไทเขินมีลักษณะเป็นการรักษาโดยหมอพื้นบ้านด้วยวิธีการประกอบพิธีกรรม การนวด และการใช้ยาสมุนไพร มีการถ่ายทอดความรู้ตามแบบเดิมจากบรรพบุรุษตามสายตระกูล รวมทั้งนอกสายตระกูลจากผู้อาวุโสในชุมชนและชุมชนใกล้เคียง และพระสงฆ์ นอกจากนี้ ยังพบการถ่ายทอดในรูปแบบใหม่ คือ การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างหมอพื้นบ้านในชุมชน และการเรียนรู้ผ่านการจัดกระบวนการจากหน่วยงานภายนอกชุมชน เช่น การศึกษาดูงาน การฝึกอบรม การจัดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนระหว่างหมอพื้นบ้านและนักวิชาการ<br />
<br />
กระบวนการเรียนรู้เป็นแบบปัจเจกบุคคล การเรียนรู้ผ่านการเข้าร่วมพิธีกรรม และการเรียนรู้เป็นกลุ่มในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปด้วยวิธีผู้ใหญ่สั่งสอนผู้น้อยที่ยังคงมีความสัมพันธ์กับความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อทางพระพุทธศาสนา โดยมีพิธีและขั้นตอนในรับใช้หมอพื้นบ้านเพื่อทดสอบความอดทน ความตั้งใจ ก่อนการได้รับความรู้ควบคู่การฝึกคุณธรรม ผ่านมุขปาฐะและอมุขปาฐะจากการเรียนรู้ผ่านตำรายาจากปั๊บสาใบลานไทเขิน, ภูมิปัญญาการแพทย์, เชียงใหม่, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลช่อแล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2078
2077วิทยานิพนธ์การเมืองเรื่องการประกอบสร้างอัตลักษณ์ของคนยองในลำพูนธนวัฒน์ ปาลีศึกษากระบวนการประกอบสร้างและการให้ความหมายอัตลักษณ์ของคนยอง ในจังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ ผ่านกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างพ.ศ. 2556-2557 โดยใช้แนวคิดในการศึกษา คือ แนวคิดเรื่องอัตลักษณ์ การโหยหาอดีต และประเพณีประดิษฐ์ แนวทางในการศึกษาวิเคราะห์ จากศึกษาของงานชิ้นนี้ พบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีบุคคลชาวยองหลายกลุ่มพยายามอธิบายเกี่ยวกับความเป็นคนยอง รวมทั้งการสร้างนิยามความหมายเกี่ยวกับอัตลักษณ์ยอง แต่ทั้งนี้ การพยายามนิยามหรือสร้างอัตลักษณ์ยองเหล่านี้ไม่ได้มีเจตนาในการต่อต้านหรือต่อสู่ ต่อรองกับนโยบายรัฐแต่อย่างใด แต่เป็นการสร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาภายใต้บริบทของกระแสท้องถิ่นและกระแสการท่องเที่ยวที่ชาวยองได้หวนกลับมารื้อฟื้นวัฒนธรรมของตนใหม่ เพื่อตอบสนองการส่งเสริมของท้องถิ่นและสนองตอบต่อความเป็นยองในตนเอง โดยพบว่าการสร้างความเป็นยองเหล่านี้ ได้มีการหยิบยืม ผสมผสานวัฒนธรรม ความเชื่อ มีการตีความและประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ เพื่ออธิบายความเป็นยองให้มีพลังมากขึ้น เช่น ผ่านพื้นที่งานสัมมนาวิชาการ การตีพิมพ์งานศึกษาของชาวยอง การจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมอย่างหลากหลาย สิ่งเหล่านี้ได้ คือ การนำเสนอตัวตนและเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมความเป็นยอง จนสามารถเป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการเมืองและผลประโยชน์ของกลุ่ม (หน้า ฉ)ยอง,อัตลักษณ์คนยอง,การประกอบสร้าง,การเมืองเรื่องการประกอบสร้าง,ลำพูนตำบลเวียงยอง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2559ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2077
2076วิทยานิพนธ์เรื่องเล่าปมด้อยกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ไทย-คริสต์: กรณีศึกษาประสบการณ์ทางสังคมYoichi Nishimotoวิทยานิพนธ์นี้ได้ศึกษาถึงวิถีทางที่ประสบการณ์ทางสังคมและสำนึกประวัติศาสตร์ของชาวลาหู่คริสเตียนได้ก่อกำเนิดและซึมซาบเข้าสู่ประวัติศาสตร์ของการมีสัมพันธภาพกับชาวพื้นราบที่มีอำนาจเหนือกว่า และประสบการณ์อันยาวนานของการเปลี่ยนไปเป็นชาวคริสเตียน นอกจากนั้นยังได้ศึกษาวาทกรรมของชาวลาหู่คริสเตียนเกิดขึ้นได้อย่างไร จากปฏิสัมพันธ์ของการมีประสบการณ์ทางสังคม การบอกเล่าเรื่องราวของการเป็นคริสเตียนร่วมกัน โดยมองชาวบ้านในฐานะมนุษย์ที่เป็นผู้กระทำ วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้จึงมิใช่เพียงแค่ศึกษาถึงปรีชาญาณหรือความรู้เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญต่อความรู้สึกนึกคิดและความคาดหวังต่ออนาคตของชาวบ้านด้วย ในการทำความเข้าใจเรื่องราวของชาวลาหู่คริสเตียนนี้ ได้วิเคราะห์ผ่านถ้อยคำที่ชาวบ้านได้ถ่ายทอดและบอกเล่าจากประสบการณ์จริงของตนเอง (น. iv)<br />
ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของการเผชิญหน้ากับอำนาจครอบงำของชาวพื้นราบซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ เรื่องเล่าที่มีลักษณะรูปแบบต่าง ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้น ซึ่งในที่นี้หมายความถึง “เรื่องเล่าว่าด้วยความรู้สึกต่ำต้อยของชาวบ้าน” ในการวิเคราะห์เรื่องเล่าของชาวบ้านนี้ ได้ทำให้ทราบว่าเบื้องหลังการนิยามตนเองว่าเป็นผู้ต่ำต้อยนั้น ได้มีความรับรู้ในแง่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิต่อตนเองของชาวบ้านแฝงอยู่ด้วย ความขัดแย้งกันเองของการนิยามตัวตนเช่นนี้ ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกลักลั่นคลุมเครือขึ้นในประสบการณ์ทางสังคมของชาวลาหู่คริสเตียน (น. iv)<br />
เรื่องเล่าของชาวบ้านเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ “ภูมิปัญญา” มีใจความโดยย่อว่า การตกอยู่ภายใต้การชี้นำอันยาวนานให้เป็นอารยชนตามแบบอย่างของชาวคริสเตียนที่ดี ซึ่งแนวทางดังกล่าวให้ความสำคัญต่อการศึกษาในระบบโรงเรียน และความรู้ที่ถ่ายทอดผ่านภาษาเขียน ว่าอยู่เหนือกว่าระบบภูมิปัญญาเดิมของชาวลาหู่ ซึ่งถ่ายทอดผ่านภาษาพูด ได้ทำให้ชาวบ้านเห็นไปว่า “ความรู้” (ได้รับมาจากการศึกษาในระบบและปรากฏอยู่ในหนังสือ) กับ “ภูมิปัญญา” (ได้มาจากการผ่านประสบการณ์ในชีวิตจริงอย่างยาวนาน) เป็นเรื่องเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่า “ภูมิปัญญา” รูปแบบอื่นที่ไม่ได้เป็นภาษาเขียนจะถูกละเลยไปจากวาทกรรมหลักของชาวลาหู่คริสเตียนมานาน (น. iv) แต่ชาวบ้านยังคงมีการกระทำเชิงตอบโต้อยู่ห่าง ๆ จากเวทีวาทกรรมหลัก โดยให้ความสำคัญต่อคุณค่าอื่น ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นชาวลาหู่ดั้งเดิมได้มากกว่า “ภูมิปัญญา” ที่อยู่ในภาษาเขียน (น. v)<br />
ส่วนเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ “รัฐล่าหู่” ซึ่งเนื้อหาได้บอกความรู้สึกเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของตนเองอย่างมาก การวิเคราะห์เรื่องเล่าเกี่ยวกับ “รัฐล่าหู่” นี้ มีข้อโต้แย้งว่า ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของการเป็นคริสเตียนของชาวลาหู่ ได้เกิดการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ ซึ่งปรากฏอยู่ทั้งในตำนานในทัศนะเรื่องเวลาและประวัติศาสตร์ ตลอดจนความเชื่อในขบวนการเรื่องพระศรีอาริย์ ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีสาเหตุจากการรับเอาวิธีการรับปฏิทินวันเดือนปีของชาวตะวันตก การยอมรับระบบการศึกษาในโรงเรียน ภาษาเขียน และพิธีกรรมประจำปีใหม่ ๆ ที่ศาสนจักรนำเข้ามาเป็นของตน การปรับแต่งตำนานเกี่ยวกับผู้นำทางความเชื่อของชาวลาหู่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการปรับเปลี่ยนนี้ ดังนั้น ถึงแม้ชาวลาหู่คริสเตียนจะตระหนักดีถึงความจริงที่เจ็บปวดนี้ หรืออันที่จริงแล้วเป็นเพราะความเป็นจริงอันนี้นี่เอง ที่ทำให้ชาวลาหู่คริสเตียนได้วาดหวังถึงอนาคตที่สวยงาม โดยมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์โดนการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการรื้อฟื้น “รัฐล่าหู่” ขึ้นใหม่ ซึ่งการวาดหวังนี้มีการผลิตซ้ำและตอกย้ำมาอย่างต่อเนื่อง ชาวลาหู่คริสเตียนที่รู้สึกผูกพันกับความรักของพระผู้เป็นเจ้าและภารดรภาพน้อยกว่าประวัติศาสตร์และชะตากรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ตนเอง จึงได้ปรุงแต่งเนื้อหาของศาสนาหลักให้สอดคล้องกับสภาวะความเป็นชนพื้นเมือง (น. v)การศึกษาประสบการณ์ทางสังคม, เรื่องเล่าของความรู้สึกต่ำต้อย, ลาหู่, ลาหู่ดำ, ชุมชนลาหู่คริสเตียน, ชาวมูเซอ, เชียงใหม่, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลแม่สาว อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2076
2075Ph.D. DissertationIdentity Formation and Acculturation: The Case of Karen Refugees in London, OntarioSecil Erdoganผู้ลี้ภัยที่ตั้งถิ่นฐานในสังคมใหม่อาจมีความเสี่ยงในการเผชิญปัญญาเกี่ยวกับอัตลักษณ์มากกว่ากลุ่มที่ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย อาทิ ภาวะวิตกกังวล (identity distress) วิกฤติกับการแก้ปัญหา อย่างไรก็ดี สัมพันธภาพของการก่อรูปและแก้ปัญหาอัตลักษณ์ของผู้ลี้ภัยกับทางเลือกในการผสมผสานทางวัฒนธรรมยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างละเอียดในการศึกษาทฤษฎีอัตลักษณ์กระแสหลักและการศึกษาเชิงประจักษ์ งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการสำรวจ กระบวนการก่อรูป(ใหม่)และการแก้ปัญหาอัตลักษณ์ของผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ในเขตลอนดอน ประเทศแคนาดา จำนวน 50 คน เปรียบเทียบกับชาวแคนาดาที่ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย จำนวน 50 คน นอกจากนี้ ยังศึกษาทัศนคติและกลยุทธ์การผสมผสานทางวัฒนธรรมของผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยง รวมทั้งศึกษาสัมพันธภาพระหว่างอัตลักษณ์และกระบวนการผสมผสานทางวัฒนธรรม<br />
ข้อค้นพบเกี่ยวกับการศึกษาปัจจัยด้านอัตลักษณ์เผยให้เห็นว่า กระบวนการตั้งถิ่นฐานใหม่ส่งผลให้กลุ่มผู้ลี้ภัยในการศึกษาครั้งนี้ พบปัญหาความกำกวม (temporal sameness) และความสืบเนื่องเกี่ยวกับอัตลักษณ์ ส่งผลให้เกิดความสับสนและวิกฤติอัตลักษณ์ มีการปรับตัว/แก้ปัญหาด้านอัตลักษณ์ที่ช้า และยังกระตุ้นความวิตกกังวลในประเด็นเชิงสังคมและส่วนบุคคล (การทำงาน อาชีพ ค่านิยม ความภักดีต่อกลุ่ม) อีกด้วย ด้านการวิเคราะห์องค์ประกอบ เชิงข้อมูลของกระบวนการผสมผสานทางวัฒนธรรม บ่งชี้ว่า ผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงมีทิศทางการปรับตัวอย่างหลากหลาย ขึ้นอยู่กับปัจจัย 3ประการ “จารีตและค่านิยม” “ความสัมพันธ์ทางสังคม” “กิจกรรมยามว่าง” สำหรับการวิเคราะห์จัดกลุ่ม สามารถจัดประเภททัศนคติและกลยุทธ์การผสมผสานทางวัฒนธรรมออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ การกีดกันเชื้อชาติ-วัฒนธรรม (segregation) การบูรณาการ (integration) และการกลืนกลายทางวัฒนธรรม (assimilation) สำหรับชาวกะเหรี่ยงที่ใช้กลยุทธ์การกลืนกลายทางวัฒนธรรมได้รับเอาค่านิยมและจารีตอย่างชาวแคนาดา และมีสัมพันธภาพทางสังคมและกิจกรรมยามว่างร่วมกับชาวแคนาดา ขณะชาวกะเหรี่ยงที่เลือกกุลยุทธ์การบูรณาการยังคงอนุรักษณ์ค่านิยมและจารีตของตน ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสต่อการเปลี่ยนและสมัครใจที่จะร่วมกิจกรรมยามว่างและสร้างสัมพันธภาพทางสังคมกับชาวแคนาดาในสังคม<br />
ในการวิเคราะห์การถดถอยเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของกลยุทธ์การผสมผสานทางวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงที่มีต่อ อัตลักษณ์ สุขภาพจิต และองค์ประกอบเชิงประชากร แสดงให้เห็นว่า ผลชี้วัดด้านอัตลักษณ์และสุขภาพจิตมีความเชื่อมโยงกับกลกระบวนยุทธ์เชิงลบของการผสมผสานทางวัฒนธรรมอย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือ การกีดกันเชื้อชาติ-วัฒนธรรม<br />
การศึกษานี้ค้นพบว่าการแก้ปัญหาอัตลักษณ์กับสุขภาพจิตเป็นตัวแปรพยากรณ์ (predictor) ที่มีนัยสำคัญของกระบวนการผสมผสานทางวัฒนธรรมซึ่งสอดคล้องกับกรอบคิดและสมมติฐานที่ใช้ในการวิจัย งานวิจัยนี้ยังเน้นว่า<em>การงาน</em>เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของผู้ลี้ภัย ทั้งนี้ การช่วยเหลือให้ผู้ลี้ภัยที่ตั้งถิ่นฐานใหม่เข้าถึงการศึกษาและตลาดงานเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้เกิดกลยุทธ์การผสมผสานทางวัฒนธรรมในทางที่ดี นั่นคือ การบูรณาการ และการกลืนกลายทางวัฒนธรรม (assimilation)การก่อรูปของอัตลักษณ์, การผสมผสานทางวัฒนธรรม, ผู้ลี้ภัย, ชุมชนชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง, ไทย-พม่า, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เขตลอนดอน, มณฑลออนแทริโอ, ประเทศแคนาดา, อเมริกาเหนือตำบลแม่สาว อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2555ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2075
2074วิทยานิพนธ์ภาษาเงาะป่า: ศึกษาลักษณะวัฒนธรรมและภาษาเฉลิม มากนวลการศึกษาวิจัยนี้ มุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับเงาะป่า 3 ด้าน คือ ด้านภาษาวิเคราะห์โดยใช้ทฤษฎีทางภาษาศาสตร์ ด้านวัฒนธรรมวิเคราะห์โดยใช้ทฤษฎีทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา สองประเด็นนี้ใช้แหล่งข้อมูลจากเงาะป่า ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง สตูล และยะลา เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ ส่วนด้านวรรณคดี วิเคราะห์โดยใช้แนวคิดวรรณคดีวิจารณ์ ใช้แหล่งข้อมูลจากวรรณคดีเรื่องเงาะป่า บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5<br />
ผลการศึกษาพบว่า ด้านภาษา เงาะป่ามีแต่ภาษาพูดเท่านั้น หน่วยเสียงมี 2 ชนิด ประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะ 22 หน่วยเสียง และหน่วยเสียงสระ 20 เสียง คำในภาษาเงาะป่าส่วนมากเป็นคำประสม มีคำยืมจากภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษามลายู ภาษาไทย ภาษาจีน และภาษาอังกฤษ และมีการปนภาษามาเป็นระยะเวลานาน (น.99)<br />
ด้านวัฒนธรรม เงาะป่าดำรงชีวิตโดยการล่าสัตว์และเก็บอาหาร รู้จักการประดิษฐ์อาวุธ การใช้สมุนไพรสำหรับรักษาโรคและการคุมกำเนิด มีชีวิตเรียบง่าย สันโดษ ไม่รู้จักคุณค่าของเงิน มีการผสมผสานวัฒนธรรมกับชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม (น.98)<br />
ด้านวรรณคดี ภาษาเงาะป่าในบทพระราชนิพนธ์ส่วนใหญ่ตรงกับภาษาเงาะป่าปัจจุบัน อาจมีเปลี่ยนแปลงบ้างตามกาลสมัย (น.100)ภาษา, วัฒนธรรม, ภาษาศาสตร์, สังคมวิทยา, มานุษยวิทยา, วรรณคดีวิจารณ์, เงาะป่า, ซาไก, พัทลุง, สตูล, ยะลา, ภาคใต้, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลแม่สาว อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง ประเทศไทย2547https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2074
2073วิทยานิพนธ์การศึกษา, การประกอบสร้างอัตลักษณ์และการบูรณาการแห่งชาติในชุมชนชาติพันธุ์: กรณีศึกษาจีนยูนนานบ้านถ้ำสันติสุข อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายSachiko Nakayamaการศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลผสมผสาน ได้แก่ การสัมภาษณ์แบบทางการ การสัมภาษณ์แบบไม่ทางการ การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม รวมทั้งการศึกษาข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการใช้แบบสอบถาม โดยทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชื่อมโยงกันและใช้วิธีการอธิบายเชิงพรรณนา (น. vi)<br />
ผลการศึกษาพบว่า นโยบายของรัฐบาลไทยที่มีต่อกลุ่มจีนยูนนานก๊กมินตั๋ง พัฒนาควบคู่มากับกิจกรรมทางทหารก๊กมินตั๋งในประเทศไทย ในฐานะที่เป็นสมาชิกของหน่วยป้องกันพิเศษ ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยความมั่นคงของชาติ และร่วมต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้กองทัพก๊กมินตั๋งและชาวจีนยูนนานมีสิทธิพิเศษในการปกครองตนเอง และธำรงวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของกลุ่มชนได้เป็นเวลาหลายทศวรรษ จนกระทั่งถึงตอนต้นของ ค.ศ. 1980เมื่อกองทัพก๊กมินตั๋งได้หมดบทบาทและความสำคัญในการร่วมรักษาอธิปไตยของชาติไทยลง รัฐบาลไทยจึงได้เริ่มใช้นโยบายรวมชาติต่อกลุ่มจีนยูนนานก๊กมินตั๋ง (น. vi-vii)<br />
ซึ่งผลจากการส่งเสริมนโยบายรวมชาติตั้งแต่กลางปีคริสตทศวรรษ 1980โดยเฉพาะจากการศึกษาภาคบังคับของโรงเรียนไทย ได้ส่งผลให้ชุมชนก๊กมินตั๋งได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ภายนอกของตนเอง โดยมีความใกล้ชิดกับวัฒนธรรมไทยและสามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงถือว่าตนเองคือ ชาวจีนยูนนาน ซึ่งระดับความเข้าใจเกี่ยวกับตนเองของกลุ่มจีนยูนนาน จะมีความแตกต่างกันไปตามความรู้สึกของคนแต่ละรุ่น (น. vii)<br />
ภายใต้สถานการณ์ที่อยู่ท่ามกลางการกลืนกลาย ซึ่งทำให้ชุมชนจีนก๊กมินตั๋ง สามารถธำรงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนไว้ได้ก็คือ การดำรงอยู่ของวัฒนธรรมที่เข้มแข็งภายในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนจีนที่ให้ความสำคัญและให้คุณค่าต่อการรักษาและส่งผลต่อวัฒนธรรม รวมทั้งการส่งเสริมให้เข้าศึกษาในโรงเรียนจีนดังกล่าว นอกจากความสำคัญของการได้เปรียบในเรื่องเศรษฐกิจแล้ว โรงเรียนจีนยังมีบทบาทอย่างยิ่งในฐานะเป็นสถาบันที่ส่งต่อและเสริมสร้างความมีศักดิ์ศรีในวัฒนธรรมของตนเอง ซึ่งเป็นแนวทางและยุทธวิธีสำคัญในการดำรงอยู่ในสังคมไทยในฐานะชนกลุ่มน้อยของประเทศ (น.vii)<br />
จากการให้คุณค่ายึดมั่นและศรัทธาในโรงเรียนจีน ไม่ว่าด้วยเหตุผลทางด้านวัฒนธรรมหรือเหตุผลทางเศรษฐกิจ กลุ่มชาวจีนยูนนานก๊กมินตั๋ง ยังจะคงสภาพความเป็นกลุ่มทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกันก็ปรับเปลี่ยนเรียนรู้กระแสความเป็นไทยในไปในเวลาเดียวกันการประกอบสร้างอัตลักษณ์, การศึกษา, การบูรณาการแห่งชาติ, ชุมชนชาติพันธุ์, ชุมชนก๊กมินตั๋ง, บ้านถ้ำสันติสุข, จีนยูนนาน, จีนฮ่อ, เชียงราย, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลแม่สาว อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง ประเทศไทย2546ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2073
2072วิทยานิพนธ์การประกอบสร้างอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของกลุ่มคนยองในจังหวัดลำพูนอภินันท์ ธรรมเสนางานวิจัยเล่มนี้ ผู้ศึกษาต้องการทราบถึงอัตลักษณ์ความเป็นยองในจังหวัดลำพูน ภายในสังคมชุมชนท้องถิ่น และความเป็นยองจากมุมมองของกลุ่มเยาวชนในท้องที่ ผู้ศึกษาได้ลงพื้นที่เพื่อทำการศึกษาเชิงทดลอง ตามแนวมานุษยวิทยาทัศนา โดยศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง และเข้าไปสังเกตการณ์ ตามกระบวนการที่วางไว้ โดยเริ่มจากการให้กลุ่มเยาวชนระดมสมองเพื่อเลือกหัวข้อนำเสนอความเป็นยองในรูปแบบสารคดี ตลอดจนการให้ความรู้เกี่ยวกับทักษะการทำสารคดี การวางแผนงานต่าง ๆ แก่กลุ่มเยาวชน โดยผู้ศึกษาจะคอยสังเกตการณ์สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดการทำงานของกลุ่มเยาวชนจนพบว่า (1)สารคดีที่กลุ่มเยาวชนนำเสนออัตลักษณ์ความเป็นยองนั้นเป็นการสะท้อนเรื่องราวในอดีต ผ่านการสอบถาม สัมภาษณ์จากผู้สูงอายุที่เคยผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมาก่อน (2) กลุ่มเยาวชนสะท้อนความเป็นยอง และความเป็นท้องถิ่น (การอู้กำเมือง) ว่าเป็นสิ่งที่ทดแทนกันได้ ซึ่งแตกต่างจากมุมมมองของกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชน และ (3) การนำเสนอสารคดีของกลุ่มเยาวชนเป็นการผลิตซ้ำและสร้างความหมายใหม่ โดยมองว่าหัวข้อที่นำเสนอในสารคดีเป็นเรื่องลึกลับมากกว่าการเป็นเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีต คนยอง, ลำพูน, อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ตำบลแม่สาว อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง ประเทศไทย2553ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2072
2071รายงานการวิจัยศิวิไลซ์ข้ามพรมแดน การเผยแพร่ศาสนาของม้งโปรแตสแตนต์ในเอเชียอาคเนย์ประสิทธิ์ ลีปรีชาข้อค้นพบสองประการที่ผู้ศึกษาได้ชี้ให้เห็นคือ กระบวนการสร้างความศิวิไลซ์ตามแบบตะวันตก โดยใช้ความเป็นชนพื้นเมืองเดียวกันของมิชชันนารีชาวม้งไปเผยแพร่ในกลุ่มชาวม้งซึ่งถูกปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ได้แก่ ประเทศลาว เวียดนาม และจีน ซึ่งมีความเข้มงวดและระแวดระวังศาสนาคริสต์ที่เข้ามาเผยแพร่ภายในประเทศ นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีการสื่อสารของโลกยุคโลกาภิวัฒน์และกิจกรรมก้าวข้ามผ่านพรมแดนรัฐชาติ โดยเฉพาะบริเวณแนวตะเข็บชายแดน ของมิชชันนารีชาวม้งในประเทศไทยและอเมริกา ส่งผลให้ชาวม้งในแถบเอเชียอาคเนย์เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์มากขึ้น (หน้า 4) ม้ง, คริสต์ศาสนา, การเผยแพร่, โปรแตสแตนต์ตำบลแม่สาว อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง ประเทศไทย2559ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2071
2068วิทยานิพนธ์กระบวนการสร้างความทันสมัยของคริสตจักรม้งในเมืองเชียงใหม่รัตนา ด้วยดีการศึกษากระบวนการสร้างความทันสมัยของคริสตจักรม้งในเมืองเชียงใหม่ ให้ความสำคัญกับความหมายทางสังคมในการเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ของชาวม้ง รวมทั้งบทบาทในการสร้างความเป็นคริสต์ที่ส่งผลต่ออัตลักษณ์ม้งใหม่ในสังคมเมืองเชียงใหม่ ในงานได้ใช้แนวคิดอัตลักษณ์ ความทันสมัยและเครือข่ายทางสังคมมาเป็นกรอบในการอธิบาย โดยใช้พื้นที่โบสถ์สีฟ้า สังกัดคณะ Chrisyian and Missions Alliance (C&MA) มาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมดังกล่าว ในงานชิ้นนี้กล่าวว่า การเปลี่ยนความเชื่อจากผีบรรพบุรุษมาสู่การนับถือศาสนาคริสต์ของชาวม้งนั้น มีเหตุปัจจัยหลายประการ คือ การหลีกหนีจากสภาวะของโครงสร้างและพิธีกรรมในสังคมม้ง เช่น การมีพิธีกรรมที่ยุ่งยากและต้องใช้ทุนจำนวนมาก มีสภาพสังคมชายเป็นใหญ่ มีความเชื่อหลายด้านที่ไม่สอดคล้องและไม่ถูกยอมรับในสังคมสมัยใหม่<br />
<br />
ด้วยเหตุนี้ ศาสนาคริสต์จึงเป็นทางเลือกที่ชาวม้งเข้าหาเพื่อยกระดับสถานะของตนเองให้ดูทันสมัย นั่นคือ การเปิดรับความเชื่อและวิถีชีวิตแบบสังคมตะวันตก ผ่านพื้นที่โบสถ์สีฟ้าหรือคริสตจักรม้ง โบสถ์จึงมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ มีกิจกรรมในแต่ละสัปดาห์และเทศกาลประจำปีต่าง ๆ เพื่อให้เกิดสำนึกและรู้จักพระเจ้า สร้างความเป็นกลุ่มระหว่างสมาชิกภายโบสถ์ รวมทั้งขยายเครือข่ายการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในเชียงใหม่ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ของชาวม้ง ไม่ได้ทำให้ความเป็นชาติพันธุ์ม้งหายไป หากแต่กลับสามารถดำรงรักษาอัตลักษณ์ความเป็นม้ง เช่น คนม้งที่รวมตัวกันที่โบสถ์หันมาใช้ภาษาตนเองมากขึ้น การแต่งกายตามวัฒนธรรมไม่ขัดแย้งกับศาสนาคริสต์ ทำให้อัตลักษณ์ชาติพันธุ์กับศาสนาคริสต์สามารถกลมเกลียวได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ การหันมานับถือศาสนาคริสต์ยังเปิดโอกาสให้ชาวม้งสามารถปรับตัวและมีความมั่นใจในการเข้าสังคม อีกทั้งทำให้คนเหล่านี้สามารถนิยามตนเองที่หลากหลายและลื่นไหลในการเข้าสังคมในเมืองเชียงใหม่อีกด้วยกระบวนการสร้างความทันสมัย, ชาติพันธุ์ม้ง, คริสตจักรม้ง, ม้งตำบลแม่สาว อำเภอตะโหมด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2560ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2068
2067วิทยานิพนธ์การช่วงชิงความทรงจำทางสังคมในชุมชนม้งดอยยาว-ดอยผาหม่นอุไร ยังชีพสุจริตการศึกษาปรากฏการณ์การช่วงชิง และการสร้างนิยามความหมายผ่านความทรงจำของกลุ่มชาวม้งนั้น ในงานได้เสนอว่า หลังจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์และต่อสู้ด้วยอาวุธในพื้นที่ดอยยาว-ผาหม่นได้ยุติลง ประมาณสามทศวรรษดอยยาว-ผาหม่นได้เกิดปรากฏการณ์การช่วงชิงการสร้างความทรงจำทางสังคมระหว่างชาวม้งด้วยกันเองหรือกับคนภายนอก รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่พยายามเข้าไปสร้างนิยามความให้กับพื้นที่ดอยยาว-ผาหม่น<br />
<br />
การช่วงชิง สร้างความหมายบนพื้นที่ดังกล่าวนั้น ในงานได้เสนอว่า เป็นการต่อสู้รูปแบบใหม่ เพื่อกำหนดสร้างพื้นที่ให้เป็นไปตามความรู้ ความเข้าใจของตน ฉะนั้นในการต่อสู้เพื่อนิยามต่อพื้นที่ได้นำเครื่องมือสำคัญในการต่อรอง คือ ความทรงจำ ประสบการณ์และความรู้ ดังที่ในงานได้เสนอว่า แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐได้เข้ามีส่วนช่วงชิงพื้นที่ด้วยการนิยามว่ารัฐไทยเป็น “ผู้เสียสละ” เป็นผู้สร้างความสันติสุขให้กับพื้นที่หลังจากสามารถกำชัยชนะต่อพรรคคอมมิวนิสต์ได้ และให้ภาพต่อชาวม้งในพื้นที่ว่าเป็นกลุ่มคนที่เสี่ยงและเป็นภัย เช่น นิยามคำว่า “แม้วแดง” ซึ่งเป็นการลดคุณค่าและกีดกั้นชาวม้งหรือลดความสำคัญของคนม้งในพื้นที่ ขณะเดียวกัน ชาวม้งที่เคยร่วมช่วยเหลือทหารไทยในการรบกับคอมมิวนิสต์ ได้แสวงหาหาจุดร่วมในกลุ่มม้ง เช่น รวมญาติพี่น้องที่เป็นทั้งสหายที่เข้าร่วมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์และม้งฝ่ายช่วยไทย กลับมาสร้างความทรงจำต่อพื้นที่ “ในฐานะผู้อยู่ก่อน” และความทรงจำในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่เคยมีผู้นำมาก่อนที่จะเกิดความขัดแย้งทางอุดมการณ์มาเป็นจุดร่วมของตน ทั้งนี้ยังมีเยาวชนรุ่นใหม่ที่พยายามนำเสนอความเป็นม้งให้เข้ากับยุคทันสมัยหรือบริบทสังคมปัจจุบัน<br />
<br />
ปฏิบัติการณ์ช่วงชิงดอยยาว-ผาหม่น ได้ถูกแสดงออกมาผ่าน กิจกรรมและอนุสรณ์สถาน อนุสาวรี เพื่อระลึกเรื่องราวในอดีตและเป็นสถานที่ไว้อาลัยวีรกรรมของชาวม้งและของรัฐ แต่สำหรับชาวม้งนั้นได้ผลิตสร้างความเป็นตัวตนหรืออัตลักษณ์ชาวม้งขึ้นมาบนพื้นที่ <em>ในฐานะผู้อยู่ก่อน</em> เพื่อเป็นพลังในการต่อรองให้ได้มาซึ่งศักดิ์ศรี สิทธิต่าง ๆ รวมถึงการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ แต่ถึงแม้ว่าการปฏิบัติการทางความทรงจำดังกล่าวจะถูกรัฐและคนนอกเพ็งเล็งและแสดงคติ นินทา ดูถูกชาวม้งอยู่ แต่การต่อรอง ช่วงชิงของชาวม้งยังอาศัยช่องทางอื่น ๆ เช่น การท่องเที่ยว ที่มีกิจกรรมการแสดง ดนตรีม้ง ขายสินค้าเสื้อผ้าในวัฒนธรรมม้ง หรือแม้แต่งานวิชาการ สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นพื้นที่หนึ่งที่ทำให้ชาวม้งสามารถนำเสนอตัวตนและประวัติศาสตร์ของตนเองขึ้นมาบนพื้นที่สาธารณะและให้กับนักท่องเที่ยวหรือคนภายนอกได้รับรู้การช่วงชิงความทรงจำ, ชาติพันธุ์ม้ง, ดอยยาว-ดอยผาหม่นตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2067
2066รายงานการวิจัยกลุ่มชาติพันธุ์ในนิทานพื้นบ้านล้านนาธิตินัดดา จินาจันทร์การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ผ่านนิทานล้านนา โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้แบ่งนิทานล้านนาออกเป็นสองประเภทดังนี้ คือ 1.นิทานประจำถิ่นและ 2.นิทานมุกตลกเจี้ยก้อม เพื่อศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ที่มีระบุในนิทาน แต่ในงานชิ้นนี้ได้เสนอว่า นิทานทั้งสองรูปแบบดังกล่าวมีเป้าหมายในการนำเสนอที่แตกต่างกัน คือ<br />
<br />
1.นิทานประจำถิ่น พบว่า มีการระบุกลุ่มชาติพันธุ์ 20 กลุ่มด้วยกัน และมีการกล่าวถึงชาวพม่ามากที่สุด และรองลงมา คือ ชาติพันธุ์ลัวะ โดยที่นิทานดังกล่าวจะเน้นเรื่องราวที่มาจากตำนานเจ้าเมือง ศาสนา พ่อค้าและสงคราม ซึ่งเรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการรื้อฟื้นสร้างเมืองเชียงใหม่และกล่าวถึงอาณาจักรพม่าที่เป็นศัตรูเข้ามาปกครองและขยายอาณาเขตในพื้นที่ล้านนา ในนิทานยังกล่าวถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ บทบาททางพิธีกรรมของชาวลัวะ ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในทางการปกครองและการค้า<br />
<br />
2.นิทานมุกตลก จะกล่าวถึง พฤติกรรม วิถีชีวิตประจำวันที่มีการล้อเลียน วิจารณ์ ต่อความฉลาดเกมโกง ความโง่ ลักษณะทางกายภาพ ภาษา การดูถูกทางเพศหรือเพศสัมพันธ์ โดยทั้งหมดจะเน้นเรื่องราวในมิติสังคม ในนิทานดังกล่าว จะพบกลุ่มชาติพันธุ์ 16 กลุ่ม มีการกล่าวถึงชาวกะเหรี่ยงมากที่สุดใน 33 นิทาน และชาวขมุใน 32 นิทาน นอกจากนั้นจะมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่ไม่ได้ปรากฏในนิทานประจำถิ่น เช่น ม้ง ฝรั่ง แขก ปักษ์ใต้ เขมร ซึ่งเป็นกลุ่มที่อพยพเข้ามาอาศัยในล้านนาในยุคของการพัฒนา กลุ่มชาติพันธุ์ในล้านนา, นิทานพื้นบ้าน, ชาวยอง, ชาวไทยวน, ชาวลัวะ, ชาวกะเหรี่ยง, ชาวม้ง, ชาวไทใหญ่, ชาวมอญ, ชาวมูเซอ, ชาวขมุ, ชาวลีซู, ชาวทมิฬตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2558ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2066
2065วิทยานิพนธ์การสื่อสารของกลุ่มซาไกที่ย้ายถิ่นฐานมาสู่ชุมชนเมืองในการปรับตัวและการแสดงอัตลักษณ์ แห่งชาติพันธุ์เชิญขวัญ ภุชฌงค์การศึกษาการสื่อสารของกลุ่มซาไกที่ย้ายถิ่นฐานมาสู่ชุมชนเมือง เกี่ยวกับปัญหา การแก้ไขปัญหา และการแสดงอัตลักษณ์ ดำเนินการเก็บรวมรวบข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม ในจังหวัดนครนายก ได้แก่ กลุ่มซาไกที่ย้ายถิ่นฐานมาสู่ชุมชนเมือง จำนวน 4 คน และกลุ่มบุคคลที่เป็นคู่สื่อสารต่างวัฒนธรรมของกลุ่มซาไก จำนวน 13 คน ใช้วิธีการสัมภาษณ์และเจาะลึกและการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม<br />
<br />
ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาการสื่อสารขึ้นอยู่กับประสบการณ์และการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล ซึ่งแก้ปัญหาได้โดยใช้ความร่วมมือของทั้งครอบครัวชาวซาไก และบุคคลคู่สื่อสาร ผ่านกระบวนการต่าง ๆ ทั้งการทำความเข้าใจวัฒนธรรมร่วมกัน การให้ความรู้หรือการศึกษา การใช้สื่อบุคคล สื่อมวลชน หรือสื่อเฉพาะกิจช่วยในการสื่อสาร การลดปัญหาการมองแบบเหมารวมหรือมีอคติ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลคู่สื่อสาร<br />
<br />
ส่วนด้านอัตลักษณ์ ซาไกมีการแสดงอัตลักษณ์ที่เป็นปัจเจกผ่านทางวัจนภาษาและอวัจนภาษา โดยเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และพบว่าการแสดงความเป็นตัวตนจะแปรผกผันการอัตลักษณ์ที่ตนเองมี กล่าวคือ หากตนเองมีอัตลักษณ์น้อย การแสดงความเป็นตัวตนจะยิ่งมาก เช่น การวาดภาพโดยแทนรูปตนเองให้มีลักษณะผมหยิก หรือ การสัมภาษณ์ออกรายการโทรทัศน์ด้วยความภูมิใจที่สมาชิกในกลุ่มของตนได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เป็นต้นซาไก,อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,การสื่อสาร,การสื่อสารกับวัฒนธรรม,การปรับตัว,นครนายก,ภาคกลาง,ประเทศไทย,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลปอ อำเภอธารโต จังหวัดยะลา ประเทศไทย2549ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2065
2064วิทยานิพนธ์Ethnic Violence in Southern Thailand: The Anomaly of SatunKevin T. Conlonงานวิจัยชิ้นนี้ใช้การวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงประวัติศาสตร์ เพื่อสำรวจสองภูมิภาคเฉพาะของประเทศไทยที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นคนมุสลิม นั่นคือ บริเวณจังหวัดสตูลจนถึงชายฝั่งตะวันตกภาคใต้ของประเทศไทย และบริเวณจังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาสและจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างรัฐกลันตันของมาเลเซียและอ่าวไทย<br />
การก่อรูปของอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในสตูลและปาตานีที่ผ่านมามีเส้นทางแตกต่างกัน และความแปรผันของพัฒนาการเส้นทางเหล่านี้ได้ผลิตผลลัพธ์เกี่ยวกับความรุนแรงระหว่างชุมชนและการก่อการร้ายที่แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว สตูลไม่ปรากฏปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์หรือทางศาสนาเมื่อเปรียบเทียบกับอีก 4จังหวัดที่ต้องเผชิญการขัดขืนต่อต้านรัฐในหลายครั้ง เหตุการณ์ความรุนแรงและการก่อการร้ายจำนวนมาก และความรู้สึกไม่มั่นคงและความกลัวที่อบอวลไปทั่ว<br />
ผลลัพธ์ที่แตกต่างอย่างชัดเจนนี้ยังสะท้อนความเข้มข้นที่กลุ่มชาติพันธุ์อันหลากหลายในประเทศสามารถบูรณาการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทยสมัยใหม่อย่างสันติอีกด้วย ในท้ายที่สุด การวิเคราะห์ความมีประสิทธิผลของรัฐบาลไทยในการจัดการกระบวนการบูรณาการบริเวณภูมิภาคทั้งสองจะให้มุมมองเกี่ยวกับธรรมาภิบาลที่ได้ผลดีสำหรับบริเวณไม่สงบในภาคใต้ของประเทศไทย รวมถึงศักยภาพในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในอนาคต<!--[if gte mso 9]><xml>
<o:OfficeDocumentSettings>
<o:RelyOnVML/>
<o:AllowPNG/>
</o:OfficeDocumentSettings>
</xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml>
<w:WordDocument>
<w:View>Normal</w:View>
<w:Zoom>0</w:Zoom>
<w:TrackMoves/>
<w:TrackFormatting/>
<w:PunctuationKerning/>
<w:ValidateAgainstSchemas/>
<w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid>
<w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent>
<w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText>
<w:DoNotPromoteQF/>
<w:LidThemeOther>EN-US</w:LidThemeOther>
<w:LidThemeAsian>ZH-CN</w:LidThemeAsian>
<w:LidThemeComplexScript>TH</w:LidThemeComplexScript>
<w:Compatibility>
<w:BreakWrappedTables/>
<w:SnapToGridInCell/>
<w:ApplyBreakingRules/>
<w:WrapTextWithPunct/>
<w:UseAsianBreakRules/>
<w:DontGrowAutofit/>
<w:SplitPgBreakAndParaMark/>
<w:EnableOpenTypeKerning/>
<w:DontFlipMirrorIndents/>
<w:OverrideTableStyleHps/>
</w:Compatibility>
<m:mathPr>
<m:mathFont m:val="Cambria Math"/>
<m:brkBin m:val="before"/>
<m:brkBinSub m:val="--"/>
<m:smallFrac m:val="off"/>
<m:dispDef/>
<m:lMargin m:val="0"/>
<m:rMargin m:val="0"/>
<m:defJc m:val="centerGroup"/>
<m:wrapIndent m:val="1440"/>
<m:intLim m:val="subSup"/>
<m:naryLim m:val="undOvr"/>
</m:mathPr></w:WordDocument>
</xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml>
<w:LatentStyles DefLockedState="false" DefUnhideWhenUsed="false"
DefSemiHidden="false" DefQFormat="false" DefPriority="99"
LatentStyleCount="375">
<w:LsdException Locked="false" Priority="0" QFormat="true" Name="Normal"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="9" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" QFormat="true" Name="heading 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="9" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" QFormat="true" Name="heading 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="9" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" QFormat="true" Name="heading 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="9" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" QFormat="true" Name="heading 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="9" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" QFormat="true" Name="heading 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="9" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" QFormat="true" Name="heading 7"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="9" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" QFormat="true" Name="heading 8"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="9" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" QFormat="true" Name="heading 9"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="index 1"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="index 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="index 3"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="index 4"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="index 5"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="index 6"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="index 7"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="index 8"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="index 9"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="39" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" Name="toc 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="39" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" Name="toc 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="39" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" Name="toc 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="39" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" Name="toc 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="39" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" Name="toc 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="39" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" Name="toc 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="39" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" Name="toc 7"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="39" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" Name="toc 8"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="39" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" Name="toc 9"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Normal Indent"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="footnote text"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="annotation text"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="header"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="footer"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="index heading"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="35" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" QFormat="true" Name="caption"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="table of figures"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="envelope address"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="envelope return"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="footnote reference"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="annotation reference"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="line number"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="page number"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="endnote reference"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="endnote text"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="table of authorities"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="macro"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="toa heading"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List Bullet"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List Number"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List 3"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List 4"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List 5"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List Bullet 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List Bullet 3"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List Bullet 4"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List Bullet 5"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List Number 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List Number 3"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List Number 4"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List Number 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="10" QFormat="true" Name="Title"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Closing"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Signature"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="1" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" Name="Default Paragraph Font"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Body Text"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Body Text Indent"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List Continue"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List Continue 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List Continue 3"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List Continue 4"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="List Continue 5"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Message Header"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="11" QFormat="true" Name="Subtitle"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Salutation"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Date"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Body Text First Indent"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Body Text First Indent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Note Heading"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Body Text 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Body Text 3"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Body Text Indent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Body Text Indent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Block Text"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Hyperlink"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="FollowedHyperlink"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="22" QFormat="true" Name="Strong"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="20" QFormat="true" Name="Emphasis"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Document Map"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Plain Text"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="E-mail Signature"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="HTML Top of Form"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="HTML Bottom of Form"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Normal (Web)"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="HTML Acronym"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="HTML Address"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="HTML Cite"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="HTML Code"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="HTML Definition"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="HTML Keyboard"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="HTML Preformatted"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="HTML Sample"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="HTML Typewriter"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="HTML Variable"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Normal Table"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="annotation subject"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="No List"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Outline List 1"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Outline List 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Outline List 3"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Simple 1"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Simple 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Simple 3"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Classic 1"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Classic 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Classic 3"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Classic 4"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Colorful 1"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Colorful 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Colorful 3"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Columns 1"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Columns 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Columns 3"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Columns 4"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Columns 5"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Grid 1"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Grid 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Grid 3"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Grid 4"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Grid 5"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Grid 6"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Grid 7"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Grid 8"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table List 1"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table List 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table List 3"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table List 4"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table List 5"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table List 6"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table List 7"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table List 8"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table 3D effects 1"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table 3D effects 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table 3D effects 3"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Contemporary"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Elegant"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Professional"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Subtle 1"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Subtle 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Web 1"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Web 2"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Web 3"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Balloon Text"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="Table Grid"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" UnhideWhenUsed="true"
Name="Table Theme"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" Name="Placeholder Text"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="1" QFormat="true" Name="No Spacing"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="60" Name="Light Shading"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="61" Name="Light List"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="62" Name="Light Grid"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="63" Name="Medium Shading 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="64" Name="Medium Shading 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="65" Name="Medium List 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="66" Name="Medium List 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="67" Name="Medium Grid 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="68" Name="Medium Grid 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="69" Name="Medium Grid 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="70" Name="Dark List"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="71" Name="Colorful Shading"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="72" Name="Colorful List"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="73" Name="Colorful Grid"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="60" Name="Light Shading Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="61" Name="Light List Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="62" Name="Light Grid Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="63" Name="Medium Shading 1 Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="64" Name="Medium Shading 2 Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="65" Name="Medium List 1 Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" SemiHidden="true" Name="Revision"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="34" QFormat="true"
Name="List Paragraph"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="29" QFormat="true" Name="Quote"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="30" QFormat="true"
Name="Intense Quote"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="66" Name="Medium List 2 Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="67" Name="Medium Grid 1 Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="68" Name="Medium Grid 2 Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="69" Name="Medium Grid 3 Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="70" Name="Dark List Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="71" Name="Colorful Shading Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="72" Name="Colorful List Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="73" Name="Colorful Grid Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="60" Name="Light Shading Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="61" Name="Light List Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="62" Name="Light Grid Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="63" Name="Medium Shading 1 Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="64" Name="Medium Shading 2 Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="65" Name="Medium List 1 Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="66" Name="Medium List 2 Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="67" Name="Medium Grid 1 Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="68" Name="Medium Grid 2 Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="69" Name="Medium Grid 3 Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="70" Name="Dark List Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="71" Name="Colorful Shading Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="72" Name="Colorful List Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="73" Name="Colorful Grid Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="60" Name="Light Shading Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="61" Name="Light List Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="62" Name="Light Grid Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="63" Name="Medium Shading 1 Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="64" Name="Medium Shading 2 Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="65" Name="Medium List 1 Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="66" Name="Medium List 2 Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="67" Name="Medium Grid 1 Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="68" Name="Medium Grid 2 Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="69" Name="Medium Grid 3 Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="70" Name="Dark List Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="71" Name="Colorful Shading Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="72" Name="Colorful List Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="73" Name="Colorful Grid Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="60" Name="Light Shading Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="61" Name="Light List Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="62" Name="Light Grid Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="63" Name="Medium Shading 1 Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="64" Name="Medium Shading 2 Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="65" Name="Medium List 1 Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="66" Name="Medium List 2 Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="67" Name="Medium Grid 1 Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="68" Name="Medium Grid 2 Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="69" Name="Medium Grid 3 Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="70" Name="Dark List Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="71" Name="Colorful Shading Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="72" Name="Colorful List Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="73" Name="Colorful Grid Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="60" Name="Light Shading Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="61" Name="Light List Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="62" Name="Light Grid Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="63" Name="Medium Shading 1 Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="64" Name="Medium Shading 2 Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="65" Name="Medium List 1 Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="66" Name="Medium List 2 Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="67" Name="Medium Grid 1 Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="68" Name="Medium Grid 2 Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="69" Name="Medium Grid 3 Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="70" Name="Dark List Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="71" Name="Colorful Shading Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="72" Name="Colorful List Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="73" Name="Colorful Grid Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="60" Name="Light Shading Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="61" Name="Light List Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="62" Name="Light Grid Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="63" Name="Medium Shading 1 Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="64" Name="Medium Shading 2 Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="65" Name="Medium List 1 Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="66" Name="Medium List 2 Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="67" Name="Medium Grid 1 Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="68" Name="Medium Grid 2 Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="69" Name="Medium Grid 3 Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="70" Name="Dark List Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="71" Name="Colorful Shading Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="72" Name="Colorful List Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="73" Name="Colorful Grid Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="19" QFormat="true"
Name="Subtle Emphasis"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="21" QFormat="true"
Name="Intense Emphasis"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="31" QFormat="true"
Name="Subtle Reference"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="32" QFormat="true"
Name="Intense Reference"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="33" QFormat="true" Name="Book Title"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="37" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" Name="Bibliography"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="39" SemiHidden="true"
UnhideWhenUsed="true" QFormat="true" Name="TOC Heading"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="41" Name="Plain Table 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="42" Name="Plain Table 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="43" Name="Plain Table 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="44" Name="Plain Table 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="45" Name="Plain Table 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="40" Name="Grid Table Light"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="46" Name="Grid Table 1 Light"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="47" Name="Grid Table 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="48" Name="Grid Table 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="49" Name="Grid Table 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="50" Name="Grid Table 5 Dark"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="51" Name="Grid Table 6 Colorful"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="52" Name="Grid Table 7 Colorful"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="46"
Name="Grid Table 1 Light Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="47" Name="Grid Table 2 Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="48" Name="Grid Table 3 Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="49" Name="Grid Table 4 Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="50" Name="Grid Table 5 Dark Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="51"
Name="Grid Table 6 Colorful Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="52"
Name="Grid Table 7 Colorful Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="46"
Name="Grid Table 1 Light Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="47" Name="Grid Table 2 Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="48" Name="Grid Table 3 Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="49" Name="Grid Table 4 Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="50" Name="Grid Table 5 Dark Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="51"
Name="Grid Table 6 Colorful Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="52"
Name="Grid Table 7 Colorful Accent 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="46"
Name="Grid Table 1 Light Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="47" Name="Grid Table 2 Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="48" Name="Grid Table 3 Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="49" Name="Grid Table 4 Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="50" Name="Grid Table 5 Dark Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="51"
Name="Grid Table 6 Colorful Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="52"
Name="Grid Table 7 Colorful Accent 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="46"
Name="Grid Table 1 Light Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="47" Name="Grid Table 2 Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="48" Name="Grid Table 3 Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="49" Name="Grid Table 4 Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="50" Name="Grid Table 5 Dark Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="51"
Name="Grid Table 6 Colorful Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="52"
Name="Grid Table 7 Colorful Accent 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="46"
Name="Grid Table 1 Light Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="47" Name="Grid Table 2 Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="48" Name="Grid Table 3 Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="49" Name="Grid Table 4 Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="50" Name="Grid Table 5 Dark Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="51"
Name="Grid Table 6 Colorful Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="52"
Name="Grid Table 7 Colorful Accent 5"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="46"
Name="Grid Table 1 Light Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="47" Name="Grid Table 2 Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="48" Name="Grid Table 3 Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="49" Name="Grid Table 4 Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="50" Name="Grid Table 5 Dark Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="51"
Name="Grid Table 6 Colorful Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="52"
Name="Grid Table 7 Colorful Accent 6"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="46" Name="List Table 1 Light"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="47" Name="List Table 2"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="48" Name="List Table 3"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="49" Name="List Table 4"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="50" Name="List Table 5 Dark"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="51" Name="List Table 6 Colorful"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="52" Name="List Table 7 Colorful"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="46"
Name="List Table 1 Light Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="47" Name="List Table 2 Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="48" Name="List Table 3 Accent 1"/>
<w:LsdException Locked="false" Priority="49" Name="Lความรุนแรงเชิงชาติพันธุ์, ศาสนา, อิสลาม, ชุมชนชาติพันธุ์, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ประเทศไทย, ภาคใต้ของประเทศไทย, สตูล, ปัตตานี, นราธิวาส, ยะลา, สงขลา, เขตปาตานีตำบลปอ อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ประเทศไทย2555ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2064
2063วิทยานิพนธ์กะเหรี่ยงใน/นอก: ปฏิสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ ณ อาณาบริเวณชายแดนคมลักษณ์ ไชยยะการศึกษาปฏิสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ระหว่างกลุ่มชาวกะเหรี่ยง 2 กลุ่ม ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ ชุมชนแถบ ชายแดนบ้องตี้ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ได้แก่ กะเหรี่ยงใน คือกลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในฝั่งพรมแดนไทยมาแต่เดิม และกะเหรี่ยงนอก อันหมายถึงกลุ่มกะเหรี่ยงที่ย้ายข้ามมา จากพรมแดนพม่า หลังจากการก่อตัวของเส้นพรมแดนรัฐ-ชาติสมัยใหม่ ให้ความสำคัญกับการแบ่งอาณาเขต เพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวทำให้ความสัมพันธ์ของกะเหรี่ยงทั้งสองกลุ่ม ที่มีมาแต่ก่อนการขีดเส้นแบ่งอาณาเขตได้รับผลกระทบ กลุ่มกะเหรี่ยงนอกจึงไม่ได้รับสถานะความเป็นพลเมืองของรัฐไทยทำให้สูญเสียผลประโยชน์ ทั้งในด้านของความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ และการเมือง และเนื่องจากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นทางด้านเครือญาติ กลุ่มกะเหรี่ยงในจึงใช้ช่องว่างนี้ในการเปิดโอกาสให้กลุ่มกะเหรี่ยงนอกข้ามพรมแดนเข้ามายังพรมแดนรัฐไทย เพื่อช่วยในการปรับตัวหลังถูกผลักให้ดำรงสถานะความเป็นอื่นของรัฐ-ชาติ ส่งผลให้การธำรงทางชาติพันธุ์ของกลุ่มกะเหรี่ยงนอก มีโอกาสที่จะเข้าไปแทนที่ความเป็นกะเหรี่ยงใน ที่กำลังกลายเป็นคนไทยอย่างสมบูรณ์ (หน้า ง)กะเหรี่ยง, กะเหรี่ยงใน, กะเหรี่ยงนอก, ปฏิสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์, ชายแดน, ชุมชนบ้องตี้, ไทรโยค, กาญจนบุรีตำบลบ้องตี้ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2551ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2063
2061Ph.D. Dissertationชีวิตบนชายขอบ: ขอบเขตและการแข่งขันในชุมชนชาวกูยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยโกมาตร จึงเสถียรทรัพย์งานวิจัยนี้ต้องการทำความเข้าใจความสัมพันธ์เชิงอำนาจในหลายมิติที่เกิดขึ้นกับชาวกวย ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงช้างทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ชาวกวยได้ถูกทำให้เป็นชายขอบ กีดกัน และถูกทำให้เปราะบาง ซึ่งแสดงผ่านความทุกข์และความปวดร้าวในหลายรูปแบบ การเมืองวัฒนธรรมของกระบวนการทำให้เป็นชายขอบนี้เกิดขึ้นภายใต้การครอบงำและการต่อสู้ งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เผยให้เห็นการผลิตซ้ำในเชิงโครงสร้างและกระบวนการของการทำให้เป็นชายขอบทางสังคม 2) สืบสวนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นในเชิงลบ และ 3) เผยให้เห็นกลยุทธ์การต่อสู้และการท้าทายต่ออำนาจที่ครอบงำและทำให้เป็นชายขอบ<br />
<br />
การประกอบสร้างทางการเมืองและประสบการณ์ทางสังคมของความเป็นชายขอบเป็นประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในการเมืองไทยร่วมสมัย ซึ่งถูกครอบงำโดยระบบราชการไทยโดยที่ประกอบการทางการเมืองหน้าใหม่ซึ่งเป็นคนชั้นกลาง งานวิจัยนี้วิเคราะห์ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างทางสังคมและชีวิตประจำวัน ซึ่งเผยให้เห็นความหมายทางวัฒนธรรมและแบบแผนทางสัญลักษณ์ที่มีส่วนก่อรูปชีวิตทางสังคมของชาวกวย<br />
<br />
งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าการเมืองวัฒนธรรมของการทำให้เป็นชายขอบ แสดงผ่านการต่อรองอำนาจ ท้าทายความหมาย และการต่อต้านขัดขืน กรอบคิดว่าด้วยความเป็นชายขอบถูกใช้เพื่อทดสอบความซับซ้อนของอำนาจและวัฒนธรรมที่คุกคามชาวกวยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย กล่าวได้ว่าศูนย์กลางของอำนาจพยายามรักษาความชอบธรรมผ่านการกีดกัน จัดประเภทและลำดับชั้น ความเป็นชายขอบและผู้ถูกทำให้เป็นชายขอบถูกนำเสนอและจัดประเภทในฐานะผู้แปลกแยก เบี่ยงเบน และไม่มีคุณสมบัติผ่านการประกอบสร้างสัญลักษณ์จากศูนย์กลางผู้มีอำนาจ ขณะที่คนชายขอบถูกทำให้เป็นสิ่งเปราะบาง ไม่ถูกนับ และถูกขูดรีด<br />
<br />
งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าอำนาจครอบงำไม่เคยกระทำได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่กลับถูกท้าทายด้วยรูปแบบการต่อสู้ ณ บริเวณชายขอบ ชาวกวยต่อสู้จากการถูกกีดกันในพื้นที่ชายขอบด้วยการสร้างความหมายใหม่ ตีความใหม่ และสร้างทางเลือกในการกำหนดชีวิตตัวเอง ซึ่งสามารถผนวกตัวเองเข้าไปเป็นผู้เล่นใหม่ที่มีความชอบธรรมได้กูย, กวย, มานุษยวิทยาการแพทย์, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์, ชายขอบ, สุรินทร์, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2061
2060วิทยานิพนธ์อาหารในกาดบ้านฮ่อ: การข้ามพรมแดนทางอัตลักษณ์ชาติพันธุ์และศาสนานิรันดร์รักษ์ ปาทานวิทยานิพนธ์ชิ้นนี้ มุ่งศึกษาประเด็นเกี่ยวกับอาหารที่จำหน่ายในกาดบ้านฮ่อ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีประเด็นสำคัญในการศึกษา คือ<br />
การทำความเข้าใจต่ออัตลักษณ์ชาติพันธุ์และศาสนาที่แสดงออกผ่านรสชาติผักดอง ที่มีการผสมผสานทางวัฒนธรรมจากการเดินทางไกลของชาวจีนยูนนานจากเมืองจีนจนถึงประเทศไทย โดยมีข้อค้นพบว่า ผักดองจีนฮ่อที่ได้เดินทางผ่านพื้นที่วัฒนธรรมที่หลากหลาย ได้ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนรสชาติของผักดองตามพื้นที่วัฒนธรรมการบริโภคไปด้วย แต่ยังคงสงวนรสชาติของความเป็นยูนนานดั้งเดิมอยู่ ฉะนั้นจึงมีการผสมระหว่างรสชาติดั้งเดิมกับรสชาติในวัฒนธรรมของผู้คนในพื้นที่ ในขณะเดียวกันลูกค้าที่ซื้อได้ใช้ประสบการณ์จากรสชาติดั้งเดิมหรือรสชาติที่ตนเคยนำมาพิจารณาในการเลือกซื้อผักดอง ทั้งนี้ในกระบวนการซื้อขาย พบว่า อัตลักษณ์ทางศาสนาและชาติพันธุ์นั้นเกิดความลื่นไหล เช่น มุสลิมจีนยูนนานที่ต้องการรสชาติดั้งเดิมของผักดองที่มีส่วนผสมของเหล้าต้องยอมละเลยกับหลักศาสนา<br />
ประเด็นที่สอง คือ การสำรวจเส้นทางของอาหาร ในกรณีศึกษาเนื้อกังปา พบว่า เนื้อกังปาเป็นวัฒนธรรมอาหารของชาวอินเดีย และเดินทางมากับการอพยพ ผ่านพม่าและเข้าสู่ประเทศไทย คนเหล่านี้เชี่ยวชาญในการเลี้ยงวัวและนิยมบริโภคเนื้อวัว กระทั่งเกิดเส้นทางการค้าขายวัว จากอินเดีย พม่า ถึงประเทศไทย บนเส้นทางนี้เกิดการปฏิสัมพันธ์ต่อรองหลากหลายกลุ่มทั้งชาวมุสลิมสายอินเดียปาทาน กลุ่มชาติพันธุ์ และเจ้าหน้าที่รัฐ ในพื้นที่ชายแดน จนในที่สุดมีการนำวัวมาขายในกาดงัว (ตลาดวัว) ที่เชียงใหม่ สุดท้ายวัวที่ทำเนื้อกังปาต้องผ่านกระบวนการเชือดตามวิธีอิสลาม กระทั่งกลายเป็นเนื้อกังปาที่ขายในกาดบ้านฮ่อ และแสดงถึงอาหารที่เป็นอัตลักษณ์มุสลิมที่มีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมอินเดียกับจีนยูนนาน (หน้า จ-ฉ)วัฒนธรรมอาหาร,จีนฮ่อ,การข้ามพรมแดน,ชาติพันธุ์,ศาสนา,กาดบ้านฮ่อตำบลช้างม่อย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2558ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2060
2059วิทยานิพนธ์บทบาทของชนเผ่าไทในเวียดนามในศึกเดียนเบียนฟู (ค.ศ. 1946-1954)ชนัญชิดา ศิริจันโทงานชิ้นนี้ศึกษาบทบาทของชนเผ่าไทในเวียดนาม ที่มีส่วนในสงครามเดียนเบียนฟูระหว่างกองกำลังเวียดมินห์กับกองทัพฝรั่งเศส ที่ถือว่าเป็นสงครามปลดแอกจากอาณานิคมฝรั่งเศสของชาวเวียดนาม สงครามสำคัญนี้เกิดขึ้นในเมืองแถง ซึ่งเป็นเมืองของชนเผ่าไท ในงานชิ้นนี้จึงมุ่งเน้นบทบาทของชนเผ่าไทว่ามีส่วนร่วมในสงครามครั้งใหญ่ที่รู้จักในศึกเดียนเบียนฟูอย่างไร โดยในงานมุ่งอธิบายบทบาทในการเข้าร่วมสงครามทั้งกับฝรั่งเศสและกับเวียดนาม ดังเช่น การเข้าร่วมรบ การคอยให้การช่วยเหลือ และอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ทั้งส่งเสบียง ยารักษาโรค ข่าวกรอง ในงานยังทำการวิเคราะห์ผลกระทบจากสงครามต่อชนเผ่าไท และศึกษาถึงผลและการเปลี่ยนแปลงภายใต้การปกครองของเวียดนาม<br />
<br />
โดยในงานชิ้นนี้ได้เสนอข้อค้นพบว่า ชนเผ่าไทมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือกองทัพทั้งฝรั่งเศสและเวียดนาม ในด้านการข่าวกรอง และการเข้าร่วมรบ เนื่องจากชนเผ่าไทมีความรู้และเชี่ยวชาญในการใช้พื้นที่ ยุทธศาสตร์ทางทหารและการลำเลียงความสะดวก ด้วยเหตุนี้ ชนเผ่าไทจึงมีความสำคัญต่อชัยชนะของทั้งสองฝ่าย แต่สงครามจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายเวียดนามและการนำมาซึ่งเอกราช ผลดังกล่าวนี้มีกระทบชนเผ่าไท เช่น การต้องอพยพ แตกกระจายหนีภัยไปยังดินแดนใกล้เคียง และต่างประเทศ และภายใต้การปกครองของเวียดนามได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองภายในชนเผ่าไท และโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ ที่ถูกนำเข้ามาแทนที่ด้วยชุดความคิดใหม่แบบคอมมิวนิสต์ และการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจชนเผ่าไท,ศึกเดียนเบียนฟู,เวียดนามตำบลช้างม่อย อำเภอเมือง จังหวัดDien Bien ประเทศเวียดนาม2550ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2059
2058วิทยานิพนธ์กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวไทเขินในชุมชนนันทาราม ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่อิสราภรณ์ พัฒนวรรณ<p style="text-align: justify;">
การศึกษาความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวไทเขิน กรณีศึกษาบ้านนันทาราม ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ มุ่งเน้นการอธิบายถึงผลของการปรับตัวจากการเป็นพลเมืองของเชียงใหม่ ซึ่งเริ่มตั้งแต่การอพยพเข้ามายังเชียงใหม่จากเมืองเชียงตุง ประเทศพม่าในปี พ.ศ. 2350 ในช่วงเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง เพื่อฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ในสมัยพระเจ้ากาวิละ โดยเข้ามาในฐานะของ “เจ้านอกเมือง” ที่ไม่ใช่เชลยศึก อันสะท้อนให้เห็นถึงนโยบายของเจ้าเมืองเชียงใหม่ที่ปกครองแบบผสมกลมกลืน เรื่อยมาจนถึงยุคสมัยที่เชียงใหม่เป็นประเทศราชของสยาม และนโยบายหลังจากการผนวกเชียงใหม่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติสยาม จนกระทั่ง พ.ศ. 2551<br />
<br />
การศึกษาพบความเปลี่ยนแปลงสำคัญ คือ ชาวไทเขินต้องปรับตัวภายใต้กรอบของการเป็นพลเมืองของรัฐชาติและระบบเศรษฐกิจหลังทุนนิยม ในลักษณะการผสมกลมกลืนทางสังคมและวัฒนธรรมโดยมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจากการปฏิรูปการปกครอง ระบบทุนนิยม ระบบการศึกษาของรัฐ และนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของรัฐ<br />
<br />
ทั้งนี้ พบว่ามีการปรับตัวในระดับแรก คือ การยอมรับวัฒนธรรมการแต่งกายล้านนา การใช้ภาษาคำเมือง (ภาษาไทยถิ่นเหนือ) แทนภาษาไทเขิน และในระดับที่สอง คือ การปรับตัวไปพร้อมกับชาวพื้นเมืองเชียงใหม่ในช่วงสยามผนวกล้านนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติ ท้ายที่สุดมีการผสมกลมกลืนทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวไทเขินกับคนในเชียงใหม่ คนในภาคกลาง ความเป็นไทยที่รัฐเป็นผู้กำหนดขึ้น และวัฒนธรรมตะวันตก<br />
<br />
อย่างไรก็ดี ชาวไทเขินยังคงมีความพยายามในการรักษาอัตลักษณ์งานหัตถกรรม “เครื่องเขิน” และ “น้ำหนัง” ซึ่งเป็นอาหารที่ยึดถือการสืบทอดร่วมกันมาจนถึงปัจจุบัน โดยมี “วัดนันทาราม” เป็นศูนย์กลางทั้งทางด้านศาสนาและวัฒนธรรม</p>ไทเขิน,การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม,เชียงใหม่,ภาคเหนือ,ประเทศไทย,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2552ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2058
2057วิทยานิพนธ์การรวมเข้าและกีดกันในกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตเชิงพาณิชย์: กรณีศึกษาชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ หมู่บ้านห้วยหอม จังหวัดแม่ฮ่องสอนดรุณี สิงห์พงไพร<p>
การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ บ้านห้วยห้อม ตำบลห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวในชุมชนหลังการเข้ามาของการพัฒนา โดยพบว่า ในราวปี พ.ศ. 2500 การพัฒนาถูกนำเข้ามาโดยกลุ่มมิชชันนารีและจากหน่วยงานรัฐ มีการนำเอาความรู้สมัยใหม่ อาชีพใหม่เข้ามาทดแทนวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวปกาเกอะญอ เช่น การส่งเสริมการปลูกกาแฟ การทำผ้าทอขนแกะ หรือแม้แต่การเข้ารับนับถือศาสนาคริสต์ของคนบางกลุ่ม การพัฒนาเหล่านี้ได้สร้างกลุ่มชนชั้นใหม่ คือ กลุ่ม “เส่โข่” หรือ คนรวย สามารถยกระดับตนเองให้มีบทบาทในการจัดการชุมชนและสร้างความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ ผ่านการจ้างงานสร้างอาชีพ โดยมีการคัดเลือกบางกลุ่มและกีดกันบางกลุ่มในการเข้าถึงผลประโยชน์ จนเกิดความแตกต่างทางสังคมในชุมชน</p>ปกาเกอะญอ,กระบวนการเปลี่ยนผ่าน,การผลิตเชิงพาณิชย์การรวมเข้าและกีดกัน,บ้านห้วยห้อม,แม่ลาน้อย,แม่ฮ่องสอนตำบลห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2559ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2057
2056วิทยานิพนธ์การใช้วัฒนธรรมท้องถิ่นภาคเหนือในการสร้างสรรค์นวนิยายของมาลา คำจันทร์สันติวัฒน์ จันทร์ใด<p>
วิทยานิพนธ์เรื่องการใช้วัฒนธรรมท้องถิ่นภาคเหนือในการสร้างสรรค์นวนิยายของมาลา คำจันทร์ ศึกษาเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลทางวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคเหนือที่ปรากฏในนวนิยายของมาลา คำจันทร์ และเพื่อศึกษากลวิธีการสร้างสรรค์นวนิยายโดยใช้ข้อมูลทางวัฒนธรรมท้องถิ่น ผลการศึกษาพบว่ามาลา คำจันทร์ นำวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคเหนือมาเป็นข้อมูลในการสร้างสรรค์นวนิยาย 3ประการ ดังนี้ ประการแรก การสร้างเนื้อเรื่องและตัวละครจากความเชื่อ แนวคิด วิถีชีวิตท้องถิ่น ตำนาน และประวัติศาสตร์ของคนล้านนา เช่น นวนิยายเรื่อง “ดงคนดิบ” ปรากฎความเชื่อเรื่องผีกละ นวนิยายเรื่อง “ดาบราชบุตร” ปรากฎความเชื่อเรื่องม้าขี่ ดาบศักดิ์สิทธิ์และผีอารักษ์ นวนิยายเรื่อง “ไพรอำพราง” ปรากฎความเชื่อเรื่องเสือเย็น นวนิยายเรื่อง “เจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาตุอินทร์แขวน” ปรากฏความเชื่อเรื่องพระธาตุประจำปีเกิด และเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในช่วงที่สยามเข้าปกครองล้านนา</p>
<p style="text-align: justify;">
<br />
และนวนิยายเรื่อง “ดาบอุปราช” นำเสนอวิถีชีวิตท้องถิ่นของชาวนาที่ถูกรุกรานจากสังคมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป และการดำรงชีวิตตามหลักคำสอนพระพุทธศาสนา ประการที่สอง เสริมความสมจริงของฉากและบรรยากาศโดยมักระบุชื่ออำเภอ จังหวัด หรือสถานที่สำคัญในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย วัดสวนดอก พระธาตุจอมทอง พระธาตุหริภุญชัย และเชื่อมโยงด้วยทิศทางหรือระยะทางให้เหมาะสมบรรยากาศในนวนิยาย ทั้งยังสอดแทรกประเพณีลงแขกเกี่ยวข้าว ประเพณีตั้งธรรมหลวง เป็นต้น ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญที่บ่งบอกวิถีชีวิตในท้องถิ่นภาคเหนือได้เป็นอย่างดี ประการที่สาม การใช้ภาษาถิ่นในการบรรยาย การพรรณนา และบทสนทนาของตัวละคร นอกจากนี้ยังแทรกบทขับร้องท้องถิ่นประเภทจ๊อย ซอ และวรรณกรรมท้องถิ่นอย่างสอดคล้องกับเหตุการณ์ในนวนิยาย ภาษาเป็นวิธีการสื่อสารของมาลา คำจันทร์ที่มีลักษณะโดดเด่น ส่งผลให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพและเข้าใจถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคเหนือได้อย่างชัดเจน ดังนั้นนวนิยายของมาลา คำจันทร์ จึงแสดงวัฒนธรรมล้านนาในรูปแบบบันเทิงคดีที่มีคุณค่าในแง่ของงานวรรณกรรมครบถ้วน (หน้า 183 - 187)</p>วัฒนธรรมท้องถิ่น, ภาคเหนือ, นวนิยาย, คนพื้นเมืองล้านนา, ยวน, ลัวะ, ปะหล่องต่องสู่, ไทเขิน, มะละแหม่ง, มาลา คำจันทร์ตำบลห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2550ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2056
2055วิทยานิพนธ์สตรีราชสำนักไทใหญ่ในเรื่องเล่าของนักเขียนสตรีร่วมสมัย : การศึกษาบทบาทของผู้หญิงในพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัวจิราภรณ์ อัจฉริยะประสิทธิ์<p>
วิทยานิพนธ์เรื่องสตรีราชสำนักไทใหญ่ในเรื่องเล่าของนักเขียนสตรีร่วมสมัย : การศึกษาบทบาทของผู้หญิงในพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัว ศึกษาเพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบวรรณกรรม ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสตรีราชสำนักไทใหญ่ และบริบททางการเมือง สังคมและวัฒนธรรม ในเรื่องเล่าของนักเขียนสตรีร่วมสมัยจำนวน 3 เรื่อง Twilight over Burma: My Life as a Shan Princess ของ Inge Sargent ปีค.ศ. 1994, The White Umbrella ของ Patricia Elliott ปีค.ศ.1999 และ My Vanished World: The True of a Shan Princess ของ Nel Adam ปีค.ศ. 2000 ผลการศึกษาพบว่า ผู้ประพันธ์เรื่องเล่าทั้ง 3 เรื่อง มีภูมิหลังที่แตกต่างกัน มีทั้งสตรีไทใหญ่แท้ สตรีที่เข้ามาเป็นมหาเทวีในไทใหญ่และสตรีตะวันตก โดยมีแนวคิดสำคัญเหมือนกัน คือ การนำเสนอความรุนแรงจากการกวาดล้างทางการเมือง ต้นเหตุที่ทำให้สังคมไทใหญ่ล่มสลายลงและเรียกร้องความเป็นธรรมให้ไทใหญ่ เรื่องเล่าถูกเขียนขึ้นหลังจากผู้ประพันธ์ลี้ภัยมายังประเทศตะวันตก เล่าจากมุมมองผู้ถูกกระทำที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตทำให้เห็นรากเหง้าของเผ่าพันธุ์ สะท้อนบทบาทของสตรีราชสำนักไทใหญ่ โดยพบว่าบทบาทของสตรีราชสำนักไทใหญ่ในพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เช่น การแต่งงานที่มีนัยยะทางการเมือง การเตรียมงานครัวในงานสมาคมรับแขกที่มีนัยยะเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างเมืองหรือประเทศ บทบาทของสตรีราชสำนักได้มีการเปลี่ยนแปลงไปหลังจากไทใหญ่อยู่ภายใต้อาณานิคม อังกฤษเข้ามาจัดตั้งโรงเรียนสอนวิชาการแก่บุตรของเจ้าฟ้าทั้งชายและหญิง สตรีราชสำนักไทใหญ่ได้เข้ารับการศึกษาอย่างจริงจัง ทำให้มีความกล้าแสดงออกทางความคิดและมีบทบาทในพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะเพิ่มมากขึ้น กล่าวคือ พื้นที่ส่วนตัว สตรีมีสิทธิที่จะคัดค้านและต่อรองในสิ่งที่ตนเองไม่เห็นด้วย สำหรับพื้นที่สาธารณะ สตรีมีบทบาททางสังคม เช่น การพัฒนาด้านการศึกษาและสาธารณะสุข มีบทบาททางการเมืองจากการประพันธ์เรื่องเล่าประสบการณ์ชีวิตเชิงอัตชีวประวัติและเป็นผู้นำในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชไทใหญ่ ทั้งนี้เรื่องเล่ายังเป็นการเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และบทบาทสตรีที่มีประโยชน์ทางวิชาการต่อสังคมเป็นอย่างมาก </p>ไทใหญ่, สตรีราชสำนัก, รัฐฉาน, พม่า, บทบาทของผู้หญิง, พื้นที่สาธารณะ, พื้นที่ส่วนตัว, การเมือง, ข้อตกลงปางหลวง, สังคม, วัฒนธรรม, ปิตาธิปไตย, สตรีนิยมตำบลห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2055
2054วิทยานิพนธ์การประกอบสร้าง “ความเป็นลาว” ในวรรณกรรมและสื่อภาพยนตร์ไทยร่วมสมัยวิทยา วงศ์จันทา<p>
วิทยานิพนธ์เรื่อง การประกอบสร้าง “ความเป็นลาว” ในวรรณกรรมและสื่อภาพยนตร์ไทยร่วมสมัย ศึกษาเพื่อวิเคราะห์ความเป็นลาวและบริบททางสังคมวัฒนธรรมความเป็นลาวที่ประกอบสร้างจากวาทกรรมต่าง ๆ ในวรรณกรรมและสื่อภาพยนตร์ไทยร่วมสมัย โดยศึกษาจากเอกสารวิจัย วรรณกรรม และสื่อภาพยนตร์ไทยร่วมสมัยที่ได้รับการตีพิมพ์และเผยแพร่ในปี พ.ศ. 2544 - 2553 นำเสนอในเชิงพรรณนาวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า ภาพแทนความเป็นลาวเกิดจากบริบทขัดแย้งและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันด้านสังคมและการเมืองในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงระหว่างไทยกับลาว ซึ่งปรากฏในวรรณกรรมและสื่อภาพยนตร์สามประเด็น ได้แก่ ประเด็นแรก นวนิยายเรื่อง “สาปภูษา” และ “รอยไหม” สะท้อนภาพแทนของตัวตนและเรื่องราวในอดีตของลาว ผ่านสัญลักษณ์คือ ผ้าลาว ผู้หญิงลาวและภูตผี โดยผ้าลาวแสดงถึงภูมิปัญญา วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่รุ่งเรืองในอดีต ผู้หญิงลาวในฐานะเจ้า แสดงถึงการจัดระเบียบสังคมแบบชนชั้น และภูตผีแสดงถึงการรักษาความเชื่อและวิถีชีวิตดั้งเดิมให้คงอยู่ในยุคปัจจุบันที่อิทธิพลภายนอกเข้ามามีบทบาทต่อลาว ประเด็นที่สอง วรรณกรรมเรื่อง “ลูกแม่น้ำโขง” กับ “เพื่อนรักริมโขง” สะท้อนภาพแทนของมิตรภาพ ผ่านสัญลักษณ์ คือ เด็กสามเชื้อชาติที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิคอมมิวนิสต์ ทำให้เกิดความขัดแย้งและการแบ่งแยกเชื้อชาติ คือ ไทย ลาวและเวียดนาม เด็กเปรียบเสมือนตัวแทนในการทำลายอคติระหว่างเชื้อชาติ เด็กร่วมกันตั้งคำถามถึงความหมายที่แท้จริงของประเพณีท้องถิ่น การแข่งขันกีฬาและการร้องเพลง ซึ่งได้คำตอบว่าคนในลุ่มแม่น้ำโขงไม่สามารถตัดขาดความสัมพันธ์ต่อกันได้ สอดคล้องกับกระแสอาเซียนที่ต้องการก้าวข้ามความขัดแย้งเพราะจะทำให้ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ประเด็นสุดท้าย สื่อภาพยนตร์และวรรณกรรมร่วมสมัยเรื่อง “ไม่มีคำตอบจากปากเซ” “สะบายดีหลวงพระบาง” และ “เขียนแผ่นดินสุวรรณภูมิลาว” สะท้อนภาพแทนของความสงบ ความสวยงาม ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ การรักษาขนบธรรมเนียมและการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายสัมพันธ์กับธรรมชาติ ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในประเทศลาวเป็นจำนวนมาก ภาพแทนนี้บ่งบอกถึงรากเหง้าและอัตลักษณ์ความเป็นลาวอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์โต้ตอบประเทศอื่นที่สูญเสียตัวตนจากการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตามกระแสโลก </p>ลาว, วรรณกรรม, ภาพยนตร์, สื่อ, ไทย, วิถีชีวิต, การเมือง, สงครามเย็น, สงครามอินโดจีน, อาเซียนตำบลห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2555ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2054
2053Ph.D. Dissertationการสร้างความสงบสุขในสังคม : การศึกษาแนวทางการบูรณาการกระบวนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนาในภาคอีสานสุรพันธ์ สุวรรณศรี<p>
การวิจัยนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาลักษณะการเผยแผ่ กระบวนการและแนวทางการบูรณาการกระบวนการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนาที่สอดคล้องกับการนำไปสู่การสร้างความสงบสุขในสังคมในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งผลการวิจัยพบว่า ลักษณะการเผยแผ่พระพุทธศาสนามีส่วนประกอบสำคัญคือ เนื้อหาที่สอนต้องก่อให้เกิดคารวะธรรม สามัคคีธรรมและปัญญาธรรม ที่เหมาะสมตามความรู้ความสามารถและปรับวิธีการเผยแผ่ให้เหมาะกับบุคคล ผู้เผยแผ่ต้องสร้างความสนใจและบรรยากาศแห่งการเผยแผ่ให้เกิดขึ้นแก่ตน โดยสอนให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหาเป็นสำคัญ ส่วนลักษณะการเผยแผ่คริสต์ศาสนาเน้นเรื่องความรักและความเมตตาเป็นสำคัญโดยการประกาศพระวรสารพระกิตติคุณ คือ การประกาศคริสต์ธรรมตามบทบัญญัติของพระคัมภีร์ให้เป็นจริงในชีวิต โดยยึดเอาความเมตตา กรุณาและความบริสุทธิ์แห่งจิตวิญญาณเป็นหลักการสำคัญ<br />
สำหรับกระบวนการเผยแผ่พุทธศาสนา พระสงฆ์ได้นำหลักธรรมไปประยุกต์ใช้กับสภาพแวดล้อมของสังคม ขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนอุปนิสัยและระดับภูมิปัญญาของผู้ฟังแต่ละคน โดยการประยุกต์คำสอนและหลักความเชื่อบางประการของศาสนาเดิม ให้เหมาะสมกับสภาพสังคมและวัฒนธรรมของชุมชน ด้วยการสนทนาธรรม บรรยายธรรมและตอบปัญหาธรรมะ พร้อมทั้งนำเสนอหลักคำสอนที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาให้ไว้ประพฤติปฏิบัติในการดำเนินวิถีชีวิตประจำวัน ส่วนกระบวนการเผยแพร่คริสต์ศาสนา บาทหลวงและผู้นำทางศาสนาได้ใช้หลักมนุษย์สัมพันธ์ คือ การเข้าถึงบุคคลหรือชุมชนด้วยตัวเอง ใช้หลักสังคมสงเคราะห์ คือ การให้ที่นาทำกินแก่ชาวบ้านให้ทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้และสอนหนังสือให้กับเด็ก เยาวชน รวมทั้งพยายามปรับตัวเองโดยนำภาษาพื้นบ้านไปใช้ในการเผยแผ่คำสอน ซึ่งการเผยแผ่ศาสนาทั้งพระพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนา เป็นการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของศาสนา เพื่อมุ่งเน้นให้ศาสนิกชนของทั้งสองศาสนานำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อความสงบสุขในชีวิตของตนเองและสังคม โดยคำนึงถึงความเกี่ยวโยงทางวัฒนธรรมประเพณีและความเชื่อเป็นสำคัญ</p>ความสงบสุข, สันติสุข, การบูรณาการ, การเผยแผ่, พระพุทธศาสนา, คริสต์ศาสนา, ภาคอีสานตำบลผาน้ำย้อย อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ประเทศไทย2552ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2053
2052Ph.D. Dissertationทุนวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนากลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำในจังหวัดนครปฐมเรณู เหมือนจันทร์เชย<p>
การศึกษานี้ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาวิเคราะห์ลักษณะทุนวัฒนธรรมสำหรับการพัฒนาชุมชนของกลุ่มชาติพันธ์ุไทยทรงดำในพื้นที่ บ้านเกาะแรต ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ซึ่งพบว่า ลักษณะทุนวัฒนธรรมเป็นคุณค่าและมูลค่าทางวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธ์ุไทยทรงดำ สามารถแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ วัฒนธรรมการอยู่อาศัยและวิถีชีวิต วัฒนธรรมการทำมาหากิน วัฒนธรรมการแต่งกาย เสื้อผ้า การประดับตกแต่ง วัฒนธรรมการดูแลรักษาสุขภาพ และวัฒนธรรมศาสนาและความเชื่อ ซึ่งทั้งหมดเป็นทุนวัฒนธรรมที่ปรากฎแฝงฝังอยู่ในกาย อยู่ในรูปของวัตถุและอาศัยการสถาปนา โดยทุนเหล่านี้มีพัฒนาการแตกต่างกันไปตามการเปลี่ยนแปลงของประชากรในชุมชน การติดต่อกับสังคมอื่น การรับทุนวัฒนธรรมอื่นเข้ามาในชุมชนและทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนในแต่ละยุคสมัย จึงทำให้ชุมชนต้องปรับเปลี่ยนทุนวัฒนธรรมของตนให้สามารถสนองตอบต่อความจำเป็นและความต้องการที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น ๆ ซึ่งในปัจจุบันทุนวัฒนธรรมของชุมชนมีความพร้อมที่จะเป็นพลังพัฒนาชุมชนสู่ความสุข หากได้รับอนุรักษ์และพัฒนาอย่างเหมาะสมและสมดุลจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการใช้ทุนวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือพัฒนาชุมชนเพื่อเข้าถึงคุณค่าและมูลค่าบนฐานการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง</p>ทุนวัฒนธรรม, การพัฒนา, กลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ, ไทยทรงดำ, จังหวัดนครปฐมตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2557ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2052
2049หนังสือเกิดมาหนึ่งชาติต้องได้กราบพระธาตุเมืองนครอนุสรณ์ อุณโณ<p>
หนังสือเล่มนี้เป็นการศึกษาแนวคิดทางการเมืองของคนในหมู่บ้านเกาะ (นามสมมุติ) ตำบลหน้าท่า อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ผ่านการลงพื้นที่ภาคสนาม สัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ ในพื้นที่ที่สะท้อนแนวคิดทางการเมืองผ่านมิติของสังคมวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสำคัญกับกลุ่มบุคคล อาทิ เครือญาติ พวกพ้องหรือการยกย่องครูซึ่งเป็นอาชีพที่มีเกียรติและสร้างความก้าวหน้าในชีวิตได้ การนับถือนักเลงไก่ชนที่มีลักษณะใจกว้าง ใจถึง ตลอดจนศิลปินพื้นบ้านที่แสดงออกแนวคิดทางการเมืองสู่ศิลปะพื้นบ้านต่าง ๆ ทั้งหมดนี้เป็นการหยั่งรากของแนวคิดทางการเมืองของคนใต้ที่แตกต่างจากพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ ซึ่งล้วนแสดงออกถึงความเป็นพวกพ้องว่าเป็นสิ่งสำคัญและมีอิทธิพลต่อแนวคิดทางการเมืองมาโดยตลอด และได้แสดงออกต่อการเมืองในระดับชาติที่ศรัทธาต่อพรรคประชาธิปปัตย์ ตั้งแต่ครั้งนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ตลอดจนการที่คนภาคใต้สนับสนุนแนวคิดของกลุ่มพันธมิตรในช่วงแรก แม้ว่าชนชั้นหรือฐานะทางสังคมของคนในภาคใต้จะเหมือนกับคนในภาคเหนือหรือภาคอีสานที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายประชานิยม แต่ต่างแสดงออกเกี่ยวกับแนวคิด ความเชื่อมั่นทางการเมืองที่แตกต่างจากภูมิภาคอื่นในประเทศ</p>คนใต้, ศีลธรรม, การเมือง, นครศรีธรรมราช, การเมืองคนใต้, การเมืองนครศรีธรรมราชตำบลหน้าสตน อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ประเทศไทย2560ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2049
2048วิทยานิพนธ์ภาพตัวแทนผู้หญิงในนิตยสารของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวช่วงปี ค.ศ. 2002 – 2007ลำพอง คัญทะลีวัน<p>
การศึกษานี้เป็นการวิจัยเอกสารที่มุ่งศึกษาภาพตัวแทนผู้หญิงลาวในเนื้อหา ข้อเขียน และภาพในนิตยสารลาวที่ดำเนินการโดยภาคเอกชนและกึ่งรัฐกึ่งเอกชน สถานภาพของผู้หญิงลาวภายใต้ยุคจินตนาการใหม่ผ่านสื่อในกระแสโลกาภิวัตน์ และการใช้นิตยสารที่มีการนำเสนอความเป็นผู้หญิงลาวผ่านสื่อเอกชนและกึ่งรัฐกึ่งเอกชน โดยมองผ่านนิตยสารลาว 3 ฉบับ คือ นิตยสารอัพเดท นิตยสารวัยหนุ่มลาวและนิตยสารมหาชน ภายใต้กรอบแนวคิดสตรีนิยมแบบบูรณาการ แนวคิดการประกอบสร้างและแนวคิดการนำเสนอภาพตัวแทนของผู้หญิงมานำใช้เพื่อวิเคราะห์ปัญหา ผลการศึกษาพบว่า นิตยสารทั้ง 3 ฉบับ ได้นำเสนอภาพตัวแทนผู้หญิงลาวออกเป็น 4 ประเด็น คือ 1) ผู้หญิงกับสุขภาพอนามัย 2) ผู้หญิงกับบทบาทตามจารีตประเพณี 3) ผู้หญิงกับผลิตภัณฑ์สินค้า และ 4) ผู้หญิงกับสถานะทางสังคม โดยสร้างให้เป็นคุณสมบัติอันดีงามของผู้หญิง ซึ่งเป็นการกำหนดบทบาทผู้หญิงให้ตกอยู่กับสภาพจำยอมบนฐานอคติทางเพศจากระบบทุนนิยมปิตาธิปไตยที่มีผู้ชายกำกับ โดยเฉพาะสถาบันสื่อสารมวลชนในยุคโลกาภิวัตน์ที่ไร้พรมแดนที่หวังให้ทั้งผู้หญิงบริโภคสินค้าต่าง ๆ ที่ระบบทุนนิยมสร้างขึ้น เพื่อทำให้กลายเป็นหญิงยุคใหม่ที่เน้นความทันสมัยทางวัตถุมากกว่าความรู้</p>ภาพตัวแทน, ผู้หญิง, ผู้หญิงลาว, นิตยสาร, นิตยสารลาว, ลาว, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวตำบลหน้าสตน อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ประเทศลาว2551ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2048
2047Ph.D. Dissertationการเผชิญกับภาพแทนของกะเหรี่ยงโผล่ว ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรบัณฑิต ไกรวิจิตร<p>
นับตั้งแต่ทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา ข้อถกเถียงทางการเมืองสิ่งแวดล้อมนิยม ขององค์กรอนุรักษ์และหน่วยงานรัฐ ซึ่งวางอยู่บนแนวคิดความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) และมีวิธีวิทยาที่เน้นให้มนุษย์เป็นศูนย์กลางของการศึกษา (anthropocentrism) ได้อธิบายชาวโผล่วด้วยภาพแทนที่หยุดนิ่ง มองว่าชาวโผล่วเป็นผู้ที่ไม่สามารถเข้าใจการเผชิญหน้าระหว่างชีวิตป่าได้ ภาพแทนดังกล่าวได้เข้ามาปะทะแบบพัวพันกับปฏิบัติการระหว่างชาวโผล่วและชีวิตป่าของพวกเขา จนท้ายที่สุดกดให้ชาวโผล่วมีสถานะ “เบี้ยล่าง” (subaltern) เมื่อผ่านเวลาไป 30 ปี ชาวโผล่วได้สร้างสรรค์ภาพแทนผสม (hybrid representation) ที่รวมเอาภาพแทนทั้งจากองค์กรภายนอกและภาพแทนชีวิตป่าของพวกเขาเองไว้ด้วยกัน และยังทำให้ชีวิตป่าเข้าสู่การต่อรองทางการเมืองกับปฏิบัติการและการสร้างภาพแทนชีวิตป่า<br />
จากการศึกษาผู้วิจัยพบว่า ภาพแทนชีวิตป่าของชาวโผล่วเองมีลักษณะเป็นการสื่อสารระหว่างกันของชาวโผล่ว สัตว์ พืช และวัตถุ สิ่งของ จากการเผชิญหน้าพบพาน (encounter) ระหว่างชาวโผล่วกับชีวิตป่าด้านต่าง ๆ จักรวาลวิทยา (cosmologies) ของชาวโผล่วได้จัดให้สรรพสิ่งในชีวิตป่ามีตัวมีตนที่เหมือนกับคน นอกจากนั้น ผู้วิจัยพยายามตอบคำถามว่าชาวโผล่วพูดได้หรือไม่จากสถานะเบี้ยล่างในการเมืองของการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ชาวโผล่วนำเสนอภาพแทนให้ผู้วิจัยได้รับรู้ สะท้อนการโต้เถียงกับวาทกรรมการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ภาพแทนนั้นเข้ามาเก็บกดชาวโผล่วให้ยอมรับความรู้และเรียกร้องให้พวกเขาพัฒนาตัวตนขึ้นมาจากภาพแทนนั้น จนกระทั่งผนึกตัวตนพวกเขาเข้ากับภาพแทนชีวิตป่าแล้วสะท้อนออกไปสู่สังคม</p>กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่ว, ชาติพันธุ์นิพนธ์ข้ามสายพันธุ์, ชาติพันธุ์นิพนธ์หลากหลายสายพันธุ์, คนเบี้ยล่าง, ภาพแทน, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร, กาญจนบุรี, ภาคตะวันตก, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, โผล่วตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2559ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2047
2046Ph.D. Dissertationชุมชนชาติพันธุ์ “บรู” ร่วมสมัยบนพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว: วิถีชีวิตและการปรับตัวทางวัฒนธรรมเกียรติศักดิ์ บังเพลิง<p style="text-align: justify;">
งานศึกษาสนใจการปรับตัวต่อรองอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ภายใต้บริบทรัฐชาติกับโลกาภิวัตน์ของชาว “บรู” ร่วมสมัยในชุมชนซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนเขตพรมแดนไทย-ลาว บริเวณเขตจังหวัดอุบลราชธานีกับแขวงจำปาศักดิ์ โดยพบว่าในการธำรงไว้ซึ่ง “ความเป็นบรู” บรูใช้กลยุทธ์ทางวัฒนธรรมหลายรูปแบบในการปรับตัวต่อรอง เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทั้งจากอำนาจรัฐและโครงสร้างการครอบงำต่าง ๆ ที่ปะทะหรือปฏิสัมพันธ์ด้วยในฐานะผู้กระทำการ กลยุทธ์ที่สำคัญคือการ “คืนฮีต” (ล่ะละรีต) หรือการลาออกจากการนับถือผีตระกูล และการลดทอน “ฮีตคอง” หรือจารีต ซึ่งแม้ว่าจะลดทอนอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ลงไป แต่เป็นปฏิบัติการของกระบวนการประกอบสร้างวัฒนธรรมบรูในบริบทสมัยใหม่ในเวลาเดียวกัน งานศึกษายังพบว่าเงื่อนไขและการครอบงำที่กระทำการแตกต่างกันไปตามบริบทพื้นที่ มีผลต่อการปรับตัวต่อรองของบรูแต่ละแห่ง ดังที่บรูในฝั่งไทยสามารถธำรงรักษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ไว้ได้อย่างเข้มข้นมากกว่าบรูในฝั่งลาว ด้วยเหตุที่ว่ารัฐไทยเปิดรับกระแสโลกาภิวัตน์มากกว่ารัฐลาว จึงมีพื้นที่ให้กับการแสดงออกและธำรงความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากกว่า งานศึกษายังแสดงให้เห็นถึงตัวอย่างของสังคมชาติพันธุ์ร่วมสมัย ที่มีศักยภาพในการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมกระแสหลัก ควบคู่ไปกับการรักษาสำนึกและอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ได้อย่างกลมกลืน (หน้า (2))</p>ชาติพันธุ์บรู, การปรับตัวต่อรอง, พลวัตชาติพันธุ์, การประกอบสร้างอัตลักษณ์ชาติพันธุ์, บรู, ข่า, บ้านเวินบึก, คืนฮีต, ฮีตคอง, บ้านลาดเสือ, บ้านท่าล้ง, กะตางตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย2558ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2046
2043รายงานการวิจัยชีวิตบนรอยตะเข็บ: การต่อรองสนามชายแดนของการพัฒนาและการจัดการทรัพยากรตามแนวแม่น้ำสาละวินไพบูลย์ เฮงสุวรรณ<p style="text-align: justify;">
การวิจัยนี้ เป็นการศึกษาและสำรวจพื้นที่ตามแนวแม่น้ำสาละวินผ่านการตั้งคำถาม และเจาะจงอธิบายถึงระบอบทุนนิยมชายแดน การเปลี่ยนรูปแบบอัตลักษณ์ชายแดน และการจัดการความขัดแย้งในการเปลี่ยนทรัพยากรตามแนวแม่น้ำสาละวินให้กลายเป็นสินค้าในระบบทุนนิยมนานาชาติหรือทุนนิยมโลก<br />
<br />
ในยุคเสรีนิยมสมัยใหม่นั้น กลุ่มทุนและรัฐนั้นไม่สามารถควบคุมพื้นที่บริเวณสาละวินได้โดยตรง รูปแบบทุนนิยมชายแดนจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เข้าถึงและช่วงชิงทรัพยากรเหล่านั้นจากประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น การสร้างเขื่อนโดยรัฐและนักลงทุนข้ามชาติเพื่อเปลี่ยนรูปแม่น้ำสาละวินให้กลายเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำเพื่อการค้าในตลาดพลังงานระดับภูมิภาค ถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเสรีนิยมใหม่ที่แฝงอยู่ในนโยบายของรัฐและการเมืองชาติพันธุ์ของพื้นที่ชายแดน ซึ่งอาจมาในรูปแบบของการใช้อำนาจ หรือสร้างความรุนแรงต่อประชาชน และยังมีการอ้างถึงการพัฒนาและนำความเจริญเข้าไปสู่พื้นที่ชายแดนโดยกลุ่มทุนและรัฐ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการควบคุมและใช้ทรัพยากรสาละวินได้อย่างเสรี แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับปฏิเสธการเข้าถึงและกีดกันประชาชนออกจากทรัพยากรท้องถิ่นของพวกเขา ทั้งยังถูกทำให้ไร้ตัวตนโดยถือว่าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเมืองรัฐ-ชาติ<br />
<br />
“ชาวสาละวิน” และ “ชนชายแดน” จึงถูกนิยามขึ้นโดยประชาชน โดยมีจุดประสงค์ในการสร้างพื้นที่ต่อรองในกระบวนการเจรจาต่อรอง เพื่อปกป้องวิถีการดำรงชีวิตผ่านการเข้าถึงทรัพยากรและเปลี่ยนรูปทรัพยากรให้เป็นวิถีชีวิตชายแดน และเพื่อสร้างตัวตนและการมองเห็นได้ในฐานะพลเมืองรวมไปถึงการเป็นเจ้าของอัตลักษณ์ชายแดน กล่าวคือ แม่น้ำสาละวิน จึงได้ถูกนิยามความหมายในแง่ของการเป็นแหล่งของวิถีชีวิตผ่านความทรงจำทางด้านสังคม ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และตำนานทางวัฒนธรรม<br />
<br />
การนิยามใหม่ของอัตลักษณ์ชายแดนตามแนวพื้นที่สาละวินจึงทำให้เกิดปฏิบัติการในเชิงโครงการความร่วมมือ โดยตัวแทนภาครัฐ ชนชายแดน และองค์การพัฒนาเอกชน เพื่อให้บรรลุวาระและผลประโยชน์ของตนเอง เจ้าหน้าที่รัฐไทยต้องการที่จะสถาปนาความมั่นคงชายแดน ขณะที่ชนชายแดนปรารถนาที่จะรักษาและสามารถกำหนดวิถีชีวิตของตน ผ่านการได้รับสัญชาติและการสร้างเครือข่ายขบวนการรณรงค์ต่อต้านเขื่อนสาละวิน และองค์การพัฒนาเอกชนก็ได้แสดงบทบาทในหน้าที่สื่อกลางระหว่างรัฐไทยกับชนชายแดน ทั้งยังมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้ชนชายแดนอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและปกป้องสิทธิมนุษยชน </p>ชาติพันธุ์ศึกษา, การจัดการและพัฒนาทรัพยากรตามแนวแม่น้ำสาละวิน, รอยตะเข็บชายแดนไทย-พม่า, ชาวสาละวิน, กะเหรี่ยง, เขื่อนสาละวิน, แม่ฮ่องสอน, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, อินโดจีนตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย2555ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2043
2042หนังสือMuslims in Singapore: piety, politics and policiesKamaludeen Mohamed Nasir, Alexius A. Pereira and Bryan S. Turner.<p style="text-align: justify;">
วิเคราะห์มุสลิมในสิงคโปร์ การปฏิบัติและการดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวัน บทบาทของมุสลิมในบริบทสังคมที่มีชนชั้นนำชาวจีน ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนหรือคริสต์ชน สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีการจัดการกับความหลากหลายทางศาสนาในสังคมพหุลักษณ์วัฒนธรรม เพื่อสร้างความสมานฉันท์ของคนต่างเชื้อชาติและศาสนา รัฐบาลกำหนดนโยบายใน “การพัฒนา” (upgrading) มุสลิมแบบรัฐอุปถัมภ์ทั้งทางการศึกษา การอบรม และโครงการพัฒนาต่าง ๆ โดยเฉพาะการพัฒนา “มัดดารอซะฮ์” (madrasah) หรือระบบการศึกษาทางศาสนาทั้งในด้านเนื้อหาและทิศทาง เนื้อหาของการศึกษาให้สำคัญอย่างยิ่งกับการวางนโยบายสาธารณะในสังคมพหุลักษณ์ ซึ่งมีเงื่อนไขทางชาติพันธุ์และศาสนาชูโรงอย่างสำคัญ </p>ชาวมาเลย์, มุสลิม, ชาวมาเลย์-มุสลิม, การจัดการศาสนาโดยรัฐ, พหุลักษณ์วัฒนธรรม, พหุเชื้อชาติ, ลัทธิอาณานิคม, ยุคหลังเอกราช, ความขัดแย้งทางเชื้อชาติ, สิงคโปร์, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย2553ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2042
2041หนังสือOther Malays: nationalism and cosmopolitanism in the modern Malay worldKahn, Joel S.<p style="text-align: justify;">
Other Malays ของคาห์น เสนอคำอธิบายชนชาติมาเลย์ที่อยู่บนฐานของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ และเงื่อนไขทางสังคม วัฒนธรรม ศาสนา ในมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และประเทศใกล้เคียง เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเป็นชนชาติมาเลย์แบบชาตินิยมที่ผ่านการอธิบายแนวคิด “กัมปงมาเลย์” (Kampong Melayu) ดั้งเดิมนั้น ก่อตัวขึ้นในเงื่อนไขทางการเมืองของกระแสชาตินิยม ทั้งก่อนและหลังการได้รับเอกราชจากอังกฤษ ปลายยุคอาณานิคมถึงการสร้างชาติ พร้อมที่ชี้ให้เห็นความหมายที่คับแคบของความเป็นมาเลย์ (Malay-ness)ในแบบดังกล่าว ตลอดเหตุการณ์ทางสังคม การเมือง วัฒนธรรม ล้วนชี้ภาวะความเป็นมาเลย์ไปในทิศทางตรงข้าม คาห์นชี้ให้เห็นว่าปัจจัยทางด้านการค้า ลัทธิอาณานิคมยุโรป การปฏิรูปทางศาสนาอิสลาม การเคลื่อนไหวสากลนิยมในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 หากพิจารณาให้ดีแล้ว ชนมาเลย์และผู้คนที่อพยพมาจากดินแดนต่าง ๆ ในหมู่เกาะ (Archipelago) หรือที่เคยได้รับการระบุไว้โดยเจ้าอาณานิคมว่า “มาเลย์ต่างแดน” (foreign Malays) ต่างมีภาวะของการเคลื่อนย้ายและผสมผสานผ่านภาษา พิธีกรรม ข่ายใยการค้า ฉะนั้น แล้วความเป็นมาเลย์ควรพิจารณาให้เห็นถึงความลื่นไหล ไม่ตายตัว ความเป็นมาเลย์ไม่ได้ยึดกับถิ่นฐานแต่ข้ามแดน (trans-border) ในที่นี้ คาห์นจึงเสนอให้มองความเป็นมาเลย์แบบคอสโมโพลิสม์ที่เกิดขึ้นกับหลากชนชั้น </p>Malays, Other Malays, “Peranakan” (ผู้เขียนใช้ในความหมายของสภาวะการเกิดขึ้นของลูกผสม ไม่ใช่ในความหมายของกลุ่มชาติพันธุ์เปอรานากันโดยตรง), กำเนิดชาติพันธุ์ (Ethnogenesis), อาณานิคมอังกฤษ, ชาตินิยม, การสร้างชาติ, อุดมการณ์ทางการเมืองรวมกลุ่ม (communitarianism), เรื่องเล่าสร้างชาติ (national narratives), คอสโมโพลิแทนิสม์ (Cosmopolitanism), อัตลักษณ์ข้ามชาติ (Transnational identity), มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, คาบสมุทรและหมู่เกาะ (Peninsular and insular), เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, มุสลิม, สเตรทเซ็ตทัลเมนต์ (Straits Settlement)ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย2549ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2041
2040รายงานการวิจัยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกลุ่มชาวจีนฮกจิวในภาคใต้ของประเทศไทย: กรณีศึกษาชุมชนชาวจีนฮกจิว อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราชปิยชาติ สึงตี และสิรีธร ถาวรวงศางานวิจัยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกลุ่มชาวจีนฮกจิวในภาคใต้ของประเทศไทย กรณีศึกษาชุมชนชาวจีนฮกจิว อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นการศึกษาผ่านทางเอกสารที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับการเก็บข้อมูลบอกเล่าจากผู้สูงอายุในพื้นที่ ที่ถูกถ่ายทอดมาจากของบรรพบุรุษมายังลูกหลาน โดยศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การอพยพของชาวจีนฮกจิวที่มายังอำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพื้นที่แรกที่ชาวจีนฮกจิวอพยพมายังประเทศไทย ในสมัยที่เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติถือครองที่ดิน พ.ศ. 2473 โดยในช่วงแรก ชาวจีนฮกจิวที่อพยพมามีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 หรือนโยบายชาตินิยมสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ล้วนส่งผลต่อการตั้งถิ่นฐานของชาวจีนฮกจิว นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังต้องการศึกษามิติทางวัฒนธรรมในการก่อตั้งระบบวิถีชุมชน หรือการมีธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างจากชาวจีนกลุ่มอื่น เช่น ด้านอาหาร พิธีกรรม เป็นต้นชาวจีนฮกจิว, อำเภอนาบอน, นครศรีธรรมราช, ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, ชาวจีนในภาคใต้ตำบลนาบอน อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช ประเทศไทย2553ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2040
2039-การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้วสมรักษ์ ชัยสิงห์กานานนท์, จักรี โพธิมณีสาครบุรี เป็นเมืองที่มีการอพยพเคลื่อนย้ายผู้คนจากถิ่นต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะตั้งอยู่ปากแม่น้ำ มีลำคลองเชื่อมต่อกับเมืองหลวง จึงกลายเป็นเมืองท่าสำคัญ เมื่อสยามเริ่มติดต่อกับมหาอำนาจตะวันตก สาครบุรีถูกใช้เป็นเส้นทางหลัก ลำเลียงผลผลิตทางการเกษตรผ่านคลองภาษีเจริญและดำเนินสะดวก ทำให้พื้นที่เพาะปลูกขยายวงกว้าง มีการอพยพผู้คนในบังคับของสยามที่ได้กรรมสิทธิ์ถือครองที่ดิน เกิดเป็นชุมชนและย่านการค้าใหม่ ในพื้นที่อำเภอบ้านแพ้วและกระทุ่มแบนปัจจุบัน จนเมื่อไม่กี่ทศวรรษก่อน เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ความต้องการแรงงานเพิ่มมากขึ้น การย้ายถิ่นของผู้คนเข้ามาในสมุทรสาครจึงมีมากขึ้นอีกระลอก<br />
การศึกษาถึงข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และการเคลื่อนย้ายของชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติในเศรษฐกิจยุคใหม่ หากวิเคราะห์ถึงการปรับเปลี่ยนทัศนะคติและความสัมพันธ์ระหว่างกัน พบว่า พื้นที่อำเภอบ้านแพ้ว ชุมชนดั้งเดิมเช่นไทยรามัญและไทดำ เปลี่ยนวิถีการผลิตจากการทำนามาสู่การทำสวน แต่ยังรักษาพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิต แสดงถึงความผูกพันกับชุมชนดั้งเดิม สำหรับการเคลื่อนย้ายของแรงงานชาติพันธุ์มอญจากเมียนมา พบว่า มักทำงานในพื้นที่การเกษตรที่มีชุมชนไทยรามัญเพราะสามารถใช้ภาษามอญในการสื่อสารได้ ในส่วนอำเภอกระทุ่มแบน มีแรงงานจากหลายกลุ่ม เช่น แรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ข้ามชาติจากเมียนมา แรงงานชาวปลังจากบนเขา ต่างมีการปรับตัวเข้ากับสังคมไทย และสร้างความสัมพันธ์ต่อกันผ่านมิติทางเศรษฐกิจ มีการสร้างเครือข่ายแบบไม่เป็นทางการแยกตัว เพราะมีจำนวนแรงงานและการสนับสนุนขององค์กรไม่มากนักชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม สมุทรสาคร ประเพณี พิธีกรรม การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ข้ามชาติตำบลนาบอน อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ประเทศไทย2560https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2039
2038รายงานการวิจัยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาครสมรักษ์ ชัยสิงห์กานานนท์, ศิริมา ทองสว่าง, ภูมิชาย คชมิตร, จักรี โพธิมณีจากผลของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในจังหวัดสมุทรสาคร ทำให้เกิดการอพยพแรงงานเข้ามาในพื้นทื่ โดยกลุ่มที่เข้ามาในระยะแรกคือ คนไทยจากภูมิภาคต่าง ๆ สำหรับกลุ่มแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติจากเมียนมา เช่น มอญ พม่า กะเหรี่ยง ทวาย คะฉิ่น และอื่น ๆ เพิ่งย้ายเข้ามาในปัจจุบัน แรงงานกลุ่มนี้มีการสร้างความสัมพันธ์ต่อกันผ่านทางเศรษฐกิจในสังคมโรงงาน ส่วนแรงงานในภาคการเกษตรไม่เห็นด้วยกับการรวมกลุ่ม ทำให้กลุ่มแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติทั้ง 2 กลุ่ม มีการปฏิสัมพันธ์ต่อกันน้อย ทางด้านการปรับตัวเข้ากับสังคมไทย เป็นไปในลักษณะเชื่อมโยงเข้ากับกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิม ผ่านกิจกรรมทางวัฒนธรรม มีการปลูกฝังค่านิยมทางวัฒนธรรมแก่เด็ก ผ่านระบบการศึกษาทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ แสดงให้เห็นว่า การอาศัยอยู่ร่วมกันของชุมชนต่าง ๆ ในปัจจุบันมีความสัมพันธ์กันในหลายมิติ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่เปลี่ยนลักษณะทางวัฒนธรรมในพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาครชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ สมุทรสาคร ชาติพันธุ์สัมพันธ์ การแสดงออกทางวัฒนธรรม เครือข่ายชาติพันธุ์ตำบลนาบอน อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ประเทศไทย2559https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2038
2037วิทยานิพนธ์ชีวิตพลัดถิ่น : คนคาเร็นนีที่เข้ามาอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนบัณฑิต ไกรวิจิตรคนคาเร็นลี้ภัยจากสงครามเข้ามาตั้งถิ่นฐานในชุมชนพลัดถิ่นประเทศไทย อยู่อาศัยหลายปี ไม่สามารถกลับสู่ถิ่นฐานบ้านเกิดและต้องปรับตัวตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง อาศัยอยู่ท่ามกลางความรู้สึกแปลกแยก เนื่องจากการจากถิ่นมาอย่างยาวนาน และอาศัยอยู่ในประเทศไทยอย่างคนต่างถิ่น มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้อื่นปและอยู่อย่างผู้อพยพ ทำให้พวกเขาเกิดความลักลั่น สับสนในการดำรงอยู่ ไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนพลัดถิ่นที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันและไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของชาติคาเร็นที่สร้างขึ้นได้มาจนถึงปัจจุบันคาเร็นนี,กะเหรี่ยง,ผู้ลี้ภัย,แม่ฮ่องสอน,พม่า,คะยา,ชาวคะยา,พลัดถิ่น,กะเรนนี,คะยาห์,กะเหรี่ยงแดงตำบลนาบอน อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2549ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2037
2035วิทยานิพนธ์นโยบายการศึกษาของไทยและผลกระทบที่มีต่อวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อย : การศึกษาชาวเขาดอยมูเซอในแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทยเหงียน กวาง หยุงวิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งวิเคราะห์นโยบายการศึกษาของไทยต่อชนเผ่าและอิทธิพลของนโยบายดังกล่าว ต่อวัฒนธรรมชนเผ่าจากกรณีศึกษาของชาวมูเซอดำในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย อีกทั้งยังมุ่งศึกษา กระบวนการอนุรักษ์ บูรณาการ และกลืนกลายทางวัฒนธรรมของชนเผ่ามูเซอผ่านรูปแบบทางการศึกษาทั้งใน รูปแบบที่เป็นทางการ ไม่เป็นทางการ และการศึกษานอกระบบ ทั้งนี้ ผู้วิจัยจะวิเคราะห์ปฏิกริยาของชาวบ้านใน หมู่บ้านต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอย่างละเอียด การศึกษาชิ้นนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพโดยใช้วิธี การศึกษาจากเอกสาร ทฤษฎี นโยบายทางการศึกษา การสังเกตการณ์ การสนทนากลุ่ม และการสัมภาษณ์ใน เชิงลึก รวมทั้งการนำเสนอบทวิเคราะห์จากข้อมูลที่ได้จากการเก็บข้อมูลภาคสนาม จากการศึกษา ผู้วิจัยพบว่า นอกจากความรู้ต่างๆ ที่ได้ส่งผ่านการเรียนภาษาไทยแล้ว นักเรียนยังได้รับ การปลูกฝังในเรื่องของอัตลักษณ์ไทยผ่านคำสอนของพุทธศาสนา ความเชื่อเรื่องคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม ของวัฒนธรรมกระแสหลัก รวมทั้งอุดมการณ์ชาตินิยม<br />
<br />
การศึกษาส่งผลให้เกิดอัตลักษณ์เชิงซ้อนในหมู่คนรุ่นใหม่ ของชาวมูเซอ ซึ่งเห็นได้จากทัศนคติของพวกเขาต่อวัฒนธรรมและขนบดั้งเดิม และความยืดหยุ่นของมุมมองที่ พวกเขาเห็นว่าตนเองเป็นทั้งไทยและมูเซอตามปริบทเฉพาะที่แตกต่างกัน ในขณะที่วัฒนธรรมดั้งเดิมค่อยๆ เลือน หายไปจากชาวมูเซอจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นอีกรุ่นหนึ่ง งานวิจัยพบว่าอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมมูเซอ เช่น อาหาร ดนตรี คติชนวิทยา ศาสนา ภาษา และเครื่องแต่งกายนั้นสะท้อนในชาวมูเซอรุ่นใหม่น้อยลง อัตลักษณ์ใหม่สะท้อนให้ เห็นจากรูปแบบวิถีชีวิตและพฤติกรรมแบบใหม่ ค่านิยมและความเชื่อที่แตกต่างจากเดิม ตัวอย่างที่ชัดเจนได้แก่ ความเชื่อในพุทธศาสนาที่เพิ่มมากขึ้นในขณะเดียวกันความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมดั้งเดิมลด น้อยลง รวมไปถึงผลกระทบต่อการใช้ภาษามูเซอในชีวิตประจำวันน้อยลง อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ไม่ได้เป็น ปัญหาของชาวมูเซอเท่านั้น หากแต่ยังเป็นปัญหาของหน่วยงานที่รับผิดชอบและวางนโยบายที่ต้องร่วมกัน พิจารณาและดำเนินการเพื่อช่วยอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของชาวมูเซออย่างเหมาะสมนโยบายการศึกษา,ผลกระทบจากนโยบายการศึกษา,ลาหู่นะ,ลาหู่,มูเซอดำ,มูเซอ,แม่สอด,ตากตำบลนาบอน อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2551ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2035
2034หนังสือSiamese melting pot: Ethnic minorities in the making of Bangkokเอ็ดเวิร์ด ฟาน รอยงานศึกษาภูมิหลังเชิงประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่เข้ามาตั้งรกรากในกรุงเทพฯ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประกอบด้วย มอญ ลาว จาม เปอร์เซีย อาหรับ อินเดีย มาเลย์ จีน ขแมร์ เวียดนาม ไทยโยนก ซิกข์ จีนเชื้อสายต่างๆ รวมไปถึงชาวตะวันตก สะท้อนให้เห็นความจริงที่ว่า กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่มีกลุ่มคนต่างเชื้อชาติต่างวัฒนธรรมอาศัยอยู่ร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน มีการผสมผสานเชิงวัฒนธรรมจนเป็นที่มาของความเป็นคนสยาม ซึ่งต่อมาก็คือ “คนไทย” ข้อเท็จจริงดังกล่าวได้นำไปสู่การสะท้อนย้อนคิด ถอดรื้อความคิดความเชื่อ มายาคติเรื่องชาติพันธุ์ หรือเชื้อชาติไทย ว่าแท้ที่จริงแล้ว “ความเป็นไทย” ในปัจจุบัน ทั้งในแง่ของของความเป็นชาติพันธุ์หรือวัฒนธรรม ล้วนเป็นส่วนผสมที่เกิดจากการหลอมรวมเอาคนต่างชาติพันธุ์ต่างวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน ความเป็น คนสยาม หรือ คนไทย จึงอุปมาดั่งหม้อหลอมใบใหญ่ที่บรรจุเอาสิ่งละอันพันละน้อยเข้าไว้ด้วยกันตั้งรกราก,สยามต้นรัตนโกสินทร์,มอญ,ลาว,จาม,เปอร์เซีย,อาหรับ,อินเดีย,มาเลย์,แต้จิ๋ว,ฮกเกี้ยน,ฮากกา,ไหหลำ,กวางตุ้ง,ขแมร์,เวียดนาม,ไทยยวน,ซิกข์,โปรตุเกสตำบลนาบอน อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2560ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2034
2033รายงานการวิจัยวัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์กูยจังหวัดศรีสะเกษบูรณ์เชน สุขคุ้ม และ ธนพล วิยาสิงห์<p style="text-align: justify;">
รายงานการวิจัยเรื่อง วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์กูยจังหวัดศรีสะเกษได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านของชาวกูยจังหวัดศรีสะเกษ โดยศึกษาผ่าน แหล่งอาหาร ชนิดอาหาร ส่วนประกอบและวิธีการประกอบอาหารของชาวกูย ตลอดจนอาหารในพิธีกรรมถึงความเชื่ออาหารของชาวกูย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากเอกสารวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีกลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ชาวกูยบ้านกู่ ตำบลกู่ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีการนำเสนอเป็นงานเขียนเชิงพรรณนาและวิเคราะห์<br />
<br />
โดยมีกรอบแนวคิดการวิจัยว่าด้วยแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นมาและวิถีชีวิตของชาวกุย ทฤษฎีเกี่ยวกับอาหารพื้นบ้าน และทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ (Functionalism) ผลการศึกษาพบว่า ด้วยลักษณะของภูมิประเทศที่เป็นเนินสูง มีที่ราบลุ่มมีแหล่งน้ำรอบชุมชน นั้นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เป็นแหล่งอาหารที่เกิดจากธรรมชาติที่สำคัญของชาวกูยบ้านกู่ และสามารถเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ที่สามารถนำทรัพยากรเหล่านั้นมาประกอบอาหาร โดยแหล่งอาหารที่พบนั้นมาจากที่นา ที่สวน ป่าและโคกที่เป็นเนิน และแหล่งน้ำตามธรรมชาติ อาหารที่ชาวกูยรับประทานแบ่งเป็นประเภท คือ กับข้าว ของหวาน ผักและผลไม้ นิยมรับประทานข้าวสวยเป็นหลัก ส่วนข้าวเหนียวนิยมรับประทานในงานพิธีต่างๆ ชาวกูยให้ความสำคัญกับอาหารมื้อเช้าและมื้อค่ำที่มักรับประทานพร้อมหน้ากันโดยมีอาหารหลักที่ขาดไม่ได้ คือ ป่น (น้ำพริก) ปลาร้าและแกง<br />
<br />
ในแต่ละมื้อจะประกอบอาหารให้พอสำหรับรับประทาน โดยไม่มีการกักตุนอาหารไว้รับประทานหลายมื้อ หากได้อาหารมาในจำนวนมากพอจะทำการถนอมไว้สำหรับรับประทานในมื้อต่อไป ชาวกูยมีความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและผีบรรพบุรุษ สำหรับอาหารในทัศนะของชาวกูยนั้น นอกจากสำหรับปรุงไว้เพื่อรับประทานในชีวิตประจำวันแล้วยังมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการประกอบพิธีที่เกี่ยวกับผี วิญญาณบรรพบุรุษ วัฒนธรรมและวิถีการรับประทานอาหารมีความสอดคล้องกับข้อห้าม คำสอนที่เกี่ยวข้องกับอาหารที่รับประทานในชีวิตประจำวัน<br />
<br />
ปัจจุบันชาวกูยนิยมรับประทานอาหารแบบชาวกูยควบคู่กับอาหารไทยสากลทั่วไป อาหารบางชนิดมีการผสมผสาน ปรับให้เข้ากับอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ คือ ลาวและเขมร อาหารบางชนิดจึงถูกจัดให้เป็นอาหารท้องถิ่นแต่ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่ง ซึ่งอาหารดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากคนในชุมชนและถูกยกระดับให้เป็นธุรกิจขนาดเล็กในชุมชน </p>อาหารพื้นบ้าน,กลุ่มชาติพันธุ์,กูย,พิธีกรรม,ความเชื่อ,จังหวัดศรีสะเกษ,วัฒนธรรมอาหารตำบลนาบอน อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2556ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2033
2032วิทยานิพนธ์วิถีการดำรงชีวิตและความแตกต่างทางสังคมของคนขมุในการพัฒนาเศรษฐกิจบริเวณชายแดนไทย-ลาวศศิภา คำก่ำวิทยานิพนธ์ชิ้นนี้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่แปรเปลี่ยนไปตามบริบทการพัฒนา ทุนนิยมชายแดน และการเข้าถึงทรัพยากรการดำเนินชีวิตทางเศรษฐกิจ สังคมและพื้นที่ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ขมุบ้านหัวโค้ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย<br />
ข้อค้นพบในการศึกษาครั้งนี้คือ อำเภอเชียงของเป็นพื้นที่ชายแดนที่เติบโตขึ้นมาจากการเป็นศูนย์กลางในการขายของป่าบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง การเติบโตทางเศรษฐกิจได้นำเอาพื้นที่เชียงของกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวและเป็นแหล่งรวมกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายที่กระจายตัวไปในชุมชนต่าง ๆกลุ่มชาติพันธุ์ขมุที่อพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่หลังกลุ่มชาติพันธุ์ต้องตกอยู่ในฐานะทางสังคมที่เป็นรอง โดยเข้ามาเป็นแรงงานมีข้อจำกัดในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดิน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการยกระดับสถานภาพ การมีอำนาจการต่อรองน้อยกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆที่มาอยู่ก่อนทำให้พื้นที่ทางสังคมของคนขมุในพื้นที่อำเภอเชียงของมีไม่มากนัก แต่ต่อมาความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ก็ส่งผลให้คนขมุกลุ่มหนึ่งมีการสะสมทุนกลายเป็นขมุที่ร่ำรวย ผ่านการเข้าถึงที่ดินทำกิน การมีสถานะความเป็นไทย การศึกษาและการเมืองท้องถิ่น นำมาซึ่งความเหลื่อมล่ำทางสถานภาพทางสังคมในกลุ่มคนขมุด้วยกันเอง โดยความแตกต่างและความเหลื่อมล้ำนี้เองที่เชื่อมโยงกับการปรับเปลี่ยนการนับถือศาสนา เพื่อการเป็นที่ยอมรับ การเข้าถึงทรัพยากร การมีโอกาสทางการศึกษาและการยกสถานะภาพของครัวเรือนของกลุ่มชาติพันธุ์ขมุบ้านหัวโค้ง (หน้า ฉ-ช)ขมุ การดำรงชีวิต ความแตกต่างทางสังคม ชายแดนไทย-ลาว การพัฒนาเศรษฐกิจ เชียงของตำบลนาบอน อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2558ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2032
2031วิทยานิพนธ์กระบวนการกลายเป็นสินค้าของหัตถกรรมฝีมือชาติพันธุ์ลีซูอะมีมะ แซ่จูงานศึกษาเรื่องกระบวนการกลายเป็นสินค้าของหัตถกรรมฝีมือชาติพันธุ์ลีซู มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทของการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและบริบททางวัฒนธรรมที่ทำให้หัตถกรรมฝีมือได้กลายมาเป็นสินค้าที่ซื้อและขายในหมู่คนลีซูด้วยกันเอง 2) ศึกษาความหมายในทางสังคมที่ชาวลีซูนิยมสวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับเงินมากขึ้น ท่ามกลางอิทธิพลของความทันสมัยที่เข้ามาในสังคมลีซู และ 3) ศึกษากระบวนการผลิตและการจำหน่ายหัตถกรรมฝีมือในระบบตลาด<br />
พื้นที่ที่ศึกษา คือ หมู่บ้านลีซูสามหมู่บ้าน ได้แก่ 1)บ้านน้ำฮูลีซู อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน 2) บ้านศรีดงเย็น อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และ 3) บ้านโป่งน้ำร้อนลีซู อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ยังมีกรณีศึกษาหมู่บ้านอื่นที่ผลิตหัตถกรรมฝีมือเหล่านี้ด้วย<br />
สิ่งที่ศึกษาในงานดังกล่าว คือ ตัวสินค้าที่เป็นเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับเงินเป็นหลัก และงานศึกษาใช้วิธีการเก็บข้อมูลเชิงชาติพันธุ์วรรณนาในชุมชนลีซู ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2555 ถึง เมษายน 2556<br />
ผลการศึกษา พบว่า<br />
1. ผลพวงระยะยาวของการพัฒนาบนพื้นที่สูงกับบริบทของการฟื้นฟูและสร้างอัตลักษณ์และสำนึกทางชาติพันธุ์ใหม่ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดอุปสงค์และอุปทานของเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับเงินในสังคมลีซู กล่าวคือการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบนพื้นที่สูงในระยะที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความแตกต่างของชุมชนลีซู 2 ประการ คือ<br />
1) ชุมชนที่อยู่ใกล้เมืองกลายมาเป็นชุมชนท่องเที่ยว ประสบการณ์ในการผลิตสินค้าหัตถกรรมเพื่อขายให้นักท่องเที่ยวได้เปลี่ยนมาผลิตเพื่อขายให้คนลีซูด้วยกันเองในระยะต่อมา<br />
2) ชุมชนที่อยู่ห่างไกลเมือง ได้รับเอาการเพาะปลูกพืชเชิงพาณิชย์ที่เจ้าหน้าที่รัฐและองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาส่งเสริม เพื่อจำหน่ายในตลาดพื้นราบ ด้ายสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ชาวบ้านในชุมชนห่างไกลไม่มีเวลาตัดเย็บเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และทำเครื่องประดับเงินด้วยตนเองดังเช่นในอดีตแต่พวกเขามีรายได้จากการขายผลผลิตทางการเกษตร จึงต้องอาศัยการซื้อเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับจากชาวลีซูกลุ่มที่อยู่ใกล้เมือง นอกจากนั้นแล้ว ยังมีความต้องการซื้อเครื่องประดับเครื่องแต่งกายจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อพยพเข้าสู่เมืองมากขึ้นอีกด้วย<br />
2. ความนิยมในการซื้อและสวมใส่เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับในสังคมลีซูเกิดขึ้นในบริบทของการฟื้นฟูวัฒนธรรมท้องถิ่นและชาติพันธุ์ อันเนื่องมาจากการจัดงานมหกรรมสืบสานวัฒนธรรมลีซูแห่งประเทศไทย ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา<br />
3. กระบวนการผลิตสินค้าหัตถกรรมลีซูมีความสลับซับซ้อนและล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ผู้ผลิตแต่ละรายมีประสบการณ์ยาวนานในการเจรจาต่อรองและซื้อหาวัตถุดิบจากร้านค้าเสื้อผ้าในเมืองเชียงใหม่ จนกลายเป็นลูกค้าประจำที่สามารถซื้อวัตถุดิบได้ในราคาถูก ตลอดจนมีการเรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะเนื้อผ้าและสีสันของผ้าชนิดใหม่ที่เข้ามาอยู่ตลอดเวลา<br />
สำหรับกระบวนการตัดเย็บ พบว่าสมาชิกในครอบครัวและระบบเครือญาติมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือผู้ผลิตแต่ละรายจะตัดผ้าแล้วแจกจ่ายงานย่อยแต่ละชิ้นให้สมาชิกในครอบครัวและเครือญาติช่วยเย็บ แล้วจึงรวบรวมเพื่อนำมาประกอบเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปสำหรับการนำไปจำหน่ายต่อไป<br />
ทักษะและประสบการณ์ในการผลิตจึงถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นภายในครอบครัว ดังนั้น แฟชั่นหรือรูปแบบการออกแบบจึงขึ้นอยู่กับผู้ผลิตแต่ละราย แต่ก็ต้องมีส่วนประกอบและลวดลายเฉพาะที่เป็นการบ่งบอกถึงอัตลักษณ์ของลีซูด้วย จึงจะสามารถขายได้ สำหรับแหล่งจำหน่ายนั้น มีการส่งไปจำหน่ายตามร้านค้าในตัวอำเภอปาย ตลาดแม่มาลัย ในเมืองเชียงใหม่ และที่โป่งน้ำร้อนในอำเภอเวียงป่าเป้า อีกทั้งการเร่ขายตามหมู่บ้าน และการขายในโอกาสเทศกาลปีใหม่ลีซู (ช่วงตรุษจีน) และงานมหกรรมสืบสานวัฒนธรรมลีซูแห่งประเทศไทยอีกด้วย ลีซู กระบวนการกลายเป็นสินค้า หัตถกรรม งานฝีมือ บ้านน้ำฮูลีซู อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน บ้านศรีดงเย็น อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ บ้านโป่งน้าร้อนลีซู อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงรายตำบลนาบอน อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2557ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2031
2030วิทยานิพนธ์“จราเมาะห์อากามา” (การบรรยายศาสนา): ความหมาย และขบวนการเคลื่อนไหวทาง ศาสนาของชาวมลายูมุสลิมสายจารีตอัสรี มาหะมะวิทยานิพันธ์ฉบับนี้ ศึกษาพิธีกรรมทางศาสนาของชาวมลายูมุสลิมสายเก่าที่เรียกว่า จราเมาะห์อากามา หมายถึงการฟังการบรรยายศาสนาทุกวันเสาร์ในมัสยิดกลางปัตตานี เพื่อศึกษาขบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนาของกิจกรรมดังกล่าวที่แสดงถึงการต่อรอง ตอบโต้ และยืนหยัดในความเป็นมลายูมุสลิมสายจารีตภายใต้บริบทของความทันสมัยจากรัฐและกระบวนการอิสลามานุวัตร<br />
ผู้วิจัยใช้กระบวนการศึกษาแบบชาติพันธุ์วรรณนา โดยใช้วิธีการสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม พื้นที่ศึกษาคือ มัสยิดกลาง จังหวัดปัตตานี ซึ่งจะมีชาวมลายูมุสลิมมาร่วมจราเมาะห์อากามาหรือร่วมฟังการบรรยายศาสนาในทุกวันเสาร์<br />
ผลการศึกษาพบว่า ชาวมลายูมุสลิมกว่า 1 พันคนคนมารวมตัวกันทำกิจกรรมทางศาสนาเพื่อรับฟังการบรรยายทางศาสนา โดยการบรรยายนั้นเป็นไปเพื่อ การตีความเพื่อปรับตัวและความสัมพันธ์เชิงอำนาจ และการสร้างสำนึกต่อความเป็นท้องถิ่น (หน้าบทคัดย่อ)มุสลิมมลายู จราเมาะห์อากามา ขบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนา มัสยิดกลางปัตตานีตำบลนาบอน อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2558ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2030
2029วิทยานิพนธ์ชาวดอยไร้สัญชาติกับอัตลักษณ์: ศึกษากรณีกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า หมู่บ้านพญาไพรเล่ามา จังหวัดเชียงรายอาทิตย์ วงศ์อทิติกุล<p style="text-align: justify;">
งานวิจัยชิ้นนี้ต้องการศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงทางอัตลักษณ์ของชาวอาข่า หมู่บ้านพญาไพรเล่ามา ที่เกิดขึ้นจากการได้มาซึ่งสัญชาติไทย โดยผู้ศึกษาได้ลงพื้นที่ดังกล่าวเพื่อเก็บข้อมูล ผ่านการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์ การสังเกต การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “พหุลักษณ์ในสังคมไทย” ตามกรอบแนวคิดการวิจัย (หน้า 28) ผลการศึกษาพบว่า การเปลี่ยนแปลงทางอัตลักษณ์ของชาวอาข่า หมู่บ้านพญาไพรเล่ามาแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางสิทธิต่างๆ หลังการได้สัญชาติไทย 13 ด้าน (หน้า 197) และการปรับเปลี่ยนทางอัตลักษณ์โดยการสร้างตัวตนความเป็นคนไทยขึ้นมา หรือเรียกว่า ภาวะเสมือนของความเป็นพลเมืองของประเทศ เช่น ความคิดว่าตนเป็นคนไทยเพราะเกิด และอาศัยในประเทศไทย เป็นต้น</p>กลุ่มชาติพันธุ์อาข่า, ชาวดอย, ภาวะไร้สัญชาติ, หมู่บ้านพญาไพรเล่ามา, เชียงรายตำบลนาบอน อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2549ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2029
2028วิทยานิพนธ์การนำเสนอรูปแบบการศึกษาเพื่อสืบทอดวัฒนธรรมอาข่าอุทัย ปัญญาโกญ<span style="text-align: justify;">งานวิจัยชิ้นนี้ เป็นการหารูปแบบทางการศึกษาทั้งสามประเภท ได้แก่ การศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย เพื่อการสืบทอดวัฒนธรรมอาข่า เนื่องจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้การสืบทอดวัฒนธรรมระหว่างผู้อาวุโสและเยาวชนลดน้อยลง และยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน เช่น พิธีกรรมความเชื่อ การประกอบอาชีพ การแต่งกาย เป็นต้น ผู้ศึกษาจึงได้ลงพื้นที่หมู่บ้านอาข่าเพื่อหาคุณค่าทางอัตลักษณ์ของชาวอาข่า จากผู้อาวุโส ผู้ปกครอง และเยาวชนตามกรอบแนวคิดทางวัฒนธรรม จนได้รูปแบบการจัดการศึกษาทั้งสามประเภท โดยเน้นถึงการมีส่วมร่วมของทุกภาคส่วนในการสืบทอดวัฒนธรรม</span>วัฒนธรรมอาข่า, การสืบทอดวัฒนธรรมอาข่า, กลุ่มชาติพันธุ์อาข่า, รูปแบบการศึกษาเพื่อการสืบทอดวัฒนธรรม, การศึกษาอาข่าตำบลนาบอน อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2028
2026วิทยานิพนธ์การปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเขิน : การต่อรองเพื่อสิทธิทางการเป็นพลเมืองทางวัฒนธรรมเบญจวรรณ สุขวัฒน์<p style="text-align: justify;">
งานวิจัยนี้ใช้วิธีการทางมานุษยวิทยาด้วยระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพในการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินที่อพยพจากเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า เข้ามาอาศัยในพื้นที่บ้านเหล่าพัฒนา ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่ พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา โดยส่วนมากไม่มีสถานะเป็นพลเมืองไทย ผู้เขียนมุ่งเน้นการอธิบายการแสดงออกถึงจิตสำนึกร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินผ่านการแสดงตัวตนและการเชื่อมโยงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสัมพันธ์กับแหล่งอพยพและสัมพันธ์กับการเป็นพลเมืองในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ในพื้นที่เดียวกัน<br />
<br />
ผลการศึกษาพบว่า ชาวไทเขินมีการสร้างความทรงจำร่วมกันทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เพื่อสร้างจิตสำนึกร่วมกันและใช้ในการต่อรองสิทธิและอำนาจในการเข้ามาอยู่ในพื้นที่บ้านเหล่าพัฒนา รวมทั้งการใช้ทรัพยากรได้อย่างชอบธรรม ทั้งนี้ ยังมีการปรับตัวทั้งทางด้านการประกอบอาชีพ ศาสนาและความเชื่อ การแต่งกาย และวัฒนธรรม ให้สอดคล้องกับระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกของรัฐไทย และแสดงความแตกต่างด้วยการยึดโยงความสัมพันธ์กับเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า สำหรับสถานะทางสังคม ชาวไทเขินเป็นผู้นำของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ภายในหมู่บ้านในการดำเนินการด้านกิจกรรมและการจัดการในหมู่บ้าน มีโอกาสได้รับตำแหน่งผู้นำหมู่บ้าน ให้ความร่วมมือในกิจกรรมต่างๆ ทั้งในระดับหมู่บ้านและจังหวัด และมีการรวมกลุ่มเครือข่ายชาติพันธุ์เชียงราย ทำให้สามารถใช้ต่อรองสิทธิต่างๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ตนเองได้ แต่อย่างไรก็ดี การขับเคลื่อนเพื่อการต่อรองของชาวไทเขินยังไม่สามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่เนื่องด้วยการขาดการได้รับเสรีภาพที่เท่าเทียมกับพลเมืองไทย ผลจากการศึกษาสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลของภาครัฐในการวางแผนระบบการจัดการกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ได้</p>ขึน ไทขึน ไทเขิน การปรับตัว สิทธิพลเมือง อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2558ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2026
2025วิทยานิพนธ์ลัทธิพิธีการนับถือเจ้าแม่สองนางกับชุมชนชายฝั่งลุ่มน้ำโขงภาณุพงศ์ อุดมศิลป์<p style="text-align: justify;">
<span style="font-family:arial,helvetica,sans-serif;">งานชิ้นนี้ได้ใช้วิธีการรวบรวมข้อมูลเอกสาร (Documentary Research) และรวบรวมข้อมูลภาคสนาม (Field work Research) เป็นแนวทางการดำเนินการศึกษาเพื่อศึกษาความเชื่อและตำนานเจ้าแม่สองนางที่พบในชุมชนชายฝั่งลุ่มน้ำโขง 13 แห่ง ได้แก่ 1.ชุมชนวัดหอสองนาง อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย </span><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif;">2.อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู </span><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif;">3.ชุมชนวัดกลาง อำเภอศรีเชียงใหม่ </span><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif;">4.อำเภอท่าบ่อ </span><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif;">จังหวัดหนองคาย </span><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif;">5.บ้านเวียงคุก ตำบลเวียงคุก </span><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif;">จังหวัดหนองคาย </span><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif;">6.ชุมชนวัดหายโศก อำเภอเมือง </span><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif;">จังหวัดหนองคาย </span><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif;">7.ชุมชนวัดจอมนาง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย </span><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif;">8.อำเภอบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ </span><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif;">9.บ้านแพงใต้ และ 10.บ้านนาเขท่า อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม </span><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif;">11.บ้านน้ำก่ำ หมู่ 17 และ 12. หมู่ 10 อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม </span><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif;">13.และอำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร</span></p>
<p style="text-align: justify;">
<span style="font-family:arial,helvetica,sans-serif;">ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2550-2554 รวมถึงศึกษาบทบาทของลัทธิพิธีเกี่ยวกับเจ้าแม่สองนาง โดยเน้นเฉพาะพิธีกรรมเกี่ยวกับเจ้าแม่สองนาง ในอำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร 4 พิธีกรรมประกอบด้วย 1) พิธีกรรมบวงสรวงเจ้าแม่สองนาง 2) พิธีกรรมส่วงเฮือประจำปี 3) พิธีทำบุญสงกรานต์และถวายเครื่องบรรณาการแด่เจ้าแม่สองนางและเจ้าพ่อฟ้ามุงเมือง และ 4) พิธีกรรมถวายเครื่องบรรณาการแด่พระธาตุพนม ณ วัดพระธาตุพนม อำเภอพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม ผลจากการศึกษาพบว่า ทั้ง 13 ชุมชนชายฝั่งลุ่มน้ำโขงปรากฏตำนานเจ้าแม่สองนาง 22 สำนวน โดยแบ่งเป็นมุขปาฐะ 15 สำนวน และลายลักษณ์ 7 สำนวนในด้านพิธีกรรมเกี่ยวกับเจ้าแม่สองนาง อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ทุกพิธีกรรมล้วนประกอบด้วยสัญลักษณ์ที่แสดงสถานภาพของเจ้าแม่สองนางที่มุ่งให้เกิดความอุดมสมบูรณ์และความมั่งคั่งแก่ชุมชน รวมทั้งขจัดปัดเป่าเคราะห์ภัยและสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ลูกหลานและคนในชุมชน</span></p>ลัทธิ การนับถือ เจ้าแม่สองนาง ลุ่มน้ำโขง ลาว หนองบัวลำภู เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหารตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2554ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2025
2024-ว่าด้วยแนวทางการศึกษาชาติพันธุ์ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ, จามะรี เชียงทอง, ฐิรวุฒิ เสนาคำ, ไมเคิล เฮิร์ซเฟลด์เนื้อหาของงานเขียนในเล่มนี้ ประกอบด้วยแก่นเรื่องที่มีทั้งแนวคิดชาติพันธุ์ธำรง หรือการธำรงชายพันธุ์ แนวคิดคนพลัดถิ่นๆ และอื่นๆ ที่เล่าให้เห็นว่า การธำรงชาติพันธุ์นั้น ไม่อยู่นิ่งตายตัว มีการเคลื่อนไหวข้ามพรมแดน เช่นเดียวกับสังคมยุคโลกาภิวัตน์ ที่มีการเลื่อนไหลของทุน ผู้คน เงินทองระหว่างประเทศที่เดินทางไปทำงานและประเทศบ้านเกิด งานเขียนได้ระบุว่า แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์นั้นมีการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ เพื่อความอยู่รอด อัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์นั้นมีการปรับเปลี่ยน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ว่าอยู่ในเวลาใด นอกจากนี้เนื้อหางานเขียนยังเล่าถึง สิ่งที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจการเมือง ประวัติศาสตร์ และการเดินทางข้ามพรมแดนไปประเทศที่ทำงาน และประเทศบ้านเกิดเมืองนอน การธำรงชาติพันธุ์ แนวคิดคนพลัดถิ่น กลุ่มชาติพันธ์ ไทย ลาว เวียดนาม กรีซตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2547https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2024
2023บทความล้านนาคดีศึกษาพิสิฎฐ์ โคตรสุโพธิ์, สบทบ พาจรทิศ, สมศักดิ์ จันทร์น้อย, นัคเรศ ชนะดวงดี, สนั่น ธรรมธิ, เฉลิมเวศน์ อูปธรรม, วีระพงษ์ แสง-ชูโต, จรัส ปันธิ, วิโรจน์ อินทนนท์, ชนินทร์ เขียวสนุก, วิฑูรย์ เหลียวรุ่งเรือง, อุษณีย์ ธงไชย, ชาญณรงค์ ศรีสุวรรณ, วรลัญจก์ บุณยสุรัตน์, ทวีศักดิ์ เกียรติวีระศักดิ์, เชาวลิต สัยเจริญ, สราวุธ รูปิน, สุวิภา จำปาวัลย์, ธิติพล กันตีวงศ์, มาณพ มานะแซม, ณรงค์ ศิขิรัมย์, ศรีเลา เกษพรหม, อุดม ชัยทอง, วสันต์ ปัญญาแก้ว, เกรียงศักดิ์ เชษฐพัฒนวนิช, ธิตินัดดา จินาจันทร์, ขวัญชีวัน บัวแดง, พรไพโรจน์ คงทวีศักดิ์, ประสิทธิ์ ลีปรีชา, อานันท์ กาญจนพันธ์เนื้อหาของงานได้แบ่งเป็นสี่หมวดใหญ่ ได้แก่ หมวดที่ 1ปรัชญา ศาสนา ภาษาและวรรณกรรม, หมวดที่สอง ประวัติศาสตร์ โบราณคดี และอื่นๆ, หมวกที่สาม ที่อยู่อาศัย สถาปัตยกรรม ดนตรี และอื่นๆ , หมวดที่สี่เกี่ยวกับชาติพันธุ์ โดยประกอบด้วยหลายบทความที่กล่าวถึงล้านนา สะท้อนผ่าน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ของไทยวน หรือคนเมือง ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่ของล้านนา และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆที่อยู่ในล้านนาเช่นเดียวกัน ในการศึกษาได้เล่าผ่าน บทบาทของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐบาลแห่งแรก ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความรู้ให้กับคนที่อยู่ในเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง หนังสือเล่มนี้จึงมีเนื้อหาที่กล่าวถึงล้านนาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่สมัยพญามังรายได้สถาปนอาณาจักรล้านนาขึ้น ผ่านยุครุ่งเรือง และความเปลี่ยนแปรต่างๆมากมาย แต่คนเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น ลื้อ กะเหรี่ยง อาข่า ม้ง และอื่นๆ ยังมีเรื่องเล่าของตนเอง ผ่านภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจและการเมือง ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการศึกษาในโครงการล้านนาคดีศึกษาในครั้งนี้ภาษา ศาสนา วรรณกรรม ประวัติศาสตร์ อาหาร ศิลปะ ชาติพันธุ์ ล้านนาตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2557https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2023
2022บทความปริศนาวงศาคณาญาติ ”ลัวะ”ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ, สรินยา คำเมือง, สมรักษ์ ชัยสิงห์กานานนท์, บุญสม ชีรวณิชย์กุล, อธิตา สุนทโรทกเนื้อหาของงานเขียน กล่าวถึงการศึกษาความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ ว่ามีความเป็นมาและมีความข้องเกี่ยวอย่างไรกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นหรือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันหรือไม่ ซึ่งผู้เขียนต้องการสืบค้นเพื่อคลายความสงสัย จึงค้นคว้าจากเอกสารที่เกี่ยวกับลัวะ ลเวือะ ลวะ ปะหล่อง ดาระอั้ง มลาบรี ขมุ ซึ่งจากการศึกษา ส่วนหนึ่งได้ข้อมูลมาจากการทำงานภาคสนาม ส่วนหนึ่งได้มาจากการจัดเสวนารวบรวมความรู้ ซึ่งผู้ข้อมูลเป็นผู้รู้จากกลุ่มชาติพันธุ์นั้นๆ งานเขียนระบุว่า ต้องศึกษาจากรากทางภาษา ความเป็นมา ตำนาน บางกลุ่มชาติพันธุ์แม้ว่ามีตำนาน และวีรบุรุษเดียวกัน แต่เมื่อเกิดการโยกย้ายที่อยู่ ก็อาจเกิดความเหินห่างทั้งภาษาและวัฒนธรรม ซึ่งแม้แต่กลุ่มชาติพันธุ์เดียวอาจมีภาษาที่แตกต่างกันแม้เพียงแต่อยู่คนละหมู่บ้าน หรือยู่คนละเมือง ไปจนถึงวิถีชีวิต ได้ได้รับผลกระทบมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ประวัติศาสตร์ ตลอดจนประเพณีวัฒนธรรม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันลัวะ, ดาระอั้ง, ขมุ, มลาบรี, ความสัมพันธ์, ภาคเหนือ, ไทย, เพื่อนบ้านตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2555https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2022
2021บทความชาติพันธุ์สัมพันธ์: แนวคิดพื้นฐานทางมานุษยวิทยาในการศึกษาอัตลักษณ์กลุ่มชาติพันธุ์ ประชาชาติ และการจัดองค์กรความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์สุเทพ สุนทรเภสัช เนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึงชาติพันธุ์สัมพันธ์ หรือการธำรงชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ผู้เขียนกล่าวถึง เช่นปากีสถานมุสลิม ยูนนานมุสลิม คนเมือง มาเลย์มุสลิม และอื่นๆ ชาติพันธุ์สัมพันธ์เป็นการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์เพื่อให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณี ในชุมชนที่อยู่ เช่นกลุ่มปากีสถานมุสลิม ที่เดินทางมาอยู่ในเชียงใหม่ และยูนนานมุสลิม ที่แรกเริ่มเข้ามานั้นทั้งสองกลุ่ม ได้มีการผสมกลมกลืนกับชนพื้นเมือง หรือคู่สมรสที่เป็นคนในท้องถิ่นที่พวกเขามาอยู่ ผู้เขียนบอกว่า เมื่อเวลาผ่านไปหลังจากที่กลุ่มมุสลิมมีจำนวนประชากรมากขึ้นก็เริ่มแสดงอัตลักษณ์ความเป็นมุสลิมอย่างชัดเจน<br />
การแสดงตัวตน ได้บอกสาเหตุถึงที่มา และประวัติศาสตร์ และการเมืองในอดีตที่กลุ่มชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มได้ประสบ เช่นการต่อสู้ทางการเมืองของเจ้าอาณานิคมในอดีต ในกลุ่มประเทศลาว เวียดนาม มาเลเซีย และประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มปากีสถานมุสลิม และยูนนานมุสลิม ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ได้รับผลกระทบหรือเกิดการผสมกลมกลืน เมื่ออยู่ท่ามกลางชนพื้นเมืองที่นับถือศาสนาพุทธ หรือบางครั้งก็แสดงอัตลักษณ์ของตนอย่างชัดเจน เพื่อธำรงรักษากลุ่มชาติพันธุ์ของตนเองเอาไว้เพื่อไม่ให้เลือนหายไป ทั้งในด้านภาษาและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธ์ของตน แนวคิด คนเมือง มุสลิมปากีสถาน ยูนนาน กลุ่มชาติพันธุ์ เชียงใหม่ ไทย เพื่อนบ้านตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2548https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2021
2020บทความชาติพันธุ์และมายาคติประสิทธิ์ ลีปรีชา, อรรถ นันทจักร์, ขวัญชีวัน บัวแดง, นฤมล อรุโณทัยงานเขียนกล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ม้ง ผู้ไท ลาวโซ่ง ชาวเล ที่ตกอยู่ในมายาคติของกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ที่มองพวกเขาในด้านลบ เช่นกลุ่มชาติพันธุ์ม้งถูกมองว่า เป็นกลุ่มที่ทำลายต้นน้ำ หรือเป็นคอมมิวนิสต์ พวกเขาก็มีการตอบโต้โดยเปลี่ยนบทบาทเป็นนักอนุรักษ์หรือร่วมกันดูแลป้องกันไฟป่า มายาคติ เป็นการมองผ่านกลุ่มชาติพันธุ์ที่มองด้วยสายตาคนนอก ที่ก่อให้เกิดอคติ กับกลุ่มชาติพันธุ์หรือถูกเบียดขับให้เป็นคนชายขอบตกเป็นเบี้ยล่างของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้มแข็งกว่า บทความต่างๆ ที่ได้รวบรวมขึ้นได้มาจากการสัมมนาวิชาการอันจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานวิจัยและการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์เพื่อร่วมกันขจัดมายาคติ ที่เกิดจากอคติและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ม้ง ลาวพวน ผู้ไท ลาวโซ่ง กะเหรี่ยง ชาวเล มายาคติตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2547https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2020
2015วิทยานิพนธ์การศึกษาคุณภาพชีวิตตามภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวไทยภูเขา ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงรายอรรถพงษ์ อินทพงษ์การเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตตามภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวไทยภูเขาภายใต้หลักเกณฑ์คนไทยแข็งแรงเมืองไทยแข็งแรง ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มกะเหรี่ยง อาข่าและลาหู่ โดยภาพรวมแล้ว คุณภาพชีวิตตามภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวไทยภูเขา ด้านออกกำลังกาย ด้านอาหาร ด้านอารมณ์และด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมมีคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับไม่แตกต่างกัน ในรูปแบบของกระบวนการเรียนรู้ในครอบครัวที่มีลักษณะของการสั่งสอนถ่ายทอดจากผู้อาวุโสในครอบครัวสู่ลูกหลานและเครือญาติ กระบวนการเรียนรู้ในระบบพื้นบ้านมีลักษณะความเชื่อ ความศรัทธา ประเพณี พิธีกรรมและองค์ความรู้ที่สัมพันธ์กับการดำรงชีวิตของคนในชุมชนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ด้านอโรคยาและด้านอบายมุข มีคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับแตกต่างกัน ในรูปแบบพฤติกรรมของบุคคล ครอบครัวและชุมชน การใช้กฏเกณฑ์ต่าง ๆ ของแต่ละกลุ่มเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการควบคุมให้ปฏิบัติต่อสิ่งต่าง ๆ ในขอบเขตที่พอดี การใช้ประสบการณ์เดิมและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันในแต่ละกลุ่มที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ โดยมีผู้นำและผู้อาวุโสในหมู่บ้านเป็นแกนนำในการตัดสินใจว่าสิ่งใดดี จึงดำเนินตามกรอบบรรพบุรุษของแต่ละกลุ่มลาหู่, ภูมิปัญญาท้องถิ่น, คุณภาพชีวิต, เชียงราย, ภาคเหนือ, ประเทศไทยตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2551ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2015
2014วิทยานิพนธ์รูปแบบการเสริมสร้างชุมชนให้กลับฟื้นคืนวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวเขาเผ่าลาหู่: กรณีการผลิตข้าวซ้อมมืออมร แก้วเป็งจากการเสริมสร้างชุมชนให้กลับฟื้นคืนวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวเขาเผ่าลาหู่ ที่มีกระบวนการทั้งการให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประโยชน์และคุณค่าของข้าวซ้อมมือ การบริหารจัดการ การผลิตข้าวซ้อมมืออย่างเป็นระบบครบวงจร ในส่วนที่เกินศักยภาพของชุมชนได้ประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและวิถีดั้งเดิมของวัฒนธรรมให้มั่นคงและยั่งยืน กรณีการผลิตข้าวซ้อมมือนี้คนในชุมชนมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับประโยชน์ของการบริโภคมากขึ้น ความสำเร็จดังกล่าวเห็นได้จากการได้รับความร่วมมือของคนในชุมชนขุนข้อนทุกครัวเรือนมารวมกลุ่มกันตำข้าว ผลผลิตจากการตำข้าวซ้อมมือที่เหลือจากบริโภคนำไปจำหน่ายที่อำเภอเชียงดาว สำนักงานส่วนราชการในพื้นที่ รวมทั้งมีการทำบัญชีครัวเรือน พบว่าชาวบ้านมีรายรับจากการจำหน่ายข้าวซ้อมมือและมีรายจ่ายลดลงจากการที่ตำข้าวซ้อมมือไว้กินเอง โดยไม่นำไปสีในโรงสีต่างหมู่บ้าน ซึ่งรูปแบบการดำเนินงานเสริมสร้างชุมชนนี้เองก็สามารถนำแนวทางไปปรับใช้กับชุมชนอื่นในตำบลเมืองงายต่อไปได้ลาหู่, การฟื้นคืนวัฒนธรรม, ข้าวซ้อมมือ, เชียงราย, ภาคเหนือ, ประเทศไทยตำบลเมืองงาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2553ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2014
2013รายงานการวิจัยการศึกษาศักยภาพของชุมชนเพื่อจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าลาหู่ บ้านท่าฮ่อ ตำบลทรายขาว อำเภอพาน จังหวัดเชียงรายอุสิธารา จันตาเวียง และคณะศักยภาพในการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าลาหู่ บ้านท่าฮ่อ ตาบลทรายขาว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ได้แก่ ศักยภาพด้านการดำรงวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรม โครงสร้างทางสังคมและประวัติศาสตร์ ปัจจัยที่มีผลทำให้ชาวลาหู่เกิดศักยภาพในการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรม คือ ประเพณีการกินข้าวใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวลาหู่ที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และด้านการสนับสนุนขององค์กรต่างชาติที่จะช่วยเหลือในด้านงบประมาณ เช่น ที่ดิน การสร้างที่อยู่อาศัย ความเข้มแข็งในการรวมกลุ่มทางสังคมยังไม่เกิดการรวมกลุ่มที่เห็นเป็นรูปธรรมในเรื่องของวัฒนธรรมแต่การรวมกลุ่มส่วนใหญ่จะเห็นเด่นชัดในเรื่องของศาสนาลาหู่, ศูนย์วัฒนธรรม, เชียงราย, ภาคเหนือ, ประเทศไทยตำบลทรายขาว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2555https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2013
2012วิทยานิพนธ์การเต้นจะคึของลาหู่นะ (มูเซอดำ) กรณีศึกษา ตำบลด่านแม่ละเมา อำเภอแม่สอด จังหวัดตากสุนิษา สุกินการเต้นจะคึ ซึ่งคำว่า “จะคึ” ในภาษาลาหู่แปลว่าการเต้น เป็นการเต้นเพื่อประกอบการบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวลาหู่ คือ ผีและพระเจ้ากื่อซา การเต้นจะคึเกิดขึ้นจากความเชื่อและพิธีกรรมในการดำรงชีวิตของชาวลาหู่ โดยการเต้นเข้าไปมีบทบาทสำคัญในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีกรรมปีใหม่ เกี่ยวข้องกับการเฉลิมฉลองปีใหม่ พิธีกรรมกินข้าวใหม่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและพิธีกรรมเรียกขวัญเกี่ยวข้องกับการรักษาโรค อีกทั้งปัจจุบันด้วยเหตุของยุคสมัยที่เปลี่ยนไป สังคมการศึกษาเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินชีวิต ทำให้ชาวลาหู่นำเอาศิลปวัฒนธรรมการเต้นในการประกอบพิธีกรรมมาเป็นการเต้นเพื่อการต้อนรับ โดยการเต้นเพื่อประกอบพิธีกรรมทุกคนในหมู่บ้านจะเต้น ณ ลานจะคึกื่อ การเต้นเพื่อการเต้นรับผู้แสดงจะเต้น ณ ลานกว้างเขตสาธารณะของหมู่บ้าน ผู้แสดงจะสวมชุดประจำเผ่าลาหู่นะ ใช้เครื่องดนตรีประกอบจังหวะทั้งหมด 5 ชนิด คือ แคนขนาดใหญ่ แคนขนาดกลาง แคนขนาดเล็ก ซึงและขุ่ย ซึ่งการเต้นเพื่อการต้อนรับจะใช้เครื่องดนตรีเพียง 4 ชนิด ยกเว้นแคนขนาดใหญ่ ปัจจุบันเพลงที่ใช้เต้นจะคึมีทั้งหมด 23 เพลง มีท่าเต้นทั้งหมด 83 ท่า ซึ่งลักษณะท่าเต้นจะคึของชาวลาหู่นะเป็นการสื่อให้เห็นถึงความรัก ความอบอุ่นและความสามัคคีในหมู่คณะลาหู่, การเต้นจะคึ, จังหวัดตาก, ภาคเหนือ, ประเทศไทยตำบลด่านแม่ละเมา อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย2552ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2012
2011วิทยานิพนธ์การเมืองของการสร้างภาพตัวแทนทางชาติพันธุ์ในพื้นที่การท่องเที่ยว: กรณีศึกษาโฮมสเตย์ชาวลาหู่ บ้านยะดูสาริณีย์ ภาสยะวรรณภาพลักษณ์ของโฮมสเตย์ชาวลาหู่แห่งนี้ที่นักท่องเที่ยวรับรู้นั้นถูกผลิตสร้างเป็นลักษณะดังเส้นเดินทางชักจูงให้เดินตามกระบวนการเสนอภาพลักษณ์จากการนำเสนอผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ การมีปฏิสัมพันธ์ทางตรงกับองค์กรหรือตัวแทนการท่องเที่ยว รวมถึงการปะทะกับพื้นที่และมีประสบการณ์ร่วมกับโปรแกรมทัวร์การท่องเที่ยว ซึ่งผลทำให้ความเป็นชาติพันธุ์ลาหู่ในพื้นที่โฮมสเตย์ถูกกำกับให้มีหลากหลายความหมายตามเส้นกระบวนการเสนอภาพลักษณ์โฮมสเตย์ ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ชาวลาหู่แบบดั้งเดิม ภาพชาวลาหู่ผู้มีใจอนุรักษ์และมีศักยภาพจัดการท่องเที่ยว อาจจะมีความหมายทางชาติพันธุ์ลาหู่เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เพียงหมู่บ้านที่จะขอค้างพักระหว่างเดินบ้านเท่านั้นเอง อีกทั้ง ภาพลักษณ์ของโฮมสเตย์ชาวลาหู่มีกระบวนการประดิษฐ์สร้างพื้นที่อยู่เบื้องหลังอันเป็นผลความสัมพันธ์ระหว่างชาวลาหู่กับบริษัททัวร์และมัคคุเทศก์ในเชิงธุรกิจทัวร์ป่า ตลอดจนความร่วมมือระหว่างองค์กรพัฒนาเอกชนกับชาวลาหู่ในเชิงพัฒนา ที่ต้องการสร้างบ้านลาหู่แห่งนี้ให้เป็นโฮมสเตย์ชาวลาหู่ตามการท่องเที่ยวแบบเชิงนิเวศในอุดมคติ ซึ่งกระบวนการสร้างพื้นที่ท่องเที่ยวดังกล่าวได้ส่งผลเข้ามากำกับควบคุมชาวลาหู่ ให้เป็นสินค้าทางการท่องเที่ยวที่ต้องคงรูปแบบบ้านและชีวิตประจำวัน ให้เป็นไปตามรูปแบบโปรแกรมท่องเที่ยวที่บริษัททัวร์และองค์กรพัฒนาเอกชนกำหนด นอกจากนั้น การกำกับให้สินค้าสินค้า ยังส่งผลทำให้ชาวลาหู่ต้องทำหน้าที่เป็นบริกรในบ้านตนเอง อีกทั้งยังต้องเผชิญกับภาวะอึดอัด ณ ขณะการต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้าพักบ้านและร่วมกิจกรรมในชีวิตประจำวัน จากการถูกให้ความหมายว่าเป็นชนเผ่าแปลกประหลาดหรือน่าเวทนาสงสาร อนึ่งภายใต้การควบคุมดังกล่าวยังได้ส่งผลต่อการแบ่งกลุ่มการเมืองในการปกครองหมู่บ้านจำแนกรูปแบบการท่องเที่ยวแบบทัวร์ป่าและโฮมสเตย์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม จากการค้นหาปฏิบัติการของชาวลาหู่ของพบว่า ผลมาจากการสะสมปฏิบัติการระดับชีวิตประจำวันในการต้อนรับนักท่องเที่ยวมายาวนานถึงสามสิบปี ทำให้ชาวลาหู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ มีเทคนิควิธีการและอุบาย การจัดบ้าน การบริการ การทำอาหาร ในการสร้างความประทับใจนักท่องเที่ยวทัวร์ป่าและอาสาสมัครจากองค์กรพัฒนาเอกชน จนพวกเขาสามารถผลิต “ปฏิบัติเงียบ” ให้เป็นปฏิบัติการสร้างภาพตัวแทนทั้งการปกปิดภาพไม่พึงประสงค์เป็นวิธีการป้องตัวในการเผชิญสภาวะอึดอัด หรือเป็นวิธีการต่อรองกับการควบคุมขององค์กรพัฒนาเอกชน และที่สำคัญชาวลาหู่หมู่บ้านแห่งนี้ยังสามารถใช้ “ปฏิบัติเงียบ” สร้างความหมายความเป็นชาติพันธุ์ลาหู่ ให้เป็น “ชาวลาหู่ผู้รกสงบ” ได้อีกด้วยลาหู่ การท่องเที่ยว โฮมสเตย์ จังหวัดเชียงราย ภาคเหนือ ประเทศไทยตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2554https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2011
2010วิทยานิพนธ์ปัญหาการนิยามความหมายของป่า และการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่: กรณีศึกษาชาวลาหู่สมบัติ บุญคำเยืองการสร้างความจริงและการนิยามความหมายต่อพื้นที่ เป็นเรื่องยุทธศาสตร์อย่างหนึ่งของอำนาจและความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่สามารถปกปิดการปฏิบัติการจริงอำนาจเหนือพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ในสังคมโลกปัจจุบันการแสดงอำนาจเหนือพื้นที่และควบคุมจัดการทรัพยากรที่แสดงออกด้วยการใช้กำลังและความรุนแรง ไม่สามารถสร้างความชอบธรรมและการยอมรับ จากผู้ถูกกระทำและประชาคมโลก ดังนั้น การปฏิบัติการจริงของอำนาจเหนือพื้นที่ของกลุ่มพลังอำนาจแต่ละกลุ่ม จึงมุ่งใช้ยุทธศาสตร์ของอำนาจที่ปกปิดความต้องการที่แท้จริง ดังกรณี การสร้างความจริงและนิยามความหมายต่อพื้นที่รัฐมอบให้กับผู้ต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หากทว่า ในมิติของอำนาจและบริบทของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ การสร้างความชอบธรรมในการแสดงสิทธิครอบครองและความเป็นเจ้าของต่อพื้นที่ ในฐานะทรัพย์สินของบุคคลและครอบครัว ส่วนหน่วยงานของรัฐและโครงการขององค์กรพัฒนาเอกชนชาวเขา ซึ่งสร้างความจริงและนิยามความหมายต่อพื้นที่ในฐานะเขตที่ป่าอนุรักษ์ แต่นัยสำคัญที่ลึกลงไปคือ การสร้างความชอบธรรมในการปฏิบัติการจริงของอำนาจเหนือพื้นที่ เช่น การกำหนดเขตที่ป่าอนุรักษ์ การปลูกสร้างสวนป่าและการควบคุมการใช้พื้นที่เพื่อการผลิต เป็นต้น ในทำนองเดียวกัน การสร้างความจริงและการนิยามความหมายต่อพื้นที่ของชาวลาหู่ นอกจากนี้ มีความหมายในฐานะ “พื้นที่ป่าอนุรักษ์” แล้ว ความจริงและความหมายของพื้นที่ดังกล่าว ยังสะท้อนนัยสำคัญถึงการต่อสู่เพื่อสร้างความมั่นใจต่อความมั่นคงของชีวิตด้วย ส่วนการต่อสู้เชิงการนิยามความหมายต่อพื้นที่ ความจริงและความหมายของพื้นที่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอย ในทางตรงกันข้าม สิ่งทีเรียกว่า “ความจริง” และ “ความหมาย” ของพื้นที่ กลับเป็นเรื่องของการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจในการผลิตหรือสร้างความจริงและนิยามความหมายต่อพื้นที่นั้น ความหมายของความจริงของพื้นที่จะเป็นความจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับระบบของอำนาจ และการปฏิบัติการจริงของอำนาจในการผลิตสร้าง กำกับ ควบคุม และแจกจ่ายความหมายของความจริงนั้น ในกรณีของชาวลาหู่ การนิยามความหมายต่อพื้นที่ ไม่เป็นเพียงการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจ เพื่อสร้างความเป็นจริงของพื้นที่ตามสภาพภูมิศาสตร์กายภาพ สำหรับแสดงอำนาจเหนือพื้นที่และควบคุมจัดการทรัพยากรแล้ว หากยังมีนัยสำคัญถึง การสร้างความจริงต่อพื้นที่ในฐานะ “ระบบสัญลักษณ์” เพื่อแสดงออกถึง สิทธิในการดำรงชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีในความเป็นคน หรือสิทธิในความเป็นพลเมืองของรัฐชาติ และยังเป็นการสร้างความมั่นใจต่อ ความมั่นคงของชีวิต และความมั่นคงทางเศรษฐกิจสังคม รวมทั้งความมั่นใจต่อตำแหน่งแห่งที่ของชีวิต ทั้งใน “โลกนี้” และ “โลกหน้า” ด้วย นอกจากนี้ การสร้างความจริงและการนิยามความหมายต่อพื้นที่เป็น “เวทีการต่อสู้” เพื่อสร้างความเป็นตัวตนของทางชาติพันธุ์ กล่าวคือ ภายใต้เงื่อนไขการแผ่ขยายโครงสร้างอำนาจรัฐและระบบตลาด ชาวลาหู่ไม่เพียงแต่ถูกแย่งยึดพื้นที่ในฐานะปัจจัยทางการผลิต และผนวกกลืนแบบแผนทางชาติพันธุ์ และความเป็นตัวตนทางเศรษฐกิจสังคมแล้ว หากยังถูกทำลายความมั่นใจต่อความเป็นชาติพันธุ์ และความเป็นตัวตนทางชาติพันธุ์ด้วย แต่ด้วยเทคนิควิทยาของการสร้างความเป็นตัวตน ในบริบทและเงื่อนไขดังกล่าว การดำเนินกิจกรรมการอนุรักษ์พื้นที่ป่า จึงถูกชาวลาหู่สร้างความจริงต่อพื้นที่ในฐานะพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และนิยามความหมายต่อตนเองในฐานะ “ชาวไทยลาหู่ผู้อนุรักษ์” เพื่อสร้างความมั่นใจต่อความมั่นคงของตำแหน่งแห่งที่ของชีวิตของตนเองในระบบเศรษฐกิจสังคม การเมืองวัฒนธรรมแบบใหม่ลาหู่ สิทธิ ป่า เชียงราย ภาคเหนือ ประเทศไทยตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2540https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2010
2009วิทยานิพนธ์การต่อสู้เรื่องสัญชาติของผู้หญิงชนเผ่า: กรณีศึกษาชีวิตจริงของผู้หญิงลาหู่คนหนึ่งลาเคละ จะทอวิทยานิพนธ์นี้เป็นการศึกษาการต่อสู้เรื่องสัญชาติของผู้หญิงชนเผ่า กรณีศึกษาชีวิตจริงของผู้หญิงลาหู่คนหนึ่ง โดยมุ่งศึกษาปัจจัยที่ทำให้ผู้หญิงชนเผ่าไม่ได้รับสัญชาติ ศึกษาโครงสร้างทางสังคมลาหู่ที่เป็นสังคมปิตาธิปไตย สำรวจองค์ความรู้ที่ต้องห้ามสำหรับผู้หญิงที่เป็นเหตุทำให้ผู้หญิงชนเผ่าลาหู่ไม่สามารถดำเนินการเรื่องสัญชาติด้วยตนเองได้และนำไปสู่การไม่ได้สัญชาติ การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและระบบความเชื่อเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงชนเผ่าหลุดพ้นจากสังคมวัฒนธรรมประเพณีที่ผู้หญิงมีข้อห้ามข้อจำกัดมากมายที่ไม่ให้ผู้หญิงได้เรียนรู้ ภายใต้สังคมปิตาธิไตยหรือสังคมระบบชายเป็นใหญ่ ทำให้ผู้ศึกษาสามารถต่อสู้เรื่องสัญชาติของตนเอง จนได้สัญชาติไทยและสามารถช่วยเหลือผู้หญิงชนเผ่าและชาติพันธุ์ให้ได้สัญชาติไทยได้ อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงชนเผ่าและชาติพันธุ์ที่ไร้สัญชาติ ต้องจำทนอยู่ในระบบอุปถัมภ์และการคอรัปชั่นที่ยังคงอยู่ ต้องผ่านกลุ่มคนหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากกระบวนการลงรายการสัญชาติ การมีอคติทางชาติพันธุ์และการเลือกปฏิบัติทางชาติพันธุ์จากเจ้าหน้าที่รัฐและบุคคลทั่วไปการแก้ไขปัญหาสัญชาติของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ต้องมีความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐองค์กรพัฒนาเอกชนและชาวบ้าน เนื่องจากข้าราชการในระดับกรมการปกครอง และข้าราชการในระดับปฏิบัติ ไม่สนองนโยบาย เจ้าหน้าที่บางอำเภอไม่สนองนโยบายการเร่งรัดลง รายการสัญชาติ ทำให้การพิสูจน์สถานะบุคคลของบุคคลชนเผ่าและชาติพันธุ์ไม่แล้วเสร็จตาม กำหนดระยะเวลาที่ได้รับการผ่อนผันจากรัฐบาล การติดตามความก้าวหน้าขั้นตอนของการลง รายการสัญชาติของผู้เดือดร้อน ผู้ไร้สัญชาติต้องใช้วิธีการและรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าการชุมนุมเรียกร้องระดับภาค ระดับอำเภอ องค์กรพัฒนาต้องรับภาระในการเตรียมความพร้อมและให้กำลังใจแก่ผู้ไร้สัญชาติและเตรียมเอกสารหลักฐานต่างๆโดยให้มีส่วนร่วมของแกนนำในรูปแบบอาสาสมัครลาหู่ สัญชาติ ผู้หญิง ภาคเหนือ ประเทศไทยตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2548https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2009
2008วิทยานิพนธ์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นลาหู่และการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนลลิตา จรัสกรเรือนลาหู่สามารถจำแนกตามลักษณะทางกายภาพนอกของเรือนได้เป็น 4 ประเภท คือ 1) เรือนแบบดั้งเดิม 2) เรือนแบบดั้งเดิมใช้วัสดุผสมผสาน 3)เรือนแบบประยุกต์หรือต่อเติม และ 4) เรือนแบบสมัยใหม่ ในเรือนแบบดั้งเดิมมีลักษณะเด่นเฉพาะตัวสะท้อนสู่รูปทรง ขนาด สัดส่วน พื้นที่การใช้งาน และวัสดุที่นำมาใช้ ซึ่งแฝงไปด้วยภูมิปัญญา วิถีชีวิต และความเชื่อ โดยเฉพาะความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษที่ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของการดำรงอยู่ซึ่งอัตลักษณ์ของเรือนลาหู่ แต่ในปัจจุบันเรือนลาหู่มีรูปแบบเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เนื่องมาจากปัจจัยทั้งภายในและปัจจัยภายนอก ที่เห็นได้ชัดคือ การรับเอากระแสวัตถุนิยมในการแสวงหาความมั่นคงทางวัตถุเพิ่มขึ้น ส่งผลก่อให้เกิดการกลายรูปของรูปแบบเรือนพื้นถิ่นลาหู่ลาหู่ สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น เชียงใหม่ ภาคเหนือ ประเทศไทยตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2557https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2008
2007รายงานการวิจัยการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาหัตถกรรมท้องถิ่นและการตลาดในพื้นที่โครงการหลวง: กรณีศึกษาผ้าทอชาติพันธุ์ลาหู่ธันยา พรหมบุรมย์ และวิสุทธร จิตอารีชาวลาหู่กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นลาหู่ดำ (Lahu Na) ส่วนใหญ่เห็นว่า การทำหัตกรรมเป็นสิ่งที่ดี และน่าภาคภูมิใจ เป็นรายได้เสริมโดยใช้เวลาที่ว่างจากการเกษตร และได้สืบทอดกรรมวิธีการทอผ้า ทั้งนี้ผู้หญิงลาหู่จะถ่ายทอดงานหัตกรรมให้กับลูกสาว แต่ก็ขึ้นกับความสนใจของแต่ละคนด้วย ผู้ผลิตเห็นว่าเด็กในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยสนใจงานหัตกรรม ผู้ผลิตมีความต้องการความช่วยเหลือด้านเงินทุนและอยากให้มีตลาดที่รองรับแน่นอน ส่วนในประเด็นของการมาส่งเสริมให้ผลิต ลักษณะงานฝีมือที่ใช้เวลาในการทำนาน แต่ให้ราคาสูงกว่างานทั่วไป ก็อยากจะทำ จะได้ไม้ต้องหาตลาดเอง ยินดีสอนกรรมวิธีการทอผ้าในปัจจุบันให้กับคนอื่น คาดหวังอยากให้คนภายนอกรู้จักสินค้าของชาวลาหู่มากยิ่งขึ้น ผู้ผลิตที่บ้านหนองเขียวอยากมีการตั้งกลุ่มขึ้นมา เพื่อจะได้ผลิตสินค้าออกขายเพิ่มมากขึ้น และไม่กล้าที่จะทำคนเดียว กลัวทำไม่ได้ ขณะที่ศักยภาพในการผลิต ชาวลาหู่ทอผ้าเป็นเกือบทุกหลังคาเรือน มีกรรมวิธีทอผ้าแบบกี่เอว กว้าง 4.5 นิ้ว กลุ่มผาใต้เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีศักยภาพสูง เนื่องจากมีผู้นำที่มีความสามารถ ความคิดกว้างไกล รักงานหัตกรรม เชี่ยวชาญในด้านการตัดเย็บและเป็นคนสำคัญในถ่ายถ่ายทอดการตัดเย็บให้กับสมาชิก ส่วนกลุ่มบ้านหนองเขียวยังมีศักยภาพการผลิตน้อย เนื่องจากไม่มีการจัดตั้งกลุ่มในปัจจุบันเหมือนกับในอดีตที่เคยมีมา กลุ่มในอดีตได้ก่อตั้งและเลิกประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความไม่แน่นอนของตลาด และการผลิตของกลุ่มมีผลผลิตไม่แน่นอนกำหนดไม่ได้ แต่หากมีคนสั่งชื้อก็สามารถผลิตให้ได้ ส่วนประเด็นการผลิตเชิงวัฒนธรรม ผลิตภัณฑ์รูปแบบดั้งเดิมจะเป็นย่ามทำไว้เพื่อใช้เองมากกว่าขาย โดยมีการทอสายย่าม และตบแต่งตัวกระเป๋าโดยนำผ้ามาเย็บต่อกันเป็นรูป 3 เหลี่ยมหรือ 4 เหลี่ยม เป็นลักษณะเฉพาะของชนเผ่า ลายเย็บตั้งเดิม ได้แก่ ลานเขี้ยวหมา ลายตาเดียว และลาย 2 ตา เป็นต้น ผู้ผลิตไม่ทราบหรือไม่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของชิ้นงานได้ เนื่องจากไม่มีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น นอกจากนี้ ลวดลายการทอผ้าในปัจจุบัน ผู้ผลิตได้มีการประยุกต์ลายใหม่ๆ ที่คิดขึ้นเองหรือเห็นลายของชนเผ่าอื่นแล้วนำมาประยุกต์ เช่น ลีซอ ลายปัจจุบันจะปนไปทั้งลายเก่าและลายใหม่ ขณะที่ปัญหาด้านการผลิต ได้แก่ กลุ่มบ้านผาใต้เห็นว่า มีปัญหาเงินทุนในการชื้อวัตถุดิบไม่เพียงพอ ไม่มีทุนหมุนเวียนโดยเฉพาะช่วงว่างจากการเกษตร อยากได้เงินทุนมาลงทุนชื้อวัตถุดิบเพื่อผลิตชิ้นงาน สำหรับเก็บไว้ขายให้นักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากในช่วงหน้าหนาวจึงทำให้เสียโอกาส สำหรับผู้ผลิตบ้านหนองเขียวเห็นว่าปัญหาที่สำคัญ คือ ด้านตลาดไม่แน่นอน ทำแล้วขายไม่ได้ ต้นทุนวัตถุดิบแพงและระยะหลังพ่อค้าที่รับชื้อไม่มีเงินสดจ่าย จึงทำให้หลายคนเลิกผลิตเพื่อขายเนื่องจากคิดว่าไม่คุ้มที่จะทำ ปัญหาด้านการบริการจัดการ ปัญหาของกลุ่มบ้านผาใต้ คือ ไม่มีกองทุนเพียงพอ เนื่องจากต้องนำเงินไปหมุนเวียนเพื่อชื้อวัตถุดิบของกลุ่มและสำรองวัตถุดิบให้กับสมาชิกด้วยโดยมีการจ่ายคืนโดยคิดดอกเบี้ยเล็กน้อย ทั้งนี้ปัญหาด้านการตลาดพบว่า กลุ่มบ้านผาใต้ จะมีกรรมวิธีการทอผ้าแบบกี่เอว แล้วนำผ้าทอมาตัดเย็บเป็นรูปแบบต่างๆ หรือมีการตัดเย็บตบแต่งสินค้า เช่น ที่ห้อยขวดน้ำ กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าใส่เครื่องสำอาง และ หมวก เป็นต้น และก็ทำย่ามแบบดั้งเดิมด้วย เพื่อขายให้กับนักท่องเที่ยวตามจุดท่าเรือล่องไปจังหวัดเชียงรายใกล้ๆ หมู่บ้าน แต่ตลาดไม่แน่นอน มักขึ้นกับนักท่องเที่ยวที่มา และมีการผลิตตามคำสั่งชื้อ โดยแบ่งงานกันทำในกลุ่มสมาชิก สำหรับผู้ผลิตบ้านผาใต้รูปแบบสินค้าในปัจจุบันจะไม่หลากหลายเหมือนในอดีตที่มีการแปรสินค้าหลากหลายเพื่อส่งขายให้ร้านหัตกรรมชาวบ้านในจังหวัดเชียงใหม่ ในระยะหลังมีปัญหาตลาดและเลิกผลิตเพื่อส่ง ปัจจุบันผู้ผลิตจะทอผ้าผืนและส่งขายให้กับพ่อค้าชาวลีซอขายเป็นเมตร แต่ก็ยังมีการทอย่ามแบบดั้งเดิมหากมีผู้สั่งชื้อลาหู่, หัตถกรรมท้องถิ่น, โครงการหลวง, เชียงใหม่, ภาคเหนือ, ประเทศไทยตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2550https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2007
2006บทความการจัดการวัฒนธรรมชุมชน: ภูมิปัญญาในการเสริมสร้างความมั่นคงผู้สูงอายุ กรณีศึกษา ชุมชนลาหู่ อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ธีรพงษ์ บุญรักษา และชูศักดิ์ สุวิมลเสถียรบทความวิจัยนี้ มีเป้าหมายในการนำเสนอผลการศึกษา ภูมิปัญญาการสร้างความมั่นคงให้กับผู้สูงอายุในชุมชน โดยเลือกพื้นที่ศึกษาใน 4 หมู่บ้าน ที่เป็นชุมชนชาวลาหู่ อำเภอแม่อายจังหวัดเชียงใหม่ งานวิจัยนี้ใช้วิธีการศึกษาแบบชาติพันธุ์วรรณนา โดยนักวิจัยเข้าไปสังเกตพฤติกรรมและวิถีชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งการสัมภาษณ์เชิงลึก เพื่อทำความเข้าใจถึงระบบวิธีคิด ความเชื่อ และค่านิยม ที่มีผลต่อวิถีการปฏิบัติกับผู้สูงอายุที่ได้พัฒนาจนกลายเป็นภูมิปัญญาในการสร้างความมั่นคงให้ผู้สูงอายุชาวลาหู่ ผลการศึกษาพบว่า ความมั่นคงของผู้สูงอายุชาวลาหู่ขึ้นอยู่กับการธำรงอยู่ของวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวลาหู่ที่มีการสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ภูมิปัญญาสำคัญที่จะธำรงรักษาวัฒนธรรมไว้ได้ คือ การจัดการวัฒนธรรมชุมชนให้มีความยั่งยืน ซึ่งพบว่า ชาวลาหู่มีการจัดการวัฒนธรรมเริ่มจากการถ่ายทอดความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับความกตัญญูกตเวที ผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ได้แก่ วาทกรรมคำสั่งสอน ผู้นำทางความเชื่อ ศาสนสถาน ระบบการปกครอง ผีบรรพบุรุษพิธีกรรม ครอบครัวและชุมชน จนกลายเป็นค่านิยมกตัญญูกตเวที บรรทัดฐานสังคมและระบบเกื้อกูล ซึ่งนำไปสู่ความมั่นคงของผู้สูงอายุในชุมชนชาวลาหู่ บทความนี้ยังได้นำเสนอความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อวัฒนธรรมชุมชนชาวลาหู่ รวมทั้งแนวทางการจัดการวัฒนธรรมชุมชน เพื่อให้เกิดความมั่นคงในผู้สูงอายุลาหู่อย่างยั่งยืนในยุคปัจจุบันลาหู่ วัฒนธรรมชุมชน ภูมิปัญญา ผู้สูงอายุ จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเหนือตำบลแม่นาวาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2559https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2006
2004วิทยานิพนธ์ความพึงพอใจของชนเผ่าลาหู่แดงต่อบทบาทหน้าที่ผู้ใหญ่บ้าน: กรณีศึกษาบ้านจะบูสี หมู่ 5 ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายกาญจนา จันทร์หอมสกุลการศึกษาความพึงพอใจของชนเผ่าลาหู่แดงต่อบทบาทผู้ใหญ่บ้าน มีจุดมุ่งหมายเพื่อ การศึกษาความพึงพอใจของชนเผ่าลาหู่แดงต่อบทบาทผู้ใหญ่บ้านเพื่อนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินงานพัฒนาชุมชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลการศึกษาพบว่า บทบาทด้านการปกครองของผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายอยู่ในระดับมาก บทบาทการส่งเสริมประเพณีภายในหมู่บ้าน พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามมีความพึงพอใจในด้านการพัฒนาส่งเสริมในระดับปานกลาง และบทบาทด้านการพัฒนา พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามมีความพึงพอใจต่อบทบาทการพัฒนาของผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายอยู่ในระดับมากลาหู่ บทบาทหน้าที่ผู้ใหญ่ ความพึงพอใจ จังหวัดเชียงราย ภาคเหนือ ประเทศไทยตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2548https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2004
2003วิทยานิพนธ์อาหารท้องถิ่นไทยในมิติวัฒนธรรม: กรณีศึกษา ข้าวปุกของชาวเขาเผ่าอาข่า และลาหู่ ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายกมลวรรณ วังมณีการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรมของการผลิตและบริโภคข้าวปุก และกระบวนการผลิตข้าวปุก ของชนเผ่าอาข่าและลาหู่ ให้เป็นผลิภัณฑ์เพื่อจำหน่ายสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้สนใจ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้วิธีการสังเกต สัมภาษณ์เพื่อบันทึกข้อมูล และจดบันทึกบรรยากาศขณะสัมภาษณ์ ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเริ่มด้วยการถ่ายเสียงจากเครื่องบันทึกเสียงเป็นลายลักษณ์อักษร ผลการศึกษาพบว่า ข้าวปุกเป็นอาหารที่มีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ประเพณี พิธีกรรมของชนเผ่าอาข่า และลาหู่ เป็นอาหารที่ทำขึ้นมามิใช่เพื่อการบริโภคอย่างแท้จริงแต่เป็นการผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรมของชาวอาข่า และลาหู่ โดยเป็นการตอบสนองความต้องการจำเป็นทางด้านจิตใจ ซึ่งเป็นความต้องการนอกเหนือจากความต้องการทางด้านร่างกาย และมีบทบาทในการตอบสนองทางด้านจิตใจแก่คนในชุมชน การผลิตและบริโภคข้าวปุก มีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมต่างๆ ดังนี้ คือ วัฒนธรรมด้านพิธีกรรมและความเชื่อ วัฒนธรรมด้านสังคมสัมพันธ์ วัฒนธรรมด้านจริยธรรม วัฒนธรรมด้านสุขภาพ โดยมีความเชื่อเกี่ยวกับความเป็นสิริมงคล ความเจริญรุ่งเรือง วิญญาณบรรพบุรุษและพระเจ้า ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและเครือญาติ แล้วขยายออกไปเป็นความสัมพันธ์ในชุมชนและนอกชุมชน การผลิตและบริโภคข้าวปุก เป็นการกระทำที่มีผลทางด้านจิตใจ การถ่ายทอดและสืบทอดวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวปุกมีการถ่ายทอด โดยการประกอบพิธีกรรม ในประเพณีและเทศกาล ด้านกระบวนการผลิตข้าวปุกพบว่า ผู้ผลิตขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องสุขลักษณะอาหาร ทำให้อาหารไม่มีความปลอดภัย ในด้านการถนอมข้าวปุก ชาวอาข่าและชาวลาหู่ใช้วิธีการถนอมอาหารโดยวิธีการตากแห้ง ด้านการผลิตข้าวปุกเพื่อการจำหน่าย เป็นการจำหน่ายแก่คนในชุมชนเป็นหลักและมีการจำหน่ายเพียงเฉพาะฤดูกาล ข้อเสนอแนะในการศึกษาควรมีการศึกษาข้าวปุกของชนเผ่าอื่นๆ เพื่อเปรียบเทียบ และศึกษาความคงที่และความแปรเปลี่ยนของข้าวปุกในมิติๆของวัฒนธรรม และควรมีการศึกษาเพื่อพัฒนาข้าวปุกให้เป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปลาหู่ อาหารท้องถิ่น ข้าวปุก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ภาคเหนือ ประเทศไทยตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2551https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2003
2000หนังสือเครื่องแต่งกาย และ อัตลักษณ์กลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ ในตำบลเทอดไทย ทางตอนเหนืองประเทศไทยMaya McLean<p style="text-align: justify;">
การศึกษาการสร้างอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ไทใหญ่ให้ความสำคัญกับพัฒนาการการเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนฉานสู่เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน โดยมีบ้านเทอดไทยจังหวัดเชียงรายเป็นพื้นที่ศึกษา การสร้างอัตลักษณ์ “ไทใหญ่” เป็นสิ่งได้การยอมรับจากทางการไทยเพื่อแสดงความแตกต่างของกลุ่มไทจากคนไทย แต่กลุ่มคนจากรัฐฉานเองได้สร้างอัตลักษณ์ที่แตกต่างขึ้นมา ในคนรุ่นใหม่ยอมรับความเป็นไทใหญ่ในฐานะอัตลักษณ์ของตนเอง ด้วยการหยิบยืมรูปแบบเครื่องแต่งกายกลุ่มไทต่าง ๆ เพื่อบ่งบอกถึงอัตลักษณ์ไทร่วม<br />
<br />
“ไทใหญ่” ในไทยยังแสดงนัยของความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทข้ามรัฐชาติที่มีวัฒนธรรมร่วมในพม่า อัตลักษณ์ของความเป็นไทใหญ่ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในกระแสความเปลี่ยนแปลงทางสังคม แม้ภาษาไทใหญ่เป็นข้อจำกัดของกลุ่มลูกหลานไทใหญ่ แต่เครื่องแต่งกายนับเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่ชัดเจน มากไปกว่านั้นกลายเป็นสิ่งที่ระบุประวัติศาสตร์ของกลุ่มคนไทที่เดินทางอพยพและสร้างวัฒนธรรมร่วมของความเป็นไท</p>อัตลักษณ์ชาติพันธุ์, เครื่องแต่งกาย, ประวัติศาสตร์การอพยพ, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์, เชียงราย, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลเทอดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2555ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=2000
1999หนังสือเครื่องแต่งกาย ผ้าทอ และ อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของกลุ่มไทดำจังหวัดเลยFranco Amanteaขนบทางสังคมไทดำบ้านนาป่าหนาดตอกย้ำลักษณะทางชาติพันธุ์ที่ปรากฏชัดในพิธีกรรมและการปฏิบัติ เครื่องแต่งกายกลายเป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างโลกนี้กับโลกอื่น มากไปกว่านั้นกลายเป็นสื่อแสดงความสำคัญการธำรงคุณค่าวัฒนธรรม ประเพณี และความเกี่ยวเนื่องระหว่างความเชื่อและข้าวของกำกับความสืบเนื่องทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ของไทดำ<br />
<br />
การสืบทอดขนบทางวัฒนธรรมของไทดำ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตสิ่งของ การสืบทอดการปฏิบัติและความเชื่อ และระบบสังคมการเมือง ทั้งหมดนี้คือระบบคุณค่าที่สำคัญในการครองอัตลักษณ์ เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายมีบทบาทสำคัญในขนบของคนบ้านนาป่าหนาด และการรักษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในฐานะของคนไทดำในสังคมไทยไทดำ, เครื่องแต่งกาย, ผ้าทอ, อัตลักษณ์ชาติพันธุ์, การคงอยู่และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม, การอพยพ, บ้านนาป่าหนาด, จังหวัดเลย, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ประเทศไทยตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ประเทศไทย2552ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1999
1977วิทยานิพนธ์วัฒนธรรมการบริโภคอาหารของชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในเขตเทศบาลเมืองอุบลราชธานีวารีรัตน์ ปั้นทองชาวไทยเชื้อสายเวียดนามที่อาศัยอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งถิ่นฐานอยู่กันเป็นกลุ่มโดยทางจังวัดอุบลราชธานี ได้จัดที่ทำกินให้เฉพาะคือบริเวณถนนนิคมสายกลาง กลุ่มที่ประกอบอาชีพปลูกผัก ช่างซ่อมรถยนต์ เคาะพ่นสี ช่างเหล็ก ทางด้านถนนพโลชัยและถนนศรีณรงค์ กลุ่มที่ทำการค้าขาย เช่น ขายหมูยอ ข้าวเกรียบปากหม้อ เส้นก๋วยจั๊บ ขายอาหารเวียดนาม เป็นต้น ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามอาศัยอยู่กระจัดกระจายทั่วไปในเขตเทศบาลเมืองอุบลราชธานี ในเรื่องวัฒนธรรมการบริโภคอาหารของชาวไทยเชื้อสายเวียดนามมีธรรมเนียมประเพณีวิธีการต่างๆ ที่คนในชุมชนหรือสังคมหนึ่งยึดถือปฏิบัติกันมาในเรื่องที่เกี่ยวกับอาหารทุกขั้นตอน การบริโภคอาหารประเภทชนิดต่างๆ วัฒนธรรม การบริโภคอาหารของชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในเขตเทศบาลเมืองอุบลราชธานี มีวัฒนธรรมที่รับเอามาจากการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของชาวจีนฝรั่งเศสและไทย ทั้งนี้เพราะชาวเวียดนามเป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของจีน ฝรั่งเศสมาก่อนที่จะอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย จึงทำให้วัฒนธรรมต่างๆ มีลักษณะคล้ายกับของวัฒนธรรมจีนเวียดนาม วัฒนธรรมการบริโภค อาหารเวียดนาม เทศบาลเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานีตำบลเขาแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย2543https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1977
1966หนังสือมอญในสยามประเทศ (ไทย) : ชนชาติ บทบาท และบทเรียนชาญวิทย์ เกษตรศิริ และองค์ บรรจุน (บรรณาธิการ)งานเสวนาเรื่อง “มอญในสยามประเทศ (ไทย): ชนชาติ บทบาท และบทเรียน” บอกเล่าเรื่องราวหลากหลายประเด็น หากแต่ประเด็นแก่นสาระสำคัญ คือ ต้องการสื่อให้เห็นถึงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของผู้คนในดินแดนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในภาคพื้นทวีปอย่างสยามประเทศที่ประกอบด้วยผู้คนหลากหลาย ก่อนจะพัฒนาและเปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทยในสสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นอกจากนี้ ยังมีช่วงแนะนำหนังสือ “หญิงมอญ อำนาจ และราชสำนัก” ที่ทำให้เห็นความสำพันธ์เชิงอำนาจและการสร้างเครือข่ายของผู้หญิงมอญในราชสำนักสยามมอญ สังคมและวัฒนธรรม ประเทศไทยตำบลเขาแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย2551https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1966
1965วิทยานิพนธ์เพศสภาพ ศาสนา และบทบาททางสังคมของภิกษุนีเวียดนามหนึ่งฤทัย พาอ้อเพศสภาพของภิกษุณีเวียดนามมีความสัมพันธ์โดยตรงกับบริบททางสังคมวัฒนธรรมเวียดนาม ซึ่งได้รับอิทธิพลจากลัทธิขงจื้อ เต๋า และพุทธศาสนา จากจีนและอินเดีย อย่างผสานกลมกลืนกับลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่นและรัฐชาติเวียดนาม จนกลายเป็นลักษณะเฉพาะตัวทางสังคมวัฒนธรรมในแบบเวียดนาม บริบททางสังคมวัฒนธรรมดังกล่าวได้ส่งผลต่อการประกอบสร้างความเป็นภิกษุณีเวียดนามเมื่อเวียดนามก้าวเข้าสู่ยุคสมัยรัฐชาติสมัยใหม่ ก็ได้มีการจัดตั้งองค์กรพุทธเถรสมาคมอย่างเป็นทางการภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ และมีการปรับแต่งเป้าหมายและวิสัยทัศน์ขององค์กรดังกล่าวมาเป็นลำดับ ซึ่งวิสัยทัศน์ของพุทธเถรสมาคมเวียดนามในบริบทของรัฐชาติสังคมนิยม ปัจจุบัน ได้กำหนดว่า “ธรรมะ ประเทศชาติ สังคม” โดยวิสัยทัศน์ดังกล่าวได้กลายเป็นกรอบและทิศทางในปฏิบัติการของคณะสงฆ์เวียดนาม รวมทั้งสถานภาพ บทบาทและหน้าที่ของภิกษุณีด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ขณะที่โครงสร้างต่างๆ ทางสังคมวัฒนธรรมข้างต้น ได้มีส่วนสำคัญต่อการประกอบสร้างเพศสภาพให้กับภิกษุณีเวียดนามแล้ว ขณะเดียวกัน ภิกษุณีเวียดนามในฐานะของ“ผู้กระทำการ”ได้ใช้โครงสร้างดังกล่าวเป็นพื้นที่ในการสร้างตัวตน ของภิกษุณีที่มีความเลื่อนไหลไปตามบริบทสังคมวัฒนธรรม พร้อมกันนั้นปฏิบัติการของภิกษุณีเวียดนามยังส่งผลต่อการประกอบสร้างอัตลักษณ์ทางสังคมวัฒนธรรมเวียดนาม ทั้งในระดับท้องถิ่น รัฐชาติ ที่มีความสัมพันธ์กับสากลมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งบริบทแห่งโลกาภิวัตน์ในปัจจุบันเวียดนาม เพศสภาพ ศาสนา ภิษุนี นโยบายการอพยพ ประเทศเวียดนาม เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลเขาแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศเวียดนาม2554https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1965
1964วิทยานิพนธ์ประเพณีและพิธีกรรมของชาวคลอง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาครอุมาภรณ์ วงศ์วิสิฐศักดิ์ประเพณีและพิธีกรรมงานของชาวคลองอำเภอบ้านแพ้ว แบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ ประเพณีและพิธีกรรมทั่วไป และประเพณีพิธีกรรมตามเชื้อสายของกลุ่มชน ประเพณีทั่วไป คือ ประเพณีและพิธีกรรมงานประจำปีหลวงพ่อโตวัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร การทำบุญสวน การลงแขกสวนองุ่น การทำบุญข้าวหลาม และการแข่งเรือ ซึ่งมีพื้นฐานความเชื่อเกิดจากศรัทธาในพระพุทธศาสนา ความเชื่อในการนับถือผีและเจ้าที่ ความเชื่อในอำนาจบนบานและสภาพแวดล้อมที่เป็นคลองเป็นสวน ส่วนประเพณีและพิธีกรรมของชนชาติแบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ ประเพณีและพิธีกรรมของคนไทยเชื้อสายจีน ไทยเชื้อสายโซ่ง และไทยเชื้อสายมอญ โดยผู้ศึกษาได้กำหนดขอบเขตการศึกษาไว้ที่ประเพณีและพิธีกรรมในครอบครัว คือ ประเพณีแต่งงาน ประเพณีงานศพและประเพณีที่คงเอกลักษณ์เฉพาะเชื้อสาย กล่าวคือ คนไทยเชื้อสายจีนศึกษาประเพณีและพิธีกรรมตรุษจีน ประเพณีการเกิด และประเพณีการเปลี่ยนวัย ส่วนประเพณีคนไทยเชื้อสายโซ่ง ศึกษาประเพณีการแต่งกาย การเล่นคอนฟ้อนแคน การแสนเรือน และการเล่นปาตตง ขณะที่ประเพณีและพิธีกรรมของคนไทยเชื้อสายมอญ ศึกษา ประเพณีการแต่งกาย สงกรานต์ การรำผี และการบวช ผู้ศึกษาได้เสนอว่า ความเป็นมาของประเพณีและพิธีกรรมเกิดจากความศรัทธาในศาสนาพุทธ ผสมผสานผสานกับความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ การอบรมสั่งสอนให้เคารพเชื่อฟังและความกตัญญูต่อผู้ใหญ่ และเกิดการใช้ภูมิปัญญาด้านความคิดของกลุ่มชนในการรักษาประเพณีและพิธีกรรมดังกล่าว มอญ จีน โซ่ง ประเพณีและพิธีกรรมของชาวคลอง จังหวัดสมุทรสาคร ภาคกลาง ประเทศไทยตำบลเขาแก้ว อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ประเทศไทย2547https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1964
1963วิทยานิพนธ์ทุนทางสังคมกับการจัดการศูนย์เรียนรู้ : กรณีศึกษาพิพิธภัณฑ์ชุมชนมอญบางกระดี่ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานครสุวัฒน์ชัย สวัสดิผลชุมชนมอญบางกระดี่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมากว่า 132 ปีมีอัตลักษณ์ทาวัฒนธรรมที่ได้รับสืบทอดจากบรรพบุรุษ ส่วนความเป็นชุมชนมอญที่เข้มแข็งทางวัฒนธรรมดำรงอยู่ได้เพราะระบบเครือญาติ รวมทั้งการมีผู้นำที่กล้าเปลี่ยนแปลง เสียสละ การมีระบบครอบครัวขยาย ถือเป็นองค์ประกอบด้านทุนสังคมสำคัญที่มีส่วนช่วยให้ดำรงอยู่ได้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกาภิวัฒน์ มอญ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน ทุนทางสังคม ศูนย์เรียนรู้ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ประเทศไทยตำบลแขวงแสมดำ อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2552https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1963
1962วิทยานิพนธ์เพลงรำผีมอญของชาวมอญ จังหวัดปทุมธานีสายสุนีย์ ขาวปลื้มปัจจุบันเพลงมอญที่รวบรวมมีต้นกำเนิดมาจากเพลงในพิธีรำผีมอญ ซึ่งเป็นพิธีกรรมความเชื่อของชาวมอญมาแต่โบราณ เพลงมอญดั้งเดิมมีการบรรเลงในพิธีกรรมทางศาสนา ในงานประโคมศพและงานรื่นเริงทั่วไป โดยชาวมอญในจังหวัดปทุมธานี ยังคงให้ความสำคัญต่อประเพณีพิธีรำผี แม้ความเคร่งครัดจะถูกคลี่คลายลงด้วยหลายปัจจัย เป็นเหตุให้การจัดพิธีรำผีในปัจจุบันลดขั้นตอนลง อาจนำไปสู่สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เพลงที่ใช้ในพิธีรำผีหายไป ซึ่งเพลงรำผีที่ยังคงมีใช้อยู่เหลือเพียง 8 เพลง เช่น เพลงเซ่นเหล้า เพลงดาวกระจาย เพลงฟันดาบ โดยบรรเลงสลับกันไปมา ใช้วงปี่พทาย์มอญเครื่อง 5 ระนาดเอกเข้าไปร่วมบรรเลงร่วมกับวงดนตรีมอญดั้งเดิม สำเนียงเพลงและรูปแบบของเพลงจึงเกิดการผสมผสานระหว่างทำนองเพลงเดิมกับทำนองเพลงไทยมอญ, เพลงรำผี, ปทุมธานี, ภาคกลาง, ประเทศไทยตำบลแขวงแสมดำ อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดปทุมธานี ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1962
1961วิทยานิพนธ์การอนุรักษ์ประเพณีรำผีมอญของชุมชนชาวมอญตำบลนครชุมน์ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรีสมเกียรติ ดาราเย็นรำผีมอญเป็นการแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของชนชาติมอญ ทั้งการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมผ่านการพูดคุย โดยให้เกรงกลัวต่อการกระทำผิดต่อบรรพบุรุษ มีการจัดระเบียบเครือข่าย โดยมีวัดเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ มีการพัฒนาผู้ประกอบพิธีกรรมรำผีหรือโต้ง โดยถ่ายทอดและจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม ผ่านสถาบันทางครอบครัว ตลอดจนถ่ายทอดผ่านสื่อต่าง ๆ ส่วนโครงสร้างของประเพณีการรำผีมอญที่มาจากแบบแผนดั้งเดิม มีความเคร่งครัดในการนับถือผี ให้ความสำคัญกับโต้งและข้อห้ามที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมดังกล่าว ซึ่งผู้วิจัยมีแนวคิดในการประยุกต์เพื่อกำหนดนโยบายการอนุรักษ์ประเพณีรำผีมอญของชุมชนตำบลนครชุมน์ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ให้เป็นแบบแผนและแนวทางในการปฏิบัติเพื่ออนุรักษ์ประเพณีของชุมชนต่อไปมอญ, รำผี, การอนุรักษ์ประเพณี, จังหวัดราชบุรี, ภาคกลาง, ประเทศไทยตำบลนครชุมน์ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2554ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1961
1960วิทยานิพนธ์การศึกษาเพลงมอญรำ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการศรัญญา บุญลาโภประเพณีมอญรำ หนึ่งในประเพณีสำคัญที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ ความภาคภูมิใจ เป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของชาวไทยเชื้อสายมอญ ปรากฏในงานพิธีกรรมและประเพณีท้องถิ่นของชาวมอญปากลัด ซึ่งปัจจุบันประเพณีนี้กำลังค่อย ๆ ถูกลืมจากสังคมตามสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป งานศึกษาวิจัยนี้จึงได้พยายามทำการศึกษา ค้นคว้า เพื่อหวังฟื้นฟูและเผยแพร่มรดกวัฒนธรรมอย่างประเพณีมอญรำให้เป็นที่รู้จักและแพร่หลาย ขณะเดียวกันผลการศึกษาทำให้เห็นว่า วัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับเพลงมอญรำเป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่สมัยพระนารายณ์ มีการใช้ปี่พาทย์มอญเล่นประกอบมอญรำ เป็นการแสดงที่ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ใช้แสดงในโอกาสต่าง ๆ ของวัฒนธรรมและประเพณีของชาวมอญ โดยยึดแบบแผนการรำตามแบบชาวมอญโบราณ ลักษณะการรำผู้รำจะยืนเข้าหากันเป็นวงกลม ใช้ปี่พาทย์มอญบรรเลงเพลงรวมทั้งสิ้น 13 เพลง ผู้รำจะเกล้าผมมวยเล็ก ๆ ล้อมทัดด้วยดอกไม้ สวมเสื้อแขนกระบอก คอกลมและนุ่งผ้าทางลงมอญ, เพลงรำมอญ,สมุทรปราการ, ภาคกลาง, ประเทศไทยตำบลนครชุมน์ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1960
1959วิทยานิพนธ์การถ่ายทอดวัฒนธรรมการนับถือผีบรรพบุรุษของชาวมอญ (รามัญ) : กรณีศึกษาชุมชนชาวมอญบ้านคงคาเหนือ หมู่ที่ 3 ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรีวัชระ ชูสิทธิ์การนับถือผีของคนมอญแบ่งได้ 3 ประเภทหลัก คือ ผีมะพร้าว ผีผ้าและผีกระบอกไม้ไผ่ เมื่ออพยพเข้าสู่ลุ่มน้ำแม่กลอง คนมอญมีการปรับเปลี่ยนวิถีการถือผีบรรพบุรุษ สังเกตจากสัญลักษณ์ผีที่คนมอญลุ่มน้ำแม่กลองอำเภอโพธารามและอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ที่มีการนับถือกันในปัจจุบันอย่างบ้านคงคาเหนือ ได้แบ่งกลุ่มผีใหญ่ ๆ ได้ 5 กลุ่ม คือ กลุ่มอะลกละปลาง อะลกอะซัก อะลกชุ่ม อะลกเล่ะออง และอะลกแชะ โดยในห้องผีบรรพบุรุษจะมีสัญลักษณ์บ่งบอก 2 ชนิด คือ ผ้าผีหนึ่งหีบและกระบอกไม้ไผ่ใส่ใบไม้ คือ ใบต้นขาไก่แทนใบหว้า ซึ่งจะเห็นว่ามีความแตกต่างจากกลุ่มคนมอญที่ตั้งถิ่นฐานอยู่เมืองมอญและกลุ่มที่อพยพเข้ามา ขณะเดียวกันความสามารถในการใช้ภาษามอญของคนปัจจุบันที่ลดลง การขาดบุคลากรที่มีความรู้เรื่องพิธีกรรมผีบรรพบุรุษและการเปลี่ยนแปลงสังคมหมู่บ้านสู่สังคมสมัยใหม่ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการถ่ายทอดพิธีกรรม เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมและการเรียนรู้ในการนับถือผีบรรพบุรุษมอญ, ผีบรรพบุรุษ, การถ่ายทอดวัฒนธรรม, ราชบุรี, กลาง, ประเทศไทยตำบลคลองตาคต อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2551ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1959
1958วิทยานิพนธ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นในฐานะทุนทางสังคม: กรณีศึกษาประเพณีผีมอญตำบลพุดซา อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมาภาราดา หอมหวนประเพณีผีมอญเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีต่อความเชื่อผีบรรพบุรุษ กล่าวคือ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ญาติจะพาหาหมอดูให้ทำนายอาการเจ็บป่วยว่าผิดผีหรือไม่ หากผิดผี จะพิจารณาต่อว่า ผีต้องการอะไรและให้ผู้ป่วยประกอบพิธีเลี้ยงผี โดยร่างทรงเป็นผู้ประกอบพิธีเพื่อทำการรักษาหรือบำบัดโรค การประกอบพิธีเลี้ยงผีมอญจึงเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการแพทย์พื้นบ้านอย่างหนึ่ง ซึ่งเปรียบได้ดั่งทุนสังคม ขณะที่แนวทางการอนุรักษ์ประเพณีผีมอญทำให้เห็นว่า หน่วยงานการปกครองท้องถิ่นเล็งเห็นคุณค่าจึงส่งเสริมภูมิปัญญา โดยจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์และจัดทำหลักสูตรการเรียนรู้ในชุมชน มอญ, ผีมอญ, ภูมิปัญญาท้องถิ่น, ทุนทางสังคม, จังหวัดนครราชสีมา, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ประเทศไทยตำบลพุดซา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย2551ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1958
1957วิทยานิพนธ์ทัศนคติของชาวมอญพระประแดงในการเล่นสะบ้าทอยธวัชชัย บุญอุ้มปัจจุบันการเล่นสะบ้าจำกัดอยู่ในวงแคบเฉพาะชาวมอญเท่านั้น ขณะเดียวกันในกลุ่มคนรุ่นใหม่ก็เป็นที่นิยมน้อยลง ทั้งมุมมองเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ ส่วนใหญ่มีความเห็นว่า อุปกรณ์ รูปแบบการแข่งขัน กติกา เวลาและของรางวัลในการแข่งขันเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปน้อย ซึ่งคุณประโยชน์จากการเล่นสะบ้าทอยมีส่วนช่วยทำให้ผู้เล่นพัฒนาทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา อีกทั้งยังเปิดพื้นที่ให้ผู้เล่นมีโอกาสสร้างมิตรภาพระหว่างกัน โดยภาพรวมแล้วทัศนคติของชาวมอญพระประแดงในการเล่นสะบ้าทอย ส่วนใหญ่มีความเห็นว่า การเล่นสะบ้าทอยมีความสำคัญต่อคนไทยเชื้อสายมอญ ควรอนุรักษ์สืบทอดและส่งเสริมให้เกิดมีการเล่นในประเพณีสงกรานต์มากที่สุด มอญ, สะบ้าทอย, ทัศนคติ, จังหวัดสมุทรปราการ, ภาคกลาง, ประเทศไทยตำบลพุดซา อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย2545https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1957
1956วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมท้องถิ่น: ศึกษากรณีงานประเพณีสงกรานต์พระประแดง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการสรรเกียรติ กุลเจริญประเพณีสงกรานต์พระประแดงดั้งเดิม มีความเป็นมาจากความเชื่อของชาวมอญ แต่ลประเพณีจะมีพื้นฐานความเชื่อ และคุณค่าที่แตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวพันให้ชาวมอญได้ยึดมั่นและบำรุงพระพุทธศาสนา กตัญญูต่อบรรพชนและบุพพการีที่ล่วงลับ และแสดงความเคารพต่อบุพพการีที่ตนเคารพนับถือที่ยังมีชีวิตอยู่ รวมทั้งสร้างความสามัคคีช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ตลอดจนความสนุกสนานและรื่นเริง หลังจากที่ต้องตรากตราทำงานหนักมาตลอดทั้งปี ผู้ศึกษายังเสนอว่าประเพณีสงกรานต์ของชาวมอญพระประแดงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่เปลี่ยนแปลง และการขาดความรู้ของผู้จัดงานประเพณีสงกรานต์ ตลอดจนนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล ประเพณีของมอญหลายอย่างได้เริ่มสูญหายไป นอกจากนี้ ประเพณีสงกรานต์พระประแดงได้มีการประดิษฐ์ประเพณีอื่นขึ้นมาใหม่ ได้แก่ แห่หงส์ธงตะขาบ แห่นางสงกรานต์ ประกวดนางสงกรานต์และหนุ่มลอยชาย จัดขบวนแห่รถบุปผาชาติรวมทั้งการละเล่นอื่นๆ ส่วนในอนาคต องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนต้องร่วมกันเป็นแกนหลักในการอนุรักษ์และฟื้นฟู รวมทั้งให้ความรู้แก่ทุกฝ่าย และต้องประชาสัมพันธ์ถึงสารัตถะคือปรัชญาและความเชื่อของชาวมอญ ประเพณีสงกรานต์พระประแดง จึงจะดำรงอยู่เพื่อการพัฒนาทียั่งยืนในยุคโลกาภิวัตน์มอญพระประแดง สงกรานต์ การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของท้องถิ่น จังหวัดสมุทรปราการ ภาคกลาง ประเทศไทยตำบลพุดซา อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1956
1955-การศึกษาความเชื่อเรื่องพิธีกรรมการรำผีของชาวมอญ: กรณีศึกษาชุมชนมอญบางกระดี่พิมพ์เพ็ญแข วรรณป้าน ความเชื่อเรื่องพิธีกรรมการรำผีของชาวมอญ ชุมชนมอญบางกระดี่มีลักษณะความเชื่อแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ ความเชื่อเกี่ยวกับผี ซึ่งผีที่ชาวมอญนับถือ ผีประจำหมู่บ้านและผีบรรพบุรุษ ผีประจำหมู่บ้าน มีหน้าที่คุ้มครองปกปักรักษาดูแลคนในหมู่บ้าน ให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ผีประจำหมู่บ้านมอญบางกระดี่ คือ ศาลเจ้าพ่อบางกระดี่ ศาลเจ้าแม่หัวระหาญและศาลเจ้าพ่อท้ายทุ่ง ซึ่งมีความสำคัญทางด้านจิตใจและเป็นที่เคารพของคนในหมู่บ้าน และผีบรรพบุรุษหรือปาโหนกเป็นผีที่ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ โดยจะสืบทอดกันมาทางฝ่ายชาย ผีบรรพบุรุษมีหน้าที่คุ้มครองกันอันตราย และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ในการนับถือผีบรรพบุรุษนั้น ชาวมอญเชื่อว่า มีการนับถือสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษอยู่ที่เมืองมอญและผีมอญที่ชาวบ้านมอญบางกระดี่เคารพ แบ่งแยกตามตระกูล ซึ่งแต่ละตระกูลจะมีการนับถือผีที่แตกต่างกัน ผีมอญของชาวบางกระดี่นี้ ได้แก่ ผีเต่า ผีงู ผีไก่ ผีข้าวเหนียว และผีม้า ความเชื่อ ของชาวมอญบางกระดี่ที่มีต่อผีบรรพบุรุษนั้น ชาวมอญเชื่อว่าถ้าผู้ใดทำผิดกฎข้อห้าม ถ้าผู้ใด ฝ่าฝืนจะทำให้เกิดเหตุเภทภัยกับเจ้าบ้านหรือคนในตระกูล ผีบรรพบุรุษจึงเป็นที่พึ่งทางใจและมีบทบาทในระดับเครือญาติ ที่เป็นตระกูลเดียวกัน โดยทำให้ไม่ลืมบรรพบุรุษ และเพื่อเป็นการตอกย้ำความเคารพในผีบรรพบุรุษ ชาวมอญในแต่ละตระกูลก็จะมีการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษเป็นประจำทุกปี ชาวมอญมีความนับถือผีมาก ดังนั้น กฎข้อห้ามที่ไม่พึงปฏิบัติ ชาวมอญจึงยึดถืออย่างเคร่งครัด ซึ่งจะเกรงกลัวต่อการทำผิดกฎหรือละเมิดกฎโดยพลการ และการนับถือผีจะเป็นกุสโลบายที่สร้างความผูกพันกันทั้งในระบบเครือญาติ โดยการนับถือปาโหนกหรือผีบรรพบุรุษ และในระบบชุมชนโดยการนับถือบรรพบุรุษ ผลที่ได้จะทำให้ชาวบ้านมอญ บางกระดี่ที่มีความสามัคคีปรองดองกัน จากการศึกษากระบวนการแบบพิธีกรรมการรำผีของชาวมอญ พบว่า มีการทำพิธีเหมือนแบบดั้งเดิม ทำกันในระบบเครือญาติ ซึ่งพิธีกรรมการรำผี จะเกิดจากคนในตระกูลทำผิดกฎ จึงจัดวิธีแก้ด้วยการรำผี การรำผี เป็นงานที่ต้องใช้ระยะเวลาในการเตรียมและมีขั้นตอนในการทำพิธีกรรมการรำผีอย่างละเอียด ซึ่งพิธีกรรมการรำผีนี้ได้เป็นการรวมตัวของผู้ที่นับถือผีเดียวกัน หรือตระกูลเดียวกัน และในการประกอบพิธีกรรม จะต้องมีการร่ายรำพร้อมทั้งมีวงป่พี าทย์บรรเลงเพลงประกอบ ซึ่งพิธีกรรมการรำผีนี้เป็นความเชื่อของชาวมอญมาตั้งแต่โบราณกาลและเป็นพิธีความเป็นอยู่ของชาวมอญ และพิธีกรรมต่างๆ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงตายและยังเป็นพิธีที่ชาวมอญเชื่อว่า เมื่อทำพิธีกรรมการรำผีแล้ว สิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นกับคนในตระกูลก็จะหมดไปตามความเชื่อของชาวมอญ กล่าวโดยสรุป การถ่ายทอดพิธีกรรมการรำผีของชาวมอญนั้นมีลักษณะที่เป็นการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ และการได้รับการถ่ายทอดโดยไม่มีการร่ำเรียนเป็นกิจลักษณะ แต่เป็นการถ่ายทอดโดยการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งการเรียนรู้นี้มี 3 รูปแบบ คือ การกำหนดจากการบอกเล่า การถ่ายทอดโดยการเห็นจากพิธีกรรมจริงและการถ่ายทอดโดยการปฏิบัติจริงล้วนแต่มีความเป็นเอกลักษณ์ของชาวมอญ มอญบางกระดี่, ความเชื่อ, พิธีกรรมรำผีมอญ, กรุงเทพมหานคร, ภาคกลาง, ประเทศไทยตำบลแขวงแสมดำ อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2549https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1955
1954วิทยานิพนธ์รำมอญ: การสร้างมาตรฐานการรำเพื่อสืบสานศิลปะการแสดงของชาวไทยรามัญดุสิตธร งามยิ่ง ความเป็นมา สภาพปัจจุบันและปัญหาของการรำมอญ ในด้านกระบวนการรำ ทำนองเพลงและดนตรี การแต่งกาย ผู้แสดง ระยะเวลาในการรำ และพิธีกรรม จารีตมีความคล้ายคลึงกัน และ แตกแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ ความต้องการในการสร้างมาตรฐานการรำ พบว่า มีความต้องการที่คล้ายคลึงกัน ทั้งทางด้านกระบวนการรำ ด้านทำนองเพลง ดนตรี ด้านการแต่งกาย ด้านผู้แสดงด้านระยะเวลาในการรำ และด้านพิธีกรรม จารีต กล่าวคือ ควรจะมีความเป็นแบบแผนดั้งเดิมไม่ควรเปลี่ยนแปลง เพื่อแสดงถึง ความเป็นอัตลักษณ์ของรำมอญ การสร้างมาตรฐานการรำ สรุปได้ว่าด้านกระบวนการรำ มีตัวบ่งชี้ 6 ตัวบ่งชี้ ได้กำหนดคะแนน ในเกณฑ์การปฏิบัติไว้ 170 คะแนนด้านทำนองเพลง ดนตรี มีตัวบ่งชี้ 3 ตัวบ่งชี้ ได้กำหนดคะแนน ในเกณฑ์การปฏิบัติไว้ 195 คะแนน ด้านการแต่งกาย มีตัวบ่งชี้ 1 ตัวบ่งชี้ ได้กำหนดคะแนน ในเกณฑ์การปฏิบัติไว้ 30 คะแนน ด้านผู้แสดงมีตัวบ่งชี้ 6 ตัวบ่งชี้ ได้กำหนดคะแนน ในเกณฑ์การปฏิบัติไว้ 80 คะแนน ด้านระยะเวลาในการรำมีตัวบ่งชี้ 2 ตัวบ่งชี้ ได้กำหนดคะแนน ในเกณฑ์การปฏิบัติไว้ 25 คะแนน ด้านพิธีกรรม จารีต มีตัวบ่งชี้ 3 ตัวบ่งชี้ ได้กำหนดคะแนน ในเกณฑ์การปฏิบัติไว้ 40 คะแนน สำหรับเกณฑ์ในการประเมินจะต้องได้ 80% จึงจะผ่านเกณฑ์ในการประเมินรำมอญ, การสร้างมาตรฐาน, ศิลปะการแสดง, จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดปทุมธานี, ภาคกลาง, ประเทศไทยตำบลแขวงแสมดำ อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดปทุมธานี ประเทศไทย2557https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1954
1953วิทยานิพนธ์ดนตรีประกอบพิธีกรรมรำผีมอญ ของหมู่บ้านบางกระดี่ แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานครเฉลิมพล โลหะมาตย์พิธีกรรมรำผีมอญเป็นการถวายเครื่องเซ่นต่อบรรพบุรุษพร้อมทั้งการร่ายรำ จากความคล้ายคลึงในขั้นตอนในพิธีรำผีระหว่างในประเทศไทยกับในรัฐมอญประเทศพม่าทำให้สันนิษฐานได้ว่า การรำผีในประเทศไทยได้เข้ามาพร้อมกับชาวมอญที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย พิธีรำผีจะจัดขึ้นเนื่องจากมีการกระทำผิดกฎข้อห้าม ชาวมอญเรียกว่า “ผิดผี” หรือมีการบนบานสานกล่าวไว้กับบรรพบุรุษในพิธีรำผีมอญมีการใช้วงปี่พาทย์มอญบรรเลงประกอบในพิธีกรรม ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้เลือกศึกษาดนตรีประกอบพิธีรำผีของวงปี่พาทย์คณะผู้ใหญ่บุญธรรมเท่านั้น ผลการศึกษาพบว่า บทเพลงหลักๆ ในพิธีรำผีของวงปี่พาทย์คณะผู้ใหญ่บุญธรรมจะมีอยู่ทั้งสิ้น 24 เพลง การบรรเลงเพลงในพิธีกรรมจะมีความสัมพันธ์กับขั้นตอนที่กำลังประกอบในพิธี ในด้านคุณลักษณะทางดนตรี ผู้วิจัยได้เลือกศึกษาบทเพลงที่มีการบรรเลงบ่อยที่สุดในพิธีรำผีจำนวน 5 เพลง โดยศึกษาทำนองฆ้องมอญวงใหญ่ พบว่าทั้ง 5 เพลงมีการใช้กลุ่มเสียงอยู่เพียง 2 กลุ่มเสียงคือ C D E G A และ G A B D E ซึ่งกลุ่มเสียงที่ใช้มากที่สุดคือกลุ่มเสียง C D E G A ซึ่งการใช้กลุ่มเสียงร่วมกันส่งผลให้การบรรเลงเพลงต่อกันในพิธีกรรมเป็นไปอย่างราบรื่น เพลงที่มีการใช้กลุ่มเสียงทั้ง 2 กลุ่มมีอยู่ 3 เพลงคือเพลงอะบะคานเพลงเหล่ะอะนะชุกและเพลงเหล่ะโคร่ส่วนเพลงที่มีการใช้กลุ่มเสียง C D E G A เพียงกลุ่มเสียงเดียวมีอยู่ 2 เพลงคือเพลงเหล่ะแซง และเพลงเหล่ะกรั๊บ พิธีรำผีได้ส่งผ่านความเชื่อ กฎ ข้อห้ามต่างๆ นับเป็นภูมิปัญญาในการสั่งสอนลูกหลานของบรรพบุรุษชาวมอญสู่คนรุ่นหลัง สังคมที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบันส่งผลต่อวิถีชีวิตและสภาพความเป็นอยู่โดยรวมของชาวบ้านบางกระดี่ ทำให้ปัจจุบันสามารถพบพิธีรำผีได้น้อยลงในสังคมชาวมอญหมู่บ้านบางกระดี่ดนตรีประกอบพิธีกรรมรำผีมอญ กรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ประเทศไทยตำบลแขวงแสมดำ อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2551https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1953
1952วิทยานิพนธ์การถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นทางวัฒนธรรมด้านอาหารพื้นบ้านของชุมชนบางกระดี่จำนงค์ ตรีนุมิตรความนิยมในการบริโภคอาหารพื้นบ้านที่ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นชุมชนบ้านบางกระดี่มาปรุงแต่งอาหารมี 3 ประเภท คือ อาหารคาว ได้แก่ แกงกระเจี๊ยบ แกงผักปรง แกงลูกโยน แกงใบมะขาม แกงเรียงผักปลัง ยำชะคราม น้ำพริกป่า น้ำพริกมะขาม ปลาร้ามอญ อาหารหวาน คือ ขนมลูกจากย่าง ขนมสายบัว ขนมดอกโสน ลูกจากฯกะทิ เครื่องดื่มสมุนไพร คือ น้ำกระเจี๊ยบ น้ำใบเตย องค์ความรู้ภูมิปํญญาท้องถิ่นด้านอาหารพื้นบ้านตนมอญบางกระดี่สะท้อนเห็นถึงวิถีชาวบ้านในการเรียนรู้จากธรรมชาติที่สามารถนำวัตถุดิบจากแหล่งธรรมชาติมาดัดแปลงทำอาหารจนเกิดเป็นอัตลักษณ์ และมีรูปแบบการถ่ายทอดสู่คนรุ่นต่อไปในพื้น?ด้วยการจัดทำสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อถ่ายทอดสู่เยาวชนในพื้นที่ผ่านกระบวนการอบรมเชิงปฏิบัติการ ส่งผลทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจยิ่งขึ้น มอญ อาหารพื้นบ้าน ภูมิปัญญา กรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ประเทศไทยตำบลแขวงแสมดำ อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2553https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1952
1951อื่นๆการศึกษาพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวมอญเกาะเกร็ดเกตุอัมพร ชั้นอินทร์งามพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย ชาวมอญเกาะเกร็ดแบ่งลักษณะการตาย เป็น 2 ประเภท คือ ตายแบบปกติ และตายแบบไม่ปกติ การตายแบบปกติมีขั้นตอนและพิธีกรรมคือ การบอกข่าวการตาย การอาบน้ำศพ การแต่งตัวศพ การนำหมากและเงินใส่ปากศพ การปิดปากศพด้วยใบพลู การมัดศพ การตั้งศพ การนำศพลงโลง การเคลื่อนย้ายและการจูงศพ การฝังศพ การจัดวางฟืนเผาบนเชิงตะกอน การเผาศพ ซึ่งมีพิธีโยนผ้าราไฟ การกลับจากการเผาศพ การเก็บอัฐิ พิธีปล่อยพระ ส่วนพิธีกรรมการจัดการศพแบบไม่ปกติ มีขั้นตอนที่แตกต่างจากศพปกติ คือ เมื่อมีคนตายต้องรีบฝัง จะไม่มีการทำบุญเลี้ยงพระ จะทำได้หลังจากวันตายแล้ว 7 วัน ทำทานด้วยอาหารดิบ การขุดศพขึ้นมาเผานั้นต้องไม่ต่ำกว่า 3 ปี ยกเว้นศพที่เป็นโรคติดต่อจะไม่มีการเผาที่ตายแบบปกติ ส่วนการจัดพิธีกรรมแบบการสร้างปราสาทเพื่อฌาปนกิจนั้นขึ้นอยู่กับสมณศักดิ์ตั้งแต่พระพิธีธรรมขึ้นไป และการจำพรรษานานตั้งแต่ 20 พรรษา รวมทั้งพระที่เป็นเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส พระผู้ใหญ่ที่มีอายุมาก การจัดพิธีกรรมเกี่ยวกับศพของพระภิกษุสงฆ์ ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะชาวมอญมีความเชื่อว่าได้อานิสงส์เหมือนถวายเพลิงพระพุทธเจ้า มีขั้นตอนการบอกข่าวการตาย โดยใช้สัญญาณการเคาะระฆัง การอาบน้ำศพ ไม่มีการมัดตราสัง ไม่ต้องนำเหรียญ หมากใส่ปากศพ และไม่มีการประพรมเครื่องหอม มีพิธีสวดพระอภิธรรม 7 วัน การฌาปนกิจจะสร้างปราสาท แทนเมรุ ไม่ต้องจุดไฟเผา จะใช้การจุดลูกหนูแทน มีมอญร้องไห้วัตถุสิ่งของเครื่องใช้ที่ใช้ในพิธีกรรมนั้นเป็นปริศนาธรรมที่มีคุณค่าต่อชาวมอญเป็นอย่างมากต่อมาพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวมอญเกาะเกร็ดเปลี่ยนแปลงไป เรื่องการจัดพิธีศพที่ตายแบบไม่ปกติเดิมจะต้องฝังแล้วขุดขึ้นมาเผา ปัจจุบันจะเผาอย่างเดียว สวดพระอภิธรรมได้ตามแต่เจ้าภาพกำหนด เพราะไม่มีสถานที่ฝังศพ รวมทั้งเป็นความยุ่งยากของเจ้าภาพ และความเจริญทางวัตถุนิยม เดิมจะจัดพิธีกรรมที่บ้านมีขั้นตอนพิธีกรรมมาก แต่ปัจจุบันลดขั้นตอนลงและใช้วัดประกอบพิธีกรรมเป็นส่วนใหญ่ มอญ พิธีกรรมความตาย นนทบุรี ภาคกลาง ประเทศไทยตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย2550https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1951
1949บทความประสบการณ์วิจัยภาคสนาม: นักมานุษยวิทยากับการศึกษาประเพณีและพิธีกรรมรำผีมอญกาญจนา ชินนาคพิธีรำผีมอญ หาใช่เพียงพิธีกรรมเพื่อขอขมาและบูชาผีบรรพบุรุษ หากยังเป็นความเชื่อที่ผลิตซ้ำและสืบทอดสำนึกทางประวัติศาสตร์ทางชาติพันธุ์มอญ นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นการสื่อสัญลักษณ์งานพิธีกรรมนับถือผีมอญซึ่งเผยให้เห็นว่า คนมอญยังคงเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติที่มีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิต ทั้งในมิติสุขภาพและการดำเนินชีวิต ขณะเดียวกันยังบ่งบอกความสัมพันธ์ของเครือญาติ เนื่องจากเป็นพิธีกรรมที่ต้องใช้ปัจจัยด้านกำลังทรัพย์และกำลังคน หากมีฐานความสัมพันธ์ทางเครือญาติที่ไม่เข้มแข็ง ย่อมยากต่อการประกอบพิธีกรรมรำผี ยิ่งกว่านั้นยังเป็นพิธีกรรมที่ช่วยลดตรึงเครียดในโลกแห่งความเป็นจริงของคนมอญ ซึ่งรายละเอียดของพิธีกรรมแฝงด้วยความสนุกสนานรื่นเริงมากมาย รวมถึงการสะท้อนภาพบทบาทของผู้หญิงที่มีอำนาจอย่างมากในการประกอบพิธีกรรมดังกล่าว มอญ รำผีมอญ ประสบการณ์วิจัยภาคสนาม จังหวัดราชบุรี ภาคกลาง ประเทศไทยตำบลสร้อยฟ้า อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2543https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1949
1948วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของชาวเวียดนามในจังหวัดอุบลราชธานี: กรณีศึกษาในเขตเทศบาลอุบลราชธานีอุบลวรรณ รัตนวีรเมธีกุลชาวเวียดนามจังหวัดอุบลราชธานี ที่อพยพเข้ามาในช่วงหลัง ปี พ.ศ. 2482 ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขาย ภายหลังจากที่ได้รับการพิจารณาจากรัฐไทยให้มีสัญชาติไทยพบว่า ก่อนหน้านี้ ชาวเวียดนามไม่สามารถประกอบอาชีพได้อิสระ เนื่องจากพระราชบัญญัติการควบคุมคนต่างด้าว ปัจจุบันประกอบอาชีพได้หลากหลาย แต่ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจร้านอาหาร ด้านการศึกษา ในอดีตคนเวียดนามไม่ได้รับการศึกษา ปัจจุบันได้รับการศึกษาสูงขึ้น ส่วนโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนเวียดนาม กลุ่มธุรกิจและเครือญาติ ในด้านการเมือง มีส่วนร่วมแค่การสนับสนุนด้านสังคม เช่น การช่วยหาเสียงจากกลุ่มคนในพื้นที่ที่มีความสัมพันธ์กับคนเวียดนาม ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นเพราะประสบการณ์การดำเนินชีวิต โดยเฉพาะด้านธุรกิจจึงทำให้เกิดการปรับตัว เวียดนาม การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและสังคม เทศบาลนครอุบลราชธานี อุบลราชธานีตำบลสร้อยฟ้า อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย2552https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1948
1947วิทยานิพนธ์เหวียต เกี่ยว : อัตลักษณ์และกระบวนการปรับปรนในการดำเนินชีวิต CARE ในภาคอีสานสุนทร พรรณรัตน์ชาวเวียดนามอพยพเริ่มเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยสาเหตุมาจากถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่ในฐานะเชลยศึก และอพยพเข้ามาเพื่อลี้ภัยทางการเมืองและศาสนา เวียดนามที่ลี้ภัยทางการเมืองและศาสนาเดินทางเข้ามาโดยผ่านประเทศลาว และมาอาศัยอยู่ในบริเวณฝั่งแม่น้ำโขง ที่เมืองท่าอุเทน ไชยบุรี หนองคาย นครพนม นับถือศาสนาพุทธและคริสต์ ชาวเหวียต เกี่ยวที่อาศัยอยู่ในภาคอีสานแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ เหวียต เกี่ยว เก่า และเหวียต เกี่ยว เมื่ออพยพมีการสร้างบ้านเป็นกระต๊อบ กระท่อมหรือ โรงนา ฝาสานด้วยไม้ไผ่ฉาบปูน พื้นอัดด้วยดิน บางกลุ่มสร้างบ้านเป็นตึกแถวประตูด้านหน้าเป็นบานพับ หรือเพี้ยม การแต่งกายคล้ายกับคนจีน นุ่งกางเกงขายาวทั้งชายหญิง เสื้อผ่าข้างยาวคลุมเข่า พูดภาษาเวียดนาม รับประทานอาหารที่มีรสจืดมีผักเป็นเครื่องเคียง นับถือศาสนาพุทธและคริสต์ เชื่อในเรื่องผี วิญญาณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติมีการเคารพนับถือเทพเจ้า มีการทรงเจ้า ร่างทรง มีประเพณีพิธีกรรมการแต่งงานและพิธีศพที่เป็นของตนเอง<br />
สภาพปัจจุบันและปัญหาในการดำเนินชีวิตของชาวเหวียต เกี่ยวในภาคอีสาน ปัจจุบันมีการตั้งบ้านเรือนเป็นอาคารพาณิชย์ ตึกแถว สร้างบ้านตามสมัยนิยม มีการพูดภาษาเวียดนาม ภาษาไทยภาษาไทยอีสาน และภาษาต่างประเทศ แต่งกายตามสมัยนิยม นิยมแต่งชุดประจำชาติ คือ ชุดอ่าว หญ่าย ตามเทศกาลรื่นเริง รับประทานอาหารเวียดนาม อาหารไทย อาหารไทยอีสาน อาหารจีนและอาหารฝรั่ง การนับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผี วิญญาณ มีการทรงเจ้าเข้าร่างทรง มีประเพณีปีใหม่ญวนหรือตรุษญวน พิธีกงเต๊ก พิธีกรรมงานศพ ส่วนปัญหาที่พบคือ บ้านเรือนแบบเก่าเริ่มหายไป คนรุ่นใหม่ไม่พูดภาษาเวียดนาม มีการแต่งกายตามสมัยนิยม นำชุดอ่าว หญ่ายนำไปใช้ในเทศกาลอื่น มีการดัดแปลง ตกแต่งให้มีความทันสมัยเพิ่มขึ้น ไม่นิยมรับประทานอาหารเวียดนาม มีการแยกกลุ่มทำกิจกรรมเกี่ยวกับศาสนาระหว่างพุทธกับคริสต์ เชื่อในเรื่องภูตผีปีศาจบูชา เทพเจ้าทำให้สังคมไม่ยอมรับ ว่าเป็นสิ่งไร้สาระ การทรงเจ้า ร่างทรงเริ่มสูญหายไปไม่มีผู้สืบทอดมีการจัดประเพณีเฉพาะกลุ่มของตัวเอง สังคมและวัฒนธรรมเปลี่ยนไปทำให้รับประเพณีของชาติอื่นเข้ามาผสมกับประเพณีดั้งเดิม<br />
ส่วนอัตลักษณ์และกระบวนการปรับปรนในการดำเนินชีวิตของชาวเหวียต เกี่ยว ในภาคอีสาน<br />
พบว่า มีการสร้างบ้านเรือนที่พักอาศัยให้เหมือนคนไทย พูดภาษาไทยและภาษาท้องถิ่น แต่งกายเป็นคนไทย รับประทานอาหารไทยและไทยอีสาน ทำบุญใส่บาตรตามศาสนาพุทธ เข้าร่วมประเพณีและพิธีกรรมกับชาวไทยอีสาน เพื่อให้การดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างผสมกลมกลืนโดยสรุป อัตลักษณ์และกระบวนการปรับปรนในการดำเนินชีวิตของชาวเหวียต เกี่ยวในภาคอีสาน ด้านตั้งบ้านเรือน ภาษา การแต่งกาย อาหาร ศาสนา ความเชื่อ ประเพณีและ<br />
พิธีกรรม เป็นแนวทางและรูปแบบในการดำเนินชีวิตของชาวไทยเชื้อชาติอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ประเทศไทยได้เป็นอย่างดีเหวียต เวียดนาม อัตลักษณ์ กระบวนการปรับปรน ภาคอีสาน ประเทศไทยตำบลสร้อยฟ้า อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ประเทศไทย2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1947
1946วิทยานิพนธ์ความเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนไทยเชื้อสายเวียดนามที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก: กรณีศึกษาหมู่บ้านญวน อำเภอองค์รักษ์ จังหวัดนครนายกวริษา วงษ์วิเชียนถิ่นเดิมของคนไทยเชื้อสายเวียดนามในหมู่บ้านยวน อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ที่นับถือศาสนาคริสต์ นิมันโรมันคาทอลิก ได้อพยพมาจกชุมชนชาวไทยเชื้อสายเวียดนามที่สามเสน และเข้ามาอยู่ในอำเภอองครักษ์ ก่อน พ.ศ. 2446 เดิมที ชาวไทยเชื้อสายเสียดนามประกอบอาชีพเกษตร ทำไร่ การประมงน้ำจืด และการทอเสื่อเพื่อเลี้ยงครอบครัว จากการที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านญวนแห่งนี้กว่า 100 ปี ทำให้วิธีชีวิตในปัจจุบันแตกต่างจากในอดีต เนื่องจากความเจริญต่างๆ ได้แผ่ขยายเข้ามาในหมู่บ้าน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปเกือบทุกด้าน และพยายามปรับตัวให้เข้ากับสังคมไทย ขณะที่ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประกอบด้วย ปัจจัยภายใน เกิดจากชาวเวียดนามรุ่นใหม่มีความเป็นคนไทยพูดภาษาท้องถิ่นน้อยลง ดำเนินชีวิตเฉกเช่นคนไทย ประกอบกับชาวเวียดนามรุ่นเก่าลดจำนวนลง ส่วนปัจจัยภายนอก เกิดจากสภาพแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ประกอบกับความเจริญก้าวหน้าด้านสาธารณูปโภค สาธารณสุข การบริหารด้านท้องถิ่น สื่อสารมวลชน และด้านคมนาคม ล้วนเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ขณะที่สภาพวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมในปัจจุบัน ของชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในหมู่บ้านญวน อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก มีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน คือ การศึกษา การสาธารณสุข ที่อยู่อาศัย เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในปัจจุบันเวียดนาม ความเปลี่ยนแปลง คริสต์นิกายโรมันคาทอริก อำเภอองครักษ์ จังหวัดปทุมธานีตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ประเทศไทย2551https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1946
1945วิทยานิพนธ์การดำรงอยู่และการปรับปลี่ยนอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของประชาชนในสังคมพหุวัฒนธรรม: กรณีศึกษาชุมชนบุ่งกะแทว ตำบลในเมือง อำเมือง จังหวัดอุบลราชธานีวรินรดา พันธน้อยชุมชนบุ่งกะแทวเป็นชุมชนที่มีลักษณะทั่วไปทางสังคมและวัฒนธรรมแตกต่างจากชุมชนอื่นๆ เนื่องจากเกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมชาวไทยอีสานกับวัฒนธรรมชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม ประชากรของชุมชนส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก สภาพทางด้านสังคมจึงเป็นสังคมของชาวคริสต์โดยแท้จริง ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามมีการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ มีการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมให้เข้ากับสังคมไทย การพูดภาษาไทย การเรียนหนังสือไทย และในด้านศาสนา มีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมงานศพ งานแต่งงาน ประเพณีไหว้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ การไหว้ตรุษญวน เป็นต้น สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แสดงออกเหล่านี้ ล้วนเป็นการสืบทอดและดำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ทั้งสิ้น ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมเหล่านั้นใช่ว่าจะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง หากแต่มีการปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับบริบทและสถานการณ์ทางสังคม มีการรับเอาและปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมบางอย่างเพื่อให้สังคมส่วนใหญ่ยอมรับ หรือการที่ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามเลือกที่จะใช้ภาษาเวียดนาม ภาษาอีสาน และภาษาไทยเมื่อครั้งที่ต้องปฏิสัมพันธ์ กับคนกลุ่มต่างๆ การสร้างบ้านเรือนแบบทรงไทยอีสาน ซึ่งจากเดิมบ้านเรือนแบบเวียดนามจะเป็นบ้านชั้นเดียว วัฒนธรรมการกิน การแต่งกาย หลายอย่างมีการผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมไทย ในส่วนของประเพณี เช่น งานศพที่มีการลดขั้นในพิธีกรรมบางขั้นตอนเพื่อความสะดวกเช่นเดียวกับงานแต่งงานที่ปรับรูปแบบไปมาก แต่ยังคงส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางชาติพันธุ์ คือ การไหว้บอกกล่าวบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วต่อหน้าแท่นบูชาบรรพบุรุษของตระกูล เป็นต้น เหตุนี้ การผสมผสานทางวัฒนธรรมของชาวไทยอีสานและชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในชุมชนบุ่งกะแทว บ่งบอกถึงวิธีชีวิตของกลุ่มชนที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนาและมรดกทางวัฒนธรรม การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาอย่างยาวนาน ด้วยปัจจัยหลายๆ ด้าน ก่อให้เกิดการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน ทำให้มีการผสมผสานทางวัฒนธรรมบนพื้นฐานความเป็นอยู่แบบสังคมพหุวัฒนธรรมเวียดนาม, การดำรงชาติพันธุ์, การปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์, ชุมชนบุ่งกะแท่ว อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานีตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย2552https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1945
1944วิทยานิพนธ์ความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมระหว่างชาวเวียดนามอพยพกับชาวไทยท้องถิ่นในจังหวัดพัทลุงวิภู ชัยฤทธิ์งานศึกษาเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายของภาครัฐเกี่ยวข้องกับชาวเวียดนามอพยพ ทั้งระดับมหาภาคและระดับท้องถิ่น ประเมินโลกทัศน์ด้านความสัมพันธ์ระหว่าง ชาวเวียดนามอพยพผู้เป็น “คนนอก” กับชาวไทยท้องถิ่นผู้เป็น “คนใน” ซึ่งมีความผันแปรตามยุคสมัย และศึกษาเปรียบเทียบกรณีศึกษาชาวเวียดนามอพยพในจังหวัดพัทลุงกับชนกลุ่มน้อยในท้องถิ่นอื่นๆ ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายต่อชาวเวียดนามอยู่ภายใต้บริบทของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจในภูมิภาคในขณะนั้น ส่วนความผันแปรของนโยบายภาครัฐอันเกิดจากการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชาวเวียดนามอพยพ ทั้งนี้รัฐยุคเสรีประชาธิปไตยให้สิทธิ์และเสรีภาพแก่ผู้อพยพมากกว่ารัฐยุคเผด็จการ ขณะที่ ชาวเวียดนามอพยพได้รับช่วยเหลือในการให้งานเพื่อดำรงชีพจากคนในท้องถิ่น เนื่องจากมีจำนวนน้อยจนไม่เห็นว่าสามารถจะเป็นภัยคุกคามต่อชุมชนท้องถิ่นได้เวียดนาม ความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม จังหวัดพัทลุงตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ประเทศไทย2553https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1944
1943อื่นๆนโยบายและการปฏิบัติของรัฐบาลไทยต่อผู้อพยพทางเรือชาวเวียดนามในประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2518-2539มานิดา สาชุม หลังสงครามระหว่างเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้สิ้นสุดลงในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 เวียดนามเหนือได้เข้าครอบครองเวียดนามใต้โดยสมบูรณ์ แล้วทำให้การเปลี่ยนการเมืองการปกครอง ระบบเศรษฐกิจ และสังคมให้เป็นไปตามระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ดังกล่าว ซึ่งกลายเป็นแรงผลักดันให้ชาวเวียดนามที่ไม่ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต หรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต้องพากันอพยพหนีออกนอกประเทศเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวเวียดนามเชื้อสายจีน เนื่องจากได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่การอพยพออกนอกประเทศในระยะหลังพบว่า เป็นชาวเวียดนามที่ต้องการไปตั้งถิ่นฐานถาวรในประเทศตะวันตกเพราะต้องการที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่า ผู้อพยพเห่านี้จึงไม่ได้เป็นผู้อพยพที่แท้จริงแต่เป็นผู้อพยพทางเศรษฐกิจ และสาเหตุที่ต้องอพยพเดินทางโดยเรือเข้ามาในประเทศไทยนั้นเพราะประเทศไทยไม่มีพรมแดนติดกับประเทศเวียดนามแต่ใช้น่านน้ำเดียวกัน รัฐบาลไทยมีนโยบายต่อผู้อพยพทางเรือชาวเวียดนามที่เดินทางเขามาในประเทศไทย โดยจะให้พักพิงเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการส่งกลับออกนอกราชอาณาจักร และได้มีมติคณะรัฐมนตรีในวาระต่างๆ เป็นมาตรการที่จะนำมาปฏิบัติกับผู้อพยพตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อผู้อพยพมีจำนวนมากขึ้นจนประเทศไทยไม่สามารถแบกรับโดยลำพังได้ รัฐบาลไทยจึงได้เรียกร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติ และรัฐบาลไทยมีนโยบายที่จะไม่ให้มีการตั้งถิ่นฐานถาวรในประเทศไทย สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติก็ได้ตอบรับข้อเรียกร้องของรัฐบาลไทย โดยประสานงานกับนานาชาติเพื่อช่วยเหลือรัฐบาลไทยในการส่งผู้อพยพเหล่านี้ออกจากประเทศไทยสองแนวทางคือ การส่งกลับประเทศเดิมและการเดินทางไปตั้งถิ่นฐานถาวรยังประเทศที่สาม สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติได้ส่งผู้อพยพชาวเวียดนามรุ่นสุดท้ายใน พ.ศ.2539 ถือเป็นการสิ้นสุดปัญหาผู้อพยพทางเรือชาวเวียดนามในประเทศไทยเวียดนาม นโยบายปฏิบัติผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย ประเทศไทยตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ประเทศไทย2551https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1943
1942วิทยานิพนธ์นโยบายชาวเวียดนามอพยพของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม พ.ศ. 2491-2500ธนนันท์ บุ่นวรรณาการดำเนินนโยบายต่อผู้อพยพชาวเวียดนามในช่วงการเข้ามาบริหารประเทศของจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีความเข้มงวดมากกว่ารัฐบาลชุดก่อนซึ่งเป็นรัฐบาลพลเรือน อีกทั้งการกำหนดนโยบายชาวเวียดนามอพยพรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามต้องอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ทางด้านความมั่นคงภายในของไทยกับผลประโยชน์ด้านนโยบายต่างประเทศที่ต้องการนำประเทศเข้าไปเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกาเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ ปัจจัยดังกล่าวทำให้รัฐบาลกำหนดนโยบายเข้มงวดต่อชาวเวียดนามอพยพเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ นโยบายดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อภาวะจิตใจของชาวเวียดนามโดยรวมและยังทำให้ชาวเวียดนามอพยพเหล่านั้นประท้วงการดำเนินนโยบายของรัฐบาลชาติพันธุ์เวียดนาม นโยบายการอพยพ ปัจจัยและสาเหตุในการกำหนดนโยบาย ผลกระทบของนโยบาย ประเทศไทย อินโดจีนตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ประเทศไทย2545https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1942
1941วิทยานิพนธ์ยุ้งข้าว : และสื่อสัญลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ ตำบลนกออก อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมาจารุวัฒน์ นนทชัยเนื้อหาของงานเขียนศึกษาเรื่อง ความเป็นมา ความเชื่อและรูปแบบของยุ้งข้าว โดยศึกษาในสองกลุ่มชาติพันธุ์ได้แก่ กลุ่มชาติพันธุ์ไทยเบิ้ง บ้านโคกสระน้อย และกลุ่มชาติพันธุ์มอญ บ้านพระเพลิง ตำบลนกออก อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ในกลุ่มไทยเบิ้ง ได้ศึกษาจำนวน ยุ้ง 23หลัง และกลุ่มมอญ อีก5หลัง นอกจากนี้ยังมีที่เก็บข้าวที่สานด้วยไม้ไผ่ที่มีขนาดความจุข้าวเปลือกที่น้อยกว่ายุ้งได้กล่าวถึงในงานเขียน ได้กล่าวถึงไทยเบิ้งว่า เป็นกลุ่มที่มาจากภาคตะวันออก เช่น จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ปราจีนบุรี และนครนายก โดยได้มาตั้งรกรากที่ตำบลนกออก อำเภอปักธงชัย ตั้งแต่หลังสมัยกรุงศรีอยุธยาแตก ไทยเบิ้งมีความเป็นอยู่และภาษาพูดใกล้เคียงกับคนภาคกลาง สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับยุ้ง ไทยเบิ้งเชื่อว่ายุ้งเป็นเครื่องแสดงถึงฐานะเศรษฐกิจ หากใครมียุ้งข้าวขนาดใหญ่ก็แสดงถึงฐานะความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ในอดีตมีความเชื่อเรื่องข้าวเพราะมีความเป็นอยู่แบบสังคมชาวนาที่นับถือแม่โพสพ นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออื่นๆ เช่นการเอาข้าวเข้าออกจากยุ้ง ความเชื่อเรื่องคนที่เกิดปีนักษัตรที่เป็นสัตว์กินพืชห้ามนำข้าวออกจากยุ้ง ส่วนคนมอญบ้านพระเพลิงได้อพยพมาอยู่ที่บ้านพระเพลิงตั้งแต่ พ.ศ. 2318สมัยกรุงธนบุรี กลุ่มคนมอญมีความเป็นอยู่แบบสังคมชาวนา มีความเชื่อเรื่องแม่โพสพ และความเชื่อเกี่ยวกับข้าวว่าเป็นเครื่องค้ำประกันความเป็นอยู่ของคนในครอบครัว ให้มีอยู่มีกิน นอกจากนี้ยุ้งข้าวยังเป็นที่เก็บข้าวเปลือกที่เหลือกินเพื่อนำไปใช้นำเงินมาใช้ยามจำเป็นอีกด้วย นอกจากนี้ทั้งสองกลุ่มยังมีการออกแบบยุ้งกันเอง ที่เน้นความทนทาน ส่วนใหญ่แล้วยุ้งจะมาจากการขอแรงญาติพี่น้องมาช่วยกันสร้าง จึงทำให้สังคมของมอญและไทยเบิ้งมีความสนิทสนมกลมเกลียวกันยุ้งข้าว ความเชื่อ สังคม เศรษฐกิจ ไทยเบิ้ง มอญ นครราชสีมาตำบลนกออก อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1941
1940วิทยานิพนธ์พิธีกรรมหลังความตายของชนเผ่าม้ง ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว: รูปแบบและการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ปีคริสตศักราช 1975 ถึงปีคริสตศักราช 2012สุพจน์ ทองเนื้อขาวเนื้อหาของงานเขียนได้กล่าวถึง พิธีกรรมหลังความตายของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ในประเทศลาว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975-2012 โดยได้ศึกษาในแขวงเชียงขวาง 6หมู่บ้าน แขวงหลวงพระบาง3หมู่บ้าน และแขวงนครหลวงเวียงจันทน์ 5หมู่บ้าน โดยในการศึกษาได้แบ่งการประกอบพิธีกรรมหลังความตายของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง โดยแบ่งเป็ยสามช่วงเวลา คือ ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง 1975, ช่วงยุคจินตนาการใหม่ และยุคปัจจุบันถึง ค.ศ. 2012จากการศึกษาพบว่า ช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองในลาวนั้น ประวัติด้านการจัดพิธีศพของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งยังไม่มีความชัดเจน ปรากฏในเรื่องเล่าและนิทานปรัมปรา ประวัติศาสตร์ของพิธีกรรมหลังความตายเริ่มต้นเมื่ออพยพเข้ามาประเทศลาวเมื่อต้นคริสตวรรษที่ 1800 การอพยพเข้ามาอยู่ในลาวช่วงที่มีการค้าฝิ่นมีผลทำให้กลุ่มม้งจัดพิธีศพอย่างยิ่งใหญ่ ในตระกูลที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่มั่งคั่งมีการฆ่าวัวเลี้ยงแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ในช่วง ค.ศ. 1954-1975เป็นช่วงที่มีการสู้รบ กลุ่มชาติพันธุ์ม้งได้มีการจัดงานศพอย่างเรียบง่าย มีเพียงการฝังดินแล้วจุดลำไม้ไผ่ให้เกิดควันเพื่อบูชาศพ ในช่วงยุคจินตนาการใหม่ทางการลาวได้ผ่อนปรนให้กลุ่มชาติพันธุ์ม้งได้จัดพิธีศพได้อิสระมากขึ้น ในช่วงนี้มีการนำน้ำอัดลมมาใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้ ส่วนในช่วงยุคปัจจุบันถึง ค.ศ.2012เป็นช่วงที่ลาวมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ดังจะเห็นได้จากเครื่องเซ่นไหว้นั้นผลิตจากโรงงานที่ทันสมัยในยุคนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการจัดพิธีศพของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งอย่างผิดหูผิดตากว่าในอดีตเช่น มีการปรับเปลี่ยนเครื่องเซ่นไหว้เช่นมีการใช้เบียร์ลาว เป็นเครื่องเซ่นไหว้ และมีการปรับเปลี่ยนพิธีกรรมบางส่วนเช่นสถานที่ บุคคล วัตถุ และอื่นๆ เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัย งานศพ สังคม ม้ง แขวงเชียงขวาง แขวงหลวงพระบาง แขวงนครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาวตำบลนกออก อำเภอปักธงชัย จังหวัดXiangkhoang ประเทศลาว2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1940
1939รายงานการวิจัยเค่งและเพลงในพิธีตฺจอ ผลี่ของชนเผ่าม้งณรงค์ชัย ปิฎกรัชต์, ฤชุ สิงคเสลิต และรัศมี เอื้ออารีย์ไพศาลเนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึงการศึกษาเรื่อเค่ง และเพลงในพิธีตฺจอ ผลี่ ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ที่อยู่บ้านแม่ตะละ ตำบลยั้งเมิน อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การจัดพิธีตฺจอ ผลี่นี้ จะจัดเมื่อเจ้าภาพมีความพร้อม เช่นกรณีศึกษา เป็นงานเชิญวิญญาณของนายหยังเกอะ แซ่ย่าง ที่เสียชีวิตเมื่อ5ปีที่แล้ว ที่ใช้เป็นพิธีศึกษาในครั้งนี้ พิธีตฺจอ ผลี่ เป็นพิธีเชิญวิญญาณ และส่งวิญญาณของผู้วายชนม์ไปปรโลก ในการทำพิธีตฺจอ ผลี่จะใช้เครื่องดนตรีสองอย่าง ได้แก่ เค่งเพื่อสื่อสารกับวิญญาณ กับกลองเชิญวิญญาณ ที่เรียกว่า ตฺจั่วเพื่อเชิญวิญญาณ ซึ่งตามความเชื่อของม้งนั้นเชื่อว่า เค่งเป็นเครื่องดนตรีสำหรับนำทางวิญญาณ ตฺจั่วตีเชิญวิญญาณตามหลัง เค่ง หรือ ฮฺเด่ง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลม มีตำนานมาจากม้งไม่อยากเป็นอมตะ เพราะในนิทานปรัมปราม้งเคยเห็นเสือนอนตายสองตัว จึงต้องการตายเหมือนเสือ ฉะนั้นผีฟ้าจึงบอกให้ม้งทำเค่งเป่าเพื่อนำวิญญาณของเสือนั้นก่อน จึงเป็นที่มาของการเป่าเค่งเพื่อเชิญวิญญาณ ดนตรีในพิธีตฺจอ ผลี่ เป็นดนตรีพิธีกรรมเกี่ยวกับวิญญาณ เพลงที่เล่นในพิธีตฺจอ ผลี่ ม้งจะไม่นำไปเล่นในพิธีอื่นเพราะถือว่าไม่เป็นมงคล บทเพลง งานศพ สังคม วัฒนธรรม ม้ง เชียงใหม่ตำบลยั้งเมิน อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1939
1938วิทยานิพนธ์ความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวดกับวิถีชีวิตของชาวกูยบ้านตรึม ตำบลตรึม อำเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ฐิติรัตน์ เวทย์ศิริยานันท์เนื้อหาของงานเขียนได้ศึกษา ความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวด ของชาวกูย บ้านตรึม ตำบลตรึม อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ชาวกูยที่ศึกษาเป็นกลุ่มชาวกูยทำนา ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เท่ากับชาวกูยเลี้ยงช้าง จากการศึกษาพบว่า ตามความเชื่อของชาวกูยบ้านตรึมนั้น เชื่อว่า ตะกวดเป็นผีปู่ตาของพวกเขา เพราะเมื่อชาวกูยมาตั้งหมู่บ้านที่บ้านตรึม บริเวณนี้ก็มีตะกวดชุกชุมอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเดิมทีชาวกูยได้ให้ความเคารพหูหมูป่าเพราะเชื่อว่าเป็นดวงวิญญาณของปู่ตาของกลุ่มตน แต่เมื่อนานวันเข้าหูหมูป่าหายากจึงเปลี่ยนมานับถือตะกวด ซึ่งงานวิจัยได้ระบุว่า ความเชื่อเรื่อปู่ตาตะกวดนั้นอยู่ในวิถีชีวิตของชาวกูยบ้านตรึม เช่นลายผ้าก็ทอเป็นลายตะกวด การอนุรักษ์ป่าชุมชน นอกจากนี้ชาวกูยบ้านตรึมยังได้ยกความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวดนั้นอยู่เหนือความเชื่ออื่นๆ ดังจะสังเกตได้จาก คนที่เป็นจ้ำ หรือกลุ่มญาติพี่น้องในสายตระกูลจ้ำ มักจะได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน ความเชื่อเรื่องผีปู่ตาตะกวดนั้น เป็นความเชื่อที่เหนียวแน่น เจือด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เช่นหากคนในชุมชนไม่สมัครสมานสามัคคี หรือทะเลาะกัน ผีปู่ตาก็อาจจะไม่พอใจ ดลบัลดาลให้เกิดความแห้งแล้งได้ ดังนั้นความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวดจึงมีส่วนเกื้อหนุนให้สังคมในชุมชนบ้านตรึมเกิดความสงบสุข และเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย เช่นข้อตกลงเรื่องการใช้ป่าสาธารณะของหมู่บ้าน การดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งความเชื่อเกี่ยวกับปู่ตาตะกวดนั้น มีส่วนในการอนุรักษ์ภาษา วัฒนธรรม ของกูย บ้านตรึมให้ดำรงอยู่อย่างเหนียวแน่นและสอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ความเชื่อ วิถีชีวิต ตะกวด กวยทำนา สุรินทร์ตำบลตรึม อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2545https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1938
1937รายงานการวิจัยการค้าขายข้ามพรมแดนกับอัตลักษณ์ม้งประสิทธิ์ ลีปรีชางานเขียนได้กล่าวถึง การสร้างอัตลักษณ์ของม้งดอยปุยจากผู้ค้าฝิ่น ในมุมมองของคนโดยทั่วไป เปลี่ยนมาเป็นผู้ประกอบการค้า ที่นำฝิ่นมานำเสนอในแง่มุมของการท่องเที่ยว นอกจากนี้งานเขียนได้เล่าประวัติการค้าฝิ่นในอดีตแบบกว้างๆ ซึ่งมีมาตั้งแต่อยู่ในประเทศจีน ที่ชาวตะวันตกนำมามอมเมาชาวจีน เพื่อให้ง่ายต่อการเข้ามาครอบครองดินแดนจีน กระทั่งเกิดการสู้รบระหว่างจีนกับชาติตะวันตกในยุคล่าอาณานิคม หลังจากที่ชาติตะวันตกออกไปแล้วทางการจีนในขณะนั้นได้สนับสนุนให้ชนกลุ่มน้อยบนดอยปลูกฝิ่น หลังจากเกิดความขัดแย้งระหว่างม้งกับคนจีน ม้งได้อพยพมาสู่ดินแดนต่างๆ ทั้งไทย ลาว พม่า สำหรับม้ง ดอยปุยนั้นมีความเป็นมาพร้อมกับฝิ่น หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศให้ฝิ่นเป็นสิ่งเสพติดผิดกฎหมาย ม้งได้พลิกวิกฤติเป็นโอกาสเพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว และมีการปรับตัวให้เข้ากับกระแสโลกาภิวัตน์ เพื่อติดต่อสื่อสารกับม้งที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก เพื่อสร้างความทรงจำทางประวัติศาสตร์ ผ่านสิ่งตีพิมพ์ วีดีทัศน์และลายผ้า เพื่อถ่ายทอดความเป็นมาและสร้างความภาคภูมิใจในกลุ่มชาติพันธุ์ของตน ผ่านกิจกรรมทางประเพณีวัฒนธรรมและอักษรม้งที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยมิชชันนารีชาวตะวันตกและม้งในหลวงพระบาง ประเทศลาว ที่ต่อมาได้รับความนิยมจากม้งในประเทศต่างๆ รวมทั้งม้งดอยปุยที่อยู่ในงานเขียนนี้ด้วย เศรษฐกิจ อัตลักษณ์ ฝิ่น ม้ง เชียงใหม่ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1937
1935บทความOrigin and History of the Lao Song (Black Tai) Migration to Central Thailand; Cultural Identity and Social Organization in the Light of Social ChangeLemoine, Jacques บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับกำเนิดและประวัติการอพยพเข้าสู่ภาคกลางของไทย รวมถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและโครงสร้างสังคมของลาวโซ่งในช่วงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ผู้เขียนเห็นว่า แม้สถานภาพของชนชั้นผู้ท้าวและชนชั้นผู้น้อยในโครงสร้างสังคมลาวโซ่งจะเปลี่ยนมาเป็น “ไพร่”(serfs)เหมือนกัน แต่ความแตกต่างระหว่างชนชั้นผู้ท้าวกับผู้น้อยก็ยังคงมีอยู่ ซึ่งปรากฏให้เห็นในพิธีกรรมระดับครัวเรือน ส่วนอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมนั้น ลาวโซ่งได้สร้างพรมแดนทางชาติพันธุ์ขึ้นมาใหม่โดยการรวมกลุ่มและจัดงานฉลองประจำปีขนาดใหญ่ในเดือนเมษายน ซึ่งมีทั้งกิจกรรมที่ให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมลาวโซ่งและกิจกรรมการละเล่นการบันเทิง งานดังกล่าวนี้เป็นกระบวนการฟื้นฟูวัฒนธรรมที่แสดงให้เห็นถึงการรักษาสืบทอดอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของลาวโซ่ง ลาวโซ่ง ไทดำ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม โครงสร้างสังคมตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1935
1919รายงานการวิจัยวัฒนธรรมไทยโซ่ง ภาพสะท้อนผ่านเพลงขับสายแปงพิเชฐ สีตะพงศ์, ไอยเรศ บุญฤทธิ์ เนื้อหาของงานเขียนได้กล่าวถึงการศึกษาวัฒนธรรมของไทยโซ่งผ่านเพลงขับสายแปง โดยมองด้านดนตรีและวัฒนธรรม โดยศึกษาความหมายและหน้าที่ของเพลงขับสายแปง ในการศึกษาได้ใช้ข้อมูลจากชุมชนไทยโซ่งบ้านสะแกราย ตำบลดอนยายหอม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เป็นข้อมูลหลัก และเปรียบเทียบข้อมูลกับสี่ชุมชนไทยโซ่งในจังหวัดนครปฐม เช่น ชุมชนบ้านหัวถนน, ชุมชนบ้านเกาะแรต, ชุมชนบ้านดอนทอง,ชุมชนบ้านไผ่หูช้าง จากการศึกษานั้นพบว่า เพลงขับสายแปงเป็นการ ขับลำนำของไทยโซ่ง เนื้อร้องมีความไพเราะจับใจ มีความเรียบง่าย ภาษาที่ใช้บรรยายกล่าวถึงการดำเนินชีวิต เพื่อเป็นการทักทาย บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ บางครั้งก็ร้องโต้ตอบกันระหว่างชาย หญิง การร้องเพลงขับสายแปงจะร้องในงานประเพณี เช่น อิ่นกอน (เล่นลูกช่วง) การเรียกขวัญ การลงขวงเพื่อเกี้ยวพาราสีของคนหนุ่มสาว ภาพสะท้อนผ่านบทเพลงขับสายแปง ได้เผยแง่มุมแนวคิดของไทยโซ่ง เช่น ประเพณีความเชื่อ ประวัติศาสตร์ สังคม และโลกทัศน์ นอกจากนี้ไทยโซ่งยังได้เผยแพร่เพลงขับสายแปงผ่านอินเทอร์เนท เช่นการเผยแพร่ทางเฟซบุ๊ค เพื่อเผยแพร่แก่ไทยโซ่งในชุมชนต่างๆและ ผู้ที่สนใจเพลงขับสายแปงวัฒนธรรม บทเพลง ไทยโซ่ง นครปฐมตำบลดอนพุทรา อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2556https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1919
1918รายงานการวิจัยลาหู่ หลากหลายชีวิตจากขุนเขาสู่เมืองปนัดดา บุญยสาระนัย และหมี่ยุ้ม เชอมือเนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึง การทำงานในเมืองเชียงใหม่ของลาหู่ ซึ่งคนส่วนใหญ่มาใช้แรงงาน เช่นขายพวงมาลัย เป็นเด็กเสิร์ฟ และทำงานรับจ้างรายวัน เมื่อมาอยู่รวมกัน ชาวลาหู่ไม่อาจเข้าใจภาษาไทยดังนั้นจึงร่วมกันก่อตั้งโบสถ์ภาษาลาหู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ พื้นที่ของโบสถ์นอกจากเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว ยังเป็นที่พบปะพูดคุย คลายเหงาเมื่อคิดถึงบ้าน หรือเป็นที่พักยามที่ลาหู่เดินทางมารักษาโรคต่างๆ งานเขียนได้สัมภาษณ์ลาหู่จากโบสถ์คริสต์สองแห่ง เพื่อเปรียบเทียบการปฏิสัมพันธ์ของลาหู่ และลาหู่กลุ่มย่อยต่างๆ ที่ช่วยเหลือกันในการทำงานและดำรงชีวิตในตัวเมืองเชียงใหม่ นอกจากนี้ในการศึกษายังได้สัมภาษณ์ประชากรศึกษา จำนวน 5คน เพื่อสะท้อนมุมมองสภาพความเป็นอยู่ของลาหู่แต่ละสาขาอาชีพ ที่หางานทำและผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลในช่วงระยะเวลา 40ปีที่ผ่านมา ซึ่งพวกเขาได้พยายามปรับตัวเพื่อให้ทันกับสังคมและเศรษฐกิจในสถานการณ์ปัจจุบัน สังคม, เศรษฐกิจ, เครือข่าย, ลาหู่, เมืองเชียงใหม่ตำบลดอนพุทรา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1918
1917รายงานการวิจัยเกาะปันหยี: เวทีธุรกรรมกลางน้ำพิทยา บุษรารัตน์, สมปอง ยอดมณี และคณะเนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึง ชุมชนเกาะปันหยีที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เกาะปันหยีเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่กลางน้ำเขตอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา ก่อน พ.ศ. 2520นั้นชุมชนมุสลิมแห่งนี้ได้ยึดอาชีพประมง และมีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย กระทั่งหลัง พ.ศ. 2520เมื่อชุมชนถูกหน่วยงานภาครัฐพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง จึงทำให้ความเป็นอยู่ของชุมชนมุสลิมเกาะปันหยีเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มาจากการท่องเที่ยว การเปลี่ยนแปลงที่เห็นอย่างชัดเจน คือชุมชนบนเกาะได้แบ่งเป็นย่านการค้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปรับตัวไปกับการท่องเที่ยว โดยเปิดร้านอาหาร เปิดร้านขายของที่ระลึก มีเรือโดยสารพานักท่องเที่ยวไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ จากการพัฒนาได้ทำให้เกิดการบูชาวัตถุ ทำให้คนห่างเหินกันไม่มีความสนิทสนมกลมเกลียวเช่นในอดีต มีการปรับตัวแสวงหาอาชีพที่เข้ากับการท่องเที่ยว เช่นอาชีพรับฝากซื้อของทางเรือโดยสาร นอกจากนี้ในชุมชนยังมีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่สนใจการท่องเที่ยว ในส่วนนี้เรียกว่ากลุ่มหลังบ้านซึ่งยึดอาชีพประมง ไม่ได้นำปลาหรือสัตว์น้ำมาขายให้นักท่องเที่ยว จากการพัฒนาได้ทำให้กลุ่มคนที่เป็นแกนนำซึ่งเป็นกลุ่มที่ยึดมั่นต่อหลักคำสอนศาสนาได้ทำตัวเป็นตัวอย่างและได้ชักชวนเยาวชนและคนบนเกาะให้หันมายึดมั่นต่อหลักคำสอนทางศาสนา และสนใจอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของตนเอง เพื่อไม่ให้ชุมชนถูกกระแสการพัฒนาการท่องเที่ยวทำลายให้คนลุ่มหลงในวัตถุ จนลืมทำความดีที่เป็นสิ่งคุ้มกันให้ชุมชนอยู่อย่างสงบสุขการเปลี่ยนแปลง, สังคม, เศรษฐกิจ, มุสลิม, เกาะปันหยี, พังงาตำบลเกาะปันหยี อำเภอเมือง จังหวัดพังงา ประเทศไทย2542https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1917
1912รายงานการวิจัยการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ไทยโซ่งสมทรง บุรุษพัฒน์, สุจริตลักษณ์ ดีผดุง,สุมิตรา สุรรัตน์เดชา และคณะเนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึงการจัดการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ โดยชุมชน อันเป็นความร่วมมือกันระหว่างสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล กับชุมชนไทยโซ่ง โดยได้ร่วมมือกันดำเนินการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เพื่อให้ชุมชนไทยโซ่งเป็นชุมชนต้นแบบสำหรับการเรียนรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้การท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์แบบยั่งยืน นอกจากนี้ยังส่งเสริมการทำงานแบบเครือข่ายการเรียนรู้ระดับชุมชน เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาของตนเองได้ ในการศึกษาครั้งนี้ได้ศึกษาในชุมชนไทยโซ่ง ในจังหวัดนครปฐม จำนวนห้าชุมชนประกอบด้วย ชุมชนสะแกราย, ชุมชนดอนทอง, ชุมชนหัวถนน, ชุมชนเกาะแรต และชุมชนไผ่หูช้าง ในการทำการวิจัยได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในชุมชนไทยโซ่ง ได้แก่ การวางรากฐานการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน คือ แกนนำด้านการวางรากฐานการจัดการท่องเที่ยวชุมชนได้รับการพัฒนาศักยภาพ ในการจัดการท่องเที่ยว การพัฒนาและทดลองการจัดการท่องเที่ยวในชุมชน สร้างเครือข่ายการเรียนรู้และอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยโซ่ง จากการทำการวิจัยได้ทำให้ไทยโซ่งในชุมชนศึกษาทั้งห้าแห่งได้เกิดการเรียนรู้ด้านการจัดการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์และทำให้เกิดความภาคภูมิใจในศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยโซ่ง เพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไปในอนาคต การท่องเที่ยว, การอนุรักษ์, วัฒนธรรม, ไทยโซ่ง, นครปฐมตำบลไผ่หูช้าง อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1912
1911รายงานการวิจัยพื้นที่พรมแดนแม่น้ำเมยกับความสัมพันธ์ชาติพันธุ์ กะเหรี่ยง-คนเมืองขวัญชีวัน บัวแดงเนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างกะเหรี่ยงกับคนเมื่อที่อยู่อาศัยบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเมย อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก กับที่อยู่บริเวณแม่น้ำเมย รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ในการศึกษาได้แบ่งความสัมพันธ์ออกเป็นสามยุค ได้แก่ยุคแรก ยุคก่อนเกิดรัฐสมัยใหม่ จนถึงพ.ศ. 2510ซึ่งเป็นช่วงที่อังกฤษ ไทย และพม่ายังไม่เข้ามาจัดการพื้นที่ คนกะเหรี่ยง และคนเมืองค่อนข้างมีอิสระในการบุกเบิกที่ทำกิน ยุคที่สองเป็นยุครัฐกันชน ประมาณ พ.ศ. 2510-2530เป็นยุคที่รัฐกะเหรี่ยงและรัฐไทยเข้ามามีส่วนในการควบคุมพรมแดนบริเวณแม่น้ำเมย ในช่วงนี้มีการค้าขายไม้ และค้าขายเครื่องอุปโภคและบริโภคระหว่างคนที่อยู่ในรัฐไทยและรัฐกะเหรี่ยง ในช่วงนี้ที่มีการพัฒนาสู่ความทันสมัย ความเป็นชาติพันธุ์กะเหรี่ยงของกองกำลังเคเอ็นยูที่อยู่ฝั่งพม่า และความเป็นไทยของคนเมือง โดยผ่านระบบการศึกษาของรัฐไทย และยุคที่สามเป็นยุคที่รัฐกันชนล่มสลาย ทำให้กองกำลัง เคเอ็นยู ต้องเข้ามาอยู่ในค่ายอพยพในฝั่งไทย บริเวณชายแดนไทยพม่า มีความเข้มงวด มีกองกำลังหลายฝ่ายเข้ามาควบคุมพื้นที่ในฝั่งประเทศพม่า ส่วนรัฐไทยมีความเข้มงวด เรื่องคนข้ามแดนและสินค้า ทำให้เกิดวาทกรรม แรงงานข้ามชาติ ผู้อพยพที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ กะเหรี่ยง, คนเมือง, พรมแดน, แม่น้ำเมย, ตาก, พม่า, ไทยตำบลไผ่หูช้าง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ประเทศไทย2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1911
1857หนังสือThe Vietnamese in Thailand: A Historical PerspectivePoole, Peter A. การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์เพื่อแสดงให้เห็นระลอกของการเคลื่อนย้ายคนเวียดนาม และความเกี่ยวเนื่องระหว่างนโยบายการต่างประเทศ การจัดการกลุ่มผู้ลี้ภัยภายใต้ความกดดันทางการเมืองระหว่างประเทศในสงครามเย็นเวียดนามในประเทศไทย, เวียดนามในมิติประวัติศาสตร์, การอพยพ, การเมืองระหว่างประเทศ, สงครามเย็น, สงครามเวียดนามตำบลไผ่หูช้าง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ประเทศไทย2513https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1857
1853-Finding their Voice: Northeastern Villagers and the Thai State.Keyes, Charlesโครงการพัฒนาของรัฐที่อาศัยวาทกรรมของการพัฒนาและความช่วยเหลือทางการเงินและผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศตั้งแต่ทศวรรษ 1960 รวมทั้งความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าปกครองในท้องถิ่นที่สร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้าน สำนึกความเป็นอีสานยังมาจากความสัมพันธ์กับโลกภายนอกผ่านการศึกษา การประกอบอาชีพ และการเดินทางไปและกลับระหว่างโลกภายนอกและบ้านเกิด ภาวะที่เรียกว่า “moral community” ที่มีต่อบ้านเกิดภายในคนอีสานขับเน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมทางสังคมและการเมือง ความเป็น “ชาวบ้าน” “ชาวนา” เคลื่อนที่ออกจากภาวะของการทำกินแบบพอเพียง สู่การเป็นพลเมืองของประเทศและโลก และยังเป็นองค์ประกอบในการเคลื่อนไหวต่างๆ เพื่อความเท่าเทียมทางสังคมอีสาน ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ การมีส่วนร่วมทางการเมือง ความเปลี่ยนแปลงในชนบท การเคลื่อนไหวทางการเมือง ขบวนการเสื้อแดง อัตลักษณ์อีสานตำบลไผ่หูช้าง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ประเทศไทย2557https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1853
1851วิทยานิพนธ์ธรรมาสน์เสาเดียว : รูปแบบโครงสร้างและคติความเชื่อของชาวผู้ไท อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์คำพันธ์ ยะปะตัง งานเขียนกล่าวถึงการศึกษาเรื่องธรรมาสน์เสาเดียว ของชาติพันธุ์ผู้ไท ในหกหมู่บ้าน ของหกตำบลพื้นที่ศึกษา ในอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งพบว่า ธรรมาสน์เสาเดียวของผู้ไทมีอายุมากกว่า 50ปีขึ้นไป และต่างจากธรรมาสน์ทั่วไปเพราะทำจากเสาหลักของบ้านมาทำเสาธรรมาสน์ เป็นความเชื่อที่มีลักษณะเฉพาะของผู้ไทซึ่งได้ปรับเปลี่ยนความเชื่อตามหลักศาสนาพุทธ และความเชื่อเรื่องผีเข้าด้วยกัน โดยเชื่อว่าการสร้างธรรมาสน์นั้นได้ผลบุญกุศล ธรรมาสน์ทั้งหกหลังสร้างระหว่างพ.ศ. 2372-2483เพราะความศรัทธาศาสนาพุทธ อันมาจากเหตุปัจจัยจากพุทธประวัติ พระธรรมวินัยและประเพณีวัฒนธรรม ธรรมาสน์เสาเดียวปัจจุบันถูกทำลายด้วยธรรมชาติและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ธรรมาสน์ทั้งหกหลังยังคงมีสภาพสมบูรณ์มีทั้งแบบที่ตั้งแบบถาวรและแบบเคลื่อนย้ายได้ ผู้วิจัยศึกษาเพื่อวัตถุประสงค์ในการอนุรักษ์ศิลปะศิลปะ ประเพณี ธรรมาสน์เสาเดียว ความเชื่อ ผู้ไท กาฬสินธุ์ตำบลไผ่หูช้าง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ประเทศไทย2555https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1851
1850วิทยานิพนธ์การธำรงชาติพันธุ์ของคนทวายในพื้นที่ชายแดนไทย-พม่าภูมิชาย คชมิตร เนื้อหางานเกี่ยวศึกษาถึงการธำรงชาติพันธุ์ของคนทวาย อดีตคนงานเหมืองแร่ที่เข้ามาทำงานเหมืองแร่ที่บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง เมื่อประมาณสี่สิบปีที่แล้ว กระทั่งเมื่อเหมืองแร่ปิดกิจการ อดีตคนงานเหมืองแร่ก็ยังคงสร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณที่เป็นเหมืองแร่เก่าต่อไป นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 หลังจากที่กองกำลังทหารพม่าตีค่ายกะเหรี่ยงอิสระที่ตั้งอยู่ตามเส้นแนวชายแดนฝั่งประเทศพม่าแตก ดังนั้นทางการไทยจึงจัดสรรที่อยู่ให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ทวาย และคนพม่า อยู่ในศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า เมื่อ พ.ศ. 2538 และให้มีผู้ใหญ่บ้านดูแลกันเอง เมื่อพ.ศ. 2553 ทางการไทยในสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีได้มีนโยบายมอบสัญชาติไทยให้กับคนต่างด้าวจากประเทศพม่า หลังจากที่มีการโอนสัญชาติให้คนต่างด้าวเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงทำให้ลูกของคนต่างด้าวและคนที่เกิดในประเทศไทยได้รับสัญชาติไทย ฉะนั้นแล้วเมื่อคนในหมู่บ้านได้รับสัญชาติไทยจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ<br />
แต่เดิมคนเหล่านี้จะถูกกีดกันทางวาทกรรมที่เรียกว่า “คนนอก” หลังจากที่พวกเขาได้รับสัญชาติไทย คนในพื้นที่ก็มีการแบ่งแยกกันเองสำหรับ คนไทย และคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงที่มีสัญชาติไทยแต่เดิมจะเรียกตัวเองว่า “ไทยเก่า” หรือ “ไทยเดิม”ส่วน คนพม่า คนมอญ คนมุสลิม และอื่นๆ ก็จะถูกเรียกว่า “ไทยใหม่” อัตลักษณ์ พหุวัฒนธรรม การเมือง ไทยเก่า ไทยใหม่ ชายแดนไทย พม่า กาญจนบุรีตำบลไผ่หูช้าง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ประเทศไทย2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1850
1849วิทยานิพนธ์กระบวนการสร้างชุมชนมุสลิมในพหุสังคมอีสานจีรศักดิ์ โสะสัน เนื้อหางานเขียนศึกษากระบวนการสร้างชุมชนมุสลิมในพหุสังคมอีสาน ในเขตเทศบาลตำบลระแงง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งประกอบด้วยคนหลากหลายชาติพันธุ์ เช่นคนเขมร คนลาว คนจีน มุสลิมชาติพันธุ์ต่างๆ การศึกษาพบว่า ชุมชนมุสลิมถูกสร้างขึ้นผ่านการสร้างคุณค่าและศรัทธาร่วมกัน โดยผ่านคำสอนทางศาสนาอิสลาม และบทบาทของมัสยิด ได้แก่การเรียนการสอนจากครูสอนศาสนาที่มัสยิด ค่ายอบรมเยาวชน การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและบทบาทของสุสานมุสลิม หรือกุบูร อันนำไปสู่การมีศรัทธาร่วมกัน และการสร้างอัตลักษณ์ของความเป็นมุสลิม เช่นการแต่งกายตามหลักศาสนา การตั้งชื่อมุสลิม การติดต่อกันระดับชุมชนเช่น มัสยิด กุบูร กับร้านอาหารอิสลามและการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชนชนวัฒนธรรมอื่น เช่น กลุ่มชาติพันธุ์เขมร ลาว กูย คนจีน คนญวน ที่อยู่ในชุมชน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ศาสนาและวัฒนธรรม สังคม วัฒนธรรม มุสลิมและชาติพันธุ์ต่างๆ สุรินทร์ตำบลไผ่หูช้าง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ประเทศไทย2550https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1849
1840ปริญญานิพนธ์วิเคราะห์บททำขวัญของชาวไทโซ่ง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรีพัชรินทร์ คงคาสุริฉายเนื้อหาของงาน เป็นการศึกษาถึงการวิเคราะห์บททำขวัญ รวมทั้งบทบาทหน้าที่ของพิธีทำขวัญ ในด้านสังคมและวัฒนธรรมของไทโซ่ง ที่อยู่ในอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ผลการศึกษาระบุว่า ไทโซ่งในพื้นที่อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรีโดยมีความเชื่อเรื่องขวัญ โดยได้ทำขวัญให้กับคนในชุมชน สัตว์เลี้ยงและพืช สำหรับพิธีทำขวัญให้กับคนนั้นยังนิยมประกอบพิธีกันอยู่ ส่วนพิธีทำขวัญให้กับสัตว์นั้นยังเหลือแต่การทำขวัญควายก่อนที่จะฆ่าควายเพื่อนำไปเซ่นไหว้แถนในพิธีเสนเต็ง ส่วนพิธีทำขวัญให้พืชนั้นทุกวันนี้ไม่มีแล้ว สำหรับบททำขวัญนั้นผู้วิจัยรวบรวมได้ 24สำนวน โดยแยกตามจุดมุ่งหมายของการทำขวัญได้ 4อย่างคือ บททำขวัญในพิธีเปลี่ยนผ่าน บททำขวัญเกี่ยวกับการเจ็บไข้ไม่สบาย บททำขวัญที่เกี่ยวกับความสมบูรณ์พูนสุข และบททำขวัญเกี่ยวกับพิธีกรรมเซ่นไหว้ เนื้อหาของบททำขวัญนั้น สะท้อนถึงความเชื่อเรื่องขวัญ ความเชื่อเรื่องผีกับแถน ความเชื่อเรื่องพลังอำนาจของมด ค่านิยมในการเคารพผู้อาวโส ความสนิทสนมในครอบครัว ด้านความมีชื่อเสียงการเป็นที่ยอมรับ ด้านการมีสุขภาพที่เข้มแข็ง ความร่ำรวย ความสุขใจ และสะท้อนถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายสงบบททำขวัญ ความเป็นมา สังคม วัฒนธรรม ไทโซ่ง เพชรบุรีตำบลไผ่หูช้าง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ประเทศไทย2546https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1840
1839วิทยานิพนธ์มิติทางวัฒนธรรมการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคอีสานทักษิณา ไกรราชงานเขียนกล่าวถึงการศึกษาแบบพื้นบ้าน ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยลาว ที่หมู่บ้านรุ่งอรุณ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม และกลุ่มชาติพันธุ์ไทยเขมรที่บ้านเขื่อนดิน ตำบลมีประชา อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ในการศึกษานั้นได้ศึกษาสามประเด็นสำคัญคือ ความรู้ที่ประกอบเป็นวัฒนธรรมการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้าน อย่างที่สองคือพลวัตของนิยามความหมายสุขภาพกับความเจ็บป่วยนั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงท่ามกลางสังคมเศรษฐกิจ และการเข้ามาของระบบการแพทย์สมัยใหม่ และการดำรงอยู่ของการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้านอยู่ภายใต้การดูแลสุขภาพที่มีความหลากหลาย ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การดูแลสุขภาพของกลุ่มไทยลาว และกลุ่มไทยเขมรนั้น มีการผสมผสานทางความเชื่อระหว่างผี พราหมณ์และพุทธ นอกจากนี้ยังมีการดูแลสุขภาพอนามัยจากการกินอาหารในชีวิตประจำวัน และการถือขะลำหรือข้อห้ามต่างๆ การรักษา สุขภาพ ไทยลาว ไทยเขมร ภาคอีสานตำบลไผ่หูช้าง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ประเทศไทย2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1839
1836เอกสารวิชาการไทใหญ่ ความเป็นใหญ่ในชาติพันธุ์สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่งานเขียนกล่าวถึง ประเพณีสังคมวัฒนธรรมของไทใหญ่ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันว่ามีความเป็นมาอย่างไร งานเขียนระบุว่า ตามตำนานของไทใหญ่แล้วมักบ่งบอกว่า ไทใหญ่นั้นเคยมีอำนาจรุ่งเรืองมาก่อน ในบางยุคบางสมัยที่จีนมีความวุ่นวายทางการเมืองก็เคยมาขอพึ่งพิงอาณาจักของไทใหญ่ในอดีต ตามตำนานแล้วงานเขียนระบุว่ามักเป็นไปในรูปแบบทาน แต่สิ่งหนึ่งมักตรงกันคือชื่อเมืองที่มีความใกล้เคียงกัน เนื้อหาเกี่ยวกับความชอบธรรมในการปกครองตนเอง ความสัมพันธ์ทางการเมืองกับจีน พม่าและล้านนาในอดีตนั้นมีทั้งดีและร้าย บางครั้งบ้านเมืองสงบก็ทำการค้าระหว่างกัน แต่บางครั้งบ้านเมืองไม่สงบก็ทำสงครามผลัดกันแพ้ชนะ ส่วนไทยใหญ่ที่อยู่ในประเทศไทยนั้นงานเขียนระบุว่าส่วนใหญ่อยู่ในเขตอำเภอเมืองและอำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน กลุ่มไทใหญ่ในภาคเหนือยังคงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมของตนไว้เป็นอย่างดี ประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม วัฒนธรรม ไทใหญ่ รัฐฉาน พม่า และภาคเหนือของไทยตำบลไผ่หูช้าง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ประเทศไทย2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1836
1824เอกสารวิชาการไทลื้อ อัตลักษณ์แห่งชาติพันธุ์ไทสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่งานเขียนกล่าวถึงเนื้อหาที่เกี่ยวกับความเป็นมา ความเชื่อและวัฒนธรรมของ กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ ที่ย้ายเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัย ในเขตสิบสองปันนา ประเทศจีน เมื่อ พุทธศักราชที่ 18 การอพยพเข้ามาอยู่ในเวลานั้นไทลื้อได้สร้างเมืองเชียงรุ่งดงนัง ไทลื้อเรียกกลุ่มของตนเองว่า “คนลื้อ” หรือ “ไทลื้อ” ส่วนคนจีนเรียกไทลื้อว่า “สุ่ยไปอี๋” หมายถึง คนป่าที่ตั้งรกรากอยู่พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำ เนื่องจากกลุ่มไทลื้อชอบตั้งที่อยู่อาศัยอยู่ฝั่งแม่น้ำ นอกจากนี้ยังเรียกเมืองเชียงรุ่ง นครหลวงของไทลื้อว่า “เชอหลี่” หรือ “เชียงลื้อ” ไทลื้อชอบสร้างบ้านในที่ราบลุ่มแม่น้ำ กับที่ราบหุบเขา โดยยึดแม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำสายสำคัญ สันนิษฐานว่า ไทลื้อน่าจะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทกลุ่มแรกที่ตั้งที่อยู่อาศัยเดิมอยู่ทางจีนตอนใต้ จากนั้นจึงย้ายที่อยู่ไปยังดินแดนต่างๆ และทำให้เกิดกลุ่มไทอื่นๆ ในภายหลัง เช่น ไทยอง ไทเขิน ที่อยู่ในเขตเชียงตุง ประเทศพม่าความเป็นมา ตำนาน ประเพณี วัฒนธรรม ไทลื้อตำบลไผ่หูช้าง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ประเทศไทย2558https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1824
1823เอกสารวิชาการไทยอง ชีวิต ศรัทธา สล่าแผ่นดินสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่งานเขียนกล่าวถึง กลุ่มชาติพันธุ์ไทยอง ซึ่งเป็นลื้ออีกกลุ่มหนึ่ง แต่ไทยองได้เรียกลุ่มของตนเองว่า ไทยอง หรือคนยอง เพื่อบ่งบอกว่าเป็นคนเมืองยอง ซึ่งทุกวันนี้มีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของเมืองเชียงตุง รัฐฉานประเทศพม่า สำหรับ กลุ่มไทยองที่อยู่เมืองลำพูนนั้น มีการอพยพมาจากเมืองยองและเมืองใกล้เคียงมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองลำพูนนั้น ไทยองย้ายมาสองช่วงใหญ่ๆคือ ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2348ซึ่งจากหลักฐานท้องถิ่นเรียกว่าการอพยพแบบเทครัว หรือนโยบายเก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมืองเมื่อในอดีต โดยมาตั้งรกรากอยู่ที่ริมแม่น้ำปิง แม่น้ำกวง แม่น้ำทาและในระยะที่สองอยู่ระหว่าง พ.ศ. 2356-2395 ปัจจุบันกลุ่มไทยองในเมืองลำพูนยังคงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมของตนเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีการติดต่อกับไทยอง จากประเทศพม่า รวมทั้งพระเณรจากเมืองยองก็ยังนิยมมาเรียนหนังสือที่วัดในจังหวัดลำพูนและภาคเหนือของไทย ความเป็นมา ศิลปวัฒนธรรม ไทยอง พม่า ลำพูน ไทยตำบลไผ่หูช้าง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2551https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1823
1819บทความTai Lue Identities in the Upper Mekong Valley: Glimpses from Mulberry Paper Manuscripts.Grawbosky, Volker, and Appiradee Techasiriwan บทความนี้ผู้เขียนสนใจอัตลักษณ์ไทลื้อในสุ่มน้ำโขงตอนบนโดยศึกษาจากปั๊บสา ผู้เขียนวิเคราะห์ข้อความที่แสดงความรู้สึกของผู้บันทึก(colophon)ในปั๊บสาไทลื้อที่คัดลอกหรือเรียบเรียงขึ้นใหม่เมื่อเร็วๆนี้ โดยเฉพาะคำบันทึกของหนังสือที่เป็นประวัติศาสตร์ เรื่องเล่า(folktale)และธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น ผู้เขียนเห็นว่าคำบันทึกเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ผู้บันทึกไทลื้อจำนวนมากมองว่ากิจกรรมของพวกเขาเป็นการถ่ายทอดความรู้ดั้งเดิมแก่คนรุ่นต่อๆไป ปัจจุบันการรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมและการอ่านเขียนตัวอักษรไทลื้อดั้งเดิม และวัฒนธรรมการบันทึกอักษรในกระดาษสาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการกำหนด/นิยามและปกป้องอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของคนในสิบสองปันนา (น.45)ไทลื้อ อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ การรักษาชาติพันธุ์ ปั๊บสา/พับสา เอกสารโบราณ สิบสองปันนา ลุ่มน้ำโขงตอนบน ประเทศจีนตำบลไผ่หูช้าง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดลำพูน ประเทศจีน2556ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1819
1818วิทยานิพนธ์Program Planning Inside Out: Understanding Prai Perspectives on Education and Culture.Jordan-Diller, Kariในการศึกษานี้ผู้เขียนสนใจการเข้าใจบริบทในการวางแผนโครงการอ่านเขียนที่มีพื้นฐานวัฒนธรรมจากมุมมองความคิดของคนปรัย เพื่อจะได้นำไปพัฒนาหลักสูตรการเขียนอ่านภาษาปรัยในโรงเรียน (น.7-8) ผู้เขียนเห็นว่าการเข้าโรงเรียนของเด็กปรัย ซึ่งการเรียนการสอนเป็นภาษาไทยนั้น ทำให้คนปรัยกังวลว่าพวกเขาจะสูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและภาษาปรัย เนื่องจากเป้าหมายของการศึกษาไม่เข้ากันกับคุณค่าทางวัฒนธรรมปรัย โรงเรียนมีมุมมองภาษาและวัฒนธรรมปรัยในเชิงลบ และต้องการให้แก้ไข การดำรงรักษาภาษาและวัฒนธรรมปรัยจึงเป็นเรื่องยากเมื่อต้องเผชิญกับความกดดันทางสังคมที่เข้มแข็ง จนกระทั่งในปี ค.ศ.1999 เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการศึกษาของประเทศที่อนุญาตให้ใช้ภาษาชนกลุ่มน้อยสอนในโรงเรียนได้ แต่อย่างไรก็ตาม ครูไทยส่วนมากพูดภาษาชนกลุ่มน้อยไม่ได้และไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมชนกลุ่มน้อย ครูเหล่านั้นจึงไม่สามารถบูรณาการความรู้ท้องถิ่นเข้าไปในชั้นเรียนได้ การศึกษาจึงไม่สามารถนำเด็กปรัยเข้ามาสู่ระบบได้ ทั้งนี้เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองและเด็กนักเรียนปรัยเห็นว่าการศึกษาเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเขาน้อย ซึ่งในงานศึกษานี้ผู้เขียนได้ค้นหาการเข้าใจบริบทในการเขียนอ่านภาษาปรัยจากมุมมองหลายมิติ ทั้งจากคนปรัย ครูในโรงเรียนและเจ้าหน้าที่รัฐที่สนใจการพัฒนาปรัย ซึ่งผู้เขียนกล่าวว่าการจัดทำหลักสูตรที่ใช้ภาษาปรัยจะประสบความสำเร็จได้จะต้องสอดคล้องกับความต้องการของนักเรียนปรัย (น.iii-iv)ปรัย (Prai) วัฒนธรรม ภาษา การศึกษา การเขียนอ่าน โรงเรียน จังหวัดน่าน ประเทศไทยตำบลไผ่หูช้าง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดน่าน ประเทศไทย2551ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1818
1816รายงานการวิจัยวิถีชีวิตชาวมอญตำบลหวายเหนียว อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรีนิโลบล เอมศรี งานเขียนกล่าวถึงการศึกษาวิถีชีวิตชาวมอญเทศบาล ตำบลหวายเหนียว อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นกลุ่มคนมอญที่อพยพมาจากหลายหมู่บ้านในเขตอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี โดยมาอยู่ที่ตำบลหวายเหนียวติดลำน้ำแม่กลองเป็นเวลากว่า 177 ปี จากการศึกษาระบุว่า คนมอญเทศบาลหวายเหนียวนั้นมีความเป็นอยู่อย่างอบอุ่น ทำการเกษตรเป็นหลักและมีความขยันหมั่นเพียรในการเลี้ยงชีพและปลูกฝังให้ลูกๆได้ร่ำเรียนหนังสือมีความรู้ทำมาหากิน คนมอญได้มีการสืบทอดประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ เช่นการเลี้ยงผี การรำผี การบวช งานแต่งงาน งานศพ และมีการเปลี่ยนแปลงเช่นเรื่องภาษาที่พบว่ามีเฉพาะผู้สูงอายุและคนรุ่นพ่อแม่ที่สามารถพูดภาษามอญ ส่วนลูกหลานรุ่นใหม่พูดภาษามอญไม่ได้แล้ว และการแต่งกายแบบดั้งเดิมก็อยู่เฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ส่วนคนรุ่นใหม่ได้เปลี่ยนมาแต่งกายตามสมัยนิยม ซึ่งผลการศึกษานี้ผู้วิจัยระบุว่าจะใช้เพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์วิถีชีวิตของคนมอญสังคม วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ มอญ กาญจนบุรีตำบลหวายเหนียว อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2554https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1816
1815ปริญญานิพนธ์FEASTING AMONG THE AKHA OF NORTHERN THAILAND : AN ETHNOARCHAEOLOGICAL CASE STUDYMichael Joseph Clarke<div>
งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาความสำคัญของพิธีเลี้ยงฉลองในโอกาสสำคัญของชาวอาข่า ซึ่งใช้ผลผลิตส่วนเกินในการเป็นเจ้าภาพการเลี้ยงเพื่อบรรลุเป้าหมายทางสังคม ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาการถือครองสิทธิในที่ดินเป็นปัญหาหลักที่ทำให้ชาวอาข่ายากจะปฏิบัติตามธรรมเนียมอาข่าดั้งเดิมได้ กระนั้นก็ดี งานเลี้ยงยังมีความสำคัญในสังคมอาข่า เพราะยังสามารถตอบสนองเป้าหมายทางเศรษฐกิจ งานเลี้ยงช่วยสร้างให้เกิดความมั่นคงในครัวเรือนและอยู่ห่างไกลจากวิกฤติชีวิตทั้งปวง โดยการสร้างเครือข่ายสังคมผ่านการเลี้ยงกัน</div>
<div>
ผู้วิจัยสรุปว่ามีความไม่เท่าเทียมอย่างกว้างขวางในเรื่องความมั่งคั่งและอำนาจซึ่งจะเห็นได้ง่ายที่สุดในระดับผู้สืบเชื้อสาย และพบว่าปัจเจกบุคคลและกลุ่มสายตระกูลใช้งานเลี้ยงในการบรรลุเป้าหมายทางสังคมของตน</div>
<div>
</div>งานเลี้ยง พิธีกินเลี้ยง อาข่า กลุ่มชาติพันธุ์ในภาคเหนือของประเทศไทย ชาติพันธุ์วิทยาทางโบราณคดีตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2541https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1815
1813ร่างรายงานผลการวิจัยวิถีชีวิตชาวไทยทรงดำ ตำบลบ้านดอน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีธงชัย ลุมเพชร กล่าวโดยสรุป เนื้อหาของงานวิจัยนั้นศึกษาถึงวิถีชีวิตชาวไทยทรงดำ ตำบลบ้านดอน อำเภออู่ทองจึงหวัดสุพรรณบุรี ในด้านการดำเนินชีวิตประจำวัน พฤติกรรม วัฒนธรรมต่างๆ และพบว่า ในชีวิตประจำวันนั้นชาวไทยทรงดำยังอยู่กันแบบเป็นครอบครัวใหญ่ ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม สภาพสังคมยังอยู่กันแบบพี่น้องมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีการจัดงานประจำปี ด้วยความเป็นอยู่ดังกล่าวจึงทำให้ชาวไทยทรงดำเกิดความสมัครสมานสามัคคีในกลุ่มของพวกเขา ส่วนด้านวัฒนธรรมพบว่า ชาวไทยทรงดำ ยังสืบทอดประเพณีดั้งเดิมของตนเช่นพิธีเสนเรือน ขึ้นบ้านใหม่ งานศพ การแต่งกาย การไว้ทรงผมปั้นเกล้า และมีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเองสังคม ความเป็นอยู่ ไทยทรงดำ ไทดำ ลาวโซ่ง พิธีกรรม เครื่องแต่งกาย สุพรรณบุรีตำบลบ้านดอน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ประเทศไทย2554ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1813
1812บทความAppropriation of Women’s Indigenous Knowledge: The Case of the Matrilineal Lua in Northern ThailandSatayawadhna, Cholthiraบทความนี้มีเนื้อหาหลักเกี่ยวกับความสำคัญผู้หญิงในสังคมลัวะ โดยผู้เขียนสดงให้เห็นว่าสังคมลัวะสืบสายตระกูลข้างมารดาและผู้หญิงเป็นใหญ่ ผู้หญิงมีบทบาทในการคิดค้น ผลิตและค้าเกลือ ลักษณะเช่นนี้มีร่องรอยปรากฎในการเซ่นไหว้ผีและการอยู่อาศัยในเรือนยาวของชุมชนลัวะแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ตามผู้เขียนกล่าวว่าอำนาจความสำคัญของผู้หญิงลัวะได้เปลี่ยนไปสู่ผู้ชายไทยที่เป็นตัวแทนรัฐ สิ่งนี้ส่งผลให้ความรู้ของผู้หญิงถูกฉกฉวยไปพร้อมกับการเปลี่ยนไปของความสัมพันธ์หญิง-ชายในหมู่คนลัวะลัวะ, โครงสร้างทางสังคม, การสืบสายตระกูลข้างมารดา ,บทบาทผู้หญิง, จังหวัดเชียงราย, จังหวัดน่าน, ภาคเหนือ, ประเทศไทยตำบลบ้านดอน อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2544ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1812
1810รายงานการวิจัยอิทธิพลของศาสนาคริสต์ที่มีต่อชาวไตหย่าในจังหวัดเชียงรายรุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และดร.ราญ ฤนาท รายงานการวิจัยชิ้นนี้ศึกษาชาวไตหย่าในจังหวัดเชียงราย ตั้งแต่ชีวิตความเป็นอยู่ในประเทศจีน สาเหตุของการอพยพ และอิทธิพลของศาสนาคริสต์ที่มีต่อชีวิตของไตหย่าในเชียงราย ซึ่งผู้ศึกษาได้ข้อมูลจากการลงพื้นที่สัมภาษณ์ และศึกษาจากเอกสารอ้างอิง และพบว่า ชาวไตหย่าในจังหวัดเชียงรายอพยพเข้ามาตามการนำของหมอสอนศาสนาชาวอเมริกันและไทย เมื่ออพยพมานั้นมีความเชื่อและยึดคำมั่นคำสั่งสอทางคริสตศาสนานอย่างจริงจังและนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตในการประอาชีพและทำงานร่วมกันผู้อื่น มีอาชีพและรายได้มั่นคง (หน้า ข-ค) จนในปัจจุบันรุ่นลูกรุ่นหลานเชื่อศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่นับถือมาตั้งแต่ดั้งเดิมโดยไม่รู้มาก่อนว่านับถือผีบรรพบุรุษมาก่อน (หน้า57)ไตหย่า,ศาสนาคริสต์,เชียงราย,ชาวไตน้ำ,ชาวไตลาย, มณฑลยูนนานประเทศจีน,ภูมิหลัง,วัฒนธรรมประเพณี,การแต่งกาย,การแต่งงานของชาวไตหย่า,หมอสอนศาสนา, การอพยพเข้าสู่ประเทศไทยตำบลแม่คำ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2532https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1810
1809บทความรัฐชาติ ชาติพันธุ์ และอัตลักษณ์ไทดำณรงค์ อาจสมิติ<div>
บทความนี้ต้องการเสนอสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ไทดำ ที่เกิดจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง และแนวคิดรัฐชาติ</div>
<div>
จากการศึกษาของผู้เขียนโดยการลงพื้นที่และศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้องทำให้พบว่าการแสดงออกอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ไทดำมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองในบริบทของสังคมและเวลาที่แตกต่างกันไป ทั้งการที่เป็นคนลาวตามกำเนิด การถูกทำให้เป็นกลายเป็นคนไทยในบริบทของรัฐชาติ และการถูกสร้างให้เป็นคนไทยที่ต้องแสดงอัตลักษณ์ไทดำจากงานกิจกรรมประจำปี การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในอดีตไทดำถูกกำหนดให้เป็น แต่ในปัจจุบันชาวไทดำเลือกที่จะเป็น ความสัมพันธ์เชิงอำนาจนี้ยังคงดำเนินต่อมาเรื่อยๆ และจะดำเนินต่อไป ซึ่งหมายถึงการแสดงออกทางอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาก็ยังคงดำเนินต่อไปเช่นกัน และไม่มีใครรู้ได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด</div>
<div>
</div>ไทดำ,ไทยโซ่ง, ไทยทรงดำ, ไตดำ, ผู้ไตซงดำ, ผู้ไทยดำ, ลาวโซ่ง,ลาวโซ่งดำ, รัฐชาติ, ชาติพันธุ์, อัตลักษณ์, รัฐชาติไทย, ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ,งานประจำปีไทดำ, งานวันประเพณีไทยทรงดำตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2555https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1809
1808วิทยานิพนธ์Sentence Final Particles in Bisu NarrativePerson, Kirk Roger การศึกษาภาษาบีซูในภาคเหนือของไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าใจการทำงานภายในของคำอนุภาคท้ายประโยคโดยวิเคราะห์จากข้อความ/วาทกรรม การเล่าเรื่อง (Narrative Discourse) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของลักษณะตัวบท (Primary of text type) ในการใช้คำอนุภาคภาษาบีซู คำอนุภาคที่ใช้มากในเรื่องเล่า (Folktales) ไม่ค่อยปรากฏในตัวบทแบบบรรยาย (Expository texts) และเรื่องเล่าชีวิต (Life stories) นอกจากนั้นตำแหน่ง/จุดในวาทกรรมที่ประโยคนั้นปรากฏมีผลต่อการกระจายคำอนุภาค และก็มีคำอนุภาคที่แน่นอนไม่เคยถูกใช้ในการเปิดและปิดเรื่อง (น.ix-x)บีซู ภาษาศาสตร์ ข้อความ/วาทกรรม(discourse) คำอนุภาค (Particles) ภาคเหนือ ประเทศไทยตำบลโป่งแพร่ อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2543https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1808
1807อื่นๆสารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ก๊อง (อุก๋อง)มยุรี ถาวรพัฒน์ผู้เขียนได้อธิบายถึงข้อมูลพื้นฐานของการดำรงชีวิต สังคม ประเพณีและวัฒนธรรมโดยอธิบายครอบคลุมประเด็นเหล่านี้ ชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์, ประวัติความเป็นมา, การตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย, จำนวนประชากรในประเทศไทย, ลักษณะภูมิประเทศและที่อยู่อาศัย, การแต่งกายทั้งแบบดั้งเดิมและในปัจจุบัน, ภาษา ตระกูลและลักษณะภาษาของก๊อง, โครงสร้างครอบครัว, อาชีพและความเป็นอยู่ การทอผ้าและการสานเปลไม้ไผ่ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวก๊อง, อาหารการกิน ศาสนาความเชื่อ สุภาพอนามัย และวรรณกรรมมุขปาฐะ ซึ่งมีการพบว่าวัฒนธรรมบางอย่างมีการเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของสังคมและเวลาก๊อง (อุก๋อง) ชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ ประวัติความเป็นมา การตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย จำนวนประชากร ลักษณะภูมิประเทศและที่อยู่อาศัย การแต่งกาย ภาษา โครงสร้างครอบครัว การเรียกชื่อ อาชีพและความเป็นอยู่ อาหารการกิน ศาสนาความเชื่อ สุภาพอนามัย วรรณกรรมมุขปาฐะตำบลจรเข้สามพัน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ประเทศไทย2540https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1807
1802รายงานการวิจัยการดำรงอยู่ของอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ไตหย่าในประเทศไทย : กรณีศึกษาจังหวัดเชียงรายจุไรรัตน์ วรรณศิริ และเลหล้า ตรีเอกานุกูล งานวิจัยชิ้นนี้ใช้วิธีการเก็บข้อมูลภาคสนามโดยเลือกเก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณ(การสร้างแบบสอบถาม และนำมาวิเคราะห์ผ่านกระบวนการทางสถิติ) และเชิงคุณภาพ(ใช้วิธีการด้านชาติพันธุ์วรรณา การสัมภาษณ์) ผ่านกลุ่มตัวอย่างที่มีเชื้อสายไตหย่า 139 คน<br />
ภาพรวมของงานศึกษาวิจัย และผลการศึกษา พบว่าชาวไตหย่า หรือไตเอวลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ที่อพยพมาจากบ้านหย่า ตำบลโมซาเจียง อำเภอซินผิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน สู่ประเทศไทยด้วยเหตุผลทางด้านการเมือง และความเชื่อเป็นหลัก ชาวไตหย่ามีภาษาพูดเป็นของกลุ่มตนเอง อยู่ในตระกูลภาษาไท แต่ไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง มีอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่ชัดเจนซึ่งสะท้อนออกมาผ่านวัฒนธรรมด้านต่างๆ ทั้ง อาหาร ที่อยู่อาศัย การรักษาโรค การจักรสาน และการแต่งกาย นอกจากนี้จากข้อมูลเชิงปริมาณพบกว่าชาวไตหย่าส่วนใหญ่ต้องการให้เกิดกระบวนการที่จะอนุรักษ์วัฒนธรรมไตหย่าไว้เพื่อลูกหลานมีความภาคภูมิใจในเชื้อสายไตหย่า กระทั่งเกิดชมรมไตหย่าขึ้นเพื่อสืบสานอัตลักษณ์ไตหย่าเอาไว้(หน้า 111-113)กลุ่มชาติพันธุ์ไตหย่า ไตเอวลาย การธำรงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ เชียงราย ประเทศไทยตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2552ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1802
1801บทความCultural Reproduction and “Minority” Sexuality: Intimate Changes among Ethnic Akha in the Upper MekongLYTTLETON, CHRIS. SAYANOUSO, DOUANGPHET. อาข่าลาวมีแนวทางปฏิบัติทางเพศเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งผู้หญิงสามารถมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานได้ รวมทั้งชายอาข่าลาว และชาวอาข่าจีนสามารถมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอาข่าลาวที่มิใช่คู่ของตนได้ จึงเกิดการเข้ามาหาผลประโยชน์เชิงเพศด้วยการคบชู้กับหญิงอาข่าลาวในลักษณะของการค้ามนุษย์ขึ้น โดยความเชื่อของอาข่าเองก็คือ หญิงโสดที่โตเต็มวัยแล้วถือเป็นสมบัติของส่วนรวม และไม่ได้มีไว้เพื่อความพอใจทางเพศของผู้หนึ่งผู้ใดเท่านั้น<br />
อย่างไรก็ตาม อาข่ามีข้อห้ามสำหรับเรื่องเพศด้วย โดยห้ามการแต่งงานกับญาติพี่น้องของตนเอง ซึ่งด้วยวิถีชีวิตทางเพศของชาวอาข่าในตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศลาว ณ ปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดสิ่งที่น่าสนใจในด้านการพัฒนาของโครงสร้างพื้นฐานทางประชากรตลอดจนปฏิสัมพันธ์กับประชากรบริเวณที่ราบลุ่ม และกองทุนอุดหนุนทางสุขภาพที่จัดสรรไปยังพื้นที่ของชนเผ่าซึ่งเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวอาข่าเป็นอย่างมาก โดยแทรกแซงความเป็นอยู่ในเรื่องเพศ ตลอดจนวิธีการต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการรวมแว่นแคว้น อีกทั้งยังมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงสู่ความทันสมัยของชนเผ่าอาข่า ซึ่งกระทบต่อจำนวนประชากรและสุขภาพ อาข่า เพศวิถี เพศสภาวะ เชื้อชาติ ความทันสมัยนิยม สุขภาพ ประเทศลาวตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ประเทศลาว2554https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1801
1799วิทยานิพนธ์ฝู่หลู แคนน้ำเต้าของชาวลีซู : กรณีศึกษาบ้านดอยล้าน ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงรายช้างต้น กุญชร ณ อยุธยา งานวิจัยนี้ เป็นงานวิจัยทางมานุษยวิทยาการดนตรี โดยศึกษาเครื่องดนตรี “ฝู่หลู” ของลีซู เช่น ลักษณะทางกายภาพ การสร้าง รูปแบบการบรรเลง ลักษณะทางดนตรีของบทเพลงที่ใช้ การเต้นรำประกอบการบรรเลงฝู่หลู บทบาทหน้าที่ความสัมพันธ์ของฝู่หลูในสังคมลีซูลีซู ฝู่หลู การบรรเลง บทเพลง ความสัมพันธ์กับสังคม เชียงรายตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2544https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1799
1798วิทยานิพนธ์การสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ของคนไทยเชื้อสายเวียดนาม บ้านนาจอก ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนมจตุพร ดอนโสม งานเขียนศึกษาความเป็นมา การสร้างและการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของคนไทยเชื้อสายเวียดนามบ้านนาจอก ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม จากการศึกษาพบว่า คนไทยเชื้อสายเวียดนามบ้านนาจอก อพยพมาจากจังหวัดฮาติง ภาคกลางของประเทศเวียดนาม เนื่องจากการปราบปรามของฝรั่งเศส และหนีความอดอยาก หมู่บ้านนาจอกตั้งขึ้นก่อน พ.ศ. 2441 โดยคนเวียดนามรุ่นเก่า ในหมู่บ้านมีศาลเจ้าด่ายเวือง โฮจิมินห์ เพลงประจำหมู่บ้าน เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยเชื้อสายเวียดนาม ในหมู่บ้าน นอกจากคนไทยเชื้อสายเวียดนามแล้วยังมีชาวผู้ไทอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน คนไทยเชื้อสายเวียดนามได้มีการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์แล้วแต่สถานการณ์ทางการเมือง เช่นในยุคที่มีการปราบปรามคอมมิวนิสต์ คนไทยเชื้อสายเวียดนามจะไม่ค่อยแสดงตัวตนที่แท้จริง กระทั่งทางการไทยและเวียดนามได้ร่วมกันก่อตั้งหมู่บ้านมิตรภาพที่บ้านนอจอก คนไทยเชื้อสายเวียดนามจึงส่งเสริมอัตลักษณ์ของตนในด้านต่างๆ ให้คล้องจองกับสถานการณ์การเมือง และเศรษฐกิจให้เท่าทันสถานการณ์ปัจจุบันวิถีชีวิต การเมือง สังคม อัตลักษณ์ คนไทยเชื้อสายเวียดนาม นครพนมตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ประเทศไทย2551ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1798
1795วิทยานิพนธ์สถาบันผู้นำและการปกครองตัวเองของชาวเขาเผ่าแม้ว:บทศึกษาเฉพาะกรณีแม้วที่บ้านขุนสถาน อำเภอนาน้อย จังหวัดน่านภักดี ชมพูมิ่ง ในการศึกษานี้ ผู้เขียนมองสถาบันผู้นำและการปกครองตนเองของชาวเขาเผ่าแม้วบ้านขุนสถานในลักษณะโครงสร้างอำนาจทางการปกครอง 3ฝ่าย ซึ่งได้แก่ อำนาจการบริหาร อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจตุลาการ ผู้เขียนได้จำกัดขอบเขตประเด็นการศึกษาที่รูปและลักษณะของการปกครองตนเอง ที่มาของอำนาจในการปกครองผู้ที่ใช้อำนาจในการปกครองสภาพของหัวหน้าเผ่า รวมทั้งสถาบันต่างๆในการปกครองและฐานะทางการปกครองของประชาชน ผู้เขียนเห็นว่า ในการปกครองตนเองของแม้วบ้านขุนสถาน “โหล่วย่าว”หรือหัวหน้าหมู่บ้าน และ”น่าจือเหว่าฮูเจ”หรือกลุ่มผู้อาวุโสในแสนเป็นผู้ใช้อำนาจในเชิงอำนาจบริหาร “จือเป้เส่งชั่วเต่อ”หรือที่ประชุมหมู่บ้านเป็นองค์การที่ใช้อำนาจแบบอำนาจนิติบัญญัติ และ”น่าจือเหว่าฮูเจา”หรือกลุ่มผู้อาวุโสในแสนกับ”โหล่วตัวเหน่งซาโปล้ว”หรือคณะกรรมการตัดสินข้อพิพาทขัดแย้งใช้อำนาจแบบอำนาจตุลาการ ซึ่งลักษณะการใช้อำนาจทั้งสามนี้เกี่ยวพันกัน ไม่ได้แยกจากกันโดยเด็ดขาด ม้ง แม้ว สังคม การปกครอง การใช้อำนาจ สถาบันผู้นำ จังหวัดน่านตำบลหนองญาติ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ประเทศไทย2510ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1795
1794วิทยานิพนธ์Translocal Village Networks: A Study of the Lahu People in Northern Thailand.Tan Brian Aik Lye การศึกษานี้สำรวจเครือข่ายหมู่บ้านข้ามถิ่น (translocal village network) ของคนลาหู่ในภาคเหนือของไทย ผู้เขียนได้นำแนวความคิดเรื่องการข้ามถิ่น (translocalities มาปรับใช้ในการศึกษาหมู่บ้านข้ามถิ่น 4แห่งได้แก่ หมู่บ้านสันติ หมู่บ้านพญากองดี หมู่บ้านดอกแดงและหมู่บ้านปาทุนิเวศน์ ผู้เขียนเห็นว่าความนึกคิดข้ามถิ่น (translocal imageries )ถูกสร้างจากความหวังความปรารถนาของพ่อแม่ การเข้ามาของสถาบัน/องค์กรต่างประเทศและการขยายตัวเข้าสู่การศึกษาของเด็กๆ ปัจจัยทั้งสามประการนี้ได้ถักทอเข้าด้วยกันซึ่งแสดงให้เห็นถึงความนึกคิดข้ามถิ่นที่ข้ามพ้นพรมแดนของชีวิตหมู่บ้านนำไปสู่การให้ทรัพยากรและการเชื่อมโยงทางโครงสร้างที่ประกอบด้วยสถาบัน/องค์กรข้ามชาติและข้ามถิ่นอื่นๆ และเช่นเดียวกันกับที่อิทธิพลของครูและการเรียนภาษาไทยช่วยลดกำแพงกั้นการเข้าสู่ศูนย์กลางเมือง ดังนั้นหมู่บ้านข้ามถิ่นจึงไม่ได้ถูกแยกโดดเดี่ยวจากการเชื่อมโยงภายนอก แต่ได้เกี่ยวพันกับจุดต่ออื่นๆ (nodes) ด้วยการเชื่อมกับเครือข่ายข้ามถิ่น<br />
ผู้เขียนได้สำรวจแก่นสำคัญของการบำรุงรักษากระแสข้ามถิ่นและเครือข่ายในรูปของการส่งเงินกลับไปหมู่บ้านและการติดต่อสื่อสารข้ามถิ่นระหว่างพ่อแม่กับเด็กๆที่อพยพ และพบว่าเงินส่งกลับนี้มีประโยชน์ทั้งต่อครอบครัว หมู่บ้านและรวมถึงเพื่อนบ้าน ทำให้ครอบครัวและชุมชนมีความมั่นคงและเสถียรภาพทางรายได้จากเด็กที่อพยพ ส่วนการติดต่อสื่อสารข้ามถิ่นระหว่างพ่อแม่กับเด็กที่กระทำสม่ำเสมอเป็นช่องทางการส่งถ่ายการดูแลและการใกล้ชิดกัน เทคโนโลยีของการเดินทางและการสื่อสารทำให้สามารถรักษาความผูกพันทางสังคมและความสัมพันธ์ข้ามพื้นที่ (relationships across space) ซึ่งเห็นได้จากการดูแลและความใกล้ชิดในรูปแบบใหม่ที่พ่อแม่กระทำผ่านเทคโนโลยีการสื่อสาร ซึ่งก็อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะรักษาความผูกพันพ่อแม่-ลูกให้เข้มแข็ง การกลับมาเยี่ยมบ้านจึงมีความสำคัญในการสร้างและทำให้ความสัมพันธ์สดชื่นมีชีวิตชีวา<br />
ผู้เขียนเห็นว่า แม้การเชื่อมต่อข้ามถิ่นจะสำคัญเพิ่มมากขึ้น แต่หมู่บ้านข้ามถิ่นยังคงเก็บรักษาดูแลส่วนที่เป็นอดีตและวิถีชีวิตแต่ก่อนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเสถียรภาพให้แก่ชีวิตครอบครัวและชุมชน ความโหยหาและความทรงจำถูกสร้างโดยการดูแลรักษาสถานที่พิเศษ เช่น ห้องของเด็กที่อพยพไม่อยู่บ้าน พ่อแม่ที่อยู่ข้างหลังยอมรับความสัมพันธ์รูปแบบนี้เพื่อให้อารมณ์ความรู้สึกเกิดความมั่นคงมีเสถียรภาพเพื่อจะได้สืบทอดท้องถิ่นไว้ต่อไป หมู่บ้านท้องถิ่นเป็นผลผลิตของการเดินทางและการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างอิทธิพลข้ามถิ่นกับพลังอำนาจท้องถิ่น การสืบทอดท้องถิ่นต่อไปทำให้เข้าใจในสิ่งที่ท้องถิ่นเป็น (น.vii-viii)ลาหู่ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม การอพยพข้ามถิ่น(translocal migration) เครือข่ายหมู่บ้านข้ามถิ่น เชียงใหม่ ประเทศไทยตำบลหนองญาติ อำเภอนาน้อย จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2551ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1794
1793วิทยานิพนธ์Lahu Writing and Writing Lahu: an Inquiry into the Value of LiteracyPine, Judith M.S.การศึกษานี้เป็นการสำรวจแนวคิด “ความสามารถอ่านเขียน” (“literacy”) ซึ่งถูกสร้างขึ้นในวาทกรรมภายในประเทศไทย ในบริบทระหว่างประเทศและในทฤษฎีมานุษยวิทยา อันแสดงถึงผลกระทบของความคิดนี้ต่อคนที่ถูกมองว่า “ไม่มีการเขียน” (“without-writing”) เพื่อที่จะเข้าใจคุณค่าของภาษาเขียน (written language)และความสามารถอ่านเขียนในบริบทลาหู่ ผู้เขียนได้พิจารณาวิธีที่ต่างกัน 2วิธี นั่นคือ ในด้านหนึ่ง ภาษาที่ถูกเขียนเป็นเครื่องมือของการสื่อสารซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำหรับกำหนดและถอดรหัสข้อมูลหรือสารที่มีความหมาย ในขณะเดียวกันผู้เขียนก็แยกการการะทำของภาษาที่ถูกเขียนในฐานะเครื่องมือ มองภาษาที่ถูกเขียนเป็นการครอบครองของกลุ่มที่ระบุกลุ่มนั้นเป็นประชาชนที่มีการเขียน ตรงข้ามกับกลุ่มที่ไม่มีการเขียน ด้วยการสำรวจตรวจสอบนี้ ผู้เขียนหวังว่าจะเข้าใจสภาวะที่ไม่เลือนหายของตราประทับ”ไม่มีการเขียน” (the indelibility of the “without-writing” label) (หน้า abstract) ลาหู่ ลาหู่แบบติสต์ ภาษาลาหู่ ความสามารถอ่านเขียน(literacy) เชียงใหม่ ประเทศไทยตำบลหนองญาติ อำเภอนาน้อย จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2554ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1793
1792หนังสือThe Spirits of the Yellow Leaves: The Enigmatic Hunter-Gatherers of Northern ThailandBernatzik, Adolf, Hugo with the collaboration of Emmy Bernatzik งานเขียนชิ้นนี้เป็นบันทึกเชิงชาติพันธุ์วรรณาบรรยายลักษณะทางกายภาพ การรวมกลุ่มทางสังคมและวิถีชีวิตด้านต่างๆ ของมลาบรีจากการสังเกตและสอบถามมลาบรีและกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ผู้วิจัยได้บรรยายข้อมูลในแต่ละด้านอย่างละเอียด มีการเชื่อมโยงและเปรียบเทียบวิถีชีวิตของมลาบรีกับกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อแสดงให้เห็นว่ามลาบรีมีการติดต่อ เรียนรู้และรับวัฒนธรรมจากสังคมข้างเคียงมาผสมผสานกับวิถีชีวิตและความเชื่อของตนมลาบรี (Mlabri) ผีตองเหลือง (Phi Tong Luang) รูปแบบการตั้งชุมชน การรวมกลุ่มทางสังคม ข้อมูลทางประชากร ลักษณะทางกายภาพ ความเชื่อและพิธีกรรม การรักษาโรค การแลกเปลี่ยน การบริโภค ระบบการเรียนรู้ ภาษา ดนตรี น่าน ประเทศไทยตำบลภูฟ้า อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ประเทศไทย2548https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1792
1791บทความSuicide among the Mla Bri Hunter-Gatherers of Northern ThailandLong, Mary, Long, Eugene and Waters, Tony งานเขียนชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์สาเหตุของปรากฏการณ์การฆ่าตัวตายในสังคมมลาบรีในช่วงหลังปีค.ศ.1980 เป็นต้นมา คณะผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม (participatory observation) บันทึกการพยายามฆ่าตัวตายและการฆ่าตัวตายในกลุ่มมลาบรี เพื่อที่จะวิเคราะห์บริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่ผลักดันให้เกิดการฆ่าตัวตาย ผู้วิจัยให้ข้อสรุปว่าการฆ่าตัวตายเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอย่างฉับพลันในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา การอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งทำให้วิธีการเลี่ยงความขัดแย้งตามธรรมชาติของสังคมมลาบรีนั้นไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ ปัญหาและความกดดันต่างๆ ผลักดันให้มลาบรีดื่มสุราทำให้เกิดความรุนแรงมากขึ้นไปอีก ในที่สุด มลาบรีจึงต้องหาทางออกด้วยการฆ่าตัวตาย มลาบรี (Mla Bri) การเปลี่ยนแปลงทางสังคม การควบคุมทางสังคม ความขัดแย้ง รูปแบบการตั้งชุมชน ข้อมูลทางประชากร ระบบเครือญาติ การแต่งงาน แพร่ น่าน ประเทศไทยตำบลภูฟ้า อำเภอสอง จังหวัดแพร่ ประเทศไทย2556ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1791
1790หนังสือThe Palaung in Northern ThailandMichael C. Howard and Wattana Wattanapun งานชิ้นนี้ศึกษาสถานภาพ วิถีชีวิต การปรับตัว ปัญหาที่ประสบ ของกลุ่มปะหล่องเงิน ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานใหม่ในภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะที่บ้านนอแล ปางแดงใน ปางแดงนอก และอื่นๆ ในจังหวัดเชียงใหม่<br />
กลุ่มปะหล่องที่อพยพเข้ามานี้ คือ ปะหล่องเงิน เดิมมีถิ่นฐานอยู่ที่รัฐฉานประเทศเมียนมาร์ แต่เนื่องด้วยความไม่มั่นคงทางการเมืองและภัยสงคราม จึงข้ามชายแดนเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมพารของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้บริเวณที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานครั้งแรกคือ บ้านนอแล ก่อนอพยพโยกย้ายไปยังพื้นที่อื่นๆ อาทิ แถบอำเภอฝาง สวนชา และแม่ริม รวมทั้งหมู่บ้านในอำเภอเชียงดาว เช่น ปางแดงใน ห้วยปง ปางแดงนอก แม่จอน เพราะประสบปัญหาและข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ทำกิน ชาวปะหล่องเหล่านี้ยังคงสร้างบ้านเรือนตามแบบดั้งเดิม แต่ไม่ปรากฏเรือนยาวเช่นในเมียนมาร์ และยังคงดำรงชีพด้วยการเกษตรกรรม เช่น ปลูกข้าว ข้าวโพด แม้จะไม่สามารถปลูกชาซึ่งเป็นอาชีพหลักแต่เดิม นอกจากนี้ พวกเขายังมีการปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดโดยการหันมาทำงานรับจ้างทั่วไป ขายสินค้าให้นักท่องเที่ยว ทำบ้านพักนักท่องเที่ยว เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ดังที่ทราบกันดีว่า กลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่า จึงทำให้มีปัญหากับทางภาครัฐและมีการดำเนินคดีทางกฎหมาย ในข้อหาปลุกรุกแผ้วถางป่าหลายครั้ง และอีกปัญหาสำคัญที่ประสบคือเรื่องสิทธิและสัญชาติดาระอั้ง ปะหล่อง การแต่งกาย การตั้งถิ่นฐาน การจัดการทางสังคม การเมืองการปกครอง กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ศาสนา คติความเชื่อ บ้านนอแล ปางแดงนอก ปางแดงใน เชียงดาว การปรับตัว ปัญหาตำบลภูฟ้า อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1790
1789อื่นๆวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีชนะพันธ์ รวีโชติภัคนันท์ งานชิ้นนี้ศึกษาวิถีชีวิตของกะเหรี่ยงที่อยู่ในอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งจากการศึกษาพบว่า กะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษาเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี เนื่องจากภัยสงครามในสมัยนั้น โดยบอกเล่าผ่านบทเพลงพื้นบ้านกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชนที่รักความสงบ ดำรงชีพโดยการทำอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้าง กะเหรี่ยงมีความเชื่อถือผู้นำและยึดมั่นต่องานประเพณีและช่วยเหลือเกื้อกูลกันในสังคม เพื่อนำผลการศึกษาไปปรับใช้กับแผนพัฒนาของเทศบาล เช่น ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชนชาวกะเหรี่ยง อนุรักษ์ความเป็นอยู่ส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณี ส่งเสริมและสนับสนุนด้านการเรียนรู้ชุมชนเช่นโครงการฝึกอบรมอาชีพด้านเกษตรกรรม ทอผ้า และส่งเสริมการแต่งกายพื้นบ้าน ตลอดจนสนับสนุนด้านความเป็นอยู่และสุขภาพเพื่อให้ชาวกะเหรี่ยงในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี วิถีชีวิต ความเป็นมา กะเหรี่ยง กาญจนบุรีตำบลภูฟ้า อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2554ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1789
1787วิทยานิพนธ์Changing Minds, Changing Hats Construction and Expression of Akeu Ethnic Identity in Thailand and MyanmarKaisa Niemi อาเค๊อะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยของอาข่าซึ่งไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางนักในสังคม ดังนั้น การสร้างอัตลักษณ์และตัวตนจึงเป็นประเด็นสำคัญ อัตลักษณ์ของอาเค๊อะเกิดจาก ความสัมพันธ์ทางสายโลหิต วิถีชีวิตและวัฒนธรรม อาทิ เครื่องแต่งกาย ภาษาพูด จารีต ประเพณี และพิธีกรรม รวมทั้งสภาพแวดล้อม<br />
ในเมียนมาร์ บัตรประจำตัวของชาวอาเค๊อะมักระบุว่าพวกเขาเป็นชาวอาข่า เนื่องจาก หน่วยงานราชการไม่รู้จักอาเค๊อะ นอกจากนี้ พวกเขายังถูกนับรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอาข่าซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่กว่า โดยเรียกว่า อาเค๊อะ-อาข่า ชาวอาเค๊อะจำนวนมากจึงต้องการแสดงตัวตนว่าพวกเขาต่างจากอาข่า แต่คงมีชาวอาเค๊อะส่วนหนึ่งที่ยอมรับว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางชาติพันธุ์กับกลุ่มอาข่า<br />
ตัวอย่างข้อมูลจากการลงพื้นที่ภาคสนาม พบว่า ชาวอาเค๊อะมีความกังวลต่อสายตาของบุคคลภายนอกที่มักมองมายังกลุ่มของพวกเขาว่าเป็นกลุ่มเดียวกับอาข่า จึงมีการชุมนุมและรวมตัวกันเพื่อหารือถึงปัญหาดังกล่าว ชาวอาเค๊อะมีความมุ่งหมายในการสร้างตัวตนให้เป็นที่ประจักษ์และรับรู้ในสังคมภายนอก ดังเห็นได้ว่า พวกเขาปฏิเสธการจัดงานเฉลิมฉลองปีใหม่รวมกับอาข่า เป็นต้น<br />
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ก่อให้เกิดการพยายามสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ การที่ชาวอาเค๊อะเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการทำไร่เลื่อนลอยเป็นเพาะปลูกเพื่อจำหน่าย และอพยพเข้าไปทำงานในเมือง เพราะต้องการเงิน ทำให้มีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธ์อื่นมากยิ่งขึ้น นำมาสู่การแต่งงานข้ามกลุ่มและผสมผสานทางวัฒนธรรม ยิ่งไปกว่านั้น ระบบการศึกษาและสื่อต่างๆ ยังลบเส้นเขตแดนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ลง การสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์จึงเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ พวกเขายังต้องการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ว่าเป็นกลุ่มที่มีการศึกษาและมีภาษาเขียน เพื่อยกระดับสถานภาพและภาพลักษณ์ในสังคมให้ดีขึ้น ผู้วิจัย สรุปว่า อาเค๊อะอยู่ในระหว่างกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่การทำให้เป็นสมัยใหม่ (modernization) โดยมองหาวิธีการรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมของตนไว้ด้วย อาเค๊อะ อาข่า การสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ เชียงตุง ประเทศไทย ห้วยน้ำขุ่นตำบลท่าก๊อ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2557ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1787
1784อื่นๆการจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่นชุมชนเผ่าญ้อขององค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำราญ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธรสุพัชฌาย์ ปาปะชะ งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาวิธีการจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนเผ่าญ้อ 5 หมู่บ้านขององค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำราญ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร จากการศึกษาพบว่า องค์การบริหารส่วนตำบลมีแผนการดำเนินงานให้ประชาชนมีส่วนร่วมและมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อรักษาและอนุรักษ์วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น มีการตั้งสภาวัฒนธรรมเพื่อขอความร่วมมือในการทำงานด้านอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นและการสืบทอดได้เลือกคนที่มีความรู้มาฝึกฝนและสืบทอดการอนุรักษ์วัฒนธรรม มีการเผยแพร่ผ่านผู้นำชุมชนและมีการจัดระบบข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ ทำวีดีทัศน์เกี่ยวกับประวัติของชุมชนญ้อและภูมิปัญญาที่ควรอนุรักษ์และเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ภูมิปัญญาท้องถิ่น การอนุรักษ์วัฒนธรรม ความเป็นมา ญ้อ ยโสธรตำบลโคกสำราญ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ประเทศไทย2556ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1784
1783วิทยานิพนธ์The Fourth World in the Third: Development in a Yao Mountain Village in Northern ThailandLi Jian การศึกษานี้ได้สำรวจปัญหาและประเด็นหลักๆในการพัฒนาสังคมชาวเขาที่อยู่ในประเทศที่สาม ผู้ศึกษาสนใจและเน้นที่ผลกระทบของการพัฒนาชาวเขาในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ทศวรรษ 1970เป็นต้นมา โดยมีเป้าหมาย 3ประการ คือ หนึ่ง ศึกษาสำรวจกลุ่มชาติพันธุ์เย้าและวัฒนธรรมของเย้าภายในขอบเขตการพัฒนาและการเปลี่ยนทางวัฒนธรรม สอง ประเมินผลกระทบของโครงการพัฒนาที่เป็นโครงการหลักในกลุ่มชาติพันธ์เย้าในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 และสุดท้ายวิเคราะห์การบ่งชี้ของผลกระทบต่อชาวเขาในภูมิภาคทั่วๆไปและต่อคนเย้าบ้านกรีนฮิลโดยเฉพาะ(น.ii) ทั้งนี้ผู้ศึกษาเห็นว่าผลกระทบของการพัฒนามีทั้งด้านบวกและด้านลบ ความหมายทางด้านบวกคือ โครงการพัฒนาช่วยปรับปรุงวิถีชีวิตและการเป็นอยู่ของชาวเขาให้ดีขึ้น ส่วนความหมายด้านลบคือ โครงการพัฒนาทำให้เศรษฐกิจแบบยังชีพ(subsistence economy)ของชาวเขาอ่อนแอลง รวมทั้งยังทำลายความสามารถในการตัดสินใจด้วยตนเองตามวัฒนธรรมของชาวเขา(their cultural autonomy) เย้า การเปลี่ยนแปลง ผลกระทบของการพัฒนา จังหวัดเชียงราย ภาคเหนือ ประเทศไทยตำบลโคกสำราญ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2543ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1783
1779บทความTHE KHA TONG LU’ANGSeidenfaden, Erik งานเขียนชิ้นนี้เป็นงานเขียนเชิงชาติพันธุ์วรรณาพรรณนาถึงลักษณะทางกายภาพ วิถีชีวิต ความเชื่อและแบบแผนพฤติกรรมทางสังคมของมลาบรีจากข้อมูลที่ได้จาก Mr. T. Wergani เจ้าหน้าที่ป่าไม้ของบริษัทอีสท์เอเชียติก (East Asiatic Company) ในจังหวัดแพร่ งานเขียนนี้เป็นงานเขียนชิ้นแรกๆเกี่ยวกับมลาบรี มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์มลาบรี ทั้งการบรรยาย พรรณนาและการเชื่อมโยงกับงานศึกษาที่มีมาก่อนหน้ามลาบรี (Mlabri) ลักษณะทางกายภาพ โครงสร้างและแบบแผนพฤติกรรมทางสังคม การหาอาหาร ความเชื่อ การรักษาโรค แพร่-น่าน ประเทศไทยตำบลโคกสำราญ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2469ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1779
1773วิทยานิพนธ์การวิเคราะห์เพลงประจำบ้าน ทางฆ้องมอญวงใหญ่มนัส แก้วบูชา งานวิจัยนี้ศึกษาประวัติ ความหมาย และบทบาทของเพลงประจำบ้าน ทางฆ้องมอญวงใหญ่ของสำนักดนตรีมอญสี่สำนัก ได้แก่ ทางมอญบ้านบาตร ทางมอญบ้านพาทยโกศล ทางมอญปทุมธานี ทางมอญปากลัด โดยวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะด้านดนตรีซึ่งเป็นวิธีการบรรเลงของทางมอญแต่ละสำนัก ได้แก่ ระดับเสียงฆ้องมอญวงใหญ่ หน้าทับตะโพนมอญ โครงสร้างของบทเพลง และการใช้ “มือฆ้อง” เพลงประจำบ้าน ทางฆ้องมอญวงใหญ่มอญ เพลงประจำบ้าน ทางฆ้องมอญวงใหญ่ สำนักดนตรีมอญตำบลแขวงบ้านบาตร อำเภอเขตป้อมปรามศัตรูพ่าย จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1773
1772วิทยานิพนธ์Being Lahu in a Thai School : An Inquiry into Ethnicity, Nationalism, and SchoolingJuelsgaard, Matthew Ryan การศึกษานี้สนใจศึกษามุมมองความคิดและวิธีคิดของล่าหูจากประสบการณ์ในฐานะที่เป็นนักเรียนล่าหูระหว่างศึกษาอยู่ในโรงเรียนมัธยม ผู้ศึกษาเห็นว่าเป้าหมายหลักของการตั้งโรงเรียนไทยคือการบูรณาการประชากรที่หลากหลายเข้าสู่รัฐชาติ ผู้เขียนเก็บข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน - เดือนกันยายน ค.ศ. 2012 โดยใช้วิธี phenomenological approachสร้างแบบสอบถามสัมภาษณ์ล่าหูหญิงชายจำนวน 10คนเกี่ยวกับประสบการณ์ในช่วงที่ศึกษาในโรงเรียนมัธยมบ้านโรงเรียน(Banrongrian Secondary School) จังหวัดเชียงราย ผู้ศึกษาสรุปว่า การเป็นล่าหูเป็นความแตกต่างที่ทำให้ประสบการณ์ในโรงเรียนของผู้ให้ข้อมูลมีความต่างอย่างมีนัยยะสำคัญ และนโยบายการบูรณาการชาติก่อให้เกิดการเป็นชายขอบของผู้ให้ข้อมูลในฐานะนักเรียนชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยในบริบทโรงเรียน (น.v-vi)ลาหู่ ชาติพันธุ์ธำรง(ethnicity) การเป็นลาหู่ การศึกษาในโรงเรียนมัธยม จังหวัดเชียงราย ประเทศไทยตำบลแขวงบ้านบาตร อำเภอเขตป้อมปรามศัตรูพ่าย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2556ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1772
1757วิทยานิพนธ์กลยุทธ์ในการเข้าถึงทรัพยากรของชุมชนตั้งถิ่นฐานใหม่ ท่ามกลางบริบทของการปิดล้อมพื้นที่ป่าสกุณี ณัฐพูลวัฒน์ การปรับตัวและแสวงหาวิธีการในการเข้าถึงทรัพยากรป่าและที่ดิน ตลอดจนการดำรงชีวิต เพื่อให้อยู่รอดอย่างมั่นคงของดาระอั้งบ้านปางแดงในซึ่งเป็นชุมชนตั้งถิ่นฐานใหม่ มีสองระดับ คือ ในระดับชุมชน พบว่า ดาระอั้งผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมกับแนวคิดใหม่ในการเข้าถึงและจัดการทรัพยากรป่า โดยยังมีวิถีปฏิบัติเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับป่า ในขณะเดียวกันก็นำแนวคิดเรื่องป่าชุมชนมาใช้ และเข้าร่วมเครือข่ายป่าชุมชนต้นน้ำแม่ปิงอำเภอเชียงดาว เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง นอกจากนี้ ยังสร้างความชอบธรรมในการอยู่อาศัยและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่า โดยการนำเรื่องเล่าตำนานต่าง ๆ ทางพุทธศาสนา และความเชื่อเรื่องสายสัมพันธ์ไทย – ดาระอั้ง มาอธิบายร้อยเรียงเชื่อมโยงให้เห็นว่า ดาระอั้งเคยอาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้มาก่อนแล้ว อีกทั้งได้แสดงความมีตัวตนในสังคมให้เกิดการยอมรับจากภายนอก ด้วยการให้ความร่วมมือกับทางราชการและองค์กรเครือข่ายที่ตนมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรมอย่างเต็มใจและเต็มที่ สำหรับในระดับปัจเจก เมื่อวิถีชีวิตเข้าไปอยู่ในกระแสทุนนิยม ต้องพึ่งพาตลาดจากภายนอกมากขึ้น ในขณะที่ต้องผลิตซ้ำในที่ดินเดิมอันจำกัด วิถีการผลิตจึงต้องปรับเปลี่ยนจากการผลิตเพื่อยังชีพเป็นการผลิตเชิงพาณิชย์เพื่อขายให้ได้เงินสดเข้ามา ดาระอั้งจึงหันมาปลูกพืชพาณิชย์เพิ่มขึ้นแทนการปลูกข้าว ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าแต่ขายได้เงินมากกว่า และเพิ่มรายได้ให้ครอบครัวด้วยการไปเป็นแรงงานรับจ้าง บางครอบครัวก็ทำบ้านพักนักท่องเที่ยวสำหรับ trekking tour ด้วยดาระอั้ง ทรัพยากรป่า สิทธิ การเข้าถึง การจัดการ การปรับตัว เชียงใหม่ตำบลแขวงบ้านบาตร อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1757
1719รายงานการวิจัยจากยาลอสู่ยะลา: การเปลี่ยนแปลงในรอบศตวรรษนิเด๊าะฮิแตแล, สูวารียะ แปเฮาะฮิเล, มารีแย มามะ, ทรัยนุง มะเด็ง, สุวภัทร วัฒนกุล, อนุวัฒน์ ปารามะ, อับดุลเร๊าะมัน บาดา, และจรัส โกสุมภวรรณ จากยาลอสู่ยะลา:การเปลี่ยนแปลงในรอบศตวรรษ เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม โดยศึกษาจากวิถีการดำรงชีวิตตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งการเลือกตั้งถิ่นฐานและการโยกย้าย การดำรงชีพและทรัพยากรในท้องถิ่น ความสัมพันธ์ของคนในชุมชน ประเพณี พิธีกรรม และการปรับตัวของคนในท้องถิ่น รวมถึงการศึกษาผลกระทบต่อผู้คนและเข้าถึงการพัฒนาของพื้นที่ อันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การศึกษาใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยการสอบถามผู้รู้และผู้อาวุโสในท้องถิ่น และรวบรวมเชิงวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับเวลา จากการศึกษาได้พบความสำคัญของเมืองยาลอในอดีต ที่ในฐานะที่ตั้งของชุมชนโบราณตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เนื่องด้วยสภาพภูมิประเทศที่เหมาะสมและทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ การโยกย้ายที่ตั้งของเมืองหลายครั้ง เป็นไปตามหลักวิวัฒนาการทางการคมนาคม การติดต่อค้าขายที่สะดวก การขยายตัวและการพัฒนารูปแบบของเมืองตามกาลสมัย พบการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนชาวยาลอในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระบบการปกครอง ประเพณีและพิธีกรรม อันเนื่องมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและสมัยนิยม การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเกษตรพอเพียงเป็นการเกษตรเชิงเดี่ยว เพราะได้รับการสนับสนุนจากโครงการพัฒนาเชิงเศรษฐกิจจากรัฐบาล การปรับเปลี่ยนอาชีพหลักจากการเกษตรมาเป็นแรงงานรับจ้างและค่าราชการ เนื่องด้วยการเข้ามาลงทุนของผู้ประกอบการและค่านิยมเรื่องการศึกษาที่สูงขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวไปสู่ความเป็นเมืองที่ทำให้เห็นภาพความแตกต่างของกลุ่มชนชั้นต่างๆได้ชัดเจนขึ้น ส่วนเรื่องของผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดขึ้นทั้งต่อผู้คนในท้องถิ่นและการพยายามเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ของรัฐและเอกชน โดยเหตุผลสำคัญที่ชาวบ้านเชื่อว่าสร้างความรุนแรงให้เพิ่มมากขึ้นเช่นปัจจุบันนี้ คือ การตัดสินใจที่ผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ ในการใช้อาวุธเข้าจัดการกับเหตุการณ์สามแยกบ้านเนียง ในวันที่ 28 เมษายน 2547 มลายูมุสลิม , การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม, ยาลอ-ยะลา , จังหวัดยะลาตำบลยะละ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ประเทศไทย2549ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1719
1717รายงานการวิจัยการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศวัฒนธรรม ในเขตเชิงเขาบูโด-สันการาคีรี กรณีศึกษาบริเวณบ้านตะโหนดอำเภอรือเสาะและอำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาสมะอีซอ โซะมะตะ, สะแม ซิมา, งามพล จะปะกิยา, มะดามิง อารียู, และอับดุลย์ลาเต๊ะ สาและ การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศวัฒนธรรม ในเขตเชิงเขาบูโด-สันการาคีรี กรณีศึกษาบริเวณบ้านตะโหนดอำเภอรือเสาะ และอำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส เป็นการศึกษาเชิงเปรียบเทียบความเป็นท้องถิ่นของสองพื้นที่ คือ หมู่บ้านเก่าแก่เชิงเขาบูโด กับ ชุมชนเกิดใหม่ซึ่งมาจากท่าเรือริมน้ำสายบุรี ต้องการหาคำตอบเรื่องการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติว่า ได้ส่งผลอย่างไรต่อวิถีชีวิตและการปรับตัวของมลายูมุสลิมในบริเวณลุ่มน้ำสายบุรีตอนกลาง ใช้วิธีการศึกษาด้วยการวิเคราะห์ เก็บข้อมูล และแลกเปลี่ยนความเห็นกับคนในท้องถิ่นและนักวิชาการ โดยในการศึกษาเปรียบเทียบพบว่า ชุมชนมลายูมุสลิมกลุ่มบ้านเชิงเขา ในเขตอำเภอศรีสาคร เป็นชุมชนของมลายูมุสลิมที่เกิดขึ้นใหม่ มีการเคลื่อนย้ายผู้คนมาจากอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี และ เมืองโกตาบาลูรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย มีความสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์ซาไก ในการแลกเปลี่ยนของป่า โดยชาวชุมชนเชิงเขาจะมีชุมทางสำคัญสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าต่างระบบนิเวศกับชุมชนใหญ่ชุมชนอื่น รวมถึงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการเคลื่อนย้ายของผู้คนต่างสภาพภูมินิเวศตลอดเวลา ส่วนกลุ่มบ้านตะโหนดในหุบเขาอำเภอรือเสาะ เป็นชุมชนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เนื่องด้วยความเชื่อท้องถิ่นและการปกครองด้วยระบบเจ้าเมืองในสมัยก่อน จึงทำให้กลุ่มบ้านตะโหนดยังมีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นภายในชุมชนอยู่สูง เห็นได้จากการการทำสวนดูซงและสวนยาง ซึ่งเป็นการปลูกพืชผสมผสานที่แสดงถึงความสามารถในการพึ่งพาภายในชุมชนกันเองได้อย่างดี อย่างไรก็ตามกลุ่มบ้านตะโหนดก็มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับบ้านพะปูเงาะด้วย ข้อค้นพบสำคัญของลักษณะเฉพาะของพื้นที่การศึกษา คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองชุมชน มีการเติบโตและถ่ายทอดความรู้ของพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวก่อนที่แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติจะเข้ามาในพื้นที่ ตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อน เป็นลักษณะทางวัฒนธรรมของมุสลิมที่ให้ความสำคัญกับเครือญาติและศาสนา ซึ่งทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนภายในวัฒนธรรมได้ง่าย แต่การเข้ามาของพืชพาณิชย์ก็ได้ส่งผลต่อการสูญเสียระบบจัดการทรัพย์สินและทรัพยากรในแบบเครือญาติให้แก่รัฐ ในการเข้ามาควบคุมการใช้ทรัพยากรและเข้าครอบครองสิทธิ์ อีกทั้งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของกลุ่มซาไกบนเขาสันการาคีรีด้วย ชาวบ้านทั้งสองชุมชนต้องหันมาทำธุรกิจใหม่ คือ การค้าไม้ยาง ซึ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในสังคมมลายูมุสลิมกันเอง เพราะไม่อาจปรับตัวได้ทันและไม่เกิดการกระจายของรายได้อย่างทั่วถึง มลายูมุสลิม , ซาไก ,เชิงเขาบูโด-สันการาคีรี , อำเภอรือเสาะ อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาสตำบลยะละ อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส ประเทศไทย2549ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1717
1681รายงานการวิจัยรูปแบบการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาบรูโดยกลุ่มชาติพันธุ์บรูบ้านท่าล้ง ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานีพนัส ดอกบัว และคณะ โครงการวิจัย รูปแบบการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาบรูโดยกลุ่มชาติพันธุ์บรูบ้านท่าล้ง ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา ภาษาและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธ์บรูบ้านท่าล้ง ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ศึกษาองค์ความรู้เรื่องภาษาบรู สถานการณ์การใช้ภาษาบรู และสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงภาษาบรู ตลอดจนเพื่อศึกษาและหารูปแบบในการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาบรูโดยการมีส่วนร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์บรูบ้านท่าล้ง ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบมีส่วนร่วม ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องและเก็บข้อมูลภาคสนามด้วยการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้นำชุมชน ผู้รู้ และสมาชิกในชุมชน จำนวน 52 คน การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้<br />
ผลการวิจัยพบว่า เมื่อกลุ่มชาติพันธุ์บรูมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านท่าล้ง ประเทศไทย ในพ.ศ. 2452 ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมจากเดิมชาวบรูนับถือผีหรือถือฮีตโดยกลุ่มเครือญาติร่วมฮีตกันและมีภาษาพูดเป็นของตนเองมาเป็นนับถือศาสนาพุทธและเข้าวัดทำบุญตามฮีตคองของอีสานแทน<br />
ภาษาบรูเป็นภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกมอญ-เขมร กลุ่มกะตู ชาวบรูใช้พูดสื่อสารกัน ไม่มีตัวหนังสือ ในพ.ศ. 2530 หลังจากชาวบรูบ้านท่าล้งส่งคืนฮีต เลิกนับถือผีแล้วหันมานับถือศาสนาพุทธ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม การสร้างรัฐชาติของทางการไทยทำให้ชาวบรูใช้ภาษาบรูลดน้อยลงหันมาใช้ภาษาไทยอีสานหรือภาษาไทยกลางโดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวบรูได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงและคุณค่าความสำคัญของวัฒนธรรม ภาษาบรู จึงได้ร่วมกันศึกษาและหารูปแบบในการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาบรูด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาบรูหลากหลายรูปแบบทั้งในชุมชนและในโรงเรียน ได้แก่ การสืบค้นรวบรวมและถ่ายทอดคำศัพท์ เพลง นิทานภาษาบรูโดยคนเฒ่าคนแก่ และผ่านทางหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาบรูให้คงอยู่ต่อไปบรู,การมีส่วนร่วม,การอนุรักษ์,ฟื้นฟู,การเปลี่ยนแปลง,ภาษาบรู,ภูมิปัญญา,วัฒนธรรม,อุบลราชธานีตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย2552ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1681
1637หนังสือA History of Daoism and the Yao people of South ChinaAlberts, Eli ผู้เขียนสนใจว่า รัฐถูกสร้าง(constructed)อย่างไร ทั้งในเชิงอาณาเขตดินแดนทางกายภาพและในเชิงที่เสนอออกมาในสื่อที่เป็นภาพและตำรา รวมถึงการกำหนดใช้คำ รัฐกลาง(the Central State) หรือจงกว๋อ (Zhongguo)และแผ่นดินทั้งเก้า (the Nine Continents) หรือ จิ่วโจว (Jiuzhou) ซึ่งเป็นคำคู่ตรงกันข้ามระหว่างศูนย์กลาง-ชายขอบ ภายนอก-ภายใน มีอารยะธรรมความเจริญ-ป่าเถื่อน (น.17-18)<br />
เนื้อหาแบ่งเป็น 3ภาค ภาคแรกแสดงให้เห็นว่าการติดต่อระหว่างเย้ากับราชการจีนไม่ได้เริ่มต้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง โดยในบทที่หนึ่ง เป็นการตรวจสอบลักษณะคุณสมบัติพิเศษของคำที่เป็นตราประทับสมัยราชวงศ์ซ่งซ่ง ได้แก่ เย้าเหริน –Yaorenเย้าหมาน –Yaomanและหมานเย้า – Manyaoรวมทั้งคำ โมเย้า –Moyao คำทั้งหมดนี้บ่งชี้ ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเก็บภาษี การเกณฑ์แรงงานและการลงทะเบียนประชากร ทั้งหมดนี้เกี่ยวโยงกับขุนนางเจ้าหน้าที่ แต่ก็แสดงให้เห็นกระแสแนวโน้มการรวมแผ่นดินในช่วงปลายสมัยหกราชวงศ์ ในบทที่สองและสามเป็นการสำรวจงานเขียนชิ้นพิเศษที่บอกเล่าเรื่องราวผู้คนที่ปกครองตนเอง ซึ่งรู้จักกันในนาม “คนหมาน- the Man”ในฮูหนานและพื้นที่โดยรอบ ผู้เขียนยังแสดงการสะท้อนสิ่งที่เหมือนๆกันของงานเขียนเหล่านี้ที่เป็นหลักฐานในสมัยซ่ง และแสดงแหล่งข้อมูลเอกสารสองชิ้น คือ the Yao Charters (quandie) และ the Passport for Crossing the Mountain (guoshanbang) คำกล่าวอ้างที่ใช้ในเอกสารนี้ ทั้งโดยเจ้าหน้าที่รัฐและคนเย้า มีที่มาจากการทำข้อตกลงและข้อผูกพันระหว่างผู้นำหมานกับผู้นำของอาณาจักรต่างๆ (ฉิน ฉู่ ฯลฯ) ในช่วงรัฐสงคราม (the Warring States) และยุคจักรวรรดิตอนต้น(early imperial periods)<br />
ภาคที่สอง เป็นการตรวจสอบการเกิดกระบวนการเคลื่อนไหวลัทธิเต๋า (the emergence of Daoist movements) ซึ่งได้แก่ the Celestial Masters และ the Yellow Turbansในปลายสมัยราชวงศ์ฮั่น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เกิดกองกำลังกบฏหมานกว้างขวาง ผู้นำที่ก่อตั้งกระบวนการเคลื่อนไหว the Celestial Mastersเป็นผู้นำท้องถิ่นในดินแดนทางตะวันตกของแผ่นดินที่เป็นศูนย์กลางของคนหมาน คนป่านชุน( The Banshun)เป็นกลุ่มย่อยกลุ่มแรกๆ ที่สนับสนุนกระบวนการ<br />
ในบทสรุป ผู้เขียนวิเคราะห์ว่า ”the Passport” เอกสารที่สืบทอดในตระกูลผู้นำเย้าเท่านั้น เย้าใช้เอกสารนี้เป็นหลักฐานของการรับรู้ของสวรรค์และราชสำนัก (น.18-19) เย้า ประวัติศาสตร์ ศาสนาความเชื่อ เต๋า จีนตอนใต้ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศจีน2549https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1637
1636บทความDance or Change Your Religion: Conservation of Dance Music “Awhui” and Ethnic Identity Among Lahu Na Shehleh of Northern Thailand.Hill, Jaquetta; Saenghong, Nannaphat; Grim-Feinberg, Kateบทความนี้กล่าวถึงการศึกษา “AwHui”ซึ่งหมายถึงดนตรีและการเต้นของลาหู่นะเชเล โดยเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างดนตรีและการเต้น ทั้งนี้ผู้เขียนเห็นว่า AwHuiเป็นทั้งกิจกรรมทางการเมืองการปกครองและกิจกรรมทางศาสนาความเชื่อและการรักษาดูแล การเต้นที่มีพิธีกรรมจะรักษาสืบทอดอัตลักษณ์ของลาหู่นะเชเล และสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันทางสังคมให้เข้มแข็งขึ้นทั้งหมู่บ้านและการค้นพบในเครือข่ายหมู่บ้านลาหู่นะเชเลน.146) บทความนี้มีสองส่วน ส่วนแรกเน้นการหาวิธีการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญและผู้ชำนาญในดนตรีกับการเต้น ส่วนที่สองสรุปผลการศึกษา AwHuiของการศึกษาดนตรีเชิงชาติพันธุ์ (ethnomusicology) กับการศึกษาการเคลื่อนไหวร่างกายเชิงชาติพันธุ์( ethnochoreology) ลาหู่(Lahu Na) ลาหู่เชเล(Lahu Shehle) การเต้นและดนตรี ภาคเหนือของไทยตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย2554https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1636
1635วิทยานิพนธ์เพศสภาวะและอัตลักษณ์ในระบบการเคลื่อนย้ายประชากร : การอพยพแรงงานชาวปลังจากมณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนสู่ ประเทศไทยZhang Jie วิทยานิพนธ์นี้ต้องการศึกษาเรื่องการอพยพและการดำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของชาวปลังในหมู่บ้าน Langzhai เขตสิบสองปันนา สาธารณรัฐประชาชนจีนที่อพยพเข้าสู่ประเทศไทย โดยใช้การลงพื้นที่เก็บข้อมูลและสัมภาษณ์ชาวบ้านในหมู่บ้าน Langzhai และผู้ที่อพยพเข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานคร<br />
จากการศึกษาพบว่าชาวปลังกลุ่มนี้มีการอพยพเข้าสู่ประเทศไทย 3 ช่วงด้วยกัน ช่วงแรกเกิดขึ้นจากการต่อสู้ระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์ ช่วงที่ 2 ระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรมและการปฏิรูปที่ดิน และช่วงที่ 3 หลังปีค.ศ. 1990 เป็นไปเพื่อหารายได้เข้าสู่ครัวเรือนเป็นหลัก โดยชาวปลังนิยมอพยพเข้าสู่ประเทศไทยเนื่องจากเป็นประเทศที่ยังต้องการแรงงาน มีการใช้ภาษาที่อยู่ในตระกูลที่ใกล้เคียงกัน และนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเช่นเดียวกันมากกว่าอพยพเข้าไปทำงานในเมืองอื่นของประเทศจีน เพราะชาวปลังพูดภาษาจีนได้น้อยมากและไม่ได้นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานแบบจีน ในการอพยพเข้าสู่ประเทศไทยนั้นจะมีผู้ที่ทำหน้าที่เป็นคนกลางคอยช่วยเหลือให้สามารถหลบหนีเข้าสู่ประเทศไทยได้ คนกลางจะทำหน้าที่สอนภาษาไทยเบื้องต้นรวมถึงหางานให้กับแรงงานด้วย ชาวปลังที่อพยพไปทำงานที่กรุงเทพฯ มีการรวมกลุ่มกันเป็นชุมชนเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามวัฒนธรรมที่เหมือนกับในหมู่บ้าน Langzhaiนอกจากนั้นยังมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์และวัฒนธรรมที่แสดงถึงอัตลักษณ์ความเป็นชาวปลังจากหมู่บ้าน Langzhaiเช่นรูปแบบการปกครองภายในกลุ่ม การใส่เสื้อที่มีธงชาติจีน เป็นต้น แม้ว่าตนเองจะอยู่ในสถานะที่ไม่ควรเปิดเผยตัวตนมากนัก แรงงานที่อพยพมีทั้งเพศหญิงและเพศชาย แต่แรงงานหญิงมักจะได้ทำงานที่ไม่ใช้ทักษะและค่าจ้างน้อยกว่าแรงงานชาย จึงมีการทำงานล่วงเวลาเพื่อพยายามเก็บเงินส่งกลับบ้านให้ได้มากที่สุด ในขณะที่แรงงานชายบางส่วนมักไปสังสรรค์ในวันหยุดและทำผิดกฎหมายทำให้ถึงแม้จะได้ค่าจ้างสูงกว่าแรงงานหญิงแต่ก็สามารถส่งเงินกลับบ้านได้น้อยกว่า จากการอพยพเข้ามาทำงานในประเทศไทยทำให้จากเดิมที่ในหมู่บ้านสามารถผลิตข้าวและอาหารเพียงเพื่อยังชีพแต่ไม่มีเงินใช้จ่าย กลายเป็นเริ่มมีเงินและสามารถซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกได้ ชาวบ้านกลุ่มนี้จึงยังคงนิยมอพยพเข้ามาทำงานยังประเทศไทย แม้จะอยู่ในสถานะของแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายและต้องใช้ชีวิตหลบๆซ่อนๆ จากตำรวจก็ตาม นอกจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้ว การอพยพยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและระหว่างคู่รักอีกด้วย โดยพบว่าการอพยพได้กลายเป็นปัญหาหลักที่ส่งผลให้เกิดการหย่าร้างในหลายครอบครัว ปลัง การอพยพเข้าสู่ประเทศไทย บทบาทของเพศหญิงในสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างผู้อพยพกับชุมชนเดิม มณฑลยูนนาน ประเทศจีนตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดYunnan ประเทศจีน2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1635
1634รายงานการวิจัยประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านเวียงหวาย ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่จรรยา พนาวงค์ และ อุไรวรรณ แก้วคำมูล ประวัติศาสตร์ชุมชนไทใหญ่อยู่ในบริบทของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เป็นชุมชนของคนไทใหญ่ที่มีการอพยพจากฝั่งพม่าหนีจากความโหดร้ายทารุณและการกดขี่ข่มเหงเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทยด้วยสภาพแวดล้อมต่างๆทำให้คนชุมชนบ้านเวียงหวายเปลี่ยนไป จากการสืบเสาะเนื้อหาประวัติศาสตร์ ในเวทีชาวบ้าน ทำให้ทราบเรื่องราวของหมู่บ้าน การอพยพเข้ามา การดำเนินชีวิตของคนสมัยก่อนกับปัจจุบัน และปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไป<br />
การวิจัยนี้ทำให้เห็นถึงช่องว่าง ความแตกต่างระหว่างวัยของคนในชุมชนที่มีค่านิยมที่ต่างกัน และสร้างอัตลักษณ์ของคนแต่ละวัยขึ้นมา เช่น คนเฒ่าคนแก่ยังคงอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีไทใหญ่ให้คงอยู่ต่อไป ในขณะที่ เด็กๆจะรับวัฒนธรรมตะวันตก ค่านิยมใหม่ๆเข้ามา ทำให้หลงลืมประเพณีดั้งเดิม มีมุมมองการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป และคนวัยทำงาน ที่ออกไปรับจ้างนอกชุมชนก็สร้างอัตลักษณ์เป็นไทย เพื่อปกป้องตนเองและเพื่อให้ได้สิทธิอันชอบธรรม กระบวนการทำวิจัยนี้ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างทีมวิจัย(ครู)กับชาวบ้านเกิดความเข้าใจและเกิดการเปลี่ยนแปลงตนเองทั้งผู้วิจัยและชาวบ้าน ได้เรียนรู้การสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกสร้างความรู้สึกเป็นตัวตนขึ้นมา การที่ครูและนักเรียนมีส่วนร่วมกันในการทำวิจัยเป็นการพัฒนาศักยภาพของตนเองและสามารถนำเรื่องราวประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญา ประเพณี และวัฒนธรรมของชุมชนมาประยุกต์นำเข้าสู่การเรียนการสอนในหลักสูตรการศึกษาได้ เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้สู่ชุมชนและคนรุ่นหลังต่อๆไปไต,ไทใหญ่,ประวัติศาสตร์ชุมชน,เชียงใหม่ตำบลม่อนปิ่ง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1634
1591รายงานการวิจัยโครงการการฟื้นฟูอัตลักษณ์การแต่งงานของคนภูไท เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน : กรณีศึกษาคนภูไทบ้านนาโด่ ตำบลนาโสก อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหารดวงมณี นารีนุช และคณะ งานวิจัยนี้ศึกษาประเพณีการแต่งงานของคนภูไท(ผู้ไทย)ที่บ้านนาโด่ ตำบลนาโสก อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ว่า “การเอ็ดปาซู” มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการจัดงาน ซึ่งส่งผลต่ออัตลักษณ์และพบว่า อัตลักษณ์ด้านประเพณีการแต่งงานที่พบนั้นมีทั้งหมด 9 อัตลักษณ์ ดังนี้<br />
1. อัตลักษณ์ด้านการแต่งกาย ทั้งนี้อัตลักษณ์ดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลง คือ จากในอดีตใส่ชุดภูไทในการแต่งงาน แต่มาในปัจจุบันก็ใส่ชุดตามสมัยนิยมของสังคม เช่น ชุดราตรี ชุดไทย เป็นต้น<br />
2. อัตลักษณ์ทางภาษา ในประเพณีการแต่งงานนั้นคนภูไทจะใช้ภาษาภูไทที่เป็นคำผญาในการจรจาสู่ขอ แต่ปัจจุบันการใช้คำผญาลดน้อยลง<br />
3. อัตลักษณ์ความแตกต่างระหว่างบทบาทของหญิงชาย ชายเป็นใหญ่ ซึ่งปัจจุบันนั้นชายหญิงมีบทบาทเท่าเทียมกัน แต่หญิงต้องให้ความเคารพชายเช่นเดิม<br />
4. อัตลักษณ์ด้านความเชื่อ เชื่อเรื่องต้นแบบ เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ<br />
5. อัตลักษณ์ในด้านการให้ความเคารพนับถือผู้ที่อาวุโส และให้ความสำคัญกับญาติพี่น้อง 6. อัตลักษณ์ด้านความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกียรติผู้อื่น<br />
7. อัตลักษณ์ด้านความกตัญญู ตอบแทนบุญคุณซึ่งกันและกัน<br />
8. อัตลักษณ์ด้านความมีสัมพันธไมตรีที่ดี<br />
9. อัตลักษณ์ด้านความสามัคคีกัน ซึ่งในปัจจุบันนั้นอัตลักษณ์เหล่านี้มีความสำคัญลดน้อยลง และการดำรงอัตลักษณ์ดังกล่าวจะซ้อนทับการดำรงอัตลักษณ์เพื่อให้สังคมยอมรับ นอกจากอัตลักษณ์ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในประเพณีการแต่งงานของคนภูไทนั้นยังมีการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ขึ้นมา เมื่อมีการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนอื่นๆ เป็นต้น<br />
จากการเปลี่ยนแปลงประเพณีการแต่งงานของคนภูไทนั้น ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงคือการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ ชุมชน สังคม อาชีพ รายได้ การศึกษา และฐานะทางสังคมของปัจเจกบุคคล การแต่งงานกับคนต่างวัฒนธรรม และการแพร่กระจายของวัฒนธรรม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลให้ขั้นตอนในประเพณีการแต่งงานมีการเปลี่ยนแปลง คือ มีขั้นตอนบางขั้นตอนเพิ่มขึ้นมา และขั้นตอนบางขั้นตอนที่เคยปฏิบัติกันมาตั้งแต่อดีตนั้นหายไป<br />
ทั้งนี้การศึกษาเพื่อหาแนวทางลดภาระค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งงานนั้น พบว่า แนวทางที่จะทำให้ชุมชนสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายได้ คือ ใช้พลังของชุมชน และใช้อัตลักษณ์และคุณค่าที่อยู่ในประเพณีการแต่งงานจูงใจให้คนในชุมชนลดค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน ซึ่งรายการที่จะสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายได้ คือ ค่าใช้จ่ายที่พ่อล่ามเลี้ยงต้อนรับคนที่ไปส่งในวันแต่งงาน ค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม ค่าเช่าชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว ค่าแต่งหน้า ค่าพิมพ์การ์ดเชิญ และค่ามหรสพ (เครื่องดนตรี อิเล็กโทน) เป็นต้นผู้ไทย,ภูไท,การแต่งงาน, ค่าใช้จ่าย, มุกดาหารตำบลนาโสก อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2552ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1591
1590รายงานการวิจัยการศึกษาภูมิปัญญามูเซอแดง บ้านหัวปาย ต.เวียงเหนือ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอนยาโพ จะตีก๋อย, ปะกู จะตีก๋อย, ไพศาล พุทธพันธ์ งานวิจัยชิ้นนี้เกิดขึ้นจากความต้องการของชุมชนในการค้นหาองค์ความรู้ต่างๆของชุมชนที่แสดงให้เห็นว่า ชุมชนบ้านหัวปายสามารถดำรงวิถีชีวิตอยู่ได้อย่างไรนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ชุมชนอยู่ในพื้นที่สูงมีข้อจำกัดในการเข้าถึงการพัฒนาขั้นพื้นฐานต่างๆ เช่น บริการด้านสาธารณสุข ไฟฟ้า การคมนาคม โอกาสทางการศึกษา จากหน่วยงานภาครัฐ แต่กลับดำเนินวิถีชีวิตอยู่รอดมาได้และยังคงสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าดั้งเดิมไว้ ดังนั้นการที่ชุมชนสามารถดำรงชีพอยู่รอดสืบต่อมาได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะต้องมีหัวใจสำคัญที่เป็นตัวชี้วัดความสุขของชุมชนนั้นก็คือ ความจำเป็นขั้นพื้นฐานหรือปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ภูมิปัญญาหรือองค์ความรู้ที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ประเพณีวัฒนธรรมและความเชื่อที่คอยควบคุมการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องเป็นไปตามกฎหมายชุมชน ระบบผู้นำตามธรรมชาติที่เข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้นำและสืบทอดภูมิปัญญา ประเพณีวัฒนธรรม และความเชื่อต่างๆ ให้สามารถดำเนินชีวิตไปได้อย่างราบรื่นตั้งแต่อดีต ถึงแม้ในปัจจุบันทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ค่อนข้างจำกัด แต่ชุมชนก็มีแนวทางในการปรับตัวในการดำเนินชีวิตเพื่อให้ชุมชนอยู่ได้ โดยไม่ทอดทิ้งวิถีแบบดั้งเดิมตามความเชื่อของบรรพชน และมีการผสมผสานสิ่งใหม่เข้ากับสิ่งเก่าได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของชุมชน (หน้า 94, 106)ลาหู่, ลาหู่ญี (มูเซอแดง), ภูมิปัญญาชาวบ้าน, ปาย, แม่ฮ่องสอนตำบลเวียงเหนือ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2556ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1590
1552วิทยานิพนธ์วัยรุ่นชาติพันธุ์ชายขอบกับการปรับตัวในเมืองเชียงใหม่ : กรณีศึกษาวัยรุ่นปกาเกอะญอจุไรพร จิตพิทักษ์ งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการศึกษาการปรับตัวของวัยรุ่ปกาเกอะญอในเมืองเชียงใหม่ ภายใต้บริบทของเศรษฐกิจและสังคม โดยเน้นไปที่การศึกษาการปรับตัวทางวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ของวัยรุ่นชายและหญิง การรวมกลุ่มหรือการสร้างกลุ่มของตนเองขึ้นใหม่ในพื้นที่เมือง และทัศนคติการใช้ชีวิตที่ได้จากมุมมองของความเป็นวัยรุ่นในหมู่บ้านกับความเป็นวัยรุ่นในเมือง โดยทำการศึกษาจาก 4 กลุ่มคน ได้แก่ นักเรียนนักศึกษา วัยรุ่นในองค์กรศาสนา วัยรุ่นในองค์กร NGOs และวัยรุ่นที่ทำงาน จากการศึกษาพบว่าวัยรุ่นทั้ง 4 กลุ่มนี้ ได้มีการสร้างยุทธศาสตร์ในการปรับตัวด้วยวิธีการเปลี่ยนชื่อ สะสมทุนทางเศรษฐกิจและการศึกษา รวมทั้งกลืนกลายเข้ากับคนส่วนใหญ่ด้วยการแต่งกาย วาทกรรมความงาม การใช้ภาษา การบริโภค และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง อาศัยสถาบันที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการในการสร้างพื้นที่ของความเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมวัยรุ่นและสังคมเมือง ส่วนความเชื่อมโยงตนเองกับสังคมบ้านเกิดนั้น เป็นไปเพื่อสร้างความยอมรับและตอกย้ำความเป็นสมาชิกให้กับตนเองในครอบครัวและสังคมบ้านเกิด ซึ่งเป็นสิ่งที่นำไปสู่การให้ความหมายแก่ตนเอง สังคม และชีวิตในอนาคต (หน้า ง)ปกาเกอะญอ , วัยรุ่นปกาเกอะญอ , กะเหรี่ยง , เชียงใหม่ตำบลเวียงเหนือ อำเภอปาย จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2553ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1552
1551วิทยานิพนธ์ธรรมจาริกกับการสร้างจิตสำนึกความเป็นไทยของชาวเขาบัณฑิต บุญศรี งานศึกษาชิ้นนี้มีเพื่อศึกษาวิธีการดำเนินงานของโครงการพระธรรมจาริก โดยโครงการนั้นทำเพื่อเผยแพร่พุทธศาสนาพร้อมๆกับการปลูกฝังจิตสำนึกความเป็นไทยลงไปแก่ชาวเขาด้วย โดยเน้นศึกษาในโครงการพระธรรมจาริกในจังหวัดเขตภาคเหนือ<br />
จากการศึกษาพบว่า วิธีการนำพระธรรมจาริกที่นำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาไปประกาศเผยแผ่และอบรมแนะนำชาวเขาที่อาศัยอยู่ตามตะเข็บชายแดนทางภาคเหนือของไทย ผ่านกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ จัดตั้งโรงเรียนสอนวิชาศีลธรรมวันอาทิตย์แก่เด็กชาวเขา จัดงานประเพณีต่างๆ ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และวันสำคัญแห่งชาติ ให้การสงเคราะห์อนุเคราะห์เกื้อกูลด้านปัจจัยการดำเนินชีวิตและสาธารณสุขแก่ชาวเขาผู้ยากไร้ จัดตั้งสถานศึกษา อบรมอาชีพ เช่น ตั้งโรงเรียนสตรีชาวเขาที่วัดวิเวกวนาราม การบรรพชาอุปสมบทหมู่ประจำปี และให้ได้รับการศึกษาทั้งสายสามัญและปริยัติธรรม เพื่อสร้างธรรมทายาท เป็นต้น<br />
กระบวนการเหล่านี้เป็นกระบวนการที่ทำให้ชาวเขาประพฤติตนเป็นพลเมืองดีและเป็นพุทธศาสนิกชนที่รู้จักบุญคุณแผ่นดินไทยที่อาศัยอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภาร พระธรรมจาริกถือว่าส่วนสำคัญยิ่งในการสร้างความเป็นไทยแก่ชาวเขา ดำเนินควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลปกาเกอญอ,ม้ง, เมี่ยน, ลาหู่ ,ลีซู ,อาข่า,พุทธศาสนาตำบลเวียงเหนือ อำเภอปาย จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2549ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1551
1486วิทยานิพนธ์People and protected areas : Impact and resistance among the Pgak’nyau (Karen) in ThailandChumpol Maniratanavongsiri เน้นการศึกษาชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติ ซึ่งได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในหมู่บ้านกะเหรี่ยง โดยเฉพาะการในเรื่องการเพาะปลูก ที่ชาวบ้านจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบของการเพาะปลูกมาเป็นการปลูกพืชเศรษฐกิจแทนการทำการเกษตรแบบถางและเผา มีการปรับเปลี่ยนการใช้ที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์มากขึ้น และมีการปรับตัวเพื่อให้ยังสามารถอาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณเดิมได้<br />
จากการศึกษาพบว่าชาวกะเหรี่ยงได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิตให้เข้ากับการอาศัยอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ มีความแตกต่างอย่างชัดเจนของหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในเขตคุ้มครองป่าที่ไม่เข้มงวดกับหมู่บ้านที่อาศัยอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติที่มีการรักษากฎอย่างเข้มงวด การเข้าถึงโครงการพัฒนาของรัฐบาลก็ทำให้คุณภาพชีวิตของชาวบ้านทั้ง 2 หมู่บ้าน แตกต่างกันเช่นกัน<br />
ชาวกะเหรี่ยงมีการปรับตัวทั้งในระดับครัวเรือน ระดับหมู่บ้าน และระดับเครือข่ายเพื่อให้ตนเองสามารถอาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมได้อย่างมีความสุข โดยมีการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายและประสานงานกับหน่วยงานภายนอกมากขึ้นเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้กับชาวกะเหรี่ยง เป็นเวทีให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างกะเหรี่ยงแต่ละหมู่บ้าน และเป็นหน่วยงานที่นำเสนอและส่งเสริมภาพลักษณ์ที่รัฐบาลและคนไทยมองชาวกะเหรี่ยงให้ไปในทางที่ดีขึ้น กะเหรี่ยง ภาคเหนือ ผลกระทบ การปรับตัวตำบลเวียงเหนือ อำเภอปาย จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2542ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1486
1485วิทยานิพนธ์Voices from the Mekong: Social Networking and Identity Negotiation in the Era of regional development in a Thai-Lao border community.ผกากรอง มากพันธ์ วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษากลยุทธ์ในการดำรงชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ช่วงปลายแม่น้ำโขงทั้งในฝั่งไทยและลาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนบ้านปากอิง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงได้เข้ามาหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากแม่น้ำโขงและเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตริมแม่น้ำของชาวบ้านอย่างมาก ทั้งจากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่ต้นน้ำของประเทศจีนและการระเบิดแก่งในแม่น้ำ ชาวบ้านต้องเผชิญกับวิกฤตขาดแคลนปลาจนต้องหากลยุทธ์ในการดำรงชีวิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง โดยชาวบ้านได้สร้างและรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างชาวบ้านด้วยกัน และพัฒนาความสัมพันธ์กับองค์กรพัฒนาเอกชนต่าง ๆ เพื่อรวมกลุ่มกันแก้ไขปัญหา เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน และเรียกร้องสิทธิของตนเองแม่น้ำโขง, บ้านปากอิง, เชียงของ, เชียงราย, การพัฒนาท้องถิ่น, โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (จีเอ็มเอส), องค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ), กลยุทธ์ในการดำรงชีวิต, อัตลักษณ์, เครือข่ายสังคม, ชุมชนชายแดนไทย-ลาวตำบลเวียงเหนือ อำเภอปาย จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2551ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1485
1484วิทยานิพนธ์Development Theory and the Ethnicity Question – The Cases of the Lao People’s Democratic Republic and ThailandAnnette Kanstrup-Jensen เน้นการศึกษาชาวม้งและอาข่าซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและลาว ในการเลือกปรับตัวให้เข้ากับประชากรส่วนใหญ่ของประเทศที่ต้องการพัฒนาสังคมให้ทันสมัย ผ่านการศึกษาระบบการศึกษาและวิธีการเรียนรู้ของทั้งในประเทศไทย ประเทศลาว และของกลุ่มชาติพันธุ์เอง ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถทำให้เปลี่ยนวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ได้<br />
จากการศึกษาพบว่าชาวม้งและอาข่ามีวิธีการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านการสอนในครอบครัวตั้งแต่เด็ก ให้เด็กค่อยๆ ซึมซับและกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม การเรียนรู้แบบนี้จึงเป็นการเรียนรู้เพื่อดำรงชีวิต ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านั้นก็ยังคงยึดหลักปฏิบัติดังกล่าวแม้ว่าปัจจุบัน ระบบการศึกษาจากภายนอกจะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้แบบดั้งเดิม เพราะชาวบ้านมีความคิดว่าความรู้จากตะวันตกนั้นจะทำให้ตนเองฉลาดขึ้น บางส่วนต้องการที่จะมีการติดต่อระหว่างชาวลาวและชาวไทยซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ในประเทศ ทำให้ความรู้ดั้งเดิมถูกมองว่าไม่มีค่า อย่างไรก็ตามพบว่ากลุ่มชาติพันธุ์ยังคงมองว่าการศึกษาหลักสูตรนอกระบบนั้นเป็นส่วนช่วยเติมเต็มการปฏิบัติตนในวิถีชีวิตประจำวันและสามารถเป็นบันไดขั้นต่อไปสู่การเรียนในระบบได้<br />
กลุ่มชาติพันธุ์มีท่าทีให้ความสนใจและพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะลังเลถึงการสูญเสียวัฒนธรรมดั้งเดิมซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่ทำให้ตนสามารถดำรงชีวิตและแสดงความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ของตนได้ หน่วยงานภายนอกจึงควรเข้าไปทำความเข้าใจถึงองค์ความรู้ที่มีอยู่ในท้องถิ่นแล้วจึงนำมาปรับใช้มากกว่าการที่จะมุ่งใช้ระบบการศึกษาและการดำเนินชีวิตแบบตะวันตกให้เข้าไปถึงกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง, อาข่า , ภาคเหนือของประเทศไทย, ประเทศลาวตำบลเวียงเหนือ อำเภอปาย จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2549ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1484
1483วิทยานิพนธ์ผลกระทบของการพัฒนาภายหลังเหตุการณ์สึนามิ พ.ศ.2547 ต่อการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์มอแกนบ้านเกาะเหลาหน้านอก จังหวัดระนองธีรศักดิ์ สุขสันติกมล งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์มอแกนบ้านเกาะเหลาหน้านอก จากอดีตจนถึงปัจจุบัน(พ.ศ.2554) และศึกษาแนวทางการพัฒนา และ ผลกระทบจากหน่วยงานภาครัฐและองค์กรภาคเอกชนภายหลังเหตุการณ์สึนามิ ปี พ.ศ.2547 ที่ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์มอแกน ซึ่งผลจากการศึกษาและวิเคราะห์พบว่า มีการสร้างชุดวาทกรรมในความพยายามควบคุมวิถีชาวมอแกน โดยภาครัฐได้ให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรมก่อนหน้า และต่อมาได้ผลักดันให้เกิดนโยบายฟื้นฟูวิถีชาวเล เพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ส่วนองค์กรพัฒนาเอกชน ได้พยายามสร้างความเป็นธรรมให้กับชาวมอแกนในฐานะความเป็นอื่น มีการหยิบยื่นอัตลักษณ์ให้กับชาว มอแกนว่าเป็นกลุ่มชนด้อยพัฒนา ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งทำให้ชาวมอแกนตกอยู่ในภาวะที่ต่ำกว่าในความสัมพันธ์เชิงอำนาจกับบุคคลภายนอก แต่ภายหลังเหตุการณ์สึนามิชาวมอแกนมีสิทธิมีเสียงต่อการเลือกรับและไม่รับต่อชุดวาทกรรมการพัฒนา ความสำนึกคิดต่อตนเองจึงมีผลต่อการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของชาวมอแกนในระยะต่อมา(หน้า ง)มอแกน , อัตลักษณ์, บ้านเกาะเหลาหน้านอก, ระนองตำบลเวียงเหนือ อำเภอปาย จังหวัดระนอง ประเทศไทย2553ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1483
1465บทความSome Reflections of Ethnic Identity of Refugee Migrants from Burma to ThailandNicholas Ford แนวคิดความเป็นชาติพันธุ์ที่แบ่งออกเป็น 2ประเภท ได้แก่ ความสัมพันธ์อันเกิดจากความเกี่ยวดองทางเครือญาติ (Primordialism) กับ ความสัมพันธ์อันเกิดจากสถานการณ์ หรือโครงสร้างทางสังคม (Situtionalism) นอกจากนั้น ยังมีการวิเคราะห์ผ่านกรอบความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในเชิงการเมือง <br />
การมองประเด็นชาติพันธุ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่างภูมิประเทศแบบเทือกเขาและพื้นราบ กับวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมและการเมือง (หน้า 40)<br />
ในเชิงประวัติศาสตร์วัฒนธรรมนั้น มีความแตกต่างมากขึ้นระหว่างวัฒนธรรมหลักของคนพื้นราบ กับวัฒนธรรมของคนกลุ่มน้อยรอบข้างพื้นที่นั้น ๆ โดยคนบนที่สูงร่วมมืออย่างหลวม ๆ ในระบบเศรษฐกิจและการเมือง ในขณะที่คนบนพื้นราบเป็นฐานสำคัญในการเกิดขึ้นของอาณาจักรและรัฐชาติร่วมสมัย ซึ่งนักวิชาการเปรียบเทียบการเกิดขึ้นของอาณาจักรในลักษณะเดียวกับระบบสุริยจักรวาลที่มีศูนย์กลางแห่งหนึ่งมากกว่าที่จะมีศูนย์กลางหลายแห่งในระบบ (หน้า 40)<br />
ธงชัย วินิจกุล (1994) อ้างว่าในยุคสมัยใหม่ซึ่งเริ่มตั้งแต่ช่วงล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก มีความพยายามที่จะจัดทำแผนที่ประเทศสยาม และมีกระบวนการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์อันคลุมเครือของชนกลุ่มน้อยที่อาศัยบนที่สูงด้วยการแบ่งเขตแดนประเทศให้ชัดเจน<br />
การปรับเขตแดนไทย-พม่าในพื้นที่ของชาวเขาบ่งชี้ให้เห็นถึงปัญหาระหว่างประชากรทั้งสองประเทศ ซึ่งกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในทั้งไทยและพม่า (หน้า 41)<br />
Yelvington (1991) กล่าวว่า อัตลักษณ์ของกลุ่มชนใด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ถูกนิยามจากสิ่งที่ไม่ใช่พวกเขา แต่นิยามผ่านสิ่งอื่น ๆ ที่ใกล้เคียง ประเด็นที่สำคัญก็อยู่ที่การอธิบายคุณลักษณะพื้นฐานของพวกเขาผ่านความเป็นสมาชิกในเชิงเปรียบเทียบและใช้เรื่องเล่า (หน้า 42)<br />
Furnivall (1958) กล่าวว่าความสัมพันธ์อันเกิดจากความเกี่ยวดองทางเครือญาติ (Primordialism) เกี่ยวข้องกับความรู้สึกพอใจภายในจากความจงรักภักดีต่อกลุ่มซึ่งฝังรากลึกทางวัฒนธรรม<br />
ขณะที่ Taylor (1987); Keyes (1979) ให้ความหมายถึงความสัมพันธ์อันเกิดจากสถานการณ์ หรือโครงสร้างทางสังคม (Situtionalism) ว่าเป็นอัตถประโยชน์เชิงเครื่องมือนำทางของการยึดเอาชาติพันธุ์จากผลประโยชน์เชิงสถานการณ์ ซึ่งส่วนมากจะถูกครอบงำโดยกลุ่มที่เหนือกว่า (หน้า 42)<br />
Eller และ Coughlan (1993) ชี้ให้เห็นว่ามีหลักฐานมากมายที่แสดงถึงการเสริมแรง และการผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่องในเรื่องอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ อันนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงและเกิดรูปแบบพหุลักษณ์ พร้อม ๆ กับระดับที่หลากหลายและการยอมรับของบุคคลเกี่ยวกับความแตกต่างทางชาติพันธุ์ (หน้า 43)<br />
David Brown (1996) สรุปว่าแนวคิดการแบ่งแยกชาติพันธุ์และความขัดแย้งในรัฐชาติ สามารถจัดประเภทได้เป็น 6 อย่าง ได้แก่ (หน้า 43)<br />
1. ชาติพันธุ์ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นรัฐชาติซึ่งมีวัฒนธรรมชนกลุ่มอิสระที่เกิดใหม่ อันส่งผลให้เกิดความเปราะบางทางการเมือง<br />
2. ลัทธิชาตินิยมทางชาติพันธุ์เป็นฐานรากให้เกิดการพัฒนาภูมิภาคอย่างไม่เท่าเทียม และเกิดอาณานิคมภายในประเทศ (Internal colonialism)<br />
3. ความขัดแย้งต่าง ๆ เกิดขึ้นในสถานที่ซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวทางเครือญาติถูกคุกคามโดยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างถิ่น<br />
4. ความขัดแย้งต่าง ๆ เกิดขึ้นเนื่องจากกิจกรรมแต่ละอย่างที่ชนกลุ่มน้อยชั้นสูง<br />
กระทำขึ้นมา<br />
5. ความขัดแย้งที่เกิดจากส่วนประกอบของทั้ง 4 ข้อรวมกัน <br />
6. แนวคิดการแบ่งแยกชาติพันธุ์มีความซับซ้อนเป็นพิเศษ เพราะเป็นปรากฎการณ์ที่ชัดแจ้งตรงหน้า แต่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นมวลสถานการณ์ที่แน่นอน<br />
<br />
ทั้งนี้ ข้อ 1-4 มีความเกี่ยวข้องต่อความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในพม่า ความสัมพันธ์ที่แบ่งแยกอย่างร้าวลึกระหว่างรัฐพม่ากับชนกลุ่มน้อยถูกทำให้แย่ลงจากการนองเลือดของชาวบ้านในเขตแดนต่าง ๆ โดยทหารพม่า (หน้า 44)ความเป็นชาติพันธุ์, ข้อขัดแย้ง ,แรงงานข้ามชาติ , ผู้อพยพลี้ภัย, พม่าตำบลเวียงเหนือ อำเภอปาย จังหวัดระนอง ประเทศไทย2555ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1465
1464ปริญญานิพนธ์พระราหู : ภาพสะท้อนความกลมกลืนทางความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวเวียงนิภาพร โชติสุดเสน่ห์ วัฒนธรรมและความเชื่อมักมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ เพื่อให้ความเชื่อเหล่านั้นดำรงอยู่ในสังคมต่อไปได้ ความเชื่อเรื่องราหูก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน โดยมีปัจจัยต่างๆที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังนี้<br />
ปัจจัยภายนอก สภาพภูมิประเทศ เศรษฐกิจและสังคม นั้นย่อมมีผลก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อชุมชนและส่งผลถึงความเชื่อเรื่องราหูได้<br />
สภาพภูมิประเทศ พ.ศ. 2504 สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้มีแผนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ ซึ่งชุมชนศีรษะทองที่เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดนครปฐมก็กลายเป็นส่วนหนึ่งแผนการพัฒนาดังกล่าว โดยเฉพาะการที่มีถนนเพชรเกษมที่ตัดผ่านชุมชนทำให้มีการคมนาคมสะดวก ส่งผลให้ชุมชนรับความเชื่อค่านิยมจากสังคมภายนอกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น<br />
สภาพสังคม สังคมไทยมีความเปลี่ยนแปลงไปมากยิ่งขึ้น และเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ ความไม่แน่นอน ความไม่พึงพอใจในชีวิตจนไม่สามารถที่จะหาทางออกให้กับตนเองได้ จนทำให้ต้องมีการพึ่งพาอำนาจที่อยู่เหนือธรรมชาติ แต่กระนั้นเองราหูกลับไม่ได้ตอบสนองเรื่องราวดังกล่าว เพราะราหูนั้นเป็นเทพเจ้าที่ช่วยเรื่องความปลอดภัยและเมตตามหานิยม จนกระทั่งใน พ.ศ. 2538เกิดสุริยุปราคาขึ้น ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นพร้อมกับถูกนำไปเชื่อมโยงกับคำทำนายทางโหราศาสตร์ และมีการเชื่อมโยงกับความเชื่อเรื่องราหูที่ทำให้เกิดปรากฎการณ์ดังกล่าวขึ้นจนเกิดการเปลี่ยนแปลงความเชื่อเรื่องราหู<br />
สื่อมวลชน ถือเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ความคิดความเชื่อเรื่องราหูของชุมชนวัดศีรษะทองแพร่กระจายไปในสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง พ.ศ. 2538 นั้น พบว่าการเผยแพร่ความเชื่อราหูทำให้เกิดสุริยุปราคาและมีการนำเสนอว่าที่วัดศีรษะทองนั้นมีความเชื่อเรื่องราหูมาอย่างยาวนาน และได้สร้างราหูองค์ใหญ่จึงเกิดความศรัทธาจากสังคมภายนอกและทำให้ความเชื่อเรื่องราหูเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน<br />
ปัจจัยภายใน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากความเชื่อภายในนั้นมีความสอดคล้องกันอย่างดีกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับโลกภายนอก ในช่วง พ.ศ. 2538 ได้เริ่มมีการริเริ่มความคิดที่จะสร้างพระราหูองค์ใหญ่ เพื่อที่จะทำให้วัดศีรษะทองมีจุดเด่นเช่นวัดอื่นๆ และเอกลักษณ์ดังกล่าวนั้นอาจจะกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้อีกด้วย กลายเป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย จนกระทั่ง พ.ศ. 2539 ที่พระราหูเสร็จนั้นได้มีการแห่รอบจังหวัดเพื่อให้ทุกคนสักการะ หลังจากนั้นเองก็มีคนจากทุกสารทิศเข้ามาเพื่อไหว้พระราหู และความเชื่อที่พระราหูเป็นเทพเจ้าที่โดดเด่นเรื่องเมตตามหานิยมและความแคล้วคลาดกลายเป็นเทพเจ้าแห่งโชคภาพ<br />
<br />
บทบาทหน้าที่ของความเชื่อหระราหู<br />
ความเชื่อเรื่องพระราหูนั้นมีบทบาทและหน้าที่ที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ความเชื่อพระราหูเปลี่ยนแปลงไปตามบทบาทที่สอดคล้องกับช่วงเวลา โดยจะกล่าวถึงต่อไปดังนี้ ในช่วงแรกชาวลาวเวียงถูกอพยพมาจากเวียงจันทร์ ความต้องการบ่งบอกถึงความเป็นชาติพันธุ์มีสูงประกอบกับความยากลำบากของการใช้ชีวิต ความเชื่อเรื่องราหูจึงเป็นสิ่งที่ตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้อย่างมี ไม่ว่าจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและความต้องการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ลาวเวียง<br />
เมื่อชุมชนลาวเวียงมีความมั่นคงแล้ว ราหูก็เป็นเรื่องราวที่ใช้เพื่อบอกเล่าความเป็นมาของชุมชน เพราะเมื่อมีการเล่าเรื่องราหูนั้นก็จะต้องมีการเล่าเรื่องราวของชุมชนศีรษะทองอีกด้วย ความเชื่อเรื่องราหูที่แตกต่างกันกับชาวไทย โดยที่ชาวลาวเวียงมองว่าราหูเป็นตัวแทนแห่งความดีนั้น ได้เปลี่ยนแปลงจากนามธรรมเป็นรูปธรรมโดยการนำมาแกะกะลาตาเดียว ได้เป็นการบ่งบอกถึงอัตลักษณ์ของชาวลาวเวียงได้อย่างดี<br />
เมื่อชาวลาวเวียงอยู่ในชุมชนร่วมกับชาติพันธุ์อื่นๆ ความเชื่อเรื่องราหูก็กลายเป็นเครื่องมือที่สร้างความกลมกลืนให้กับชุมชน เนื่องจากทุกคนนับถือความเชื่อเรื่องราหูละวัดศีรษะทองเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นราหูยังมีบทบาทในการควบคุมทางสังคม โดยมีศาสนาพุทธเป็นจุดเชื่อมกล่าวคือ หากใครทำผิดศีลธรรมก็จะทำให้ราหูลงโทษความเชื่อเรื่องราหูนั้นทำให้สถานะทางสังคมของบุคคลที่สามารถติดต่อกับพระราหูนั้นสูงส่งขึ้นไปอีกด้วย อย่างเช่นกรณีของเจ้าอาวาสที่ได้รับความนับถือจากสังคม<br />
จนเมื่อในช่วงเวลาปัจจุบันที่ความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจเกิดขึ้น ความเชื่อเรื่องราหูได้มีบทบาทในการช่วยส่งเสริมความมั่นคงทางจิตใจ กลายเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ เพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านจิตใจของชาวลาวเวียงและผู้ที่มาสักการะกราบไหว้ <br />
ความเชื่อเรื่องพระราหูนั้นได้สะท้อนให้เห็นถึงความกลมกลืนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวเวียงกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ โดยกลุ่มลาวเวียงนั้นมีความคิดความเชื่อเรื่องราหูที่แตกต่างจากกลุ่มคนไทย ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไป เกิดการรวมชาติมีการแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์จนไม่ได้มีความแตกต่างทางชาติพันธุ์ ความเชื่อเรื่องราหูของชาวลาวเวียงก็ยังคงแพร่กระจายไปยังกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆอีกด้วย<br />
หากคิดถึงการรวมกลุ่มชาติพันธุ์ของชาวลาวเวียงกับชาวลาวครั่งที่จังหวัดสุพรรณบุรีนั้นปรากฏว่ามีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สำหรับชาวลาวเวียงนั้นพบว่ากลุ่มชาติพันธุ์ลาวเวียงที่เป็นชนกลุ่มน้อยกลับมีการเผยแพร่ความเชื่อค่านิยมให้กับชนกลุ่มใหญ่ได้ คือความเชื่อที่ว่าพระราหูเป็นเทพเจ้า จากที่ชาติพันธุ์อื่นๆมองว่าเป็นมาร แตกต่างจากกลุ่มลาวครั่งที่เป็นฝ่ายรับวัฒนธรรมมากกว่าและถูกกลืนไปในที่สุด<br />
หากคิดถึงการกลมกลืนทางวัฒนธรรมอาจจะเป็นความกลมกลืนที่ไม่ได้มีความสมบูรณ์แบบ เนื่องจากยังมีคนที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมรับว่าการนำพระราหูมาบูชาในเชิงพานิชย์นั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ดังนั้นจึงเลือกที่จะเชื่อความเชื่อพระราหูในแบบเดิมต่อไป แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่ความเชื่อราหูกระแสใหม่นั้นจะได้รับความนิยมจนกระทั่งกลายเป็นความกลมกลืนทางวัฒนธรรมอย่างสมบูรณ์แบบไปเช่นกัน และเมื่อใดก็ตามที่ความเชื่อเรื่องราหูไม่สามารถที่จะตอบสนองความต้องการทางจิตใจของผู้คนในสังคมได้ก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงความเชื่อดังกล่าวอย่างแน่นอนลาวเวียง, พระราหู ,การกลมกลืนทางวัฒนธรรม, นครปฐมตำบลศรีษะทอง อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1464
1463บทความDifferential Utilization of Health Care Services among Ethnic Groups on the Thailand-Myanmar Border: A case study of Kanchanaburi Province, ThailandJian Hu, Chai Podhisita เน้นการศึกษาถึงการเข้าถึงบริการทางด้านสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรีโดยการทำแบบสำรวจทางสถิติเก็บข้อมูลแล้วนำมาวิเคราะห์ให้เห็นถึงความแตกต่างของการเข้าถึงการบริการทางด้านสุขภาพระหว่างประชากร 3 กลุ่มคือคนไทย กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดในไทย และกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพมาจากต่างประเทศ<br />
จากการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่สำคัญส่งผลต่อกาเข้าถึงบริการทางด้านสุขภาพคือการมีประกันสุขภาพ การมีสถานพยาบาลที่สามารถเดินทางไปได้ ความสะดวกในการเดินทางและประเภทของหมู่บ้านสำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งที่เกิดในไทยและอพยพมาจากต่างประเทศในจังหวัดกาญจนบุรี<br />
นอกจากนั้นปัจจัยอื่นเช่นการสามารถใช้ภาษาไทยได้หรือการนับถือศาสนาพุทธก็เป็นปัจจัยเสริมในคนที่สามารถเข้ารับบริการทางด้านสุขภาพได้ แต่ชนเผ่านั้นไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ จากปัจจัยทั้งหมด ส่งผลให้คนไทย เป็นกลุ่มคนที่เข้าถึงบริการทางด้านสุขภาพได้มากที่สุด ในขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพมาจากต่างประเทศนั้นเข้าถึงบริการทางด้านสุขภาพน้อยที่สุด ซึ่งจากการสำรวจพบว่าหากแก้ไขให้ทุกคนได้รับปัจจัยเหล่านี้ใกล้เคียงกันแล้วนั้น ประชากรทุกคนจะสามารถเข้าถึงและได้รับบริการทางด้านสุขภาพอย่างเท่ากัน กลุ่มชาติพันธุ์ , การเข้าถึงบริการทางสุขภาพ ,ชายแดนไทยพม่า, กาญจนบุรีตำบลศรีษะทอง อำเภอนครชัยศรี จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2551ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1463
1457รายงานการวิจัยการเคลื่อนย้าย การตั้งถิ่นฐาน และการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตด้าน เศรษฐกิจของชาวดาระอั้งในอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่นนทวรรณ แสนไพรพัฒนาการการเคลื่อนย้าย และการตั้งถิ่นฐานของชาวดาระอั้งในอำเภอเชียงดาว<br />
<br />
ชาวดาระอั้งย้ายถิ่นฐานมาจากรัฐฉานและรัฐคะฉิ่นประเทศพม่า เข้ามาในประเทศไทยในช่วง พ.ศ. 2511 เนื่องจากปัญหาทางการเมืองคือลี้ภัยสงคราม มาอยู่ที่บ้านนอแล ซึ่งเป็นการย้ายมาอยู่ชั่วคราว<br />
<br />
เมื่อบ้านนอแลมีประชากรชาวดาระอั้งจำนวนมาก ที่ดินทำกินและอัตราการจ้างงานไม่เพียงพอ จึงเกิดการย้ายถิ่นฐานขึ้นอีกโดย ย้ายมาอยู่ในอำเภอเชียงดาว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีที่ดินทำกินมากพอและมีภูมิประเทศเหมาะสมแก่การอยู่อาศัยมากกว่า และมีการจ้างงานในภาคเกษตรเป็นจำนวนมาก โดยเริ่มมีการย้ายมาอยู่ในหย่อมบ้าน แม่จร บ้านปางแดงใน บ้านห้วยปง บ้านปางแดงนอก ตามลำดับ<br />
<br />
การย้ายถิ่นของชาวดาระอั้งนั้นมีลักษณะไม่ตายตัว ชาวดาระอั้งบ้านแม่จรมีลักษณะการย้ายถิ่นโดยตรง ในขณะที่บ้านปางแดงในมีการย้ายถิ่นแบบผลักดันส่วนบ้านห้วยปงมีการย้ายถิ่นแบบเป็นขั้นตอนและบ้านปางแดงนอกมีการย้ายถิ่นแบบแทนที่ โดยการย้ายถิ่นของดาระอั้งในแต่ละหมู่บ้านแม้ว่าจะมีความแตกต่างกัน แต่ลักษณะการย้ายถิ่นจะไม่มีรูปแบบที่ตายตัว เพราะจะมีรูปแบบการย้ายถิ่นอื่นๆ แฝงอยู่ด้วย (นนทวรรณ แสนไพร, 2554:137)<br />
<br />
ปัจจัยที่มีอิทธิในการย้ายถิ่นและการต้องถิ่นฐานของชาวดาระอั้งที่มีความสำคัญที่สุดนั่นคือ ปัจจัยเรื่องกายภาพ ปัจจัยที่ดินทำกินเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด หากดูจากการศึกษาพบว่าปัจจัยเรื่องที่ดินทำกินนั้นอยู่ในลำดับความสำคัญลำดับที่ 1 ใน 3 ของชาวดาระอั้งในทุกๆหมู่บ้าน<br />
<br />
ส่วนบ้านปางแดงนอกเป็นหมู่บ้านเดียวที่ไม่มีปัจจัยดังกล่าวอยู่ใน3 อันดับแรก แต่มีปัจจัยทางด้านวัฒนธรรมเข้ามามีความสำคัญสูงสุด โดยมีปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การจ้างงาน เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอันดับที่ 2ของการตัดสินใจย้ายถิ่นฐานและตั้งถิ่นฐานทุกๆหมู่บ้าน<br />
<br />
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตด้านเศรษฐกิจของชาวดาระอั้งในอำเภอเชียงดาวชาวดาระอั้งนั้นมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงและแตกต่างในช่วงเวลาทั้งสาม โดยช่วงเวลาแรกนั้น ชาวดาระอั้งมีวิถีการผลิตเพื่อการยังชีพยังไม่ได้มีความเข้มข้น จำนวนประชากรก็ยังคงมีจำนวนน้อย การเพาะปลูกแบบไร่หมุนเวียนโดยพักหน้าดิน 3-4ปี ยังเป็นวิถีการผลิตหลักที่ยึดถืออยู่ ช่วงเวลาที่ สอง เปลี่ยนจากการผลิตแบบไร่หมุนเวียนเพื่อการยังชีพมาเป็นการปลูกพืชเชิงพานิช เช่น งา ข้าวโพด โดยเลิกพักหน้าดิน 3-4 ปี เปลี่ยนมาเป็นการพักหน้าดินเพียง 1 ปี เท่านั้น เป็นต้น ส่วนช่วงเวลาที่ 3 เป็นช่วงเวลาที่เริ่มมีรายได้จากการท่องเทียวอย่างเป็นระบบ มีการใช้ที่ดินอย่างเข้มข้นมากขึ้น ถือว่าเป็นยุคที่มีชีวิตเป็นทุนนิยมมากขึ้นดาระอั้ง,การเคลื่อนย้าย, การตั้งถิ่นฐาน, เชียงใหม่ตำบลศรีษะทอง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2554ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1457
1456รายงานการวิจัยนโยบายรวมพวกชาวเขากับเอกลักษณ์ประจำเผ่า : ศึกษาเชิงวัฒนธรรมการเมืองพิมล แสงสว่าง “นโยบายรวม”หมายถึง นโยบายของรัฐบาลที่นำมาใช้กับชาวเขา โดยยอมรับว่า ชาวเขา คือคนไทยที่จะต้องได้รับการพัฒนาทั้งทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและอื่นๆ เพื่อให้ชาวเขาสามารถปรับตัว เข้าเป็นส่วนหน่งสของสังคมไทย เป็นพลเมืองไทย มีคุณภาพชีวิตที่พึ่งตนเองได้<br />
เป้าหมายของนโยบายรวมพวก คือ การพัฒนาให้ชาวเขาเป็นพลเมืองไทย สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ในภาพรวมพบว่า กรมประชาสงเคราะห์ประสบผลสำเร็จในการปรับเปลี่ยนรูปแบบทางเศรษฐกิจของชุมชนชาวเขาหลายแห่ง ปัจจุบันเด็กชาวเขามีโอกาสเรียนหนังสือในโรงเรียนของรัฐมากขึ้น ชาวเขามีการประกอบอาชีพอื่นๆที่ไม่ใช่เกษตรกรรม เช่น เดินทางไปรับจ้าง ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายรวมพวกของรัฐ เมี่ยน, ม้ง ,ลาฮู่ ,ลีซู ,อาข่า ,นโยบายรวมพวก, เชียงรายตำบลศรีษะทอง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1456
1451วิทยานิพนธ์Between two selves : politics of identity and negotiation of rights for Kayan refugees in Mae Hong Son Province, ThailandDavid Ranger Lawitts เน้นการศึกษาถึงความเป็นอยู่และมุมมองของชาวกะเหรี่ยงคอยาวที่ได้ลี้ภัยเข้ามาอาศัยในประเทศไทย แต่กลับตกอยู่ในสถานะเครื่องมือเพื่อการท่องเที่ยวของจังหวัดและไม่ได้รับอิสระในการเคลื่อนย้าย ทำให้ชาวกะเหรี่ยงรุ่นใหม่ที่ได้รับการศึกษาเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการใส่ห่วงทองเหลือง<br />
<br />
จากการศึกษาพบว่าชาวกะเหรี่ยงที่อพยพมาอยู่ในประเทศไทยอยู่ในการควบคุมของนักธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิด ได้รับเงินเดือนจากการเปิดหมู่บ้านให้นักท่องเที่ยว ทำให้เกิดการส่งเสริมเด็กรุ่นใหม่ให้ใส่ห่วงทองเหลืองเพิ่มขึ้นจากเหตุผลหลายประการโดยเฉพาะเหตุผลทางเศรษฐกิจ แต่สำหรับเด็กรุ่นใหม่จะมองว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้หนีออกจากการถูกควบคุมของธุรกิจการท่องเที่ยวได้ และเปลี่ยนความคิดจากการมองว่าห่วงทองเหลืองเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมชนเผ่าเป็นว่าห่วงทองเหลืองเป็นเครื่องมือที่ใช้ควบคุมชาว Padaung และทำให้ตนเองไม่ได้รับสิทธิเท่ากับคนอื่น เช่นการขออพยพไปยังประเทศที่ 3 เป็นต้น ทำให้ในปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่มีการถอดห่วงทองเหลืองเพิ่มขึ้นคะยัน,กะจ๊าง, แลเคอ, ปะด่อง, กะเหรี่ยงคอยาว, การท่องเที่ยว, ผู้อพยพ, แม่ฮ่องสอนตำบลศรีษะทอง อำเภอเชียงดาว จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2551ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1451
1445วิทยานิพนธ์ศักยภาพและแนวทางในการพัฒนาชุมชนไตหย่า หมู่บ้านน้ำบ่อขาวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมว่าที่ร้อยตรี กริช สอิ้งทอง การศึกษาศักยภาพในการพัฒนาชุมชนไตหย่าหมู่บ้านน้ำบ่อขาวเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ใน 3 ประเด็นหลักคือ สิ่งดึงดูดใจ การเข้าถึง และสิ่งอำนวยความสะดวกของชุมชน พบว่า ชุมชนไตหย่า หมู่บ้านน้ำบ่อขาว มีทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่โดดเด่น คือ การทำนากก การทอเสื่อกก และวิถีชีวิตไตหย่า ชุมชนไตหย่ามีความศรัทธาในคริสตศาสนาโปรเตสแตนท์จึงมีการจัดงานสืบเนื่องกับศาสนาอยู่ตลอด เช่น งานวันคริสต์มาส งานวันอีสเตอร์ ซึ่งมีส่วนในการเพิ่มศักยภาพในการท่องเที่ยวของวัฒนธรรมของชุมชน<br />
ด้านการเข้าถึงหมู่บ้าน พบว่า นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าถึงหมู่บ้านได้โดยสะดวก ในชุมชนมีสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า น้ำดื่มน้ำใช้ แต่ยังขาดห้องสุขา โทรศัพท์สาธารณะ ที่พักแรม ร้านจำหน่ายของที่ระลึก ร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม และศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากคนในชุมชนและรัฐ ไตหย่า, วัฒนธรรม, การท่องเที่ยงเชิงวัฒนธรรม, เชียงรายตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1445
1444วิทยานิพนธ์การรับคริสต์ศาสนากับการปรับตัวทางวัฒนธรรม : กรณีศึกษาชุมชนอาข่า ในอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงรายสรินยา กิจประยูร เนื้อหางานเขียนเกี่ยวกับการเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ของอาข่าที่อยู่ในพื้นที่กรณีศึกษาของหมู่บ้านต่างๆในตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ว่าอาข่าในชุมชนที่ศึกษามีการผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมเข้ากับความเชื่อทางศาสนาคริสต์ที่เปลี่ยนมานับถือใหม่อย่างไรและการนับถือศาสนาคริสต์มีผลต่อความเป็นอยู่และความเชื่อของอาข่าอย่างไร โดยในงานเขียนได้ให้รายละเอียดตั้งแต่การเข้ามาเผยแพร่ศาสนาของครูสอนศาสนาคริสต์ และการปรับเปลี่ยนทางความเชื่อเมื่อมานับถือศาสนาคริสต์แล้ว และได้นำเสนอกรณีที่อาข่าเกิดปัญหาด้านต่างๆ เช่น ไม่สบาย หรือพืชผลที่ปลูกให้ผลผลิตไม่มาก ว่าอาข่านำความเชื่อดังเดิมมาปรับใช้กับการนับถือศาสนาคริสต์อย่างไรและมีปัญหาความขัดแย้งด้านความเชื่อหรือไม่อาข่า,ศาสนาคริสต์, ความเชื่อดั้งเดิม, การปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรม, เชียงรายตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1444
1442วิทยานิพนธ์ความเป็นจีนตามนิยามของผู้มีเชื้อสายจีนในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลกเกษวดี พุทธภูมิพิทักษ์ งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการนิยามความเป็นจีน ของผู้มีเชื้อสายจีนในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยการศึกษาผ่านประวัติศาสตร์ทางการเมืองและเงื่อนไขของเวลาที่ค่อยๆสร้างกระบวนการปรับตัวและการสร้างความหมายให้กับตนเองในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ในการศึกษาจะเริ่มตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงสมัยจอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งการแสดงออกถึงความเป็นจีนของแต่ละกลุ่มที่อ้างอิงตนเองจากด้านต่างๆของสังคมที่ต่างกันออกไปนั้น ทำให้ความเข้มข้นของสำนึกในความเป็นจีนของพวกเขามีความยืดหยุ่นและเลื่อนไหลไปตามการรับรู้ความเป็นจริงภายนอกในช่วงเวลาขณะนั้น สำนึกต่อความเป็นจีนของชาวจีนพิษณุโลกในสมัยต้นรัตนโกสินทร์อยู่ในสถานะตัวแปรทางเศรษฐกิจที่ดีในฐานะแรงงาน โดยชาวจีนได้เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับชนชั้นศักดินาไทย มีการแสดงออกถึงความเป็นจีนโดยปกติทั่วไป และรับเอาความเป็นไทยในด้านการอ้างอิงตำแหน่งทางศักดินา ในสมัยรัชกาลที่ 5 ถึง รัชกาลที่ 6 เริ่มตั้งแต่มีระบบมณฑลเทศาภิบาลเข้ามาในพิษณุโลกนั้น ทำให้ผู้ที่ประสงค์จะเป็นไทย ต้องเข้ารับราชการและเรียนหนังสือไทย ซึ่งพบคำอธิบายสำนึกความเป็นจีนของตนเอง ไปสัมพันธ์อ้างอิงกับตระกูลในยุคที่ได้เป็นตัวแทนหรือรับราชการจากอำนาจรัฐ ส่วนในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น ก็ได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์การปฏิวัติประชาชาติจีนในปี พ.ศ.2454 ที่ทำให้ชาวจีนกลับมามีสำนึกระลึกถึงบ้านเกิดเมืองนอนมากขึ้น เช่น การก่อตั้งโรงเรียนจีน เป็นต้น เมื่อมาถึงยุคสมัยของจอมพลป. พิบูลสงคราม ความเป็นจีนด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ทำให้ยากต่อการติดต่อกับทางราชการ จึงทำให้พวกเขาลดบทบาทของความเป็นจีนลง ด้วยการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายแบบไทย การเปลี่ยนชื่อ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการสร้างชาตินิยมให้กับรัฐไทย และเมื่อมาถึงยุคสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ความเป็นจีนถูกหวาดระแวงด้วยความเป็นคอมมิวนิสต์ ประกอบกับการนิยามตนเองเพียงเพื่อตอบรับระบบเศรษฐกิจแบบเสรี ทำให้บทบาทของความเป็นจีนบางประการในด้านอื่นลดลง แต่ในขณะเดียวกันนี้เองที่มีความไม่เท่าเทียมในกลุ่มชาวจีนด้วยกันเองเกิดขึ้น จึงเริ่มเกิดการให้คำนิยามเพื่อตอบโต้ความไม่เท่าเทียมนี้ด้วยการกล่าวถึงภูมิหลังความยากลำบาก เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีของกลุ่ม อีกทั้งมีบางกลุ่มที่พยายามผนวกตนเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ความเป็นจีนด้วยบริบททางการเมือง และนอกเหนือจากการนิยามในระดับต่างๆของกลุ่มผู้มีเชื้อสายจีนกลุ่มสำคัญที่ต่างกันแล้วไปตามกาลเวลาแล้ว ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆในระดับปัจเจกบุคคลที่สร้างความแตกต่างออกไปด้วยจีน , คำนิยามความเป็นจีน , เมืองพิษณุโลก , จีนพิษณุโลก , ผู้มีเชื้อสายจีน , จีนในไทย , จีนสยาม , อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลกตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดพิษณุโลก ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1442
1441ปริญญานิพนธ์เครื่องดนตรีชาวเขาเผ่าลีซอ : กรณีศึกษา “ซือบึ” บ้านเพชรดำ ตำบลเขาค้อ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์เฉลิมกิต เข่งแก้ว โดยสภาพทั่วไปของหมู่บ้านเพชรดำ ตำบลเขาค้อ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ลีซอบ้านเพชรดำได้มีการโยกย้ายถิ่นฐานมาจากที่ต่างๆ เช่นทางภาคเหนือของไทย โดยได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการไทยให้ตั้งถิ่นฐานบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นที่ๆ อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเกษตร โดยในที่ตั้งดังกล่าวทางภูมิศาสตร์ทางทิศใต้ได้มีอาณาเขตติดต่อกับม้ง ทำให้เกิดวัฒนธรรมที่หลากหลาย ส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมของ ลีซอเอง ในด้านสังคมลีซอเป็นครอบครัวเดี่ยว ชายทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว การปกครองหมู่บ้านเป็นทั้งแบบผสมผสานระหว่างประเพณีดั้งเดิมกับการปกครองท้องถิ่นของไทย โดยในทางความเชื่อส่วนใหญ่นับถือผีมีบ้างที่นับถือศาสนาคริสต์ และดำรงชีพด้วยการประกอบการเกษตรเป็นหลัก<br />
นอกจากนี้ลีซอยังมีเครื่องดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของตน เช่น ซือบึ ซึ่งใช้ในงานรื่นเริง และงานพิธีกรรมต่างๆ โดยซือบึเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ในสังคมลีซอมาช้านาน และไม่มีประวัติความเป็นมาต้นกำเนิดที่แน่ชัด (หน้า 490-494) โดยบทเพลงของซือบึ ซึ่งถูกถ่ายทอดออกมาเป็นวัฒนธรรมทางดนตรีนั้น ได้แสดงออกถึงความสอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของลีซอโดยเฉพาะวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรมของลีซอและค่านิยมต่างๆ ในสังคม เพราะดนตรีเป็นผลผลิตของวัฒนธรรมในทางสังคม ดนตรีจึงเป็นสิ่งสะท้อนภาพลักษณ์และเอกลักษณ์ของความเป็นสังคมนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี<br />
นอกจากนั้นซือบึยังมีหน้าที่ในด้านต่างๆ ทางสังคม เช่น ใช้ในการประกอบพิธีกรรม ใช้บรรเลงในงานรื่นเริง งานเฉลิมฉลองต่างๆ และเป็นเครื่องช่วยในการเสริมสร้างความสมัครสมานสามัคคีในสังคมลีซออีกด้วย<br />
(หน้า 502-504)ลีซู, ซือบึ, ดนตรี, เพชรบูรณ์ตำบลเขาค้อ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1441
1440บทความข่าบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ ข่าในอดีตมีบทบาทในการเป็นข้าทาสรับใช้เจ้าลาวแต่โบราณ ส่วนพวกข่าม้อยในเวียดนามอยู่ในดินแดนนี้มากว่า 5,000 ปี ก่อนที่พวกจามเข้ามาอยู่ในเวียดนามตอนกลาง และก่อนที่ไทยและลาวจะอพยพลงมาจากจีนตอนใต้ หากถือภาษาเป็นเกณฑ์แบ่งตระกูลแล้ว ข่าเม่ดกับข่ามุ และข่าอื่น ๆ ถือเป็นคนละตระกูล แต่มีถ้อยคำตรงกันหรือคล้ายคลึงกันอยู่หลายคำ แต่ภาษาของข่าเม่ดจัดอยู่ในตระกูลมอญ-เขมรเช่นเดียวกับพวกข่ามุและละว้า ข่ามุพูดภาษาข่ามุ ซึ่งแตกต่างจากพวกข่าอื่น ๆ เล็กน้อย เมื่อเข้ามาอยู่ในไทยนานเข้าก็พูดภาษาไทยภาคเหนือได้ ข่าถินหรือไผ่ ภาษาคล้ายพวกข่ามุและละว้า จัดอยู่ในตระกูลมอญ-เขมร<br />
<br />
เมื่อข่าเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ส่วนใหญ่มักแต่งกายและสร้างบ้านเรือนตามอย่างชาวชนบททางภาคเหนือ ข่าที่อยู่อาศัยห่างไกลออกไปตามป่าลึกยังคงรักษาขนบธรรมเนียม การแต่งกาย การสร้างบ้านเรือนและวิถีชีวิตแบบข่าในประเทศลาวไว้ ส่วนข่าที่เข้ามาทำงานในไทยมักปกปิดว่าตนเป็นข่า แต่จะเรียกตนเองว่า "ไทยใหม่" ข่ารอบเมืองหลวงชอบให้เรียกตนเองเป็น "ลาวเทิง" หรือ "ชาวลาวบน" ข่ามุที่เข้ามาเป็นแรงงานรับจ้าง เมื่อมาอยู่นานเข้าก็ปรับเปลี่ยนการแต่งกาย และการดูแลรักษาสุขภาพอนามัยดีขึ้น ทั้งยังพูดภาษาถิ่นนั้น ๆ ได้ จากเดิมที่เคยนับถือผีตามความเชื่อดั้งเดิมก็หันมานับถือศาสนาพุทธและคริสต์ แต่ไม่สร้างวัดวาอารามไว้ในหมู่บ้านขมุ,วิถีชีวิต,ความเชื่อ,การตั้งถิ่นฐาน,แรงงานรับจ้าง,การอพยพ,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตำบลเขาค้อ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1440
1430วิทยานิพนธ์Politics of identity and articulations of belonging: a transnational Kachin community in northern ThailandSeng-Maw Lahpai เน้นการศึกษาถึงความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของชาวคะฉิ่นในบ้านใหม่สามัคคี จังหวัดเชียงใหม่ ที่รวมกันตั้งชุมชนชาวคะฉิ่น ดำรงชีวิตอยู่ใต้ความดูแลของโครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และวิถีชีวิตของชาวคะฉิ่นภายในประเทศไทย<br />
<br />
จากการศึกษาพบว่าชาวคะฉิ่นในบ้านใหม่สามัคคีไม่จัดอยู่ในกลุ่มชาวเขาแต่ก็ไม่ได้รับสิทธิ์ในการเป็นพลเมืองของประเทศไทยเช่นกัน ชาวคะฉิ่นจึงเป็นเพียงกลุ่มวัฒนธรรมกลุ่มหนึ่งในอำเภอเชียงดาว ที่ดำรงชีวิตด้วยการทำเกษตรกรรมปลูกพืชเศรษฐกิจตามนโยบายของโครงการฯ แม้จะไม่ได้รับสิทธิ์ในการถือครองที่ดินหรือเคลื่อนย้ายออกนอกพื้นที่ก่อนได้รับอนุญาต และการรับจ้างทำงานนอกพื้นที่ แต่ชาวคะฉิ่นก็มีการรวมกลุ่มและมีเครือข่ายติดต่อหลายช่องทางเพื่อรับความช่วยเหลือและ แก้ปัญหา เช่น เรื่องการขอสัญชาติ เป็นต้น ทั้งกับรัฐคะฉิ่นในประเทศพม่า เครือข่ายทางศาสนาคริสต์และหน่วยงาน NGO<br />
<br />
นอกจากนั้น ชาวคะฉิ่นยังสามารถนำวัฒนธรรมของตนมาใช้เป็นเครื่องมือส่งเสริมการท่องเที่ยวและการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ และเชื่อมโยงความเป็นคะฉิ่นจากบ้านเกิดมายังที่อยู่อาศัยปัจจุบันคะฉิ่น,บ้านใหม่สามัคคี, วิถีชีวิต, ความสัมพันธ์, เชียงใหม่ตำบลเขาค้อ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2550ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1430
1429วิทยานิพนธ์Commoditization of Culture and Tourism Development in an Ethnic Community: A Case study of the Long-Necked Kayan in Mae Hong Son ProvincePhone Myint Oo เน้นการศึกษาถึงความเป็นอยู่และมุมมองของชาวคะยัน(กะเหรี่ยงคอยาว)ที่ได้ลี้ภัยเข้ามาอาศัยในประเทศไทย แต่กลับตกอยู่ในสถานะเครื่องมือเพื่อการท่องเที่ยวของจังหวัดและไม่ได้รับอิสระในการเคลื่อนย้าย ทำให้ชาวกะเหรี่ยงรุ่นใหม่ที่ได้รับการศึกษาเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการใส่ห่วงทองเหลือง<br />
<br />
จากการศึกษาพบว่าชาวกะเหรี่ยงที่อพยพมาอยู่ในประเทศไทยอยู่ในการควบคุมของนักธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิด ได้รับเงินเดือนจากการเปิดหมู่บ้านให้นักท่องเที่ยว ทำให้เกิดการส่งเสริมเด็กรุ่นใหม่ให้ใส่ห่วงทองเหลืองเพิ่มขึ้นจากเหตุผลหลายประการโดยเฉพาะเหตุผลทางเศรษฐกิจ แต่สำหรับเด็กรุ่นใหม่จะมองว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้หนีออกจากการถูกควบคุมของธุรกิจการท่องเที่ยวได้ และเปลี่ยนความคิดจากการมองว่าห่วงทองเหลืองเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมชนเผ่าเป็นว่าห่วงทองเหลืองเป็นเครื่องมือที่ใช้ควบคุมชาวปะด่อง และทำให้ตนเองไม่ได้รับสิทธิเท่ากับคนอื่น เช่นการขออพยพไปยังประเทศที่ 3 เป็นต้น ทำให้ในปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่มีการถอดห่วงทองเหลืองเพิ่มขึ้นคะยัน กะจ๊าง ,ปะด่อง ,กะเหรี่ยงคอยาว ,แลเคอ ,กะเหรี่ยง,แม่ฮ่องสอน, การท่องเที่ยวตำบลเขาค้อ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2552ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1429
1424วิทยานิพนธ์Indigenous knowledge edification of soil , water and forest resources among the Kaloeng ethnic group.Chantachon, Songkoonการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ความรู้และการถ่ายทอดภูมิปัญญาพื้นที่บ้านในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรดิน น้ำ ป่าไม้ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเลิงบ้านกุดแฮด ตำบลกุดบาก อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร <br />
<br />
ในอดีตภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์กะเลิงจัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติค กลุ่มมอญ-เขมร แต่ปัจจุบันใช้ภาษากลุ่มไท-ลาว มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อพยพเข้าสู่ประเทศไทยสำคัญ 2ครั้งคือ ในสมัยรัชกาลที่ 3เมื่อกองทัพไทยยกทัพเข้าตีลาวในศึกเจ้าอนุวงศ์ พ.ศ.2367-2394และในสมัยรัชกาลที่ 5เมื่อกองทัพไทยเข้าปราบฮ่อในลาว พ.ศ.2426-2430 กะเลิงได้เข้าไปอาศัยอยู่ในเทือกเขาภูพานจังหวัดสกลนคร ใช้ชีวิตความเป็นอยู่แบบพึ่งพิงธรรมชาติ มีความเชื่อว่าผีดูแลทรัพยากรธรรมชาติและอาจลงโทษผู้ที่ล่วงเกินผี ขณะเดียวกันก็เชื่อในพุทธศาสนาด้วย <br />
<br />
กะเลิงมีองค์ความรู้ของภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการใช้ประโยชน์ทรัพยากรดิน น้ำ ป่าไม้ ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับการเก็บของป่าล่าสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ การนำไม้จากป่ามาสร้างที่อยู่อาศัย การทำไร่หมุนเวียน การทำนา การทำฝายกั้นน้ำ และการจับสัตว์น้ำในแหล่งน้ำของชุมชน ในการถ่ายทอดภูมิปัญญาด้านการใช้ประโยชน์ทรัพยากรดิน น้ำ ป่าไม้ กะเลิงบ้านกุดแฮดใช้ระบบย่อยของโครงสร้างสังคมที่มีหน้าที่ให้การถ่ายทอดโดยตรง ได้แก่ ระบบครอบครัวและเครือญาติ และใช้ระบบย่อยของโครงสร้างสังคมด้านอื่นช่วยให้การศึกษาโดยอ้อม <br />
<br />
สำหรับวิธีการถ่ายทอดภูมิปัญญาพื้นบ้านใช้วิธีผ่านทางพิธีกรรม ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง ผ่านหลักคำสอนในพุทธศาสนา ผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ผ่านนิทานพื้นบ้าน ผ่านการลองผิดลองถูก ผ่านจารีตกฎเกณฑ์ข้อห้าม และผ่านครูพักลักจำ ซึ่งผลจากการถ่ายทอดทำให้เกิดการ อนุรักษ์และการอยู่ร่วมกับทรัพยากรดิน น้ำ ป่าไม้ของชุมชนอย่างยั่งยืน (บทคัดย่อ หน้า V)กะเลิง,ภูมิปัญญาพื้นบ้าน, การถ่ายทอดความรู้,การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ, สกลนครตำบลกุดบาก อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2544ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1424
1423วิทยานิพนธ์Shan on the Move: Negotiating identities through spatial practices among Shan Cross-Border migrants in Northern ThailandSachiko Yasuda เป็นการศึกษาถึงการต่อรองเพื่อสร้างจุดยืน ฐานะทางสังคมและอัตลักษณ์ของชาวไทใหญ่พลัดถิ่นที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตามชายแดนไทย– พม่า และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ทั้งทางด้านการเมืองและสังคมของชาวไทใหญ่พลัดถิ่น <br />
<br />
จากการศึกษาพบว่าชาวไทใหญ่พลัดถิ่นมีการรวมกลุ่มกันอยู่ภายใต้วิถีชีวิต หลักปฏิบัติทางศาสนาและประสบการณ์พลัดถิ่นที่เหมือนกัน แม้ว่าการที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยนั้นจะมีกฎระเบียบบังคับและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยเฉพาะทางด้านการเมือง แต่ชาวไทใหญ่พลัดถิ่นก็ยังสามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมของตนเองได้ และสามารถนำมาใช้แสดงจุดยืนของตนในสังคมไทยอีกด้วย ซึ่งการปฏิบัติตนเหล่านี้รวมถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่เช่นโทรทัศน์และวิทยุต่างก็เป็นสื่อในการทำให้ชาวไทใหญ่ยังคงผูกพันกับบ้านเกิดของตนในรัฐฉานไต คนไต ไตโหลง ไตหลวง ไตใหญ่,ภาคเหนือ, ความเป็นอยู่,อัตลักษณ์ตำบลกุดบาก อำเภอกุดบาก จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2551ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1423
1422วิทยานิพนธ์Community and Identities : The Politics of Place of the Lisu in Northern ThailandJoseph R. Rickson เป็นการศึกษาถึงการเมืองและสังคมความเป็นอยู่ของชาวลีซูในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ที่ต้องต่อสู้กับหน่วยงานภาครัฐในเรื่องของสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของที่ดิน และสิทธิ์ในการอาศัยอยู่ในที่ตั้งชุมชนดั้งเดิมของตน และผลกระทบของการจำกัดขอบเขต จัดสรรดินแดนและทรัพยากรต่อเอกลักษณ์ของผู้ที่อาศัยในพื้นที่<br />
<br />
จากการศึกษาพบว่าชาวลีซูมีการรวมตัวกันเป็นหมู่บ้าน ชุมชน และรวมกันเป็นเครือข่ายเพื่อเคลื่อนไหวต่อสู้ เรียกร้องจากภาครัฐทั้งในเรื่องโฉนดที่ดิน และมุมมองของคนไทย ที่มักจะมองว่าชาวลีซูและชาวเขาเป็นผู้ทำลายป่าไม้ แต่ที่จริงแล้ว พวกเขาก็สามารถใช้ภูมิปัญญารักษาป่าไม้ได้เช่นกัน มีการเล่าถึงความเป็นอยู่ของชาวลีซูและความเป็นลีซูที่มีลักษณะแตกต่างจากชนกลุ่มอื่นรวมถึงสภาพปัจจุบันของชาวลีซูที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมลีซู,การต่อสู้,วิถีชีวิต,บ้านไทรงาม, แม่ฮ่องสอนตำบลแม่นาเติง อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2548ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1422
1408วิทยานิพนธ์แรงงานต่างชาติ : ศึกษากรณีกะเหรี่ยงหลบหนีเข้าเมือง อำเภอแม่สอด จังหวัดตากเฉลิมศักดิ์ แหงมงาม งานวิจัยชิ้นนี้มุ่งศึกษาปัญหาแรงงานต่างชาติ กรณีศึกษาแรงงานกะเหรี่ยง ชนกลุ่มน้อย สัญชาติพม่า ที่หลบหนีเข้ามาในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ของประเทศไทย ซึ่งประเด็นสำคัญในการศึกษา ได้แก่ ปัญหาการแย่งอาชีพพื้นฐานของแรงงานไทย ปัญหาการเปรียบเทียบคุณภาพแรงงานกะเหรี่ยงกับแรงงานไทย และผลกระทบที่อาจเป็นปัญหาต่อความมั่นคงของประเทศไทย เรื่องอำเภอแม่สอดสูญเสียเงินตราออกนอกประเทศ และเรื่องการเสียภาพพจน์ของประเทศไทยในสายตาของต่างชาติ จากการเข้ามาทำงานด้านงานบริการทางเพศของแรงงานกะเหรี่ยงสัญชาติพม่า โดยมีการสำรวจและสัมภาษณ์ความคิดเห็นของกลุ่มนักธุรกิจภาคเอกชน กลุ่มข้าราชการประจำ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักการเมืองท้องถิ่น และกลุ่มแรงงานไทย รวมถึงศึกษาวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานกะเหรี่ยงในประเทศไทย เรื่องสภาพความเป็นอยู่ ลักษณะของการลักลอบเข้ามาทำงาน การดำเนินชีวิต วิถีทางในการประกอบอาชีพและลักษณะของงาน โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ กลุ่มแรงงานกะเหรี่ยงสัญชาติพม่า<br />
<br />
จากการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์และสังเกตการณ์เป็นหลัก พบว่า มีแรงงานกะเหรี่ยงชนกลุ่มน้อยสัญชาติพม่าลักลอบเข้ามาทำงานในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นจำนวนมาก แรงงานกะเหรี่ยงที่หลบหนีเข้าเมืองมาทำงานนั้น จะมีทั้งกรณีที่หนีภัยสงครามมาอยู่ที่ศูนย์แรกรับผู้อพยพก่อนจะหางานทำต่อไป และกรณีที่หนีภัยความยากจน ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจในพม่า แรงงานกะเหรี่ยงเหล่านี้ส่วนใหญ่เดินทางมาจากเมืองผาอัง เมืองหลวงของรัฐกะเหรี่ยง โดยชาวกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ที่เข้ามาหางานทำจะอยู่ในวัยหนุ่มสาวจะรับทำงานประเภทกรรมกร งานรับจ้างในไร่ในสวน งานโรงงานอุตสาหกรรม งานร้านอาหาร และงานเด็กรับใช้ภายในบ้าน เป็นต้น ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ ,คะยัน กะจ๊าง,คะยาห์ กะเรนนี บเว,โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู ,กะเหรี่ยง, ปัญหาแรงงานต่างชาติ, แรงงาน,ชนกลุ่มน้อย, แม่สอด, ตากตำบลแม่นาเติง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1408
1407วิทยานิพนธ์การดำรงอัตลักษณ์ของชุมชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือมงคล พนมมิตร งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาการดำรงอัตลักษณ์ของชุมชนกลุ่มน้อยและศึกษาเงื่อนไขที่เกี่ยวกับการดำรงอัตลักษณ์ของชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือโดยเน้นศึกษาถึงกระบวนการดำรงอัตลักษณ์ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง พบว่าชุมชนกลุ่มน้อยบ้านห้วยเฮี๊ยะ หมู่ 8 ต. ปางมะผ้า อ. ปางมะผ้า จ. แม่ฮ่องสอน พบว่ามีหลายอัตลักษณ์ ได้แก่ อัตลักษณ์ดั้งเดิม การแต่งกาย ภาษา ประเพณี และอัตลักษณ์นามธรรม เช่น การให้ความเคารพผู้อาวุโสและทรัพยากร การช่วยเหลือแบ่งปัน เป็นมิตร และอัตลักษณ์ตามสมัยนิยมที่เปลี่ยนตามยุคสมัย ผู้วิจัยพบว่าแต่ละอัตลักษณ์จะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน แต่ล้วนมีกระบวนการสำคัญ 3 กระบวนการ คือ<br />
1. มีความคิดเรื่องความเป็นปึกแผ่นของชุมชน<br />
2. มีกลไกของชุมชน<br />
3. มีวิธีการสร้างการเรียนรู้เพื่อให้เห็นถึงคุณค่าของการดำรงรักษาอัตลักษณ์ของชนเผ่า ทำให้ชุมชนห้วยเฮี๊ยะสามารถดำรงรักษาอัตลักษณ์ของชุมชนไว้ได้ คนในชุมชนมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันลาหู่,ลาหู่ดำ, บ้านห้วยเฮี๊ยะ, แม่ฮ่องสอน, อัตลักษณ์, การเปลี่ยนแปลงตำบลปางมะผ้า อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2551ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1407
1406บทความCulture, Identity and conflict in Asia and Southeast AsiaAurel Croissant, Christoph Trinn เป็นการศึกษาเกี่ยวกับปัญหา สาเหตุ และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในภูมิภาคเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยใช้การวิเคราะห์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและนำมาสรุปผล พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นภายในภูมิภาคเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่เป็นปัญหาทางวัฒนธรรมที่ประกอบไปด้วยหัวข้อย่อย คือ ภาษา ศาสนา และประวัติศาสตร์ของชนเผ่า ซึ่งพบว่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีปัญหาทางวัฒนธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นในหลายประเทศ แต่สถานการณ์ภายในประเทศอินโดนีเซีย ไทย และพม่า ยังคงความรุนแรงต่อเนื่อง ในขณะที่ประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์มีการออกมาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นและประสบผลสำเร็จเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ไทย, พม่า, มาเลเซีย,อินโดนีเซีย ความขัดแย้ง, ชนเผ่าตำบลปางมะผ้า อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2552ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1406
1405บทความThe subgrouping of KarenKen Manson เป็นการศึกษาถึงวิธีการออกเสียงและการพัฒนาการออกเสียงของภาษากะเหรี่ยงกลุ่มต่างๆ เพื่อนำมาแบ่งภาษากะเหรี่ยงออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ตามความใกล้ชิดกัน<br />
<br />
จากการศึกษาพบว่าภาษากะเหรี่ยงสามารถแบ่งย่อยได้เป็น 4 กลุ่ม คือ peripheral ประกอบด้วย Pa’O และ Pwo แสดงถึงเสียงหยุดก่อนเริ่มต้นคล้ายการสำลัก กลุ่ม Northern ประกอบด้วย Kayan, Lahta, Yinbawและ Yintale มีการรวมกันของเสียงสุดท้ายที่ขึ้นจมูกและการรวมกันของเสียงพยางค์สุดท้ายกับเสียงของสระเสียงยาว กลุ่ม Central ประกอบด้วย (Kayah, Bwe, Geba) มีเสียงสระสูงกว่ากลุ่มอื่น และกลุ่ม Southern ประกอบด้วย (Sgaw, Luce’s Paku, Palaychi, Dermuha) มีการรวมกันของเสียงสุดท้ายที่ขึ้นจมูกคะยัน กะจ๊าง, คะยาห์ กะเรนนี บเว,โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู กะเหรี่ยง , ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง, ภาษา, ภาษาศาสตร์, วิธีการออกเสียงตำบลปางมะผ้า อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2554ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1405
1401วิทยานิพนธ์Space of resistance and Place of Local Knowledge in Northern Thai Ecological MovementPrasert Trakansuphakon (ประเสริฐ ตระการศุภกร) เป็นการศึกษาเรื่องวิธีการเคลื่อนไหวด้านนิเวศของชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือ โดยเฉพาะกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ เพื่อต่อสู้กับนโยบายของภาครัฐโดยใช้วัฒนธรรมและประเพณีของตนเป็นเครื่องมือในการต่อสู้<br />
จากการศึกษาพบว่าชาวปกาเกอะญอได้นำประเพณีและวัฒนธรรมของตนมาเป็นเครื่องมือหลักในการต่อสู้กับผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า ทั้งทางตรงและทางอ้อม ผ่านทางการเล่าเรื่องและ hta ที่สามารถแปลความหมายโดยนัยถึงสถานการณ์ที่ตนกำลังเผชิญอยู่ เพื่อให้เป็นแนวทางแก้ไขหรือเพื่อเสริมสร้างกำลังใจ โดยมีกลุ่มผู้นำการเคลื่อนไหวซึ่งมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายเป็นผู้เลือกมาเล่าหรือขับร้องและแปลความหมาย โดยการเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากชาวปกาเกอะญอต้องการจะแสดงให้เห็นว่าตนไม่ใช่กลุ่มที่ทำลายป่าไม้แต่ในทางกลับกัน เป็นกลุ่มที่สามารถอยู่ร่วมกับป่า และปกป้องป่าไม้ได้ อีกทั้งเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ในที่ดินของตนที่ถูกรัฐบาลประกาศว่าเป็นพื้นที่สงวนอีกด้วยปกาเกอะญอ, ป่าไม้,ภาคเหนือ นิเวศ ,การเคลื่อนไหว,วัฒนธรรม, การต่อรองตำบลปางมะผ้า อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2550ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1401
1400วิทยานิพนธ์วิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อมของผู้สูงอายุชาวเขาเผ่าลีซอที่มีอายุยืนยาวธัญชุลี เข็มเพ็ชร เป็นการศึกษาเรื่องวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อมของผู้สูงอายุชาวเขาเผ่าลีซอทั้งในอดีตและปัจจุบัน ด้วยการสัมภาษณ์ สังเกตและสนทนากับผู้สูงอายุชาวลีซอ <br />
จากการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุชาวลีซอส่วนใหญ่ยังคงมีวิถีชีวิตแบบเดิมเหมือนในอดีต มีการเปลี่ยนแปลงมาใช้เงินเป็นหลักมากขึ้น ทำให้ผู้สูงอายุบางรายเกิดความเครียด กลัวไม่มีเงิน และกลัวลูกหลานทอดทิ้ง แต่พบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่สามารถปรับตัวได้อย่างดี ส่วนใหญ่มีสุขภาพแข็งแรงจากการรับประทานอาหารแบบดั้งเดิมและดื่มชา และออกกำลังกายโดยการทำไร่ ออกกำลังกายโดยการทำงานบ้านและเดินเล่น เข้านอนแต่หัวค่ำ ตื่นนอนเช้าตรู่ และนอนพักหลังมื้อเที่ยงลีซู,ผู้สูงอายุ, วิถีชีวิต, สิ่งแวดล้อม, อายุยืน, แม่ฮ่องสอนตำบลสบป่อง อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2551ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1400
1395วิทยานิพนธ์สังคมและวัฒนธรรมในอุษาคเนย์ปราณี วงษ์เทศ หนังสือเล่มนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อใช้ในการประกอบการสอนวิชาชาติพันธุ์วิทยาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บนผืนแผ่นดินใหญ่ จุดประสงค์ของวิชานี้เพื่อต้องการให้เข้าใจภูมิหลังของอุษาคเนย์อย่างกว้างๆ ในเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรมของคนในภูมิภาคนี้ ซึ่งส่งผลให้เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่มีความเหมือนและแตกต่างกัน และหนังสือเล่มนี้ยังได้เน้นการใช้แนวคิดทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมเป็นกรอบในการศึกษา สำหรับเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้จะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้<br />
ส่วนที่ 1 กล่าวถึงแนวคิดทฤษฎีวิวัฒนาการทางศาสนาของ Robert Bellahที่ได้นำมาใช้อธิบายเรื่องพัฒนาการของสังคมวัฒนธรรมในอุษาคเนย์ เพื่อให้สามารถมองภาพรวมของพัฒนาการทางสังคมของอุษาคเนย์ได้อย่างกว้างๆ และเพื่อให้เข้าใจถึงสถานภาพของสังคมไทยกับสังคมโลกได้ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับสังคมอื่นๆ ทั้งในและนอกภูมิภาค และสังคมตะวันตก<br />
ส่วนที่ 2 กล่าวถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน ของกลุ่มชนชั้นดั้งเดิมและชนเผ่าในอาคเนย์ เพื่อเป็นการให้ภูมิหลังด้านความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนพื้นที่สูงกับกลุ่มคนพื้นราบที่มี<br />
วิถีชีวิตแตกต่างกัน แต่มีความสัมพันธ์ต่อกันมาโดยตลอด จนมาถึงช่วงที่ถูกอิทธิพลของลัทธิล่าอาณานิคมเข้าแทรกแซง ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาชนกลุ่มน้อยและการเรียกร้องสิทธิทางชาติพันธุ์<br />
ส่วนที่ 3 กล่าวถึงการพยายามทำความเข้าใจระบบความเชื่อดั้งเดิมก่อนที่จะได้รับอิทธิพลจากศาสนาภายนอก ของชาวอุษาคเนย์ ด้วยการมองผ่านพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์<br />
พิธีศพ และความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษของขมุ<br />
ส่วนที่ 4 กล่าวถึงการพยายามทำความเข้าใจถึงความสำนึกทางชาติพันธ์ของกลุ่มชนต่างๆ ที่มีต่อตนเองและเพื่อนบ้าน ด้วยการมองผ่านตำนาน นิทานปรัมปราคติ ที่สะท้อนให้เห็นถึงการผสมรวมกันด้านวัฒนธรรมและเชื้อชาติของคนในภูมิภาคนี้ (คำนำ)สังคม,วัฒนธรรม,อุษาคเนย์ตำบลสบป่อง อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1395
1393วิทยานิพนธ์การดำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวไทดำ บ้านหัวถนน ตำบลดอนพุทรา อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐมจตุพล ทองสกลวิทยานิพนธ์เล่มนี้เป็นการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา และบริบทชุมชนของชาวไทดำ การดำรงอัตลักษณ์ของชาวไทยดำที่มีเงื่อนไขต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้อง จากประสบการณ์การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆและการเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ไทดำ โดยเน้นศึกษาเรื่องการดำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวไทดำเป็นหลัก โดยผู้วิจัยได้นำข้อมูลเบื้องต้น<br />
มาใช้เป็นแนวทางในการศึกษาด้วยการแบ่งการศึกษาเรื่องการดำรงอัตลักษณ์ของชาวไทดำในพื้นที่เป็น 3 รูปแบบ คือ<br />
1. การดำรงอัตลักษณ์โดยทั่วไปในรอบปี<br />
2. การดำรงอัตลักษณ์ในรูปแบบพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน<br />
3. การสนับสนุนการดำรงอัตลักษณ์จากหน่วยงานราชการและโรงเรียนลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ ไทดำ, การดำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์, ดอนตูม, นครปฐมตำบลสบป่อง อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2553ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1393
1392รายงานการวิจัยกระบวนการจัดการของภาครัฐต่อหมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาวในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนวรศักดิ์ พานทองการขยายตัวของชุมชนและประชากรกะเหรี่ยงคอยาวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีสาเหตุสำคัญจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจการเมืองของประเทศพม่า และปัจจัยด้านนโยบายด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่นำชาวกะเหรี่ยงคอยาวมาเป็นสัญลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัด (หน้า ง-จ,64-65 )<br />
<br />
อย่างไรก็ดี ระบบการจัดการของรัฐต่อชุมชนกะเหรี่ยงคอยาวในฐานะผู้ลี้ภัยสงครามยังขาดประสิทธิภาพในการใช้เครื่องมือและกลไกการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับสภาพการณ์จริงในพื้นที่ โดยเฉพาะผลการดำเนินโครงการ “หมู่บ้านอนุรักษ์วิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง(ปะด่อง) เพื่อความมั่นคงจังหวัดแม่ฮ่องสอน” (หน้า 65-70) ซึ่งผู้ศึกษาให้ข้อเสนอแนะว่า ภาครัฐควรทำการศึกษาและเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหากะเหรี่ยงคอยาวอย่างจริงจัง รวมถึงต้องมีการกำหนดนโยบาย และผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน มีการบังคับใช้กฎหมายและ<br />
กฎระเบียบอื่นๆ อย่างเคร่งครัดและเป็นธรรม (หน้า 70-74)กะเหรี่ยงคอยาว, กะยัน,ปะด่อง,แม่ฮ่องสอนตำบลสบป่อง อำเภอดอนตูม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2554ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1392
1391วิทยานิพนธ์การเมืองเรื่องพื้นที่ของตลาดชาวเขากับยุทธศาสตร์การปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์: กรณีศึกษาลาหู่เชเล (มูเซอดำ) บนดอยมูเซอ ตำบลแม้ท้อ อำเภอเมือง จังหวัดตากสุรเดช ลุนิทรานนท์การศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวลาหู่บนพื้นที่สูงดอยมูเซอของจังหวัดตากกับกลุ่มทางสังคมต่างๆ (ภาครัฐ,กลุ่มชาวม้ง,กลุ่มชาวลีซอ,กลุ่มคนไทย) ในพื้นที่ตลาดของกลุ่มชาติพันธุ์ดอยมูเซอ เชื่อมโยงความเกี่ยวข้องกับพื้นที่ทำกิน (การปรับเปลี่ยนรูปแบบและวัฒนธรรมการเพาะปลูก) และพื้นที่หมู่บ้านภายใต้บริบทความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ หลังจากภาครัฐเข้ามาดำเนินโครงการพัฒนาเพื่อจัดการการใช้พื้นที่ พร้อมกับส่งเสริมการท่องเที่ยว พบว่า บริบทของการท่องเที่ยวเอื้อให้ชาวลาหู่เชเลบนดอยมูเซอ มีโอกาสทางเศรษฐกิจในพื้นที่ตลาดอยู่มาก ขณะที่การปรับตัวตามบริบทความเปลี่ยนแปลงสะท้อนความพยายามต่อสู้ดิ้นรนของชาติพันธุ์เพื่อดำรงอยู่ได้ในพื้นที่ทางสังคม ตัวตนทางชาติพันธุ์ถูกนำเสนอเพื่อหวังผลเป็นความจูงใจทางการตลาดมากกว่าบ่งบอกอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์<br />
<br />
ผู้วิจัยสรุปสาระสำคัญในเชิงอธิบายเป็นข้อค้นพบไว้ 4 ประเด็นคือ<br />
1) การปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์บนดอยมูเซอ ภายใต้วาทกรรมการพัฒนาและการอนุรักษ์ของภาครัฐมีความแตกต่างหลากหลาย ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรและการสร้างเครือข่ายของกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 162-164)<br />
2) ความสัมพันธ์ของกลุ่มทางสังคมต่างๆ ในพื้นที่ตลาดดอยมูเซอเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจ (หน้า 164)<br />
3) ในบริบทการค้าขาย อัตลักษณ์ความเป็นชาติพันธุ์ถูกนำเสนอเพื่อหวังผลทางการตลาด <br />
4) ในมุมมองของชาวลาหู่มองว่า“ตลาดชาวเขาดอยมูเซอ” เป็นพื้นที่ของความมั่นคงในการดำรงอยู่ของตนเองบนดอยมูเซอนี้ (หน้า 165) ลาหู่,ลาหู่เชเล,มูเซอดำ,ตลาดชาวเขา,ดอยมูเซอ ,ตำบลแม้ท้อ ,อำเภอเมือง,ตากตำบลแม่ท้อ อำเภอเมือง จังหวัดตาก ประเทศไทย2553ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1391
1390วิทยานิพนธ์การจัดการความรู้ของหมอพื้นบ้านชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอตำบลบ้านจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่สุรินทร วงศ์คำแดงศึกษาถึงเรื่องการจัดการความรู้ของหมอพื้นบ้านของชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอ ซึ่งประกอบไปด้วยหมอไสยศาสตร์ หมอสมุนไพร และหมอตำแย ผ่านการลงพื้นที่สัมภาษณ์ สังเกตและสนทนากับหมอพื้นบ้านและชาวบ้านที่มารักษา<br />
<br />
จากการศึกษาพบว่า หมอพื้นบ้านส่วนใหญ่ได้รับการถ่ายทอดความรู้จากบรรพบุรุษหรือผู้อาวุโส แต่ในการถ่ายทอดนั้น หมอพื้นบ้านไม่มีการรวมกลุ่มกันอย่างชัดเจน ไม่มีการถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นระบบ แต่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน โดยการรักษานั้นจะเน้นผสมผสานระหว่างความเชื่อ ประพณีและวัฒนธรรมของชนเผ่า นอกจากนั้นยังพบว่าเนื่องจากความเจริญ<br />
ที่เข้ามาสู่ชุมชนทำให้คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยสนใจวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ทำให้การสืบทอดความรู้อาจหายไปในอนาคตปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,การจัดการความรู้,หมอพื้นบ้าน,บ้านจันทร์,เชียงใหม่ตำบลบ้านจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2550ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1390
1389วิทยานิพนธ์Shan Ethnic Food: The Cultural Politics of taste in Chiang Mai cityBusarin Lertchavalitsakul(บุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล)ศึกษาถึงเรื่องอาหาร รสนิยม และวัฒนธรรมทางการกินของชาวไทใหญ่ที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ภายในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแสดงถึงการเมืองเชิงวัฒนธรรมที่แสดงออกผ่านทาง<br />
การรับประทานอาหาร ผ่านการสัมภาษณ์ชาวไทใหญ่ที่อพยพเข้ามาทำงานในประเทศไทย และชาวไทใหญ่ที่ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการให้ได้มาซึ่งวัตถุดิบในการทำอาหาร<br />
<br />
จากการศึกษาพบว่า ชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยยังคงยึดติดกับอาหารของตน เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้นึกถึงบ้านเกิดและเผ่าของตน จึงต้องหาแหล่งวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารซึ่งมีชาวไทใหญ่ด้วยกันเป็นผู้จัดจำหน่าย นอกจากการเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทใหญ่ที่มาทำงานแล้ว อาหารไทใหญ่ยังเป็นพื้นที่เชื้อเชิญให้ชาวต่างชาติทดลองสัมผัสกับวัฒนธรรมของไทใหญ่ผ่านอาหาร ทำให้มีผู้ค้าชาวไทใหญ่จำนวนหนึ่งเลือกที่จะเปิดร้านอาหารหรือแผงขายในถนนคนเดิน เพื่อกลุ่มลูกค้าประเภทนักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่ต้องการจะลองอาหารที่แปลกจากของตนไต คนไตไตโหลงไตหลวง ไตใหญ่,อาหาร ,เชียงใหม่,รัฐฉานตำบลบ้านจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2552ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1389
1387วิทยานิพนธ์Marginalization and Negotiating Ethno-Space in Development Among Baduy People of Banten Province, IndonesiaRonny Mucharamศึกษาเรื่องการต่อรองทางชาติพันธุ์ของชาวบาดุย จังหวัดบันเติน ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อการรักษาวัฒนธรรมและวิถีความเป็นอยู่แบบเดิมของตนในขณะที่มีนโยบายพัฒนาพื้นที่ชายขอบจากรัฐบาลของประเทศอินโดนีเซีย โดยใช้การลงพื้นที่ สัมภาษณ์ และศึกษาเอกสารต่างๆ ก่อนหน้าที่จะประกาศตั้งเป็นประเทศนั้นบริเวณที่เป็นประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบันเคยถูก<br />
หลากหลายกลุ่มคนเข้าครอบครองโดยเริ่มแรกสุดเป็นยุคของอาณาจักรต่างๆก่อนที่ชาวต่างชาติจะเข้ามายังค้าขายและปกครองบริเวณนี้ซึ่งได้แก่ โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และญี่ปุ่น ซึ่งนโยบายและรูปแบบการปกครองก็แตกต่างกันออกไปภายหลังจากการประกาศตั้งประเทศแล้วนั้นก็ได้มีรัฐบาลขึ้นมาปกครองหลายรัฐบาลแต่ที่สำคัญคือการวางแผนพัฒนาประเทศในระยะสั้นและระยะยาวของประธานาธิบดี Suharto ซึ่งก่อให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจมากมายและมีการอพยพย้ายถิ่นฐานของประชากรเพื่อขยายพื้นที่ทำกินซึ่งจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้มีชาวบาดุยส่วนหนึ่งที่เลือกย้ายไปยังบริเวณนอบนอกของชุมชนบาดุยได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินบริเวณนั้นจากทางรัฐบาลทำให้กลายเป็นการขยายพื้นที่ของชุมชนบาดุยออกไป (บทที่ 3)<br />
<br />
ในประเทศอินโดนีเซียชาวชวาถือเป็นชนกลุ่มใหญ่ของประเทศจึงมีสถานะทางสังคมที่เหนือกว่าชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ซึ่งก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและการเมืองโดยเฉพาะกับคนที่อาศัยอยู่บนเกาะที่ห่างไกลจากเมืองหลวงก่อนหน้านี้ชนกลุ่มน้อยถือเป็นกลุ่มคนที่รัฐบาลมองว่าเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของประเทศ แต่ในปัจจุบันหลังจากการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศกลับพบว่าชนกลุ่มน้อยเหล่านี้มีรายได้ที่มากขึ้นทำให้ได้รับอภิสิทธิ์ในการปกครองพื้นที่ของตนเองมากขึ้นและมีส่วนร่วมในการวางแผนพัฒนาบริเวณของตนเอง (หน้า 54)<br />
<br />
ปัญหาที่ชาวบาดุยกำลังเผชิญนอกจากการถูกจัดให้เป็นพื้นที่ชายขอบแล้วนั้นการที่ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ชาวบาดุยต้องพยายามหาแหล่งรายได้เพิ่มเติมเนื่องจากว่าที่ดินที่มี<br />
ยังคงเท่าเดิมเพื่อเลี้ยงชีพภายในครอบครัวให้ได้เท่าเดิม (หน้า 73)<br />
<br />
นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังดินแดนของบาดุยจำเป็นจะต้องไปที่ KadukengJaro เพื่อขอลงทะเบียนก่อนที่จะเดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านอื่นของบาดุยนักท่องเที่ยวที่เดินทางเป็นกลุ่มต้องมีหนังสืออนุญาตจากสำนักงานการท่องเที่ยวก่อนที่จะเดินทางมายังบาดุยโดยการตัดสินใจให้เข้าหรือไม่เป็นหน้าที่ของ JaroPamarentah (หน้า 103) พื้นที่บาดุยในไม่เปิดให้กับ<br />
นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่แต่สำหรับกลุ่มเล็กหรือผู้ที่เดินทางมาคนเดียวหากได้รับอนุญาตจาก Jaro ก็สามารถเดินทางเข้าไปได้ซึ่งโดยปกติจะมีผู้ที่เข้าไปเยี่ยมชมเขตบาดุยในประมาณวันละมากกว่า 10 คนในระหว่างสัปดาห์ และอาจมากถึง 30 คนในช่วงสุดสัปดาห์ (หน้า 103)<br />
<br />
จากการศึกษาพบว่า ชาวบาดุยมีวิถีชีวิตของตนตามหลักคำสอนของบรรพบุรุษที่ยึดถือกันเรื่อยมาและไม่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง ภายในชุมชนจึงมีการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือบาดุยนอก มีเพื่อใช้เป็นตัวปรับและกรองวัฒนธรรมภายนอกก่อนที่จะเข้าถึงส่วนใน และบาดุยในที่ยังคงรักษาและยึดถือขนบธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลประกาศให้หมู่บ้านบาดุยเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ทำให้สถานะของบาดุยจากตอนแรกที่เป็นชุมชนชายขอบที่รัฐบาลต้องการพัฒนา การเป็นมีความสำคัญมากขึ้น เพราะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมมาก ทำให้บาดุยมีอำนาจในการต่อรองกับรัฐบาลในการอธิบายให้เข้าใจและเคารพถึงวัฒนธรรมของตน แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของชาวบาดุยที่จะชนเผ่าของตนเองอยู่ได้ แม้ว่าการปกครองภายนอกจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก็ตามชาวบาดุย,จังหวัดบันเติน, อินโดนีเซีย, การต่อรองทางชาติพันธุ์, การพัฒนาตำบลบ้านจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดJawa Barat ประเทศอินโดนีเชีย2550ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1387
1380รายงานการวิจัยผลการศึกษารวบรวมข้อมูลด้านชาติพันธุ์วิทยาในประเทศ (เล่ม2)นิตยา กนกมงคลผู้จัดทำได้รวบรวมความรู้เพื่อจัดทำแหล่งเรียนรู้ด้านศิลปะวัฒนธรรมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกาญจนาภิเษก ในปีงบประมาณ 2548 ที่ได้ให้มีการจัดแสดงเนื้อหาด้านชาติพันธุ์วิทยาในประเทศไทย ในหัวข้อเรื่อง “คนไทยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” โดยกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยมีจำนวนมากกว่า 40 กลุ่มที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมระหว่างกัน ดังนั้นการแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้จึงใช้ภาษาเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง เนื่องจากภาษาเป็นเอกลักษณ์สำคัญ และด้วยสาเหตุที่ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงเสมอมา ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์มีการกระจายไปอยู่<br />
ทั่วทุกภูมิภาค ซึ่งในงานศึกษาสามารถจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์แต่ละภูมิภาคได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิม และกลุ่มที่อพยพเข้ามากูย กวย,คะแมร์ลือ,ชอง,ไทเบิ้ง ไทยเดิ้ง,พวน ไทพวน, มอญ ,ลาวครั่ง, ลาวแง้ว, ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ, ชาติพันธุ์,วิถีชีวิตตำบลบ้านจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดJawa Barat ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1380
1379หนังสือ“ไทดำ” เมืองแถง “ทรงดำ”ถิ่นสยาม จากหนองแฮด ถึง หนองปรงบุญยงค์ เกศเทศหนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมความรู้และนำเสนอเรื่องราวของกลุ่มชาติพันธุ์ไทดำ ไททรงดำ หรือลางโซ่ง ในแง่มุมต่างๆของการดำรงชีวิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมและวัฒนธรรม ทั้งทางด้านภาษา วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรมและศาสนาของของชาวไทดำ พบว่า ผู้ไท หรือ ไทดำ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน แต่ถูกเรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น<br />
ขณะที่อยู่เมืองแถง เรียกว่า ผู้ไท แต่เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ในสยามก็จะถูกเรียกชื่อต่างๆออกไป อาทิ ไทดำ ไททรงดำ โซ่ง ลาวโซ่ง ซ่ง เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามในสำนึกของแต่ละคนล้วนเข้าใจตรงกันว่าเป็น “ผู้ไท”ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ, สิบสองจุไท , หนองแฮด, หนองปรง, เพชรบุรีตำบลหนองปรง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2554ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1379
1378วิทยานิพนธ์ผลกระทบของการจัดการทรัพยากรป่าของรัฐไทยต่อการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของชาวดาระอั้ง หมู่บ้านปางแดงนอก จังหวัดเชียงใหม่ธีรัช สีหะกุลังวิทยานิพนธ์เล่มนี้เป็นการนำเสนอผลกระทบของการจัดการทรัพยากรป่าของรัฐไทยต่อการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของชาวดาระอั้ง หมู่บ้านปางแดงนอก จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านคดีความบุกรุกป่าสงวน เพื่อสะท้อนให้เห็นการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ดาระอั้งหมู่บ้านปางแดงนอก<br />
<br />
ผลการศึกษาพบว่า ชาวดาระอั้งหมู่บ้านปางแดงนอกปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ผ่านการเปลี่ยนการนับถือศาสนา ชาวบ้านบางส่วนยังคงนับถือศาสนาพุทธควบคู่กับความเชื่อเรื่องผี และพยายามสร้างการต่อรองเรื่องการจัดการทรัพยากรด้วยการทำฝายปะหล่อง ส่วนอีกกลุ่มเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนความคิดและวิถีการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับการนับถือศาสนาคริสต์ และสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงกับคริสตจักรภายในจังหวัดเชียงใหม่<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าดาระอั้ง บ้านปางแดงจะมีการนับถือศาสนาที่แตกต่างกัน แต่ก็มีความพยายามที่จะธำรงอัตลักษณ์ความเป็นดาระอั้งอยู่ดาระอั้ง ดาระอาง ดาละอั้ง ปะหล่อง, การจัดการทรัพยากรป่าไม้, อัตลักษณ์, บ้านปางแดงนอก, เชียงใหม่ตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2551ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1378
1377วิทยานิพนธ์พิธีเจ้าเซ็น(อาชูรอ): อัตลักษณ์และการธำรงชาติพันธุ์ของมุสลิมนิกายชีอะห์ในสังคมไทยธีรนันท์ ช่วงพิชิตการวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ นำเสนอเรื่องราวของชาวไทยมุสลิมนิกายชีอะห์ในประเทศไทย หรือที่ในเอกสารประวัติศาสตร์กล่าวถึงในชื่อ แขกเจ้าเซ็น หรือ แขกเทศ ในปประเด็นการดำเนินชีวิตในสังคมกรุงเทพมหานคร โดยผ่านพิธีเจ้าเซ็น ในมิติทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรม<br />
<br />
จากการศึกษา พบว่า พิธีเจ้าเซ็น มีบทบาทในการสร้างอัตลักษณ์ สร้างความสัมพันธ์ ความเป็นเครือญาติ และสำนึกร่วมในความเชื่อ ความศรัทธาทางศาสนาอย่างเดียวกัน รวมหมู่เพื่อสร้างความเข้มแข็งของความเป็นแขกเจ้าเซ็น และแสดงพื้นที่และตัวตนของกลุ่มมุสลิมนิกายชีอะห์ในสังคมไทย (บทคัดย่อ)พิธีแขกเจ้าเซ็น, การธำรงชาติพันธุ์, ไทยมุสลิม,นิกายชีอะห์ตำบลแขวงวัดอรุณ อำเภอเขตบางกอกใหญ่ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2551ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1377
1369วิทยานิพนธ์คติความเชื่อและภูมิปัญญาซึ่งสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐาน ผังหมู่บ้าน และบ้านเรือนของชุมชนชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทยอรรถรัตน์ ฆะสันต์วิทยานิพนธ์เล่มนี้เป็นการนำเสนอคติความเชื่อและภูมิปัญญาซึ่งสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐาน ผังหมู่บ้านและบ้านเรือนของชุมชนชาติพันธุ์ลัวะ 3 พื้นที่ในจังหวัดน่าน<br />
<br />
ผลการศึกษาพบว่า ชาวลัวะมีความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมและมีบางส่วนเปลี่ยนแปลงรูปแบบการตั้งถิ่นฐาน ซึ่งเป็นผลมาจากการอพยพหนีการปราบปรามคอมมิวนิสต์ การเปลี่ยนแปลงผังหมู่บ้านมีผลให้เกิดการขยายตัวของจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ พื้นที่ทำเกษตร การถูกจำกัดพื้นที่และความเชื่อในการเลือกพื้นที่ปลูกเรือนเป็นสำคัญ<br />
<br />
ด้านสถาปัตยกรรมมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาพสังคมภายนอก ค่านิยม ความเชื่อเรื่องการสร้างเรือนบางข้อที่เฉพาะจงจงเกินไป ในบางพื้นที่ก็จะละเว้น ทำให้บางความเชื่อบางพิธีกรรมเลือนลางหายไปในที่สุดลัวะ,การตั้งถิ่นฐาน,ผังหมู่บ้าน, น่านตำบลป่ากลาง อำเภอปัว จังหวัดน่าน ประเทศไทย2553ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1369
1368วิทยานิพนธ์ความคิดทางการเมืองของเยาวชนชนกลุ่มน้อยจากพม่าในประเทศไทยนฐพร องค์วิศิษฐ์วิทยานิพนธ์นี้เป็นการทำความเข้าใจความคิดทางการเมืองของเยาวชนชนกลุ่มน้อยจากประเทศพม่าที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ในฐานะที่เยาวชนกลุ่มนี้เป็นผลพวงของความขัดแย้งทาง<br />
การเมืองและความแตกต่างทางชาติพันธุ์ในประเทศพม่า <br />
<br />
จากการศึกษาพบว่าความคิดทางการเมืองของยาวชนชนกลุ่มน้อยจากพม่า เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขหลายประการ ได้แก่<br />
1) เงื่อนไขทางการเมือง เพราะเยาวชนเหล่านี้เกิดและเติบโตท่ามกลางความขัดแย้งและสภาพสงครามกลางเมืองของประเทศพม่า<br />
2) เงื่อนไขด้านชาติพันธุ์ คือความแตกต่างทางชาติพันธุ์เป็นปัญหารากเหง้าของพม่ามานับศตวรรษและพัฒนาเป็นความเกลียดชังและการเลือกปฏิบัติกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ <br />
3) เงื่อนไขทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลที่แสดงออกมาในรูปแบบของการกดขี่ เช่น การบังคับใช้แรงงาน การขูดรีดผลผลิต การห้ามการเรียนการสอนในภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นต้น <br />
<br />
เยาวชนชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ได้มีการหล่อหลอมทางความคิด โดยเริ่มจากการเกิดคำถามจากภาพความกดขี่ที่ได้รับจากทหารพม่าและพยายามแสวงหาคำตอบจากนั้นได้เข้าร่วมกลุ่มการเคลื่อนไหวทางการเมือง<br />
<br />
ในระดับสังคม พบว่าเยาวชนชนกลุ่มน้อยได้รับการซึมซับเรื่องการเมืองผ่านสิ่งแวดล้อมทางการเมืองของประเทศพม่า เช่น การถูกกดขี่และการเลือกปฏิบัติ ทำให้เยาวชนเกิดความรู้สึกที่ต่อต้านกับรัฐบาลพม่า ส่วนในระดับปัจเจก พบว่าเยาวชนชนกลุ่มน้อยแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันในเรื่องประวัติความเป็นมาและประสบการณ์ชีวิต เช่น ชาติพันธุ์ การศึกษา และการทำงาน แต่เยาวชนกลุ่มนี้ก็ได้แสดงเห็นถึงสิ่งที่เหมือนกัน คือเป็นคนรุ่นใหม่ที่พร้อมสำหับการเปลี่ยนแปลงและการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิและความเท่าเทียมกัน ต้องการเห็นความสงบสุขของประเทศพม่า แสวงหาความร่วมมือและความสามัคคีในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เยาวชนชนกลุ่มน้อย , การเมือง, พม่าตำบลป่ากลาง อำเภอปัว จังหวัดน่าน ประเทศพม่า2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1368
1366วิทยานิพนธ์Weaving the Tai Social World : the Process of Translocality and Alternative Modernities along the Yunnan-Burma BorderAranya Siriphonเป็นการศึกษาถึงเรื่องการข้ามถิ่น ความเป็นอยู่ ความเป็นชาติพันธุ์และค่านิยมในหมู่ชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเขตชายแดนยูนนาน – พม่า ทั้ง 2ฝั่ง ผ่านการค้าขายและสินค้าในบริเวณเขตชายแดน โดยการลงสำรวจภาคสนามและสัมภาษณ์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงรูปแบบทางสังคมวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป<br />
<br />
จากการศึกษาพบว่า ภายหลังจากมีการเปิดประเทศ การปรับเปลี่ยนนโยบายทางเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพม่าและจีน ทำให้บริเวณชายแดนยูนนาน – พม่า มีความมีการเปลี่ยนแปลงหลายประการ เช่น การเปลี่ยนบทบาททางสังคมของเพศหญิง อาชีพที่เปลี่ยนไป โอกาสทางการค้าขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้มีการอพยพข้ามเขตแดนเพื่อค้าขาย เปิดร้านอาหาร ฯลฯ มากขึ้น และวัฒนธรรมบางอย่างที่เปลี่ยนไป เช่นการหันมานิยมใช้ของและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มาจากประเทศไทย เพราะชาวไทใหญ่ถือว่าเป็นพี่น้องกับคนไทย และไม่ใช่พวกเดียวกับคนจีนไต ไทใหญ่ในรัฐฉาน, ไทใหญ่ในมณฑลยูนนาน, สังคมและความเป็นอยู่, อาชีพ, ชายแดนยูนนาน – พม่าตำบลป่ากลาง อำเภอปัว จังหวัดน่าน ประเทศไทย2551ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1366
1360วิทยานิพนธ์การบูรณาการกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐพหุสังคม: กรณีศึกษากลุ่มชาติพันธุ์สยามในรัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซียอนุสรณ์ เมฆบุตร, ว่าที่ร้อยตรีการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาถึงกลุ่มชาติพันธุ์สยามที่อาศัยอยู่ในชุมชนปลายระไมเป็น ต.ปาดังเกอร์เบา อ.เปิ้นดัง รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย โดยขอบเขตด้านเนื้อหาเริ่มตั้งแต่รัฐมาเลเซียประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ในปี คศ.1971 ถึง ค.ศ. 2006ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพอธิบายถึงกระบวนการบูรณาการแห่งชาติที่รัฐมาเลเซียใช้เป็นเครื่องมือสร้างความเป็นเอกภาพภายใต้ความแตกต่างด้านชาติพันธุ์ ที่นำมาสู่ผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและความเป็นตัวตนของชาวสยามปลายระไม รวมถึงการปรับตัวกับนโยบายบูรณาการดังกล่าว (หน้า169-177) <strong>ส่วน</strong><strong>แรก</strong>ผู้วิจัย อธิบายปรากฏการณ์ภายหลังการได้รับเอกราชของมาเลเซียที่รัฐพยายามสร้างความเป็นรัฐ-ชาติขึ้นด้วยการสร้างกฎเกณฑ์และวิธีการต่างๆ <strong>ส่วนที่สอง</strong>ผู้วิจัยให้รายละเอียดกระบวนการสร้างรัฐ-ชาติภายใต้เอกลักษณ์ชุดใหม่ <strong>ส่วนที่สาม</strong>เป็นนำเอาแนวคิดการบูรณาการของนักวิชาการ มาเป็นกรอบในการอธิบายถึงกระบวนการบูรณาการแห่งชาติที่นำมาสู่ผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและความเป็นตัวตนของชาวสยามปลายระไม รวมถึงการปรับตัวเพื่อตอบโต้กับนโยบายบูรณาการดังกล่าว<br />
<br />
ผลการศึกษาสรุปได้ว่า การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจใหม่เน้นสร้างโอกาสในการทำงานแก่ชาวมาเลเซียทุกเชื้อชาติอย่างเท่าเทียม ให้สถาบันการเงินมาส่งเสริมชาวภูมิบุตรในการประกอบกิจกรรมต่างๆ และพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานสู่ชนบทมากขึ้น รวมถึงการยกระดับการศึกษาและการอบรมเพื่อประกอบอาชีพ เหล่านี้ เป็นกระบวนการบูรณาการทางเศรษฐกิจ ที่ส่งผลกระทบต่อชาวสยามปลายระไมในการปรับตัวโดยเฉพาะเรื่องสิทธิการถือครองที่ดินทำกินทางการเกษตร และมีการปรับตัวเพื่อเข้าสู่การเกษตรเชิงพาณิชย์มากขึ้น (หน้า 170-171) รัฐบาลเข้าไปควบคุมระบบการศึกษา ให้ภาษามาเลเซียเป็นวิชาบังคับ กำหนดหลักสูตรที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสังคมชาวมาเลเซียมากขึ้น นับเป็นกระบวนการกล่อมเกลาทางความคิด ทำให้ชาวสยามปลายระไมปรับตัวภายใต้นโยบายดังกล่าวโดยการก่อตั้งโรงเรียนสอนภาษาไทยภายในวัดปลายระไมขึ้น ขณะเดียวกันโควตาในการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของรัฐส่งผลให้เยาวชนสยามเกิดความกระตือรือล้นในการศึกษามากขึ้น (หน้า 172-173) นอกจากนั้น ค่านิยมร่วมกันในการสร้างเอกภาพและความเสมอภาค จากหลักอุดมการณ์แห่งชาติ 5 ข้อ ทำให้พลเมืองมีสิทธิที่จะถือนับถือศาสนา ชาวสยามปลายระไมจึงสามารถแสดงออกในกิจกรรมทางศาสนาและประเพณีได้อย่างเป็นอิสระ อย่างไรก็ดี การแต่งงานข้ามชาติพันธุ์โดยเฉพาะกับชาวมลายู ทำให้ชาวสยามปลายระไมต้องสูญเสียอัตลักษณ์ทางศาสนาไป ด้วยข้อบังคับของวัฒนธรรมที่ใหญ่กว่า (หน้า 173) คนใต้,กลุ่มชาติพันธุ์สยาม,การบูรณาการกลุ่มชาติพันธุ์, รัฐพหุสังคม,รัฐเคดาห์, มาเลเซียตำบลป่ากลาง อำเภอปัว จังหวัดKedah ประเทศมาเลเชีย2549ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1360
1359วิทยานิพนธ์วาทกรรมว่าด้วยการพัฒนาระหว่างรัฐกับประชาชน: กรณีศึกษาหมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้มูฮัมหมาด ยังหะสันเป็นศึกษาถึงระบบและกระบวนการสร้างความหมายและเอกลักษณ์ให้กับสิ่งที่เรียกว่า“การพัฒนา” ของฝ่ายรัฐและฝ่ายชาวบ้านในบริบทพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงการนำเสนอข้อมูลทางเลือกในการเปลี่ยนแปลงสังคมจากฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่กรณีศึกษา หมู่บ้านหนึ่งชื่อ “บ้านทุ่งพัฒนา” จังหวัดสตูล ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยประยุกต์แนวคิดเกี่ยวกับวาทกรรม แนวคิดรัฐกับสังคม และแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนามาอธิบายปรากฏการณ์ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐกับชาวบ้านผ่านประเด็นทางการพัฒนา(หน้า ง-จ, 39-40) ผู้วิจัยเปรียบเทียบแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อชี้ให้เห็นถึงความเหมือนและความต่างกับงานวิจัยชิ้นอื่นๆ ใน 5 ประเด็น คือ ตัวตนของหมู่บ้านทุ่งพัฒนา ในเชิงวาทกรรมความหมายของสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนา การขยายอำนาจรัฐเข้าสู่ชุมชน และการสถาปนาวาทกรรมของรัฐ การปรับตัวและการต่อสู้ของชุมชน และการพัฒนาทางเลือก(หน้า 315-319) ออแรนายู, มลายูมุสลิม, มุสลิมมลายู,วาทกรรมการพัฒนา,จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลป่ากลาง อำเภอปัว จังหวัดKedah ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1359
1358วิทยานิพนธ์Health seeking behaviours among Myanmar migrant workers in Ranong Province, ThailandThet Aungเป็นการศึกษาลักษณะพฤติกรรมและปัจจัยที่ส่งผลต่อการดูแลรักษาสุขภาพและการใช้บริการด้านสุขภาพของผู้อพยพชาวพม่าที่มาใช้แรงงานในประเทศไทย โดยใช้การสัมภาษณ์และสอบถามโดยตรงจากผู้อพยพชาวพม่าที่มาใช้แรงงานในประเทศไทย นำมาวิเคราะห์ด้วยหลักการทางสถิติ เพื่อหาปัจจัยเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องต่อการตัดสินใจเข้ารับบริการทางสุขภาพและหน่วยงานที่เข้ารับบริการ<br />
<br />
ผลการศึกษาพบว่า มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ารับบริการทางด้านสุขภาพ โดยปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือการขึ้นทะเบียนแรงงานของผู้ใช้แรงงานชาวพม่า นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อจำนวนและโอกาสที่เข้ารับบริการ เช่นอาชีพ, ระดับการศึกษา, ระดับความรุนแรงของอาการที่เป็น เป็นต้น<br />
<br />
นอกจากนั้นยังพบว่าปัจจัยหลายประการส่งผลต่อการตัดสินใจรับบริการการรักษาจากหน่วยงานที่ต่างกัน โดยพบว่าร้านขายยาเป็นสถานที่แรกที่ผู้อพยพจะเข้าใช้บริการ และจะไปโรงพยาบาลเมื่อมีอาการแย่ลงเท่านั้น<br />
<br />
อีกทั้งปัจจัยเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนแรงงานก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกต่างในการเลือกเข้ารับบริการที่สถานบริการสุขภาพเอกชนและของภาครัฐ พฤติกรรมทางสุขภาพ, การรับบริการทางสุขภาพ, , ผู้อพยพชาวพม่า, ระนองตำบลป่ากลาง อำเภอเมือง จังหวัดระนอง ประเทศไทย2551ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1358
1357บทความThe Dynamics of Health care of the Thai-Khmer Ethnic Group in Northeast Thailandทักษิณา ไกรราช, อุสา กลิ่นหอม, จารุวรรณ ธรรมวัฒน์บทความนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของแนวความคิดทางสุขภาพของกลุ่ม ชาติพันธุ์ไทย – เขมรที่อาศัยอยู่ในภาคอีสานของประเทศไทย โดยใช้การศึกษาทั้งจากการอ่านบทความและการลงพื้นที่สัมภาษณ์และสังเกตการณ์ในชุมชน<br />
<br />
พบว่ากลุ่มชาติพันธุ์ไทย – เขมรมีแนวความคิดความเชื่อของตนเองที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างการนับถือวิญญาณ ศาสนาพุทธและ ศาสนาพราหมณ์ และมีผู้รักษาอาการเจ็บป่วยในท้องถิ่น แต่เมื่อมีการพัฒนาให้เกิดความทันสมัย แนวความคิดเกี่ยวกับสุขภาพเปลี่ยนแปลงไป เช่น นิยามของสุขภาพ ความเชื่อของสาเหตุการเกิดโรคและการปฏิบัติในการดูแลสุขภาพ ทำให้จากเดิมที่จะไปรักษากับผู้รักษาในชุมชน ชาวบ้านก็ปรับมาเลือกการรักษาที่ผสมผสานกันระหว่างโรงพยาบาลกับผู้รักษาในชุมชนคะแมร์ลือ, การดูแลสุขภาพ , ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตำบลป่ากลาง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2549ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1357
1356บทความThailand : food system and nutritional status of indigenous children in a Karen communityChotiboriboon,Sinee . Tamachotipong,Sopa . Sirisai,Solot . Dhanamitta,Sakorn . Smitasiri,Suttilak . Sappasuwan,Charana . Tantivatanasathien,Praiwan . Eg-Kantrong,Pasamai .เป็นการศึกษาการบริโภคอาหารและภาวะโภชนาการในเด็กและมารดาชนเผ่ากะเหรี่ยงที่บ้านสะเนพอง จังหวัดกาญจนบุรี โดยผ่านทางการเก็บข้อมูลทั้งทางตรงและทางอ้อม ประกอบการผลจากการตรวจด้วยหลักสหวิทยาการ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลทางโภชนาการมาตรฐาน<br />
<br />
จากการศึกษาพบว่าอาหารและวัตถุดิบส่วนมากที่พบภายในบริเวณพื้นที่มีคุณค่าทางสารอาหารมากพอ ยกเว้นอาหารที่มีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ แต่พบว่าเด็กส่วนมากยังอยู่ในภาวะขาดสารอาหารที่จำเป็นเช่นวิตามินต่างๆ ปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดการขาดอาหารคือภายหลังจากการประกาศอุทยานแห่งชาติทุ่งใหญ่นเรศวรทำให้ชาวบ้านไม่สามารถจับสัตว์ป่าหรือเก็บของป่าได้ ทำให้จำนวนอาหารลดลง นอกจากนั้นยังพบว่าควรส่งเสริมการเลี้ยงดูบุตรให้ถูกวิธีแก่มารดาโดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก เพราะเรื่องนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบริโภคขนมในเด็ก โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),อาหารและโภชนาการ, เด็ก, กาญจนบุรีตำบลป่ากลาง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทยภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1356
1355บทความA critical review of studies of equitable access to health care by ethnic minorities in Thailand and developed countriesJian Hu and Chai Podhisitaบทความนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการเข้าถึงบริการทางสุขภาพของชนกลุ่มน้อยภายในประเทศไทยซึ่งพบว่าสามารถเข้าถึงน้อยกว่าคนไทย และบริการที่ได้นั้นต่ำกว่าระดับมาตรฐาน<br />
<br />
โดยใช้การวิเคราะห์ระบบการเข้าถึงบริการทางสุขภาพของประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งพบว่ามีแนวทางและใช้หลักการที่แตกต่างกัน โดยพบว่ามีปัจจัยหลักๆ ที่ปิดกั้นการเข้าถึงบริการทางด้านสุขภาพคือ ปัจจัยที่เกิดจากผู้ป่วยเอง และปัจจัยที่เกิดจากระบบให้บริการ โดยเฉพาะปัจจัยที่เกิดจากผู้ป่วย ซึ่งไม่ได้มีแต่เพียงทางด้านฐานะทางเศรษฐกิจเท่านั้นแต่ยังครอบคลุมถึงเรื่องวัฒนธรรม ภาษา การศึกษา และสถานภาพทางสังคมอีกด้วยชนกลุ่มน้อย,การบริการทางสุขภาพตำบลป่ากลาง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2550ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1355
1354บทความCultural Diversity and National Identity in ThailandKeyes,Charles F.งานศึกษาเรื่องนี้อธิบายประเด็นเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมในประเทศไทยและอัตลักษณ์ของไทย ซึ่งให้ข้อมูลตั้งแต่สภาวะความหลากหลายทางวัฒนธรรมซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยก่อนที่ตะวันตกจะเข้ามาในอาณาจักรสยาม ช่วงรัชกาลที่ 1- รัชกาล7 งานศึกษาแบ่งชาติพันธุ์ในประเทศไทยโดยดูที่ภาษาที่ใช้ มีการอธิบายถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของแต่ละชาติพันธุ์โดยภาพรวม<br />
<br />
นอกจากนั้นงานศึกษาอธิบายถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมหลังจากประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยพูดถึงอิทธิพลจากตะวันตกที่เข้ามามีบทบาทและความเป็นมาของลัทธิชาตินิยมของไทย<br />
<br />
นอกจากนี้ งานศึกษาได้กล่าวถึงรากฐานและการปลูกฝังชาตินิยมไทย และการทำให้ลัทธิชาตินิยมไทยแพร่หลายซึ่งเป็นผลมาจากการใช้นโยบายของรัฐ มีการอธิบายเกี่ยวกับปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ไม่จะเป็นผู้คนที่อยู่บริเวณภาคเหนือและภาคอีสานของไทย ชาวเขา ชาวไทยมุสลิม ชาวไทยเชื้อสายจีน<br />
<br />
<br />
งานศึกษายังให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายที่เปลี่ยนไปในการรับผู้ลี้ภัยและผู้อพยพเข้ามาในประเทศ และจบด้วยประเด็นการรื้อฟื้นความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประเทศไทยที่ถูกกลืนไปกับโลกาภิวัตน์ที่ถาโถมเข้ามาซึ่งทำให้มุมมองที่มีต่อวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาติพันธุ์ในไทยเปลี่ยนไปความหลากหลายทางวัฒนธรรม, อัตลักษณ์, ชาติพันธุ์,กูย กวย, คนอีสาน ลาวอีสาน, ตึ่งนั้ง คนจีน (หมายถึง ไทย-จีนเชื้อสายแต้จิ๋ว), ม้ง, ยวน คนเมือง, ลื้อตำบลป่ากลาง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2540ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1354
1352วิทยานิพนธ์อัตลักษณ์และตัวตนของผู้หญิงลีซอ 3 รุ่น: กรณีศึกษาประสบการณ์ชีวิตผู้หญิงลีซูคนหนึ่งอรอนงค์ แสนยากุลผู้วิจัยศึกษาอัตลักษณ์ และตัวตนของผู้หญิงลีซูสามรุ่น คือ รุ่นย่า รุ่นแม่ และรุ่นลูกสาว โดยศึกษาประสบการณ์และวิถีชีวิตของผู้หญิงลีซูทั้งสามคน ตลอดจนกระบวนการสร้างอัตลักษณ์และตัวตน ผ่านบริบททางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมือง ที่ผู้หญิงลีซูทั้งสามคนปฏิสัมพันธ์ด้วย<br />
<br />
อัตลักษณ์และตัวตนของผู้หญิงลีซูถูกสร้างขึ้นโดยการอบรมเลี้ยงดู และกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม ผ่านยสถาบันครอบครัว และสถาบันสังคมแบบปิตาธิปไตยของลีซู สถาบันสังคมไทย สถาบันการศึกษา และหน่วยงานของรัฐ อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงลีซูแต่ละคน คือ ย่า แม่ และลูกสาว ในบางช่วงเวลาเมื่อถูกกดดัน ก็ไม่ได้หัวชนฝาที่จะรักษาวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเอาไว้ เช่น กรณีการแหกกรอบความเป็นผู้หญิงที่ดีตามความคาดหวังของสังคมลีซู ของย่า เพื่อต่อรองกับอำนาจบางอย่างที่ครอบงำย่าอยู่ หรือในกรณีของแม่ที่พยายามสร้างอัตลักษณ์ส่วนตัวขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เข้ากับวิถีชีวิตสมัยใหม่และบทบาทใหม่ในฐานะแม่หลวง เป็นต้น<br />
<br />
อัตลักษณ์และตัวตนของผู้หญิงจึงไม่สมบูรณ์ เลื่อนไหล ประกอบด้วยอัตลักษณ์ทางสังคม อัตลักษณ์ส่วนรวม และอัตลักษณ์ส่วนตัว ซ้อนทับกันหลายชั้น ไม่สามารถแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน และด้วยเหตุที่บริบททางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจและการเมือง มีความแตกต่างในแต่ละช่วงเวลา ส่งผลให้เกิดความแตกต่างในอัตลักษณ์และตัวตนของผู้หญิงลีซูทั้งสามคน ตามที่แต่ละคนจะเลือกแสดงออกในแต่ละช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์<br />
<br />
ความเป็นตัวตนของผู้หญิงลีซูทั้งสามคน จึงถูกสร้างขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ มีความหลากหลายและไม่สมบูรณ์ ผู้วิจัยข้อสังเกตว่า ในเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงหรือมีพลวัตตลอดเวลา อัตลักษณ์ และตัวตนอาจไม่มีโอกาสเป็นสิ่งสมบูรณ์หรือคงตัวก็เป็นได้ (หน้า 107-112, 118)ลีซู, ผู้หญิง, อัตลักษณ์, การปรับตัว, ปิตาธิปไตย, เชียงรายตำบลป่ากลาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1352
1350วิทยานิพนธ์การทดลองใช้เรื่องเล่าจากโครงเรื่องวรรณกรรมตะวันตกเพื่อวัดทัศนคติที่มีต่อการแก้ปมปัญหาครอบครัวของชาวบ้านลาวโซ่ง ต.หนองปรง อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรีจิรัชฌา วานิชวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ ใช้วรรณกรรมเป็นเครื่องมือในการศึกษาทัศนคติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่มีปัญหาระหว่างสามี-ภรรยาและเครือญาติ ที่ประกอบด้วยประเด็นหลักคือ กรณีความสัมพันธ์ที่มีปัญหานั้นเกิดระหว่างคู่สามี-ภรรยา และในอีกกรณีคือปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคู่สามี-ภรรยาซึ่งสัมพันธ์กับระบบครอบครัวและเครือญาติโดยผ่านวิธีการเล่าเรื่องวรรณกรรมประกอบกับการพูดคุย นอกจากนั้นการศึกษานี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบวิธีการศึกษาโดยใช้วรรกรรมเป็นเครื่องมือ ในการศึกษาทัศนคติและความสัมพันธ์ระหว่างสามี-ภรรยาของโซ่งอีกด้วย<br />
<br />
การศึกษาทัศนคติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่มีปัญหาระหว่างคู่สามี-ภรรยาของลาวโซ่งทั้งสองกรณีนี้ได้ข้อสรุปจากการศึกษา 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรก การดำเนินชีวิตคู่ของลาวโซ่งมีแบบแผนความสัมพันธ์ในลักษณะประนีประนอมเพื่อการรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นสำคัญ ดังในกรณีปัญหาเมื่อเกิดปัญหาในชีวิตสมรส ทัศนะของลาวโซ่งเลือกที่จะจัดการกับปัญหาโดยการพูดคุยถึงปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ประเด็นที่สอง ในการดำเนินชีวิตสมรสของลาวโซ่ง ให้ความสำคัญต่อครอบครัวเดิมและเครือญาติ ซึ่งพบว่าข้อขัดแย้งที่เกิดจากกรณีที่พ่อแม่เข้ามาข้องเกี่ยวกับชีวิตสมรสและคู่สมรสนั้น ไม่ได้มีผลต่อสายสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวเดิมและครอบครัวใหม่ สาเหตุประการหนึ่งที่ครอบครัวเดิมไม่ได้มีบทบาทในการแทรกแซงชีวิตครอบครัวใหม่ เนื่องจากลาวโซ่งมีแบบแผนการเลือกคู่ครองเป็นอิสระ ไม่ได้ถูกกำหนดจากอิทธิพลของครอบครัว<br />
<br />
การศึกษาความสัมพันธ์ที่มีปัญหาระหว่างสามี-ภรรยา พบว่า ปัญหาเกิดขึ้นจากภาวะบุคคลที่สามแทรกแซง และ ปัญหาที่เกิดจากการปรับตัวในการใช้ชีวิตร่วมกัน โดยภาวะที่ถูกบุคคลที่สามแทรกแซง แบ่งเป็น 3กรณี คือ <br />
<br />
1)ในกรณีที่สามีมีภรรยาน้อย ข้อมูลส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นว่าโซ่งพอที่จะยอมรับการที่สามีมีภรรยาน้อยได้ หากไม่กระทบกับความเป็นอยู่และเศรษฐกิจในครอบครัว<br />
2)ในกรณีที่ภรรยาคบชู้ การคบชู้ของภรรยาจะกระทบต่อเรื่องศักดิ์ศรีและความอายของสามี ส่วนใหญ่จะไม่ตามภรรยากลับ ในขณะที่ส่วนใหญ่ภรรยาก็จะรู้สึกผิดและละอายขะไม่กลับไปอยู่กับสามีเก่า <br />
3)เรื่องการปรับตัวในการใช้ชีวิตคู่ <em>ปัญหาเรื่องความไม่เข้าใจกันในครอบครัวโซ่ง</em> จากข้อสรุปของผู้วิจัย พบว่า ผู้ตอบส่วนใหญ่ ทั้งชายและหญิงมีความคิดเห็นว่า ต้องใช้วิธีการพูดคุยและปรับความเข้าใจกันเพื่อหาสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ <em>ปัญหาเรื่องการกระทำผิดร้ายแรงของคู่สมรส </em>เช่น การเป็นฆาตกร พบว่า โซ่งแสดงทัศนะว่าสามารถร่วมชีวิตกับคู่สมรสที่เป็นฆาตกรได้ ถ้ามีเหตุผลในการฆ่าที่เหมาะสมและคู่สมรสไม่ได้มีความผิดปกติทางจิต <em>ปัญหาในเรื่องความประพฤติของคู่สมรส</em> โดยเฉพาะภรรยาที่ประพฤติตัวไม่ดี โซ่งทั้งหญิงและชายไม่ยอมรับความประพฤติที่เสื่อมเสียชื่อเสียง เช่น ผู้หญิงที่สำส่อนทางเพศ<br />
<br />
ความสัมพันธ์ที่มีปัญหาระหว่างสามี-ภรรยากับเครือญาติ พบว่า <em>ในกรณีที่พ่อแม่ไม่พึงพอใจต่อคู่สมรสของลูก</em> พอสรุปได้ว่า ในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่-ลูกเป็นสิ่งที่ตัดไม่ขาด และส่วนใหญ่พ่อแม่โซ่งจะให้อิสระแก่ลูกในการตัดสืนใจเลือกคู่ครอง เมื่อลูกตกลงปลงใจแล้ว พ่อแม่ก็จะไม่เข้าไปก้าวก่าย กรณีปัญหาระหว่างสามี-ภรรยาที่เกิดจากน้องชายสามีมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับภรรยาพี่ชาย จากข้อมูลส่วนใหญ่พบว่า โซ่งให้ความสำคัญกับญาติพี่น้องของตนมากกว่าคู่สมรส<br />
<br />
หากกล่าวโดยสรุปในภาพรวมสามารถอธิบายได้ว่า โซ่งให้ความสำคัญกับฐานะการเป็นสามีภรรยาก็ต่อเมื่อยังใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปอยู่กับบุคคลที่สามถือว่าเป็นการสิ้นสุดสถานภาพการสมรส โซ่งให้ความสำคัญกับญาติพี่น้องมากกว่าคู่สมรส แม้ญาติพี่น้องจะกระทำผิดและมีเพศสัมพันธ์กับคู่สมรสของตนก็เป็นสิ่งที่ให้อภัยได้ นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับเด็กที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคู่สมรสตนกับญาติพี่น้องได้เสมือนเป็นลูกในไส้ของตน (หน้าบทคัดย่อ, 82-86)<br />
<br />
ผลจากการตรวจสอบวิธีการศึกษาโดยใช้วรรณกรรมเป็นเครื่องมืในการศึกษาทัศนคติและความสัมพันธ์ระหว่างสามี-ภรรยาของโซ่ง ข้อพิจารณาจากการทดลองวิธีวิจัยนี้ คือ ผลการศึกษาจำกัดภายใต้วิธีวิจัยเท่านั้น ไม่สามารถสรุปเป็นผลการศึกษาทั่วไปของสังคมลาวโซ่ง เนื่องจากเป็นวิธีวิจัยที่ได้ข้อมูลเรื่องทัศนคติเฉพาะข้อมูลที่ผู้ตอบต้องการเปิดเผยเท่านั้น แม้การตอบคำถามทั้งหมดจะแวดล้อมด้วยสถานการณ์แตกต่างกันลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ(ไทยทรงดำ),ทัศนคติ, ครอบครัว, เครือญาติ, เพชรบุรีตำบลหนองปรง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1350
1349หนังสือชนกลุ่มน้อยชาวเขาภาคเหนือ : ข้อศึกษาพิจารณาเบื้องต้นในการปฏิบัติการจิตวิทยาชนกลุ่มน้อยชาวเขาทางภาคเหนือรองศาสตราจารย์ ไพฑูรย์ ธรรมแสง และคณะ (นักศึกษาหลักสูตรการปฏิบัติการจิตวิทยาฝ่ายอำนวยการ รุ่นที่ 67 คณะที่4)ชาวเขาที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงในภาคเหนือของประเทศไทยมีสภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และวิถีชีวิต แตกต่างจากคนส่วนใหญ่บนพื้นราบ ประกอบกับอยู่กันอย่างกระจัดกระจายห่างไกล และทุรกันดาร ทำให้ขาดความรู้สึกเป็นพลเมืองไทย ยากต่อการจัดระเบียบการปกครอง และเป็นจุดอ่อนต่อการแทรกแซงจากฝ่ายตรงข้าม (ผกค.) ตลอดจนการทำไร่เลื่อนลอยและปลูกฝิ่น ก่อให้เกิดปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และปัญหายาเสพติด ซึ่งสภาพปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ<br />
<br />
งานวิจัยนี้ มุ่งศึกษาหาความรู้ทางชาติพันธุ์ของชาวเขาบนพื้นที่สูง โดยเฉพาะกะเหรี่ยง แม้ว(ผู้วิจัยเรียก) และมูเซอ ซึ่งเป็นสามชาติพันธุ์ที่มีจำนวนประชากรอยู่ในประเทศไทยมากกว่าชาติพันธุ์อื่นๆ (สำรวจปี 2528-2531, หน้า 7) นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาปัญหาชุมชนชาวเขาที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ ตลอดจนนโยบาย มาตราการ แผนงาน และโครงการต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่สูง ที่รัฐบาลได้ดำเนินการไป เพื่อให้เกิดความรู้ที่ชัดเจน และแสวงหาแนวทางที่เหมาะสมอันอาจนำไปใช้แก้ไขปัญหาต่อไปชนกลุ่มน้อย, ม้ง, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), ลาหู่, ภาคเหนือตำบลหนองปรง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1349
1331วิทยานิพนธ์ศึกษาเปรียบเทียบการสร้างคำในภาษากูย บรู และโซ่เอกวิทย์ จิโนวัฒน์งานวิจัยนี้เป็นงานศึกษาวิจัยวิธีการสร้างคำในภาษากูย (ส่วย) บรูและโซ่ โดยศึกษา กูย ที่บ้านลังแก ตำบลแตล อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ,บรู บ้านเวินบึก ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี และโซ่ บ้านโพธิไพศาล ตำบลโพธิไพศาล อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ภาษากูย บรู และโซ่ มีการสร้างคำที่เหมือนกันและแตกต่างกัน ทั้ง 3 ภาษา มีการสร้างคำเหมือนกัน 2 ประเภทได้แก่ การสร้างคำโดยการเติมหน่วยศัพท์การซ้ำคำ แต่ภาษากูยจะมีการสร้างคำซึ่งต่างออกไป โดยจะมีการสร้างคำจากการเปลี่ยนลักษณะน้ำเสียงเพิ่มอีกด้วย สำหรับการสร้างคำโดยการเติมหน่วยศัพท์ใน 3 ภาษา มีเหมือนกัน 4 ประเภทได้แก่ การเติมหน่วยศัพท์เพื่อเปลี่ยนคำกริยาให้เป็นคำนาม การเติมหน่วยศัพท์เพื่อสร้างคำนามใหม่ การเติมหน่วยศัพท์เพื่อเปลี่ยนคำนามให้เป็นคำกริยาและการเติมหน่วยศัพท์เพื่อสร้างคำกริยาใหม่ ส่วนการซ้ำคำมีการซ้ำเสียงอย่างสมบูรณ์และการซ้ำเสียงบางส่วน เมื่อเปรียบเทียบการสร้างคำพบว่าภาษาบรูกับภาษาโซ่ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางด้านเชื้อสายมากกว่าภาษากูยกับบรู หรือกูยกับโซ่ กูย บรู โซ่ ภาษา สุรินทร์ อุบลราชธานี สกลนครตำบลโพธิไพศาล อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2526ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1331
1330วิทยานิพนธ์ประเพณีพิธีกรรมของชาวยวนบ้านเสาไห้ ตำบลเสาไห้ อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรีจริน โพลงเงินเนื้อหาของงานกล่าวถึงการศึกษาเรื่ององค์ประกอบและขั้นตอนและความเชื่อเกี่ยวกับพิธีเซ่นไหว้ศาลแม่นางตะเคียน ของคนยวนบ้านเสาไห้ ตำบลเสาไห้ อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ซึ่งจากการศึกษาพบว่าคนยวนจะทำพิธีเซ่นไหว้แม่นางตะเคียนเป็นประจำทุกวันที่ 23 เมษายน ของทุกปีการทำพิธีเซ่นไหว้ก็เพื่อขอบคุณแม่นางตะเคียนที่ช่วยคุ้มครองคนยวนบ้านเสาไห้ ให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข และขอบคุณที่ช่วยเหลือให้ได้ในสิ่งที่บนเอาไว้ สำหรับเรื่องที่บนส่วนมากจะเป็นการขอให้มีโชคลาภ ขอให้หายจากการเป็นไข้ไม่สบาย ขอให้สอบได้และการบนเมื่อจะไปเกณฑ์ทหาร สำหรับขั้นตอนการทำพิธีนั้นคนยวนจะจัดเครื่องบูชาและครื่องบวงสรวงไว้สำหรับแม่นางตะเคียนและสัมพะเวสีเสมอเพื่อให้เกิดความครบสมบูรณ์ในการทำพิธีสำหรับสิ่งของที่นำมาทำพิธีนั้นมีความแตกต่างกันเนื่องจากคนยวนเชื่อว่าแม่นางตะเคียนณเป็นดวงวิญาณของเทพดังนั้นจึงไม่ถวายเหล้าหรือเนื้อสัตว์แต่วิญญาณของสัมพะเวสีเป็นผีดังนั้นจึงถวายเหล้าและเนื้อสัตว์เพื่อให้เห็นความแตกต่างกัน และแสดงความขอบคุณที่ช่วยดูแลคนยวนให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขและแสดงถึงความสามัคคีของคนยวนในความศรัทธาที่มีต่อแม่นางตะเคียน คนยวน ,คติความเชื่อ, พิธีกรรม, ศาลแม่นางตะเคียน, สระบุรีตำบลโพธิไพศาล อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1330
1328หนังสือชาวเขาเผ่าเย้าโรงเรียนสงครามจิตวิทยา กรมยุทธการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุดงานเขียนเล่มนี้ผู้เขียนได้ศึกษาเรื่องเย้า ในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และศิลปวัฒนธรรมซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะทางชาติพันธุ์ โดยไม่ได้เจาะจงลงไปว่าเป็นเย้าพื้นที่ใดในภาคเหนือของประเทศ สำหรับจุดมุ่งหมายของงานศึกษาวิจัยนี้ก็เพื่อใช้เป็นคู่มือในการแก้ปัญหาชาวเขา ซึ่งในสมัยนั้นชาวเขาหลายกลุ่มอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ โดยหน่วยงานราชการได้ดำเนินนโยบายเพื่อมุ่งแก้ปัญหาชาวเขา ทำให้ชาวเขารวมกันอยู่เป็นหมู่บ้าน ให้เลิกปลูกฝิ่นและเปลี่ยนมาปลูกพืชอื่นทดแทน และดำเนินนโยบายเพื่อให้ชาวเขามีความรู้สึกว่าเป็นคนไทย และมีความจงรักภักดีต่อประเทศชาติไทยเมี่ยน,สังคม,เศรษฐกิจ,การเมือง,ความเชื่อ,วัฒนธรรม,ประเทศไทยตำบลโพธิไพศาล อำเภอเสาไห้ จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2518ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1328
1323หนังสืออรุณรุ่งฟ้า “ฉาน” เล่าตำนานคน “ไท”บุญยงค์ เกศเทศหนังสือเล่มนี้เป็นการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ บ้านช่อง เรือนชาน กลุ่มเครือญาติ สถานศักดิ์สิทธิ์ในหมู่บ้านต่างๆ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี รวมไปถึงความเชื่อของชุมชนคนไทในหมู่บ้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเมืองตองยี เชียงตุง ท่าขี้เหล็ก พุกาม มัณฑะเลย์ ตามลำน้ำอิระวดี สาละวิน และสายน้ำสาขา เป็นข้อมูลพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์ไทในการที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจในมิติวิถีชีวิตที่มีความหลากหลายของคนไทในเผ่าต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่าไต (ไทใหญ่), ขึน ไทขึน ไทเขิน , ยอง, ไทมาว, รัฐฉาน, เมียนม่าร์ตำบลโพธิไพศาล อำเภอเสาไห้ จังหวัดShan State ประเทศพม่า2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1323
1322หนังสือสืบสานวัฒนธรรม ชาติพันธุ์-ไท สายใยจิตวิญญาณ ลุ่มน้ำดำ-แดงบุญยงค์ เกศเทศหนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอเรื่องราวของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ไต ทางด้านภาษา วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรมและศาสนาของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ไต จากประสบการณ์การทำงานร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ไต-ไทดังกล่าวโดยตรง และหนังสือเล่มนี้ยังเป็นประโยชน์อย่างมากแก่ผู้ที่มีความสนใจเรื่องราว วิถีการดำรงชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ อีกทั้งยังสามารถนำความรู้จากการศึกษามาประยุกต์ใช้ในการศึกษาต่อยอดกลุ่มชาติพันธุ์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดีเวียดนาม, โบอี, ไส, ลาว,ลื้อ ,นุง, สานชาย,ไต, ไทตำบลโพธิไพศาล อำเภอเสาไห้ จังหวัดShan State ประเทศเวียดนาม2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1322
1309รายงานการวิจัยการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน : องค์ความรู้และปฏิบัติการของกลุ่มชาติพันธุ์ ปกาเกอะญอในภาคเหนือของประเทศไทยประเสริฐ ตระการศุภกร และคณะหนังสือเล่มนี้เป็นการนำเสนอองค์ความรู้และการจัดการพื้นที่ในการทำไร่หมุนเวียนของชาวปกาเกอะญอในภาคเหนือ โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างเป็นหมู่บ้านชาวปกาเกอะญอ 3 หมู่บ้าน คือ<br />
<br />
1.บ้านแม่อุมพาย หมู่ที่ 5 ตำบลแม่โถ อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน 58120<br />
2.บ้านป่าคานอก หมู่ที่ 11 ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ 50250<br />
3.บ้านหินลาดใน หมู่ที่ 7 ตำบลบ้านโป่ง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย 57170 <br />
<br />
โดยทั้ง 3 หมู่บ้านมีองค์ความรู้ในการทำไร่หมุนเวียนที่คล้ายกันเพราะมีความเชื่อ จารีตประเพณีที่ค่อนข้างเหมือนกัน รวมทั้งมีชุดความรู้และกระบวนการจัดการพื้นที่ในการทำไร่หมุนเวียนอย่างยั่งยืนที่มีแนวคิดการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่ตกผลึกออกความรู้ที่ถ่ายทอดออกมาจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อเป็นการสืบทอดให้ลูกหลานรักษาทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้คงอยู่ต่อไป<br />
<br />
นอกจากนี้ยังนำเสนอพลังชุมชนของชาวปกาเกอะญอที่สร้างพลังอำนาจในการต่อรองกับรัฐเพื่อจัดการพื้นที่ด้วยตนเองและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตความและทำให้เกิดการจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืนได้ไร่หมุนเวียน, ปกาเกอะญอ,องค์ความรู้, ภูมิปัญญาตำบลโพธิไพศาล อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1309
1308หนังสือประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมของชนชาติไทสมพงศ์ วิทยศักดิ์พันธุ์เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมบทความและรายวิชาการที่เกี่ยวกับกลุ่มคนไทในเชิงประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรม ผู้เขียนได้เรียบเรียงเนื้อหาซึ่งเริ่มจากการให้ภาพทั่วไปของกลุ่มชาติพันธุ์ไทซึ่งมีการตั้งอาณาจักรของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึ้นภายหลังคริสตวรรษที่ 10 ซึ่งมีกลุ่มคนไทอาศัยกระจายอยู่ในแถบทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีชื่อเรียกที่ไม่เหมือนกันตามแต่ละท้องถิ่น ต่อมาเป็นการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องคนไทมาจนถึงยุคล่าอาณานิคมซึ่งมีกลุ่มคนไทหลายกลุ่มตกยุคในอาณานิคมทางประเทศแถบตะวันตกซึ่งการเข้ามาชาติตะวันตกทำให้เกิดเส้นทางการค้าขายและการล่มสลายของผู้นำบางท้องถิ่นในกลุ่มคนไท<br />
<br />
อย่างไรก็ตามการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับคนไทในอนาคตผู้เขียนเผยให้เห็นว่าแนวทางการศึกษากลุ่มไทในเชิงวัฒนธรรมชุมชนดูเหมือนว่าจะช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนและจะเข้าใจพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มคนไทได้ดีขึ้นไต, ลื้อ, ประวติศาสตร์, วัฒนธรรมตำบลโพธิไพศาล อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดYunnan ประเทศจีน2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1308
1307วิทยานิพนธ์Facial and Dental Characteristics of Padaung Women Wearing Brass Neck-Coils (Long-Neck Karen) in Mae Hong Son Province, Thailandดลใจ ชวนะภูธรเป็นการศึกษาลักษณะใบหน้าและฟันของผู้หญิงชนเผ่ากะเหรี่ยงคอยาวที่มีการสวมใส่ห่วงคอทองเหลืองเป็นประจำในจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยใช้การเปรียบเทียบรูปหน้าและฟันจากการวัดรูปหน้า การถ่ายรูปหน้าตรงและด้านข้าง และการวัดลักษณะของฟันระหว่างผู้หญิงกะเหรี่ยงคอยาวที่สวมใส่ห่วงคอทองเหลืองกับผู้หญิงเผ่ากะเหรี่ยงแดงที่ไม่มีการใส่ห่วงคอทองเหลืองในกลุ่มอายุ 5-15 ปี และ 15 ปีขึ้นไป เพื่อสังเกตความแตกต่างและผลกระทบของการใส่ห่วงคอทองเหลืองที่อาจจะมีผลต่อการเจริญของกระดูก Mandible ซึ่งรวมถึงโครงสร้างระหว่างกระดูก Maxilla และ Mandible และโครงสร้างที่เกี่ยวข้อง<br />
<br />
ผลการศึกษาพบว่าการใส่ห่วงคอทองเหลืองมีผลทำให้เกิดความแตกต่างของรูปหน้าและฟันระหว่างกลุ่มตัวอย่างทั้งสอง เช่น ผู้หญิงที่ใส่ห่วงคอทองเหลืองจะสามารถอ้าปากได้กว้างน้อยกว่า ส่วนล่างของใบหน้าสั้นกว่า ความกว้างของแนวโค้งระหว่างฟันเขี้ยวล่างมีความแคบกว่า กลุ่มที่ไม่มีการใส่ห่วงคอทองเหลืองเป็นต้น<br />
จากการศึกษาดังกล่าวสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในทางคลินิกได้ว่า การใช้อุปกรณ์ที่เพิ่มแรงกดให้กับขอบล่างของกระดูก Mandible อาจจะเป็นแนวทางการรักษาที่เป็นไปได้สำหรับบางกรณีที่มีการเจริญเติบโตทางแนวตั้งที่โดดเด่น<br />
<br />
<br />
การสวมใส่ห่วงคอทองเหลืองของผู้หญิงปาดอง ทำให้เกิดความแตกต่างของรูปหน้าและฟันในหลายประการ เพราะห่วงคอทองเหลืองจะไปเพิ่มแรงกดให้กับกระดูกซี่โครงและขอบล่างของกระดูก Mandible ซึ่งการเริ่มใส่ในช่วงที่ยังมีการเจริญเติบโตของกระดูก Mandible ทำให้การเจริญที่เกิดขึ้นนั้นแปลกไปจากการเจริญของคนที่ไม่ได้ใส่ห่วงคอทองเหลืองคะยัน กะจ๊าง กะเหรี่ยงคอยาว (ปาดอง) ลักษณะใบหน้า ลักษณะฟัน ห่วงทองเหลือง แม่ฮ่องสอนตำบลโพธิไพศาล อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2546ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1307
1303วิทยานิพนธ์ชนกลุ่มน้อยชาวไทยภูเขากับความมั่นคงของชาติ : กรณีศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ม้งพันเอกสิทธิเดช วงศ์ปรัชญาวิทยานิพธ์เล่มนี้เป็นการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับปัจจัยภายในและภายนอกประเทศที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมชาวไทยภูเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติและนำเสนอด้านยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาชาวไทยภูเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้ง <br />
<br />
จากการเก็บรวบรวมข้อมูลเอกสาร ประสบการณ์การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆและการเข้าไปใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มชาติพันธุ์ม้งของผู้ศึกษา โดยจะเน้นการศึกษาด้านพฤติกรรมของชาวไทยภูเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้ง 3กรณีคือ ด้านความขัดแย้งในการอยู่ร่วมกันของคนต่างวัฒนธรรม, ด้านการแพร่ระบาดของยาเสพติดและด้านการอพยพข้ามชาติของม้งจากลาว ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ทำงานเกี่ยวกับชาวเขาเผ่าม้งในการเรียนรู้และทำความเข้าใจในพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทยนโยบายด้านความมั่นคงของชาติ, ม้ง, ชนกลุ่มน้อยตำบลโพธิไพศาล อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2550ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1303
1302วิทยานิพนธ์X-, Y- Chromosomal and Mitochondrial DNA variations of the Karen, Hmong and Iu Mien in the Upper Northern Part of Thailandเมธวี ศรีคำมูลเป็นการศึกษาความสัมพันธ์ของโครงสร้างทางพันธุกรรมและความเกี่ยวข้องของเผ่าม้ง, กะเหรี่ยง และอิวเมี่ยน รวมถึงผลของความผันแปรทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นจากการย้ายถิ่นฐานหลังการแต่งงาน และความสัมพันธ์ทางเชื้อสายระหว่างชนเผ่ากับกลุ่มย่อยต่างๆ โดยใช้โครโมโซม X-,Y- linked microsatellite marker และ mitochondrial DNA ที่สกัดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวเป็นเครื่องมือในการศึกษา มีการวิเคราะห์จีโนไทป์ของไมโครแซเทลไลท์ 14 ตำแหน่งในโครโมโซม X จีโนไทป์ของไมโครแซเทลไลท์ 15 ตำแหน่งในโครโมโซม Y และลำดับเบสของ mitochondrial DNAบริเวณ hypervariable segment 1 ใน control region โดยมีการเพิ่มปริมาณ DNA ทั้งหมดด้วยปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรส<br />
<br />
ผลการศึกษาพบว่า ความผันแปรทางพันธุกรรมนั้นส่วนใหญ่เกิดจากความหลากหลายภายในกลุ่มย่อยหรือของแต่ละบุคคล การอพยพโยกย้ายถิ่นฐานหลังแต่งงานก็มีผลต่อโครงสร้างทางพันธุกรรมของชาวเขาที่ศึกษา และแต่ละกลุ่มย่อยของแต่ละเผ่ามีความสัมพันธ์กันทางเชื้อสายอย่างใกล้ชิดยกเว้นอิวเมี่ยนจาก 3จังหวัดที่มีโครงสร้างทางพันธุกรรมที่เฉพาะซึ่งแตกต่างกัน ซึ่งอาจเกิดจากความแตกต่างของเส้นทางและระยะเวลาในการอพยพเมี่ยน อิวเมี่ยน, ม้ง, โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), คะยัน กะจ๊าง ปาดอง,โครโมโซม, การโยกย้ายถิ่นฐาน, ความผันแปรระหว่างประชากร, ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มย่อยตำบลโพธิไพศาล อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2548ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1302
1295วิทยานิพนธ์การแท้งบุตรในหมู่อพยพ - กรณีศึกษาของสตรีกะเหรี่ยงในจังหวัดตากSaowaphak Suksinchaiงานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่าจากในตัวแปรอิสระทั้ง 6 อย่าง ตัวแปร 3 อย่างที่มีผลต่ออัตราการแท้งลูกของผู้อพยพสตรีชาวกะเหรี่ยงอย่างมาก ได้แก่ 1) ขนาดครอบครัว 2) ปัญหาสุขภาพ และ 3) สถานการณ์ทำงาน ส่วนตัวแปรอีก 3 อย่างคือ การศึกษา จำนวนการสูบบุหรี่ และระยะเวลาการอยู่ ไม่มีผลกระทบมากนัก ผู้หญิงที่มีครอบครัวเล็กๆ ผู้หญิงที่มีปัญหาสุขภาพโดยเฉพาะมีอาการปวดตัว และผู้หญิงที่ทำงานไปด้วย จะมีอัตราการแท้งลูกสูงกว่า<br />
<br />
ข้อเสนอแนะจากงานวิจัยนี้ก็คือควรมีการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของผู้อพยพสตรีชาวกะเหรี่ยงซึ่งจะช่วยลดโอกาสการแท้งบุตรลง ควรมีการให้การศึกษาด้านการเจริญพันธุ์และมีการให้บริการทางการแพทย์อย่างเหมาะสมแก่สตรีในวัยเจริญพันธุ์ ควรมีการให้โอกาสทางอาชีพแก่สตรีเหล่านี้ เพื่อพวกเธอจะได้มีกิจกรรมที่สร้างสรรค์และสามารถตอบสนองความต้องการในการปรับปรุงโภชนาการได้ ควรมีการจัดโครงการให้ข้อมูล การศึกษา และการสื่อสาร แก่สตรีในวัยเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะความรู้เรื่องการเจริญพันธุ์และส่งเสริมการเลิกบุหรี่ (หน้า iv, 60-66)ปะโอ,โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง, ผู้อพยพ,สตรี, สาธารณสุข, การสืบพันธุ์ ,ค่ายอพยพตำบลโพธิไพศาล อำเภอแม่อาย จังหวัดตาก ประเทศไทย2542ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1295
1284บทความPalaung Buddhism and Ethnic Identity in Northern ThailandSean AshleyTheravada Buddhism has long been introduced to Palaung people but the upland conversion to Buddhism does not always indicate a significant shift in their ethnic identity. While many upland groups are being converted by the Central Thai practices, Palaung people preserve their Yuan Buddhism as a way to draw distinction between them and <em>Khon Muang</em>, whom they originally derived from. Yuan Buddhism, therefore, is an important part of their identity and has enabled them to express their religious ethnic identity through it. (331, 347-348)Palaung,Da-ang,Buddhism, Lanna, Religion, Ethnic Identityตำบลโพธิไพศาล อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2552ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1284
1278หนังสือThe Structure of Chin Society: A Tribal People of Burma Adapted to a Non-western CivilizationLehman, F.K.เลห์แมนเห็นว่า สังคมฉิ่นเป็นสังคมแบบ”ชนเผ่า”(‘tribal’) เพราะมีประเพณีวัฒนธรรมที่ต่างจากประเพณีของสังคมพื้นราบที่อยู่รอบๆและอารยธรรมหุบเขา ค่อนข้างแยกตัวโดดเดี่ยวและไม่ได้อยู่ในเครือข่ายของสถาบันการเมืองและสังคมของรัฐโดยรอบที่มีอารยธรรม ฉิ่นไม่มีสถาบันทางการเมืองและสังคมของตนเอง ไม่มีตัวหนังสือ และเชื่อในพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ(animistic)<br />
<br />
แต่อย่างไรก็ตาม โครงสร้างและการจัดระเบียบสังคมวัฒนธรรมของฉิ่นภูเขา(the hill Chin)ก็สะท้อนการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเลห์แมนเห็นว่า สิ่งแวดล้อมที่เป็นอารยธรรมเพื่อนบ้านก็มีความสำคัญเท่าๆกับถิ่นที่อยู่ทางกายภาพของพวกเขาเอง ด้วยเหตุนี้การเข้าใจสังคมและวัฒนธรรมฉิ่นจึงต้องมองการปรับตัวสองแบบคู่กัน(a dual adaptation) ได้แก่<br />
1) การปรับตัวให้เข้ากับทรัพยากรท้องถิ่นโดยเครื่องมือ/วิธีเทคโนโลยีพิเศษเฉพาะ และ<br />
2) การตอบสนองต่ออารยธรรม เพื่อตอบสนองปัญหาความสัมพันธ์กับสังคมพม่าที่ซับซ้อน(complex, nuclear Burman society) ซึ่งเลห์แมนเรียกว่า ‘subnuclear society’ เป็นสังคมที่ต่างจากสังคมชาวไร่ชาวนา (peasant society) และสังคมชนเผ่าที่แท้จริง (purely tribal society) (น.1-2)<br />
<br />
ในการทำความเข้าใจผลกระทบของอารยธรรมพม่าต่อสังคมฉิ่น เลห์แมนได้แบ่งฉิ่นออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เพราะกลุ่มเหล่านี้มีวัฒนธรรมและโครงสร้างทางสังคมต่างกัน และในการดูร่องรอยประวัติศาสตร์ของฉิ่นและการอธิบายลักษณะการติดต่อของฉิ่นกับพม่า เขาเห็นว่าจะต้องอธิบายการปรับตัวเข้ากับถิ่นที่อยู่อาศัยของฉิ่นในแง่การใช้ที่ดิน สิทธิการใช้ที่ดิน(land tenure) และการตั้งถิ่นฐาน อันจะทำให้เข้าใจลักษณะของสถานภาพ ความร่ำรวย และทรัพสินของฉิ่น (the nature of Chin property, wealth and status) ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสังคมฉิ่นที่เกี่ยวพันกับอารยธรรมพม่า สิ่งเหล่านี้จะช่วยในการวิเคราะห์โดยสร้างสังคม การค้า ศาสนาของฉิ่น(น.2)ฉิ่น(Chin), โครงสร้างสังคม, การปรับตัว, พม่าตำบลโพธิไพศาล อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศพม่า2506ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1278
1223รายงานการวิจัยวัฒนธรรมการประกอบอาชีพประมง ลำน้ำสงครามของกลุ่มชาติพันธุ์ไทโซ่บ้านปากอูน ไทลาวบ้านปากยาม อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนมสุรัตน์ วรางรัตน์การศึกษาความแตกต่างของกลุ่มชาติพันธุ์ในการประกอบอาชีพประมงในลำน้ำสงครามนั้นแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา ดังนี้<br />
<br />
<strong>กลุ่มไทโซ่บ้านปากอูน</strong><br />
ช่วงที่1 (พ.ศ. 2436-2495) มีการจับปลาโดยอาศัยเครื่องมือจับปลาอย่างง่ายๆ เช่น แห เบ็ด เผือก โทง มีการแลกเปลี่ยนปลาร้า ปลาย่างกับข้าวเปลือก ต่อมาได้เรียนรู้การหาปลาด้วยเรือแนบจากชาวญวน (หน้า 96)<br />
<br />
ช่วงที่2 (พ.ศ. 2495-2520) มีการพัฒนาเครื่องมือจับปลา เช่น สะดุ้ง ซ้อน เสริมด้วยแพไม้ไผ่ เรือแจว ต่อมามีการติดเครื่องยนต์กับเรือหาปลา ราวปี พ.ศ. 2495 ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการหาปลามากขึ้น มีการใช้ไนล่อนแทนการใช้เส้นใยป่านหรือด้ายตราสมอ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านวัสดุและเครื่องยนต์นี้ต้องอาศัยเงินทุน ชาวไทโซ่ซึ่งไม่กล้าเสี่ยงลงทุนจึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าไทลาว ไทญ้อ (หน้า 97)<br />
<br />
ช่วงที่ 3 (พ.ศ. 2520-ปัจจุบัน) มีการเปลี่ยนแปลงเครื่องมือจับปลาเป็นเครื่องมือที่สามารถจับปลาได้ครั้งละมากๆ เช่น โต่ง และดางกัด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ชาวไทโซ่ไม่กล้าลงทุน และในช่วงนี้จึงมีชาวไทโซ่อพยพออกจากบ้านปากอูนเป็นระยะๆ (หน้า 97-98)<br />
<br />
<strong>กลุ่มไทลาวบ้านปากยาม</strong><br />
ช่วงที่ 1 (พ.ศ. 2447-2500) มีการจับปลาโดยใช้เครื่องมืออย่างง่ายๆ เช่น เบ็ด แห โทง มอง ภายหลังรับอิทธิพลเรือแนบมาจากญวน มีการค้าขายข้าวเปลือกกับโรงสีไฟในเมืองหนองคาย นครพนม (หน้า 98-99)<br />
<br />
ช่วงที่ 2 (พ.ศ. 2500-2513) เริ่มใช้เครื่องยนต์ติดเรือหาปลา มีการใช้ไนล่อนผลิตมองกวาดแทนเส้นใยป่าน ภายหลังรถยนต์มีบทบาทในการขนข้าวเปลือก ปลาร้า ทำให้การใช้เรือกระแซงหมดไป (หน้า 99-100)<br />
<br />
ช่วงที่ 3 (พ.ศ. 2513- ปัจจุบัน) โต่งเข้ามามีบทบาทในการจับปลาถึงแม้จะมีราคาสูง นอกจากโต่งแล้วยังมีการลงกัด ซึ่งมีการพัฒนาจากไม้ไผ่เป็นตาข่ายไนล่อน ทำให้จับปลาได้ง่ายขึ้น (หน้า 100)<br />
<br />
จากการศึกษาพบว่าชาวไทลาวมีความอดทน กล้าเสี่ยงจึงทำให้ประสบความสำเร็จในการจับปลาในลำน้ำสงคราม (หน้า 100) แตกต่างจากชาวไทโซ่บ้านปากอูนที่ไม่กล้าเสี่ยง ความอดทนต่ำ จึงทำให้ชาวไทโซ่ส่วนใหญ่อพยพออกจากพื้นที่กลับไปหาพื้นที่ทำนาซึ่งมีความถนัดมากกว่า (หน้า 98)โซ่ ทะวืง,ไทยลาว, วิถีชีวิต,ประมง, นครพนมตำบลโพธิไพศาล อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1223
1180รายงานการวิจัยการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์กับการอยู่รอดของชุมชนชาวม้งบ้านดอยปุย อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย จังหวัดเชียงใหม่ลีศึก ฤทธิ์เนติกุล ยิ่งยศ หวังวนวัฒน์ และคนอื่นๆชุมชนบ้านดอยปุยมีประชากร 1,284 คน 109 ครัวเรือน 6 กลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่ ม้ง จีนฮ่อ คนเมือง กะเหรี่ยง เนปาล และญี่ปุ่น ภายในชุมชนมีการจัดตั้งองค์กรต่างๆ ได้แก่ กลุ่มปกครองและพัฒนา กลุ่มกรรมการโรงเรียน กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม กลุ่มท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ กลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์เครดิตยูเนี่ยน และกลุ่มสตรี<br />
<br />
ก่อนที่จะมีโครงการวิจัยนี้ แต่ละกลุ่มต่างทำงาน จึงมองไม่เห็นผลการพัฒนาชุมชนในองค์รวม แต่หลังจากการทำวิจัยผ่านพ้นไประยะหนึ่ง พบว่า ทุกกลุ่มต่างร่วมมือกัน โดยวัดได้จากการร่วมกันจัดทำระเบียบชุมชน หลักสูตรท้องถิ่นของโรงเรียน และพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมชุมชนมากขึ้น ผลที่ได้ตามมา อันเป็นเป้าหมายของการวิจัยครั้งนี้คือ มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าไปเที่ยวชุมชนหมู่บ้านดอยปุยอย่างสม่ำเสมอในวันธรรมดาและอย่างคับคั่งในวันหยุดราชการ โดยที่การจัดการรูปแบบการท่องเที่ยวนั้นมีทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไปเองและกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไปกับบริษัทนำเที่ยว ยังไม่ได้มีการจัดรูปแบบที่เป็นเครือข่ายโดยตรง คงมีแต่องค์การเครือข่ายภายในชุมชนเท่านั้นที่หันมาจัดเป็นองค์กรเครือข่ายโดยมีประชาคมชาวบ้านเป็นผู้ประสานงาน<br />
<br />
<br />
การศึกษาภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ได้แก่ ยาสมุนไพร ยาบำรุงอาหารและยาจากธรรมชาติพันธุ์ม้ง ตลอดจนหน้าไม้ ปืนโบราณและกับดักสัตว์ชนิดต่างๆ <br />
<br />
สำหรับการศึกษาทรัพยากรธรรมชาตินั้น มุ่นเน้นทำการศึกษาผืนป่าทางทิศเหนือซึ่งส่วนใหญ่เป็นป่ารุ่นสองที่ฟื้นฟูโดยชาวบ้านในชุมชนดอยปุยและดอยผากอง อันเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ “ฟี่เหย่ง” หรือ “การบน” ของชาวม้งบ้านดอยปุยและหมู่บ้านใกล้เคียง จากการศึกษาพบว่า ผืนป่าได้รับการฟื้นฟูจนอุดมสมบูรณ์เกือบเท่าป่ารุ่นที่หนึ่งแล้ว บริเวณรอบๆดอยผากลองมีก้อนหินต่างๆที่เกิดเองตามธรรมชาติ แต่มีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์จงใจแกะสลักให้เป็นรูปเครื่องใช้ต่างๆ ในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของชาวม้งจากการที่ดอยผากลองเป็นสันเขาแคบๆ และมีดขดหินต่างๆอยู่เรียงราย จึงเป็นจุดชมทิวทัศน์ฝั่งอำเภอแม่ริม มีต้นไม้ประหลาดที่พบได้ต้นเดียวบนเทือกเขานี้ทั้งต้นและใบมีสีเงิน มีดอกสีขาว ชาวบ้านตั้งชื่อว่า “กุหลาบพันปีดอยผากลอง” <br />
<br />
ปัญหาและอุปสรรคที่พบจากการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ปัญหาบุคคล อาทิ บุคคลบางคนที่มีกำลังมันสมองและกำลังทรัพย์ แต่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับกิจกรรมส่วนรวมมากนัก ด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของคนในชุมชน เป็นเหตุให้ยากที่จะพัฒนาให้เกิดเอกลักษณ์ความเป็นชุมชนบ้านดอยปุยอย่างเช่นในอดีต ส่วนปัญหาด้านนโยบายคือข้อจำกัดของการที่ชุมชนบ้านดอยปุยอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ<br />
<br />
ข้อเสนอแนะของคณะวิจัยคือ ให้มีการกันเขตพื้นที่ใช้สอยทุกประเภทออกจากเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย แบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็นโซนต่างๆแล้วให้เข้าไปพัฒนาอย่างจริงจัง พร้อมทั้งตั้งกฎกติกาชุมชนมาควบคุมการก่อสร้างและการดำเนินกิจการต่างๆของรัฐทั้งส่วนท้องถิ่น ส่วนภูมิภาคและส่วนกลาง ควรจะส่งเสริมด้านงบประมาณเพื่อพัฒนาหมู่บ้านดอยปุยให้เป็นหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลด้านการท่องเที่ยวม้ง การท่องเที่ยว การอยู่รอด ดอยปุย เชียงใหม่ตำบลโพธิไพศาล อำเภอศรีสงคราม จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทยภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1180
1178วิทยานิพนธ์คำและความหมายในภาษาลาวโซ่งพนิดา เย็นสมุทรงานเขียนกล่าวการศึกษาลักษณะของคำ การเรียงคำ รูปประโยค ความหมายของคำในภาษาลาวโซ่ง(ผู้ไทยดำ ไทยทรงดำ) เปรียบเทียบคำและความหมายในภาษาลาวโซ่งกับภาษาไทย โดยศึกษาจากผู้บอกภาษาลาวโซ่งที่อยู่ในตำบลหนองสองห้อง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 4 คน ประกอบด้วยหญิง 2 คน ชาย 2 คน ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การจำแนกคำตามลักษณะโครงสร้างแบ่งเป็นคำพยางค์เดียว กับคำสองพยางค์ที่จำแนกเป็นคำประสม คำซ้ำ คำซ้อน การเรียงคำในภาษาลาวโซ่งไม่แตกต่างจากภาษาไทยมากนัก รูปประโยคภาษาลาวโซ่งที่ใช้กันมากคือรูปประโยคบอกเล่าแบบประธาน+กริยา+กรรม หรือเรียกว่าประโยคสามส่วน เช่น “พ่อกำลังกินข้าวอยู่”บางครั้งอาจตัดให้เป็นประโยคสองส่วนได้แก่ ประธาน+กริยา เช่น ”หม้อข้าวเดือด” หรือตัดประธานออกเหลือเฉพาะกริยา+กรรม เช่น”หิวข้าว” หรือเหลือเฉพาะ กริยา อาทิเช่น “สระผม” ก็ได้เช่นกันขึ้นอยู่กับคำถามหรือความเหมาะสมว่าจะตอบอย่างไรลาวโซ่ง ภาษา คำ ความหมาย สมุทรสาครตำบลโพธิไพศาล อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ประเทศไทย2524ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1178
1169รายงานการวิจัยความรู้ ความเชื่อ ในการใช้สมุนไพรรักษาสุขภาพของชาวผู้ไทยจังหวัดยโสธรพิสิฎฐ์ บุญไชยงานเขียนกล่าวถึงพฤติกรรมการใช้สมุนไพรซึ่งเป็นการรักษาแบบพื้นบ้าน การใช้ดูแลสุขภาพการทำยา วิธีเก็บสมุนไพร วิธีปรุงยา การใช้สมุนไพร ชนิดประเภทของยาสมุนไพรแหล่งที่เก็บสมุนไพร โรคที่รักษาของผู้ไทยบ้านน้อมเกล้า ตำบลบุ่งคล้า อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร<br />
<br />
จากการศึกษาพบว่า ผู้มารับการรักษาจากหมอสมุนไพรหรือหมอฮากไม้(รากไม้) ส่วนใหญ่เคยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐมาก่อนแต่เมื่ออาการไม่ดีขึ้นจึงหันมารักษาด้วยสมุนไพรเช่นโรคเบาหวาน เอดส์ ริดสีดวงทวาร มะเร็งและอื่นๆผู้ไท การรักษาโรค สมุนไพร ยโสธรตำบลโพธิไพศาล อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดยโสธร ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1169
1168วิทยานิพนธ์การคงอยู่ของวัฒนธรรมพื้นบ้านของชาวไทยใหญ่สุทัศน์ กันทะมาเงื่อนไข ปัจจัยที่ทำให้วัฒนธรรมไทยใหญ่คงอยู่คือ การเห็นคุณค่าหรือประโยชน์ที่อยู่ในรูปของความเชื่อซึ่งมีการถ่ายทอดผ่านพิธีกรรม จนกลายเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ และมนุษย์กับมนุษย์ ศาสนาและความเชื่อได้ให้ความสำคัญของคำสอนโดยมีพิธีกรรมเป็นส่วนเชื่อมโยง ผ่านการกล่อมเกลาโดยชุมชน ทำให้มีการปฏิบัติสืบต่อกันมา เป็นการกระทำซ้ำจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง<br />
ส่วนกลไกที่ทำให้วัฒนธรรมพื้นบ้านของชุมชนไทใหญ่คงอยู่ ประกอบด้วย ครอบครัวจะทำหน้าที่ถ่ายททอดภาษาพูด แบบแผน ความประพฤติตามวิถีชีวิตแก่ลูก ผุ้อาวุโสทำหน้าที่ให้คำปรึกษาในการจัดพิธีกรรมต่างๆ พระทำหน้าที่ถ่ายทอดศีลธรรมและการศึกษา ผู้ชำนาญการถ่ายทอดภูมิปัญญาต่างๆ เช่น พิธีกรรม ความรู้ทางช่าง หัตถกรรม ผู้นำในชุมชนเป็นผู้จัดและสนับสนุนประเพณีวัฒนธรรมของชุมชน เครือญาติทำหน้าที่สนับสนุนช่วยเหลือในการทำพิธีกรรมต่างๆ วัฒนธรรมพื้นบ้านของชาวไทยใหญ่ที่คงอยู่นั้น ไม่ได้คงอยู่เหมือนเช่นในอดีต มีการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านของคุณค่าของวัฒนธรรมและรูปแบบ (หน้า ง-จ)ไทยใหญ่,วัฒนธรรมพื้นบ้าน, การคงอยู่, แม่ฮ่องสอนตำบลโพธิไพศาล อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1168
1167วิทยานิพนธ์พิธีกรรมและประเพณีของชาวไทยยวนบ้านท่าเสา อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐมอำพร ขุนเนียมประเพณีและพิธีกรรมของชาวไทยยวนบ้านท่าเสา มีอิทธิพลดั้งเดิมมาจากการนับถือผีผสานกับความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน สังคมอยู่อย่างสงบสุขด้วยความเคารพยำเกรง ความกตัญญูกตเวทีตลอดจนความสามัคคีระหว่างคนในชุมชนที่เกิดขึ้นผ่านการปฏิบัติยึดถือประเพณีแต่โบราณ สำหรับการเปลี่ยนแปลงพิธีกรรมของชาวไทยยวนนั้นเกิดจากคน 3 กลุ่มคือ กลุ่มวัยชราซึ่งรักษาประเพณี พิธีกรรมดั้งเดิมเริ่มลงบทบาทลง กลุ่มวัยกลางคนที่เริ่มเปิดรับการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมเข้ามามีบทบาทแทนที่ และกลุ่มวัยรุ่นที่มีแนวคิดเปลี่ยนแปลงไป ไม่เห็นความสำคัญของประเพณี พิธีกรรมดั้งเดิมของชุมชน สิ่งเหล่านี้เกิดจากปัจจัยต่างๆทั้งทางด้านภูมิศาสตร์ ด้านชีวภาพ ด้านเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ทำให้เกิดการเปิดรับแนวคิดและพฤติกรรมใหม่เข้ามาในชุมชน เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมขึ้น สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบทั้งในด้านบวกและด้านลบ กล่าวคือ การลดขั้นตอนต่างๆ เป็นการเอื้ออำนวยให้คงรักษาเอกลักษณ์ประเพณี พิธีกรรมต่างๆไว้ อีกนัยหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ตลอดจนการเลือนหายไปของพิธีกรรม ประเพณีบางอย่างที่สั่งสมมาแต่ครั้งอดีต อย่างไรก็ตามความกตัญญู และการรู้ถึงบทบาทหน้าที่ของตนของคนในชุมชน ก่อให้เกิดสังคมที่เข้มแข็งในการรักษาวัฒนธรรมของตนท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของสังคมภายนอก(หน้า 122-124)ไทยยวน พิธีกรรม ประเพณี นครปฐมตำบลโพธิไพศาล อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1167
1166ปริญญานิพนธ์ชาวเขา เผ่าแม้วกับความมั่นคงภาคกลางพ.อ. ชัชย์ รัตนสมบูรณ์การศึกษาเรื่องของชาวเขาเผ่าแม้วกับความมั่นคงในภาคกลางของประเทศไทย <br />
มีความมุ่งหมายเพื่อให้ทราบว่า ชาวเขาเผ่าแม้วทางภาคเหนือของไทยได้อพยพลงมาสู่ภาคกลางเฉพาะในเขตจังหวัดนครสวรรค์ติดต่อกับจังหวัดอุทัยธานีและกำแพงเพชรมีเหตุมาจากความคับแค้นในเรื่องการประกอบอาชีพ ขาดที่ทำมาหากิน ความยากจน ถูกกดขี่หรืออรบกวนจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ ไม่ได้รับความคุ้มครองและเหลียวแลจากทางการ ขาดการศึกษา ไม่ได้รับคำชี้แจงที่ถูกต้องจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล เป็นผลให้ชาวเขาเผ่าแม้วคิดแต่จะอพยพไปอยู่ในถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ ไม่คิดถึงผลเสียหายที่เกิดขึ้นแก่คนไทยบนพื้นราบ<br />
<br />
รัฐบาลจะได้พยายามดำเนินการชี้แจงหรือทำการพัฒนาในเรื่องสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อให้ชาวเขาเผ่าแม้วคิดจะตั้งหมู่บ้านให้ถาวร หรือทำให้ชาวเขาเผ่าแม้วมีสิทธิเสรีเช่นเดียวกับคนไทยพื้นราบม้ง การเมืองการปกครอง ความมั่นคง อุทัยธานี นครสวรรค์ กำแพงเพชร ภาคกลางตำบลโพธิไพศาล อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร ประเทศไทย2518ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1166
1165ปริญญานิพนธ์การศึกษาสภาพการดำรงชีวิตของเผ่ากะเหรี่ยง กรณีศึกษาบ้านคำหวัน ตำบลแม่ตื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตากชลกาญจน์ ฮาซันนารี<span style="font-size:14px;">สารนิพนธ์ฉบับนี้เป็นการเสนอภาพรวมทั่วไปถึงการดำรงชีวิตของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง บ้านคำหวัน ที่มีการสืบทอด วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีจากบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะยึดเหนี่ยวให้ชุมชนดำรงมาจนถึงปัจจุบันนี้<br />
<br />
บ้านคำหวันตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน การคมนาคมไม่สะดวก ประชากรเป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงสะกอ มีจำนวนทั้งหมด 267 คน จำนวน 51ครัวเรือน มีอาชีพหลักคือการเกษตร ปลูกข้าวเป็นหลัก ผลผลิตทั้งหมดปลูกเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน อาชีพรองได้แก่ การหาของป่า รับจ้าง และค้าขาย ชาวบ้านมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องภาษา เวลาติดต่อกับสื่อสารกับโลกภายนอก อีกทั้งภาษากะเหรี่ยงเป็นภาษาที่ยากแก่การเข้าใจ จึงทำให้มีปัญหามาก ชาวบ้านยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ขาดแคลนในด้านต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่เป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง แต่ในขณะเดียวกันชุมชนก็ยังดำรงอยู่มาได้นับร้อยปี</span>ปกาเกอะญอ,วิถีชีวิต, ตากตำบลแม่ตื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1165
1164วิทยานิพนธ์การสร้างตัวตนผ่านการปฏิบัติเกี่ยวกับป่าของชุมชนปกาเกอะญอทรงพล รัตนวิไลลักษณ์ในอดีตปกาเกอะญอดำรงชีวิตอยู่ในป่า พึ่งพาธรรมชาติโดยตรง มีการพึ่งพาตนเองสูง และมีอำนาจในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ พิธีกรรมศาสนา การปกครอง ฯลฯ ผู้มีบทบาทหลักได้แก่ “หี่โข่” และผู้อาวุโสในชุมชน ปัจจุบันได้ถูกคุกคามจากอำนาจรัฐให้ออกจากป่า ทำให้ปกาเกอะญอที่ขุนวินสร้างตัวตนอย่างเด่นชัดมากขึ้นโดยการให้ความหมาย การต่อรอง และการตอบโต้เกี่ยวกับป่า เป็นความพยายามเพื่อที่อยู่กับป่าได้ กระวนการให้ความหมายเกี่ยวกับป่าผ่านกลไกของนักพัฒนาเอกชนและนักวิชาการทำให้เห็นตัวตน กิจกรรมที่เชื่อมโยงกับป่า เช่น การให้ความหมายเกี่ยวกับอาหาร และงานศพ รวมถึงการให้ความหมายหน่วยงานที่สนับสนุนเกี่ยวกับป่า<br />
<br />
ชาวขุนวินได้ต่อรองกับคนทุกระดับที่เกี่ยวข้องกับป่าตั้งแต่ระดับชุมชน และชุมชนใกล้เคียงแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย การต่อรองกับชาติพันธุ์อื่นเป็นการต่อรองเชิงการค้า การต่อรองกับชาวพื้นราบโดยการพึ่งพาอาศัย ในการต่อรองกับรัฐ ชาวขุนวินได้มีการหยิบยกการปฏิบัติเกี่ยวกับป่าในการที่จะอยู่กับป่า โดยการยกระดับกิจกรรมในกระบวนการจัดการป่า ผลจากการต่อรองทำให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยน และเรียนรู้ของชุมชนกับฝ่ายต่างๆ และก่อเกิดประโยชน์สูงสุด สำหรับชาวขุนวินในการที่ได้อยู่กับป่าและมีการสร้างรูปธรรมป่า ในขณะที่รัฐได้ประโยชน์จากการต่อรองชุมชน คือ ทำให้คนเกิดจิตสำนึกในการจัดการป่าและพื้นที่ป่าโดยรวมเพิ่ม โดยที่รัฐไม่ต้องลงทุน ชุมชนได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ถูกปฏิบัติเหมือนคนไทยทั่วไป ทำให้ตัดตอนอำนาจการคุกคามจากรัฐได้ระดับหนึ่ง ในกระบวนการตอบโต้ชุมชน ได้มีการรวมกลุ่มกับพันธมิตร และใช้ความเป็นชาวปกาเกอะญอในการที่มักน้อย สันโดษเป็นทุนเดิม และมีรูปธรรมการจัดการป่าในพื้นที่จริง มีการตอบโต้ ชาวขุนวินใช้ตำนาน ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองเชียงใหม่กับการถูกรุกรานที่สืบทอดผ่านผู้อาวุโส การตอบโต้โดยการใช้สุภาษิต การตอบโต้โดยการรื้อฟื้นความเชื่อขึ้นมาเกี่ยวโยงกับสถาบันหลักของชาติ ทั้งสถาบันชาติ และศาสนา ทำให้เกิดพลังในการตอบโต้ ทำให้ตัวตนของชาวขุนวินปรากฎออกมาที่เป็นส่วนหนึ่งของชาติไทย การชูกระแส คนสามารถอยู่กับป่าได้ ผ่านกลไกของปัญญาชนบ้านขุนวิน ปัญญาชนลุ่มน้ำแม่วาง การขัดขืนการคุกคามและการสร้างเครือข่ายพันธมิตรกับฝ่ายต่างๆปกาเกอะญอ ป่าชุมชน การสร้างตัวตน เชียงใหม่ตำบลแม่ตื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1164
1163รายงานการวิจัยวัฒนธรรมลุ่มน้ำมูล : กรณี เขมร ลาว ส่วย จังหวัดสุรินทร์เจริญ ไวรวัจนกุล และคณะ, ไพทูรย์ มีกุศล, ชื่น ศรีสวัสดิ์, สะอาด ทุนภิรมย์, สุเมธ คงสวัสดิ์, นิคม วงเวียน, เครือจิต ศรีบุญนาคการศึกษานี้ รวบรวมงานวิชาการในประเด็นที่เกี่ยวข้องกันทางวัฒนธรรมเขตลุ่มแม่น้ำมูล โดยเป็นกรณีศึกษาเฉพาะวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ เขมร, ลาว, ส่วย รวมทั้ง ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ได้รวบรวมรายงานการวิจัยย่อย 5 เรื่อง เป็นประเภทบทความ 2 เรื่อง และ รายงานการสำรวจ 1 เรื่อง ลุ่มแม่น้ำมูล เป็นแหล่งน้ำสำคัญทางเกษตรกรรมของพื้นที่อีสานตอนใต้ ทั้งยังเป็นแหล่งวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม โบราณคดี ที่สืบทอดจากอารยธรรมฟูนัน และขอมโบราณที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก (หน้า 34) จากรายงานการวิจัย “การสำรวจวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล โครงสร้าง และ ภาวการณ์รับรู้” (หน้า1-118) พบว่า ภาวะการรับรู้ข้อมูลวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล ของ นักศึกษาปริญญาตรี ที่ทำแบบทดสอบก่อนเรียน และ กลุ่ม นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 , ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ ปีที่ 6 ในสถานศึกษา จังหวัดสุรินทร์ อยู่ในระดับต่ำ (หน้า 113-116) .ในส่วนของผลการวิจัย “วัฒนธรรมแม่น้ำมูลเชิงชาติพันธุ์วิทยา และประวัติศาสตร์กรณีผสมกลมกลืนของกลุ่งชาติพันธุ์ กวย เขมร และ ลาว” (หน้า 119-125) พบว่า ชุมชนกูย เป็นชุมชนที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมอย่างเหนียวแน่น ประชากร ในเขตอีสานใต้ ที่ในอดีตเรียกว่า “หัวเมืองเขมรป่าดง” ซึ่งมี ประชากรกลุ่มที่พูดภาษา เขมร, ภาษา กวย (กูย) และ ภาษาไทยอีสาน (ไทยลาว) แม้ว่าไทยอีสานจะมีรกรากในพื้นที่แถบนี้มาก่อน แต่ในสมัยธนบุรี เป็นต้นมา มีการรวมหัวเมืองตามกลุ่มวัฒนธรรม จนเกิดการผสมกลมกลืน (Assimilation) จนปัจจุบัน มาอยู่ใต้แนวคิดของ รัฐชาติ (หน้า 124) นอกจากนี้การศึกษา “วัฒนธรรมการเลี้ยงช้างของชาวไทย-กูย (ส่วย) ในจังหวัดสุรินทร์ “ (หน้า126-156) เห็นได้ว่าการให้ความสำคัญต่อ ช้าง ไม่เพียงด้านเศรษฐกิจที่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยเท่านั้น (หน้า 154-155) ยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อในเรื่องต่างๆอีกด้วย แม้ว่าความเชื่อบางส่วนมีแนวคิดจากพุทธศาสนา แต่ความเชื่อเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ก็ยังมีบทบาทต่อสภาพชุมชนที่ต้องอยู่รอดในภาวะที่ยากแค้นและอยู่ห่างไกล (หน้า 195-196) ซึ่งเป็นการศึกษาใน “บทวิเคราะห์วัฒนธรรมที่เกี่ยวกับความเชื่อของชาวส่วย” (หน้า181-197) ในกรณีความเชื่อของ ไทยเชื้อสายเขมร ที่บ้านพลวง ก็เช่นกัน ที่มีแนวทางปฏิบัติครอบคลุมทุกด้านในวิถีชีวิตประจำวัน เช่น ข้อปฏิบัติ และลักษณะบุคคล, โหราศาสตร์, สุขภาพ ยารักษาโรค, เหตุการณ์ธรรมชาติ เป็นต้น ดังที่ปรากฏในการศึกษา “ความเชื่อของชาวไทย เขมร ศึกษากรณีบ้านพลวง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์” (หน้า 162-180) และ เมื่อนำความเชื่อ มาปรับใช้กับปัญหาความเจ็บป่วย จากการศึกษา “ความเชื่อกับการฟ้อนรำของลาว ส่วย เขมร ในเขตจังหวัดสุรินทร์” (หน้า 198-201) แสดงถึงการเชื่อมโยงความเชื่อ และ ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน นอกจากนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อการดำเนินชีวิต การศึกษา “วัฒนธรรมการทำงานของชาวนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ศึกษากรณีบ้านพะวร อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ” (หน้า157-161) แสดงให้เห็นโครงสร้างทางสังคมในชนบท ที่เป็นสังคมเกษตรกรรม โดยที่ความเชื่อพื้นฐานนั้นเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลต่อการทำงาน บทบาทหน้าที่ของสมาชิกครอบครัว และชุมชน (หน้า 159-161) รายงานการสำรวจสิ่งแวดล้อมศิลปกรรม ในเขตจังหวัดสุรินทร์ (หน้า 202-286) มรดกอารยธรรมโบราณ ได้แก่ปราสาท หลายแห่ง ที่ปรากฏจากการสำรวจพบว่าปัญหาทางกายภาพ ที่เกิดจากความชื้น และรากไม้วัชพืช ที่ขึ้นปกคลุมอาคาร การขาดการดูแล ประกอบกับ มีการบุกรุกเขตโบราณสถานเพื่อใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ทำให้เกิดทัศนะอุจาด (eye sore) เป็นผลสืบเนื่องจากความไม่มีความรู้ และ เข้าใจ ใน ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่น สอดคล้องกับการวิจัยในเรื่องภาวการณ์รับรู้ข้างต้น(หน้า 113-116) ด้วยเหตุที่โบราณสถานต่างนอกจากจะเกี่ยวพันกันทางประวัติศาสตร์แล้ว ยังแฝงไว้ด้วยตำนาน และเรื่องราวของท้องถิ่น ที่จำเป็นต้องส่งเสริมความรู้ดังกล่าวให้กับคนรุ่นต่อๆไป (หน้า 284-285)คะแมร์ลือ,ลาว, กูย กวย(ส่วย), ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, วัฒนธรรม, ลุ่มแม่น้ำมูล, สุรินทร์ตำบลแม่ตื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2533ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1163
1121ปริญญานิพนธ์ความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรมของชาวปกาเกอญอบ้านแม่หมีในหมู่ที่ 6 ตำบลหัวเมือง อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปางชัยศิลป์ คนคล่องการศึกษานี้เป็นการศึกษาลักษณะทั่วไปของชุมชน ความเชื่อ ประเพณีและวัฒนธรรมของปกาเกอญอบ้านแม่หมีใน ตำบลหัวเมือง อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง ปกาเกอญอบ้านแม่หมีในเข้ามาตั้งถิ่นฐานนานประมาณ 157 ปี ลักษณะการตั้งบ้านเรือนอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีภูเขาล้อมรอบและลำห้วยไหลผ่าน ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมอยู่ในหมู่บ้านมากกว่าออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน ชาวบ้านยังคงยึดถือความเชื่อประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างเคร่งครัด (บทคัดย่อ)ปกาเกอะญอ,บ้านแม่หมีใน,วัฒนธรรม,วิถีชีวิตความเป็นอยู่,ลำปางตำบลแม่ตื่น อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1121
1120รายงานการวิจัยกะเลิงบ้านบัวสุรัตน์ วรางค์รัตน์ ธวัชชัย กุณวงษ์ ศิริพร อินธิแสงงานเขียนกล่าวถึงสภาพความเป็นอยู่สังคม เศรษฐกิจ ของกะเลิงบ้านบัว ตำบลกุดบาก อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร ซึ่งแต่เดิมตั้งรกรากอยู่ในประเทศลาวซึ่งได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเช่นจังหวัดสกลนคร นครพนม และมุกดาหาร เมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้ว โดยอพยพมาเป็นจำนวนมากในสมัยรัชกาลที่ 3 ครั้งปราบปรามศึกเจ้าอนุวงศ์และเมื่อครั้งปราบปราบศึกฮ่อในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงมีกะเลิงได้อพยพหนีภัยสงครามเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากการศึกษาระบุว่าสภาพสังคมเศรษฐกิจของกะเลิงเปลี่ยนไปจากอดีตเนื่องจากกะเลิงมีประชากรมากขึ้นประกอบกับทางการเข้มงวดเรื่องการตัดไม้ในเขตวนอุทยานแห่งชาติ จึงทำให้การหาของป่าและล่าสัตว์ที่กะเลิงเคยทำมาแต่เดิมทำไม่ได้ เนื่องจากป่าไม้ขาดความอุดมสมบูรณ์ดังนั้นจึงทำให้กะเลิงบ้านบัวต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมปัจจุบันที่ต้องใช้เงินซื้อหาแทนวัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนสิ่งของระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในหมู่บ้านต่างๆ เหมือนเช่นที่เคยทำเมื่อในอดีตกะเลิง, วิถีชีวิต, สังคม, เศรษฐกิจ,บ้านบัว, สกลนครตำบลแม่ตื่น อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1120
1119วิทยานิพนธ์การรับมือกับปัญหา การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม มิติหญิงชาย กะเหรี่ยง วาทกรรมชายขอบ คนชายขอบทางสังคมจีระวรรณ์ บรรเทาทุกข์ผู้วิจัยได้ศึกษาและทำความเข้าใจองค์ความรู้เรื่องผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่อสุขภาพของชาวกะเหรี่ยงหมู่บ้านคลิตี้ล่าง ที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ตะกั่ว ศึกษาการอธิบายความทุกข์และปัญหาของชาวคลิตี้ล่างผ่านมิติทางเพศ ศึกษาการปรับตัวและรับมือกับปัญหาในระดับปัจเจก ครอบครัวและชุมชน โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ การสังเกตแบบมีส่วนร่วม สัมภาษณ์เจาะลึก และศึกษางานเขียนของผู้ได้รับผลกระทบ ผลการวิจัยพบว่าหญิงชายชาวคลิตี้ล่าง มีองค์ความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเป็นความรู้จากประสบการณ์ตรงและไม่มีความแตกต่างในความรู้ของทั้งสองเพศที่เด่นชัด มีความพยายามอธิบายปัญหาความเจ็บป่วยและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชุมชนในรูปของวาทกรรมจากชายขอบ และสะท้อนตัวตนของผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงมีการวิพากษ์ความรู้และอำนาจจากผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่ปฏิเสธประสบการณ์ของตน ชาวคลิตี้ล่างพัฒนากระบวนการต่อสู้ โดยเริ่มจากความต้องการคำอธิบายสาเหตุของความเจ็บป่วย มาสู่การเปิดพื้นที่ทางสังคมให้กับตนเอง ผ่านเวทีระดับต่างๆ ทำให้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับภาคีเครือข่าย ในสังคมวงกว้างมากขึ้นโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู กะเหรี่ยง, สิ่งแวดล้อม, สารตะกั่ว, คลิตี้ล่าง, กาญจนบุรีตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1119
1118รายงานการวิจัยอาหารพื้นบ้านไทยทรงดำ บางระกำ พิษณุโลก : การวิเคราะห์ตามแนวหน้าที่นิยมและสังคมวิทยาเปรมวิทย์ วิวัฒนเศรษฐ์การศึกษานี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการประกอบอาหาร การถนอมอาหารและวิเคราะห์อาหารพื้นบ้านไทยทรงดำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ผลการศึกษาผู้เขียนพบว่า อาหารพื้นบ้าน นอกจากเป็นสิ่งจำเป็นและสิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้ร่างกายเจริญเติบโต มีชีวิตอยู่อย่างปกติสุขแล้ว อาหารพื้นบ้านยังมีหน้าที่สำคัญ 2 ประการ คือ หน้าที่ทางจิตวิทยา และหน้าที่ทางการป้องกันและบำบัดรักษาโรค อันจะทำให้ไทยทรงดำดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้อีกทางหนึ่งด้วย สำหรับการวิเคราะห์ตามแนวสังคมวิทยา พบว่า อาหารพื้นบ้านได้สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของไทยทรงดำที่ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีอันเป็นสถาบันหนึ่งทางสังคมได้เป็นอย่างดี ส่วนการถนอมอาหาร พบว่า ไทยทรงดำมีการถนอมอาหารในบางโอกาสเท่านั้น ซึ่งวิธีการถนอมอาหาร มีเพียง 3 วิธี คือ การหมัดดอง การย่าง และการตากแห้ง (บทคัดย่อ)ลาวโซ่ง,ลาวโซ่ง,ไทยโซ่ง,ผู้ลาว,โซ่ง,ไตดำ,ไทยทรงดำ,อาหารพื้นบ้าน,พิษณุโลกตำบลท่าขนุน อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ประเทศไทย2528ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1118
1117วิทยานิพนธ์ความสัมพันธ์ของเครือญาติกับพฤติกรรมการใช้ส้วมของชาวโส้ : กรณีศึกษา บ้านโพธิไพศาล อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนครพจนา มณีรัตน์การศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของเครือญาติกับพฤติกรรมการใช้ส้วมของชาวโส้ ได้ดำเนินการศึกษา ณ บ้านโพธิไพศาล หมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 4 อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ กว่าร้อยปี ในสมัยก่อนไม่ค่อยได้มีการติดต่อกับชุมชนอื่น เพราะมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์พอที่จะยังชีพอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งคนอื่น กระทั่งมีการคมนาคมที่สะดวกจึงได้มีการติดต่อกับสังคมภายนอก คนในหมู่บ้านเริ่มออกไปติดต่อ ทำงานนอกหมู่บ้านมากขึ้นเป็นลำดับ จากการที่ได้ติดต่อกับชุมชนภายนอก มีการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามา ซึ่งหมายถึงส้วม อนึ่ง ประชากรที่อยู่ในชุมชนทั้งสองนี้เป็นเครือญาติเดียวกันในความหมายของความเป็นญาติทางสายโลหิต ทางด้านการแต่งงาน และการเป็นเพื่อนบ้านในชุมชนเดียวกัน เสมือนหนึ่งเป็นญาติกัน จากการศึกษาพบว่า ความเป็นเครือญาติมีส่วนสัมพันธ์กับการใช้ส้วม กล่าวคือ เมื่อคนในเครือญาติเดียวกันนำส้วมมาใช้ คนอื่นๆในกลุ่มก็เริ่มใช้ตาม แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆที่มีความสัมพันธ์กับการใช้ส้วมอีก คือ ความเป็นเพื่อนบ้านอยู่ใกล้เคียงกัน อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน มีการร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน เช่น การก่อสร้างส้วมรวมทั้งการอาศัยใช้ส้วมร่วมกันเมื่อตนเองยังไม่มี นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น คือ ด้านการศึกษา อายุ เพศ เศรษฐกิจ(รายได้) การติดต่อกับสังคมภายนอก ก็มีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการยอมรับการใช้ส้วม กล่าวคือ ถ้ามีการศึกษาสูง รายได้ดี มีการติดต่อกับสังคมภายนอก ก็จะมีผลทำให้รับการใช้ส้วมได้ง่าย ส่วนเรื่องอายุ พบว่า คนอายุน้อยรับการใช้ส้วมได้เร็ว ขณะที่ผู้สูงอายุรับการใช้ส้วมช้าที่สุด ยกเว้นเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ เช่น เมื่อมีอาการเจ็บป่วย เป็นต้น (บทคัดย่อ)โส้ โซร ซี,เครือญาติ, สุขอนามัย, ส้วม, บ้านโพธิไพศาล, สกลนครตำบลท่าขนุน อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1117
1116รายงานการวิจัยการสำรวจทางชาติพันธุ์ของชนเผ่าไทลื้อในลุ่มแม่น้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่รัตนาพร เศรษฐกุล, ชุลีพร วิมุกตานนท์, ราญ ฤนาทงานวิจัยนี้เป็นการสำรวจศึกษาการตั้งถิ่นฐานชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทลื้อบ้านเมืองลวง ตำบลลวงเหนือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นแนวทางการศึกษาชาวไทกลุ่มอื่นๆ ต่อไป ไทลื้อบ้านเมืองลวงเชื่อว่าบรรพบุรุษของตนอพยพมาจากแคว้นสิบสองปันนา มาตั้งถิ่นฐานในหมู่บ้านตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 ความเชื่อนี้สองคล้องกับร่องรอยของเมืองโบราณเวียงแก่นที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านปัจจุบัน ไทลื้อบ้านเมืองลวงมีภาษาพูดที่มีสำเนียงเฉพาะต่างจากภาษาของคนเมือง มีความเป็นอยู่เรียบง่าย ยึดมั่นผูกพันกับขนบธรรมเนียมประเพณีและศาสนา เพาะปลูกเป็นอาชีพหลัก ทั้งนี้ชาวบ้านเมืองลวงพร้อมที่จะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นทั้งจากระบบการศึกษาในโรงเรียน และการอบรมเพิ่มเติมจากหน่วยงานของรัฐบาลที่เข้าไปพัฒนาหมู่บ้าน (บทคัดย่อ)ลื้อ,วิถีชีวิต, การตั้งถิ่นฐาน, วัฒนธรรมประเพณี, การเปลี่ยนแปลง, เชียงใหม่ตำบลท่าขนุน อำเภอบางระกำ จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2527ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1116
1115-การค้าประเวณีของสตรีชาวเขาคณะนักวิจัย สถาบันวิจัยชาวเขา จังหวัดเชียงใหม่การศึกษาเป็นการรวบรวมประเด็นสาระสำคัญจากข้อมูลเชิงประจักษ์ในบริบทที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีของสตรีชาวเขาในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และแม่ฮ่องสอน ทั้งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์การค้าประเวณีในกลุ่มสตรีชาวเขา ได้แก่ ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่สร้างแรงกดดันต่อวิถีชีวิตการดำรงชีวิตของชาวเขาซึ่งได้แก่ พื้นที่ทำกิน การศึกษา ครอบครัว และยาเสพติด ปัจจัยภายในชุมชน/สังคมชาวเขา ซึ่งได้แก่ กลไกควบคุมสังคมและเงื่อนไขทางวัฒนธรรมที่เป็นทัศนคติทางบวกเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ และสุดท้ายปัจจัยจากสังคมภายนอกคือ การรับรู้ข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับการค้าประเวณีทั้งด้านบวกและด้านลบ ซึ่งสตรีชาวเขาตอบสนองข้อมูลเหล่านี้ โดยให้เป็นทางเลือกหนึ่งในการหางานที่มีรายได้ตอบแทน (คำนำ)วิถีชีวิต,ผู้หญิง,การขายบริการทางเพศ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1115
1114วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงและปรับตัวทางสังคมของชาวเขาเผ่าอีก้อ(อาข่า) บ้านผาหมี อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายจิราวรรณ ชัยยะเนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสังคมของอาข่าบ้านผาหมี หมู่ที่ 6 ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งจากการศึกษาระบุว่า สาเหตุที่ทำให้สังคมอาข่าบ้านผาหมีเกิดการเปลี่ยนแปลงเนื่องมาจาก 2 ปัจจัยได้แก่ ปัจจัยจากภาพนอกเช่นการพัฒนาถนนหนทางรวมทั้งมีระบบสาธารณูปโภคในหมู่บ้านที่ดีขึ้นกว่าในอดีตจึงทำให้อาข่าเกิดการปรับตัวทั้งความคิด ทัศนคติและค่านิยม ดังนั้นจึงทำให้ประเพณีหลายอย่างสูญหายเพื่อให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนต่างๆ และปัจจัยที่มีอิทธิพลจากภาพที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นบทบาทของผู้นำท้องถิ่น คนที่มีฐานะและคนที่ได้รับการศึกษา ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มที่อาข่าในหมู่บ้านมีความเชื่อถือและไว้วางใจ ซึ่งผลของการเปลี่ยนแปลงนั้นเนื่องมาจากกระบวนการพัฒนาของรัฐบาล ดังนั้นจึงทำให้เกิดการปรับตัวในสังคมอาข่าบ้านผาหมีเพื่อให้ทันกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปการปรับตัว, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1114
1080วิทยานิพนธ์The Impact of Trans-State Ethnic Mon Nationalism upon Thailandภาณุทัต ยอดแก้วการเคลื่อนไหวทางการเมืองส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นกับชุมชนมอญในไทย มีผลกระทบทางจิตวิทยาในภาพรวม เพราะคนไทยมอญส่วนใหญ่โดยเฉพาะที่อยู่ในต่างจังหวัดมีความเป็นเอกเทศจากวัฒนธรรมและค่านิยมไทยรวมทั้งจากกระแสทุนนิยม ชุมชนเหล่านี้ได้รับการปลูกฝังสำนึกชาติพันธุ์ซึ่งยังดำรงอยู่ในระดับหนึ่ง สื่อสิ่งพิมพ์มีพลังไม่พอที่จะโน้มน้าวให้คนไทยมอญส่วนใหญ่ตัดสินใจใช้ความรุนแรง แต่มีผลกระทบในแง่ของการปลุกระดมแนวคิดชาตินิยม รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการส่งเสริมและปกป้องผลประโยชน์ของพรรคมอญใหม่ คนไทยมอญส่วนใหญ่ไม่กล่าวโทษว่าไทยมีส่วนทำให้เพื่อนร่วมชาติของพวกตนต้องตกระกำลำบาก และส่วนใหญ่ยังมีความจงรักภักดีทางการเมืองต่อสังคมเจ้าบ้าน จึงไม่มีแนวโน้มที่จะมีการใช้ความรุนแรงเพื่อระบายความคับข้องใจจากความคาดหวังที่ไม่เป็นจริง ขณะที่คนมอญในพม่าที่แม้ส่วนใหญ่จะรู้สึกผิดหวังกับไทยที่ไม่เต็มใจให้ความช่วยเหลือแก่พวกตนในทศวรรษ 1990 แต่มีน้อยคนที่คิดจะใช้ความรุนแรงตอบโต้รัฐบาลไทยกับคนไทย (หน้า 93-94)มอญ,อุดมการณ์ชาตินิยม,เครือข่ายของกระบวนการชาตินิยม,มิติของสื่อและสารตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2539ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1080
1079วิทยานิพนธ์Tai Yai Migration in Thai-Burma Border Area: Its Settlement and Assimilation Process, 1962-1977เรียวโกะ ไกเซะงานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่าการตั้งถิ่นฐานของผู้อพยพ และกระบวนการกลืนกลายได้รับอิทธิพลอย่างมากจากประวัติศาสตร์และลักษณะเฉพาะของพื้นที่ซึ่งการอพยพได้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ลักษณะเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดเครือข่ายของผู้อพยพ ซึ่งถือเป็นระบบสนับสนุน และผู้ให้ความเห็นอกเห็นใจในสังคมผู้รับ ดังนั้นการตั้งถิ่นฐานและการกลืนกลายในสังคมผู้รับ จึงดำเนินไปได้ด้วยดีกว่ากรณีอื่นๆ ลักษณะเช่นนี้สามารถนำไปสู่การอธิบายการโยกย้ายครั้งต่อไปของผู้อพยพ การรักษาและการสร้างลักษณะของระบบการอพยพในพื้นที่เขตนี้ และเป็นที่ชัดเจนว่าชาวบ้านมองเห็นและสนองตอบต่อการหลั่งไหลเข้ามาของผู้อพยพด้วยทัศนคติที่แตกต่างไปจากรัฐบาลไทย ดังนั้นการศึกษาในครั้งต่อไปที่ควรจะเป็นคือการวิเคราะห์เกี่ยวกับปรากฏการณ์การอพยพจากมุมมองของท้องถิ่น (หน้า iv)ไทยใหญ่,การปฏิสัมพันธ์,การตั้งถิ่นฐานของผู้อพยพ,กระบวนการกลืนกลาย,ชายแดนไทย-พม่าตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2542ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1079
1078ร่างรายงานผลการวิจัยกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง การรักษาเยียวยา ผู้คน ชุมชน และสภาพสิ่งแวดล้อม(ลีซู)ทวิช จตุวรพฤกษ์ลีซู เชื่อวาสาเหตุความเจ็บป่วยเกิดจากอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจเหนือธรรมชาติ และอำนาจเร้นลับ ที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่างๆ การบำบัดรักษาประกอบด้วยการประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้ พิธีเรียกขวัญ และการใช้ยาสมุนไพร ซึ่งบางครั้งอาจจะใช้ควบคู่กัน หากสาเหตุการเจ็บป่วยเกิดจากธรรมชาติจะใช้ยาสมุนไพรในการรักษา แต่หากเกิดจากสาเหตุอำนาจเหนือธรรมชาติสมาชิกในชุมชนจะมีความรู้สึกร่วมกันเพราะเกรงว่าจะลุกลามในระดับชุมชน สมาชิกในครอบครัวและชุมชนจะเป็นผู้ให้ความดูแลเอาใจใส่ ให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยลีซู,การรักษาพยาบาล,หมอพื้นบ้าน,ภาคเหนือของประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1078
1077ร่างรายงานผลการวิจัยกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง การรักษาเยียวยา ผู้คน ชุมชน และสภาพสิ่งแวดล้อม(อาข่า)อุไรวรรณ แสงศรอาข่า มีความเชื่อในพลังเหนือธรรมชาติ วิญญาณ ภูตผี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเทพเจ้า ซึ่งเป็นที่มาของกฎเกณฑ์ ข้อห้าม จารีตประเพณีในชุมชน ขั้นตอนการวินิจฉัยโรค การรักษาพยาบาลมีทั้งการประกอบพิธีกรรม การใช้ยาสมุนไพร คาถาอาคม โดยหมอพื้นบ้านจะมีการรักษากฎจรรยาบรรณเพื่อให้การรักษาได้ผลดี และรักษาความศักดิ์สิทธิ์เอาไว้อาข่า,การรักษาพยาบาล,หมอพื้นบ้าน,ภาคเหนือของประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1077
1076ร่างรายงานผลการวิจัยกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง การรักษาเยียวยา ผู้คน ชุมชน และสภาพสิ่งแวดล้อม(กะเหรี่ยง)สารณีย์ ไทยานันท์ และนิภา ลาชโรจน์กะเหรี่ยง การรักษาพยาบาลแบบพื้นบ้านตามจารีตประเพณี ฮีโข่หรือผู้นำหมู่บ้านจะเป็นผู้ปกครองชมชนและเป็นหมอผีประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ หมอรักษาโรคประกอบด้วยหมอคาถา หมอทำนายโรค หมอตำแย หมอกระดูก หมอยาสมุนไพร โดยมีความเชื่อถือต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ มีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ต้องเคารพยำเกรง แต่จากการพัฒนาทางเศรษฐกิจได้ส่งผลต่อวิถีชีวิต รวมถึงการใช้ทรัพยากรป่าไม้ที่มีน้อยลงกะเหรี่ยง,การรักษาพยาบาล,หมอพื้นบ้าน,ภาคเหนือของประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1076
1075รายงานการวิจัยกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง การรักษาเยียวยา ผู้คน ชุมชน และสภาพสิ่งแวดล้อม(อิวเมี่ยน)สมเกียรติ จำลองเย้า กระบวนการรักษาพื้นบ้านจะมีความผูกพันกับศาสนาและความเชื่อในการนับถือผีบรรพบุรุษ และอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งสาเหตุการเจ็บป่วยอาจมาจากละเมิดอำนาจเหนือธรรมชาติ ขวัญไม่อยู่ หรือสาเหตุอื่นๆ โครงสร้างทางการเมืองจะประกอบด้วยหัวหน้าหมู่บ้าน หมอผี คณะผู้อาวุโส ทำหน้าที่ปกครองและประกอบพิธีกรรมอิวเมี่ยน(เย้า),การรักษาพยาบาล,หมอพื้นบ้าน,พะเยาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1075
1074เอกสารวิชาการกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง การรักษาเยียวยา ผู้คน ชุมชน และสภาพสิ่งแวดล้อม(ลาหู่)สารภี ศิลา และอิฐศักดิ์ ศรีสุโขลาหู่ มีความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยเชื่อว่า "กื่อซา" เป็นเทพผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่งทั้งหมด หากมนุษย์ไม่ทำความดีกื่อซาจะไม่คุ้มครอง ทำให้ผีร้ายกระทำจนเกิดความเจ็บป่วย เมื่อเสียชีวิตจะเกิดเป็นสัตว์กว่า 150 ชนิด จนกว่าจะหมดกรรมจึงจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ "ตูโบ" "โตโบ" "ปู่จาร หรือ ปู่จอง" จะเป็นผู้ที่สามารถติดต่อกับกื่อซาได้ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องผีผู้คุ้มครองซึ่งต้องทำพิธีเซ่นไหว้ หากมีผู้ล่วงเกินจะทำให้เกิดความเจ็บป่วย การรักษาพยาบาลจะมีทั้งการรักษาด้วยพิธีกรรมและการใช้ยาสมุนไพรลาหู่,การรักษาพยาบาล,หมอพื้นบ้าน,ภาคเหนือของประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1074
1073รายงานการวิจัยกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง การรักษาเยียวยา ผู้คน ชุมชน และสภาพสิ่งแวดล้อม(ม้ง)สุเมธ ทาริยะม้ง มีระบบความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ มีหมอผีในการสื่อสารกับผีหรือเทพ ซึ่งจะได้รับความเชื่อถือจากชาวบ้าน กระบวนการรักษาจะมีการใช้ทั้งยาสมุนไพรและคาถาอาคม สมาชิกในครอบครัวจะมีส่วนร่วมในการรักษาทุกขั้นตอน รูปภาพได้ปรากฏอยู่ในส่วนต่างๆ ของบทความ แต่ไม่ได้ระบุชื่อภาพ โดยเป็นภาพวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆ ประกอบด้วย หน้าที่ 35-37, 39, 43, 47-51, 54-55ม้ง,การรักษาพยาบาล,หมอพื้นบ้าน,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1073
1072ร่างรายงานผลการวิจัยMobility and Interethnic Relationships among Karen Women and Men in Northwest Thailand : Past and Present.Yoko Hayamiบทความนี้มาจากการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการย้ายถิ่น (mobility) ของกะเหรี่ยง (โดยเฉพาะกะเหรี่ยงสกอว์) ที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งกล่าวถึงความต่อเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนย้ายถิ่นของกะเหรี่ยงในสองประเด็น คือ 1) บรรทัดฐานทางสังคม (norms) ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายถิ่นซึ่งแบ่งแยกตามเพศ (gender) 2) ความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์และเครือข่ายทางสังคมและภูมิภาค ถูกกำหนดนิยามใหม่โดยการเคลื่อนย้ายถิ่นที่ถูกแบ่งแยกตามเพศ (หน้า 289) แนวโน้มของการเคลื่อนย้ายถิ่นในหมู่กะเหรี่ยงเปลี่ยนแปลงไปจากการเคลื่อนย้ายเพื่อการค้า ไปสู่การเคลื่อนย้ายเพื่อเป็นแรงงานรับจ้างในระดับภูมิภาค และสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่คือการเคลื่อนย้ายเพื่อแสวงหาโอกาสทางการศึกษาและไปเป็นแรงงานรับจ้างในเมือง ซึ่งปรากฏเพิ่มขึ้นในหมู่หนุ่มสาวโดยเฉพาะหญิงสาวกะเหรี่ยง โดยปกติมีมาตรฐานทางสังคมจำกัดการย้ายถิ่นของผู้หญิงในหมู่บ้านกะเหรี่ยงบนเขา ทำให้ผู้หญิงมีการเคลื่อนย้ายถิ่นน้อยกว่าผู้ชาย ฉะนั้น การเพิ่มขึ้นของจำนวนหญิงสาวกะเหรี่ยงในเมือง จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ บรรทัดฐานทางสังคมที่ควบคุมการย้ายถิ่นของผู้หญิงไม่ได้เพียงสะท้อนมโนคิดของกะเหรี่ยงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์เท่านั้น แต่ยังกำหนดรูปลักษณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่มาตรฐานทางสังคมที่ควบคุมการเคลื่อนย้ายถิ่นของผู้หญิงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่โดยตัวของผู้หญิงเองก็ท้าทายและฝ่าฝืนต่อบรรทัดฐานทางสังคมดังกล่าว และด้วยกระบวนการเช่นนี้ได้กำหนดนิยามหรือขอบเขตใหม่ให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ (หน้า 290, 304)กะเหรี่ยงสกอว์,เพศ,การเคลื่อนย้ายถิ่น,การเปลี่ยนแปลง,ความสัมพันธ์,กลุ่มชาติพันธุ์,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1072
1071บทความTai Dam (Black Tai) in Lao P.D.R. (Important Rituals and Beliefs)ผศ.ประชัน รักษ์พงษ์ผู้เขียนศึกษาไทดำใน สปป.ลาว กล่าวถึงความเป็นมาของไทดำว่ามีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ที่สิบสองจุไททางภาคเหนือของเวียดนาม ฝรั่งเศสที่เข้ายึดครองเวียดนามเรียกชาติพันธุ์นี้ว่า "ไทดำ" โดยดูจากการสวมใส่เสื้อกางเกงสีดำ (ส่วนคนไทยเรียกไทดำในประเทศไทยว่า "ลาวโซ่ง") อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของไทดำ ดูได้จากวิถีชีวิตความเป็นอยู่ จารีตประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ผู้เขียนได้พรรณนาให้เห็นถึงลักษณะทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของไทดำ เช่น การแต่งกาย ระบบครอบครัวและเครือญาติ ลักษณะของชุมชน และชนชั้นในสังคม ประเพณีการหาคู่ของหนุ่มสาวและการแต่งงาน พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิด-การตาย พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการรักษาผู้ป่วย และพิธีเซ่นไหว้ผีเรือนหรือผีบรรพบุรุษ เป็นต้นไทดำ,สังคม,ประเพณี,พิธีกรรม,ความเชื่อ,ประเทศลาวตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2541https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1071
1070บทความDifferentiation and Involution of Ethno-Regional Lao Identity in Northeast Thailand and Lao P.D.R.HAYASHI, Yukioบทความนี้พรรณนาถึงพลวัตรของความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ และระหว่างภูมิภาคในกลุ่มคน "ลาว" (Lao) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่พูดภาษา "ไท" (Tai) ที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยและใน สปป.ลาว โดยมุ่งศึกษาคำจำกัดความของคำว่า "ลาว" ด้วยการพรรณนาถึงกระบวนการของบุคคลในการอธิบายคนอื่นตามแบบฉบับของตน ซึ่งเป็นการมอง "ผู้อื่น" ด้วยกระบวนการเชิงอัตวิสัย (subjective) ในกลุ่มคนทั้งที่เป็นคนลาวและไม่ใช่ลาว ผู้เขียนมองว่า ลักษณะจำเพาะของความเป็นลาว (Lao ness) ในหมู่ชาวบ้านไม่สามารถพบได้ แม้ว่าจะถามกับคนลาวหรือกับคนที่ไม่ใช่ลาวก็ตาม สิ่งที่ทำได้ดีกว่าคือ การให้ภาพของ "ความเป็นลาว" ออกมาจากการเล่าเรื่องความทรงจำที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ของพวกเขา ซึ่งสะท้อนถึงวิธีการสร้างบุคลิกลักษณะทางชีวภาพของคนอื่น เพื่อที่จะได้เห็นกระบวนการแยกแยะความแตกต่างและความสลับซับซ้อนของอัตลักษณ์ลาวในบริบทท้องถิ่นภายใต้การสร้างรัฐ-ชาติ ในความทรงจำของชาวบ้าน ความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์สามารถสังเกตได้จากกิจกรรมที่ทำ เช่น การแลกเปลี่ยนสินค้า การค้าขาย การแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ การเดินทางเพื่อแสวงหาที่เพาะปลูกใหม่ หรือการอพยพหนีภัยสงคราม เป็นต้น ความสัมพันธ์ประเภทนี้ขยายตัวจากการพูดจาโต้ตอบกับผู้คนต่างกลุ่มที่อยู่ใกล้กัน เป็นเพื่อนบ้านกัน แล้วแผ่ขยายกว้างขวางออกไปสู่ความสัมพันธ์ในระดับรัฐ โดยเฉพาะการอพยพย้ายถิ่นมีความสำคัญเป็นพิเศษ แรงจูงใจในการเคลื่อนย้ายถิ่นไม่ใช่เพียงเพื่อต้องการทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น แต่ต้องการมีสถานภาพที่สูงขึ้นในท้องถิ่นด้วย สังคมลาวกำลังสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงเป็นรูปธรรมกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในภูมิภาค มุมมองและการมองจากประสบการณ์เดิมต่อผู้อื่นถูกสั่งสมมาระหว่างกัน จนเป็นการขีดเครื่องหมายเขตแดนสำหรับกันและกัน บางเครื่องหมายที่สร้างขึ้นมาก็ใช้ได้ดี และบ้างก็ถูกละทิ้งไป ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงออกถึงความโดดเด่นทางวัฒนธรรมของตนต่อคนอื่นเท่านั้น แต่ได้ช่วยสร้างอัตลักษณ์ทางชนชาติในยุคลัทธิบริโภคนิยมอย่างเช่นปัจจุบันอีกด้วย นั่นคือ การแสดงตัวว่าเป็นลาว เป็นวิธีการแสดงออกแบบหนึ่งในหลากหลายวิธีการ ของการใช้การจำแนกความแตกต่างของตัวเองออกจากคนอื่น ๆ ในแง่มุมของความเหนือกว่าทางสังคม-เศรษฐกิจและการเมือง-วัฒนธรรม ซึ่งถูกฝังรากลึกในความทรงจำและประสบการณ์ร่วมกันของความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในภูมิภาค ลักษณะเช่นนี้เป็นยุทธศาสตร์ในการปรับเปลี่ยนตนเองให้เหมาะสมกับระบบสังคมที่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งส่งผลต่อกันและกัน และการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก (หน้า 232, 243, 245)ไทย-ลาวอีสาน,ลาว,อัตลักษณ์,ความแตกต่าง,ความเกี่ยวพัน,สปป.ลาว,ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1070
1069บทความLooking Laos through Buddhismทรงคุณ จันทจรพุทธศาสนามีอิทธิพลอย่างมากต่อพฤติกรรมและความรู้สึกนึกคิดของคนเชื้อชาติไทยและลาวทั้งต่อบุคคลและต่อสาธารณะ ในแง่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ความเชื่อและความศรัทธา ในความคิดเห็นของคนไทยและลาว พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่พวกเขาเลื่อมใสศรัทธาอย่างแท้จริง แม้ว่าในทางปฏิบัติของชีวิตประจำวันจะมีความเชื่อของทางฮินดูหรือเรื่องของเทพเทวดามาเกี่ยวข้องบ้างก็ตาม โดยเฉพาะ พุทธศาสนาจะสะท้อนออกมาใน "ฮีตสิบสอง" หรือ "ประเพณีสิบสองเดือน" ซึ่งเป็นจารีตประเพณีที่ชาวบ้านไทย-ลาวในภาคอีสานและคนลาวถือปฏิบัติอยู่ในโอกาสต่าง ๆ ทั้งสิบสองเดือนในแต่ละปี ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมสำคัญทางพุทธศาสนา หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี ค.ศ.1975 ในลาว พุทธศาสนาธรรมยุตินิกายและมหานิกาย ถูกยกเลิกให้รวมเป็นพระสงฆ์ลาวหนึ่งเดียวกันภายใต้การปกครองของคณะกรรมการพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว (The Central State Council of Bonze) และกำกับดูแลโดยแนวโฮม หรือ แนวลาวสร้างชาติ (The Lao Front for National Construction) ส่วนของไทย พุทธศาสนาอยู่ภายใต้การจัดระเบียบการปกครองของมหาเถรสมาคม และสถาบันพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในสามสถาบันหลักของชาติ ในส่วนของการศึกษาของสงฆ์และสามเณร ทั้ง สปป.ลาว และประเทศไทยให้ความสำคัญกับการศึกษาของภิกษุสามเณรอย่างมาก โดยเห็นเหมือนกันว่า พุทธศาสนามีส่วนอย่างสำคัญในการให้การศึกษาแก่ประชาชน โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้คนยากจนมีโอกาสในการศึกษาบวชเรียน รัฐบาลของทั้งสองประเทศสนับสนุนการศึกษาของภิกษุสามเณร ตั้งแต่ระดับต้นจนถึงระดับอุดมศึกษา (หน้า 203-204)ลาว,ไทย-ลาว,พุทธศาสนาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1069
1068บทความAn Anthropological Analysis of Burmanization of the Shan.Michio TAKATANIบทความนี้เป็นความพยายามใช้มุมมองทางมานุษยวิทยาศึกษาคนไตในพม่าที่ถูกเรียกว่า “ฉาน” (Shan) เดิมคำว่า “ฉาน” เป็นชื่อที่คนพม่าใช้เรียกคนที่พูดภาษาไตในพม่า ตลอดจนได้รับอิทธิพลทางการเมืองและวัฒนธรรมจากพม่า โดยความเกี่ยวเนื่องกันทางประวัติศาสตร์ ผู้เขียนเน้นการศึกษาที่กระบวนการทำให้เป็นพม่า (Burmanization) ผ่านแง่มุมด้านศาสนาในสองประเด็น คือ การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการไหว้ผีของคนไต (ฉาน) และการรวมนิกายทางพุทธศาสนาเข้าด้วยกันเป็นศาสนาของรัฐ (State Sangha) รากเหง้าของการไหว้ผีของคนไตกำลังถูกทำให้เป็นพม่ายิ่งขึ้นโดยผ่านการบูชา Ko Myo Shin ซึ่งเป็นผีที่ได้รับความเคารพจากคนพม่าอย่างมาก นอกจากนี้ รัฐบาลได้รวมนิกายย่อย (sects) ต่าง ๆ ในพุทธศาสนาเถรวาทที่มีอยู่ในพม่าเข้าด้วยกัน ให้จดทะเบียนอย่างเป็นทางการ 9 นิกาย นิกาย Zawti ซึ่งเป็นนิกายเก่าแก่ของคนไตถูกรวมเข้าเป็นศาสนาของรัฐ โดยถูกรวมเข้ากับนิกาย Thudhamma gaing ซึ่งเป็นนิกาย 1 ใน 9 นิกายนั้น ส่วนนิกายท้องถิ่นอื่น ๆ นอกจากนี้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือไม่ก็สูญหายไปไต (ฉาน),การทำให้เป็นพม่า,การไหว้ผี,ศาสนาพุทธ,พม่าตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1068
1067บทความCultural Identity and Ethnic Boundary of Tai Nuea in the Yunnan-Burma Periphery.Hasegawa Kiyoshi, Yang Guan Yijanบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาโครงสร้างของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และการรักษาพรมแดนทางชาติพันธุ์ของไตเหนือ (Tai Nuea) ในพื้นที่บริเวณยูนนาน-พม่า โดยศึกษาในเขตปกครองตนเองเต้อหง มณฑลยูนนานในจีน ไตเหนือในเต้อหงจำแนกตนเองว่าเป็น "ไตเหนือ" และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าคนไตในพม่าเป็น "Tai Tau" การแสดงออกนี้ก็เพื่อเป็นการรักษาอัตลักษณ์ความเป็นไตเหนือไว้ โดยมีมิติเชิงภูมิศาสตร์มาอธิบาย นอกจากนี้ ยังมีกลไกการจำแนกด้วยการเปรียบเทียบความแตกต่างทางการเมืองและวัฒนธรรมระหว่างจีนกับพม่า การที่ไตเหนือผ่านการซึมซับและใกล้ชิดวัฒนธรรมจีน เป็นกลไกที่ช่วยธำรงรักษาจิตสำนึกของไตเหนือว่า ตนเองแตกต่างจาก Tai Tau ซึ่งได้รับอิทธิพลทางการเมืองและวัฒนธรรมจากพม่า การจำแนกคนไตในพม่าว่าเป็น Tai Tau เป็นระบบการจำแนกชาติพันธุ์ที่ไตเหนือสร้างขึ้นมาซึ่งมีขอบเขตทางการเมืองและวัฒนธรรมในหมู่กลุ่มคนไตที่อยู่บริเวณพรมแดนยูนนานและพม่า (หน้า 105-106)ไตเหนือ,การจำแนกชาติพันธุ์,พรมแดนชาติพันธุ์,ยูนนาน-พม่าตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1067
1066บทความBeing Lue, and not being LueYuji Babaไทลื้อที่อพยพจากสิบสองปันนามาอยู่ในภาคเหนือของไทย มีการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมกับคนยวนซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ของภาคเหนือ ดังนั้นประเด็นปัญหาที่ว่า "ใครคือลื้อ" จึงเป็นปัญหาที่มีความคลุมเครือ งานวิจัยนี้มุ่งเน้นศึกษาถึงสถานการณ์ปัจจุบันของอัตลักษณ์ไทลื้อในภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะในสามหมู่บ้านไทลื้อของอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ไทลื้อ 3 หมู่บ้านในอำเภอท่าวังผา (หมู่บ้าน N, D และ T) มีการรักษาอัตลักษณ์ไว้โดยการทำพิธีบูชาเจ้าหลวงเมืองล้า ซึ่งเชื่อโยงกับความทรงจำเกี่ยวกับถิ่นฐานดั้งเดิมในสิบสองปันนาและตำนานเรื่องราวการอพยพ สิ่งสำคัญในพิธีกรรมคือความทรงจำเกี่ยวกับ ลำดับชั้นของผีเมืองเจ้าหลวงเมืองล้า (the pantheon of Chao Laung Muang La) และตำแหน่งสำคัญของผู้ร่วมประกอบพิธีกรรม เช่น เจ้าเมือง และหมอเมือง เป็นต้น โดยลำดับชั้นของผีเมืองแสดงให้เห็นถึงตำนานของกองทหารไทลื้อในช่วงเวลาของการอพยพ ส่วนเจ้าเมืองและหมอเมืองแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวพันทางเชื้อสายกับสิบสองปันนา แต่เมื่อโครงการพัฒนาชนบทและระบบการปกครองท้องถิ่นของรัฐเข้าสู่หมู่บ้าน มีความพยายามที่จะแสดงออกถึงความเป็นลื้อด้วยการสร้างความหมายใหม่ให้กับพิธีกรรมบูชาเจ้าหลวงเมืองล้า โดยเชื่อมโยงเข้ากับประวัติศาสตร์ความทรงจำของแต่ละหมู่บ้านลื้อ,อัตลักษณ์,พิธีกรรม,ตำนาน,การเปลี่ยนแปลง,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1066
1065บทความEthnic Groups in Chiangmaiอรุณรัตน์ วิเชียรเขียวในจังหวัดเชียงใหม่มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันจำนวนมากอาศัยอยู่ร่วมกันมายาวนานตั้งแต่โบราณ จนในปัจจุบัน ประชาชนบนพื้นราบส่วนใหญ่เกิดการผสมกลมกลืนกับคนเมืองซึ่งเป็นชนกลุ่มหลัก สามารถพูดคำเมืองซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นได้ รับประทานอาหารพื้นเมือง แต่งกายแบบคนเมือง และเข้าร่วมกิจกรรมในงานเทศกาลและพิธีกรรมของท้องถิ่น ผู้เขียนมองว่าเชียงใหม่ประสบความสำเร็จในการผสมผสานกลมกลืนวัฒนธรรมของกลุ่มอื่น ๆ เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวัฒนธรรมล้านนา ประชาชนอยู่ร่วมกันได้อย่างประสานกลมกลืนด้วยวัฒนธรรมที่พิเศษเฉพาะตัวของล้านนา (หน้า 56-57)กลุ่มชาติพันธุ์,ความเป็นมา,ถิ่นฐาน,ความเชื่อ,วัฒนธรรม,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1065
1064รายงานการวิจัยมรดกวัฒนธรรมไทยเบิ้ง ลุ่มแม่น้ำป่าสัก ในเขตที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนป่าสักภูธร ภูมะธน และคณะชุมชนที่อาศัยบริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก ในเขตที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนป่าสักชุมชนปัจจุบันคือ ไทยเบิ้ง บ้างเรียกว่า ไทยเดิ้ง หรือไทยโคราช มีชุมชนใหญ่อยู่ที่บ้านมะนาวหวาน บ้านโคกสลุง อำเภอพัฒนานิคม และบ้านชัยบาดาล อำเภอชัยบาดาล จากหลักฐานเอกสารประวัติศาสตร์และโบราณวัตถุสถานกำหนดได้ว่าเป็นชุมขนที่มีการตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยอยุธยา ราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 และด้วยเหตุที่เป็นเส้นทางผ่านทั้งทางบกและทางน้ำ(แม่น้ำป่าสัก) ไปยังหัวเมืองอื่นๆ ชุมชนแถบนี้จึงหนาแน่นขึ้นเนื่องจากการย้ายถิ่นฐานของกลุ่มชนอื่นๆเข้ามาอาศัยในแถบนี้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มไทยลาว ที่อพยพตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านมะกอกหวาน บ้านท่ากรวด และบ้านแก่งผักกูด เป็นต้น ชุมชนไทยเบิ้งบริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก ที่อาศัยในเขตที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนป่าสัก เป็นชุมชนที่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมกับชุมชนไทยเบิ้งใกล้เคียง เช่น บ้านดีลัง บ้านสระโบสถ์ บ้านเพนียด บ้านโคกสลุง บ้านบัวชุม และเมืองนครราชสีมา ด้วยสาเหตุของการสมรส พิธีกรรม การปครองและการเป็นเส้นทางผ่าน ไทยเบิ้งที่อาศัยในเขตที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนป่าสักมีเอกลักษณ์ในเรื่องของ ภาษาพูด ประเพณี ความเชื่อ ภูมิปัญญา สังคม สถาปัตยกรรม และผลงานทางวัฒนธรรม เช่น ภาษา วรรณกรรม ศิลปกรรม การแต่งกาย ดนตรี การละเล่นเพลงพื้นบ้าน การละเล่นทั่วไปและกีฬา นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่า ชุมชนไทยเบิ้งในพื้นที่ดังกล่าว เป็นชุมชนที่มีลักษณะทางวัฒนธรรมแบบผสมผสาน กล่าวคือเป็นชุมชนที่มีทั้งเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเฉพาะของตน ลักษณะวัฒนธรรมแบบชุมชนไทยภาคกลางบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลักษณะวัฒนธรรมไทยโคราชไทเบิ้ง ไทเดิ้ง,วัฒนธรรม,ลุ่มแม่น้ำ,เขื่อน,ป่าสัก,ลพบุรี,สระบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1064
1063วิทยานิพนธ์พิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวบนบ้านน้ำลาด ตำบลนายางกลัก อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิกัณฑิมา เรไรพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวบนบ้านน้ำลาดในอดีต เมื่อมีคนตายไม่ว่าผู้ตายจะตายลักษณะใดก็ตาม ชาวบนบ้านน้ำลาดจะนำฟากไม้ไผ่มาห่อหุ้มศพ ใช้เถาวัลย์รัดช่วงศีรษะ เอว และข้อเท้า นำไปฝังใกล้บริเวณบ้าน จากนั้นสมาชิกในครอบครัวจะช่วยกันรื้อถอนบ้านไปปลูกใหม่ แต่ไม่ไกลจากที่เดิมนัก ชาวบนบ้านน้ำลาดจะปลงศพแบบฝังกับผู้ตาย และไม่มีพิธีกรรมทางศาสนาเนื่องจากชาวบ้านนับถือผี ต่อมาเมื่อมีกลุ่มชาติพันธุ์ไทยลาว ไทยโคราช ได้เข้ามาอาศัยอยู่พื้นที่เดียวกัน ทำให้ชาวบนบ้านน้ำลาดรับเอาวัฒนธรรมเข้ามาปรับเปลี่ยน จึงทำให้ขั้นตอนพิธีการเกี่ยวกับผู้ตายมีความซับซ้อนมากขึ้น ผลจากการรับเอาวัฒนธรรมจากกลุ่มชาติพันธุ์ไทยลาวและไทยโคราช ทำให้พิธีกรรมเกี่ยวกับความตายปลงศพแบบเผากับผู้ตายในทุกกรณี พิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวบนบ้านน้ำลาดสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพิธีกรรมกับกลุ่มคนที่มีความแตกต่างกันทั้งเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ขนบธรรมเนียมที่ต้องปรับเปลี่ยนไปเพื่อความคงอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ของตน พิธีกรรมเกี่ยวกับความตายสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างเป็นผู้รับและผู้ให้ระหว่างผู้ตายกับสังคม การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในชุมชนที่มีความเกี่ยวข้องกันเสมอ ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วชาวบน,พิธีกรรม,ความตาย,บ้านน้ำลาด,ชัยภูมิตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดชัยภูมิ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1063
1062วิทยานิพนธ์การออกแบบผลิตภัณฑ์จากผ้าทอไทใหญ่ บ้านใหม่หมอกจ๋าม อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่แก่นจันทร์ มะลิซองานเขียนศึกษาประวัติความเป็นมาของการทอผ้าของไทใหญ่ การออกแบบและลวดลายผ้าไทใหญ่ ในพื้นที่บ้านใหม่หมอกจ๋าม อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทำให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอไทใหญ่ รวมทั้งเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจและเผยแพร่งานหัตถกรรมการทอผ้าของไทใหญ่ให้เป็นที่รู้จักของคนโดยทั่วไปไทใหญ่,ผ้า,หัตถกรรม,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1062
1061วิทยานิพนธ์การตั้งชื่อของชาวกะเหรี่ยงโปตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรีชมพูนุท โพธิ์ทองคำงานเขียนกล่าวถึงการตั้งชื่อของกะเหรี่ยงโป 5 หมู่บ้าน ใน ตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ซึ่งมีทั้งการตั้งชื่อภาษากะเหรี่ยงและภาษาไทย งานเขียนได้แบ่งกลุ่มกรณีศึกษา 450 คน ออกเป็น 3 กลุ่มอายุ ซึ่งพบว่า กลุ่มอายุ 41-60 ปี ส่วนมากจะตั้งชื่อเป็นภาษากะเหรี่ยงหากตั้งชื่อเป็นภาษาไทยก็จะเขียนให้ใกล้เคียงกับภาษากะเหรี่ยง ซึ่งคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุที่ไม่ค่อยรู้ภาษาไทยดังนั้นจึงให้เจ้าหน้าที่อำเภอตั้งชื่อภาษาไทยให้เป็นส่วนใหญ่ ความหมายชื่อส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับธรรมชาติ ต้นไม้ ดอกไม้ ฯลฯ กลุ่มที่ 2 อายุ21-40 ปี มีทั้งชื่อภาษากะเหรี่ยงและชื่อภาษาไทย เนื่องจากกลุ่มนี้มีการติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้น และมีการตั้งชื่อที่มีความหมายในทางนามธรรม เช่น ความดี ความเจริญ ความสำเร็จ เป็นต้น และกลุ่มที่ 3 อายุ 1-20 ปี กลุ่มนี้ 100 %ตั้งชื่อเป็นภาษาไทย ส่วนใหญ่จะมีความหมายในทางนามธรรม เช่น อำนาจ ชัยชนะ ความสำเร็จ ฯลฯโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู กะเหรี่ยง,ชื่อ,ภาษากะเหรี่ยง,ภาษาไทย,ค่านิยม,สังคม,ราชบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1061
1060รายงานการวิจัยศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวัฒนธรรมไทลื้อจุฑามาศ สนกนก,พิเชษฐ อนุกูลงานเขียนกล่าวถึงการศึกษาสังคมและวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทลื้อบ้านแม่สาบ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งคาดว่ามีบรรพบุรษเคยตั้งรกรากอยู่สิบสองปันนาและเชียงตุง ก่อนที่จะอพยพมาอยู่บ้านแม่สาบ อันเนื่องมาจากสงครามที่เกิดขึ้นในอดีต จากการศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง 148 คนพบว่าในหมู่บ้านไทลื้อแห่งนี้มีทั้งวัฒนธรรมที่ยังคงปฏิบัติกันอยู่หรือยังอนุรักษ์ไว้ เช่นความเชื่อบางอย่าง การนับถือศาสนา บ้าน การแต่งกาย ฯลฯ และเลิกปฏิบัติไปแล้วเช่นความเชื่อ อาหาร การแต่งกายและประเพณีบางอย่าง สาเหตุที่เลิกปฏิบัติเพราะไม่เหมาะกับยุคสมัยหรือไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตลื้อ,สังคม,วัฒนธรรม,ความเป็นมา,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2528ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1060
1059ปริญญานิพนธ์การปรับตัวทางเศรษฐกิจและสังคมของสตรีผู้อพยพชาวเมี่ยน (เย้า) ในรัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกาขนิษฐา คันธะวิชัยงานเขียนกล่าวถึงการปรับตัวทางสังคมเศรษฐกิจวัฒนธรรมของผู้หญิงเมี่ยน(เย้า)ในรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งแต่เดิมเมี่ยนกลุ่มนี้ได้อพยพเนื่องจากปัญหาทางการเมืองช่วงหลังการทำสงครามที่นำโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริการ่วมกับชนกลุ่มน้อย หลายกลุ่ม รวมทั้งเมี่ยนได้ร่วมกันต่อสู้กับกองกำลังคอมมิวนิสต์ในประเทศลาวและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อแลกกับความช่วยเหลือต่างๆ จากสหรัฐอเมริกาภายหลังสงครามยุติ ซึ่งภายหลังที่กองกำลังคอมมิวนิสต์สามารถยึดครองประเทศลาวได้สำเร็จ เมี่ยนหวั่นเกรงอันตรายที่อาจได้รับจากคอมมิวนิสต์จึงอพยพเข้ามาอยู่ในค่ายอพยพในประเทศไทยก่อนที่จะถูกส่งตัวไปประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจากการศึกษาพบว่าเมี่ยนที่เกิดในสหรัฐอเมริกาสามารถเข้ากับวัฒนธรรมอเมริกันได้ดีแต่ขาดความรู้และความเข้าใจในวัฒนธรรมและพูดภาษาเมี่ยนแทบไม่ได้ (กรณีศึกษาหญิงเมี่ยนอายุ 20ปี) และกลุ่มที่เกิดและโตในประเทศลาวสามารถปรับตัวได้ในระดับปานกลางระหว่างวัฒนธรรมเมี่ยนปนกับวัฒนธรรมอเมริกัน(หญิงเมี่ยนอายุ 47ปี) ส่วนกลุ่มที่มีอายุมาก (หญิงเมี่ยนอายุ 73 ปี) ปรับตัวไม่ค่อยได้เพราะพูดภาษาอังกฤษไม่เก่งและยังใช้ชีวิตแบบวัฒนธรรมเมี่ยนมาก กว่ากลุ่มหญิงเมี่ยนที่อายุน้อยกว่าหรือเกิดในสหรัฐอเมริกาเมี่ยน,เศรษฐกิจ,สังคม,การเมือง,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้,รัฐวอชิงตัน,สหรัฐอเมริกาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1059
1058รายงานการวิจัยผ้าและการสืบทอดความรู้เรื่องผ้า: กรณีศึกษากะเหรี่ยงโปว์ ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรีและสุพรรณบุรีผะอม นะมาตร์,อัญชัน สวัสดิโอ,ระเบียบ สุภวิรี,โกวิท แก้วสุวรรณงานเขียนศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผ้าที่ใช้เป็นเครื่องแต่งกายของกะเหรี่ยงโปว์ ที่อยู่ในพื้นที่กรณีศึกษาได้แก่ ตำบลไล่โว่ อำเภอ สังขละบุรี ตำบลเขาโจด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี, ตำบลสวนผึ้ง ตำบลบ้านคา อำเภอสวนผึ้งจังหวัดราชบุรี และ ตำบลวังยาว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี งานเขียนได้ศึกษาถึงประโยชน์ใช้สอยวัตถุดิบที่ใช้ ลวดลาย เทคนิค การทอและวิธีใช้ ซึ่งพบว่า ทุกววันนี้การแต่งกายด้วยชุดกะเหรี่ยงยังนิยมแต่งในกลุ่มผู้สูงอายุ ส่วนคนหนุ่มสาวได้เปลี่ยนมาแต่งตัวตามสมัยนิยมเหมือนคนพื้นราบ โดยจะแต่งชุดกะเหรี่ยงเมื่อมีงานพิธีทางความเชื่อที่สำคัญ นอกจากนี้เสื้อผ้ารวมทั้งสิ่งของเครื่องใช้ได้แยกประเภทการใช้งานที่แตกต่างกันเช่น เสื้อผู้ชาย เสื้อผู้หญิง ผ้าซิ่นแบบต่างๆ ผ้าห่ม ผ้าโพกหัว และย่าม สิ่งของต่างๆ นี้ได้บอกว่าควรใช้กับงานประเภทใด เวลาใด เช่น ใช้สวมใส่ในชีวิตประจำวันหรือในงานพิธี เป็นต้นกะเหรี่ยงโปว์,ผ้า,ชุดแต่งกาย,หัตถกรรม,วัฒนธรรม,กาญจนบุรี,ราชบุรี,สุพรรณบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1058
1057รายงานการวิจัยชาวเขาเผ่าม้งกับความมั่นคงแห่งชาติอุดมชัย องคสิงหงานเขียนกล่าวถึงการศึกษานโยบายของรัฐที่เกี่ยวกับม้งเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาม้งในประเทศไทยที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ซึ่งกลุ่มประชากรศึกษาได้แก่ ม้งที่อยู่ในภาคเหนือ12 จังหวัดได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน น่านฯลฯในภาคอีสานทีจังหวัดเลย และม้งอพยพจากประเทศลาวที่เข้ามาหลังจากที่ลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ โดยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมาอยู่ที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี จากการศึกษาพบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นจากม้งตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ได้แก่ ม้งร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ต่อสู้กับกองกำลังฝ่ายรัฐบาลไทย ที่เกิดขึ้นในภาคเหนือ เมื่อ พ.ศ.2510 -2528 ,ปัญหาการทำลายสภาพสิ่งแวดล้อม ,ปัญหาหลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ได้แก่กลุ่มม้งอพยพที่อยู่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกที่มี 20,000 กว่าคน, การไม่ทำตามกฎหมาย , คุกคามคนพื้นราบ ก่ออาชญากรรม เรียกร้องการได้สัญชาติทั้งๆที่หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย, สะสมอาวุธ,ขบวนการต่อต้านลาวหรือ ขตล. ซึ่งก่อให้เกิดความหวาดระแวงจากรัฐบาลลาวว่าไทยจะให้ความสนับสนุน ฯลฯม้ง,การเมือง,สังคม,ประเทศลาว,ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1057
1056รายงานการวิจัยการสำรวจการใช้ไม้ฟืนของชาวเขาเผ่าต่างๆสมาน รวยสูงเนินศึกษาการใช้ไม้ฟืนของชาวเขากลุ่มต่างๆ เช่น กะเหรี่ยง อีก้อ มูเซอ ลีซอเย้า ม้ง(แม้ว) ที่อยู่ในจังหวัดต่างๆ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน น่าน พบว่าในหนึ่งปีชาวเขาหมู่บ้านกรณีศึกษา มีการใช้ไม้ฟืนเฉลี่ย 38.262 ลบ.ม./ครอบครัว/ปี ซึ่งไม้ที่นำมาทำฟืนเป็นไม้ที่อยู่ป่าต้นน้ำ จากการศึกษาคณะผู้วิจัยเห็นว่าเป็นการใช้ไม้ฟืนของชาวเขานั้นมีจำนวนมาก ทำให้กระทบต่อป่าต้นน้ำ ดังนั้นควรสนับสนุนให้ชาวเขาปลูกไม้โตเร็ว เพื่อนำมาทำฟืนและทดแทนต้นไม้ในป่าเขาอันเป็นป่าต้นน้ำปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง, โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู กะเหรี่ยง,อาข่า, มลาบรี มราบรี,ลาหู่ ลาฮู,ลีซู,เมี่ยน อิวเมี่ยน,ม้ง,การใช้ไม้ฟืน,เชียงใหม่,เชียงราย,แม่ฮ่องสอน,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2523ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1056
1055วิทยานิพนธ์ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์แห่งลุ่มทะเลสาบรัฐฉานภูมิพัฒน์ เชติยานนท์งานเขียนกล่าวถึงสภาพสังคม เศรษฐกิจการเมืองของชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อยู่ในเมืองยองห้วย รัฐฉาน ประเทศพม่า ซึ่งประกอบด้วยชาติพันธุ์อันหลากหลาย ซึ่งเมืองนี้แต่เดิมมีเจ้าฟ้า ชาวไต เป็นผู้นำ ต่อมาหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในพม่า เมื่ออำนาจการปกครองตกอยู่ในการดูแลของรัฐบาลพม่า ทำให้บทบาทของชาวไตลดความสำคัญลง ในบางด้าน เป็นผลให้ อินตาและปะโอขึ้นมามีบทบาทสำคัญในด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยว หลังจากที่รัฐบาลพม่าส่งเสริม ปีการท่องเที่ยวในประเทศ เมื่อ ค.ศ.1996 จึงทำให้เมืองยองห้วย-รอบทะเลสาบอินเล มีการพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น โรงแรมที่พัก ร้านขายสินค้า ร้านอาหาร ถนนหนทาง การติดต่อสื่อสาร เรือบริการนักท่องเที่ยวในทะเลสาบอินเล และอื่นๆอินตา,ปะโอ,ไต,การเมือง,สังคม,เศรษฐกิจ,ความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์,เมืองยองห้วย,รัฐฉาน,พม่าตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดShan State ประเทศพม่า2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1055
1054รายงานการวิจัยศาสนาและความเชื่อไทดำในสิบสองจุไทสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามสุมิตร ปิติพัฒน์งานเขียนกล่าวถึงความเชื่อและพิธีกรรม สังคม การเมือง ความเป็นอยู่ของไทดำที่อยู่ในสิบสองจุไท ที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ซึ่งบริเวณนี้มีสภาพภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน ทั้งนี้กลุ่มไทดำ เป็นกลุ่มคนไทที่ยังรักษาวัฒนธรรมความเชื่อ และความเป็นอยู่ของตนเอาไว้อย่างมั่นคงมากระทั่งถึงทุกวันนี้ แม้ว่าสภาพสังคม เศรษฐกิจและการเมืองในประเทศเวียดนามจะเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตไทดำ,สังคม,ศาสนา,ความเชื่อ,พิธีกรรม,สิบสองจุไท,เวียดนามตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดDien Bien ประเทศเวียดนาม2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1054
1053วิทยานิพนธ์ปัญหาจีนฮ่ออพยพภายใต้การควบคุมของกระทรวงมหาดไทย: ศึกษาเฉพาะกรณีอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายวิทยา วัชระเกียรติศักดิ์กล่าวถึงการศึกษาถึงปัญหาของจีนฮ่ออพยพ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกิดจากปัญหาสงครามกลางเมืองในประเทศจีนระหว่างกลุ่มทหารจีนคณะชาติ(ก๊กมินตั๋ง) และทหารจีนพรรคคอมมิวนิสต์ เริ่มจาก พ.ศ.2492 จากการสู้รบเมื่อทหารจีนคณะชาติพ่ายแพ้จึงถอยไปอยู่ไต้หวัน ส่วนกลุ่มที่อยู่ในมณฑลยูนนานได้เดินทางเข้าเขตประเทศพม่าแต่ได้ถูกกดดันให้เดินทางไปไต้หวัน ส่วนกลุ่มที่ไม่ยอมไปไต้หวันได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ซึ่งกลุ่มจีนฮ่อให้สร้างปัญหาหลายอย่างขณะอยู่ ในเขตประเทศไทย กระทั่งทางการไทยต้องออกระเบียบเพื่อควบคุมโดยให้กลุ่มจีนฮ่อต้องปฏิบัติตามระเบียบการควบคุมของกระทรวงมหาดไทย สำหรับกลุ่มจีนฮ่อในไทยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ จีนฮ่ออดีตทหารจีนคณะชาติส่วนใหญ่ได้รับสถานะเป็นคนต่างด้าวและได้รับสัญชาติไทยในระดับชั้นลูกหลาน เนื่องจากเคยช่วยรัฐบาลไทยสู้กับกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์ ส่วนกลุ่มจีนฮ่ออพยพคือญาติพี่น้องที่ติดตามมาพร้อมกับจีนคณะชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรศึกษา กลุ่มนี้ยังต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบการควบคุมของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มจีนฮ่ออพยพมักฝ่าฝืนระเบียบข้อปฏิบัติต่างๆ เพราะจีนฮ่ออพยพส่วนมากยังอยากให้แก้ไขระเบียบการควบคุม เนื่องจากอยากมีอิสระรวมทั้งอยากให้การขออนุญาตออกนอกพื้นที่ง่ายกว่าเดิม หรือไม่จำเป็นต้องขออนุญาตเพราะอยู่ในประเทศไทยมานานแล้ว นอกจากนี้จีนฮ่ออพยพยังอยาก มีสัญชาติไทยในเร็ววันเพราะไม่อยากทำตามระเบียบการควบคุมของกระทรวงมหาดไทย ส่วนจีนฮ่ออิสระซึ่งเป็นจีนฮ่ออีกกลุ่มที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยโดยผิดกฏหมายนั้น ทางการไทยยังไม่มีนโยบายให้สถานะเป็นคนต่างด้าวหรือให้สัญชาติไทยจีนยูนนาน จีนมุสลิม จีนฮ่อ,การอพยพ,การควบคุม,รัฐ,การเมือง,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1053
1052รายงานการวิจัยคนไทเมืองกว่า ไทแถงและไทเมืองในประเทศเวียดนามสุมิตร ปิติพัฒน์, ฮวง เลืองกล่าวถึง สังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิต การเมือง เศรษฐกิจของ ไทแถง ไทเมือง ที่อยู่เมืองกว่า ซึ่งทุกวันนี้ คือ ตำบล มุนเซิน อำเภอกอนกวง จังหวัดเหงะอาน ประเทศเวียดนาม โดยมุ่งศึกษาความรู้พื้นฐานทางภาษากับวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนไทในเมืองกว่า และการปรับตัวอันเนื่องมาจากสังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศเวียดนาม ว่ากลุ่มคนไทได้มีการปรับตัวในการดำรงชีวิตอย่างไรไทแถง,ไทเมือง,สังคม,วิถีชีวิต,เมืองกว่า,เหงะอาน,เวียดนามตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดNyhe An ประเทศเวียดนาม2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1052
1051รายงานการวิจัยการศึกษาหมู่บ้าน บ้าน และเทคโนโลยีการก่อสร้างของหมู่บ้านจีนฮ่อ จังหวัดแม่ฮ่องสอนอรศิริ ปาณินท์งานเขียนกล่าวถึงหมู่บ้านและบ้านของจีนฮ่อ หรืออดีตทหารจีนคณะชาติ(ทหารก๊กมินตั๋ง) ซึ่งหมู่บ้านกรณีศึกษา คือ บ้านสันติสุข อำเภอปาย กับบ้านรักไทย อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยศึกษาในเรื่องต่างๆ การวางผังหมู่บ้าน,บ้าน ประเภทของบ้านและผังบริเวณบ้าน, วัสดุก่อสร้างโครงสร้างและเทคโนโลยีการก่อสร้าง และได้เปรียบเทียบกับบ้านในชนบทของจีนในมณฑลยูนนาน สำหรับประชากรศึกษาเป็นจีนฮ่ออพยพซึ่งแต่เดิมอยู่อาศัยในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน โดยได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยอันเนื่องมาจากปัญหาทางการเมืองในประเทศจีนจีนยูนนาน จีนมุสลิม จีนฮ่อ,สถาปัตยกรรม,หมู่บ้าน,เรือน,การอนุรักษ์สภาพแวดล้อม,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1051
1050รายงานการวิจัยสถาบันครอบครัวของกลุ่มชาติพันธุ์ในกรุงเทพมหานคร กรณีศึกษาครอบครัวญวนงามพิศ สัตย์สงวนผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลจากประชากรในชุมชนญวนสามเสน จำนวน 80 ครอบครัว แต่ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์จำนวน 55 ครัวเรือน การวิจัยสถาบันครอบครัวของกลุ่มชาติพันธุ์ญวนมีสมมุติฐานทั้งหมด 27 ข้อ ผลของการทดสอบสมมุติฐานพบว่า ยอมรับสมมุติฐานทั้งหมด 9 ข้อ ได้แก่ 1. ครอบครัวรุ่นเก่ามีคู่ครองคนเดียว 2. ครอบครัวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมีคู่ครองคนเดียว 3. ครอบครัวรุ่นใหม่มีคู่ครองคนเดียว 4. ครอบครัวรุ่นใหม่เลือกคู่ครองเอง 5. ครอบครัวรุ่นใหม่ให้มรดกบุตรชายและบุตรสาวเท่ากัน 6. ครอบครัวรุ่นเก่าแต่งงานกับคนนับถือคริสต์ศาสนา 7. ครอบครัวรุ่นใหม่แต่งงานกับคนนอกศาสนาคริสต์ 8. ครอบครัวรุ่นใหม่แต่งงานกับคนนอกชุมชน 9. ครอบครัวรุ่นใหม่มีบุตรน้อย สำหรับปัจจัยที่ทำให้ครอบครัวญวนประสบความสำเร็จ อาจสรุปได้ว่า เพราะมีทุนทางสังคมมากกว่าครอบครัวอื่น เช่น ฐานะดี รายได้ดี การศึกษาดี มีสถานภาพทางสังคมสูงในรุ่นบิดา มารดา ปู่ย่าตายาย รวมทั้งมีบุตรน้อย และได้ถ่ายทอดค่านิยมสำคัญที่จะช่วยให้รุ่นลูกหลานประสบความสำเร็จในการเรียน มีอาชีพดี มีรายได้ดี และมีสถานภาพทางสังคมสูง มีครอบครัวที่เข้มแข็งมั่นคงเวียต(ญวน),ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์,สถาบันครอบครัว,กรุงเทพมหานครตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1050
1049รายงานการวิจัยลาวโซ่งกับคริสต์ศาสนาเสมอชัย พูลสุวรรณลาวโซ่งอพยพเข้าสู่ประเทศไทยในฐานะเชลยศึกจากทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ราวสองร้อยปีที่ผ่านมา โดยครั้งแรกตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ในอดีตลาวโซ่งนับถือผีบรรพบุรุษสืบเนื่องมาแต่โบราณ เมื่ออพยพเข้าสู่ประเทศไทย ลาวโซ่งยังคงรักษาคติการนับถือผีบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัดร่วมไปกับการนับถือพุทธศาสนาตามอย่างคนไทย ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างคริสต์ศาสนากับชาวบ้านแหลมกระเจา ถูกก่อสานขึ้นมาภายใต้ระบบอุปถัมภ์ โดยเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังราวยี่สิบปีก่อน เมื่อมิชชันนารีได้สร้างเสริมอาชีพและให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ชาวบ้านซึ่งประสบภัยนาล่มเนื่องจากถูกน้ำท่วมหลายปีติดต่อกัน
ความสนใจของชาวบ้านแหลมกระเจาต่อคริสต์ศาสนามีหลายระดับแตกต่างกัน ตั้งแต่มาเข้าร่วมกิจกรรมตามมารยาท กระทั้งถึงการยอม รับเชื่อ ว่าพระเจ้ามีจริง และยอม รับศีล อันหมายถึงการยอมเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสเตียน โดยพวกที่ร่วมกิจกรรมตามมารยาทและยอม รับเชื่อ มีจำนวนมากกว่าพวกที่ยอม รับศีล เป็นอันมาก การเปลี่ยนศาสนาของชาวบ้าน ส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนในฐานะปัจเจกบุคคล โดยแต่ละครอบครัวยังคงมีหัวหน้าครอบครัวและสมาชิกฝ่ายชายทำหน้าที่สืบผีของตระกูล มีบ้างในกรณีที่หัวหน้าครอบครัวยอมเข้ารีต และเลิกประเพณีที่เกี่ยวข้องกับผีบรรพบุรุษ อีกทั้งยอมให้มิชชันนารีเข้ามาทำพิธียกหิ้งผีบรรพบุรุษออกจากเรือน ซึ่งจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านในทำนองว่าเป็นการทิ้งผีพ่อผีแม่ ทำให้ผู้ที่เปลี่ยนศาสนาถูกต่อต้านจากญาติพี่น้อง และค่อนข้างแปลกแยกจากสังคม
มิชชันนารีที่เข้าไปเผยแผ่ศาสนาในชุมชนมีจุดยืนทางศาสนศาสตร์ที่ประนีประนอมกับวัฒนธรรมดั้งเดิม ด้วยการยอมรับว่าผีบรรพบุรุษมีอยู่จริงและสามารถมีที่อยู่อันนิรันดร์ได้ในดินแดนของพระเจ้า จากการเปิดทางให้ของลูกหลานที่ยอมรับการมีอยู่จริงของพระเจ้า การที่ลาวโซ่งส่วนใหญ่ค่อนข้างจำกัดระดับความศรัทธาต่อคริสต์ศาสนาให้ปรับเปลี่ยนขึ้นลงได้สูงสุดเพียงระดับการ รับเชื่อ ทำให้ชาวบ้านยังไม่หลุดไปจากโครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมแบบดั้งเดิม ขณะเดียวกันก็สามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์กรคริสต์ศาสนาได้ ทั้งยังสามารถใช้ความยืดหยุ่นดังกล่าวเป็นฐานของการปฏิบัติการเพื่อต่อรองผลประโยชน์กับองค์กรคริสต์ได้ด้วย (หน้า ก - ข)ลาวโซ่ง,ประวัติความเป็นมา,สังคมไทย,คริสต์ศาสนา,นครปฐมตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1049
1048วิทยานิพนธ์การช่วงชิงการให้ความหมายพิธีกรรมและความเชื่อ ปู่เยอ ย่าเยอ เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาวธีรวัฒน์ แก้วแดงงานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาประวัติศาสตร์ของพิธีกรรมความเชื่อปู่เยอ ย่าเยอ เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว โครงสร้างระบบผีในหลวงพระบาง เพื่อให้เห็นถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงบทบาทและหน้าที่ของพิธีกรรมความเชื่อดังกล่าว รวมทั้งศึกษากระบวนการต่อรอง ให้ความหมายใหม่ ของกลุ่มคนต่างๆ ในท้องถิ่นที่มีต่อพิธีกรรมปู่เยอ ย่าเยอ ในบริบทการพัฒนาสมัยใหม่ การวิจัยพบว่าพิธีกรรมความเชื่อ ปู่เยอ ย่าเยอ เป็นความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษและผีอารักษ์ในชุมชน การให้ความหมายของพิธีกรรมเกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดำเนินต่อไปไม่หยุดนิ่ง การให้ความหมายมีทั้งการกีดกัน กำจัดความเชื่อนี้ออกไปจากสังคม และความพยายามดึงพิธีกรรมนี้กลับเข้ามาในสังคมใหม่ ทำให้ความหมายและความเชื่อของพิธีกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากผีบรรพบุรุษ ผีอารักษ์ มาเป็นความเชื่อปัจเจกบุคคล ต่อมาเมื่อลาวเปลี่ยนแปลงการปกครอง เปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยว ความหมายของปู่เยอ ย่าเยอ กลับถูกใช้เพื่อดึงดูดเรื่องการท่องเที่ยวของลาว (หน้า ง - จ)คนลาว,พิธีกรรม,ความเชื่อ,ปู่เยอ, ย่าเยอ,ระบบผี,การช่วงชิงความหมาย,หลวงพระบาง,สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดLouangphrabang ประเทศลาว2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1048
1047หนังสือชาวน้ำ(ชาวทะเล) ในเมืองไทยประเทือง เครือหงส์กล่าวถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวน้ำหรือชาวทะเล ที่อยู่หมู่บ้านต่างๆ บนเกาะหลายแห่งในพื้นที่ภาคใต้ เช่น ใน หมู่เกาะอาดัง จังหวัดสตูล เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เกาะสิเหร่ จังหวัดภูเก็ต และ บ้านไทยใหม่ อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา ซึ่งในอดีตชาวน้ำเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง โดยอาศัยอยู่ในเรือ หากขึ้นฝั่งก็จะอยู่ที่ชายหาดริมทะเลสร้างบ้านแบบชั่วคราว และย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ อย่างไม่เป็นหลักแหล่งเมื่อถิ่นที่อยู่ท้องทะเลขาดความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ไม่ดีขาดความใส่ใจในการใช้ชีวิต ไม่ดูแลสุขภาพ ขาดแคลนอาหาร ลูกหลานไม่ค่อยเข้าโรงเรียน ฐานะยากจน จึงทำให้ความเป็นอยู่ของชาวน้ำไม่ค่อยดีเท่าที่ควร แต่ปัจจุบันความเป็น อยู่ของชาวน้ำดีขึ้นกว่าในอดีต เพราะมีการตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นหลักแหล่งและใส่ใจสุขภาพความเป็นอยู่มากขึ้นอูรักลาโว้ย,มอแกน, มอแกลน,ไทยใหม่,ชาวเล,วิถีชีวิต,สังคม,ภาษา,การศึกษา,สตูล,ภูเก็ต,ระนอง,พังงา,ภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดLouangphrabang ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1047
1046วิทยานิพนธ์การปรับตัวของแรงงานต่างด้าวชาวพม่าเชื้อสายมอญ : ศึกษาเฉพาะกรณีแรงงานในบริบทสวนยางจังหวัดสุราษฎร์ธานีภณิการ์ เพชรเขียวงานวิจัยชิ้นนี้ศึกษากระบวนการย้ายถิ่นเข้ามาในประเทศไทยของแรงงานต่างด้าวชาวพม่า เชื้อสายมอญในบริบทสวนยาง จ.สุราษฎร์ธานี และศึกษาถึงวิถีการดำรงชีวิตที่ตามมาจากการย้ายถิ่น การปรับตัวในมิติต่างๆ ทั้งสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพสัมภาษณ์แบบเจาะลึก และการสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม ผลการศึกษาพบว่าคนมอญย้ายถิ่นฐานเข้ามาในไทยจากปัจจัยผลักดันจากสภาพความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น และภาวะสงครามในประเทศพม่า ขณะที่ประเทศไทยมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า และบางคนมีญาติพี่น้องอาศัยอยู่ในเมืองไทย เมื่อคนมอญเข้ามาทำงานในสวนยางแล้ว จะมีการปรับตัวในหลายมิติทั้งสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม จากการศึกษาพบว่าคนมอญสามารถปรับตัวด้านเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี มีเงินเหลือส่งกลับไปประเทศพม่า ส่วนการปรับตัวทางสังคมนั้นผู้วิจัยพบว่า คนมอญไม่จำเป็นต้องปรับตัวด้านนี้มาก เพราะในพื้นที่มีคนมอญอยู่เป็นจำนวนมาก การปฏิสัมพันธ์กับคนไทยมีไม่มาก ส่วนเรื่องวัฒนธรรม คนมอญจะปรับตัวด้านการใช้ภาษาเพื่อสื่อสารกับคนไทย แต่ก็ใช้เวลานานกว่าการปรับตัวทางวัฒนธรรมด้านอื่น เช่น การแต่งกายและอาหารการกิน (หน้า (1) - (2))พม่าเชื้อสายมอญ,แรงงาน,สวนยาง,การย้ายถิ่น,วิถีชีวิต,การปรับตัว,สุราษฎร์ธานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสุราษฏร์ธานี ประเทศไทย2549ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1046
1045วิทยานิพนธ์การสื่อสารต่างวัฒนธรรมที่มีผลต่อการปรับตัวของคนข้ามชาติ : ศึกษากรณีชาวพม่าในจังหวัดพรมแดนประเทศไทยภริดา โกเชกงานวิจัยชิ้นนี้ศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นแรงงานพม่าจดทะเบียนกับกรมการปกครองใน 3 จังหวัด คือ เชียงราย ตาก ระนอง จำนวน 400 คน เป็นการผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อพัฒนาแบบจำลองการสื่อสารต่างวัฒนธรรมที่มีผลต่อการปรับตัวของคนข้ามชาติ และสื่อสารอิทธิพลต่างๆ ที่มีผลต่อการปรับตัวของคนข้ามชาติ ทั้งการศึกษาปัจจัยทางการสื่อสารของประเทศไทยและประเทศพม่า พบว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อการปรับตัวของคนข้ามชาติชาวพม่า คือ คุณลักษณะทางประชากรศาสตร์ ความสามารถในการสื่อสารในสังคมไทยและทัศนคติที่มีต่อคนในสังคมไทย ยิ่งมีปัจจัยนี้ในระดับสูงจะส่งผลให้มีการปรับตัวในระดับสูง ส่วนคนข้ามชาติที่เปิดรับสื่อมวลชนของประเทศพม่าในระดับสูงก็จะมีผลต่อการปรับตัวเข้ากับสังคมไทยน้อยลง ส่วนการสื่อสารในสังคมไทย พฤติกรรมการใช้สื่อมวลชน ปัจจัยคุณลักษณะทางประชากรศาสตร์ เป็นอิทธิพลทางอ้อมเชิงบวกต่อการปรับตัวของคนข้ามชาติชาวพม่าพร้อมกันด้วย (หน้า (1) - (2))ชาวพม่า,กะเหรี่ยง,คนไทยใหญ่,คนข้ามชาติ,การสื่อสารต่างวัฒนธรรม,การปรับตัว พรมแดน ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1045
1044วิทยานิพนธ์การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำนาข้าวในเขตปฏิรูปที่ดินทุ่งกุลาร้องไห้ : ศึกษากรณีบ้านฮ่องสังข์ ตำบลทุ่งกุลา อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ดบุษกร สำโรงสาเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้ชาวบ้านฮ่องสังข์ที่เคยทำนาดำเปลี่ยนมาเป็นการทำนาหว่านมีหลายประการ แต่ที่โดดเด่นมากที่สุดมาจากสาเหตุที่ชาวบ้านได้รับความสะดวกสบายทางด้านวัตถุนิยม และทุนนิยม สังเกตได้จากการทำนาหว่านในปัจจุบัน ช่วยประหยัดเวลาและทุนทรัพย์ ไม่เหน็ดเหนื่อย งานไม่หนักเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและดินฟ้าอากาศ ลดขั้นตอน ไม่ยุ่งยาก ใช้แรงงานน้อยและสอดคล้องกับภาวะการขาดแคลนแรงงาน ไม่ต้องเสี่ยงกับสภาพดินฟ้าอากาศ ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง (หน้า 96, 99, 100)ไทยภาคอีสาน,การทำนาข้าว,การปรับเปลี่ยน,ผลกระทบ,ทุ่งกุลาร้องไห้,ร้อยเอ็ดตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดร้อยเอ็ด ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1044
1043รายงานการวิจัยการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศกับสังคมและวัฒนธรรม : กรณีศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ซาไกกลุ่มเหนือคลองตง อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรังอาภรณ์ อุกฤษณ์ผู้เขียนได้ค้นพบว่า มีวิถีชีวิตเร่ร่อนเก็บของป่าล่าสัตว์ของซาไกเหนือคลองตง ได้เปลี่ยนไปเป็นการตั้งถิ่นฐานกึ่งถาวรสำหรับเพาะปลูกข้าวระยะหนึ่ง และก็หวนกลับไปใช้ชีวิตเร่ร่อนเหมือนเดิม ซึ่งการกระทำดังกล่าวได้ขัดแย้งกับทฤษฎีวิวัฒนาการสายเดียวของชาร์ลส์ ดาวิน ซึ่งบอกว่าสังคมมนุษย์จะเริ่มต้นจากสังคมที่เรียบง่าย แล้วค่อยๆ พัฒนาไปสู่สังคมที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ และผู้เขียนได้มีความคิดเห็นว่าวิถีชีวิตของซาไกที่เกิดขึ้นนั้น สามารถอธิบายได้ด้วยแนวคิดเรื่องนิเวศวิทยาวัฒนธรรมของ Julian Steward ที่บอกว่าระบบนิเวศมีส่วนสำคัญในการเกิดขึ้นของวัฒนธรรม และจากกรณีของซาไกจะเห็นได้ว่าเมื่อมีการปรับตัวไปสู่วัฒนธรรมใหม่แล้ว เกิดปัญหาที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของวัฒนธรรมใหม่ได้จึงทำให้ซาไกต้องกลับไปใช้ชีวิตในแบบเดิมที่เคยเป็นมา(หน้า 118-119)มันนิ,มะนิ,ซาไก,ซาแก,คนป่า,ชาวป่า,เงาะ,โอรังอัสสี,เซมัง,ชุมชน,ประชากร,การตั้งถิ่นฐาน,ระบบนิเวศ,สังคม,วัฒนธรรม,ตรังตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตรัง ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1043
1042หนังสือสารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ ญัฮกุ้รอภิญญา บัวสรวง, สุวิไล เปรมศรีรัตน์ภาษา และวัฒนธรรมของญัฮกุ้ร นั้นกำลังจะสูญหาย เนื่องจากอิทธิพลจากเทคโนโลยี การสื่อสาร การศึกษา การคมนาคมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ญัฮกุ้รที่เหลือในปัจจุบันมีจำนวนไม่มากนัก แต่ญัฮกุ้รก็ยังคงมีความภูมิใจในเอกลักษณ์ทางภาษา และวัฒนธรรมของตนเอง และประสงค์ที่จะหาแนวทางในการอนุรักษ์ไว้ญัฮกุ้ร,ชาวบน,คนดง,ภาษา,ประวัติความเป็นมา,ความเชื่อ,ประเพณี,พิธีกรรม,ชัยภูมิ,นครราชสีมา,เพชรบูรณ์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดชัยภูมิ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1042
1041รายงานการวิจัยการสำรวจลัวะ 5 อำเภอ: อำเภอเมือง หางดง สันป่าตอง จอมทอง และฮอดกฤษณา เจริญวงศ์ และเพชรา ประจนปัจจนึกลัวะมีความสัมพันธ์อันดีกับคนพื้นเมืองมาตั้งแต่สมัยพญามังราย เนื่องจากปัจจัยด้านความแห้งแล้งทำให้เกิดการอพยพจากบนดอยลงมาสู่ที่ราบ ลักษณะการประกอบอาชีพจึงมีการเปลี่ยนแปลงจากการทำไร่เลื่อนลอยตามป่าเขา สู่การทำนาเป็นอาชีพหลัก และใช้ความสามารถด้านการปั้นหม้อ และจักรสานมาประกอบอาชีพเสริม อาหารของชาวลัวะนั้นใกล้เคียงกับคนพื้นเมือง โดยมีถั่วเน่าเป็นอาหารประจำครัวเรือน ทางด้านศาสนาความเชื่อนั้นมีการรับเอาศาสนาพุทธเข้ามาผนวกกับผีที่เป็นความเชื่อดั้งเดิม สำหรับภาษาที่ใช้ยังคงมีการพูดภาษาลัวะในกลุ่มของตนเองและพูดภาษาพื้นเมืองเหนือกับคนอื่น ส่วนคนรุ่นหลังสามารถพูดภาษาไทยเป็นอย่างดีเนื่องจากเข้าศึกษาในโรงเรียน มีการรับเอาวัฒนธรรมตลอดจนประเพณีของคนพื้นเมืองจนผสมกลมกลืนไปด้วยกัน เช่น ประเพณีการเกิด การตายที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เป็นต้นลเวือะ,ชุมชน,ประวัติความเป็นมา,สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม,เสาอินทขิล,ปู่แสะ,ย่าแสะ,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1041
1040วิทยานิพนธ์ดนตรีชาวเขาเผ่ามูเซอ กรณีศึกษาหมู่บ้านห้วยหลวง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่เจตชรินทร์ จิรสันติธรรมสภาพทั่วไปของชุมชนหมู่บ้านห้วยหลวง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีการพัฒนาจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นอย่างดีและต่อเนื่อง ทำให้หมู่บ้านมีความเจริญในด้านต่างๆมากขึ้น ในด้านวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับดนตรี ได้มีการสืบทอดมาช้านาน ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเกิดขึ้นในยุคสมัยใด บทเพลงใช้บรรเลงประกอบการเต้นรำเป็นส่วนใหญ่ โดยมูเซอถือว่าดนตรีกับการเต้นรำนั้นเป็นสิ่งควบคู่อย่างแยกไม่ออก ดนตรีและการเต้นรำ สำคัญที่สุดของมูเซอคือการเต้นรำในช่วงเทศกาลปีใหม่ การวิเคราะห์ดนตรีที่ใช้ประกอบในพิธีฉลองปีใหม่ ผลการวิจัยพบว่า เครื่องดนตรีหลักที่ใช้ในการดำเนินทำนองคือ “หน่อ” มีความสำคัญในการเป็นผู้นำการเต้นรำของมูเซอ อยู่ในดนตรีตระกูลเครื่องลมที่มีระบบการเทียบเสียง 5 เสียง คือ ซอล ลา ที โด เร หน่อมีส่วนประกอบ 3 ส่วนคือ ตัวน้ำเต้า ท่อเสียง 5 ท่อ และลิ้น สำหรับกรรมวิธีการ สร้าง ใช้วัสดุและเครื่องมือที่สามารถหาได้ง่ายในท้องถิ่น ธรรมชาติของเพลงดนตรีชาวเขา เป็นเพลงที่มีทำนองสนุกสนาน โครงสร้างของเพลงมีท่อนเดียวบรรเลงซ้ำวนไปวนมา แต่ละเพลงมีองค์ประกอบดนตรีครบถ้วนทั้งทำนองเพลง การประสานเสียงและจังหวะ นักดนตรีมีอิสระในการสร้างเสียงสูง ต่ำ แตกต่างจากทำนองเดิม โดยเกิดจากการควบคุมลมหายใจ อันเป็นลักษณะพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ในบทเพลง ทำนองขึ้นต้นและลงจบมีลักษณะแตกต่างจากทำนองอื่นภายในบทเพลง ส่วนเครื่องดนตรีประกอบได้แก่ แจ้โก่(กลอง) บูลูโก่(ฆ้อง) และแป๋แฮะตู(ฉาบ) ทั้งนี้เป็นการบรรเลงในแนวเดียวกันทุกเพลง ลักษณะกระสวนจังหวะที่ปรากฏให้เห็นในบทเพลงทั้งหมดมีอยู่ลักษณะเดียว คือ การบรรเลงด้วยจังหวะสม่ำเสมอตลอดทั้งเพลง ดนตรีมูเซอได้สะท้อนสภาพวัฒนธรรม ทั้งด้านลักษณะโครงสร้างของสังคมที่ค่อนข้างเท่าเทียมกัน และด้านการละเล่นรื่นเริงในพิธีกรรม ที่ก่อให้เกิดความสามัคคีในชุมชน และความบันเทิงในสังคม ความสำคัญของดนตรีชาวเขาเผ่ามูเซอ มีบทบาทและความสำคัญมากสำหรับพิธีกรรมฉลองขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมูเซอลาหู่ ลาฮู,ดนตรี,พิธีฉลองปีใหม่,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1040
1039วิทยานิพนธ์ระบบเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชนเผ่าผีตองเหลืองในสังคมไทยวิสุทธิ์ ศรีวิศาลงานวิจัยชิ้นนี้ศึกษา การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศวิทยา นโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิต วัฒนธรรมของชนเผ่าผีตองเหลือง ณ บ้านบ่อหอย ต.ยาบหัวนา อ.เวียงสา จ.น่าน และ บ้านบุญยืน ต.บ้านเวียง อ.ร้องกวาง จ.แพร่ ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของผีตองเหลืองมีดังนี้ จำนวนป่าไม้ที่ลดลงมีผลต่อระบบเศรษฐกิจของผีตองเหลือง เพราะถ้าป่าไม้ลดลง วิถีชีวิตของผีตองเหลืองจะเปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ดินที่จำกัดก็มีผล กระทบต่อระบบเศรษฐกิจของผีตองเหลือง เพราะที่ดินที่สมบูรณ์จะทำให้ผีตองเหลืองมีอาหารอุดมสมบูรณ์ตลอดไป ขณะเดียวกันทรัพยากรธรรมชาติที่ลดน้อยลงมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของผีตองเหลือง เพราะผีตองเหลืองอาศัยทรัพยากรธรรมชาติเป็นแหล่งอาหาร การติดต่อวัฒนธรรมระหว่างผีตองเหลือง และม้งก็มีส่วนทำให้ระบบเศรษฐกิจของผีตองเหลืองเปลี่ยนแปลง เพราะมีการเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจจากการค้าเงียบไปเป็นระบบเศรษฐกิจแบบขายแรงงาน ส่วนการรับกระแสวัฒนธรรมเมือง พบว่าการเปลี่ยนแปลงเรื่องเครื่องแต่งกายของผีตองเหลืองเห็นได้ชัดที่สุด ขณะที่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีผลต่อระบบเศรษฐกิจของผีตองเหลืองน้อย ผีตองเหลืองต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือให้อยู่กันอย่างอิสระ นักพัฒนาในหน่วยงานรัฐ จึงไม่มีบทบาทมากในการพัฒนาผีตองเหลือง เพราะมีเพียงแต่นักพัฒนาเอกชนเท่านั้นที่เข้ามาสัมผัสใกล้ชิดกับผีตองเหลือง ซึ่งเป็นนักบุญด้านศาสนาเป็นส่วนใหญ่ และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผีตองเหลืองได้เป็นบางส่วนมลาบรี,ระบบเศรษฐกิจ,การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม,น่าน,แพร่,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1039
1038รายงานการวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชนลัวะกับเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่กฤษณา เจริญวงศ์รายงานการวิจัยชิ้นนี้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชนลัวะกับเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ รวมไปถึงความสัมพันธ์กับกลุ่มชนต่างๆ ในดินแดนล้านนา เพื่อเข้าใจบทบาทและความสำคัญของลัวะในด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่มีต่อดินแดนล้านนาจากหลักฐานเอกสารตำนานและคำบอกเล่าของกลุ่มชนลัวะที่สืบเชื้อสายในหมู่บ้านเขต อ.หางดง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ และอ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน งานศึกษาทำให้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างลัวะกับเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ บทบาทของลัวะที่มีต่อสังคมล้านนาในอดีตทั้งด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม โดยลัวะในฐานะไพร่เมืองต้องปฏิบัติต่อชนชั้นปกครองในการยอมรับอำนาจของบ้านเมืองเช่นเดียวกับไพร่ทั่วๆ ไป เช่น การส่งส่วยมายังส่วนกลาง ความสัมพันธ์ ระหว่างลัวะกับผู้ปกครองมีลักษณะการประนีประนอมกันมากกว่าที่จะใช้อำนาจของผู้ปกครองต่อผู้ใต้ปกครอง แสดงให้เห็นว่าผู้ปกครองยอมรับความสำคัญของชุมชนเดิมที่เคยอยู่อาศัยมาก่อนเช่นลัวะ ลัวะได้รับอำนาจปกครองตัวเองในชุมชนในรูปแบบสิทธิบัตรหรือที่ลัวะเรียกว่า หลาบเงิน ที่เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่มอบให้โดยให้สิทธิในการปกครองตนเองและได้รับข้อยกเว้นไม่ต้องเกณฑ์แรงงาน ลัวะมีบทบาทด้านเศรษฐกิจเป็นผู้ผลิตสินค้าทางการเกษตร ลัวะเป็นผู้นำสินค้าจากป่าเข้ามาขายในตัวเมือง เป็นตัวจักรเพิ่มพูนรายได้ให้อาณาจักรล้านนาลเวือะ,ลัวะ,เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่,ความสัมพันธ์,สังคม,การเมือง,เศรษฐกิจ ล้านนา/ เชียงใหม่,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1038
1037ปริญญานิพนธ์เรือนกะเหรี่ยงโปว์ หมู่บ้านแม่จ๊างธีรวรรณ สมะพันธุ งานนี้กล่าวถึงเรือนของกะเหรี่ยงโปว์ หมู่บ้านแม่จ๊าง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งพบว่าเรือนกะเหรี่ยงโปว์มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม สภาพอากาศ เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสังคม บ้านเรือนในหมู่บ้านแม่จ๊างตั้งแอยู่บนที่ลาดชัน เรือนจะวางในแนวเหนือใต้หันหน้าเรือนเข้าสู่ถนน ขนาดของบ้านแบ่งเป็น 2 แบบ คือ ขนาดใหญ่มียุ้งข้าวแยกต่างหากตั้งอยู่หน้าบ้าน ส่วนบ้านขนาดเล็กจะเก็บข้าวไว้ในgรือน ใต้ถุนบ้านใช้เก็บของและเลี้ยงสัตว์ วัสดุที่ใช้เป็นวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นซึ่งเหมาะสมกับฐานะและความเป็นอยู่กะเหรี่ยงโปว์,บ้านเรือน,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2520ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1037
1036รายงานการวิจัยบทบาททางสังคมและเศรษฐกิจของสตรีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง(สะกอ)วิไลพร ชะมะผลิน เนื้อหากล่าวถึงบทบาทของผู้หญิงกะเหรี่ยงสะกอที่อยู่ในพื้นที่กรณีศึกษา 4 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านผาแตก บ้านผาแด่น บ้านแม่หลอดและบ้านแม่เจี้ยว อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจะเน้นที่บ้านผาแตกซึ่งจากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงกะเหรี่ยงสะกอมีบทบาทสำคัญในการดูแลครอบครัวเช่นการทำงานบ้าน เลี้ยงดูลูก ทำไร่ หาอาหาร รวมทั้งทำงานรับจ้างเพื่อเลี้ยงครอบครัวในกรณีที่มีข้าวไม่พอบริโภค รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาของสามีและดูแลครอบครัวหากสามีไปทำงานในพื้นที่ห่างไกลจากหมู่บ้านปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),วิถีชีวิต,สังคม,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2522ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1036
1035วิทยานิพนธ์กะเหรี่ยงใน / นอก : ปฏิสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ ณ อาณาบริเวณชายแดนคมลักษณ์ ไชยยะ งานเขียนกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ระหว่างกะเหรี่ยงใน(สัญชาติไทย) กับกะเหรี่ยงนอก(ต่างด้าวจากพม่า) ในพื้นที่หมู่บ้านบ้องตี้บน หมู่ 1 ตำบลบ้องตี้ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งแต่เดิมคนที่อยู่บริเวณนี้ได้เดินไปมาหาสู่กันตลอด กระทั่งพื้นที่การควบคุมของกองกำลังกะเหรี่ยงอิสระถูกกองกำลังทหารพม่ายึดครองในช่วง พ.ศ.2538-2540 จึงทำให้มีคนต่างด้าวอพยพเข้ามาอยู่หมู่บ้านบ้องตี้บนเป็นจำนวนมาก ซึ่งนอกจากกะเหรี่ยงนอกแล้วในพื้นที่บ้องตี้บนยังประกอบไปด้วยทวายพม่า มอญ มุสลิม และคนไทยกะเหรี่ยง,พลัดถิ่น,ชายแดนไทย-พม่า,กาญจนบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2551ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1035
1034วิทยานิพนธ์“จู่ต่าเอาะ” : ความเชื่อเกี่ยวกับอาหารและพฤติกรรมการบริโภคของชาวกะเหรี่ยง: ศึกษากรณีชุมชนบ้านกล้วย อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรีฐนันดร์ศักดิ์ เวียงสารวิน,ว่าที่ ร.ต.งานเขียนกล่าวถึง “จู่ต่าเอาะ” ซึ่งเป็นความเชื่อเกี่ยวกับอาหารและพฤติกรรมการบริโภคอาหารของกะเหรี่ยงบ้านกล้วย ตำบลบ้านกล้วย อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่มีความเชื่อเกี่ยวกับอาหารในด้านต่างๆ ที่ถ่ายทอดกันมาหลายชั่วอายุคน อันเป็นการแสดงสถานภาพทางสังคม วัฒนธรรมการบริโภคและสังคม บทบาทของ”จู่ต่าเอาะ” ได้ทำให้สังคมกะเหรี่ยงมีความผูกพันสนิทสนมต่อกัน เช่นการนำอาหารมาเยี่ยมเยียนคนป่วย หรือหญิงมีครรภ์ และให้คำแนะนำว่าอาหารชนิดใดไม่ควรกิน เพราะหากกินอาจทำให้ป่วยหรือเสียชีวิต ซึ่งคำเตือนนี้มักมาจากคนสูงอายุเพราะเคยประสบมาด้วยตนเองและเมื่อเตือนลูกหลานก็มักจะเชื่อฟัง แต่ความเชื่อเรื่องอาหารและสภาพสังคม เศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อทางการได้ตัดถนนเข้ามายังบ้านกล้วย จึงทำให้สภาพสังคมเปลี่ยนไปเช่น แต่เดิมที่เคยทำการเกษตรแบบยังชีพ เช่น ทำนา ทำไร่ ก็เปลี่ยนมาเป็นการปลูกกระวาน(เครื่องเทศชนิดหนึ่ง)พืชเศรษฐกิจที่ขายได้ราคาดี ดังนั้นจึงทำให้สังคม เศรษฐกิจและความเชื่อในบ้านกล้วยเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้ง”จู่ต่าเอาะ”ความเชื่อและพฤติกรรมการบริโภคอาหารของกะเหรี่ยงโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),อาหาร,ความเชื่อ,การบริโภค,เศรษฐกิจ,สังคม,สุพรรณบุรี,ภาคกลางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสุพรรณบุรี ประเทศไทย2533ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1034
1033รายงานการวิจัยภูมิปัญญาอีสานในพิธีกรรมด้านความเชื่อเพื่อการรักษาพยาบาลผ่านทางภาษาของชาวผู้ไทวิษณุ กอปรสิริพัฒน์งานนี้กล่าวถึงการใช้ภาษาของผู้ไทในการรักษาแบบพื้นบ้านของผู้ไทที่อยู่ในหมู่บ้านกรณีศึกษา 3 หมู่บ้าน เช่น ผู้ไทบ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี ,บ้านหนองโอ ตำบลโนนยาง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร และบ้านเรณู ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การรักษาของหมอพื้นบ้านแต่ละประเภทนั้นมีการใช้ภาษาที่แตกต่างกัน ได้แก่ หมอผดุงครรภ์ ใช้ภาษาเข้าใจง่ายมีภาษาอื่นผสมบ้าง เป็นภาษาผู้ไทที่พูดในชีวิตประจำวัน หมอสูตร ภาษาไม่ค่อยมีความหลากหลาย ภาษาที่ใช้เป็นหลักคือภาษาบาลีและสันสกฤต หมอจอด- หมอเป่า ใช้ภาษาเขมร ภาษาธรรมและบาลีสันสกฤต หมอธรรม มีความหลากหลายทางภาษาและใช้ภาษาที่ไม่สุภาพ เพราะต้องสู้กับผีร้าย หมอเหยา ใช้คำเพราะพริ้ง เพราะต้องขอความเมตตาจากผีให้มาช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ในการใช้ภาษาของหมอที่รักษานั้นส่วนใหญ่ชอบใช้ร้อยกรองมากกว่าร้อยแก้วเป็นคำที่มีการสัมผัสคำมีความคล้องจองฟังแล้วไพเราะ บางครั้งใช้ภาษาผู้ไทโบราณหรือฟังแล้วทำให้ทราบความหมาย ทั้งนี้ก็เพราะเชื่อว่าถ้าใช้ภาษาที่เข้าใจยากจะทำให้เกิดความน่าเคารพเป็นที่ไว้วางใจผู้ไท,ภาษา,การรักษาแบบพื้นบ้าน,ความเชื่อ,มุกดาหาร,นครพนมตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1033
1032รายงานการวิจัยการศึกษาเชิงเปรียบเทียบประเพณีวัฒนธรรมของชาวผู้ไทย-ชาวโซ่ (ศึกษาเฉพาะกรณี อำเภอพรรณานิคมและอำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร)สุรัตน์ วรางค์รัตน์งานเขียนกล่าวถึงประวัติความเป็นมา ประเพณี และสังคมของผู้ไทยที่อยู่ในอำเภอพรรณานิคมและโซ่ที่อยู่ในพื้นที่อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้เคยมีบรรพบุรุษอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมาก่อนที่จะอพยพมาอยู่ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร จากความเป็นมาพบว่าทั้งสองกลุ่มมีประวัติร่วมกันตลอดเช่นเรื่องราวการช่วงชิงที่ดินทำกินเมื่อในอดีต ซึ่งจากหลักฐานหลายอย่างได้แสดงว่าผู้ไทยนั้นค่อนข้างมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าโซ่ไม่ว่าจะเป็นการตั้งบ้านเมืองและด้านอื่นๆ นอกจากนี้ทั้งสองกลุ่มยังมีความแตกต่างกันเรื่องภาษาพูดและวัฒนธรรมความเชื่อ และที่เด่นชัดก็คือโซ่อพยพมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่กุสุมาลย์ ก่อนผู้ไทยที่ย้ายมาอยู่พรรณานิคมซึ่งต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นเมืองมีเจ้าเมืองปกครองโดยขึ้นกับเมืองสกลนคร เมื่อ พ.ศ.2387ผู้ไท,โส้,ความเชื่อ,สังคม,ประเพณี,สกลนครตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2524ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1032
1031วิทยานิพนธ์An intergrated approach for assessing rice sufficiency level in highland communities of northern Thailandพนมศักดิ์ พรหมบุรมย์การประเมินความเพียงพอของข้าวมีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ 1. ผลผลิตเฉลี่ยของทั้งข้าวไร่หรือข้าวซึ่งปลูกบนที่ราบสูง และข้าวนาดำหรือข้าวที่ปลูกบนที่ลุ่ม 2. พื้นที่การปลูกข้าวและการเปลี่ยนแปลงพื้นที่การปลูกข้าว 3. ความต้องการบริโภคอาหาร และ วิธีในการปรับตัวของชาวนาต่อปัญหาความไม่เพียงพอของอาหาร (หน้า 11) การทำนาดำ หรือนาในที่ลุ่มได้มีการขยายพื้นที่เพิ่มจาก 74.1 เฮกเตอร์(2.49% ของพื้นที่ทั้งหมด) ในปี 1954 เป็น 148.2 เฮกเตอร์(4.98%) ในปี 1983 และเพิ่มขึ้นอีกเป็น 205.56 เฮกเตอร์(6.91%) ในปี 1994 (หน้า 43) ชาวนาได้พยายามทดลองหลายวิธีในการจัดการกับปัญหาผลผลิตข้าวเสียหาย โดยที่ร้อยละ 87 หางานทำนอกภาคเกษตร ร้อยละ 65 ยืมจากธนาคารข้าว ร้อยละ 51 ขายสัตว์เลี้ยง ร้อยละ 47 ยืมข้าวจากญาติ ร้อยละ 43 ทำการปลูกพืชเศรษฐกิจ (หน้า 51)กะเหรี่ยง,ความมั่นคงทางอาหาร,ความตกต่ำของผลผลิตข้าว,การปรับตัวเพื่อหารายได้เสริม,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2540ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1031
1030เอกสารวิชาการชาวเขา ความเข้าใจกับชนเผ่าต่างวัฒนธรรมชาวเขาสมภพ ลาชโรจน์ และคณะหนังสือเล่มนี้เป็นการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับคตินิยมประเพณีและความเชื่อของชนเผ่าต่างๆ 11 เผ่า จากประสบการณ์การทำงานในพื้นที่ชาวเขาโดยตรงของคณะผู้เขียน ทั้งในเรื่องบุคคลสำคัญในชุมชน กลุ่มเครือญาติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในหมู่บ้าน มารยาทต่างๆ ข้อห้ามสำคัญ ตลอดจนข้อนิยม เป็นข้อมูลพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ทำงานเกี่ยวกับชาวเขาในการเรียนรู้และทำความเข้าใจในชีวิตที่มีความหลากหลายของของชนเผ่าต่างๆที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยกะเหรี่ยง,ขมุ,ลาหู่,ม้ง,เมี่ยน,ลีซู,ลัวะ,วัฒนธรรม,ข้อห้ามตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1030
1029วิทยานิพนธ์การผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ของชาวจีนฮ่อในภาคเหนือของไทยวัฒนา คุณประดิษฐ์งานวิจัยชิ้นนี้มุ่งศึกษาอุดมการณ์ การผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ
การผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ ของชาวจีนฮ่อที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ของชาวจีนฮ่อที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บ้านสันติคีรี ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
อุดมการณ์ของชาวจีนฮ่อมีอยู่ 3 ลักษณะ ได้แก่ อุดมการณ์อำนาจ, อุดมการณ์ในการจัดการทรัพยากร และอุดมการณ์ในการรวมตัวกัน ความสามัคคี และความเป็นคนจีน ซึ่งอุดมการณ์ต่างๆ ของชาวจีนฮ่อนี้จะมีความสัมพันธ์กับความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ, ความเชื่อในอำนาจของธรรมชาติจากคติความเชื่อเรื่องเฟิงสุ่ยหรือฮวงจุ้ย และคุณค่าทางสังคม เช่น การให้คุณค่าความกตัญญู ความมั่งคั่ง และความเป็นจีน เป็นต้น
ส่วนเรื่องการผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ของชาวจีนฮ่อนั้น ได้สะท้อนผ่านพิธีกรรมต่าง ๆ และการอบรมสั่งสอน โดยมีเงื่อนไขปัจจัยทั้งภายในและภายนอกอันได้แก่ ครอบครัวและชุมชนได้ผลิตซ้ำทางอุดมการณ์สม่ำเสมอ การได้รับการสนับสนุนจากไต้หวัน และนโยบายของรัฐบาลไทยที่ยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรมจีนฮ่อ,การผลิตซ้ำ,อุดมการณ์,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1029
1028รายงานการวิจัยการเปลี่ยนแปลงของชุมชนชาวเขาเผ่าปาเกอะยอ ในด้านระบบการผลิต ระบบคุณค่า และระบบความสัมพันธ์ ในมิติความสัมพันธ์ระหว่างเพศนเรศ สงเคราะห์สุขในอดีตชุมชนห้วยไม้ดำเป็นชุมชนเกษตรดั้งเดิมแบบยังชีพ ทำไร่ ทำนาเป็นหลัก โดยมีแรงคนเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์ หาของป่า และการทอผ้า โดยแบ่งงานตามความหนักเบา คำนึงถึงเพศและอายุ หลังจากการติดต่อกับภายนอก การเข้ามาของหน่วยงานรัฐตลอดจนระบบตลาดที่เข้ามาในชุมชนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆในชุมชน เช่น ระบบการผลิตที่เปลี่ยนไป มีการใช้รถไถนาทุ่นแรง
การถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินตลอดจนการจ้างแรงงาน ทางด้านความเชื่อการเข้ามาของศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์นั้น ส่งผลให้ชุมชนยกเลิกพิธีกรรมตามความเชื่อเรื่องผีสางแบบดั้งเดิม บทบาทของสตรีเริ่มลดลงทั้งในด้านระบบผลิต และระบบคุณค่า ทักษะความรู้ดั้งเดิมตลอดจนภูมิปัญญาต่างๆ ไม่ถูกนำมาใช้และเริ่มหายไป การแบ่งงานเริ่มชัดเจนมากขึ้น โดยผู้หญิงทำงานในบ้าน ส่วนผู้ชายทำงานนอกบ้าน ทั้งนี้ในครอบครัวที่ยากจนหญิงชายยังคงต้องช่วยกันในทุกๆ เรื่องเพื่อความอยู่รอดเนื่องจากรายได้เริ่มเป็นตัวเงินมากขึ้นปาเกอะยอ,ระบบการผลิต,ระบบคุณค่า,ความสัมพันธ์,เพศ,การเปลี่ยนแปลง, แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1028
1027หนังสือชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลพม่าพรพิมล ตรีโชติความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อยเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อและไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังมาเป็นเวลานาน ปัญหาความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นจากปัจจัย 3 ปัจจัยหลักคือ ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ที่มีเทือกเขาสูงแบ่งแยกชนกลุ่มน้อยออกจากพม่า ปัจจัยทางประวัติศาสตร์ ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมและถิ่นกำเนิดที่หลากหลาย รวมไปถึงปัจจัยการเมืองการปกครองหลังยุคอาณานิคมที่รัฐบาลพม่ามีความพยายามรวบรวมรัฐต่างๆเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้นำชนกลุ่มน้อยมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง และบานปลายจนเกิดสงคราม ถึงแม้การลดความช่วยเหลือของจีนต่อพรรคคอมมิวนิสต์พม่าและกองกำลังชนกลุ่มน้อยบริเวณชายแดนจีน-พม่า ตลอดจนความพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจของพม่าจะนำไปสู่การผ่อนคลายการสู้รบระหว่างรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อย เกิดข้อสรุปในการใช้นโยบายหยุดยิง อย่างไรก็ตามความขัดแย้งที่เกิดขึ้นยังคงไม่หมดไปอย่างสิ้นเชิง เพราะนโยบายดังกล่าวเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้นไทใหญ่,กะเหรี่ยง,คะฉิ่น,มอญ,ชนกลุ่มน้อย,รัฐบาลพม่า,การเมืองตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1027
1026รายงานการวิจัยการสำรวจสถานภาพองค์ความรู้เกี่ยวกับชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรม กลุ่มชาติพันธุ์บริเวณลุ่มน้ำโขง: กรณีสหภาพพม่ารัตนา บุญมัธยะ สุภา วิตตาภรณ์ และปริญญาภรณ์ พรมดวงการศึกษาสถานภาพองค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ศึกษาในสหภาพพม่ามีข้อจำกัดอยู่มาก เนื่องจากข้อกำจัดในการศึกษาภาคสนามในระดับท้องถิ่น และสถานภาพทางการเมืองไม่เอื้ออำนวย ด้วยเหตุนี้การศึกษาเกี่ยวกับชาติพันธุ์และการเปลี่ยนแปลงจึงต้องอาศัยการวิจัยเอกสารและการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์มากขึ้น จากการทบทวนวรรณกรรม ผู้เขียนพบว่า ในยุคล่าอาณานิคมจนถึงช่วงได้รับเอกราช การศึกษาเรื่องชาติพันธุ์นั้นกระทำโดยผู้เป็นเจ้าอาณานิคม ดังนั้นงานวิจัยที่ได้จึงสะท้อนผ่านมุมมองที่เป็นอคติทางชาติพันธุ์ที่ใช้สีผิวและมาตรฐานวัฒนธรรมของตนเป็นตัวกำหนด วัฒนธรรมท้องถิ่นของบรรดาเผ่าพื้นเมืองจึงถูกมองว่าเป็นวัฒนธรรมล้าหลัง งานเขียนในช่วงก่อนได้รับเอกราชจึงเป็นการศึกษาที่เน้นวัฒนธรรมพรรณนาว่าด้วยเรื่องชาติพันธุ์เป็นหลัก อาทิ ประวัติศาสตร์ การตั้งถิ่นฐาน โครงสร้างทางสังคม การเมือง ความเชื่อ ศาสนา พิธีกรรม การแต่งกาย ครอบครัว เครือญาติ การละเล่น เป็นต้น ส่วนในช่วงหลังได้รับเอกราชนั้น กระบวนการสร้างชาติก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในสหภาพพม่า ดังนั้นงานศึกษาหรืองานเขียนส่วนใหญ่จึงเน้นการนำเสนอความขัดแย้งด้านชาติพันธุ์และการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองการปกครอง ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่ลงตัว ก่อให้เกิดคนชายขอบที่มีอำนาจด้อยกว่า ความตึงเครียดความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ก่อให้เกิดคนพลัดถิ่น ลักษณะพหุสังคมนี้ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มสร้างอัตลักษณ์ใหม่ๆ หรืออัตลักษณ์เดิม เพื่อแสดงตัวตนทางวัฒนธรรมที่แตกต่าง นอกจากนี้ผู้วิจัยมีความเห็นว่า ประเด็นการวิจัยเรื่องชาติพันธุ์ในสหภาพพม่าควรจะสะท้อน ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา วิวัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เชื่อมโยงท้องถิ่นสู่โลกาภิวัตน์ ตลอด จนผลกระทบจากโลกาภิวัตน์สู่ท้องถิ่น รวมถึงอนาคตการอยู่ร่วมกันอย่างสันติบนพื้นฐานความแตกต่างทางวัฒนธรรมไทใหญ่,รัฐฉาน,สถานภาพองค์ความรู้,สังคม,วัฒนธรรม,ลุ่มน้ำโขงตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดShan State ประเทศพม่า2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1026
1025รายงานการวิจัยเย้าไทย เย้ากวางสี เสื้อผ้าและเครื่องประดับมงคล จันทร์บำรุงเย้าเป็นชนชาติที่มีถิ่นกำเนิดทางตอนเหนือของประเทศจีน ต่อมาได้อพยพเข้าสู่มณฑลกวางตุ้ง ฮูหนาน กุ้ยโจว กวางสีและยูนนาน เย้าบางส่วนเริ่มอพยพเข้าสู่ประเทศเวียดนามราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 จากนั้นอพยพเข้าสู่ประเทศลาว พม่าและประเทศไทย การอพยพเข้าสู่ประเทศไทยได้ทยอยเข้ามาเป็นกลุ่ม ทั้งหมด 4 กลุ่มคือ กลุ่มเชียงราย น่าน กลุ่มดอยอ่างข่าง กลุ่มเชียงรายตอนบน และกลุ่มผู้อพยพ เย้าในประเทศไทยมีภาษาพูดแบบเดียวกันแต่มีการแต่งกายที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดอยู่ 2 แบบ แบบแรกโพกศีรษะโต นิยมใช้สีแดงปักลายเสื้อผ้ามากกว่าสีอื่น แบบที่สองโพกศีรษะแหลม และนิยมใช้สีเขียวปักลายมากกว่าสีแดง
เครื่องแต่งกายตามประเพณีของเย้าทุกกลุ่มมีรูปแบบและวิธีการตัดเย็บด้วยผ้าสีดำเหมือนกันทุกชิ้น มีแตกต่างกันบ้างก็เพียงส่วนที่นำมาประดับเสื้อสตรี เช่น สีและขนาดไหมพรมติดรอบคอเสื้อ ในชีวิตประจำวัน สตรีเย้ายังคงแต่งกายตามประเพณี คือ มีผ้าโพกศีรษะ เสื้อ กางเกง และผ้าคาดเอว บุรุษแม้วไม่นิยมแต่งกายตามประเพณี แต่จะสวมเสื้อตามประเพณีเฉพาะในเทศกาลและพิธีกรรมของเผ่า มีเพียงส่วนน้อยที่สวมกางเกงตามประเพณี เด็กเย้ามีเพียงหมวกเท่านั้นที่เป็นเครื่องแต่งกายตามประเพณีในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ หมอผีเย้าแต่งกายด้วยชุดหมอผีเหมือนกันทุกกลุ่ม ยกเว้นกลุ่มเชียงราย น่าน ที่ใช้ผ้าสีแดงเพิ่มขึ้น ในการเลี้ยงผีฟ้า ผีท้องถิ่นและเลี้ยงผีใหญ่ เสื้อผ้าสตรีเย้าทุกชิ้นมีลายปัก การปักของเย้ามี 4 วิธีคือ การปักลายเส้น การปักลายขัด การปักลายสอง และการปักลายไขว้ การปักลายทุกแบบ เย้าจะวางให้ด้านหลังของลายปักอยู่บนมือ แล้วจึงสอดเข้มจากด้านหลังลายปักไปยังข้างหน้า การปักลายขัดและการปักลายสองมีลักษณะเป็นลายเดี่ยวที่มีรูปแบบความสมบูรณ์อยู่ในตัว โดยทั่วไปนิยมใช้เพียงสีเดียวต่อการปักหนึ่งลาย
ส่วนการปักลายไขว้ส่วนมากเป็นลายผสมที่ประกอบด้วยลายเล็กๆ หลายลายและใช้หลายสีรวมกัน เย้านิยมใช้ด้ายจำนวนสิบเส้นถักเข้าด้วยกันเป็นเส้นทึบติดตามแนวชายผ้า ผ้าโพกศีรษะของสตรีเย้าทุกกลุ่มใช้ลายเส้นและลายเดี่ยว ลายที่ใช้ปักส่วนใหญ่เหมือนกันทุกกลุ่ม ผ้าคาดเอวสตรีปักลายคล้ายผ้าโพกศีรษะ แต่ผ้าคาดเอวมีลายปักเพิ่มขึ้น 1 3 แถว ส่วนลายปักที่สาบเสื้อนั้นคล้ายกันทุกกลุ่ม มีเพียงลายปักที่กางเกงสตรีเท่านั้นที่แตกต่างกันมาก สำหรับลายปักเครื่องแต่งกายหมอผีและหมวกเด็กเหมือนกันทุกหมู่บ้าน เสื้อของบุรุษ เดิมไม่นิยมปักลาย ปัจจุบันมีการปักลายตามใจชอบ แต่ไม่มีแบบแผนแน่นอน ในช่วงก่อนสองทศวรรษที่ผ่านมา สีที่เช้านิยมนำมาปักลายส่วนใหญ่ใช้สีแดง เหลือง ขาว น้ำเงิน และใช้สีดำปักเฉพาะช่วงปลายกางเกง นอกจากนี้เย้ายังใช้ผ้าปักลายมาตัดเย็บเป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย เย้านิยมใช้เครื่องประดับเงิน เย้าอพยพนิยมใช้เหรียญเงินและลูกตุ้มเงินติดเป็นเครื่องประดับบนผ้าคลุมหลัง
ส่วนเย้าในมณฑลกวางสีที่ทำการศึกษามี 4 กลุ่มคือ กลุ่มพ่านเย้า กลุ่มซานสื่อเย้า กลุ่มเอ้าเย้า และกลุ่มหลานเตียน สตรีเย้าส่วนใหญ่แต่งกายตามประเพณี มีเครื่องแต่งกายที่ประกอบด้วยผ้าคลุมศีรษะ เสื้อ ผ้าคาดเอว และกางเกง แต่เรียกชื่อเครื่องแต่งกายแต่ละชิ้นต่างกัน เสื้อผ้าแต่ละชิ้นมีรูปแบบและลักษณะการปักลายที่ต่างกัน กลุ่มพ่านเย้าทุกหมู่บ้านมีชื่อเรียกเครื่องแต่งกายเหมือนกันทุกชิ้น เสื้อผ้าสตรีมีลายปักที่คล้ายกัน นิยมใช้ผ้าคาดเอวจำนวนสามชิ้นเท่ากัน แต่ผ้าโพกศีรษะใช้จำนวนไม่เท่ากัน
เมื่อเปรียบเทียบเย้าไทยกับกลุ่มพ่ายเย้ากวางสี พบว่า การแต่งกายของเย้าไทยมีลักษณะคล้ายกับเย้าหมู่บ้านกานไหวย อำเภอไป่ยเซอมากที่สุด มีการโพกศีรษะคล้ายกัน เสื้อสตรีมีการตัดเย็บและติดไหมพรมแดงเหมือนกัน
จากข้อเปรียบเทียบลักษณะการแต่งกายและการปักลายของเย้าไทยและเย้ากวางสี สรุปได้ว่า เย้าทั้งสองกลุ่มต่างก็เป็นเย้ากลุ่มเดียวกัน เคยอยู่บริเวณเดียวกันมาก่อน การอพยพแต่ละครั้งทำให้ลักษณะของเครื่องแต่งกายเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เนื่องจากขาดวัตถุดิบ สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น แต่อย่างไรก็ตามเย้าทุกหมู่บ้านในประเทศไทยและในมณฑลกวางสี ต่างก็ปักลายเส้นสามเส้นเรียงติดกันเช่นกัน นอกจากนี้หมอผีพ่ายเย้าทุกหมู่บ้านยังแต่งกายคล้ายกันอีกด้วย ทั้งนี้เพราะย้ามีความเชื่อในเรื่องบางอย่างเช่นกัน และยังมีความภาคภูมิใจในความเป็นมาของชนชาติเย้าที่ว่า เย้าสืบเชื้อสายมาจากจักรพรรดิของจีน และเคยได้รับสิทธิพิเศษจากจักรพรรดิจีน (หน้า 92 - 95)เย้า,เสื้อผ้า,เครื่องประดับ,มณฑลกวางสี,จีน,ภาคเหนือของไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดGuangxi Zhuang ประเทศจีน2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1025
1024รายงานการวิจัยวิธีป้องกัน รักษาโรคแบบพื้นบ้านชาวขมุ และสนทนาสาธารณสุขการแพทย์ไทย - ขมุสุวิไล เปรมศรีรัตน์ขมุ หรือที่รัฐบาลลาวเรียกว่า ลาวเทิง เป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศลาว โดยมากตั้งถิ่นฐานในเขตหลวงพระบาง เชียงขวาง พงสาลี น้ำทา ปากแบง และห้วยทราย ขมุในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือโดยเฉพาะบริเวณชายแดนจังหวัดเชียงราย และน่าน ส่วนที่ติดกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นอกจากนี้ยังพบว่ามีการตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆในภาคอีสาน และภาคกลาง เช่น จังหวัดหนองคาย จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดอุทัยธานี เป็นต้น ขมุส่วนใหญ่นับถือผีโร้ย ศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ ตามลำดับ โดยผีที่เกี่ยวข้องในชีวิตของขมุ ได้แก่ ผีป่า ผีบ้าน ผีน้ำ ผีหมู่บ้าน และเชื่อว่าทุกบ้านจะต้องมีผีบ้านโร้ยก้างซึ่งสถิตย์ในบริเวณเตาหุงข้าวภายในเรือน วิธีการป้องกันและรักษาโรคแบบพื้นบ้านของขมุ มี 2 วิธีการสำคัญได้แก่ การใช้พืชสมุนไพรพื้นบ้าน และการประกอบพิธีกรรมเพื่อรักษาการเจ็บป่วย พืชสมุนไพรพื้นบ้านที่ขมุนิยมนำมาป้องกัน และรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ อาทิ ตู้ด ลเมิน หรือชุมเห็ดเทศ ใช้ใบตำหรือซอยต้มดื่มเพื่อให้ระบบหมุนเวียนโลหิตดี ผิวพรรณดี และทาแก้โรคผิวหนัง เช่น หิด กลาก เกลื้อน ใช้รากต้มดื่มแก้ปวดศีรษะ ส่วนการประกอบพิธีกรรมเพื่อรักษาโรคของขมุ มีลักษณะของการรักษาโรคที่เน้นเรื่องของจิตใจ อันเกี่ยวพันกับสิ่งเหนือธรรมชาติ เพื่อสร้างความรู้สึกสบายใจ สร้างกำลังใจ และการเน้นในเรื่องของสัญลักษณ์ โดยการประกอบพิธีกรรมจะมีการใช้อุปกรณ์ กิริยาท่าทาง และถ้อยคำอันแสดงลักษณะของสัญลักษณ์ เช่น การปัก เฉลว หรือ ตแล้ เพื่อเป็นเขตหวงห้ามสำหรับภูตผีหรือสัตว์มาเบียดเบียน การกล่าวคาถาก็ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่แสดงถึงความรู้สึกและความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะจัดทำสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้องเพื่อสื่อกับสิ่งเหนือธรรมชาติ อันถือเป็นการทำให้เกิดการผลักดันทางอารมณ์ เกิดพลังจิตที่จะต่อสู้อาการเจ็บป่วยนอกจากนี้ยังรวมถึงการสร้างพลังจิตเพื่อแก้ไขเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีอันเป็นการคลายอารมณ์ได้อีกทางหนึ่ง การประกอบพิธีกรรมเพื่อรักษาความเจ็บป่วย มีสิ่งสำคัญที่ใช้ในพิธี คือ การใช้สัตว์เพื่อเซ่นไหว้ผี ส่วนการวินิจฉัยสาเหตุของการเจ็บป่วยและกำหนดวิธีการรักษา เป็นหน้าที่ของหมอดู(ม้อ กแน้ะ) ซึ่งจะเป็นผู้ติดต่อกับผี และทำนายสาเหตุของอาการเจ็บป่วยขมุ,ภาษา,การแพทย์,พิธีกรรม,การรักษาโรค,สาธารณสุข,เชียงราย,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2533ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1024
1023รายงานการวิจัยการจัดการศึกษาเพื่อชนกลุ่มน้อยชายแดนไทย-พม่า กรณีศึกษาเฉพาะอำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่อมรทัต นิรัติศยกุลอำเภอเวียงแหงมีนักเรียน นักศึกษารวม 4,558 คน จำนวนครู 158 คน อัตราครูต่อนักเรียน 1 : 29 แต่เฉพาะการประถมศึกษา อัตราส่วนครูต่อนักเรียนเท่ากับ 1 : 25 ซึ่งเท่ากับเกณฑ์ที่ทาง เอ.ดี.บี.กำหนด เนื่องจากครูต้องสอนเด็กที่ด้อยในทางปริมาณและคุณภาพ อัตราส่วนครูต่อนักเรียนจึงยังไม่เหมาะสมเพราะโรงเรียนมีจำนวนนักเรียนแต่ละห้องไม่เท่ากัน เด็กนักเรียนมีน้ำหนักและส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 14 ของจำนวนนักเรียนระดับประถมศึกษา ขาดแคลนทุนการศึกษาร้อยละ 42 ขาดแคลนเครื่องเขียน เครื่องแบบนักเรียนและอาหารกลางวัน ร้อยละ 57.90 ด้านการจัดการศึกษาระดับโรงเรียนประถมศึกษาพบว่า อัตราค่าใช้จ่ายของนักเรียนต่อคนต่อปีเท่ากับ 7,215 บาท และพบว่ามีเด็กที่ไม่มีสัญชาติเข้ามาเรียน 168 คน ถ้าคิดค่าใช้จ่ายตลอดการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี นักเรียน 168 คน จะต้องใช้งบถึง 14,365,000 บาท อันถือเป็นสภาพที่พบเกี่ยวข้องกับนโยบายการประกันโอกาสทางการศึกษา และการประกันประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ในด้านคุณภาพนั้น จากสัมฤทธิผลทางการเรียนของนักเรียนพบว่า สัมฤทธิผลทางการเรียนวิชาทักษะ ได้แก่ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย และวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตอยู่ในระดับปานกลาง ระหว่างร้อยละ 49.78 65.49 ด้านผลการเรียนพบว่า นักเรียนทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา มีระดับผลการเรียน ระดับ 0-102 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์อ่อนถึงปานกลางทุกวิชา กล่าวคือ ป.2-4-6 ร้อยละ 57.03 ม.1-2-3 ร้อยละ 69.53 ของจำนวนนักเรียนที่เข้าสอบ สำหรับเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาที่เรียนซ้ำชั้นด้วยเหตุต่างๆมีจำนวน 310 คน คิดเป็นร้อยละ 11.85 การวัดการประเมินผล และการจัดการเรียนการสอนที่ยังไม่ได้นำกระบวนการปฏิรูปการศึกษามาใช้อย่างสมบูรณ์ เพราะระยะนี้เป็นระยะเตรียมการเข้าสู่ระบบการปฏิรูปการศึกษา เมื่อครู ผู้บริหารโรงเรียนได้ผ่านการอบรมสัมมนาในสาระมาบางส่วน ได้นำมาทดลองใช้ ผลจึงยังไม่เกิดขึ้นมากนัก ข้อมูลเหล่านี้พบว่า นโยบายการประกันคุณภาพการศึกษา และนโยบายการประกันความปลอดภัยในสถานศึกษายังไม่มีโอกาสนำมาใช้ได้เต็มที่ เนื่องจากระบบและระเบียบเดิมต่างๆ ยังคงให้ใช้อยู่ แม้เด็กชนกลุ่มน้อยจะด้อยในสิ่งต่างๆ การเข้าสู่ระบบการศึกษาโดยให้ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ โดยนโยบายของทางราชการ โดยเห็นแก่มนุษยธรรมและโดยอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กนั้น เมื่อสำรวจความคิดเห็นของคณะอาจารย์แล้วเห็นด้วยร้อยละ 93 คณาจารย์มีความเห็นใจเด็กชนกลุ่มน้อย การจัดการศึกษาที่เป็นการเตรียมเข้าสู่ระบบปฏิรูปการศึกษา พบว่า โรงเรียนได้ส่งครูไปอบรมกระบวนการปฏิรูปการเรียนรู้ การประเมินผลตามสภาพที่แท้จริง (Authentic Assessment) การจัดทำระเบียนสะสมงาน (Portfolio) การจัดทำธรรมนูญโรงเรียน (School Charters) การจัดทำมาตรฐานโรงเรียน จากการวิจัยเอกสารพบว่า การศึกษาที่เน้นคุณภาพของเด็กนักเรียน มุ่งจัดกระบวนการศึกษาให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งได้ประมวลแนวนโยบายการศึกษาไว้ทั้งหมด จะได้เด็กที่เป็นคนดีมีการศึกษาที่สามารถแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี มีคุณธรรมจริยธรรม เด็กชนกลุ่มน้อยเหล่านี้เมื่อผ่านกระบวนการจัดการศึกษาเช่นนี้แล้ว เด็กกลุ่มนี้จะเกิดประโยชน์ต่อชาติในอนาคต (หน้า ค - จ)จีนยูนนาน จีนมุสลิม ฮ่อ จีนฮ่อ จีนมุสลิม,ไทใหญ่,ชนกลุ่มน้อย,การศึกษา,ชายแดนไทย,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1023
1022วิทยานิพนธ์สัมฤทธิผลของกระบวนการบูรณาการทางการเมือง ศึกษาเฉพาะกรณีชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยง 2 หมู่บ้านในอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนวิทวัส ผาติธรรมรักษ์ผู้วิจัยใช้กลุ่มประชากรชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงสะกอร์ จาก 2 หมู่บ้านใน อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน จำนวน 102 คน เป็นประชากรตัวอย่างในการวิจัย โดยใช้เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามสัมภาษณ์ โดยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติศาสตร์ ใช้ค่าสถิติ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าไคแสควร์ ค่าแกมม่า และค่าแครมเมอร์ วี เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ ในการวิจัย ผู้วิจัยได้กำหนดให้ตัวแปรอิสระพื้นฐานประกอบด้วย เพศ อายุ รายได้ และความรู้ความเข้าใจในภาษาไทย นอกจากนี้ยังสร้างตัวแปรอิสระจากทฤษฎีจำนวน 3 ตัวแปร ประกอบด้วยความเหมือนกัน การปฏิสัมพันธ์ และความรู้ความเข้าใจในสังคมอื่น ตัวแปรอิสระจากทฤษฎีทั้ง 3 ตัวแปรรวมกันเป็นปัจจัยการบูรณาการ ส่วนตัวแปรตามคือ ผลสำเร็จของการบูรณาการให้ชาวเขารู้สึกว่าตนเป็นพลเมืองของประเทศไทย ประกอบด้วยตัวแปรตาม 3 ตัวแปร คือ ความจงรักภักดีต่อสังคมไทย ความไว้วางใจในสังคมไทย และการยอมรับวัฒนธรรม ความเชื่อของสังคมไทย ผลการวิจัยพบว่า 1) ตัวแปรอิสระพื้นฐานด้านอายุ รายได้ และความรู้ความเข้าใจภาษาไทย มีความสัมพันธ์กับปัจจัยการบูรณาการ และความเป็นพลเมืองไทย แต่ตัวแปรเพศไม่มีความสัมพันธ์กับปัจจัยการบูรณาการและความเป็นพลเมืองไทย 2) ตัวแปรอิสระตามทฤษฎี 3 ตัวแปรคือ ความเหมือนกัน การปฏิสัมพันธ์และความรู้ความเข้าใจในสังคมอื่น ซึ่งประกอบเป็นปัจจัยการบูรณาการ มีความสัมพันธ์กับความเป็นพลเมืองไทย (หน้า 1 - 2)กระเหรี่ยง,การบูรณาการ,การเมือง,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1022
1021รายงานการวิจัยเงาะ ชนผู้อยู่ป่า ชาติพันธุ์มนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่ยังเหลืออยู่สุวัฒน์ ทองหอมเงาะ เป็นชนกลุ่มน้อยผิวดำ ผมหยิก อาศัยอยู่ตามป่า เขาบริเวณแหลมมลายู ซึ่งรวมถึงจังหวัดต่างๆทางภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย จัดอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ นิกริโต ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของ นิกรอยด์ ซึ่งเป็นมนุษย์ผิวดำ การจัดแบ่งชนชาติตามตระกูลภาษา เงาะ จัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติค สาขาย่อย มอญ เขมร ในทางมานุษยวิทยา ได้จัดแบ่งเงาะออกเป็น 3 เผ่า ได้แก่ เงาะเซมัง (Semang) เงาะซาไก (Sakai) และเงาะซินอย (Senoi) ซึ่งต่างก็มีผิวสีดำ สูงประมาณ 145 155 เซนติเมตร เงาะไม่มีการตั้งหลักแหล่งอาศัยถาวร ดำรงชีพแบบวัฒนธรรมล่าสัตว์ (Hunting Culture) เก็บพืชผักผลไม้ และล่าสัตว์ป่าเป็นอาหาร ไม่นิยมสะสมทรัพย์สินใดๆ สังคมเงาะมีความเชื่อเกี่ยวกับผี เชื่อว่าการเจ็บไข้เกิดจากการกระทำของผี ในอดีตพื้นที่เขตจังหวัดตรังมีเงาะจำนวน 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเหนือคลองตง กลุ่มคลองหินแดง กลุ่มเจ้าพะ กลุ่มนายสิงห์ และกลุ่มนางหยำ แต่ปัจจุบันได้อพยพไปที่บ้านมะนัง จังหวัดสตูล 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนายสิงห์ ซึ่งเดิมอาศัยบริเวณบ้านในตระ และกลุ่มนางหยำ ซึ่งเดิมอาศัยละแวกบ้านหินจอก บริเวณถ้ำเขาเขียด สังคมชาวเงาะในพื้นที่จังหวัดตรังทั้ง 3 กลุ่มเป็นสังคมระบบผัวเดียว เมียเดียว มีความเกี่ยวดองกันจากการสืบสายตระกูล การรวมกลุ่มของเงาะ ปกติจะรวมตัวกัน 2 ครอบครัวขึ้นไป จำนวนสมาชิกแต่ละกลุ่มรวม 15 30 คน ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก หลาน โดยมีผู้อาวุโสของกลุ่มเป็นหัวหน้ากลุ่ม ทุกกลุ่มจะมี ทับ หรือที่เรียกกันว่า ฮะหยะ การรวมกลุ่มจะตั้งทับหันหน้าเข้าหากันเกือบเป็นวงกลม การรวมกลุ่มของกลุ่มเจ้าพะ จะมีลักษณะแตกต่างจากกลุ่มอื่น คือ เป็นการรวมกันของครอบครัวพี่และครอบครัวน้อง สมาชิกในกลุ่มสามารถแต่งงานกันได้ แม้ว่าจะมิใช่การแต่งงานระหว่างพี่น้อง พ่อแม่เดียวกันก็ตามเซมัง,ซาไก,เงาะ,ถิ่นที่อยู่,อาหารการกิน,ภาษา,ตรัง,สตูลตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตรัง ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1021
1020รายงานการวิจัยคณะกรรมการหมู่บ้านกับการพัฒนา ศึกษาเฉพาะกรณีชาวเขาเผ่ามูเซอประเสริฐ ชัยพิกุสิตโครงสร้างคณะกรรมการหมู่บ้านมีลักษณะเฉพาะของตนเอง หมู่บ้านกรณีศึกษาแต่ละหมู่บ้านมีคณะกรรมการประจำหมู่บ้าน 7 10 คน แต่ละหมู่บ้านไม่มีคณะที่ปรึกษาและไม่ได้จัดฝ่ายกิจกรรมต่างๆ อย่างเป็นทางการ หมู่บ้านที่มีประธานและคณะกรรมการหมู่บ้านที่ถูกต้องตามกฎหมายมีเพียงหมู่บ้านห้วยส้าน ด้านความรู้ความเข้าใจของคณะกรรมการหมู่บ้านเกี่ยวกับเรื่องบทบาทและสิทธิหน้าที่ของตนเองยังมีไม่มาก จึงทำให้กรรมการแต่ละคนต้องรอรับคำสั่งจากประธานคณะกรรมการหมู่บ้าน ด้านการกระจายอำนาจของประธานกรรมการหมู่บ้านยังอยู่ในขอบเขต คณะกรรมการหมู่บ้านมีหน้าที่เพียงปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำแนะนำของประธานฯ ในด้านผลงานของคณะกรรมการหมู่บ้าน ชาวบ้านยังไม่ประทับใจหรือพอใจเท่าที่ควร ทั้งนี้เนื่องด้วยบางครั้งกรรมการประจำหมู่บ้านไม่ได้เข้าร่วมประชุมกับชาวบ้าน บางคนพูดเก่งแต่ปฏิบัติไม่ได้ ความคิดริเริ่มมีน้อย บางคนก็คิดว่าผลประโยชน์ของตนเองและญาติพี่น้องต้องมาก่อน
การเปลี่ยนแปลงกรรมการหมู่บ้าน ทำได้ยาก ถ้าไม่ไม่ย้าย ลาออก ตาย หรือเจ็บป่วย ก็ยังคงเป็นกรรมการต่อไป เพราะหากไล่ออกจะทำให้ผู้นั้นเสียหน้า ทำให้เกิดความขัดแย้งสร้างความไม่พอใจและความแตกแยก คณะกรรมการหมู่บ้านกรณีศึกษาทั้ง 4 หมู่บ้านยังคงเป็นองค์กรที่ไม่เข้มแข็ง ไม่มีการประชุมซึ่งอย่างน้อยต้องทำ 2 เดือนต่อครั้ง จะประชุมก็ต่อเมื่อมีเรื่องสำคัญ องค์กรขาดการกระตุ้นหรือส่งเสริมจากชาวบ้านด้วยกันเองและจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กิจกรรมที่ดำเนินงานโดยคณะกรรมการหมู่บ้านจึงเป็นลักษณะการแก้ไขปัญหามากกว่าการป้องกันหรือการพัฒนาที่มีกลไกการวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุม ส่วนด้านศักยภาพของคณะกรรมการหมู่บ้านสามารถรองรับและดำเนินงานพัฒนาหมู่บ้านได้ ในการประสานงานของประธานคณะกรรมการหมู่บ้านทั้ง 4 หมู่บ้านอาจสรุปในภาพรวมได้ว่า มีความรับผิดชอบและมีความรอบคอบ ใช้ความรู้ความสามารถให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมอย่างแท้จริง ดำเนินงานพัฒนาหมู่บ้านตรงกับความต้องการและความเดือดร้อนของชาวบ้าน แม้ว่าบางหมู่บ้านจะมีผลงานน้อยหรือล่าช้าไปบ้าง แต่ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ สุจริต ค่อยเป็นค่อยไป และดำเนินการเท่าที่สามารถกระทำได้ (หน้า 49 - 50)ลีซอ,กรรมการหมู่บ้าน,การพัฒนา,เชียงราย,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1020
1019รายงานการวิจัยลายสักไทใหญ่สายสม ธรรมธิการสักของชาวไทใหญ่เป็นความเชื่อที่เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับจารีตประเพณี เหตุที่การสักมีอิทธิพลต่อไทใหญ่ในอดีต เนื่องจากต้องเผชิญศึกสงครามและการอพยพหนีภัย จึงต้องมีการสักอย่างแพร่หลายเนื่องมาจากการสักเป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ ลดความหวาดกลัวภัยจากอันตรายต่างๆ แต่ปัจจุบันสภาพทางสังคมของไทใหญ่เปลี่ยนไป มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง มีชีวิตที่สงบสุขไม่ต้องอพยพหนีภัยอย่างอดีต จึงทำให้การสักลดบทบาทลงและมีรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิม พิธีการสักยาของไทใหญ่ในพื้นที่กรณีศึกษา มีลักษณะคล้ายกัน ทั้งด้านรูปแบบ ความคิดความเชื่อ วัตถุประสงค์และส่วนประกอบของการสัก จะมีความแตกต่างกันบ้างในเรื่องของรายละเอียดบางอย่าง อาทิ ส่วนผสมของยาสัก แต่ทั้งนี้ความเชื่อในเรื่องขอการสักก็ยังเป็นไปในลักษณะเดียวกัน คือ เชื่อว่าการสักจะสร้างพลังอำนาจแก่ผู้ที่ได้รับการสัก พ้นจากภัยอันตรายต่างๆได้ ด้วยเหตุนี้ สังคมไทใหญ่จึงเป็นสังคมที่อาศัยความศรัทธา ความเชื่อทางพุทธศาสนาและไสยศาสตร์เป็นพื้นฐานในการสร้างขวัญ กำลังใจ และพลังอำนาจให้กับตัวเอง นอกจากนี้การสักของไทใหญ่ยังสามารถนำเอาธรรมชาติมาผสมผสานเชื่อมโยงกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ เช่น การสักรูปสัตว์ต่างๆ โดยเชื่อว่าจะทำให้สัตว์ดังกล่าวดูน่าเกรงขามมีพลังอำนาจเกินธรรมชาติของสัตว์ทั่วไป ในขณะเดียวกันการสักก็ยังก่อให้เกิดการยอมรับและเกิดความสัมพันธ์กันระหว่างกลุ่มชนต่างๆที่อยู่ร่วมกันในสังคมนั้นไทใหญ่,ลายสัก,แม่ฮ่องสอน,เชียงใหม่,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1019
1018รายงานการวิจัยประสบการณ์ในการพัฒนา ศึกษาเฉพาะกรณีการเสพฝิ่นของชาวเขาเผ่ามูเซอสนิท วงศ์ประเสริฐจากประสบการณ์ที่ทีการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยมีเป้าหมายให้ชาวเขาเลิก ลดปลูกฝิ่นและเสพฝิ่นเพียงด้านเดียวนั้น กาลเวลาพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จน้อย ทั้งนี้เพราะชาวเขามีความคุ้นเคยต่อเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งมักจะให้อภัยแก่ชาวเขา ในการอ้างอิงถึงความจำเป็นในการใช้ฝิ่นเป็นที่พึ่งครั้งสุดท้ายในชีวิตของบรรพบุรุษ เป็นยากลางบ้าน และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับขนบธรรมเนียม หลังจากกองกำลังติดอาวุธของทางราชการหนุนช่วยด้วยวิธีบีบบังคับให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่น รวมทั้งได้กระทำการปราบปรามผู้ลักลอบทำการค้าและลำเลียงอย่างเข้มงวด ส่งผลให้ประชากรชาวเขาที่เสพฝิ่นติดในช่วงทศวรรษที่แล้วร้อยละ 12 ลดลงเหลือเพียง ร้อยละ 3 ในปีการวิจัยนี้ เมื่อมีฝิ่นน้อย ชาวเขาก็จะเสพน้อย และเมื่อไม่มีฝิ่น ชาวเขาก็จะไม่ดิ้นรนที่จะเสพ ผลจากการศึกษา ผู้วิจัยได้ให้ข้อเสนอแนะด้านการดำเนินงานปราบฝิ่นอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง พร้อมกับขยายกระบวนการส่งเสริมให้ชาวเขาผลิตพืชผักเมืองหนาว และกึ่งเมืองหนาวให้ทั่วถึง พืชผักดังกล่าวจะผูกพันระหว่างเจ้าหน้าที่กับชาวเขาให้ดำเนินงานร่วมกันในเรื่องเทคนิคการผลิตและการตลาดอย่างใกล้ชิด จากประสบการณ์พบว่า ความใกล้ชิดนี้ส่งผลทำให้ชาวเขาเข้าใจและยอมรับวัฒนธรรมไทยดีขึ้น ส่วนเจ้าหน้าที่ก็มีความเข้าใจแนวทางที่จะโน้มน้าวชาวเขาให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาอย่างเหมาะสมยิ่งขึ้นเช่นกัน (หน้า 2)มูเซอ,เย้า,อาข่า,ยาเสพติด,ฝิ่น,งานพัฒนา,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1018
1017วิทยานิพนธ์ประเพณีการแต่งงานของชาวไทยญ้อ ศึกษาเฉพาะกรณีบ้านแซงบาดาล ตำบลแซงบาดาล อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์อัจลา เทียมสระคูการเลือกคู่ครอง ชายและหญิงเลือกคู่ครองด้วยตนเอง พิธีการต่างๆมีการทาบทาม การสู่ขอ การหมั้น และการแต่งงานตามลำดับ ในแต่ละขั้นตอนมีการดูฤกษ์ยามก่อนเพื่อเป็นสิริมงคล แต่เมื่อหมั้นแล้วจะต้องแต่งงานภายในสามเดือน พิธีแต่งงานนิยมทำในเดือนคู่ที่บ้านเจ้าสาว ยกเว้นเดือนแปด เพราะอยู่ในช่วงเข้าพรรษา มีการสู่ขวัญน้อย ก่อนการสู่ขวัญใหญ่ในพีแต่งงาน การหย่าร้างมีน้อยมาก เพราะเป็นสังคมผัวเดียวเมียเดียว ถ้ามีปัญหาครอบครัวเกิดขึ้น พ่อล่ามจะให้คำปรึกษาและตัดสินให้ ในด้านคติความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีการแต่งงาน ไทยญ้อบ้านแซงบาดาลยังยึดถือคติความเชื่อแบบโบราณทุกขั้นตอน คือการเลือกคู่ครอง การทาบทาม การสู่ขอ การหมั้น พิธีการแต่งงาน และการหย่าร้าง ทั้งนี้เพราะมีความเชื่อว่า ถ้าได้กระทำตามคำสั่งสอนของบรรพบุรุษจะทำให้ชีวิตการแต่งงานมีความสุขญ้อ ย้อ ญ่อ โย้,,การแต่งงาน,กาฬสินธุ์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1017
1016เอกสารวิชาการพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของแม่บ้านกะเหรี่ยงสะกอ กรณีศึกษาแม่บ้านชาวกะเหรี่ยงสะกอ หมู่บ้านแม่ซา ตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่อุไร เดชพลกรังผลการศึกษาพบว่าแม่บ้านส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษา มีรายได้ครอบครัวเฉลี่ย 5,001 10,000 บาทต่อปีและส่วนใหญ่อายุระหว่าง 25 44 ปี ด้านปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพอนามัยของแม่บ้านพบว่า
ปัจจัยด้านสภาพที่อยู่อาศัยยังมีปัญหาเรื่องการกำจัดขยะที่ถูกวิธี ขาดภาชนะรับน้ำฝนสำหรับดื่ม แม่บ้านส่วนใหญ่ดื่มน้ำจากลำธารโดยไม่ผ่านการต้ม
ปัจจัยด้านระบบสังคมและครอบครัวพบว่า มีแนวโน้มเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น แม่บ้านส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กันดีทั้งระหว่างสมาชิกในครอบครัวและระหว่างครอบครัวอื่นๆในหมู่บ้าน ปัจจัยด้านภาวะสุขภาพและระบบบริการสุขภาพพบว่า แม่บ้านส่วนใหญ่เห็นความสำคัญของสุขภาพ สนใจรับรู้ข่าวสารด้านสุขภาพแต่ยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องในประสบการณ์ด้านสุขภาพ เช่น มีความเชื่อว่าบุคคลที่เคยเจ็บป่วยจะดูแลรักษาตัวเองได้ดีกว่าบุคคลที่ไม่เคยเจ็บป่วย เชื่อว่ากินยาแก้ปวดสามารถป้องกันและรักษาการเจ็บป่วยได้ แม่บ้านส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว โรคที่พบมากคือ โรคกระเพาะ โรคปวดข้อ กระดูก และไต ซึ่งน่าจะเกิดจากวิถีชีวิตประจำวัน การประกอบอาชีพและผลข้างเคียงจากการรับประทานยาแก้ปวดพร่ำเพรื่อ
จากการศึกษาพบว่าแม่บ้านส่วนใหญ่พึ่งพาแพทย์แผนปัจจุบันเป็นทางเลือกแรก ในขณะที่หมอสมุนไพรและภูมิปัญญาท้องถิ่นในการพึ่งพาตนเองลดน้อยลง ปัญหาและอุปสรรคในการดูแลสุขภาพอนามัยของแม่บ้านกะเหรี่ยงสะกอที่สำคัญ ได้แก่ ปัญหาเรื่องรายได้ไม่เพียงพอ ดังนั้นการช่วยเหลือด้านค่ารักษาพยาบาล การให้ความรู้ ให้คำปรึกษาแนะนำ การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่จึงเป็นสิ่งที่แม่บ้านต้องการได้รับจากโรงพยาบาลและรัฐ
ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถสรุปได้ว่าตรงกับแบบแผนความเชื่อที่ว่าเมื่อบุคคลรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อโรคก็จะให้ความร่วมมือและมีพฤติกรรมการป้องกันการเกิดโรค โดยการดูแลเอาใจใส่ตัวเอง แต่ด้วยรายได้ที่ต่ำ การประกอบอาชีพและวิถีชีวิตประจำวัน เกิดความเคยชินและติดเป็นนิสัย จึงทำให้การปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเป็นไปได้ลำบากปกาเกอะญอ(กระเหรี่ยงสะกอ),การดูแลสุขภาพ,การแต่งงาน,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1016
1015วิทยานิพนธ์การปรับปรน เปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมของชาวไทยใหญ่ : กรณีศึกษาชาวไทยใหญ่หมู่บ้านถ้ำลอด อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอนพิมุข ชาญธนะวัฒน์ชุมชนหมู่บ้านถ้ำลอด เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2512 โดยแรกเริ่มนั้นสมาชิกในชุมชนมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด มีความเชื่อเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติและภูตผีวิญญาณต่างๆ ผสมผสานกับความยึดมั่นในจารีตประเพณีตามหลักพุทธศาสนา ดำรงชีพด้วยการพึ่งพาการเกษตรกรรมและอาศัยทรัพยากรจากธรรมชาติ มีการพึ่งพาสังคมภายนอกน้อยมาก ต่อมาชุมชนบ้านถ้ำลอดมีการขยายตัวรวดเร็ว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมอย่างมาก โดยมีผลมาจากปัจจัย 2 ด้านคือ ปัจจัยแรกเป็นปัจจัยภายใน ประกอบด้วย การเพิ่มประชากร ความต้องการเป็นคนไทย ความต้องการด้านวัตถุ ลักษณะทางเชื้อชาติ วัฒนธรรมที่ใกล้ชิดกับคนไทย และสภาพด้านภูมิศาสตร์ของชุมชน ส่วนปัจจัยที่สองเป็นปัจจัยภายนอก ประกอบด้วย การพัฒนาของรัฐ บุคคล และองค์กรอิสระ การอพยพของประชากรจากต่างถิ่น สำหรับกระบวนการปรับปรน เปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม และวัฒนธรรมนั้น เป็นผลมาจากการที่สมาชิกในชุมชนบ้านถ้ำลอดมีพฤติกรรมหรือเกิดการยอมรับการปฏิบัติเกี่ยวกับด้านการขัดเกลาทางสังคม การลอกเลียนแบบ การมีค่านิยมแบบใหม่ การยอมรับลักษณะของความเป็นสากล และการหยิบยืมทางวัฒนธรรมจากสังคมภายนอกเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันของตน โดยได้ส่งผลต่อสภาพวิถีชีวิตของชาวไทยใหญ่หมู่บ้านถ้ำลอดในด้านต่างๆทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และด้านสิ่งแวดล้อม โดยผู้วิจัยพบว่า การปรับปรน เปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม และวัฒนธรรมนั้น ไม่ใช่เป็นการปรับปรน เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับระบบส่วนใดส่วนหนึ่งที่เป็นอิสระจากระบบอื่นๆ แต่การปรับปรน เปลี่ยนแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดภายในชุมชนนั้น มีผลกระทบต่อเนื่องไปยังส่วนอื่นๆของสังคมและวัฒนธรรมด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสมดุลซึ่งกันและกันของระบบแต่ละส่วนซึ่งเป็นไปในลักษณะของการรักษารูปแบบดั้งเดิมที่เห็นว่าดีและยังมีประโยชน์เอาไว้ ขณะเดียวกันก็มีการรับวัฒนธรรมต่างๆจากสังคมภายนอกที่คิดว่าดี เข้ามาผสมผสานเพิ่มเติม การปรับปรน เปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลานี้ คือความพยายามของชาวไทยใหญ่ที่จะก่อให้เกิดสภาพแห่งความเป็นอยู่ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันซึ่งมีความแตกต่างไปจากอดีต อันจะมีผลทำให้ชาวไทยใหญ่ หมู่บ้านถ้ำลอดสามารถดำรงชีพอยู่รอดได้ต่อไปไทยใหญ่,การเปลี่ยนแปลง,สังคม,วัฒนธรรม,ปางมะผ้า,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1015
1014วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่มีผลต่อการมีบุตรของคู่สมรสชาวเขาเผ่าม้งที่ภรรยาอายุต่ำกว่า 20 ปี อำเภอพบพระ จังหวัดตากรุ่งรัศมี ศรีวงศ์พันธ์คู่สมรสชาวเขาเผ่าม้งที่มีภรรยาอายุต่ำกว่า 20 ปี มีบุตรที่มีชีวิต ร้อยละ 65.6 และจากการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม กับการมีบุตรและไม่มีบุตร ในกลุ่มสามี กลุ่มภรรยา และกลุ่มคู่สมรส พบว่า ทัศนคติต่อการคุมกำเนิดของกลุ่มสามี และการได้รับการสนับสนุนให้มีบุตรจากบิดามารดา มีความสัมพันธ์กับการมีบุตร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) และจากผลการวิเคราะห์จำแนกประเภทแบบขั้นตอน พบว่าปัจจัยที่สามารถอธิบายความแตกต่างระหว่างกลุ่มได้ มี 1 ตัวแปร ได้แก่ ตัวแปรการได้รับการสนับสนุนให้มีบุตรจากบิดามารดา เป็นปัจจัยที่สามารถทำนาย พฤติกรรมการมีและไม่มีบุตรของกลุ่มสามี กลุ่มภรรยา และกลุ่มคู่สมรส ได้ ร้อยละ 67.81 ร้อยละ 68.75 และร้อยละ 68.75 ตามลำดับ โดยกลุ่มสามี กลุ่มภรรยา และกลุ่มคู่สมรสที่ได้รับการสนับสนุนให้มีบุตรจากบิดามารดาสูง เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะมีบุตร (หน้า ง)ม้ง,การมีบุตร,ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1014
1013วิทยานิพนธ์การสร้างภาพลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ผู้เขียนพบว่าการสร้างภาพลักษณ์ของ "ชาวเขา" สามารถแบ่งได้ 2 ช่วงเวลา ช่วงแรกคือก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ทศวรรษ 2420 - 2470) โดยช่วงนี้ภาพลักษณ์ของ "ชาวป่า / ชาวเขา" ถูกมองจากชนชั้นนำสยามว่าเป็นคนอื่นของสังคม เป็นคนล้าหลัง นับถือผี งมงาย ช่วงทศวรรษ 2420 2440 ชนชั้นนำสยามผลิตงานเขียนเกี่ยวกับการสำรวจกลุ่มชาติพันธุ์ ปีพ.ศ.2455 มีการใช้คำว่า "ชาวเขา" เป็นครั้งแรก มีการใช้ภาพลักษณ์เชิงลบที่แสดงถึงความต่ำต้อย สกปรก ล้าหลัง การนับถือผีถูกมองเป็นเรื่องงมงาย ไร้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ส่วนภาพลักษณ์ของ "ชาวเขา" ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ตั้งแต่ทศวรรษ 2500) มีความเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนจากสถานการณ์ "ภัยคอมมิวนิสต์" อคติทางชาติพันธุ์ ภาพลักษณ์ของ "ชาวเขา" คือภัยต่อความมั่นคงของชาติ ถ่วงความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ทำลายป่า กลุ่ม "ชาวเขา" ที่ปลูกฝิ่นโดยเฉพาะชาวม้งถูกมองภาพลักษณ์เชิงลบจากรัฐบาล ขณะเดียวกัน "ชาวเขา" กลับถูกหาผลประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว จากภาพลักษณ์ที่ยังดำรงชีวิตแบบดั้งเดิม มีความพยายามกลืนชาติรวมอัตลักษณ์ความเป็นไทยคำว่า "ชาวไทยภูเขา" จึงเกิดขึ้น มุมมองของกลุ่มคนต่างๆ ที่มีต่อชาวเขาจะแตกต่างกันไป ช่วงทศวรรษ 2420 - 2470 ชนชั้นนำสยามเป็นกลุ่มเดียวที่สร้างภาพลักษณ์ "ชาวป่า / ชาวเขา" ชาวตะวันตกที่เข้ามาในสยามก็มีมุมมองต่อภาพลักษณ์ของชาวเขาที่แตกต่างกันไป กลุ่มทหาร ตำรวจ มักมองในมุมมองของความมั่นคง กลุ่มพระสงฆ์ให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ศาสนาเพื่อป้องกันภัยจากคอมมิวนิสต์ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีการสร้างภาพลักษณ์ความสวยงามให้กับ "ชาวเขา" เพื่อหาผลประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (หน้า ง / 312 - 318)ชาวเขา,การสร้างภาพลักษณ์ในสังคมไทย,ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2550ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1013
1011รายงานการวิจัยการรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีเหยาของผู้ไทย ศึกษากรณีชาวผู้ไทย อ.หนองสูง จ.มุกดาหารทรงคุณ จันทจร และ ปิติ แสนโคตรงานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรมรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีเหยาของชาวผู้ไทย และศึกษาบทบาทของหมอเหยาในการรักษาผู้ป่วย โดยศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทย อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร
ผลการศึกษาพบว่าหมอเหยาอยู่คู่กับผู้ไทยมาช้านาน เพราะว่าการเหยาเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับคนในสังคมให้ต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้เป็นอย่างดี เพราะพิธีกรรมของหมอเหยาเป็นไปด้วยความตั้งใจ ทั้งจากการแต่งกายที่สวยงาม เครื่องคายที่ดูศักดิ์สิทธิ์ การสำแดงเดชของผีที่ดูสมจริง เป็นการสร้างกำลังใจร่วมของชุมชนในการรักษาผู้ป่วยให้หายจากความเจ็บป่วย
หมอเหยาเป็นภารกิจที่ถูกเลือกโดย ผี ให้ทำงานโดยไม่มีค่าตอบแทนใดๆ หมอเหยาจึงเปรียบเสมือนคนของชุมชนที่ไม่สามารถปฏิเสธการร้องขอให้ทำพิธีเหยาได้ ทำให้หมอเหยามีความสัมพันธ์กับคนในชุมชน และคนในชุมชนก็มีจิตศรัทธากับหมอเหยาในฐานะของผู้ที่ได้รับการดูแลรักษา (หน้า 57 59) แม้ว่าหมอเหยาบางคนอาจไม่เป็นที่ยอมรับได้ผู้ไทย(ภูไท),ประวัติความเป็นมา,การรักษาผู้ป่วย,เหยา,มุกดาหารตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1011
1010หนังสือไย้ ไต เกาลาน : กลุ่มชาติพันธุ์ไทในเวียดนามเหนือรศ.สุมิตร ปิติพัฒน์,พิเชษ สายพันธ์,นาริสา เดชสุภา,เทียมจิตร์ พ่วงสมจิตร์งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาสำรวจวิถีชีวิตเบื้องต้นของไย้ ไต เกาลาน ในเขตจ.เลากายและเอียนไบ ประเทศเวียดนาม ผลการศึกษาพบว่า ไย้และไตเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พูดภาษาในตระกูลไต (Tai) ส่วนเกาลานอยู่ในกลุ่มไต ถาย (Tai Thai) ลักษณะบ้านเรือนของไย้มักปลูกติดพื้นดิน ส่วนไตและเกาลานมักยกพื้นเรือนขึ้นสูง ไย้ ไต เกาลาน มีอาชีพหลักคือการทำนา และปลูกพืชไร่ เช่น ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง แบบแผนการแต่งงานของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 3 เหมือนกัน คือ ผู้หญิงต้องไปอยู่เรือนฝ่ายชายและนับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายชาย นอกจากนี้ยังนับถือผีอื่นๆ และมีพิธีเซ่นไหว้ตามเทศกาลต่างๆ ในรอบปี ไย้มี ย่าจิ่ม ทำหน้าที่ร่างทรงรักษาอาการเจ็บป่วย มี หมอ หรือ ต๊าว ทำหน้าที่ติดต่อกับโลกวิญญาณ ส่วน ไต มี มด รักษาอาการเจ็บป่วย ส่วน หมอ เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ส่วนเกาลานมี องไซ ทำหน้าที่รักษาอาการเจ็บป่วย และ ไซฟู ส่งผู้ตายไปเมืองฟ้าในงานศพ ในชุมชนทั้งสามผู้ประกอบพิธีกรรมลดลง แต่พิธีกรรมที่เคยสูญหายไปกำลังได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ เพื่อส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวของเวียดนาม (หน้าบทคัดย่อ)ไย้,ไต,เกาลาน,ไท,การตั้งถิ่นฐาน,ภาษา,การปกครอง,ความเชื่อ,พิธีกรรม,เวียดนามเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1010
1009รายงานการวิจัยการตั้งชุมชนถาวรของชาวเขา กรณีศึกษา : เย้าบ้านผาเดื่อสมเกียรติ จำลองผู้เขียนได้กล่าวถึงปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวเนื่องกับการตั้งถิ่นฐานถาวรของเย้าบ้านผาเดื่ออยู่ 3 ด้าน คือ<br />
1)ปัจจัยด้านการเมืองที่มีลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัย ต่างเอื้อซึ่งประโยชน์ซึ่งกันและกันระหว่างรัฐและชุมชน มีการเปิดโอกาสและให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ชาวเย้าดำเนินชีวิตภายใต้ระบอบการปกครองของประเทศได้อย่างราบรื่น<br />
2)ปัจจัยด้านเศรษฐกิจซึ่งมีการเปลี่ยนพืชจากฝิ่นมาเป็นถั่วเหลืองและพืชอื่นๆ โดยยังดำรงไว้ซึ่งโครงสร้างเศรษฐกิจตามจารีตประเพณีแบบกึ่งยังชีพกึ่งเศรษฐกิจได้ต่อไป<br />
3)ปัจจัยด้านสังคม เย้าบ้านผาเดื่อมีวิถีทางวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อแตกต่างจากชนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ก็สามารถดำเนินชีวิตไปตามวิถีของตนเองได้โดยไม่เกิดปัญหาซึ่งรัฐได้เข้าไปพัฒนาชุมชนให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ชุมชนเย้าบ้านผาเดื่อจึงเป็นชุมชนที่สงบและมั่นคง (หน้า 32-33)เย้า,การตั้งถิ่นฐาน,การใช้ประโยชน์ที่ดิน,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1009
1008วิทยานิพนธ์การวิเคราะห์เชิงนิเวศวิทยาวัฒนธรรมเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ : กรณีศึกษาชุมชนมอญเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรีสมศรี ศิริขวัญชัยการศึกษาความสัมพันธ์ขององค์ประกอบในการตั้งถิ่นฐานและการปรับตัวของวัฒนธรรมชนชาติมอญในบริบทสังคมไทยองค์ประกอบสำคัญในการตั้งถิ่นฐานของชุมชนมอญเกาะเกร็ดมี 3 ประการ คือ ประเพณี เทคโนโลยีและความเชื่อ องค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้มีความสัมพันธ์พึ่งพาซึ่งกันและกันและเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของชุมชนมอญเกาะเกร็ด อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบต่างๆดังกล่าวได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางด้านนโยบายของรัฐ ปัจจัยทางนิเวศวิทยาและการแพร่กระจายของวัฒนธรรมไทย ในกรณีชุมชนมอญเกาะเกร็ด อิทธิพลจากการแพร่กระจายของวัฒนธรรมไทย ทำให้วัฒนธรรมด้านประเพณีลดความเข้มข้นลง อิทธิพลจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้ระบบการผลิตแบบยังชีพในอดีตซึ่งใช้แรงงานคน สัตว์และทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลักกลายเป็นการผลิตเพื่อการค้าในปัจจุบัน ขณะที่ความเชื่อที่ให้ความเคารพแก่ผู้อาวุโสและบรรพบุรุษยังคงหลงเหลืออยู่ เพราะชุมชนมอญเกาะเกร็ดยังคงสืบทอดความสัมพันธ์ในครอบครัวและการจัดระเบียบทางสังคมที่ให้ความเคารพแก่ผู้อาวุโสและบรรพบุรุษอย่างเหนียวแน่น ทำให้ชุมชนมอญเกาะเกร็ดยังคงปรับตัวสืบทอดวัฒนธรรมของตนไว้ได้ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางสังคม(หน้า 111-117)มอญ,เกาะเกร็ด,นิเวศวิทยาวัฒนธรรม,การตั้งถิ่นฐาน,นนทบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1008
1007วิทยานิพนธ์ทัศนคติและพฤติกรรมทางการเมืองของชาวเขาเผ่าเย้าประสาน สิทธิชุ่มเนื้อหางานเขียนศึกษาถึงทัศคติต่อสังคมและการเมืองไทยของเย้ากลุ่มตัวอย่าง 157 คน ที่อยู่ใน 12 หมู่บ้านในตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา ที่มีประสบการณ์เรื่องการรับข่าวสารเกี่ยวกับการเมืองและสังคมไทย การติดต่อสัมพันธ์กับสังคมไทย การทำงานของข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับชาวเขา ซึ่งจากการศึกษาพบว่า เย้า 73.5 % มีทัศนคติที่ดีต่อสถาบันการเมืองการปกครองไทย เช่น การไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎร 71.4 % มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัติร์ย์ 98.2 % นอกจากนี้ยังมีการเปิดรับข้อมูลข่าวสารการเมือง ส่วนในด้านสังคมเช่น 78.9 % ตกลงให้ลูกหลานแต่งงานกับคนไทยและ 86.4 %แต่งกายแบบคนไทย เป็นต้นเย้า,ทัศนคติ,การเมือง,สังคม,พะเยาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1007
1006วิทยานิพนธ์พลวัตของการอ้างสิทธิในการควบคุมและจัดการที่ดินในเขตป่า: กรณีศึกษาชุมชนกะเหรี่ยงโปว์ บ้านหนองหลัก อำเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลำพูนหทัยกานต์ สังขชาติกล่าวถึงการใช้ที่ดินของกะเหรี่ยงโปว์บ้านหนองหลัก ตำบลตะเคียนปม อำเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลำพูน ซึ่งแต่เดิมคนในหมู่บ้านมีบรรพบุรุษเป็นคนงานทำไม้จากที่อื่นเข้ามาทำงานต่อมาจึงรวมตัวกันเพื่อตั้งหมู่บ้านอย่างถาวรและมีญาติพี่น้องจากหมู่บ้านเดิม อพยพมาอยู่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ตั้งหมู่บ้านต่อมาทางการได้ประกาศให้พื้นที่บางส่วนเป็นเขตป่าสงวนและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทับที่ดินทำกินของคนในหมู่บ้าน ดังนั้นกะเหรี่ยงโปว์บ้านหนองหลักจึงรวมตัวกันเพื่อแก้ปัญหาการใช้ที่ดินทำกินที่อยู่ในเขตป่าเช่นทำเขตป่าชุมชนโดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาควบคุมดูแล และทำไร่แบบถาวรกะเหรี่ยงโปว์,สิทธิ,การควบคุม,ป่าไม้,ที่ดินทำกิน,ลำพูนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2551ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1006
1005หนังสือวัฒนธรรมไทยพวนตำบลบ้านทรายสมคิด จูมทองงานเขียนกล่าวถึงประวัติความเป็นมา สังคม ชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรมประเพณีของไทยพวนตำบลบ้านทราย อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ซึ่งไทยพวนกลุ่มนี้ แต่เดิมมีบรรพบุรุษที่อพยพมาจากเมืองพวนแขวงเชียงขวาง ประเทศลาว ได้อพยพมาอยู่ประเทศไทยเป็นเวลากว่าร้อยปี ซึ่งในการอพยพมาครั้งแรกไทยพวนได้ตั้งรกรากอยู่ที่เมือง พรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี แต่อยู่ได้ 1 ปี เนื่องจากเห็นว่าไม่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต จึงย้ายที่อยู่มาอยู่ที่หมู่บ้านทราย เนื่องจากเห็นว่ามีสภาพพื้นที่เป็นภูเขาเหมือนกับเมืองพวน ที่เคยอยู่ในประเทศลาวไทยพวน,ประเพณี,ความเป็นมา,ลพบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลพบุรี ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1005
1004รายงานการวิจัยLisu ReligionE. Paul Durrenbergerผู้ศึกษานำเสนอการวินิจฉัย หาสาเหตุ และ การรักษาการเจ็บป่วย ตามความเชื่อ ความศรัทธาของลีซูที่มีต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ, วิญญาณบรรพบุรุษ และวิญญาณต่างๆ ที่สามารถให้คุณให้โทษ กับมนุษย์ได้ หากผู้ใดได้ลบหลู่ ล่วงกิน หรือ ละเมิด กฎเกณฑ์ ธรรมเนียม จารีตปฏิบัติ ที่เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตประจำวัน (หน้า 2) ผู้ศึกษาได้ยกกรณีตัวอย่าง ของการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด โดยได้แสดงการหาสมมุติฐานของโรคตามความเชื่อและภูมิปัญญาลีซู , ตรรกะของความสัมพันธ์ทางสังคมที่มีต่อความเชื่อนั้นๆ และ อธิบายขยายความให้เห็นแนวคิดในเรื่องของจิต, วิญญาณ หรือ ความเชื่อเกี่ยวกับผีต่างๆ ตลอดจน กรอบความคิดของตรรกะทวิลักษณ์ หรือ แนวคิดเรื่องสมดุลของคู่ต่าง (polarities) (หน้า 33) ความเจ็บป่วย เบื้องต้นเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการกระทำของผี ไม่ว่าจากผีบรรพบุรุษ ที่มักควบคุมดูแล ในด้านศีลธรรม ธรรมเนียม จารีต ของลูกหลาน หรือ ผีอื่นๆ ที่อยู่ในธรรมชาติ เช่น ในไร่นา, แหล่งน้ำ ที่ถูกลบหลู่ ล่วงเกิน บางกรณีรวมทั้ง โดนกระทำคุณไสย หรือ การเสกเป่า สิ่งร้ายเข้าร่างกาย จาก ผู้ที่เป็นศัตรู หรือ เกิดจากผีร้ายต่างๆ เช่น ผีตายโหง, ผีแม่มด ฯลฯ จนต้องมีการขออำนาจผีบรรพบุรุษมาเข้าทรงแจ้งสาเหตุ หรือ วินิจฉัยอาการ เพื่อจะทำการรักษาโรคกระทำอย่างถูกต้อง (หน้า 26) บางที่ต้องกระทำพิธีซ้ำหลายครั้ง เนื่องจาก เมื่อทำพิธีไปแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น แสดงว่าอาจมีข้อผิดพลาดในขั้นตอนของการวินิจฉัย โรคว่ามาจากสาเหตุใด อย่างไรก็ตามเมื่อท้ายที่สุดหากยังมีอาการเจ็บป่วยอยู่ ลีซู ก็ยอมรับการรักษาตามแบบแพทย์แผนปัจจุบัน ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นอิทธิผลของการเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ของลีซู บางหมู่บ้านด้วย (หน้า 42)ลีซู(ลีซอ),ศาสนา,การรักษาโรค,ภาคเหนือ,ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลพบุรี ประเทศไทย2532ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1004
1003บทความการอพยพแรงงานของชาวเขาเผ่าขมุ : สถานการณ์และผลกระทบต่อชุมชนนิพัทธเวช สืบแสงจากงานศึกษาชาวขมุบ้านน้ำสอดใต้ พบว่าปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดการอพยพมีดังนี้ 1. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการไม่สามารถผลิตไม้แปรรูปได้อีกต่อไป ทำให้การเกษตรแบบยังชีพเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ แม้ว่าจะเคยมีความพยายามในการทำการเกษตรแบบการตลาดแต่ก็ต้องล้มเลิกไป เพราะการกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง จนทำให้เกิดการอพยพแรงงานสูงถึง 41 ครอบครัวจาก 45 ครอบครัวทีเดียว 2. ปัจจัยภาวะตลาดแรงงาน การอพยพแรงงานนั้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความต้องการแรงงานในประเทศ ซึ่งผู้วิจัยได้แสดงถึงว่าภาวะการขาดแคลนแรงงานในประเทศในขณะนั้นเป็นปัจจัยส่งเสริมการอพยพแรงงาน 3. ปัจจัยทางด้านการศึกษา ผู้วิจัยพบว่าในจำนวนแรงงาน 58 คน นั้นมีจำนวนถึง 43 คนที่จบชั้นประถม 6 และวิเคราะห์ว่าการที่ได้รับการศึกษา สร้างให้ชาวขมุมีทักษะในการพูดเขียนอ่านภาษาไทย ทำให้เกิดความพร้อมในการ อพยพ นอกจากนี้งานวิจัยยังแสดงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการอพยพแรงงานทั้งในด้านสังคม และวัฒนธรรมที่มีต่อชุมชน ซึ่งได้แก่ ก่อให้เกิดการปรับตัวของชุมชน กล่าวคือมีการพัฒนาการเกษตร และการเลี้ยงสัตว์แบบถาวรมากขึ้น กว่าแต่เดิมที่เป็นการเกษตรแบบยังชีพ รวมถึงข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งได้แก่คำแนะนำให้รัฐมีนโยบายชัดเจนเรื่องสิทธิในที่ดินของชาวเขา การพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืนของชาวเขา การจัดการศึกษาที่เหมาะสม และการบริหารจัดการด้านการอพยพแรงงานให้เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมขมุ,การอพยพ,แรงงาน,ผลกระทบ,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1003
1002อื่นๆการสำรวจการเลี้ยงไก่พื้นเมืองในชนชาติกลุ่มน้อย : โส้ ผู้ไท และข่า ในภาคอีสานประยูร อุดมเสียง เชิดชัย รัตนเศรษฐากุล บัญญัติ เหล่าไพบูลย์ สุวัฒน์ จิตต์ปราณีชัยงานเขียนเกี่ยวกับการศึกษาการเลี้ยงไก่พื้นเมืองของโส้ ผู้ไท ข่า ที่อยู่ในจังหวัดสกลนคร นครพนม มุกดาหาร ซึ่งจากการศึกษาระบุว่าการเลี้ยงไก่ของกลุ่มประชากรที่ศึกษายังเป็นการเลี้ยงแบบธรรมชาติ ปล่อยให้หากินเอง การเลี้ยงจะเลี้ยงกันตามอัตภาพ เช่น เลี้ยงด้วยข้าวเปลือก เล้าที่เลี้ยงไม่เป็นสัดส่วนที่ชัดเจน เช่น จะเลี้ยงตามใต้ถุนบ้านและท้องนา ประชากรศึกษาจะบริโภคไก่เป็นอาหารในครอบครัวและใช้ในพิธีกรรมสำคัญ ส่วนการรักษาโรคให้ไก่นั้นบางส่วนจะใช้สมุนไพร แต่การรักษาด้วยวิธีการสมัยใหม่เช่นการฉีดวัคซีนยังไม่มีหรือมีน้อย นอกจากนี้ยังพบว่ามีไก่ตายเป็นจำนวนมากเมื่อเกิดโรคระบาดที่จะอยู่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคมของทุกปีโส้ โซร ซี,ผู้ไท ภูไท,การเลี้ยงไก่พื้นเมือง,สกลนคร,นครพนม,มุกดาหารตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2528ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1002
1001วิทยานิพนธ์บทบาทเครือญาติของชาวผู้ไทบ้านธาตุ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนครวิภาดา อินทรพาณิชย์เนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึงเครือญาติและโครงสร้างครอบครัว เครือญาติและบทบาทเครือญาติของผู้ไทบ้านธาตุ ตำบลวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร โดยในกลุ่มที่เป็นประชากรศึกษาประกอบด้วยหัวหน้าครอบครัว 50 คน จาก 12 ตระกูลผู้นำหมู่บ้านและผู้รู้ต่างๆ ซึ่งประชากรในพื้นที่ศึกษาเป็นผู้ไทกะปองที่อพยพมาจากประเทศลาวในหลายช่วงเวลาด้วยกัน ซึ่งจากการศึกษาระบุว่า โครงสร้างครอบครัวของผู้ไทบ้านธาตุเป็นแบบครอบครัวขยายความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวมีลักษณะเป็นแบบ 7 ชั่วอายุคน โครงสร้างเครือญาติเกิดขึ้นใน 2 ลักษณะคือการแต่งงาน และเครือญาติโดยสายเลือด และมีการเพิ่มเครือญาติแบบมีพ่อล่ามจึงทำให้เครือญาติมีความกว้างขวาง ทำให้คนทั้งหมู่บ้านเกี่ยวข้องเป็นญาติกันมีการช่วยเหลือกันในด้านต่างๆ เช่น การปกครองหมู่บ้าน การศึกษา การดำรงชีวิต การประกอบพิธีทางความเชื่อ ฯลฯผู้ไท,สังคม,วิถีชีวิต,สกลนครตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1001
1000รายงานการวิจัยอาชีพเสริมและอาชีพทางเลือกของชาวอูรักลาโว้ยในจังหวัดภูเก็ตนฤมล อรุโณทัย,พลาเดช ณ ป้อมเพชร,จีระวรรณ์ บรรเทาทุกข์ และคณะเนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึงการสำรวจและบันทึกเกี่ยวกับการส่งเสริมอาชีพเสริมและอาชีพทางเลือกในกลุ่มประชากรศึกษา 94 คน ที่อยู่ในหมู่บ้านต่างๆ ได้แก่ หมู่บ้านสะปำ ตำบลเกาะแก้ว,หมู่บ้านแหลมตุ๊กแก ตำบลรัษฎาหมู่บ้านราไวย์ ตำบลราไวย์ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ตซึ่งจากการศึกษาระบุว่าส่วนใหญ่อูรักลาโว้ยยังอยากทำการประมงต่อไป ส่วนอาชีพเสริมนั้นส่วนหนึ่งได้พบปัญหาได้แก่ ปัญหาด้านการศึกษาเพราะอูรักลาโว้ยอ่านเขียนหนังสือไม่ได้จึงขาดความมั่นใจ ขาดการติดต่อด้านการประสานงาน ความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน ซึ่งที่ผ่านมาในชุมชนมีการทุจริตกันมาก นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องอคติที่คนภายนอกมีต่ออูรักลาโว้ยอูรักลาโว้ย,เศรษฐกิจ,วิถีชีวิต,ภูเก็ตตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย2550https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=1000
999วิทยานิพนธ์การย้ายถิ่นของชาวไทยใหญ่เข้ามาในจังหวัดเชียงใหม่ปณิธิ อมาตยกุลไทใหญ่ที่อพยพเข้ามายังเชียงใหม่และพื้นที่ต่างๆ ในภาคเหนือ ในระยะแรกมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางการเมือง เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การสู้รบระหว่างกลุ่มผู้ต่อต้านกับรัฐบาลพม่า ระยะหลังมีการอพยพมาเป็นจำนวนมากเนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนที่ทำกิน ที่ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ รายได้ไม่พอเลี้ยงชีพ ประกอบกับการถูกบีบคั้นจากทหารพม่าทำให้ไทใหญ่ได้อพยพมายังเชียงใหม่ เนื่องจากเชียงใหม่ มีญาติพี่น้องคนรู้จักอาศัยที่ จ. เชียงใหม่อยู่ก่อนแล้ว ภาษา ประกอบกับวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน การปรับตัวจึงสามารถทำได้ง่าย เชียงใหม่มีแหล่งงาน สภาพความเป็นอยู่ดีกว่ารัฐฉานไม่ต้องกลัวถูกทหารพม่าทำร้าย อีกทั้งเชียงใหม่มีพื้นที่ติดกับรัฐฉานเดินทางได้โดยสะดวก นโยบายรัฐไทยไม่ใช้ความรุนแรงในการผลักดันผู้อพยพ โดยผู้อพยพจะเดินทางจากรัฐฉานมายังเชียงใหม่โดยตรง ไม่มีการตั้งถิ่นฐานตามเมืองที่เดินทางผ่าน โดยผ่านแนวชายแดนตามอำเภอแม่สะเรียง เวียงแหง ฝาง แม่สาย จากนั้นจึงเดินทางเข้าสู่เมืองเชียงใหม่ บางส่วนก็เดินทางต่อไปยังกรุงเทพมหานคร ไทใหญ่ที่อยู่ในเชียงใหม่หากมีความรู้และมีบัตรประจำตัวประชาชนจะสามารถทำงาน และมีความเป็นอยู่ที่ดี แต่หากไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนต้องทำงานเป็นแรงงาน และมีคุณภาพชีวิตต่ำ และยังถูกกดขี่ข่มเหงจากข้าราชการบางกลุ่มและนายจ้างบางรายด้วยคนไต,ไทใหญ่,การย้ายถิ่น,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=999
998ร่างรายงานผลการวิจัยศักยภาพในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมของบ้านม้งป่าเกี๊ยะ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่วิชัย จ้าวเจริญเนื้อหางานกล่าวถึงการศึกษาศักยภาพและการจัดการ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติเช่น ป่าไม้ แหล่งน้ำที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของชุมชนม้งบ้านป่าเกี๊ยะใน หมู่ 8 ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งชุมชนนี้แต่เดิมได้ทำการเกษตรแบบดั้งเดิมคือปลูกพืชเพื่อบริโภคในครัวเรือน กระทั่งทางการได้มีนโยบายห้ามการปลูกฝิ่นเมื่อ พ.ศ.2528 ม้งจึงหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อทดแทนฝิ่นที่เคยปลูกแต่เดิม การเปลี่ยนมาปลูกพืชเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม แม้จะทำให้ม้งมีรายได้มากขึ้นแต่ก็ทำให้มีหนี้สินเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรจากคนภายนอกชุมชนรวมทั้งปัญหากับเจ้าหน้าที่ของรัฐในเรื่องประกาศพื้นที่อนุรักษ์เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ที่ทับซ้อนกับที่ทำกินของคนในชุมชน อุปสรรคเหล่านี้ทำให้ม้งต้องร่วมมือกันเพื่อจัดสรรการใช้และอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และแหล่งน้ำในชุมชนเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าทรัพยากรในชุมชนจะยังคงอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์และเพียงพอต่อการใช้ประโยชน์ของคนในชุมชนม้ง,ทรัพยากรธรรมชาติ,เศรษฐกิจ,สังคม,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=998
997วิทยานิพนธ์Local Adaptive Responses To Sedentarization Program : A case Study of Houng Nguyen Commune, A Luoi District, Thua Thien Hue Province, Vietnamโงว ธิ เฟือง อานห์ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายพัฒนาพื้นที่แถบภูเขา ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ จำนวน 50 กลุ่ม มีวัตถุประสงค์ขจัดความยากจน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของชนกลุ่มน้อยเหล่านั้น รวมทั้ง การดูแลปกป้องสิ่งแวดล้อม แผนการเกษตรแบบถาวร ตามนโยบายรัฐ ที่38/cp ลงวันที่ 12 มีนาคม 2511 (หน้า vii, 68) เพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้รู้จัก และ ฝึก การทำการเกษตรแบบ หมุนเวียน ไม่จำต้องย้ายถิ่นเพื่อทำการเพาะปลูก สามารถตั้งรกรากทำการเกษตรได้อย่างมั่นคงถาวร โดยจะมีผลให้เกิดการพัฒนาสภาพความเป็นอยู่อย่างสร้างสรรค์ และ สิ่งแวดล้อมที่ดี ถือว่าเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่แถบภูเขาของประเทศเวียดนาม ถึงแม้ว่า การพัฒนาดังกล่าวทำให้ ชุมชนเคอตู ได้เข้าถึง การเกษตรแผนใหม่ และ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การบริการสังคม และ วิถีชีวิตใหม่ๆ ในอีกด้านหนึ่งเคอตู ก็ต้องสูญเสียสิทธิการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ ในวิถี แบบดั้งเดิม ความเชื่อ, ขนบธรรมเนียม พิธีกรรม และภูมิปัญญาของชาติพันธุ์ ดั้งเดิม ถูกจำกัดจากเงื่อนไข และสิ่งแวดล้อมใหม่ การปฏิบัติตาม ความเชื่อ และ พิธีกรรมนั้นๆ ไม่สามารถทำได้อย่างเสรีเช่นแต่ก่อน ต่อสภาวะการณ์เหล่านี้ เคอตูได้ปรับตัว กระบวนการของการสร้าง บ้านใหม่ ได้แสดงถึงการธำรงอัตลักษณ์เคอตู ที่พยายามเชื่อมเอาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสร้างบ้าน วิถีการดำเนินชีวิต กิจกรรมสังคม และวัฒนธรรมของวิถีชีวิตใหม่ ประสานเข้ากับประสบการณ์จริงหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น และขนบธรรมเนียมดั้งเดิม ทั้งนี้ เพื่อรักษาความมั่นคงทางอาหาร และสร้างวิถีชีวิต แต่ยังคงไว้ซึ่งการรักษาอัตลักษณ์ ที่แสดงศักยภาพในการควบคุมของลักษณะกายภาพทางสังคม ผ่านทางการเจรจาต่อรองกับอำนาจรัฐ (หน้า 140-141)มานุย,เคอตู,การปรับตัว,ชุมชน,ท้องถิ่น,การเกษตรแบบถาวร,เวียดนามตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศเวียดนาม2548ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=997
996รายงานการวิจัยโครงการเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาการแพทย์ชนเผ่าอาข่า ระยะที่ 1ไกรสิทธิ์ สิทธิโชดก, วัชรินทร์ อยู่ลือ, พิทพงค์ สะโง้, อนุชา อำนาจสกุล พิศาล เลิศใจกุศลเนื้อหาของงานกล่าวถึงการจัดองค์ความรู้ด้านการแพทย์ของอาข่ารวมทั้งสมุนไพร ประวัติความเป็นมา วิถีชีวิต ความเชื่อ ชุมชนอาข่า โดยทำการศึกษาในชุมชนอาข่าในจำนวนทั้งหมด 14 หมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ เช่นเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง อำเภอเชียงแสน อำเภอแม่จัน อำเภอเมืองและอำเภอแม่สรวย ซึ่งจากการศึกษาพบว่าอาข่าได้นำสมุนไพรมาประยุกต์ใช้กับความเชื่อดั้งเดิม วิถีชีวิต เช่น การรักษาในยามเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุก็จะทำพิธีเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งรักษาด้วยสมุนไพรที่หาได้ในชุมชน ซึ่งในงานเขียนได้ระบุทั้งชื่อภาษาอาข่าและภาษาไทยว่าสมุนไพรชนิดนั้นมีสรรพคุณลักษณะและพบได้ในแหล่งใดบ้างอาข่า,การเมือง,ประวัติศาสตร์,สมุนไพร,สุขภาพ,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=996
995รายงานการวิจัยการศึกษาและพัฒนาการสื่อสารสุขภาพในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ : กรณีศึกษากลุ่มแรงงานไทใหญ่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ขวัญชีวัน บัวแดง และคณะเนื้อหางานกล่าวถึงการสื่อสารสุขภาพในกลุ่มแรงงานไทใหญ่ซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวจากประเทศพม่าที่เข้ามาทำงานในอำเภอต่างๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ในกลุ่มแรงงานไทใหญ่กรณีศึกษา 1,147 คน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสื่อโทรทัศน์เข้าถึงแรงงานไทใหญ่มากที่สุดอันดับต่อมาคือสื่อวิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสารและสื่อแผ่นพับ โปสเตอร์ เป็นต้น แต่สื่อโทรทัศน์ที่เข้าถึงกลุ่มแรงงานไทใหญ่มากที่สุดนั้นมีอุปสรรคด้านการสื่อสารด้านสุขภาพคือเนื้อหาด้านสุขภาพไม่มาก ส่วนสื่อวิทยุมีเนื้อหาด้านสุขภาพมากกว่าโทรทัศน์เพราะมีหน่วยงานผลิตรายการด้านสุขภาพให้กับสถานีวิทยุต่างๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนสื่อเช่นแผ่นพับแม้ว่าจะมีเนื้อหาด้านสุขภาพแต่ก็มีแรงงานที่ได้รับไม่มากเท่าที่ควรไทใหญ่,การสื่อสารสุขภาพ,แรงงานต่างด้าว,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2549ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=995
994รายงานการวิจัยถือติ : พลวัตของพิธีกรรมและประวัติศาสตร์วัฒนธรรมชุมชนม้งอะภัย วาณิชประดิษฐ์กล่าวถึงความเป็นมาในการประกอบพิธีกรรมถือติซึ่งเกี่ยวกับความเชื่อของม้งบ้านแม่สาใหม่ หมู่ 6 ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ –ปุย งานเขียนได้กล่าวถึงม้งในหมู่บ้านว่าเป็นกลุ่มที่เคยอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยและย้ายไปอยู่พม่าก่อนที่จะกลับมาตั้งหมู่บ้านกับกลุ่มที่ยังอยู่ในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง สำหรับจุดมุ่งหมายของการทำพิธีถือติก็เพื่อขอให้เทพถือติหรือเทพที่เป็นเจ้าที่ผืนแผ่นดินให้ความคุ้มครองพืช สัตว์เลี้ยงและความเป็นอยู่ของคนในชุมชนให้รอดพ้นจากภัยธรรมชาติและมนุษย์ ทั้งนี้ความเชื่อเรื่องการประกอบพิธีกรรมถือติได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เช่นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ม้งได้อาวุธปืนจากทหารญี่ปุ่น ทำให้ไม่กลัวอันตรายจากสัตว์ป่าเท่าเมื่อก่อน การเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์และศาสนาพุทธ การปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น ฯลฯ ทำให้พิธีกรรมถือติลดบทบาทสำคัญลง ปัจจุบันม้งบ้านแม่สาใหม่ได้นำความเชื่อเรื่องพิธีกรรมถือติมาปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับยุคสมัยเพื่อใช้ในการอนุรักษ์ป่าเขาต้นน้ำลำธารม้ง,ประวัติศาสตร์,ความเชื่อ,สังคม,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=994
993รายงานการวิจัยการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขทางพิธีกรรมการปลงศพของกลุ่มชาติพันธุ์ญ้อในจังหวัดกาฬสินธุ์พระมหายืน ภูมุงคุณผู้วิจัยได้ศึกษาเงื่อนไขทางพิธีกรรมทางปลงศพรวมทั้งได้ศึกษาผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขของพิธีกรรมปลงศพของญ้อ ที่บ้านแซงบาดาลและบ้านบาก ตำบลแซงบาดาล อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งผู้วิจัยได้พบข้อสรุปว่า พิธีกรรมการปลงศพของชาติพันธุ์ญ้อมีลักษณะคล้ายคลึงกับพิธีธรรมศพของชาวไทยลาวกลุ่มๆ อื่น แต่ก็มีพิธีกรรมบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์ญ้อ กล่าวคือ การแบ่งประเภทพิธีการปลงศพตามกรณีเฉพาะของศพ อาทิ กรณีศพเด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปี กรณีของศพหนุ่มสาว กรณีของศพพระสงฆ์ เป็นต้น<br />
<br />
พิธีกรรมปลงของชาติพันธุ์ถือได้ว่าเป็นประเพณีอย่างหนึ่งที่ชาติพันธุ์ญ้อได้ปฏิบัติสืบทอดมาอย่างยาวนานจากรุ่นหนึ่งไปอีกรุ่นหนึ่ง แต่เมื่อมีเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาทำให้กลุ่มชาติพันธุ์มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตรวมทั้งได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบของพิธีกรรมการปลงศพไปด้วยเช่นกัน เช่น จากเดิมพิธีกรรมการปลงศพจะใช้แรงงานคนในการห่ามศพไปยังป่าช้า จึงมีการปรับเปลี่ยนวิธีการเคลื่อนศพแบบใหม่โดยใช้วิธีรถยนต์ เป็นต้น ดังนั้นการปรับเปลี่ยนรูปแบบพิธีกรรมการปลงศพของชาติพันธุ์ญ้อถือได้ว่าเป็นการสูญเสียภูมิปัญญาหรือประเพณีดั้งเดิมซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาติพันธุ์ญ้อไป (หน้า 107, 116-117)ญ้อ ย้อ ญ่อ โย้,การปรับเปลี่ยน,พิธีกรรมการปลงศพ,กาฬสินธุ์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=993
992วิทยานิพนธ์ทัศนคติของชาวเขาเผ่าม้งที่มีต่อนโยบายการปราบปรามยาเสพติดในอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่พิพัฒน์ บัวเย็น,ร.ต.อ.ศึกษาถึงทัศนคติของม้งเกี่ยวกับนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งระบุว่า ม้งใน 8 หมู่บ้านกรณีศึกษาในอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ มีทัศนคติที่ดีต่อนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลว่าทำให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินและทำให้ผู้เสพและผู้ยาเสพติดลดจำนวนลง แต่นโยบายดังกล่าวมีข้อบกพร่อง คือ เป็นการเปิดช่องว่างให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ เลือกปฏิบัติกับผู้กระทำผิดบางราย ระหว่างการดำเนินนโยบายมีผู้เสียชีวิตทั่วประเทศมากกว่า 3,000 คน การสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เกิดความไม่ไว้วางใจ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจหน้าที่เกินขอบเขต เช่น การวิสามัญ การฆ่าตัดตอนไม่อาจนำคนที่ทำผิดมาลงโทษ การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่มักเกิดความผิดพลาดทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เดือดร้อนและเสียชีวิตม้ง,ทัศนคติ,การเมือง,ยาเสพติด,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=992
991วิทยานิพนธ์ความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีบวชนาคช้างของชาวกูย : กรณีศึกษาหมู่บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์นฤมล จิตต์หาญการบวชนาคช้างของกูย หมู่บ้านตากลาง เป็นประเพณีที่แสดงออกถึงความเชื่อด้านพุทธศาสนาและความเชื่อในบรรพบุรุษ ความเชื่อด้านพุทธศาสนาเป็นเพราะกูยบ้านตากลางนับถือศาสนาพุทธ มีความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม การเวียนว่ายตายเกิด การทำดีจะทำให้ไปเกิดในที่ที่ดี การที่บุตรหลานผู้ชายได้บวชเรียนหลักธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจะผลดีต่อผู้ปฏิบัติ ตลอดจนจะเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาด้วย และโดยตามความเชื่อของพุทธศาสนิกาชนทั่วไปแล้วบิดามารดาก็จะได้รับผลบุญจากการบวชของลูก เมื่อเสียชีวิตวิญญาณของบิดามารดาจะได้จับชายผ้าเหลืองของบุตรขึ้นสวรรค์ ดั้งนั้นในครอบครัวที่มีบุตรชายจึงมีความต้องการให้ได้รับการบวชเรียน (หน้า 87)<br />
<br />
กูยมีความเชื่อว่าบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้วจะยังคงเฝ้าดูแลบุตรหลาน และจะช่วยให้บุตรหลานดำเนินชีวิตไปอย่างราบรื่น โดยกูยจะเรียกสิ่งเคารพสูงสุดว่า “ผีปะกำ” เพราะเชื่อว่าวิญญาณบรรพบุรุษจะสถิตย์อยู่ที่เชือกปะกำ (เชือกสำหรับคล้องช้างในสมัยโบราณ) ดังนั้นจึงมีการสร้าง “สาลปะกำ” ไว้ในบริเวณบ้าน โดยเฉพาะบ้านที่มีการเลี้ยงช้างจะไม่มีไม่ได้ และในบริเวณวังทะลุจะมีการสร้าง “ศาลปูตาวังทะลุ” สำหรับไว้เชือกปะกำและทำพิธีเซ่นในพิธีกรรมต่างๆ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ และหากในครอบครัวหรือชุมชนจะประกอบพิธีกรรมใดๆ ก็ตามจะต้องมีพิธีกรรมบอกกล่าวบรรพบุรุษ หรือที่เรียกว่า “การเซ่นผีปะกำ” ก่อนเสมอ การที่กูยมีความเชื่อเกี่ยวกับบรรพบุรุษช่วยให้กูย หมู่บ้านตากลาง ซึ่งมีจำนวนน้อยในสังคมใหญ่ยังคงมีความผูกพัน มีการรักษาวัฒนธรรมการเลี้ยงช้าง ภาษาพูด และวิถีชีวิตตามแบบอย่างดั้งเดิมอย่างเหนียวแน่น (หน้า 87, 88)<br />
<br />
ความเชื่อด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบวชนาคช้างนั้น มีความสัมพันธ์และผสามกลมกลืนระหว่าง 2 ความเชื่อ คือ ความเชื่อในหลักพระพุทธศาสนา และความเชื่อเกี่ยวกับบรรพบุรุษ โดยกูย หมู่บ้านตากลางไม่ได้ละเลยองค์ประกอบสำคัญตามความเชื่อในพิธีกรรมสำคัญต่างๆ แต่เป็นการนำมาผสมผสานให้เข้ากับวิถีชีวิต โดยจะเห็นได้จากพิธีกรรมอุปสมบท ที่ได้มีการจัดเตรียมเครื่องใช้ต่างๆ และขั้นตอนการบวชที่ถูกต้องตามแบบอย่างชาวพุทธทั่วไป แต่มีการเพิ่มเติมในส่วนที่เป็นความเชื่อของกลุ่มตนไว้ด้วย เช่น การเซ่นศาลปู่ตาวังทะลุ เป็นต้น ดังนั้นการที่มีพิธีการบวชนาคช้างของกูย หมู่บ้านตากลางนั้น จึงเป็นการแสดงออกถึงการผสมกลมกลืนของสองความเชื่ออย่างลงตัว และเป็นการแสดงถึงเอกลักษณ์ของชาวกูยอย่างแท้จริงกูย กวย,ความเชื่อ,ประเพณีบวชนาคช้าง,สุรินทร์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=991
990วิทยานิพนธ์ภูมิปัญญาชาวบ้านกับการแก้ปัญหาสาธารณสุข : กรณีศึกษาอาชีพการดำน้ำของชาวเลภูเก็ตสมบูรณ์ อัยรักษ์ผู้เขียนได้ทำการศึกษาถึงภูมิปัญญาชาวบ้านกับการแก้ปัญหาสาธารณสุข กรณีศึกษาการดำน้ำของชาวเลภูเก็ต เป็นการศึกษาวิจัยทั้งในเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ โดย เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลในทุกบริบทของการดำรงชีวิตของชาวเลภูเก็ต และได้ศึกษาเฉพาะเจาะลึกในส่วนของโรคที่เกิดจากการประกอบอาชีพดำน้ำคือ โรค Decompression Sickness (DCS) โดยปัจจัยที่มีผลกว่า โรคน้ำบีบ่เกิดจากการประกอบอาชีพดำน้ำเลภูเก็ตในทุกบริบทของชีวิต หรือที่ชาวเลเรียกว่า โรคน้ำบีบ ปัจจัยที่มีผลต่อ การเกิดโรค DCS โดยศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มชาวเลที่เคยเกิดโรค กับกลุ่มชาวเลที่ไม่เคยเกิดโรค พบว่าปัจจัยหลายประการที่มีผลต่อการเกิดโรค DCS อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ได้แก่ ระยะเวลาในการประกอบอาชีพ จำนวนพี่เลี้ยงที่คอยช่วยเหลือผู้ดำน้ำ ความลึกในการดำน้ำ มีเหตุการณ์ผิดปกติที่ต้องขึ้นสู่ผิวน้ำ ด้วยความรวดเร็ว ระยะเวลาในการดำน้ำแต่ละครั้ง และระยะห่างระหว่างท่อไอเสีย เครื่องอัดอากาศ และท่อดูดอากาศ ชาวเลมีการใช้ภูมิปัญญาในการแก้ไขปัญหา ชาวเลตั้งแต่การใช้พิธีกรรมต่างๆ จนถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เช่น การปฐมพยาบาลเบื้องต้นผู้ที่ประสบเหตุจากโรคน้ำบีบ ชาวเลจะใช้วิธีการที่เรียกว่า “การปรับตัว” โดยเป็นการปรับความดันภายในร่างกายให้เข้าสู่ภาวะปกติ และใช้วิธีการบีบนวดจนกว่าผู้ป่วยจะรู้สึกตัว สำหรับการรักษาต่อเนื่อง จะใช้วิธีการให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ด้วยการประคบ บีบนวด การใช้เหล้าขาว น้ำอุ่น และน้ำขิง คอยถูนวดให้แก่ผู้ป่วย โดยเชื่อว่าเลือดลม จะไหลเวียนดีขึ้น แต่ถ้าอาการหนักมากก็จะส่งไปรักษากับแพทย์แผนปัจจุบันต่อไปอูรักลาโว้ย,ชาวเล,ระบบการแพทย์ท้องถิ่น,ระบบการแพทย์สากล,ระบบการแพทย์พหุลักษณ์, ภูมิปัญญาชาวบ้าน,อาชีพดำน้ำ,โรคเกิดจากความดันที่ลดลง,โรคน้ำบีบตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=990
989วิทยานิพนธ์ผ้าทอพื้นเมืองกลุ่มไทยซำเหนือในกระแสบริโภคนิยมพรทิพย์ ฆ้องทองชัยผู้เขียนพบว่าผ้าทอซำเหนือมีการเปลี่ยนแปลง 2 ด้าน คือ 1) ด้านสีสัน โดยมีการใช้สีเคมีที่นำเข้ามาจากประเทศไทยและเวียงจันทน์ ส่วนผ้าทอที่ย้อมสีจากธรรมชาติจะมีราคาที่แพงกว่าและมีการทำเป็นบางกลุ่มเท่านั้น 2) ด้านฝีมือ การทอผ้าในปัจจุบันนั้นไม่ค่อยมีความแน่นของการเรียงเส้นใยเมื่อเทียบกับอดีต เนื่องจากมีความต้องการที่จะให้ได้ผ้าในปริมาณมากๆ เพื่อนำมาขายให้ทันกับความต้องการของลูกค้า ในส่วนของการปรับตัวของช่างทอนั้นมีการปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามความต้องการของลูกค้า ทั้งในส่วนของผู้ที่เป็นพ่อค้าคนกลางและลูกค้าที่มาซื้อสินค้าโดยตรง โดยนำมาปรับประยุกต์เป็น 1) การทอผ้าในรูปแบบผลิตภัณฑ์เดิม ได้แด่ ผ้าซิ่น ผ้าเบี่ยง เป็นต้น และ 2) การทอผ้าในรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ ผ้าพันคอ ปลอกหมอน เป็นต้นไทแดง,ผ้าทอ,การเปลี่ยนแปลง,กระแสบริโภคนิยม,ซำเหนือ,ลาวตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=989
988วิทยานิพนธ์ความเป็นพวน ในปรากฏการณ์ความเป็นไทยร่วมสมัยเจนสุดา สมบัติชาวพวนมีการสร้างอัตลักษณ์ของตนเองเพื่อบ่งบอกความเป็นตัวตนขึ้นมา ด้วยเหตุผลว่าชาวพวนมักถูกเหมารวมว่าเป็น "ลาว" ซึ่งคำเรียก "ลาว" ในบริบทของสังคมไทยนั้น เป็นเหมือนคำดูถูก เหยียดยาม ดังนั้น ชาวพวนจึงสร้างอัตลักษณ์ของตนเอง เพื่อสื่อสารให้กับคนในสังคมวงกว้างได้รับรู้ว่า พวกเขาไม่ใช่คนลาว หากแต่มีรากเหง้าทางวัฒนธรรมเป็นของตนเอง ผลจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในช่วงประมาณ 30 ปีที่ผ่านมา คือ การส่งเสริมให้ท้องถิ่นนำเสนอวัฒนธรรมของตนเอง นำเสนอความเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน อันเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากช่วงก่อนหน้านี้ ที่เน้นความเป็นเอกภาพของชาติ อย่างไรก็ตาม แม้รัฐจะส่งเสริมความแตกต่างทางวัฒนธรรม แต่ความแตกต่างนี้ ก็ยังอยู่ภายใต้ความคิดที่ว่าเป็นคนชาติเดียวกัน ชาวพวนก็เป็นกลุ่มหนึ่งที่ได้มีการปรับตัวให้เข้ากับนโยบายนี้ได้อย่างดี โดยการเลือกนำเสนอสิ่งที่เป็นเสมือนตัวแทนของวัฒนธรรมของตนบางอย่าง และสิ่งที่ถูกนำมาเสนอนั้น ก็มักจะเป็นสิ่งที่ "ขายได้" ทั้งที่บางสิ่ง ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ หรือเคยปรากฏในประวัติศาสตร์ของชาวพวนมาก่อน เช่น การละเล่นนางกวักของชาวตำบลบ้านทราย อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี หรือบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ผลิตขึ้นมาใหม่ เช่น ชุดไทยพวนประยุกต์ของพวนบ้านมาบปลาเค้า อำเภอท่ายาง จังหวัดลพบุรี เป็นต้นพวน,อัตลักษณ์,ความเป็นไทยร่วมสมัยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=988
986วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของไตลื้อจารุวรรณ พรหมวงค์การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาโครงสร้างทางสังคมและวัฒธรรมทั่วไปของไตลื้อและเพื่อศึกษากระบวนการ แนวโน้มและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มชาติพันธุ์ดังกล่าวในด้านภาษา การแต่งกายและความเชื่อ จากการศึกษาพบว่าชาวไตลื้อตั้งถิ่นฐานดั้งเดิมในแคว้นสิบสองปันนา ในบริเวณตอนใต้ของประเทศจีน ชาวไตลื้อที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทยเป็นเชลยศึกอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองของประเทศจีน ชาวไตลื้อยังคงรักษาวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของตนเองไว้อยู่ อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยนี้พบว่าลักษณะประเพณีและวัฒนธรรมบางประการของชาวไตลื้อที่หมู่บ้านทุ่งหมอก ได้เปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสื่อสาร การแต่งงานข้ามวัฒนธรรมและการค้าขาย ลักษณะทางวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปมากที่สุดคือการแต่งกายแบบดั้งเดิมในขณะที่ภาษาไตลื้อมีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด ชาวไตลื้อยังคงรักษาความเชื่อบางประการไว้ ในขณะที่ความเชื่อบางอย่างก็ได้เปลี่ยนแปลงไป ชาวไตลื้อที่มีการศึกษาสูง มีอายุน้อยและมีสถานภาพทางสังคมสูงมีแนวโน้มที่จะยอมรับสิ่งใหม่ๆ และเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่าTai Lue,history,culture,changes,Phayaoตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย2536ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=986
985วิทยานิพนธ์การศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการของชาวเลไพโรจน์ พรพันธุ์อนุวงศ์การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหา และความต้องการของชาวเล ผู้เขียนพบว่า ผลการศึกษาสภาพปัญหา และความต้องการด้านสุขอนามัย เศรษฐกิจ อาชีพ และการศึกษาของชาวเล สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาด้านคุณภาพชีวิตทั้ง 4 ด้าน ดังที่กล่าวไปข้างต้นของชาวเลที่อยู่ในเกณฑ์ต่ำ และในการศึกษาพบว่า รัฐมีการให้ความสำคัญแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพชีวิตเพียง 2 ด้าน คือ ด้านสุขอนามัย และด้านการศึกษา ซึ่งที่ผ่านมาถึงแม้ว่ารัฐจะยืนมือเข้ามาช่วยเหลือพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวเลให้ดีขึ้น แต่ชาวเลเองก็ยังไม่ให้การยอมรับร่วมมือเข้ารับบริการจากรัฐเท่าที่ควร ผู้เขียนจึงเสนอแนวทางการแก้ไขว่า ควรนำข้อมูลผลการศึกษาให้ครั้งนี้เสนอต่อหน่วยงานภาครัฐในระดับจังหวัดที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวเลให้ดีขึ้นต่อไป (หน้า ฆ-ง)อูรักลาโว้ย,ชาวเล,สังคมวัฒนธรรม,ความเป็นอยู่,การพัฒนาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย2527ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=985
984รายงานการวิจัยการแพร่ระบาดของยาเสพติดที่ไม่ใช่ฝิ่นในชุมชนชาวเขากรณีศึกษา: การใช้สารเสพติดประเภทยาม้าในชุมชนกะเหรี่ยงเขตพื้นที่แม่สวรรค์น้อย ตำบลแม่เหาะ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนสารภี ศิลา, บุญชนะ ทองแสน และ อิฐศักดิ์ ศรีสุโข รายงานนี้เป็นการศึกษาการแพร่ระบาดยาบ้าในชุมชนกะเหรี่ยงเขตพื้นที่แม่สวรรค์น้อย ต.แม่เหาะ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน โดยเปรียบเทียบกับหมู่บ้านแม่โถ ต.บ่อสลี อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ผลการวิจัยบ่งชี้ว่า การแพร่ระบาดของยาบ้าเกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจระบบใหม่ที่ผูกพันกับตลาดนอกหมู่บ้าน การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจจากแบบพึ่งตนเองมาสู่ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่เป็นปัจจัยที่ทำให้กะเหรี่ยงรับยาบ้าเข้ามาใช้ในวิถีชีวิต (บทคัดย่อ) การหันมาปลูกกะหล่ำปลีเป็นพืชเศรษฐกิจหลักปีละ 3 ครั้ง ทำให้ต้องการแรงงานจำนวนมากในการผลิตทั้งในช่วงการเตรียมดิน เพาะกล้า และเก็บผลผลิต (หน้า 39-40) ทั้งนี้คณะวิจัยเห็นว่า ความต้องการเงินรายได้เพิ่ม และการขาดความรู้เกี่ยวกับยาบ้า การเข้าถึงแหล่งขายยาบ้าได้ง่าย รวมทั้งนิสัยบุคลิกภาพของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นสาเหตุหลักของการใช้ยาบ้า ส่วนการแก้ไขการแพร่ระบาดนั้น คณะวิจัยเห็นว่า เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ 4 กระทรวงหลักต้องร่วมมือกันให้ความรู้แก่ชุมชน (บทคัดย่อ)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ยาเสพติด,ยาบ้า,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2534https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=984
983รายงานการวิจัยการพัฒนาศักยภาพของวัดในการสร้างระบบสวัสดิการแก่ผู้ด้อยโอกาส: กรณีศึกษา วัดป่าเป้า ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่นิมิต นพรัตน์รายงานวิจัยนี้ศึกษาการจัดระบบสวัสดิการหรือกิจกรรมของวัดป่าเป้าแก่ผู้ด้อยโอกาส โดยวัดได้ร่วมมือกับศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเชียงใหม่ จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้ด้อยโอกาสที่เข้ามารับบริการส่วนใหญ่เป็นคนไทใหญ่จากประเทศพม่าเข้ามาขายแรงงาน คนเหล่านี้อยากมีความรู้ภาษาไทยเพิ่มขึ้น สามารถอ่านภาษาไทยได้ เพื่อจะได้นำความรู้ไปพัฒนาอาชีพ หรือเปลี่ยนงานมีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ผู้ศึกษาเห็นว่า วัดควรปรับหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับอาชีพของผู้เรียน เพื่อว่าผู้เรียนจะได้มีโอกาสมากขึ้นในตลาดแรงงาน สามารถพึ่งตนเองได้ในกรณีที่ต้องการประกอบอาชีพอิสระ และหลีกเลี่ยงการถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง (บทคัดย่อ)ไทใหญ่,วัด,การพัฒนา,ผู้ด้อยโอกาส,แรงงานต่างชาติ,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=983
982รายงานการวิจัยการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมโดยชุมชนชาวม้ง บ้านน้ำคะ-สานก๋วย ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยาดารุณี บุญธรรม, เลาท้าว แซ่โซ้ง, สมศักดิ์ พานผ่องเจริญ, วัลยา แซ่ย่าง, เลาเน้ง พานผ่องเจริญ และอัชภรณ์ ขันโทการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพชุมชน ค้นหารูปแบบกระบวนการเรียนรู้และการบริหารจัดการ ทดลอง และปรับปรุงพัฒนากระบวนการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมที่เหมาะสมสอดคล้องกับชุมชนม้งบ้านน้ำคะ-สานก๋วย ผลการศึกษาพบว่า ชุมชนบ้านน้ำคะ-สานก๋วยมีศักยภาพในการจัดการการท่องเที่ยงเชิงนิเวศและวัฒนธรรมของชุมชนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมประเพณี สถานที่ท่องเที่ยว องค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านงานศิลปหัตถกรรม และการแปรรูปสมุนไพร โดยมีคณะกรรมการชาวม้งร่วมกันแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบงานกระบวนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมของชุมชน ตามแผนการดำเนินงานเตรียมความพร้อมของชุมชน แผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว แผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ และแผนการประชาสัมพันธ์ และทดลองจัดกิจกรรมศึกษาวัฒนธรรมเทศกาลปีใหม่ม้ง และศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของป่าต้นน้ำยม ผลการทดลองพบว่า ทำให้ชุมชนได้มีกระบวนการเรียนรู้ในการจัดการ การท่องเที่ยว เพิ่มความสำคัญเชิงมูลค่าและคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรมประเพณี และการเข้ามามีส่วนร่วมทำกิจกรรมชุมชนของคนในชุมชนที่นำไปสู่การพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืน (หน้า ก-ข)ม้ง,การท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรม,การมีส่วนร่วมของชุมชน,พะเยาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2546https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=982
981วิทยานิพนธ์สถานภาพทางสังคมของม้งอพยพในเมืองโอแคลร์ มลรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกาชุติมา จันทรรัตน์งานเขียนกล่าวถึงสภาพทางสังคมของม้งที่อพยพไปอยู่ที่เมืองโอแคลร์ มลรัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจัยในการย้ายถิ่นที่อยู่ของม้งและการปรับตัวและสภาพสังคมของม้งในอเมริกา ซึ่งผลของการศึกษาระบุว่าสาเหตุการอพยพของม้งไปอยู่สหรัฐเป็นเพราะเหตุผลทางการเมืองเนื่องจากม้งได้ช่วยทหารอเมริกันต่อสู้กับกองกำลังคอมมิวนิสต์ในลาวในสงครามเวียดนาม เมื่อสหรัฐแพ้สงครามม้งต้องอพยพออกจากลาวมาอยู่ในศูนย์อพยพในประเทศไทย ในเวลาต่อมาจึงถูกส่งตัวไปตั้งรกรากในประเทศที่สามอาทิ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย ฯลฯแต่ส่วนมากจะย้ายไปอยู่สหรัฐโดยกระจายกันอยู่ใน 30 มลรัฐโดยอยู่เป็นจำนวนมากที่รัฐแคลิฟอร์เนีย มินนิโซต้า และมลรัฐวิสคอนซิน สำหรับการอพยพมาอยู่มลรัฐวิสคอนซินเริ่มจากปี ค.ศ.1975 สาเหตุที่ม้งมาอยู่รัฐนี้เป็นจำนวนมากก็เพราะว่าวิสคอนซินเป็นแหล่งผลิตสินค้าทางการเกษตรที่สำคัญและมีฟาร์มเลี้ยงสัตว์อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งม้งมีพื้นฐานด้านการเกษตรจึงปลูกผักขาย นอกจากนี้ภูมิประเทศของรัฐยังมีสภาพเป็นป่าเขาม้งจึงรู้สึกเหมือนกับอยู่บ้านที่เคยอยู่ในประเทศลาว และสวัสดิการทางสังคมของรัฐที่เอื้อให้ม้งมีโอกาสด้านการศึกษา และการตั้งถิ่นฐาน (บทคัดย่อ หน้า ง-จ)ม้ง,การย้ายถิ่น,การปรับตัว,สถานภาพทางสังคม,สหรัฐอเมริกาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=981
980รายงานการวิจัยปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมในโครงการส่งเสริมการเกษตรบนที่สูงของเกษตรกรชาวเขาเผ่ามูเซอ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงรายไพบูลย์ สุทธสภางานเขียนกล่าวถึงปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมในโครงการส่งเสริมการเกษตรบนที่สูงโดยทำการศึกษาในหมู่บ้านมูเซอสองหมู่บ้านคือบ้านห้วยน้ำรินและบ้านห้วยโป่ง ตำบลแม่เจดีย์ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงรายซึ่งจากการศึกษาการมีส่วนร่วม ปัญหาและอุปสรรคต่างๆของหมู่บ้านทั้งสองพบว่าบ้านห้วยโป่งจะขาดปัจจัยในการผลิตเช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เมล็ดพันธุ์ ไม่พอกับความต้องการที่จะใช้ในการเพาะปลูก ปัญหาต่อมาก็คือ ราคาพืชตกต่ำและไม่มีความรู้ด้านการเกษตร สำหรับบ้านห้วยน้ำรินปัญหาที่พบมากคือขาดที่ดินทำกินและปัจจัยในการผลิตเช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เมล็ดพันธุ์และอื่นๆไม่เพียงพอลาหู่,การทำการเกษตร,เศรษฐกิจ,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=980
979บทความการศึกษาเพื่อหาแนวทางเสริมสร้างทักษะในการประกอบอาชีพนอกภาคการเกษตรในและนอกชุมชนชาวเขา : ศึกษากรณีเผ่าแม้ว กะเหรี่ยงและมูเซออิฐศักดิ์ ศรีสุโข งานเขียนกล่าวถึงงานที่ชาวเขาที่ประกอบด้วย แม้ว กะเหรี่ยง และมูเซอที่อยู่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอนเข้ามาทำงานในเมืองรวมถึงความต้องการในการฝึกอบรมอาชีพนอกภาคการเกษตรให้กับชาวเขา ซึ่งการอบรมความรู้ก็เพื่อเป็นการหาแนวทางในการส่งเสริมความรู้ด้านการประกอบอาชีพให้ชาวเขาต่อไป สำหรับการศึกษาได้พบว่าการทำงานในเมืองนั้นชาวเขาจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารเพราะพูดภาษาไทยไม่ชัดบางรายก็อ่านหนังสือไม่ออก นอกจากนี้โดยมากชาวเขาจะแค่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งในทุกวันนี้บริษัทหลายแห่งที่รับคนเข้าทำงานจะรับคนที่เรียนจบตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นอกจากนี้ชาวเขาที่ได้สัญชาติไทยแล้วยังเลือกงานและอยากได้ค่าแรงในอัตราที่สูง แต่ผู้ว่าจ้างจะจ่ายให้ไม่ถึง เป็นต้นม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,ลาหู่ ลาฮู,ความรู้,อาชีพ,เชียงใหม่,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=979
978วิทยานิพนธ์พฤติกรรมการเปิดรับสื่อ ความต้องการใช้ประโยชน์จากสื่อและรูปแบบการดำเนินชีวิตของชนชาติกะเหรี่ยงบ้านคา จังหวัดราชบุรีศิขริน เอกะวิภาต เนื้อหากล่าวถึงพฤติกรรมการเปิดรับสื่อ ความต้องการใช้ประโยชน์จากสื่อ และรูปแบบการดำเนินชีวิตของชนชาติกะเหรี่ยงบ้านคา จังหวัดราชบุรี ผู้ศึกษาได้ใช้วิธีวิจัยเชิงสำรวจโดยใช้แบบสอบถามจำนวน 200 ชุดจากการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างเปิดดูโทรทัศน์เป็นระจำ ฟังวิทยุบ่อยครั้ง พูดคุยกับบุคคลอื่นตามโอกาส ระยะเวลาเปิดรับสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และบุคคลอื่นในแต่ละครั้งจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง คือชอบดูละคนโทรทัศน์ ฟังธรรมะทางวิทยุ หัวข้อพูดคุยกับบุคคลอื่นคือการช่วยเหลือทางการเงิน กะเหรี่ยงมีความต้องการใช้สื่อในระดับมาก โดยมีอันดับดังนี้ ความต้องการทางด้านบันเทิงมีค่าเฉลี่ย 3.99 ความต้องการข้อมูลข่าวสาร มีค่าเฉลี่ย 3.85 และอื่นๆโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การเปิดรับสื่อ,โทรทัศน์,วิทยุ,วิถีชีวิต,การสนทนากับบุคคลอื่น,ราชบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2546https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=978
977รายงานการวิจัยบทบาทผู้หญิงในสังคมชาวนาต่อการจัดการครัวเรือน : กรณีศึกษาผู้หญิงจ้วง:ไทดำ (ผู้ไต่) ในมณฑลกวางสี ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนชุลีพร วิมุกตานนท์เนื้อหางานกล่าวถึงการศึกษาเงื่อนไขทางวัฒนธรรมและประเพณีที่กำหนดบทบาทของผู้หญิงในการจัดการครัวเรือนของผู้หญิงจ้วง(ผู้ไต่)หรือไทดำ ที่อยู่ตำบลจินหลง อำเภอหลงโจว มณฑลกวางสี ประเทศจีน และการอยู่ร่วมกันของชายและหญิงซึ่งดูจากบทบาทของผู้หญิงในครอบครัวในฐานะต่างๆเช่นการเป็นลูกสาว ภรรยา แม่ และได้ศึกษาการปรับเปลี่ยนบทบาทของผู้ชายและผู้หญิงผู้ไต่ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมจ้วง(ไทดำ,ผู้ไต่),ผู้หญิง,การจัดการครัวเรือน,มณฑลกวางสี,จีนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2544https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=977
976รายงานการวิจัยทัศนะที่มีต่อเฮโรอีน โสเภณี และแนวทางการฟื้นฟูจริยธรรม ศึกษากรณีชาวมูเซอสนิท วงศ์ประเสริฐเนื้อหางานกล่าวถึงพฤติกรรมของมูเซอในหมู่บ้านวนาหลวงซึ่งเป็นหมู่บ้านมูเซอซึ่งเมื่อก่อนตั้งอยู่บนเขาสูงแล้วย้ายลงมาตั้งหมู่บ้านในบริเวณชาวเขากระทั่งมีมูเซอจากหมู่บ้านอื่นรวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและเอกชนเข้าไปทำงานด้านการพัฒนา กระทั่งมีชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวจับกลุ่มมั่วสุมเสพเฮโรอีน เล่นการพนันกระทั่งนำไปสู่การแต่งงานชั่วคราวซึ่งเป็นช่องว่างให้ชาติพันธุ์อื่นเข้ามาฉวยโอกาสแต่งงานกับหญิงมูเซอแล้วเสียค่าหย่าร้าง ซึ่งการกระทำดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการค้าประเวณี ในการศึกษาสภาพสังคมของมูเซอเพื่อนำไปแก้ไขปัญหายาเสพติด การค้าประเวณีและเร่งฟื้นฟูจริยธรรมต่างๆให้กับมูเซอในหมู่บ้านกรณีศึกษาลาหู่,เฮโรอีน,โสเภณี,จริยธรรม,ประเพณี,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2537https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=976
975วิทยานิพนธ์อำนาจขององค์ความรู้ในงานวาทกรรมทางประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีเขมรในประเทศไทยกรณรงค์ เหรียนระวีเนื้อหาของเอกสารกล่าวถึงกระบวนการสร้างองค์ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีเขมรในประเทศไทย ตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน ผ่านการถ่ายทอดของนักวิชาการสำนักฝรั่งเศสเป็นผู้รวบรวมองค์ความรู้ในด้านต่างๆ ทั้งลักษณะรายละเอียดของศิลปะเขมรที่เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทย และการได้รับองค์ความรู้ต่างๆ จากตะวันตก เกิดเป็นการผสมผสานของวัฒนธรรมของตนเองในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงและปรับตัวของชนชาติไทยในการสร้างระบบรัฐไทย โดยอาศัยเครื่องมือทางประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคในแต่ละสมัย ส่งผลให้สังคมไทยมีลักษณะเฉพาะของไทยเองมาจนถึงปัจจุบันชนชาติไทย,ประวัติศาสตร์,ศิลปะ,โบราณคดีเขมร,การเปลี่ยนถ่ายทางวัฒนธรรม,ศิลปะตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2545https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=975
974หนังสือThe Jingpo : Kachin of the Yunnan Plateau-หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางสังคมใหม่ๆของกลุ่มชาติพันธุ์จิงโปหรือคะฉิ่นที่อยู่ในพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลยูนนาน พรมแดนจีน-พม่า ผู้เขียนเห็นว่า สังคมจิงโปมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอดตั้งแต่อพยพเข้ามาในประเทศจีนโดยการติดต่อกับคนไตและคนจีนฮั่น พร้อมทั้งแบ่งการเปลี่ยนแปลงของสังคมจิงโปออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรก การเปลี่ยนแปลงก่อน ค.ศ. 1949 ซึ่งเริ่มในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และระยะที่สอง เริ่มในตอนกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทั้งนี้ระหว่างช่วงระยะทั้งสองมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญครั้งใหญ่คือ การรับวัฒนธรรมการปลูกข้าวแบบทดน้ำ และนั่นทำให้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 สังคมจิงโปมีการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ได้แก่ การปลูกข้าวแบบทดน้ำ(wet-rice cultivation) การแยกลำดับชนชั้นประชาชนในรูปของการทำนาทดน้ำ การเปลี่ยนแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำ-ประชาชน(chief-commoner) และการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างสังคมจิงโปกับสังคมภายนอกจีนยูนนาน จีนมุสลิม,คะฉิ่น(Kachin),จิงโป(Jingpo),การเปลี่ยนแปลงสังคมและวัฒนธรรม,การปรับตัว,จีนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2540ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=974
973หนังสือEmerging Sexual Inequality among the Lisu of Northern Thailand : the Waning of dog and Elephant ReputeOtome Klein Hutheesingหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันทางเพศในสังคมลีซูที่ผู้เขียนได้เข้าไปอยู่และศึกษาหมู่บ้านลีซูแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงรายตั้งแต่ ค.ศ. 1982-1986 เป็นการนำเสนอ จากการมองของคนในและจากคนที่อยู่ข้างใต้ (the inferior) และวิเคราะห์ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ ผ่านความคิดเรื่องพื้นที่หญิง-ชายของลีซู ซึ่งมีหลักการพื้นฐานอยู่ที่สภาวะความเป็นคู่แบบหยิน-หยางในลัทธิเต๋า เช่น ตะวันออก-ตะวันตก ซ้าย-ขวา ข้างบน-ข้างล่าง นอกจากนั้นหลักความคิดเรื่องความเป็นคู่ยังนำไปใช้ในขนบประเพณี ที่สำคัญ ได้แก่ ความกล้า-ความอาย(boldness-shyness dichotomy) ของผู้หญิงและผู้ชาย ผู้หญิงต้องมีความอายและสงบเสงี่ยมแบบช้าง ผู้ชายต้องกล้าแบบสุนัข ความคิดนี้ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันทางเพศตามแนวคิดตะวันตก ซึ่งผู้หญิงลีซูไม่ได้มองว่าตนอยู่ใต้อำนาจลีซู,เพศ,ความไม่เท่าเทียม,ผู้หญิง,เศรษฐกิจ,สังคม,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2533ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=973
972วิทยานิพนธ์สาระทางการศึกษาในพิธีกรรมของชาวไทยภูเขาเผ่าเมี่ยน (เย้า) บ้านป่ากลาง อำเภอปัว จ. น่านสีวิกา จรัสแสงเพชรเมี่ยน (เย้า) เป็นชาวไทยภูเขาเผ่าหนึ่งซึ่งมีวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตลอดจนมีการสั่งสมภูมิปัญญาด้านต่าง ๆ และมีการสืบทอดความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี การแต่งกายปรากฏเป็นวัฒนธรรมเฉพาะตัว ในงานวิจัยชิ้นนี้ ผู้วิจัยได้เลือกศึกษาวิเคราะห์ให้เห็นเนื้อหาบทบาท กระบวนการของความเชื่อ การดำรงชีวิต ภูมิปัญญาและทักษะอาชีพของเมี่ยนบ้านป่ากลาง อำเภอปัว จ.น่าน โดยเน้นศึกษาพิธีกรรมต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับบริบทในการดำเนินชีวิตของชาวไทยภูเขาเผ่าเมี่ยน ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยสะท้อนถึงค่านิยมในการดำรงชีวิต คติความเชื่อที่สะท้อนผ่านการให้ความสำคัญกับสังคมชุมชน ผ่านความเคารพในระบบอาวุโส การช่วยเหลือกิจการงานต่าง ๆ กันในพิธีกรรมของชุมชนที่ยังคงต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันแล้วกัน การแบ่งปันกันในหมู่เครือญาติ ระบบความเชื่อผีบรรพบุรุษและอำนาจเหนือธรรมชาติ สะท้อนผ่านประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวกับการถือผีบรรพบุรุษ และความเชื่อเรื่องเทพารักษ์วิญญาณภูมิผีปีศาจ ที่สะท้อนผ่านการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยศึกษา นอกจากนี้ยังแสดงออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ ผ่านการให้ความเคารพยกย่องธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันหรือดำรงอยู่ร่วมกันแบบไม่เบียดเบียนธรรมชาติจนเกินไป ผ่านประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ผู้วิจัยได้ศึกษา พิธีกรรมของเมี่ยนบ้านป่ากลางทั้งแบบเข้าไปมีส่วนร่วมใกล้ชิด และจดบันทึกจากคำบอกเล่าของคนในชุมชนเอง ซึ่งทั้ง 8 พิธี เป็นพิธีกรรมที่เมี่ยนบ้านป่ากลางยังคงถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ได้แก่ พิธีเห่วเมี้ยน พิธีซิบเมี้ยน เห่วเตา เห่วลู่ง พิธีจิ่วเบย้าว่วน พิธีซิบอ๊อเมี้ยน พิธีทิมเมี้ยนคู้ พิธีกว๋าดัง พิธีโจ๋วซึงจา พิธีโจ๋วซินเมี่ยน(เย้า),พิธีกรรม,ความเชื่อ,วิถีชีวิต,ภูมิปัญญา,ทักษะอาชีพ,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2535https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=972
971วิทยานิพนธ์การใช้บริการสาธารณสุขของครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในจังหวัดแม่ฮ่องสอนโยธิน บุญเฉลย ระบบการบริการสาธารณสุขด้านการรักษาพยาบาลของครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ตามกรอบการศึกษาของผู้วิจัย แบ่งได้เป็น 4 วิธี คือ แบบผสมผสาน แบบสามัญชน แผนปัจจุบันและการแพทย์พื้นบ้าน จากผลการศึกษาเชิงปริมาณพบว่าครัวเรือน มักใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบผสมผสานมากที่สุด โดยเรียงลำดับได้ดังนี้คือ วิธีแบบผสมผสาน แผนปัจจุบัน การแพทย์พื้นบ้านและแบบสามัญชน ส่วนผลการศึกษา ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเกี่ยวกับปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือนกะเหรี่ยงมีตัวแปรดังนี้คือ ระดับฐานะทางเศรษฐกิจของครัวเรือน ขนาดที่ดินทำกินของครัวเรือน การมีสถานบริการสาธารณสุขตั้งอยู่ในกลุ่มบ้าน การมีเส้นทางรถยนต์เข้าถึงกลุ่มบ้าน การตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างไกล ระดับการได้รับข่าวสารของครัวเรือน ความสามารถในการใช้ภาษาไทยของหัวหน้าครัวเรือน ศาสนาที่หัวหน้าครัวเรือนนับถือขนาดของครัวเรือน ระดับความรุนแรงของอาการเจ็บป่วย และความเชื่อถือ ความเข้าใจต่อบริการของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ส่วนตัวแปรที่ไม่มีความสัมพันธ์กับการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือนกะเหรี่ยงเลยคือ อายุของหัวหน้าครัวเรือนปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),บริการสาธารณสุข,การแพทย์แผนปัจจุบัน,การแพทย์พื้นบ้าน,การแพทย์แบบสามัญชน,การแพทย์แบบผสมผสาน,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=971
970วิทยานิพนธ์การศึกษาคำศัพท์เกี่ยวกับป่าชุมชน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของชาวเมี่ยนกมลธรรม ชื่นพันธุ์เมี่ยนเป็นกลุ่มชนที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับป่าเขาอย่างแยกไม่ออกมาช้านาน วิถีชีวิตของเมี่ยนจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยป่า ทำมาหากินบนภูเขา ในเขตป่าและแหล่งน้ำ มีการล่าสัตว์และหาของป่า ทำการเกษตรตามฤดูกาลเพื่อให้ยังชีพอยู่ได้ เมื่อกระแสการอนุรักษ์ป่าเข้ามา เมี่ยนก็มักถูกเพ่งเล็งจากภาครัฐและเอกชนว่าเป็นกลุ่มคนที่ทำลายป่าไม้และแหล่งต้นน้ำลำธาร มีความพยายามหาทางเข้าไปจัดการควบคุมและผลักดันจากสังคมภายนอกเพื่อแก้ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ภาพของเมี่ยนกลายเป็นภาพเชิงลบที่มีแต่การทำลายในสายตาคนทั่วไป เนื่องจากมีปัญหาและอุปสรรคเรื่องความไม่เข้าใจภาษาและวัฒนธรรมอันเป็นลักษณะเฉพาะของเผ่า ในขณะที่เมี่ยนก็ไม่มีโอกาสพูดแสดงความคิดเห็น บอกเล่าความเป็นไปและสะท้อนความเป็นจริงต่อโลกภายนอกมากนัก งานวิจัยชิ้นนี้ผู้วิจัยจึงได้พยายามสะท้อนความหมายของคำว่าป่าที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของเมี่ยนมาแต่อดีต “ป่าชุมชน” และป่าในความหมายของเมี่ยนจึงมิได้นิยามแค่ลักษณะทางกายภาพ ตามความเข้าใจของสังคมภายนอก แต่ยังรวมถึงองค์ประกอบต่างๆ ทั้งป่า ภูเขา น้ำ พืช สัตว์ ผีและคนซึ่งดำรงอยู่ร่วมกันแบบอาศัยพึ่งพิงตามธรรมชาติ โดยอาศัยกุศโลบายด้านความเชื่อ เป็นพื้นฐาน ซึ่งส่งผลให้เกิดการจัดการดูแลรักษาป่าชุมชนและสิ่งแวดล้อมของเมี่ยนไว้ เพื่อไม่ให้เกิดการทำลายความสมดุลตามธรรมชาติหรือทำลายทรัพยากรจนเกินความพอดีเมี่ยน,ภาษาศาสตร์,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,ป่าชุมชน,การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม,ลำปางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=970
969วิทยานิพนธ์เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของ ชาวมอญ: ศึกษากรณีหมู่บ้านเจดีย์ทอง ตำบลคลองควาย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานีพัลลภ สุริยกุล ณ อยุธยาวิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและประเพณีของชาวมอญและปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงและการธำรงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของมอญในหมู่บ้านเจดีย์ทอง จากการศึกษาพบว่าชาวมอญในหมู่บ้านเจดีย์ทองมีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมมาสู่สังคมไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลายๆอย่าง ทั้งจากการปฏิรูปการศึกษา หรือการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัยที่ทำให้วิถีการดำรงชีวิตของคนในชุมชนเปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตามการประเพณีทางศาสนามีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก เนื่องจากในหมู่บ้านนี้มีเจดีย์ที่เป็นที่เคารพสักการะและมีผู้นำชุมชนที่เคร่งครัดในด้านศาสนา (หน้า ง)มอญ,เอกลักษณ์วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,ปทุมธานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปทุมธานี ประเทศไทย2542https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=969
968รายงานการวิจัยงานหัตถกรรมพื้นบ้านชาวชองกาญจนา จินตกานนท์ ศิริพร สมัครสโมสรจากการวิจัยงานหัตถกรรมพื้นบ้านชาวชองของชุมชนชองหมู่บ้านคลองแสง ทั้ง 8 ชนิด คือ สมุก เสื่อ กระบุง กะโล่ กระจาด ข้อง กระชอน และชนาง ผู้เขียนพบสาระสำคัญ 5 ประการ คือ 1) จุดมุ่งหมายหลักของการสร้างสรรค์งานจักสานของชาวชองที่สืบต่อกันมาในอดีตถึงปัจจุบัน คือ เพื่อเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน และเครื่องใช้ในการประกอบพิธีกรรม 2) เครื่องจักสานดังกล่าวถูกผลิตขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยเหมาะกับการใช้งานเป็นหลัก จึงทำให้มีวิธีและขั้นตอนการผลิตที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน รูปทรงมีเพียง เช่น ทรงกระบอก ทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยม และลวดลายมีเพียงลายแม่บท 4 ลาย คือ ลายขัด ลายสอง ลายสาม ลายคุบ และลายพัฒนา 2 ลาย คือ ลายขัดตาจีน ลายผสม หรือลายประดิษฐ์ 3) สามารถสังเกตได้ว่าวัสดุหลักที่ชาวชองนำมาผลิตเครื่องจักสาน และได้กลายเป็นเอกลักษณ์เครื่องจักสานของชาวชอง ซึ่งต่างไปจากเครื่องจักสานของท้องถิ่นอื่น คือ ต้นคลุ้ม ซึ่งเป็นพืชในชุมชนที่มีคุณสมบัติพิเศษตามธรรมชาติ เมื่อนำมาจักตอกแล้วผิวมีสีแดงเรื่อสวยงาม นวล ลื่น นิ่ม เหนียว และเย็น 4) ถึงแม้ว่าเครื่องจักสานของชาวชองจะมีความเรียบง่ายไม่โดดเด่นทั้งรูปทรงและลวดลาย แต่ก็มีความงดงามเชิงศิลป ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถเชิงศิลปของชาวชองในการกำหนดขนาด สัดส่วน รูปทรง การเลือกวัสดุของเครื่องจักสานให้เหมาะสม สะดวก มีความสวยงาม และประโยชน์ในการใช้งาน 5) ปัจจุบันชาวชองมีการสืบสานเครื่องจักสานด้วยการเรียนรู้อยู่ในกลุ่มชาวชองด้วยกันเอง เช่น จากบรรพบุรุษ ญาติ เพื่อนบ้าน และได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานภาครัฐอยู่บ้าง การสืบสานและอนุรักษ์เครื่องจักสานของชาวชองจำเป็นต้องมีความร่วมมือกันทั้งชาวชองและหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหา และพัฒนาเครื่องจักสานของชาวชอง โดยการส่งเสริมการผลิต การพัฒนาอาชีพ การปลูกต้นคลุ้มทดแทน และการศึกษาวิจัยถ่ายทอดงานหัตถกรรมพื้นบ้านชาวชองในระบบการศึกษาในชุมชน (หน้า บทสรุป)ชอง,งานหัตถกรรมพื้นบ้าน,คุณประโยชน์,เอกลักษณ์,คุณค่า,การสืบทอด,แนวทางการอนุรักษ์,ตราดตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตราด ประเทศไทย2543https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=968
967วิทยานิพนธ์ขบถผู้มีบุญChristian Culasงานวิจัยเรื่องขบถผู้มีบุญ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเรื่องรูปแบบการแสดงออกทั้งทางการเมืองและศาสนาที่ปรากฏ ขึ้นในช่วงเกิดวิกฤตกาลอย่างรุนแรง เมื่อฐานรากขององค์กรทางสังคมถูกสั่นคลอน ผู้มีบุญจะแสดงความพิเศษทางศาสนาและพิธีกรรมที่เกี่ยวพันกับศาสนาดั้งเดิม และเป็นส่วนเติมเต็มของลัทธิคนทรงเจ้า (หน้า 469) เพื่อให้ตระหนักถึงลัทธิผู้มีบุญ ภายใต้มุมมองที่สอดคล้องเหมาะสมกับทัศนคติมุมมองที่ชาวม้งมีมากที่สุด สิ่งสำคัญที่ผู้เขียนยืนยันเกี่ยวกับการพัวพันอยู่กับการเข้าไปเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่รวมเอาสาเหตุและผลของขบถผู้มีบุญกับการทำสงครามกองโจร ทั้ง ๆ ในประวัติของขบถผู้มีบุญเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการขบถ ไม่มีความจำเป็นด้านเหตุและผลซึ่งกันและกัน นักวิจัยส่วนใหญ่ที่เขียนเกี่ยวกับสงครามกองโจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักจะมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ทั้งสองอย่างนี้ “มาจากตัวของตัวเอง” และพัฒนาไปอย่างอิสระไม่ขึ้นต่อกัน ดังตัวอย่างทั้งสองต่อไปนี้ (หน้า 469) สงครามกองโจรสามารถดำเนินไปโดยไม่ต้องพึ่งผู้มีบุญ ในช่วงระหว่างปี พ. ศ. 2510 ถึงปี 2525 สงครามกองโจรในภาคเหนือของประเทศไทย นำโดยม้งที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศจีน ไม่มีอุดมคติเรื่องพระศาสดาแห่งเสรีภาพ ไม่มีพื้นฐานแนวคิดเรื่องผู้มีบุญเลย (หน้า 469) ลัทธิผู้มีบุญงาวา ไม่ได้เข้าร่วมกับสงครามกองโจร เป็นผู้นำทางวิญญาณ ลัทธิอันเงียบสงบขัดแย้งกับความรุนแรงของกองทัพตั้งแต่รากเหง้า (หน้า 470) ในการศึกษาครั้งนี้ผู้เขียนได้ติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้มีบุญ หลังการหายตัวไปของผู้มีบุญอย่างตั้งใจ โดยเฉพาะกลุ่มของผู้มีบุญ ชองเลอ และงาวา อนึ่งลักษณะการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้มีบุญอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นหลัง พ.ศ. 2503 นั้น บรรดาสานุศิษย์ไม่ได้ดำเนินกิจกรรมทางศาสนาและการเมืองหลังจากผู้มีบุญเสียชีวิตหรือถูกจับตัวคุมขัง การเคลื่อนไหวของผู้มีบุญชองเลอและผู้มีบุญงาวาเด่นชัดกว่าของผู้มีบุญสามคนแรก คือ ทั้งสองได้เขียนคัมภีร์ที่สามารถใช้งานได้จริง ๆ ไว้ ผู้มีบุญชองเลอมีเวลาพอที่จะพิมพ์ข้อความต่าง ๆ ที่ร้อยเรียงไว้ในคัมภีร์ลงระบบคอมพิวเตอร์ แล้วส่งไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนพระคัมภีร์ของผู้มีบุญงาวาส่วนใหญ่ยังคงเป็นความลับอยู่มาก เป็นไปได้ว่าม้งรู้จักวิธีอนุรักษ์ความรู้ในพระคัมภีร์ที่กลุ่มม้งจะเข้าถึงได้ ภายใต้รูปแบบที่ชาวต่างชาติไม่สามารถเข้าถึงการเคลื่อนไหวนี้ได้ในทางปฏิบัติ พระคัมภีร์มีการถ่ายเสียงเพื่อประกันว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้มีบุญจะอยู่รอดหลังจากที่เขาเสียชีวิตไป (หน้า 475) ปี พ.ศ. 2518 กลุ่มคอมมิวนิสต์เข้ายึดอำนาจในลาว ทำให้ม้งหลายหมื่นคนต้องหลบหนีออกนอกประเทศ ในจำนวนนี้มีสานุศิษย์ของผู้มีบุญชองเลออยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งสานุศิษย์ของผู้มีบุญงาวา ปัจจุบันนี้สานุศิษย์ได้กระจัดกระจายไปอยู่สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส รวมทั้งออสเตรเลีย และยังคงดำเนินกิจกรรมการเคลื่อนไหวภายใต้รูปแบบอื่นๆ ลูกศิษย์โดยตรงของผู้มีบุญชองเลอสามารถพิมพ์ผลงานเกี่ยวกับผู้มีบุญผู้นี้เสร็จสองเล่มด้วยกัน (Smalley and al 1990a และ 1990b) ส่วนลูกศิษย์ของผู้มีบุญงาวายังเงียบสงบอยู่มากและรอคอยเวลาที่จะเข้าครอบครองโลกที่ดีกว่า (หน้า 476) ผู้เขียนยังมองไม่ค่อยเห็นกิจกรรมการเคลื่อนไหวเรื่องผู้มีบุญในแถบเอเชียเท่ากับทางตะวันตก ม้ง 120,000 กว่าคนได้ตั้งรกรากในประเทศอุตสาหกรรมที่ซึ่งวิถีชีวิตและความสัมพันธ์ของชุมชนม้งดั้งเดิมจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไป แนวทางพิธีกรรมทางศาสนาและนโยบายการเมืองตามพระคัมภีร์พระวจนะของผู้มีบุญที่บรรดาสานุศิษย์ปฏิบัติต้องเปลี่ยนแปลงไป มีความร่วมมือระหว่างสานุศิษย์และม้งซึ่งเป็น “ตัวแทนชนชาติ” ทำงานศึกษาประชากรม้งพื้นเมือง” ร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติ และได้รายงานผลในการประชุมที่กรุงเจนีวา ระหว่างวันที่ 18-31 กรกฎาคม พ. ศ. 2536 ทั้ง ๆ ที่กลุ่มผู้ร่วมมือส่วนใหญ่ (สานุศิษย์และตัวแทน) ไม่รู้จักรูปแบบการร่วมมือกัน แต่ก็พยายามหาทางขยายอิทธิพลแนวความเชื่อเรื่องผู้มีบุญนี้ออกไป ตัวแทนกลุ่มใช้แนวความเชื่อนี้ในการรวมเอาประเทศม้งและเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งเพื่อจัดตั้งสมาคมกลุ่มม้งตะวันตก มีการเชื่อมแนวคิดเรื่องผู้มีบุญซึ่งถูกดัดแปลงใหม่บางส่วนเพื่อให้เหมาะสมสอดคล้องกับการรอคอยความพยายามซึ่งยังเงียบสงบอยู่เพื่อ “ระลึกถึง” สิทธิ์ของม้งที่เตรียมตัวเข้าสู่ดินแดนของตัวเองในลาว ก่อให้เกิดรูปแบบการแสดงออกทางเมืองที่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแน่นอนเมื่อเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวของผู้มีบุญก่อนหน้านี้ (หน้า 476)ม้ง,ผู้มีบุญตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2541https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=967
966วิทยานิพนธ์การใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรพื้นบ้านของชาวลัวะ บ้านเต๋ยกลาง ดอยภูคามานิตา ชมเปราะการศึกษานี้เน้นการศึกษาวิจัยภูมิปัญญาของ ลัวะ ในเรื่องของการใช้สมุนไพร เป็นยารักษาโรค ซึ่งใช้ประชากรหมู่บ้านเต๋ยกลาง ตำบลดอยภูคา อำเภอปัว จังหวัดน่าน จำนวน 93 ครัวเรือน เป็นกรณีศึกษา ในช่วงเวลา 6 เดือน (สิงหาคม 2541 – มกราคม 2542) จากการศึกษาในส่วนภูมิหลังของกลุ่มประชากรลัวะ ทำให้ทราบข้อมูลพื้นฐานทางมานุษยวิทยาว่า ลัวะมีการแบ่งชนชั้น ทางสังคม โดยกำหนด อำนาจ และ หน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติซึ่งกันละกัน และความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากร กลุ่มเจ้าก๊ก และ หมอผี (บ่อหมอ) เป็นกลุ่มอภิสิทธิ์ชน (หน้า 7-8) ให้ความสำคัญกับเพศหญิงโดยถือการสืบสกุลทางมารดา (matrilineal descent) ในครอบครัวยึดถือระบบ การมีสามี-ภรรยาเดียว (monogamy) (หน้า 8) ความเชื่อ การนับถือผี แสดงออกทางพิธีกรรม สโลด บทบาทของหมอผี ในการรักษาเยียวยาความเจ็บป่วย ที่เชื่อว่ามาจากอำนาจ ของผี หรือ อำนาจเหนือธรรมชาติ (หน้า 6) และเมื่อการแพทย์แผนปัจจุบันได้แพร่หลายเข้ามา ลัวะก็หันไปนิยมการรักษาดังกล่าวแม้เป็นเจ็บป่วยเล็กน้อยก็มักมาขอยาที่สถานีอนามัยในหมู่บ้าน แต่ยังคงการรักษาแบบเดิมควบคู่กันไป (หน้า 41) นอกจากนี้ผู้ศึกษาได้ทบทวนองค์ความรู้จากการศึกษาที่เกี่ยวกับ การใช้พืชสมุนไพร ในกลุ่ม ชาวเขาเผ่าต่าง ในเขตภาคเหนือของไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการศึกษาที่เกี่ยวกับ พฤษศาสตร์พื้นบ้านของชาวเขาที่นำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ การศึกษาได้นำเสนอ ความรู้เกี่ยวกับพืชสมุนไพร ที่นำมาใช้เป็นยา อย่างรอบด้าน ได้แก่ ลักษณะของพืชสมุนไพร, ลักษณะทางพฤกษศาสตร์, การปลูก และ การบำรุงรักษา, ความรู้ทั่วไป ในทางเคมี และ เภสัชวิทยา, การเก็บสมุนไพรเพื่อเป็นยา, การแปรสภาพ และการเก็บรักษา, และ เทคนิคการเตรียมยาสมุนไพร (หน้า 9-30) โดยวิธีการที่นิยมปรุงยาสมุนไพร มี 5 วิธี คือ 1. ยาชง 2. ยาต้ม 3. ยาดอง 4. ยาผง 5. ยาลูกกลอน (หน้า 29-30) ในการใช้สมุนไพร ที่เคยมีผู้ทำการศึกษา ทำให้ทราบว่า ชาวเขาหลายเผ่ามีความนิยมในการใช้สมุนไพร โดย ขมุ เป็นชาวเขาที่นิยมการใช้พืชสมุนไพรมากที่สุด คือ 165 ชนิด จาก ทั้งหมด 232 ชนิด รองลงมา คือ ลัวะ มีการใช้พืชสมุนไพร 126 ชนิด (หน้า 33) อย่างไรก็ตามในกรณีศึกษานี้ พบว่าลัวะ บ้านเต๋ยกลาง ใช้พืชสมุนไพรในชีวิตประจำวัน 32 ชนิด โดยพืชแต่ละชนิด ใช้ประโยชน์ต่างๆกันไป เช่น ต้น ใบ ราก เหง้า เป็นต้น วิธีการใช้จะแตกต่างๆกันออกไปตามสรรพคุณของพืชชนิดนั้น พอเป็นตัวอย่างสังเขปดังนี้ ใช้รากต้น เล็บมือนาง (Quisqualis indiica Linn.) นำไปต้มน้ำดื่ม ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ, ใช้แกน ต้นกวาวเครือ (Milletia extensa Benth.) ดองเหล้าบำรุงร่างกาย, ใช้รากกะเม็งฝนน้ำดื่ม แก้ท้องร่วง, ก่อโจม (Lithocarpus sp.) ใช้ใบอ่อน อม และ เคี้ยว แก้วปวดฟัน การศึกษานี้ยังพบว่า การใช้พืชสมุนไพร 32 ชนิด มาเป็นยารักษาโรคในหมู่บ้านเต๋ยกลาง สมุนไพรที่ใช้กันมาก ได้แก่ มะเฟือง โดยใช้รากมะเฟือง ตากแห้งต้มน้ำดื่ม ซึ่งเชื่อว่า จะทำให้โรคนิ่วหาย ใช้ใบต้นสาบเสือ ตำพอกแผล ใช้ต้นดีงูต้มดื่มแก้ท้องร่วง ใช้เหง้าไพลฝนน้ำฝนดื่มแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ซึ่งตรวจพบว่าได้ผลจริง ทั้งยังมีการเสนอแนะ ให้มีการส่งเสริมการใช้ผลประโยชน์จากพืชสมุนไพรให้มากขึ้นลัวะ,การใช้พืชสมุนไพร,เภสัชศาสตร์,การส่งเสริมการเกษตร,จังหวัดน่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=966
965วิทยานิพนธ์โครงการกระบวนการพัฒนาและสืบทอดภูมิปัญญาด้านการย้อมสีด้ายด้วยวัสดุธรรมชาติของผู้หญิงกะเหรี่ยงสะกอ ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงรายเพชร ธุระวร , นิรมล นะซอ, วันดี นะซอ ชุมชนกะเหรี่ยงมีประวัติความเป็นมา ขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาแต่ดั้งเดิม การถ่ายทอดองค์ความรู้และภูมิปัญญาต่าง ๆ มีการถ่ายทอดในรูปของเรื่องเล่า เพลงนิทานกล่อมนอนสอดแทรกองค์ความรู้ด้านการประพฤติปฏิบัติตนในสังคม เด็กชายและเด็กหญิงได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ จากบิดาและมารดาการย้อมสีด้ายด้วยวัสดุธรรมชาติเป็นหนึ่งในองค์ความรู้ดั้งเดิมที่สืบทอดกันมายาวนานในหมู่สตรีกะเหรี่ยงสะกอบ้านห้วยขม ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย ผู้วิจัยและกลุ่มเป้าหมายของโครงการกระบวนการพัฒนาและสืบทอดภูมิปัญญาด้านการย้อมสีด้ายด้วยวัสดุธรรมชาติได้ศึกษาเรียนรู้ภูมิปัญญาดั้งเดิม กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้และได้ผสานสร้างองค์ความรู้ใหม่ ด้วยการทดลองย้อมสีด้ายด้วยทรัพยากรธรรมชาติโดยใช้พืชผักสมุนไพรพื้นบ้าน รวมถึงทำการตรวจสอบคุณภาพของสีย้อมตามขั้นตอนต่าง ๆ อีกทั้งยังศึกษากระบวนการผลิต การบริหารจัดการและการตลาดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอย่างเรียกได้ว่าครบวงจร ปัจจุบันการย้อมสีธรรมชาติ ไม่มีการเข้าป่าเพื่อจัดเก็บวัตถุดิบ แต่ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านห้วยขมใช้พืชสมุนไพรและพืชผักสวนครัวและผลไม้ที่ปลูกในชุมชนหรือพื้นที่ในรั้วบ้านและพื้นที่ทำกินให้เป็นประโยชน์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติทั้งหมด เป็นการส่งเสริมอาชีพแก่ผู้สูงอายุและสตรีที่ว่างงานภายในชุมชน ทั้งยังได้องค์ความรู้ใหม่และกระบวนการขั้นตอนการย้อมสีด้ายด้วยวัสดุธรรมชาติ (ของผู้หญิงกะเหรี่ยงสะกอ)ที่มีความคงทนและความสดใสของสีที่สามารถสืบทอดสู่คนรุ่นหลังต่อไปได้ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),,ภูมิปัญญา,การย้อมสีด้าย,วัสดุธรรมชาติ,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=965
964วิทยานิพนธ์แนวทางการอนุรักษ์ และพัฒนาพื้นที่ชุมชนมอญเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรีมณีรัตน์ จินุกูลจากการศึกษาพบว่า ลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นชุมชนมอญเกาะเกร็ด คือ ความพิถีพิถัน และประณีตในการทำกิจต่างๆ นอกจากนี้ในการเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ของชุมชน ยังสื่อถึงความเป็นส่วนตัวในแบบช่างประดิษฐ์ที่เคารพธรรมชาติ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะทางกายภาพของชุมชน โดยจะสังเกตได้จากการประกอบอาชีพหลักที่ทำเครื่องปั้นดินเผา เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน ก็จะพบสิ่งปลูกสร้างเฉพาะ ได้แก่ โรงปั้น เตาผา ศาลผีที่ใช้ทำพิธีกรรมทางความเชื่อ เป็นต้น อีกทั้งพื้นที่การประกอบกิจกรรมทางวัฒนธรรมในชุมชนของมอญเกาะเกร็ด มักจะใช้ที่ว่างบริเวณศาลผี หรือ ลานกลางบ้าน ล้วนมีระบบสัญจรที่เชื่อมโยงพื้นที่ภายในชุมชนอย่างใกล้ชิด อันเป็นปัจจัยทางกายภาพพื้นฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งในการรักษาวิถีชีวิตของคนมอญเกาะเกร็ด ที่ก่อให้เกิดการรวมตัวกันเป็นกลุ่ม มีความสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียวกัน และความผูกพันร่วมกันในชุมชน ดังนั้นในทางเดียวกันเมื่อใดที่ลานทำกิจกรรมของชุมชน อันได้แก่ บริเวณศาลผี และลานกลางบ้านนี้หายไปจากชุมชน ก็อาจจะส่งผลให้คติความเชื่อ และความเป็นกลุ่มชุมชนของมอญเกาะเกร็ดสูญหายตามไปด้วย จากผลข้อมูลดังกล่าวข้างต้นนั้น จึงสมารถใช้เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งในการออกแบบ และนำเสนอแนวทางการอนุรักษ์ และพัฒนาทางกายภาพชุมชนมอญเกาะเกร็ดได้ในระดับหนึ่งมอญ,การอนุรักษ์,ชุมชน,พื้นที่,เกาะเกร็ด,นนทบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=964
963รายงานการวิจัยการศึกษาการส่งเสริมสุขภาพของชาวมุสลิมในประเทศไทยศิริเพ็ญ ศุภกาญจนกันติ และคณะการศึกษาการส่งเสริมสุขภาพของชาวมุสลิมในประเทศไทย ผู้เขียนพบว่า 1. พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ ชุมชนมุสลิมแต่ละภาคในประเทศไทยมีพฤติกรรมในการเข้ารับการรักษาพยาบาลเมื่อเกิดการเจ็บป่วย จากแพทย์แผนปัจจุบัน สาธารณสุข และแพทย์แผนโบราณที่แตกต่างกัน แต่ชาวมุสลิมทุกภาคสนใจ และรู้วิธีปฏิบัติตนในการป้องกันโรค และการส่งเสริมสุขภาพเป็นอย่างดี 2. ความแตกต่างของพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพนั้นสัมพันธ์กับปัจจัยทางเศรษฐกิจ กฎเกณฑ์ทางศาสนา ระบบ และประเภทผู้ให้บริการสุขภาพในชุมชนมุสลิมแต่ละภาคที่ต่างกัน และ 3. เพื่อให้ชุมชนมุสลิมในประเทศไทยมีสุขภาพที่ดี ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้เขียนจึงเสนอแนะให้แต่ละชุมชนมุสลิมมีการวางแผน จัดการ และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน ด้วยการส่งเสริมบทบาทด้านบุคลากรที่สำคัญ คือ ผู้นำชุมชน และผู้นำทางศาสนา การประชาสัมพันธ์ การจัดกิจกรรม การพัฒนาสุขลักษณะของชุมชน และการหาและจัดสรรงบประมาณ เพื่อการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพของชาวมุสลิมในชุมชนของตนเองต่อไป (บทสรุปผู้บริหาร)มุสลิม,สุขภาวะ,พฤติกรรม,ปัจจัย,และแนวทางการส่งเสริมสุขภาพตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย2548https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=963
962วิทยานิพนธ์ลักษณะแฮปโพลไทป์ของยีนบีตาอี-โกลบินในชนเผ่าซาไกและชาวชองเยาวลักษณ์ วิลัยศึกษาตัวอย่างเลือดเพื่อตรวจชนิดของฮีโมโกลบินซึ่งกลุ่มที่เป็นประชากรศึกษาเป็นซาไก 20 คนจากอำเภอปะเหลียน จังหวัดตรังและชอง 76 คนที่อยู่ตำบลคลองพลู อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ซึ่งจากการศึกษาตัวอย่างเลือดระบุว่าซาไกมีต้นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชองกับชาวเขมรมีต้นกำเนิดเดียวกันคือมาจากคนเขมรส่วนน้อยหรือการแต่งงานข้ามกลุ่มกับคนไทย ซึ่งสันนิษฐานว่าชองมีต้นกำเนิดอย่างน้อยสองต้นกำเนิด (หน้า88,89)มันนิ มานิ กอย คะนัง(ซาไก),ชอง,ยีน,ความสัมพันธ์ทางกายภาพ,ตรัง,จันทบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตรัง ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=962
961วิทยานิพนธ์เรือนไทดำ : กรณีศึกษา เพชรบุรีโชติมา จตุรวงค์กล่าวถึงลักษณะเรือนไทดำ สิบสองจุไทยแบบดั้งเดิมในประเทศเวียดนามและเรือนไทดำหมู่บ้านแม่ประจันต์ ตำบลวังไคร้ อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีในแบบต่างๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่าเรือนไทดำได้เปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ซึ่งในการศึกษาได้ระบุถึงความเชื่อต่างๆที่เกี่ยวกับเรือนการใช้สอยพื้นที่ การก่อสร้าง โดยได้นำข้อมูลต่างๆเช่น ประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม มาวิเคราะห์หาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงผังบ้านและรูปทรงเรือนไทดำบ้านแม่ประจันต์ตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งกลุ่มไทดำ หมู่บ้านแม่ประจันต์ซึ่งเป็นหมู่บ้านกรณีศึกษานั้นมีบรรพบุรุษที่อพยพมาจากดินแดนสิบสองจุไท ในประเทศเวียดนามลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,เรือน,วิถีชีวิต,สังคม,เพชรบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=961
960รายงานการวิจัยการฟื้นฟูความสัมพันธ์ผ่านเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของชาวปกาเกอะญอ ต.บ้านจันทร์ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่พระนิคม กิจจสาโร และ คณะการศึกษานี้ได้นำเสนอปัญหา วิถีชีวิต และ ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนปกาเกอะญอ ที่เปลี่ยนแปลงไป เยาวชนคนหนุ่มสาวไม่ได้ตระหนักถึงคุณค่าของภูมิปัญญาดั้งเดิม และดำเนินชีวิตตามกระแสสังคมสมัยใหม่ ดังนั้นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ผ่านเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของชาวปกาเกอะญอ ต.บ้านจันทร์ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ได้เกิดขึ้น (หน้า 8) มีชุมชนเข้าร่วมเป็นกรณีศึกษา ตั้งอยู่ใน ตำบลบ้านจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งหมด 12 ชุมชน ได้แก่ บ้านวัดจันทร์, บ้านหนองแดง, บ้านห้วยฮ่อม, บ้านโป่งขาว, บ้านเด่น, บ้านหนองเจ็ดหน่วย, บ้านห้วยบง, บ้านแจ่มน้อย, บ้านห้วยอ้อ, บ้านห้วยครก, บ้านดอยตุง และ บ้านสันม่วง (หน้า 28) คณะผู้วิจัยมุ่งเน้นการศึกษาวิเคราะห์ภูมิปัญญาปกาเกอะญอ ที่เป็นคำสอน สุภาษิต คำพังเพย ข้อห้าม ข้อปฏิบัติ เปรียบเทียบกับคำสอนทางพระพุทธศาสนา ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณี นำมาเป็นประเด็นการอภิปรายในเวทีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ผ่านสื่อพิธีกรรม คือ “งานบุญสัญจร” เพื่อที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ปกาเกอะญอระหว่างชุมชน และคนระหว่างรุ่น รวมทั้งความสัมพันธ์กัน ระหว่าง วัดกับชุมชน ให้มีความแน่นแฟ้น (หน้า 3,5) ผู้ศึกษา ซึ่งเป็นกลุ่มธรรมจาริกได้จัดกิจกรรมทำบุญสัญจร รวม 21 ครั้ง ตั้งแต่ 13 ก.พ. 2546 - 26 ธ.ค. 47 (หน้า 128-129) โดยจัดเวทีการพูดคุยแลกเปลี่ยนหลังจากการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาร่วมกัน (หน้า 165) กิจกรรมนี้เป็นกระบวนการดำเนินการวิจัยที่ใช้กระบวนการแบบมีส่วนร่วม เพื่อแสดงให้เห็นว่ากระบวนการในเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งกันและกันและการแสดงความคิดเห็นร่วมกัน โดยปราศจากข้อจำกัดระหว่างวัย สามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์เช่นว่านั้นได้อย่างไร (หน้า 164) ผลจากการเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวได้รณณรงค์ให้มีการใช่ชุดประจำเผ่า ละเว้นอบายมุขต่างๆ มีการฟื้นฟูประเพณีบางอย่าง เช่น ประเพณีเรียกแขกกินข้าว ที่แสดงออกว่าชุมชนปกาเกอะญอมีการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน กระบวนการวิจัยนี้ทำให้เกิดแนวคิด วิธีการ ที่จะให้เกิดมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน และ การดำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม, จังหวัดเชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=960
959รายงานการวิจัยShan Theories of Human DevelopmentEberhardt, Nancy.ผู้ศึกษาได้สังเกตพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน ตลอดจนพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของฉาน หมู่บ้านห้วยผา จังหวัดแม่ฮ่องสอน (หน้า 1) ฉานเชื่อว่ากระบวนการพัฒนาของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นรูปธรรม ที่แปรผันไปในแต่ละช่วงวัย อยู่บนพื้นฐาน ตามคติชีวิตในพุทธศาสนา (หน้า 7,9 ) เริ่มตั้งแต่สภาวะก่อนตั้งครรภ์ จนถึงชีวิตหลังความตาย (หน้า 13) ในกระบวนการ ดังกล่าวมีสภาวะของนามธรรม หรือ จิตวิญญาณ ( ผี ) (immatrial realm), สภาพบุคคล ที่เป็นรูปธรรม (matrial realm) ซึ่งมีเหตุปัจจัยเชื่อมโยง เกี่ยวกับ การเวียนว่ายตายเกิด หรือการกลับมาเกิดใหม่ ที่สัมพันธ์ กันกับกรรม (การกระทำ ดี หรือ ชั่ว) และ เวร ผลของกรรมจากอดีตชาติ แต่ การกระทำ, ประสบการณ์ และ การเรียนรู้ในปัจจุบัน ของแต่ละบุคคล ถือว่ามีส่วนสำคัญที่สุดต่อกระบวนการพัฒนาดังกล่าว ทำให้เกิดความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์ ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรม รวมทั้ง บุคคลิกภาพของแต่ละบุคคล (หน้า 13-14) จนเมื่อบุคคลนั้นตายลง เป็นการกลับมาสู่ภาวะนามธรรม หรือ จิตวิญญาณ อีกครั้งหนึ่ง กระบวนการพัฒนานี้มีลักษณะที่หมุนวนเป็นวัฎจักร แนวทฤษฏี การพัฒนาของมนุษย์นี้ ฉานถือว่าวัยเด็กถือเป็นการเริ่มต้นพัฒนา และการได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของวัยหนุ่มสาว ก็ยังคงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการพัฒนา ตราบจนเข้าสู่วัยสูงอายุ ซึ่งมีการพัฒนาทั้งทางกายภาพ, วิถีชีวิต และจิตวิญญาณ ถือว่าเป็นช่วงการพัฒนาที่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม วัยเด็ก และ วัยชรา เป็นช่วงวัยที่มีการทับซ้อนกัน ทั้ง ภาวะ นามธรรม และ รูปธรรม สัมพันธ์กับช่วงการเปลี่ยนผ่าน ของวัยเด็ก สู่ ผู้ใหญ่ และ วัยผู้ใหญ่ สู่ วัยชรา(หน้า 11) เช่น การร้องไห้ ของทารก (หน้า 5-6), การเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาของผู้สูงอายุ (9-10) เป็นต้น ทั้งนี้ผู้ศึกษาได้สำรวจแนวความคิดเชิงจิตวิทยาทางชาติพันธุ์ ฉาน ที่เป็นเหตุผลในกระบวนการพัฒนามนุษย์ นำมาวิเคราะห์ และสรุปว่า สภาวะ นามธรรม หรือ จิตวิญญาณ (immatrial realm) นั้น สามารถมีคุณลักษณะบางประการ มีเพศและอายุ และสามรถพัฒนาได้ เช่นเดียวกับ บุคคลทั่วไป ข้อสรุปนี้อธิบายการกลับมาเกิดใหม่ของมนุษย์ ได้อย่างสมเหตุผลเชื่อมโยงกัน (หน้า 12-13)ฉาน,ไทใหญ่,ความคิดเรื่องพัฒนาการมนุษย์,จิตวิทยา,จังหวัดแม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2534ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=959
958วิทยานิพนธ์Marginalization and Local Response to The State Forestry Management: A Case Study of Makong Community in Phong Nha – Ke Bang National Park, Central VietnamHOANG THI XUAN DIEMแนวทางการจัดการป่าของชุมชนมะก่องไม่เป็นที่ยอมรับของรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลมองป่าแค่ในเชิงเศรษฐกิจ และชีวภาพเท่านั้น จึงมุ่งปกป้องรักษาเพียงส่วนที่เป็นมูลค่าตัวเงิน ดังนั้น รัฐจึงพยายามกีดกันชาวบ้านไม่ให้เข้าถึงทรัพยากรป่าได้ โครงการของรัฐล้วนแต่เน้นการเปลี่ยนแปลงให้พวกชาวบ้านเลิกพฤติกรรมที่รัฐมองว่าล้าหลัง และไม่ทันสมัย ด้วยเหตุนี้ชุมชนมะก่องจึงถูกบีบให้เปลี่ยนวิถีปฏิบัติแบบดั้งเดิมของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง บทบาทของสถาบันชุมชน และนิยามของวัฒนธรรมชุมชนจึงเปลี่ยนไป ดังจะเห็นได้จากพิธีตีกลอง และจารีตที่ดีงามของชุมชน นอกจากนั้น การที่รัฐเข้ามาควบคุมทรัพยากรป่า ได้ทำให้ชาวบ้านต้องเลิกการปลูกพืชแบบหมุนเวียนที่ดิน และต้องกอบโกยประโยชน์จากสินค้าต่าง ๆ ที่หาได้จากป่า ตลอดจนเริ่มทำการค้าขาย นำพืชเศรษฐกิจมาปลูก และเข้าร่วมทำงานกับทางราชการเพื่อความมั่นคงของชีวิตมะก่อง,กระบวนการกลายเป็นชายขอบ,ปฏิกิริยาท้องถิ่น,การจัดการป่าของรัฐ,เวียดนามตอนกลางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2547ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=958
957รายงานการวิจัยวิถีและพลังของลิเกฮูลูในจังหวัดปัตตานีสุธี เทพสุริวงค์กล่าวถึงวิถีชีวิตของผู้แสดงลิเกฮูลูในจังหวัดปัตตานี ซึ่งในการแสดงลิเกฮูลูนั้นได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสังคมเนื่องจากในคณะลิเกฮูลูบางส่วนจะมีหัวหน้าคณะเป็นโต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม ได้นำหลักคำสอนศาสนาอิสลามไปสอดแทรกในเนื้อหาการร้อง เพื่อให้ความรู้กับผู้ชมรวมทั้งส่งเสริมด้านจริยธรรม คุณธรรมเพื่อให้สังคมเกิดความร่มเย็น จากการศึกษาระบุว่าการแสดงลิเกฮูลูนั้นมีส่วนสำคัญในการทำให้สังคมเกิดความมั่นคงเนื่องจากทำให้คนในครอบครัวเกิดความภาคภูมิใจและเป็นการหารายได้เข้ามาจุนเจือครอบครัวจึงทำให้ครอบครัวอยู่อย่างมีความสุขเพราะมีรายได้เข้ามาเสริมอาชีพเกษตรกรรมที่ทำเป็นอาชีพหลักดั้งเดิมอยู่แล้วและเป็นการอนุรักษ์การแสดงท้องถิ่นในจังหวัดปัตตานี และจังหวัดชายแดนภาคใต้ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มลายูมุสลิม,สังคม,เศรษฐกิจ,วัฒนธรรม,ลิเกฮูลู,ปัตตานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2546https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=957
956รายงานการวิจัยสภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของชุมชนประมงรอบอ่าวปัตตานี : การเปลี่ยนแปลงปัญหาและการปรับตัววัฒนา สุกัณศิลกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของชุมชนประมงกรณีศึกษาสองแห่งคือ บ้านตาปาเซ(ชื่อสมมุติ) อำเภอยะหริ่ง และบ้านตือปีตาโละ(ชื่อสมมติ) อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่รอบอ่าวปัตตานี ที่แต่เดิมคนในหมู่บ้านทั้งสองทำอาชีพประมงเป็นอาชีพหลัก กระทั่งเมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านประมง จึงทำให้สัตว์น้ำลดปริมาณลงเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ชาวประมงที่ทำประมงชายฝั่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยากจนได้รับความเดือดร้อนอย่างมากเมื่อจับปลาได้น้อยลง ในภายหลังได้หันไปทำงานอื่นเป็นอาชีพเสริมเช่น รับจ้าง แปรรูปสัตว์น้ำ ค้าขาย ทำนาเกลือและอื่นๆออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,เศรษฐกิจ,สังคม,วัฒนธรรม,ชุมชนประมง,ปัตตานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=956
955วิทยานิพนธ์การสืบทอดความเชื่อเรื่องผีปู่ตาของเยาวชน ชาติพันธุ์โส้ บ้านกอก ตำบลผาเสวย อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์อรุณรัตน์ จันทะลือผู้เขียนได้กล่าวถึงโครงสร้างทางสังคมของชาวบ้านกอกที่ยึดถือเอาความเชื่อผีปู่ตาเป็นแบบแผนในการดำเนินชีวิต ซึ่งผีปู่ตาจะคอยปกป้องคุ้มครองและช่วยเหลือคนในชุมชน คอยควบคุมขัดเกลาคนในชุมชนให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ การสืบทอดความเชื่อของเยาวชนนั้นทุกคนได้รับการกล่อมเกลาแนวปฏิบัติจากสถาบันต่างๆในสังคมและเข้าร่วมในพิธีกรรมด้วย ทั้งนี้เยาวชนต่างสำนึกและมีจิตวิญญาณที่ได้รับการอบรมสั่งสอนให้เข้าร่วมพิธีกรรมต่อหน้าศาลปู่ตาในแต่ละปี การมีสำนึกร่วมในการสืบทอดความเชื่อเรื่องผีปู่ตาจะนำไปสู่การรักษาโครงสร้างทางสังคมและความหวงแหนประเพณี วัฒนธรรมของตน ที่สำคัญการอนุรักษ์และการสืบทอดความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรมดังกล่าวจะเป็นประโยชน์เพื่อเป็นกุศโลบายในการควบคุมพฤติกรรมทางสังคม (หน้าบทคัดย่อ)โส้ โซร ซี,การสืบทอดความเชื่อ,ผีปู่ตา,เยาวชน,จังหวัดกาฬสินธุ์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2549ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=955
954วิทยานิพนธ์การยอมรับเทคนิคใหม่ทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าแม้ว ที่หมู่บ้านเข็กน้อย อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ไพโรจน์ ราชพรหมมินทร์จากการศึกษาเพื่อทราบถึงการยอมรับเทคนิคใหม่ทางการเกษตรของแม้ว ที่ศูนย์อพยพชาวเขา หมู่บ้านเข็กน้อย อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเข้าไปสัมภาษณ์หัวหน้าครอบครัวแม้ว จำนวน 246 ครอบครัว ผู้วิจัยพบว่า แม้วยอมรับเทคนิคใหม่ทางการเกษตร เจ้าหน้าที่ของศูนย์อพยพชาวเขาเป็นแหล่งข้อมูลที่ให้ความรู้ทางด้านเทคนิคใหม่ทางการเกษตรมากที่สุด วิธีการที่จะเผยแพร่เทคนิคใหม่ทางการเกษตรแก่ชาวแม้วให้ได้ผลดีนั้นได้แก่ วิธีการสาธิต โดยเฉพาะการทำแปลงสาธิต เมื่อแม้วมีปัญหาทางด้านการเกษตรจะปรึกษากับเพื่อนบ้านมากที่สุด และแม้วมีทัศนคติที่ดีต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ (หน้าต่อจากภาคผนวก)ม้ง,เกษตรกรรม,ทัศนคติ,การรับของใหม่,เพชรบูรณ์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบูรณ์ ประเทศไทย2520ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=954
953วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ของชาวลีซอ : ศึกษากรณีบ้านป่าตึง จังหวัดเชียงรายนงนภัส เพิ่มมิตรงานเขียนกล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากการนับถือศาสนาพุทธ(ผี)ไปนับถือศาสนาคริสต์ของลีซอบ้านป่าตึง หมู่ 5 ตำบลบ้านโป่ง อำเภอ เวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย โดยผู้เขียนได้ระบุว่าปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนศาสนาก็คือการเจ็บป่วย เนื่องจากตอนนับถือศาสนาพุทธ(ผี)นั้นมีปัญหาเรื่องการเจ็บป่วย เพราะถ้าป่วยก็ต้องเซ่นไหว้ผีซึ่งต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมีลีซูเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์เพราะไม่ต้องระมัดระวังว่าจะผิดผีเนื่องจากพระเจ้าจะช่วยคุ้มครองไม่ให้ผีร้ายๆต่างๆมารวบกวน ซึ่งจากปัจจัยนี้จึงทำให้ลีซูในหมู่บ้านป่าจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ นอกจากนี้ในงานเขียนยังศึกษาประเพณีพิธีกรรมต่างๆ ของลีซอและผลกระทบของการเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ว่ามีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของลีซอบ้านป่าตึงอย่างไรลีซู,ศาสนาคริสต์,วิถีชีวิต,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2546https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=953
952อื่นๆการใช้ผลิตภัณฑ์จากป่าของชุมชนชาวพื้นเมือง ม้ง และกะเหรี่ยง ในตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่สุทัศน์ สุภาษี กล่าวถึงการศึกษาปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรม ประเพณี เศรษฐกิจ ที่มีผลต่อการใช้ผลิตภัณฑ์จากป่า ของชุมชนพื้นเมืองบ้านห้วยโป่ง หมู่ 11 ม้งบ้านขุนวาง หมู่ 12 และกะเหรี่ยงบ้านป่ากล้วยโป่งลมแรง ที่อยู่ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ว่าทั้งสามชุมชนนั้นมีการใช้ป่า เช่น การตัดไม้มาสร้างบ้าน ทำฟืน หรือเก็บของป่าและอนุรักษ์ป่าของคนในชุมชนอย่างไรเพื่อเป็นการอนุรักษ์ป่า และทำให้มีป่าไม้ใช้สอยต่อไปในวันหน้าม้ง,กะเหรี่ยง,ป่า,การใช้ป่า,ความเป็นอยู่,ชาวพื้นเมือง,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=952
951วิทยานิพนธ์ความเชื่อและพฤติกรรมการดูแลบุตรอายุ 0-5 ปี เมื่อติดเชื้อเฉียบพลันระบบหายใจ ของมารดาชาวเขาเผ่าม้ง ในหมู่บ้านพญาพิภักดิ์ ตำบลยางฮอม อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงรายปรัศนี ศรีวิชัยม้งมีแนวทางการดำเนินชีวิตตามค่านิยมและระบบความเชื่อของชนเผ่าซึ่งมีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ เช่น ภูตผี ในทางการแพทย์กระบวนการ ขั้นตอน และวิธีการรักษา จะมีพิธีกรรมเหล่านี้เข้าไปผสมผสานอยู่ด้วย เช่น พิธีกรรมเรียกขวัญในเวลาเจ็บป่วย ซึ่งกระทำร่วมกับการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบัน ทำให้บางครั้งม้งขาดความเข้าใจในเรื่องโรคบางโรค เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ หรือบางครั้งม้ง มีความเชื่อด้านสุขภาพที่ไม่ถูกต้อง และมีพฤติกรรมในการดูแลรักษาทึ่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นอุปสรรคในการระวังป้องกันและดูแลรักษาเป็นอย่างมาก (หน้า 5‚ 67-78)ม้ง,ความเชื่อ,พฤติกรรม,การดูแลบุตร,โรคติดเชื้อเฉียบพลัน,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=951
950วิทยานิพนธ์การศึกษาวิเคราะห์ลวดลายผ้ามัดหมี่ของกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งในจังหวัดภาคกลางของประเทศไทยพัชราณี วัฒนชัยผ้าทอของกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่ง เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยเชื้อสายลาวครั่ง แสดงออกถึงภูมิปัญญาที่สืบเนื่องกันมาจากบรรพบุรุษและยังเป็นเครื่องสะท้อนวัฒนธรรม วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของคนในชุมชน นอกจากนั้นแล้วยังเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติพันธุ์อีกด้วย เช่น ลาวครั่งอพยพจากเทือเขาภูคัง หลวงพระบางในสมัยธนบุรี มีวัฒนธรรมการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ โดยสีซึ่งใช้ย้อมผ้านั้นจะใช้สีจากครั่งเป็นสีหลัก จึงทำให้ถูกเรียกว่า ลาวครั่ง กระบวนการมัดหมี่จะเป็นการย้อมสีเพียงครั้งเดียว จากนั้นจึงจะทอด้วยกี่ ไม่ว่าจะเป็นกี่มือแบบพื้นบ้านหรือกี่กระตุก จึงจะได้เป็นเนื้อผ้าออกมา ประกอบกับมีกระบวนการออกแบบและผลิตลวดลายต่างๆ มาเป็นระยะเวลาอย่างยาวนาน จึงทำให้ผ้าที่ได้มีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ตน แต่ปัจจุบันกระแสความนิยมในสังคมเปลี่ยนแปลงไป ทำให้สิ่งที่ใช้ในการย้อมผ้าเปลี่ยนแปลงไปด้วย ช่างทอจะนิยมใช้สีสังเคราะห์มากกว่าครั่ง เพราะหาซื้อได้ง่ายและสีไม่ตก ะนอกจากนี้ลวดลายดั้งเดิมอันเป็นเอกลักษณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปและสูญหายเป็นจำนวนมากเนื่องจากกระแสนิยมทางสังคมที่เน้นการทอผ้าเชิงพาณิชย์เป็นหลัก (หน้า 329-330)ลาวครั่ง,ลายผ้ามัดหมี่,ภาคกลางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=950
949วิทยานิพนธ์ปัญหาในการอพยพชาวเขาลงสู่พื้นราบ กรณีศึกษาเผ่าม้ง อำเภอปง จังหวัดพะเยาสมจิต สัจสัญญาวุฒิศึกษาปัญหาข้อดีและข้อเสียของโครงการอพยพม้งไปอยู่ในพื้นที่ราบบ้านขุนกำลัง ตำบลขุนควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา เพื่อให้ทราบถึงความสำเร็จของโครงการอพยพชาวเขาลงสู่พื้นราบของรัฐบาลว่าการอพยพมาอยู่พื้นที่ราบในที่ดินที่รัฐบาลจัดไว้ให้นั้นจะสามารถหยุดพฤติกรรมการย้ายถิ่น การทำไร่เลื่อนลอย และเพื่อให้ทราบความพอใจในที่อยู่ใหม่ ความคิดเรื่องการย้ายไปตั้งที่อยู่ใหม่ และการผสมกลมกลืนระหว่างชาวเขากับชาวพื้นราบ และอื่นๆ สำหรับการอพยพลงพื้นที่ราบของม้งนั้นเริ่มจาก พ.ศ.2526 ในการศึกษาได้ใช้แบบสัมภาษณ์จำนวน 173 ชุด จากจำนวนม้งทั้งหมด 910 คน จากการศึกษาพบว่า การจัดสรรที่ดินทำกินของรัฐบาลไม่อาจควบคุมให้ม้งอยู่ในพื้นที่ที่จัดสรรไว้ให้ได้ ม้งส่วนหนึ่งอพยพกลับไปปลูกพืชบนภูเขา และที่อยู่ใหม่ต้องใช้ค่าครองชีพมากกว่าที่อยู่เดิม นอกจากนี้ก็ไม่สามารถอยู่อย่างกลมกลืนกับชาวพื้นราบได้เพราะมีวัฒนธรรมประเพณีที่ไม่เหมือนกัน (บทคัดย่อ หน้า จ)ม้ง,การเมือง,สังคม,การอพยพ,พื้นราบ,พะเยาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=949
948วิทยานิพนธ์การยอมรับบทบาททางการเมืองของผู้นำสตรีลีซอในหมู่บ้านลีซอแม่แตะ ตำบลเมืองแหง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่มาลียา วงศ์รัตนมัจฉาศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับบทบาททางการเมือง ปัญหาและอุปสรรคในการทำงานพัฒนา เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาบทบาททางการเมืองของสตรีลีซอในหมู่บ้านลีซอแม่แตะ หมู่ 12 ตำบลเมืองแหง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ โดยสัมภาษณ์ผู้นำสตรีลีซู 4 คน และรวบรวมข้อมูลจากสมาชิกในหมู่บ้านที่เป็นกรณีศึกษาจำนวน 50 คน จากการศึกษาพบว่าลีซูยังไม่ให้การยอมรับผู้นำสตรีลีซูเท่ากับผู้นำชาย เนื่องจากมีปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ ในสังคมระบบความคิดของผู้ชายยังเป็นใหญ่ครอบคลุมทั้งความเชื่อและการดำรงชีวิต ตำแหน่งที่สำคัญในหมู่บ้านยังกำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ชาย ผู้นำสตรียังไม่เรียนในระดับที่สูงจึงทำให้ขาดความมั่นใจในตนเองและเพื่อนร่วมงานไม่ให้ความไว้วางใจ นอกจากนี้ยังเห็นว่าผู้นำสตรีไม่น่าเชื่อถือ เกิดจากบุคลิกภาพ เช่น การนินทาผู้อื่น จู้จี้ขี้บ่นลีซู,ผู้หญิง,วิถีชีวิต,ผู้นำ,การเมือง,สังคม,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=948
947วิทยานิพนธ์การมีส่วนร่วมในโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพสตรีของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง โดยโครงการพัฒนาป่าไม้ สวนป่าสิริกิติ์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่อัญชนา นิติคุณ กล่าวถึงการศึกษาลักษณะส่วนบุคคล เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมและความพึงพอใจรวมทั้งการมีส่วนร่วมในโครงการและอุปสรรคปัญหาของสตรีกะเหรี่ยงที่อยู่ในพื้นที่โครงการฯสวนป่าสิริกิติ์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ในการศึกษาในครั้งนี้ได้ทำการสุ่มตัวอย่างจากสตรีกะเหรี่ยง 212 คน ที่อยู่ในวัยแรงงานเริ่มจากอายุ 15ปี ซึ่งในกลุ่มมีอายุเฉลี่ย 33 ปี การศึกษาได้ใช้แบบสัมภาษณ์แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),,การพัฒนาอาชีพ,สตรี,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=947
946วิทยานิพนธ์กระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์และการปรับเปลี่ยนบทบาทหญิงชายในชุมชนปกาเกอะญอศรินทิพย์ หมั้นทรัพย์กล่าวถึงการศึกษาเรื่องบทบาทหญิงชายของชุมชนปกาเกอะญอ ที่นับถือศาสนาคริสต์ บ้านเฌอท่า อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ที่เคยทำการเกษตรแบบยังชีพกระทั่งเปลี่ยนมาทำการเกษตรแบบพาณิชย์รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นในชุมชน ในการศึกษาได้กล่าวถึงความเป็นมาของปกาเกอะญอในหมู่บ้านเฌอท่า ซึ่งแต่เดิมมีรกรากอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งในภายหลังได้ย้ายมาทำงานในบริษัททำไม้ในจังหวัดเชียงใหม่ กระทั่งตั้งรกรากและมีคนย้ายมาอยู่เพิ่มเติมจนกลายเป็นหมู่บ้าน ต่อมาปกาเกอะญอได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์เนื่องจากสาเหตุว่าความเชื่อและพิธีกรรมเดิมต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากและถ้าหากทำไม่ถูกขั้นตอนก็จะมำให้ได้รับเคราะห์ต่างๆ ดังนั้นจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์แล้วย้ายมาตั้งหมู่บ้านใหม่ชื่อว่าเฌอท่าซึ่งเป็นหมู่บ้านปกาเกอะญอที่นับถือศาสนาคริสต์ทั้งหมดปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การผลิต,บทบาทหญิงชาย,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=946
945รายงานการวิจัยA Consideration on Cultural Management in a Changing Society of Muslim-Buddhist Co-residence on the West Cost of Southern ThailandRyoko Nishiiการศึกษานี้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างบรรพบุรุษและลูกหลานในรูปแบบความเชื่อของผีบรรพบุรุษ คือ ความเชื่อเรื่องตายายในท้องถิ่นภาคใต้ของไทย ซึ่งกรณีศึกษาเป็นหมู่บ้านประมงที่มีชาวพุทธและมุสลิมอาศัยอยู่ร่วมกันทางชายฝั่งทะเลตะวันตกของภาคใต้ การศึกษาพบว่าประชากรในหมู่บ้านมีโครงสร้างทางสังคมแบบเครือญาติที่มาจากรากเดียวกัน (Cognatic Kinship) จากการแต่งงานกันระหว่างคนต่างศาสนา ความผูกพันในระบบเครือญาติได้ทำให้เกิดรูปแบบ และมีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานะการณ์ อย่างไรก็ตามความไม่ชัดเจนของการมีอยู่ของบรรพบุรุษ “genealogical amnesia” ความคุ้นเคยกับบรรพบุรุษที่เป็นการเฉพาะในแต่ละคน จากการศึกษา มักมีได้ไม่เกิน 4 ชั่วคน เป็นส่วนให้เกิดความเชื่อ “ตายาย” ที่หมายถึงบรรพบุรุษร่วมกันโดยทั่วไป ผู้ศึกษาได้สรุปกรอบแนวคิดลักษณะของบรรพบุรุษในภาคใต้ของไทย ดังนี้ 1) บรรพบุรุษ โดยทั่วไปไม่ได้สัมพันธ์กันโดยตรงกับการสืบทอดทางวงศ์สกุลใดโดยเฉพาะ 2) ลูกหลานรับสืบทอดพิธีกรรม ที่เป็นการปฏิบัติในคนรุ่นก่อนๆ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างบรรพบุรุษและ ลูกหลาน เป็นการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ในลักษณะต่างตอบแทน จากกระบวน การบน (bon) และ แก้บน (k ee bon) (หน้า 8) ดังนั้น “ตายาย” ในสังคมดังกล่าวไม่ได้สัมพันธ์กันโดยการสืบทอดทางวงศ์สกุล หรือไม่มีความสัมพันธ์ระบบเครือญาติแต่รูปแบบดังกล่าวเป็นการแสดงถึงพลังอำนาจของวิญญาณบรรพบุรุษที่จะปกป้องลูกหลานให้ดำรงชีวิตอย่างปกติสุขผ่านระบบการต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน บนความสัมพันธ์นี้ ได้แก่ การร้องขอ หรือ การบนบาน วิญญาณบรรพบุรุษ และมีการแก้บน ตอบแทนจากลูกหลาน (หน้า 12) ในหลายรูปแบบ ได้แก่ การทำพิธีไหว้ตายายเป็นประจำทุกปีในเดือน 6 ทางจันทรคติ, การแสดงมโนราห์ ตายาย หรือ มโนราห์โรงครู, การไหว้ครูหมอ, การไหว้ To Naan ที่ถ้ำเขาทะนาน(Thanaan), การที่มุสลิม นิยมนำลูกบวชเณรและบวชชี แก้บน จากความเจ็บป่วยในวัยเด็ก (หน้า 5-10) แม้ว่าพิธีเหล่านี้เป็นประเพณีที่สืบต่อกันมา แต่ก็แสดงความเป็น ”ญาติพี่น้อง” ที่มีความหมายของการมีบรรพบุรุษร่วมกันทั้งพุทธและมุสลิมเป็นความสัมพันธ์ที่มีความยืดหยุ่น และ ความสามารถในการปรับเปลี่ยน ระหว่างคน ที่นับถือศาสนาต่างกันมุสลิม พุทธศาสนิกชน การอยู่ร่วมกัน การจัดการทางวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ภาคใต้ ชายฝั่งตะวันตก ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2537https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=945
944รายงานการวิจัยการศึกษาภูมิปัญญามูเซอแดง บ้านหัวปาย ตำบลเวียงเหนือ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอนยาโพ จะตีก๋อย, ปะกู จะตีก๋อย, ไพรศาล พุทธพันธ์งานวิจัยชิ้นนี้เกิดจากความต้องการของชุมชนในการค้นหาองค์ความรู้ต่างๆ ของชุมชน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชุมชนบ้านหัวปาย สามารถดำรงวิถีชีวิตอยู่ได้อย่างไรนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน เพราะขณะที่ชุมชนในพื้นที่สูงจะมีข้อจำกัดในการเข้าถึงการพัฒนาขั้นพื้นฐานต่างๆจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ดังนั้นการที่ชุมชนจะสามารถดำรงชีพ ดำเนินชีวิตตามวิถีแห่งชนเผ่าให้ได้นั้น ต้องมีองค์ประกอบซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสุข คือ ปัจจัยสี่ ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ภูมิปัญญา/องค์ความรู้ที่สั่งสมมาแต่บรรพบุรุษ ประเพณีวัฒนธรรมและความเชื่อต่างๆ และการมีระบบผู้นำตามธรรมชาติที่เข้มแข็ง แม้ว่าองค์ประกอบเหล่านี้จะส่งผลให้สังคมดำรงชีพมาได้ในอดีต แต่ปัจจุบันสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับชุมชนมากมาย ส่งผลให้ในปัจจุบันชุมชนมีการปรับตัวเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ โดยมีการผสมผสานสิ่งใหม่เข้ากับสิ่งเก่าซึ่งสอดคล้องกับบริบทของชุมชนลาหู่,ลาหู่ญี(มูเซอแดง),ภูมิปัญญาชาวบ้าน,ปาย,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=944
943วิทยานิพนธ์สาระทางการศึกษาในกระบวนการส่างลองของชาวไทยใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนดนัย สิทธิเจริญความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนาหรือวัดกับชุมชนไทใหญ่ จังหวัดแม่ฮ่องสอนที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ไทใหญ่แทบทุกคนจะผ่านการบวชเรียนมาแล้ว โดยเลื่อมใสการบวชเด็กเป็นเณรมากกว่าการอุปสมบทผู้ใหญ่เป็นพระภิกษุเพราะถือว่าการบรรพชาสามเณรมีอานิสงส์มากกว่า งานบวชเด็กเป็นเณรจึงจัดเป็นงานใหญ่เรียกว่า “ปอยส่างลอง” การจัดงานปอยส่างลองที่แม่ฮ่องสอนกระทำราวเดือนมีนาคม – เมษายน มักจัด 3 วัน การส่างลองนับว่ามีความสำคัญต่อการศึกษาของไทใหญ่เนื่องจากเมื่อเด็กอายุ 8 – 9 ขวบ พ่อแม่จะนำไปฝากที่วัดเพื่อศึกษาเล่าเรียน หัดอ่านหนังสือ เรียนรู้ระเบียบวินัยกิริยามารยาท และเรียนรู้วิธีการบวช เพราะสมัยก่อนนั้นโรงเรียนประชาบาลยังไม่แพร่หลายวัดจึงได้กลายเป็นสถานศึกษาพื้นฐานของสังคม และเป็นแหล่งถ่ายทอดวัฒนธรรมของคนในชุมชน แม้ว่าในปัจจุบันกระบวนการส่างลองถูกแทนที่ด้วยระบบการศึกษาตามหลักสูตรที่รัฐกำหนด แต่ส่างลองก็ยังคงเป็นที่นิยมของไทใหญ่เพราะเชื่อว่าผู้ที่ผ่านการเป็นส่างลองและได้บวชเรียนมาแล้วนั้นเป็นผู้ที่ได้รับได้รับการอบรมนิสัยและปลูกฝังคุณธรรมทางพุทธศาสนา เปลี่ยนสภาพจาก “คนดิบ” เป็น “คนสุก” ก้าวสู่วัยผู้ใหญ่พร้อมทั้งที่จะมีครอบครัว ประเพณีส่างลองจึงกลายเป็นประเพณีประจำปีที่สำคัญของจังหวัดแม่ฮ่องสอนในปัจจุบัน การศึกษาผ่านกระบวนการส่างลองจะมีการอ่านเขียนภาษาไทใหญ่เป็นพื้นฐานควบคู่ไปกับภาษาพม่าหรือภาษาเมือง กระบวนการจัดการศึกษา เทคนิค วิธีสอนจะเป็นแบบเน้นการท่องจำ ครูเป็นศูนย์กลางของการเรียน มีการสอนรายบุคคล ไม่มีหลักสูตรการเรียนที่แน่นอน เพียงแต่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้อ่านเขียนสืบทอดคัมภีร์ศาสนาได้ ในปัจจุบันกระบวนการส่างลองได้เปลี่ยนแปลงไปภายหลังระบบโรงเรียนเข้าถึง ด้วยการสูญเสียเนื้อหาและการเรียนรู้ภาษาท้องถิ่น แต่สาระการอบรมระเบียบวินัยและความพฤติเมื่อครองตนอยู่ในวัดนั้นยังไม่สูญสิ้นไป การศึกษาระบบวัดที่ยังคงอยู่ในกระบวนการส่างลองจึงเป็นการศึกษาที่มีวิธีและสืบทอดความเชื่อในฐานะเป็นกระบวนการขัดเกลาทางสังคมตามวัฒนธรรมแบบสังคมหมู่บ้านและแบบนิยมด้านความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนพฤติกรรมที่ได้กระทำร่วมกันจนกลายเป็นขนบธรรมเนียมไต,ไทใหญ่,พิธีส่างลอง,จังหวัดแม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2535ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=943
942วิทยานิพนธ์การเปรียบเทียบทัศนคติของชาวเขาเผ่าม้งกับเผ่ากะเหรี่ยงต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ในตำบลแม่แดด อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่สมเกียรติ ทองมี เนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึงการเปรียบทัศนคติของม้งและกะเหรี่ยงต่อการอนุรักษ์ป่า จากประชากรกรณีศึกษา 104 คน อยู่ในหมู่บ้านต่างๆในตำบลแม่แดด อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่จากการศึกษาพบว่า ทัศนคติของม้งและกะเหรี่ยงมีความแตกต่างกันหลายอย่างเช่น จำนวนป่าไม้ในบริเวณหมู่บ้านที่ลดลงควรมีการอนุรักษ์,การเติบโตของต้นสามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติไม่ต้องปลูกก็ได้, การอนุรักษ์ป่า เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของดิน น้ำ ป่าไม้,การร่วมมือในกิจกรรมปลูกป่าในหน่วยงานป่าไม้เสียเวลาหากิน ฯลฯ สำหรับทัศนคติที่ไม่แตกต่างกันเช่น การบวชต้นไม้สวมควรให้มีในหมู่บ้านและสืบต่อกันไป การปลูกฝิ่นให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ดินไม่แพการปลูกป่า เป็นต้นม้ง กะเหรี่ยง ทัศนคติ การอนุรักษ์ป่าไม้ เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=942
941วิทยานิพนธ์การสร้างหน่วยการเรียนรู้เรื่อง พิธีกรรมผูกข้อมือของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงกวีพันธุ์ ฟองคำ งานเขียนกล่าวถึงการศึกษาโดยใช้หน่วยการเรียนรู้เรื่องพิธีกรรมผูกข้อมือของกะเหรี่ยงโดยทำการศึกษาผลของการใช้หน่วยการเรียนรู้ โดยศึกษาจากกลุ่มนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2546 โรงเรียนบ้านผานัง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 12 คน โดยใช้หน่วยการเรียนรู้จำนวน 8 แผนเวลา 13 ชั่วโมง แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจจำนวน 30 ข้อและแบบสอบถามความคิดเห็น ซึ่งจากการศึกษาพบว่านักเรียนส่วนใหญ่ระบุว่าทำให้ได้ความรู้เรื่องพิธีกรรมผูกข้อมือของกะเหรี่ยงและมีความคิดเห็นที่ดีต่อการเรียนรู้ ผลการศึกษานักเรียนมีความรู้ความเข้าใจคิดเป็น 69.72 %จากที่ตั้งเกณฑ์เอาไว้ที่ 60 % (บทคัดย่อ หน้า ง)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), พิธีผูกข้อมือขวัญ ประเพณี เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=941
940วิทยานิพนธ์คนข้ามแดน : ชีวิตและชุมชนของขอทานเขมรในกรุงเทพมหานครเสาวลักษณ์ วรายุเนื้อหากล่าวถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเข้ามาของคนเขมรเพื่อมาขอทานในกรุงเทพฯ สภาพความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพขอทานและปัญหาของขอทานที่ทำให้ประเทศไทยต้องเสียเงินออกนอกประเทศไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ขอทานเขมรเป็นคนขอทานที่มีมากที่สุดในจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาขอทานในประเทศไทย ซึ่งขอทานเขมรส่วนใหญ่จะเข้ามาโดยสมัครใจโดยมีนายหน้าพาเข้ามา การอยู่ในกรุงเทพจะอยู่เป็นชุมชนหรืออยู่กับเพื่อนเพื่อช่วยเหลือกัน อย่างไรก็ดีในการช่วยเหลือระดับประเทศระหว่างประเทศไทยและกัมพูชานั้น ยังไม่เห็นผลเท่าที่ควรเนื่องจากขอทานเหล่านี้เมื่อถูกส่งกลับประเทศก็จะเดินทางเข้ามาอีกครั้งเพราะว่าอาชีพขอทานนั้นรายได้ดี ซึ่งชาวเขมรก็เห็นว่าการทำอาชีพขอทานเป็นงานสุจริตเป็นการหารายได้เพื่อช่วยเหลือครอบครัวให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นคะแมร์ลือ,เขมร,คนข้ามแดน,ขอทาน,สังคม,อาชญากรรม,การเมือง,ไทย,กัมพูชาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=940
939วิทยานิพนธ์การมีส่วนร่วมในการเกษตรบนที่สูงของสตรีเผ่าม้ง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่พงษ์พันธ์ พนาสันติกุลงานเขียนกล่าวถึงการมีส่วนร่วมในการเกษตรบนที่สูงของผู้หญิงม้ง ประชากรศึกษามี 135 คน อายุเฉลี่ย 34.3 ปี ส่วนใหญ่สมรสแล้ว อยู่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงม้งมีส่วนร่วมอย่างมากต่อการวางแผนทำการเกษตรกับคู่สมรส เช่นการวางแผนเลือกพันธุ์สัตว์ เลี้ยงสัตว์ เลือกพื้นที่เพาะปลูก จำหน่ายผลผลิต การใช้แรงงานมีส่วนร่วมอย่างมากในการถางพื้นที่ การเตรียมดิน เตรียมแปลง การเพาะกล้าการกำจัดวัชพืช การเลี้ยงสัตว์ผู้หญิงม้งมีส่วนร่วมอย่างมากในการเตรียมอาหาร การให้อาหาร และจำนวนแรงงานในครัวเรือนมีความสัมพันธ์ต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แหล่งงานทุนมีความสัมพันธ์กับการใช้แรงงานด้านการเกษตร และการได้รับข้อมูลด้านการเกษตรสัมพันธ์กับการใช้แรงงานและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมในการเกษตรบนที่สูง ส่วนสถานภาพสมรส การศึกษารายได้ของครอบครัว ขนาดพื้นที่ทำการเกษตร การติดต่อเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรและการฝึกอบรมการเกษตรนั้นไม่มีความสัมพันธ์ต่อการวางแผนการใช้แรงงานและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (บทคัดย่อ หน้า ง,จ)สตรี ม้ง การเกษตร เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2539https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=939
938รายงานการวิจัยการศึกษาการแต่งกายของชาวไทใหญ่จากจิตรกรรมฝาผนังวัดท่าข้าม อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และวัดบวกครกหลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ปิยฉัตร อุดมศรีการศึกษานี้เป็นรายงานการวิจัยเบื้องต้นที่ใช้กรณีศึกษาจากภาพจิตรกรรมฝาผนัง ในวิหารของวัดท่าข้าม ตำบลสบเปิง อำเภอแม่แตง และ วัดบวกครกหลวง ในตำบลท่าศาลา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นการแต่งกายของไทใหญ่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ผู้ศึกษาได้นำเสนอภูมิหลังของประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ไทใหญ่ การเข้ามาตั้งชุมชนไทใหญ่ในภาคเหนือ ประเทศไทย ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ และการแต่งกายของไทยใหญ่ เพื่อเชื่อมโยงการวิเคราะห์ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งปรากฏให้เห็นรูปแบบการแต่งกาย จำแนกตามสถานะของบุคคลแต่ละชนชั้น เช่น กษัตริย์, เจ้านาย, นางกำนัล, ทหาร และ ชาวบ้าน เพื่อแสดงให้เห็นถึงสุนทรียภาพของการแต่งกายรวมทั้งวิเคราะห์ การนำเสนอเรื่องราว, รูปแบบ, องค์ประกอบศิลป์ และการใช้สี ในงานจิตรกรรมสกุลช่างไทใหญ่ รวมทั้งคตินิยม ในทางพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับงานจิตรกรรมฝาผนังอีกด้วยไต คนไต ไตโหลง ไตหลวง ไตใหญ่,การแต่งกาย,จิตรกรรมฝาผนัง,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=938
937รายงานการวิจัยThe Research of the Chinese Muslim Society in the Northern ThailandSeiji Imanagaงานวิจัยนี้ศึกษารูปแบบและพัฒนาการรวมถึงสภาพปัจจุบันของสังคมมุสลิมฮ่อในภาคเหนือ โดยมีลักษณะสังคมมุสลิมในภาคกลางและภาคใต้มาใช้เปรียบเทียบ คำว่า “ฮ่อ” เป็นคำที่คนไทยใช้เรียกคนจีนมุสลิมที่อพยพมาจากยูนนานเข้ามาทางภาคเหนือของไทยผ่านประเทศพม่า แต่ในปัจจุบัน “ฮ่อ” มีความหมายกว้างขึ้นถึงคนจีนทั่วไปที่อพยพจากยูนนานเข้ามาภาคเหนือของไทยด้วยเส้นทางบก แต่กระนั้น ตามหลักฐานการตั้งชุมชนฮ่อช่วงแรก “ฮ่อ” ส่วนใหญ่ที่อพยพเข้ามาจะเป็นมุสลิม แม้จะมีคนฮ่ออพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในภาคเหนือมาก่อน แต่ชุมชนมุสลิมแห่งแรกในภาคเหนือคือ ชุมชนบ้านฮ่อ ซึ่งก่อตั้งในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ด้วยสาเหตุสำคัญทางการค้า ต่อมาชุมชนจีนมุสลิมอื่น ๆ ได้ก่อตั้งขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการปฏิวัติในจีน ทำให้รัฐบาลไทยจัดสรรพื้นที่ให้ผู้อพยพตั้งถิ่นฐาน ลักษณะการตั้งถิ่นฐานของมุสลิมฮ่อจะมีศูนย์กลางของชุมชนคือ มัสยิดซึ่งเป็นสถานที่ประกอบกิจทางศาสนาและโรงเรียน มุสลิมฮ่อจะนับถือนิกายฮานาฟีและได้รับอิทธิพลจากเปอร์เซียในการดำเนินงานในมัสยิดและสังคมมุสลิม อย่างไรก็ตาม แม้มุสลิมฮ่อในแต่ละชุมชนมีสภาพปัจจุบันและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์แตกต่างกัน แต่พวกเขาได้ถูกกลืนกลายเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยในระดับหนึ่งจากการแต่งงาน, การใช้คำไทย และการแต่งกายแบบไทยจีนมุสลิม จีนยูนนาน(จีนฮ่อ),ความเป็นมา,การตั้งถิ่นฐาน,ชีวิตความเป็นอยู่,ภาคเหนือ,ไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2533https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=937
936รายงานการวิจัยรายงานวิจัยการศึกษาหารูปแบบการดำเนินงานวางแผนครอบครัวในชาวเขาเผ่าลีซอ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ดุษณีย์ แพสุวรรณ, กรรณิการ์ มณีวรรณ และวราพร วันไชยธนวงศ์งานวิจัย “การศึกษาหารูปแบบการดำเนินงานวางแผนครอบครัวในชาวเขาเผ่าลีซอ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่” นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหารูปแบบและกลวิธีการดำเนินงานด้านการวางแผนครอบครัวในชาวเขาเผ่าลีซอ โดยคณะผู้วิจัยได้ใช้วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการในการศึกษาและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวและการคุมกำเนิดของชาวลีซอ (หน้า 2) จากการศึกษาแล้วพบว่า สาเหตุของปัญหาเกิดจากการขาดความรู้และความสนใจเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวของชาวลีซอเอง, หน่วยงานให้บริการในชุมชนมีขีดความสามารถจำกัด และหน่วยงานในพื้นที่ขาดการประสานงานและไม่ให้บริการแก่ผู้อยู่นอกพื้นที่ ดังนั้นคณะผู้วิจัยจึงใช้แผนภาพกิ่งแขนงการตัดสินใจเลือกวิธีแก้ไขปัญหา คือ การพัฒนาสื่อให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่, การพัฒนาระบบบริการและศักยภาพของอาสาสมัครชุมชน, การให้การอบรมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว, การปฏิบัติงานเชิงรุกเข้าให้บริการชาวบ้านถึงในหมู่บ้าน และการประสานงานหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งระหว่างการดำเนินการแก้ไขปัญหา คณะผู้วิจัยได้มีการสำรวจข้อมูลและความเปลี่ยนแปลง โดยใช้แบบสัมภาษณ์สำรวจข้อมูลทั้งก่อนและหลังดำเนินงาน ภายหลังการดำเนินงาน คณะผู้วิจัยสามารถให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวและเพิ่มอัตราการคุมกำเนิดได้เป็นผลสำเร็จ และก็ได้เสนอแนะเพิ่มเติมว่า การแก้ไขปัญหาการวางแผนครอบครัวและการคุมกำเนิดจะต้องมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานในพื้นที่ในการส่งข้อมูลผู้รับบริการไปยังสถานีอนามัยแห่งอื่นที่ผู้รับบริการเข้ารับบริการ รวมทั้งต้องการให้มีการจดทะเบียนประชากรในพื้นที่นั้น เพื่อให้มีการติดตามงานวางแผนครอบครัวลีซู,การวางแผนครอบครัว,แนวทางแก้ไข,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=936
935รายงานการวิจัยปัจจัยที่มีผลกระทบต่อพฤติกรรมการรับบริการคุมกำเนิดของชาวเขาเผ่าม้งสมควร ใจกระจ่างงานวิจัยเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อพฤติกรรมการรับบริการคุมกำเนิดของชาวเผ่าม้ง” นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการรับบริการคุมกำเนิดของสตรีชาวเขาเผ่าม้ง โดยศึกษาสตรีชาวเขาเผ่าม้งจำนวน 341 คนซึ่งกำลังคุมกำเนิดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งอยู่ อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, น่าน และตาก ซึ่งผู้เขียนได้ทำการวิจัยด้วยวิธีการสุ่มแบบหลากหลาย รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ และทดสอบความสัมพันธ์ด้วย Chi-Square (หน้าบทคัดย่อ) ผู้เขียนได้ผลศึกษาสรุปเป็นข้อมูลเชิงปริมาณปัจจัยต่าง ๆ ทั้งข้อมูลทั่วไปและข้อมูลการวางแผนครอบครัว เช่น อายุของสตรีกลุ่มตัวอย่าง, อายุของสามี, จำนวนสมาชิกในครอบครัว, อาชีพของสตรีกลุ่มตัวอย่าง, จำนวนการตั้งครรภ์และการคลอด, การมีส่วนร่วมในการกำหนดจำนวนบุตร, เหตุผลในการคุมกำเนิด และสถานที่รับบริการคุมกำเนิด เป็นต้น เมื่อผู้เขียนทดลองเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของปัจจัยด้านต่าง ๆ กับวิธีการคุมกำเนิดแต่ละชนิดพบว่า อายุของสตรี, อายุของสามี, การนับถือศาสนา, ระดับการศึกษา, จำนวนสมาชิกในครอบครัว, จำนวนบุตรที่มีชีวิต, จำนวนบุตรชาย, จำนวนการคลอดของสตรี, ผู้ทำคลอด, แหล่งความรู้, แหล่งให้บริการ, การรับบริการตรวจหลังการคลอด,ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และค่าใช้จ่ายในการรับบริการ (หน้าบทคัดย่อ) มีความสัมพันธ์ในการกำหนดการรับบริการคุมกำเนิดของสตรีม้ง,การคุมกำเนิด,สุขภาพ,ความเชื่อ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2540https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=935
934วิทยานิพนธ์ทัศนคติและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของชาวเขาเผ่าอีก้อ หมู่บ้านผาหมี อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายวันเพ็ญ ชวรางกูรจากการศึกษาข้อมูล ผู้จัดทำได้นำข้อมูล 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านที่หนึ่ง ข้อมูลพื้นฐาน เช่น เพศ อายุ ครอบครัว อาชีพรายได้ การศึกษา การนับถือศาสนา ด้านที่สอง ความรู้ความเข้าใจต่อสิทธิหน้าที่ของพลเมืองไทยตามกฎหมาย ด้านที่สาม ทัศนคติต่อผู้ที่มีอำนาจการปกครองและนักการเมือง ด้านที่สี่ ทัศนคติต่อระบบการเมืองไทย ด้านที่ห้า การมีส่วนร่วมทางการเมืองของชาวเขา นำมาประมวลข้อมูลเข้าด้วยกัน ชาวเขาเผ่าอีก้อ มีความเข้าใจเข้าถึงการเมอง หรือการมีส่วนร่วมทางเมืองอยู่มนระดับที่ดีพอสมควร แต่เพื่อให้เกิดการพัฒนาทางความคิด จิตสำนึกทางการเมือง เพิ่มขึ้น ภาครัฐต้องถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ การมอบกรศึกษาในระบบรัฐให้แก่ชาวเขาอีก้อเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ชาวเขาเผ่าอีก้อ มีความรู้และเข้าใจถึงบทบาทของกลุ่มชนของตน ต่อการปฏิบัติตัวทางการเมือง ต่อสังคม และระดับประเทศต่อไปอาข่า,ทัศนคติ,อำนาจการปกครอง,การเมือง,หน้าที่พลเมืองไทย,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=934
933วิทยานิพนธ์การพัฒนาแนวทางปฏิบัติการให้การบริการคุมกำเนิดสำหรับชาวม้งนัยนันทร์ สุวรรณกนิษฐ์เนื่องจากคู่สมรสม้ง มีอัตราการคุมกำเนิดต่ำ ส่งผลให้อัตราการเพิ่มประชากรม้งสูงกว่าเป้าหมายของประเทศ การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การคุมกำเนิด รวมทั้งพัฒนาแนวทางปฏิบัติการให้บริการคุมกำเนิดสำหรับชาวม้ง การศึกษาเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กลุ่มประชากรที่ศึกษาเป็นคู่สมรสม้งบ้านห้วยน้ำจาง ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 71 คู่ ระหว่างเดือนมีนาคมกรกฎาคม พ.ศ. 2516 ผลการศึกษาพบว่า ผู้หญิงม้งแต่งงานและตั้งครรภ์อายุต่ำกว่า 20 ปี เริ่มคุมกำเนิดเมื่ออายุ 22 ปี มีบุตรโดยเฉลี่ย 4 คน ต้องการบุตรชายมากกว่าบุตรสาว และมีความคิดว่าการคุมกำเนิดเป็นความรับผิดชอบของผู้หญิง ผลการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่า เพื่อให้การบริการคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพ ผู้รับผิดชอบจะต้องจัดบริการคุมกำเนิดให้สอดคล้องกับบริบทสังคม วัฒนธรรม และความต้องการของผู้ใช้บริการ (บทคัดย่อ)ม้ง,ประชากร,การคุมกำเนิด,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=933
932รายงานการวิจัยเกาะเกร็ด : วิถีชีวิตชุมชนมอญริมแม่น้ำเจ้าพระยาอลิสา รามโกมุทมอญ ได้ชื่อว่าเป็นชนชาติหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอันโดดเด่น ครั้งหนึ่งชนชาติมอญเคยมีดินแดนเป็นของตนเอง ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศสหภาพพม่า แต่ความจำเป็นบางอย่างทำให้ต้องอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา และแม้จะเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทย รวมถึงแม้กระแสสังคมเมืองจะเข้ามาในกลุ่มชนของตน จนได้รับผลกระทบให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ต้องมีการแข่งกัน อีกทั้งกระทบไปถึงทัศนคติค่านิยมดั้งเดิมไปบ้างก็ตาม ท้ายที่สุดก็ยังคงสามารถประพฤติปฏิบัติตนตามขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมประเพณีของตนได้เป็นอย่างดี ซึ่งชุมชนมอญเกาะเกร็ด ถือเป็นตัวอย่างชุมชนมอญแห่งหนึ่ง ที่ยังคงมีการอนุรักษ์รักษาประเพณีวัฒนธรรมให้ชนรุ่นหลังได้สืบทอดต่อไป (หน้า 93-98)มอญ,ความเป็นอยู่,ประเพณี,วัฒนธรรม,เครื่องปั้นดินเผา,นนทบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=932
931วิทยานิพนธ์รูปแบบการอยู่อาศัยชุมชนไทยเชื้อสายมอญบางกระดี่ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานครนภดล ฐิติพงษ์พาณิชจากการวิจัยนี้สรุปได้ว่ารูปแบบการอยู่อาศัยของชุมชนไทยเชื้อสายมอญบางกระดี่มีลักษณะที่สำคัญคือ 1. รูปแบบการอยู่อาศัย ชุมชนชาวไทยเชื้อสายมอญบางกระดี่ มีรูปแบบการอยู่อาศัยที่มีการขยายตัวเกิดเป็นกลุ่มบ้านจนกระทั่งเป็นชุมชน โดยมีปัจจัยสำคัญอยู่ที่ระบบเครือญาติ 2. องค์ประกอบของเรือนและการจัดพื้นที่ใช้สอยที่อยู่อาศัย มาจากความเชื่อเรื่องการนับถือผีบรรพบุรุษ และความเชื่อเรื่องทิศซึ่งเป็นการกำหนดรูปแบบการอยู่อาศัย องค์ประกอบของเรือน การปลูกสร้างเรือน และการจัดพื้นที่ใช้สอยภายในเรือน 3. การเปลี่ยนแปลงการใช้สอยพื้นที่อยู่อาศัย เกิดจากการเป็นครอบครัวขยาย โดยความสัมพันธ์ทางเครือญาติ และการนับถือผีบรรพบุรุษเป็นสิ่งกำหนดการวางผังพื้นที่ใช้สอย (หน้า 131-136)มอญ,ที่อยู่อาศัย,ความเชื่อ,ภาคกลางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย2545https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=931
930รายงานการวิจัยการศึกษาสภาวะอนามัยของชาวเลเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูลยงยุทธ พินิตอังกูร และคณะผลจากการศึกษาจะพบได้ว่า ด้านพฤติกรรมอนามัยชาวเลนั้น ยังไม่มีมาตรฐานเพียงพอ เนื่องจากพฤติกรรมของชาวเลที่ยังคงใช้น้ำจากน้ำตกอาดัง โดยมิได้นำมาต้มหรือฆ่าเชื้อ, การกำจัดขยะมูลฝอยใช้วิธีเผา, การขับถ่ายอุจจาระยังนิยมถ่ายในป่าเป็นส่วนมาก เป็นต้น ด้วยปัญหาข้างต้นยังส่งผลให้พบว่ายุง และหนู ถือเป็นสัตว์พาหะนำโรคที่สำคัญสู่ชุมชนชาวเลเกาะหลีเป๊ะ นอกจากนี้ชาวเลหลีเป๊ะยังไม่นิยมการฝากครรภ์ ยังคงทำคลอดโดยผ่านหมอตำแยที่ผ่านการอบรมเท่านั้น เป็นต้น จากข้อสรุปข้างต้นนี้ทำให้ได้ทราบถึงสภาพทั่วไป และปัญหาด้านสุขภาพอนามัยที่เกิดขึ้นในกลุ่มชาวเลเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ที่จะสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ประกอบการวางแผนพัฒนา และแก้ไขปัญหาทางด้านสาธารณสุขของชาวเลได้ (หน้า 37-41)อูรักลาโว้ย,ชาวเล,สภาวะอนามัย,เกาะหลีเป๊ะ,จ.สตูลตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสตูล ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=930
929รายงานการวิจัยศึกษาผลกระทบจากการใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชของชาวเขาเผ่าม้งและเผ่ากะเหรี่ยง ณ ลุ่มแม่น้ำกลาง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่พรปริญญา สุขสวัฒนา, บุญถิ่น อินดาฤทธิ์ เนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึงการศึกษาเรื่องการใช้สารเคมีและภาวะการใช้สารเคมี ผลกระทบต่อสุขภาพและปัญหาต่างๆของม้งและกะเหรี่ยง ที่อยู่ลุ่มน้ำแม่กลาง เขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ โดยกลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 180 ครอบครัวจากทั้งหมด 280 ครอบครัวที่อยู่ในพื้นที่ จากการศึกษาพบว่าการใช้สารเคมีมีชาวเขาบางส่วนทำตามคำแนะนำที่อ่านในฉลากยาบางส่วนจะกะเอาโดยประมาณ การใช้สารเคมียังมีผู้ที่ปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้องเช่น ไม่สวมหมวก หรือสวมหน้ากากป้องกันพิษไม่สวมถุงมือและรองเท้าหุ้มส้น เป็นต้น ส่วนผลกระทบด้านสุขภาพม้งและกะเหรี่ยงเคยพบปัญหาด้านสุขภาพเช่นเวียนหัว คลื่นไส้ ระคายผิว นอกจากนี้ม้งและกะเหรี่ยงยังมีการพัฒนาการใช้สารเคมีด้วยตนเองเพิ่มชนิดและปริมาณต่อไร่มากขึ้นขาดความรู้เรื่องความปลอดภัยและประมาทรวมทั้งขาดจิตสำนึกต่อผู้บริโภคม้ง,กะเหรี่ยง,การใช้สารเคมี,สุขภาพ,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2537https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=929
928หนังสือMerit and the millennium: routine and crisis in the ritual lives of the Lahu PeopleWalker, Anthony R.หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับคติความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ(animism)และความเชื่อในอำนาจสูงสุดหนึ่งเดียว(Theism) การปฏิบัติพิธีกรรมในชีวิตประจำวันและช่วงวิกฤติ ของล่าหู่ในดินแดนภาคเหนือของไทยและพม่า และในยูนนาน ประเทศจีน เนื้อหาของหนังสือแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ เนื้อหาส่วนแรก มี 2 บท บทที่หนึ่งเสนอภาพส่วนที่เป็นแง่มุมสำคัญของชีวิตทางสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของล่าหู่ ด้วยการยกกรณีล่าหู่แดงบ้านจะต๊อ อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งวอล์คเกอร์ใช้ชีวิตในหมู่บ้านระหว่าง ค.ศ. 1966-1970 เป็นตัวแทนลักษณะสังคมล่าหู่แบบดั้งเดิม(น.103) บทที่สองกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของล่าหู่ การเดินทางอพยพจากดินแดนบ้านเกิดดั้งเดิมลงมาทางใต้จนกระทั่งเข้ามาสู่ดินแดนทางเหนือของประเทศพม่า และไทย รวมทั้งความสัมพันธ์ของล่าหู่กับคนฮั่นและคนไทตลอดจนการกระจายตัวของประชากรล่าหู่ในปัจจุบัน ส่วนที่สอง มีทั้งหมด 7 บทกล่าวถึงคติความเชื่อและการปฏิบัติพิธีกรรม ซึ่งวอล์คเกอร์เห็นว่ามีลักษณะพิเศษเฉพาะ โดยบทที่สามกล่าวถึงความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติและความเชื่อในสิ่งที่มีอำนาจสูงสุดผู้สร้างสรรพสิ่ง บทที่สี่กล่าวถึงการปฏิบัติตามความเชื่อโดยเน้นที่”ขวัญ”กับ”ผี” บทที่ห้ากล่าวถึงการสืบต่อคติความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยดูจากพิธีกรรมที่ต่างกัน ได้แก่ การทำบุญซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนากับการไล่ผี บทที่หกกล่าวถึงศาสนาพุทธนิกายมหายานที่เข้าไปมีอิทธิพลในบริเวณภูเขาล่าหู่ และพระในนิกายมหายาน 3 รูปที่มีบทบาทสำคัญต่อชุมชนสังคมล่าหู่ ซึ่งได้แก่ หยางเตอหยวน ถงจินเหอชาง และหวางโฝเย บทที่เจ็ดกล่าวถึงวัดหมู่บ้านของล่าหู่ ผู้ปฏิบัติกิจทางศาสนาและกิจกรรมทางศาสนา พร้อมทั้งเปรียบเทียบชุมชนล่าหู่ในที่ต่างๆ ทั้งในยูนนาน ไทยและพม่า เพื่อแสดงว่าแม้การปฏิบัติพิธีกรรมของชุมชนล่าหู่จะมีรูปแบบไม่เหมือนกัน แต่ก็สามารถพบความคล้ายคลึงกันในสถาปัตยกรรมวัด ผู้ปฏิบัติกิจทางศาสนาและกิจกรรมพิธี และยิ่งกว่านั้น เขายังพบว่า ความเหมือนกันของการไหว้บูชาในวัดในหมู่ชุมชนล่าหู่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนานิกายมหายาน (น.412-413) บทที่แปดกล่าวถึงพิธีกรรมในรอบปีและพิธีกรรมวัฏจักรชีวิต เพื่อให้เห็นความคิดเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติและการปฏิบัติพิธีกรรมของล่าหู่บ้านจะต๊อในภาคเหนือของไทยที่ผู้เขียนได้ศึกษามาอย่างยาวนาน บทที่เก้ากล่าวถึงพระในพุทธศาสนาในฐานะนักรบและผู้มีบุญ(messiahs)ในอดีต และผู้วิเศษหยั่งรู้(prophets)ในคริสตศตวรรษที่ 20 ส่วนที่สาม บทที่สิบและสิบเอ็ดกล่าวถึงศาสนาคริสต์เพื่อแสดงให้เห็นการต่อเนื่องและการไม่ต่อเนื่องทางวัฒนธรรม โดยบทที่สิบกล่าวการประสบความสำเร็จของมิชชันนารีต่างชาติในการเข้าถึงคนล่าหู่โดยอาศัยแบบแผนวัฒนธรรม-สังคมของล่าหู่ที่มีมานานแล้วก่อนที่พวกมิชชันนารีจะเข้ามา ทั้งนี้วอล์คเกอร์เห็นว่า องค์ความรู้ของแบบแผน”ประเพณีดั้งเดิมเป็นศูนย์กลางในการทำความเข้าใจว่า ทำไมกลุ่มคนที่พูดภาษาล่าหู่ปัจจุบันราวๆ 60,000 คน จึงจำแนกตนเอง ชุมชนของพวกเขาและการปฏิบัติตามประเพณีตนแม้เป็นคริสเตียน (น.554) ส่วนบทที่สิบเอ็ดกล่าวถึงการเข้าร่วมกันนับถือคริสตศาสนาในหมู่ประชากรที่พูดภาษาล่าหู่ในภาคเหนือของไทย พม่าและในยูนนาน รวมทั้งล่าหู่คริสต์ปัจจุบันในประเทศไทยล่าหู่,พิธีกรรม,ความเชื่อ,คติความเชื่อและการปฏิบัติพิธีกรรม,ไทย,พม่าและจีนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=928
927วิทยานิพนธ์การเปรียบเทียบการสนับสนุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้สูงอายุชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ตอนบนณัฐพงศ์ อนุวัตรยรรยงการเปรียบเทียบการสนับสนุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้สูงอายุชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ตอนบน ได้เลือกพื้นที่ศึกษาในอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์กลุ่มผู้สูงอายุ ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เป็นชาวไทยพุทธ จำนวน 232 ราย และชาวไทยมุสลิม จำนวน 120 ราย และทำการวิเคราะห์ด้วยระบบสถิติ โดยผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเปรียบเทียบระหว่างผู้สูงอายุทั้ง 2 กลุ่มศาสนา แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ลักษณะทางประชากรและภาวะสุขภาพ การเปรียบเทียบโครงสร้างของเครือข่ายการสนับสนุนทางสังคมที่เกี่ยวกับสุขภาพ และการเปรียบเทียบการได้รับการสนับสนุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพในเชิงหน้าที่ตามการรับรู้ของผู้สูงอายุ ซึ่งผลการศึกษาพบว่า การนับถือศาสนาที่แตกต่างกันในสังคมภาคใต้ตอนบนไม่มีผลต่อการสนับสนุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ แม้ว่าจะมีวิธีและหลักการปฏิบัติที่แตกต่างกัน เนื่องจากทั้ง 2 กลุ่มศาสนาสอนให้บุตรหลานให้ความสำคัญต่อผู้สูงอายุไม่แตกต่างกัน ในด้านเครือข่ายทางสังคมของผู้สูงอายุที่มีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ขนาดเครือข่ายทางสังคมของผู้สูงอายุชาวไทยมุสลิมมีขนาดใหญ่กว่าชาวไทยพุทธ เครือข่ายในครอบครัวและเครือญาติของผู้สูงอายุ ทั้ง 2 กลุ่มศาสนา ได้รับการสนับสนุนทางสังคมจากบุตรหลานเพศหญิงมากกว่าเพศชาย บุตรที่อยู่ในจังหวัดอื่นของผู้สูงอายุชาวไทยพุทธกลับมาเยี่ยมผู้สูงอายุมากกว่าบุตรของผู้สูงอายุชาวไทยมุสลิม และผู้สูงอายุได้รับการสนับสนุนทางสังคมในเครือข่ายกลุ่มเพื่อนบ้านจากบุคคลที่มีอายุน้อยกว่าหรือรุ่นราวคราวเดียวกันที่รู้จักกันมานาน และมีฐานะทางครอบครัวในระดับใกล้เคียงกับครอบครัวของผู้สูงอายุไทยพุทธ,มุสลิม,สุขภาพ,ผู้สูงอายุ,ระนองตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดระนอง ประเทศไทย2540https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=927
926วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของชาวไทยมุสลิมในการพัฒนาชุมชน ในจังหวัดอ่างทองสถาพร ชุมอุปการการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของชาวไทยมุสลิม ตำบลชะไว อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง พิจารณาจากการมีส่วนร่วมในงานพัฒนาชุมชนทั้ง 4 ด้าน คือ งานสร้างเสริมรายได้ งานส่งเสริมการออมทรัพย์เพื่อการผลิต งานพัฒนาสิ่งแวดล้อม และงานพัฒนาจิตใจ การมีส่วนร่วมในการพัฒนาดังกล่าว อยู่ในระดับปานกลาง งานที่ชาวมุสลิมร่วมมากคือ งานพัฒนาจิตใจ ส่วนงานพัฒนาสิ่งแวดล้อมและงานสร้างเสริมรายได้มีส่วนร่วมในระดับปานกลาง งานส่งเสริมการออมทรัพย์เพื่อการผลิตเป็นงานที่ไทยมุสลิมมีส่วนร่วมน้อย จากการศึกษาปัจจัยต่างๆ พบว่า เพศชายมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนมากว่าเพศหญิง อายุต่างกันมีผลต่อการมีส่วนร่วมในงานพัฒนาชุมชนไม่แตกต่างกัน ด้านอาชีพ แบ่งออกเป็นอาชีพหลักและอาชีพรอง ด้านอาชีพหลักพบว่าผู้ประกอบอาชีพหลักเกษตรกรรมมีส่วนร่วมในงานพัฒนาชุมชนสูงกว่าผู้ที่ประกอบอาชีพรับจ้าง ด้านอาชีพรองพบว่าผู้ที่มีอาชีพรองมีส่วนร่วม ในงานพัฒนาชุมชนมากกว่าผู้ที่ไม่มีอาชีพรอง ด้านการศึกษาแบ่งออกเป็นการศึกษาสายสามัญ และการศึกษาด้านศาสนาพบว่าการศึกษาสายสามัญที่แตกต่างกันไม่มีผลต่อการมีส่วนร่วมในงานพัฒนาชุมชนที่แตกต่างกัน และผู้ที่ศึกษาด้านศาสนาสูงกว่า ป.4 (ฟัรดูอีน) ขึ้นไป มีส่วนร่วมในงานการพัฒนาชุมชนสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ ด้านความเคร่งครัดทางศาสนา โดยการพิจารณาจากการปฏิบัติศาสนกิจและการดำเนินชีวิตประจำวัน พบว่าผู้ที่เคร่งครัดมากมักมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนมากกว่า ปัญหาและอุปสรรคที่มีต่อการมีส่วนร่วมของชาวไทยมุสลิมในการพัฒนาชุมชนในจังหวัดอ่างทอง ได้แก่ ปัญหาด้านการมีภาระในการประกอบอาชีพ การขาดแคลนการประชาสัมพันธ์ ปัญหาด้านสุขภาพร่างกาย และปัญหามีภาระครอบครัวไม่มีเวลาเข้าร่วมโครงการ (หน้า 203 – 206) จะเห็นได้ว่าปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของชาวไทยมุสลิม ในตำบลชะไว อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทองนั้น มีได้หลายปัจจัยด้วยกัน แตกต่างจากปัจจัยโดยทั่วไปเพราะลักษณะความต่างในการนับถือศาสนา การศึกษา วัฒนธรรมและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ซึ่งต่างจากกลุ่มของคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศไทยมุสลิม,พัฒนา,อ่างทองตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดอ่างทอง ประเทศไทย2537https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=926
925วิทยานิพนธ์นโยบายการจัดการศึกษาของรัฐในชุมชนไทยมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ.2475-2535)สมพงษ์ ปานเกล้าศึกษานโยบายการพัฒนาการศึกษาของรัฐบาล 3 ช่วงเวลา คือ ในช่วงปี พ.ศ. 2475-2502, 2502-2516, 2516-2535 และศึกษาวิเคราะห์ นโยบายด้านการจัดการศึกษาสำหรับชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้แนวคิดเรื่องไตรลักษณ์รัฐเป็นกรอบวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่าสังคมมุสลิมภาคใต้มีเอกลักษณ์พิเศษทั้งในด้านเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม การมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็งทำให้มีพลังต่อรองทางการเมืองกับรัฐไทย แม้ว่านโยบายการจัดการศึกษาจะอยู่บนหลักการของรัฐที่ว่าด้วย “มิติความมั่นคง” แต่ก็จำต้องเป็นที่ต้องให้หักการ “มิติการพัฒนา” และ “มิติการมีส่วนร่วม” เข้ามามีบทบาทร่วม ในช่วงปี พ.ศ. 2475-2502 (หน้า ง,จ) และมีบทบาทนำในช่วงปี 2502-2535ในการกำหนดและดำเนินนโยบายดังกล่าว และเมื่อสถาบันสูงสุดเข้าไปมีบทบาทในการพัฒนาทำให้หลักการพัฒนาของรัฐเป็นที่ยอมรับในของชาวไทยมุสลิมภาคใต้และช่วยเกาะเกี่ยวหลักการของรัฐให้เข้าสู่ความเป็นไตรลักษณ์รัฐออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,รัฐ,นโยบายการศึกษา,จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดอ่างทอง ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=925
924วิทยานิพนธ์ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวเล : กรณีศึกษากลุ่มอูรักลาโว้ย บริเวณแหลมตุ๊กแก ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ตพชรวรรณ รุ่งแสงอโณทัยการศึกษามีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวเล กรณีศึกษากลุ่มอูรักลาโว้ย บริเวณแหลมตุ๊กแก ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาและคุณภาพ โดยกลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่มอย่างมีระบบ ใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล โดยจำแนกตามตัวแปรต้น คือ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ระยะเวลาที่อยู่ในชุมชน รายได้รวมของครอบครัวต่อเดือน ตัวแปรตาม คือ วัฒนธรรมการสร้างบ้านเรือน วัฒนธรรมการแต่งกาย และวัฒนธรรมการบริโภคผลการศึกษาพบว่าปัจจัยภายในและภายนอกมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวเล กลุ่มอูรักลาโว้ย ชาวเล, อูรักลาโว้ย, ชุมชน, การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม,ภูเก็ตตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=924
923วิทยานิพนธ์อัตลักษณ์ของไทลื้อและการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม : กรณีศึกษาบ้านแม่สาบ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่เสกสรร สรรสรพิสุทธิ์ไทลื้อบ้านแม่สาบมีการตั้งถิ่นฐานในอาณาจักรล้านนามาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยยึดถือการปลูกข้าวในการดำรงชีพ ดังนั้น “ข้าวและควาย” จึงเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ไทลื้อมีความเชื่อเกี่ยวกับผีเป็นสิ่งสูงสุดที่สถิตอยู่กับทุกสิ่งในชีวิตและธรรมชาติ ดังนั้นความเชื่อ พิธีกรรมและค่านิยมในชุมชนเป็นการแสดงออกของคุณธรรมสูงสุด และมีผลกระทบต่อพฤติกรรมการผลิตทางเศรษฐกิจ การจำหน่ายผลผลิต และการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เป็นไปอย่างสมดุล แต่ผลจากการสนับสนุนการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ได้ส่งผลกระทบต่อระบบการผลิตและการบริโภคของชาวไทลื้อเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังส่งผลต่ออัตลักษณ์ทางสังคม วัฒนธรรมด้วย แต่ไทลื้อบ้านแม่สาบก็ยังคงสามารถปรับอัตลักษณ์ ประเพณี วัฒนธรรมเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ลื้อ,การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ,อัตลักษณ์,การปรับตัว,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=923
922รายงานการวิจัยสถาปัตยกรรมทางศาสนาของชุมชนชาวไทยมุสลิมในจังหวัดปัตตานีวสันต์ ชีวะสาธน์ศึกษาวิวัฒนาการของสถาปัตกรรมศาสนาอิสลามของชุมชนมุสลิมในจังหวัดปัตตานี ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่กว่า 79.58 % นับถือศาสนาอิสลาม จากการศึกษาระบุว่าสถาปัตยกรรมทางศาสนาอิสลามในปัตตานีมีวิวัฒนาการเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากภายนอก เช่น ชวา บาหลี ตะวันออกกลาง อินเดียและอิทธิพลภายในจังหวัด การก่อสร้างอาคาร เช่น บาลาเซาฮฺ สุเหร่า มัสยิด สิ่งก่อสร้างในระยะเริ่มแรกเช่นบาลาเซาะฮฺ ซึ่งมีรูปแบบเหมือนบ้านพักอาศัยจะสร้างด้วยไม้ ต่อมาเมื่อชุมชนใหญ่ขึ้นจึงสร้างสุเหร่าและมัสยิดซึ่งก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กและมีการสร้างหออะซานติดตั้งเครื่องขยายเสียงแทนกลองตีให้สัญญาณที่เคยใช้ในอดีตออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,สถาปัตยกรรม,ศาสนาอิสลาม,ชุมชน,ปัตตานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2544https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=922
921วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับระบบการเกษตรกรรมผสมผสานบนที่สูงของชาวเขาเผ่าม้งบ้านช่างเคี่ยน-ดอยปุย จังหวัดเชียงใหม่ลีศึก ฤทธิ์เนติกุลเนื้อหาของงานกล่าวถึงการศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับระบบการเกษตรกรรมผสมผสานบนที่สูงของม้งบ้านช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก และบ้านดอยปุย ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 99 ครัวเรือน ผลการศึกษาระบุว่าหัวหน้าครัวเรือนของเกษตรม้งมีอายุเฉลี่ย 42.60 ปี ติดยาเสพติด จำนวน 13.1 % โดยมากเรียนน้อยกว่าระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีสมาชิกในครัวเรือน 8.01 คน มีแรงงานในครัวเรือนเฉลี่ย 4.93 คน โดยมากมีแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกอยู่เกณฑ์ดี ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรน้อยครั้ง เข้ารับการฝึกอบรมการเกษตรที่สูงอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งส่วนมากจะฟังรายการการเกษตรจากวิทยุ มีรายได้ครัวเรือนต่อปีเฉลี่ย 98,035.35 บาท มีพื้นที่เพาะปลูกเฉลี่ย 18.576 ไร่ ระดับการศึกษาและการรับฟังข่าวสารทางการเกษตรจากรายการวิทยุชาวเขาไม่มีความสัมพันธ์กับระดับการยอมรับระบบการเกษตรกรรมผสมผสานของเกษตรกรม้ง (บทคัดย่อหน้า ฆ,ง)ม้ง,สังคม,เศรษฐกิจ,เกษตรผสมผสาน,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2538https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=921
920รายงานการวิจัยบทบาทของชุมชนชาวประมงพื้นบ้านในการจัดการทรัพยากรชายฝั่งและการบังคับใช้กฏหมายในพื้นที่รอบอ่าวปัตตานี ศึกษากรณี : บ้านตันหยงเปาว์ หมู่ที่ 4 ต.ท่ากำซำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานีคณะนักวิจัยประกอบด้วยนักวิชาการ นักพัฒนาเอกชนและชาวประมงงานเขียนกล่าวถึงบทบาทของชุมชนชาวประมงพื้นบ้านบ้านตันหยงเปาว์ หมู่ 4 ตำบลท่ากำชำ อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ในการจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเลซึ่งชาวประมงในพื้นที่กรณีศึกษาได้ทำการประมงพื้นบ้านโดยอยู่บนพื้นฐานความเชื่อ ภูมิปัญญาและจารีตประเพณีท้องถิ่น ซึ่งกลุ่มชาวประมงในพื้นที่กรณีศึกษาเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากเรืออวนรุนที่ทำลายสภาพแวดล้อมทางทะเลให้ได้รับความเสียหายจนต้องยกเลิกการใช้เครื่องมือประมงพื้นบ้านหลายชนิด เนื่องจากไม่สามารถใช่ได้เพราะสิ่งแวดล้อมทางทะเลและสัตว์น้ำถูกทำลายเป็นจำนวนมากมุสลิมมลายู,ชุมชนชาวประมงพื้นบ้าน,ทรัพยากรทางทะเล,กฎหมายชายฝั่งทะเล,ปัตตานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=920
919บทความการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของบ้านทิวสน ระหว่างปี 1950 -1990ระวีวรรณ ชอุ่มพฤษ์เนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของบ้านทิวสน จังหวัดปัตตานีในระหว่างปี 1950-1990 ซึ่งจากการศึกษาพบว่าคนในหมู่บ้านเป็น “นายู” หรือชุมชนมาเลย์คนในหมู่บ้านนับถือศาสนาอิสลามแต่เดิมไช้ชีวิตแบบระบบเศรษฐกิจพึ่งตัวเองคือปลูกข้าวและทำการประมง ในเวลาต่อมาเมื่อมีการปรับเปลี่ยนมาใช้เครื่องมีประมงที่ทันสมัยเช่นใช้อวนรุนหรือเรือติดเครื่องยนต์จึงทำให้วิถีชีวิตและเศรษฐกิจเปลี่ยนไป ชาวบ้านทำการประมงเพื่อการค้าและเลิกทำนาเช่นในอดีต คนที่สามารถจับปลาได้มากคือคนที่มีฐานะเนื่องจากมีเครื่องมือประมงที่ทันสมัย ขณะที่คนจนมีแนวโน้มที่จะเลิกทำการประมงเนื่องจากใช้เครื่องมือไม่ทันสมัย บางส่วนได้ไปขายแรงงานต่างถิ่น เนื่องจากท้องทะเลขาดความอุดมสมบูรณ์หากินฝืนเคืองออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิมมลายู,เศรษฐกิจ,วิถีชีวิต,ชุมชนชาวประมง,ปัตตานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=919
918รายงานการวิจัยการเปลี่ยนแปลง ปัญหาและทางเลือกของชุมชนประมง: กรณีศึกษาการใช้ประโยชน์ป่าชาเลน หมู่บ้านดาโต๊ะ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานีวัฒนา สุกัณศิลเนื้อหาของงานกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงและปัญหาการใช้ประโยชน์จากป่าชายเลนของชุมชนประมงบ้านดาโต๊ะ ตำบลแหลมโพธิ์อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่รอบอ่าวปัตตานีที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเรื่องการใช้ป่าซึ่งเริ่มมาตั้งแต่อดีตเช่น การตัดต้นไม้ในป่าชายเลนเผาถ่าน นำมาทำเป็นฟืนเพื่อต้มกุ้งแห้ง ฯลฯ รวมทั้งนโยบายต่างๆจากทางการที่มีผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์จากป่าชายเลนของคนในชุมชนบ้านดาโต๊ะออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ป่าชายเลน,การใช้ทรัพยากร,ชุมชนประมง,ปัตตานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2539https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=918
917วิทยานิพนธ์การใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านเพื่อสร้างเสริมสุขภาพในระยะตั้งครรภ์กรณีศึกษาสตรีไทยมุสลิมในภาคใต้จินตนา หาญวัฒนกุลกล่าวถึงการใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านเพื่อดูแลหญิงมุสลิมมีครรภ์ให้มีสุขภาพแข็งแรงและคลอดลูกง่าย ซึ่งการปฏิบัติของประชากรศึกษาที่อยู่ในภาคใต้ตอนล่างซึ่งเป็นพื้นที่ศึกษาได้นำมาใช้เพื่อดูแลสุขภาพระหว่างการตั้งครรภ์ประกอบด้วยการฝากครรภ์กับสถานพยาบาลและหมอตำแยไปด้วยพร้อมกัน กินอาหารจากพืชผักสมุนไพร และปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลามและความเชื่อของท้องถิ่นที่เคยปฏิบัติกันมาตั้งแค่สมัยปู่ย่าตายายออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิมมลายู,ภูมิปัญญาพื้นบ้าน,สุขภาพ,สตรีมีครรภ์,ภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2548https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=917
916รายงานการวิจัยการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนตามจารีตประเพณีของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย : กรณีศึกษาชุมชนม้งและกะเหรี่ยงอุดม เจริญนิยมไพร ,จันทนี พิเชษฐ์กุลสัมพันธ์ ,วิลาวัลย์ ธาราวโรดมกล่าวถึงองค์ความรู้และการปฏิบัติตามจารีตประเพณีต่างๆและการปรับตัวจากหลักปฏิบัติและนโยบายต่างๆของม้งในพื้นที่กรณีศึกษาบ้านแม่ยะน้อย หมู่ 18 ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทองและบ้านแม่สะงะ หมู่ 14 ตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่มจังหวัดเชียงใหม่ และกะเหรี่ยงบ้านแม่ปอนในที่ประกอบด้วย 3 หย่อมบ้าน คือบ้านสันดินแดง บ้านห้วยวอก บ้านกลาง หมู่ 15 ตำบลบ้านหลวง และบ้านขุนยะ หมู่ 19 อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์ทรัพยากรต่างๆที่อยู่ในชุมชนปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ม้ง,เศรษฐกิจ,เกษตรกรรม,สิ่งแวดล้อม,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2549ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=916
915หนังสือสารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงสะกอสุริยา รัตนกุล, สมทรง บุรุษพัฒน์ พรรณนาถึงการดำรงชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม และสังคม ของกะเหรี่ยงสะกอ ตั้งแต่ชาติพันธุ์ รูปร่างลักษณะ ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรสยาม การตั้งถิ่นฐาน จำนวนประชากร กะเหรี่ยงกลุ่มต่างๆ ในประเทศไทย ภาษา ศาสนาพิธีกรรมและความเชื่อ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของการนับถือผสมผสานระหว่างการนับถือผี ศาสนาพุทธ และศานาคริสต์ การแต่งกาย อาหารการกิน รูปแบบลักษณะหมู่บ้านและบ้าน การสันทนาการ โครงสร้างทางสังคม ความเชื่อเรื่องโชคลาง และอธิบายถึงข้อห้าม ข้อนิยม ในเรื่องต่างๆเหล่านั้น เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและเกิดความเป็นสิริมงคลกะเหรี่ยงสะกอ,ชีวิตความเป็นอยู่,ความเชื่อประเพณี,วัฒนธรรม,ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2538https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=915
914รายงานการวิจัยสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาผู้เสพยาเสพติดบนพื้นที่สูง : กรณีศึกษาเครือข่ายชุมชนม้งอนุรักษ์วัฒนธรรมและต่อต้านยาเสพติดจันทร์ศิริ วาทหงษ์ผู้เขียนศึกษาสถานการณ์และกิจกรรมการแก้ไขปัญหาผู้เสพยาเสพติดบนพื้นที่สูง3 ระยะ คือ ระยะที่1 ก่อนรัฐบาลประกาศนโยบายทำสงครามเอาชนะยาเสพติด ปี2539มียาบ้าแพร่ระบาดเข้ามาในเครือข่ายชุมชนม้งอนุรักษ์วัฒนธรรมและต่อต้านยาเสพติด เป็นช่วงที่รัฐบาลยังไม่มีนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติดชัดเจน การแก้ไขปัญหาของเจ้าหน้าที่รัฐยังดำเนินการไม่ต่อเนื่องสม่ำเสมอ และชุมชนยังไม่ไว้วางใจ ระยะที่ 2 ระหว่างรัฐบาลประกาศนโยบายทำสงครามเอาชนะยาเสพติด (เดือนกุมภาพันธ์-มิถุนายน 2546 ) ทำให้ภาครัฐเข้ามาดำเนินการในพื้นที่มากขึ้น ชาวบ้านให้ความร่วมมือมากขึ้นเพราะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทำงานจริงจัง ภาครัฐและองค์กรชุมชนเข้าพื้นที่ในการทำประชาคมหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวนผู้ค้าและผู้เสพยาเสพติดมีจำนวนลดลง ระยะที่3 ระยะหลังรัฐบาลประกาศชัยชนะในการทำสงครามเอาชนะยาเสพติด (หลังวันที่ 3 ธันวาคม 2546) ปัญหายาเสพติดในชุมชนลดลง บางชุมชนไม่มีทั้งผู้ค้าและผู้เสพ เพราะหายาเสพติดยากและเกรงกลัวอำนาจรัฐ ผู้ค้ารายใหญ่บางส่วนหนีออกจากชุมชนและหยุดการค้าระยะหนึ่ง แต่หลังจากประกาศชัยชนะนโยบายทำสงครามเอาชนะยาเสพติดได้ 4 เดือน มีข่าวว่ามีการขายยาเสพติดในชุมชนอีกม้ง,เครือข่าย,อนุรักษ์วัฒนธรรม,ต่อต้านยาเสพติด,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=914
913วิทยานิพนธ์การศึกษาเปรียบเทียบบทบาทของพระสงฆ์กับผู้นำมุสลิมในการปลูกฝังคุณธรรมในชุมชน ศึกษาเฉพาะกรณีในอำเภอไชโย จังหวัดอ่างทองไพศาล โอฬารวัฒน์ไม่ว่าศาสนาพุทธหรือศาสนาอิสลาม ต่างมุ่งเน้นที่จะสั่งสอน อบรมผู้คนให้เป็นคนดีของสังคม ทำเพื่อส่วนร่วมเป็นประโยชน์ส่วนรวมมาก่อน อีกทั้ง 2 ศาสนาต่างมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือทางด้านหลักธรรม คำสั่งสอน การทำกิจกรรมร่วมกันในชุมชน การส่งเสริมการศึกษา การสร้างความสัมพันธ์ในระดับเพื่อนบ้าน หรือความสัมพันธ์ส่วนตัว ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ร่วมกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด ปัญหาอื่นๆ ร่วมกัน (หน้า 92-95)พุทธ,อิสลาม,ผู้นำศาสนา,การปลูกฝังคุณธรรม,ชุมชน,อ่างทองตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดอ่างทอง ประเทศไทย2538https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=913
912วิทยานิพนธ์สภาวะเศรษฐกิจสังคมและการพัฒนาหมู่บ้าน สาธิตแม่เหาะ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนสุทธารี ลิ่มโอภาสมณีชาวเขาในหมู่บ้านสาธิต ไม่มีความแตกต่างไปจากชาวเขาในพื้นที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหลักความเชื่อ การดำรงชีวิต การใช้ชีวิต ยังคงแบ่งเป็นกลุ่มเผ่าพันธุ์ของตนเอง แต่ไม่มีปัญหาในการอยู่ร่วมกัน แต่ส่วนที่ได้รับผลกระทบบ้าง เช่นความเป็นอยู่อาชีพที่ปรับเปลี่ยนมีอาชีพเสริมเข้ามาร่วม การศึกษาที่ได้รับการศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ เรียนรู้ที่จะใช้ภาษาไทย มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้รับการตรวจสุขภาพจากหมอคริสเตียน ซึ่งภาพรวมถือได้ว่าชาวเขากลุ่มดังกล่าวมีความเป็นอยู่ที่ดีปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ลเวือะ,กลุ่มชนบนพื้นที่สูง,ความเป็นอยู่,อาชีพ,การดำรงชีวิต,ประเพณีการเกิด,การตาย,การขึ้นปีใหม่,พิธีแต่งงาน,ศาสนา,ความเชื่อ,ผี,คริสต์ศาสนา,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2517https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=912
911บทความBasic Themes in Akha CulturePaul W. Lewisแม้ว่าในวัฒนธรรมอาข่าจะมีแนวคิดหลายอย่าง แต่บทความนี้มุ่งเน้นนำเสนอเฉพาะแนวคิดหลักสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ข้าว เทพเจ้า และ “บริสุทธิ์” ซึ่งปรากฏในจารีตและพิธีกรรมแห่งชีวิตตั้งแต่เกิด จนตายของอาข่า สำหรับอาข่า ข้าวเป็นมากกว่าอาหาร ถือเป็น “เครื่องค้ำจุนชีวิต” (staff of life) พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวข้าวจึงมีความสำคัญมาก นอกจากนี้ความเชื่อเรื่องเทพเจ้า และความบริสุทธิ์ ยังมีผลในการควบคุมทางสังคมของคนในหมู่บ้านอาข่า หากมีการกระทำผิดต่างๆ ที่จะส่งผลให้บ้านและหมู่บ้านไม่บริสุทธิ์ ก็ต้องมีพิธีกรรมชำระล้างต่างๆ ซึ่งพิธีกรรมเหล่านี้มีนัยยะสำคัญทางเศรษฐกิจ และส่งผลต่อการหลอมรวมทางสังคมของอาข่าอาข่า,ข้าว,เทพเจ้า,พิธีกรรม,แนวคิดหลักในวัฒนธรรม,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2525ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=911
910วิทยานิพนธ์รูปแบบการดำเนินชีวิต ความรู้ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารฮาลาลของผู้บริโภคมุสลิมยุพิน หะสันงานเขียนมุ่งศึกษาเกี่ยวกับความรู้และพฤติกรรมการบริโภคอาหารฮาล ซึ่งเป็นอาหารที่ศาสนาอิสลามได้บัญญัติไว้ว่ามุสลิมสามารถรับประทานได้โดยไม่ผิดต่อหลักศาสนา เป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพ สะอาดนอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมายฮาลาลก็เป็นที่ยอมรับของมุสลิมทั่วโลกว่าได้รับความคุ้มครองและเป็นหลักประกันต่อการบริโภคอาหาร ซึ่งในการศึกษาได้ศึกษาในกลุ่มตัวอย่างมุสลิมจำนวน 400 คนทั้งชายและหญิงที่มีอายุตั้งแต่ 18-40 ปี ซึ่งเป็นวัยที่กำลังเรียนและทำงานและมีระดับการศึกษาและรายได้ที่แตกต่างกัน โดยเป็นกลุ่มที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ในการศึกษาก็เพื่อให้รู้ว่าผู้บริโภคมุสลิมดำเนินชีวิตอย่างไร มีความรู้และพฤติกรรมการบริโภคอาหารฮาลาลอย่างไรมุสลิม,การบริโภค,อาหาร,ฮาลาล,ความรู้,สังคมตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=910
909วิทยานิพนธ์ความสัมพันธ์ระหว่างความใกล้ชิดชุมชนกับการเลือกใช้ศัพท์ของชุมชนลาวครั่ง ที่บ้านหนองกระพี้ ตำบลบ้านหลวง อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐมศิริกุล กิติธรากุลเนื้อหาของงานเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องการเลือกใช้ศัพท์ภาษาลาวครั่งและศัพท์ที่ยืมมาจากภาษาไทยมาตรฐาน ของกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหนองกระพี้ ตำบลบ้านหลวง อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม จากการศึกษาพบว่ากลุ่มที่มีอายุน้อยหรือกลุ่มวัยรุ่นมีการเลือกใช้ศัพท์ภาษาลาวครั่งน้อยกว่ากลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้สูงอายุมีความใกล้ชิดกับชุมชนมากกว่ากลุ่มคนที่มีอายุน้อย เนื่องจากว่ากลุ่มคนที่มีอายุน้อยเป็นกลุ่มที่ต้องไปเรียนภายนอกชุมชนสำหรับการเลือกใช้ศัพท์ที่ยืมมาจากภาษาไทยมาตรฐานนั้นพบว่า กลุ่มที่เรียนในระดับชั้น ม.ปลายมีการเลือกใช้ศัพท์ที่ยืมมาจากภาษาไทยฉบับมาตรฐานมากกว่ากลุ่มที่เรียนต่ำกว่าชั้น ป.5และกลุ่มที่เรียนระหว่างชั้น ป.5-ม.3 เนื่องจากว่ากลุ่มที่เรียนในระดับชั้น ม.ปลายได้ติดต่อกับชุมชนภายนอกและไปเรียนภายนอกชุมชนมากกว่ากลุ่มอื่นๆลาวครั่ง,คำศัพท์,ภาษา,สังคม,นครปฐมตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=909
908วิทยานิพนธ์วิถีการดำเนินชีวิตของชาวไทยโย้ยบ้านอากาศ ตำบลอากาศ อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนครฟองจันทร์ อรุณกมลงานเขียนกล่าวถึงการศึกษาวิถีดำเนินชีวิตของไทยโย้ยบ้านอากาศ ตำบลอากาศ อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร และศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของไทยโย้ย ในงานได้กล่าวถึงสังคมวัฒนธรรมต่างๆ ของไทยโย้ยว่ามีความเป็นอยู่อย่างไร ทั้งนี้โย้ยเคยเป็นกลุ่มที่เคยอยู่บริเวณฝั่งขวาของแม่น้ำโขงและถูกกวาดต้อนไปยังฝั่งประเทศลาวสมัยเจ้าอนุวงศ์ของลาวก่อการกบฏ ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ของไทย ต่อมาภายหลังเมื่อกองกำลังฝ่ายไทยปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ได้สำเร็จจึงได้อพยพไทยโย้ย กลับมาอยู่บริเวณฝั่งขวาของแม่น้ำโขงอีกครั้ง อยู่รวมกันจากหมู่บ้านเล็กๆชื่อบ้านม่วงริมยาม กระทั่งภายหลังเมื่อชุมชนใหญ่ขึ้นก็พัฒนามาเป็นอำเภออากาศอำนวยในทุกวันนี้ผู้ย้อย ย้อย ลาวย้อย ไทย้อย โย่ย,สังคม,วัฒนธรรม,ชุมชน,สกลนครตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2541https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=908
907วิทยานิพนธ์การศึกษาภาวะเจริญพันธุ์ของชาวเขาเผ่าเย้าในจังหวัดลำปางชลิดา เกษประดิษฐผู้เขียนพรรณนาถึงปัจจัยด้านเศรษฐกิจ เช่น ที่ดินทำกิน ฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา คำแนะนำด้านการวางแผนครอบครัว ความสามารถในการใช้ภาษาไทย จำนวนลูกตาย การคุมกำเนิด ว่าปัจจัยใดที่มีความสัมพันธ์กับจำนวนลูกที่เกิดรอดชีวิต และจำนวนลูกที่ต้องการ หรือภาวะเจริญพันธุ์ของผู้หญิงเย้ากลุ่มตัวอย่างอายุระหว่าง 15 - 49 ปี จำนวน 528 คน ในพื้นที่จังหวัดลำปาง ผลการศึกษาผู้เขียนพบว่าปัจจัยด้านเศรษฐกิจและจำนวนบุตรเกิดไร้ชีพไม่มีความสัมพันธ์กับภาวะเจริญพันธุ์ ความสามารถในการใช้ภาษาไทยและการคุมกำเนิดมีความสัมพันธ์ในทางลบกับภาวะเจริญพันธุ์ จำนวนบุตรตายมีความสัมพันธ์ทางบวกกับภาวะเจริญพันธุ์ ส่วนการได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวมีความสัมพันธ์ในทางลบกับจำนวนบุตรที่ต้องการเท่านั้น สำหรับในเรื่องการคุมกำเนิดพบว่า สตรีเย้านิยมคุมกำเนิดน้อยมาก ส่วนใหญ่ไม่นิยมคุมกำเนิด ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มอายุใดจะนิยมคุมกำเนิดเมื่อมีบุตรเพียงพอแล้วคือ 5 คนขึ้นไป (หน้า ก-ข,71-72,76)เย้า,สตรี,ภาวะเจริญพันธุ์,การคุมกำเนิด,ลำปางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2536https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=907
906วิทยานิพนธ์การศึกษาคำศัพท์เกี่ยวกับพฤติกรรมการกินของชาวไทยมุสลิม จังหวัดนราธิวาส A STUDY OF THE VOCABULARY CONCERNING EATING HABITS AMONG THE MUSLIMS IN NARATHIWAT PROVINCEนราวดี พันธุ์นราการศึกษาคำศัพท์เกี่ยวกับพฤติกรรมการกินของชาวไทยมุสลิม จังหวัดนราธิวาส มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาพฤติกรรมการกินของชาวไทยมุสลิมที่พูดภาษาถิ่นในจังหวัดนราธิวาส โดยใช้แนวคิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างภาษาและวัฒนธรรม ซึ่งทำการวิเคราะห์ด้วยวิธีจัดชุดคำ (paradigm) วิธีแยกองค์ประกอบ (componential analysis) และวิธีแยกประเภทแบบพื้นบ้าน (folk taxonomy) กลุ่มคำศัพท์ที่นำมาวิเคราะห์ ได้แก่ ประเภทของอาหาร การประกอบอาหาร การเตรียมอาหาร และสิ่งที่นำมาเป็นอาหาร ผลการศึกษาพบว่า อิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ศาสนา ความเชื่อ ค่านิยม และลักษณะทางสังคม ทำให้ชาวไทยมุสลิมมีรูปแบบการกินที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ซึ่งภาษาได้ถ่ายทอดระบบวิธีคิดและการเลือกใช้คำศัพท์เกี่ยวกับการกินของเจ้าของภาษาอย่างมีเหตุผลออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,คำศัพท์เกี่ยวกับพฤติกรรมการกิน,พฤติกรรมการกิน,การบริโภค,คำศัพท์,ไทยมุสลิม,นราธิวาสตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนราธิวาส ประเทศไทย2536https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=906
904วิทยานิพนธ์การผลิต และการบริโภคถั่วเน่าของกลุ่มไทยใหญ่ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนจุฑารัตน์ สุภาษีผู้เขียนพบว่า การผลิตถั่วเน่ามีขั้นตอนทั้งหมด 8 ขั้นตอนและแต่ละขั้นตอนไม่ยุ่งยากซับซ้อน วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตเป็นอุปกรณ์ในครัวเรือน หาง่ายและมีจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไป ส่วนการบริโภคถั่วเน่า ด้านการเลือกซื้อถั่วเน่าสิ่งที่พิจารณาคือ ลักษณะเป็นแผ่นกลมๆ เนื้อถั่วเน่าละเอียด ถั่วเน่าซาพิจารณาลักษณะเป็นเม็ดไม่เละยุ่ย ถั่วเน่าห่อพิจารณาการบรรจุห่อด้วยใบตอง ถั่วเน่าทรงเครื่องพิจารณาถั่วเน่าบดผสมเครื่องปรุง ด้านการปรุงส่วนมากภรรยาเป็นผู้ปรุงอาหาร ถั่วเน่าประกอบอาหารเป็นบางครั้งโดยการนำถั่วเน่าแผ่นและถั่วเน่าทรงเครื่องไปปรุงเป็นอาหารประเภทน้ำพริก ส่วนถั่วเน่าซาจะนำไปผัดคั่วเป็นกับข้าว ส่วนถั่วเน่าห่อจะนำไปปรุงเป็นอาหารประเภทแกง ถั่วเน่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ ถั่วเน่าแผ่น ด้านการรับประทานนั้น ถั่วเน่าทรงเครื่องมีการรับประทานโดยไม่ต้องปรุงอีก เนื่องจากอร่อยถูกปาก ส่วนถั่วเน่าแผ่นต้องมีการปรุงให้สุกก่อนรับประทานใช้ช่วยเพิ่มรสชาติ (หน้า ง-จ)ไทยใหญ่,การผลิต,การบริโภค,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=904
903วิทยานิพนธ์พฤติกรรมการรักษาเยียวยาตนเองด้วยฝิ่นของชาวม้งที่เจ็บป่วย : ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนม้งแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ (Self-Treatment with Opium : A Case Study of the Hmong in Petchaboon Province)พัชรินทร์ สิรสุนทรผู้เขียนพบว่า กระบวนการแสวงหาการรักษาเยียวยาของผู้ป่วยม้งจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นและกำหนดความหมายของอาการนั้น ในกรณีที่เป็นอาการที่ผู้ป่วยไม่รู้จัก หรือไม่แน่ใจก็จะปรึกษากับบุคคลใกล้ชิดในเครือข่ายทางสังคม โดยการที่ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมการรักษาเยียวยาด้วยฝิ่นหรือไม่อย่างไร มิได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้นแต่เพียงอย่างเดียว อาจจะมีการรักษาเยียวยาหลายๆ วิธีควบคู่กันไป (หน้า 168) ในขั้นตอนของการรักษานั้นพบว่า พฤติกรรมของผู้ป่วยมีลักษณะเป็นขั้นเป็นตอน จำแนกตามระดับความรุนแรงของอาการและพฤติกรรมการเสพฝิ่นก่อนการรักษา โดยอาการป่วยเล็กน้อยและระดับปานกลางจะใช้ฝิ่นรักษาในกลุ่มของผู้ที่เสพติดฝิ่นและกลุ่มผู้ที่ใช้ฝิ่นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ส่วนผู้ที่ไม่ใช้ฝิ่นก็จะรอดูอาการและหายา หรือรับการรักษาด้วยวิธีอื่น แต่ในอาการป่วยระดับรุนแรงผู้ป่วยทุกกลุ่ม จะตรงไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดทันที ส่วนญาติพี่น้องที่อยู่ที่บ้านก็จะประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ (“อัวเน้ง”) ควบคู่ไปด้วย (หน้า 169)ม้ง,ฝิ่น,การรักษาโรค,เพชรบูรณ์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบูรณ์ ประเทศไทย2531https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=903
902วิทยานิพนธ์การศึกษาบทสู่ขวัญและพิธีสู่ขวัญของชาวไทลื้อ อำเภอปัว จังหวัดน่านสมพงษ์ จิตอารีย์ผู้เขียนพบว่า ในชุมชนไทลื้อทั้ง 3 หมู่บ้าน ปรากฏพิธีสู่ขวัญทั้งหมด 8 พิธี โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ประเภทแรกเป็นพิธีสู่ขวัญสำหรับบุคคล ซึ่งมีทั้งหมด 6 พิธี แบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้ 3 กลุ่ม คือ<br />
1.) พิธีสู่ขวัญในพิธีเปลี่ยนผ่าน ได้แก่ พิธีสู่ขวัญนาค พิธีสู่ขวัญสามเณร พิธีสู่ขวัญคู่บ่าวสาว และพิธีสู่ขวัญบุคคลที่จะจากถิ่น<br />
2.) พิธีสู่ขวัญเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล<br />
3.) พิธีสู่ขวัญสำหรับบุคคลสำคัญในชุมชน และประเภทที่สอง เป็นพิธีสู่ขวัญสำหรับสัตว์และพืชในการเกษตร ได้แก พิธีสู่ขวัญควาย และพิธีสู่ขวัญข้าว (หน้า 142)<br />
<br />
บทบาทและหน้าที่ของพิธีสู่ขวัญ ได้แก่ เป็นสิ่งที่ตอบสนองความต้องการด้านจิตใจ สร้างขวัญกำลังใจและความเชื่อมั่น เป็นการสร้างความสัมพันธ์ ความสามัคคี การรวมพลังให้ชุมชนเป็นปึกแผ่น เป็นกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ปลูกฝังค่านิยม และพฤติกรรมทางจริยธรรมที่จะทำให้มีชีวิตที่ดี และพิธีสู่ขวัญทำให้เกิดความสืบเนื่อง และความมั่นคงทางวัฒนธรรม (หน้า 130-141, 145)ลื้อ,บทสู่ขวัญ,พิธีสู่ขวัญ,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2545https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=902
901วิทยานิพนธ์Imposing Communities: Pwo Karen Experiences in Northern ThailandFink , Lammert, Christinaงานศึกษานี้ได้สำรวจประสบการณ์ของกะเหรี่ยงโปว์บางส่วนในภาคเหนือของไทยซึ่งอยู่ในกระบวนการบูรณาการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทยที่กำหนดให้ชุมชนขนาดเล็กเป็นสมาชิกของชุมชนที่ใหญ่กว่าอย่างรัฐ-ชาติ(ไทย) พบว่าชาวกะเหรี่ยงที่เผชิญกับการแทรกแซงของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นๆ ในท้องถิ่นได้กำหนดว่า พวกเขาและชุมชนท้องถิ่นของพวกเขามีความสัมพันธ์กับรัฐไทยอย่างมีพลวัตคือ จากการศึกษากะเหรี่ยงในบริเวณ Ti Buh Ri นั้น พวกเขาสร้างความสัมพันธ์กับรัฐไทยในลักษณะของการกระทำที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและ การกระทำในทางที่ต่อต้านขัดขืนหรือการแปลงแนวนโยบายของรัฐบาลให้เป็นเครื่องมือของท้องถิ่น ประเด็นที่เป็นข้อพิจารณาของชาติพันธุ์วรรณนานี้อยู่ที่ว่าชุมชนต่างๆ เป็นทั้งสิ่งที่กำหนดจากชาวบ้านและสิ่งที่กำหนดให้ชาวบ้าน จากกรณีของกะเหรี่ยงนั้นพบว่ามีข้อแตกต่างระหว่างชุมชนท้องถิ่นของกะเหรี่ยงที่มีความพยายามควบคุมพฤติกรรมของปัจเจกบุคคลอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลไทยที่พยายามที่จะกำหนดรูปแบบของชุมชนและอัตลักษณ์ของกะเหรี่ยงขึ้นใหม่ โดยกะเหรี่ยงในบริเวณ Ti Buh Ri ได้พยายามหลีกเลี่ยงจากอิทธิพลและการกลมกลืนเข้ากับผู้อื่น (หน้า 1-2)โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ทฤษฎีปฏิบัติการ,การปรับตัว,ความเชื่อ,ผี,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2537https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=901
900วิทยานิพนธ์Economic Change in Tailue villages in Sipsong Panna 1950s-1980sLeshan Tanไทลื้อในสิบสองปันนาเรียกตัวเองว่า “Lue” (Lu, Lü) มีภาษาของตนเอง สิบสองปันนาอยู่ทางใต้ของประเทศจีน ในจังหวัดยูนนาน ประวัติศาสตร์ของไทลื้อกล่าวไว้ว่าปี ค.ศ. 1180 Chao Phaya Choeng ได้ตั้งอาณาจักร Jinglong ในสิบสองปันนา ราชบัลลังก์ของ Chao Phaya ผลัดเปลี่ยนผู้ครอบครองถึง 39 รัชสมัย ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของจีนเล่าว่ากุบไลข่านได้เข้ามามีชัยเหนือยูนนาน กระทั่งมองโกลเข้ามาเอาชนะสิบสองปันนาได้ ไทลื้อประสบปัญหาการเติบโตของประชากรสูง อีกทั้งการเพิ่มจำนวนผู้อพยพคนจีนฮั่น สร้างความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในหมู่บ้านไทลื้อเศรษฐกิจของหมู่บ้านก่อนปี ค.ศ. 1950 ไทลื้อปลูกข้าว แต่เดิมภูเขาและป่าในสิบสองปันนาเป็นของ Chao Pianling และแต่ละหัวเมืองมี Chao Meng ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน อย่างไรก็ดีในทางปฏิบัตินั้น ผืนดินเป็นสมบัติของหมู่บ้าน ไทลื้อปลูกข้าวโพด ผัก ถั่ว พืชหน่อ เพื่อบริโภคเอง พืชอื่นที่ทำรายได้ เช่น ชา การบูร ครั่ง ฝ้าย อ้อย และยาสูบ แต่ชา การบูร และครั่ง ไทลื้อเลี้ยงควาย วัว หมู และเป็ดไก่ บางบ้านเลี้ยงปลา ม้า หรือลา มีงานฝีมืออื่นๆ ได้แก่ งานตีเหล็ก ทำทอง ย้อมผ้า ทำกระดาษ ทำหม้อ หรือการบดอ้อย พ่อค้าจีนมีบทบาทหลักในเศรษฐกิจของไทลื้อในฐานะเป็นผู้รับซื้อและผู้ขาย ทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในหมู่บ้าน รัฐบาลจีนได้เร่งเก็บภาษีเงินสดซึ่งทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนด้วยเงินตรา ต้นปี ค.ศ. 1950 การรวมเศรษฐกิจสู่ระบอบคอมมิวนิสต์เริ่มขึ้น บริษัทการค้าเอกชนควบคุมตลาดและการค้าท้องถิ่น และเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมตะวันตกมีการก่อตั้งสาขาย่อยของธนาคารมหาชน และธนาคารเกษตร รัฐบาลสิบสองปันหันมาใช้ ‘renminbi’ เป็นเงินตราแลกเปลี่ยน รัฐบาลกลางเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และควมคุมธุรกิจเอกชน ระบบขนส่งระหว่างสิบสองปันนา รัฐบาลผูกขาดการซื้อขายและการตลาดของผลผลิตทางการเกษตร ข้าวเป็นรายได้หลักของหมู่บ้าน รองมาคือยางพาราและอ้อย ผลผลิตอื่น เช่น การปศุสัตว์ การประมง หรือการปลูกผลไม้ ก็ช่วยสร้างรายได้ให้ไทลื้อเช่นกัน อย่างไรก็ดีแม้ผลผลิตทางเกษตรจะเป็นรายได้หลัก แต่ก็เกิดความเสื่อมของสินค้าหัตถกรรมจากการขยายตัวเพิ่มขึ้นของการพาณิชย์ สิบสองปันนาตกอยู่ในอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งพยายามใช้นโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปในการชนะใจชนกลุ่มน้อยเพื่อสร้างอำนาจคอมมิวนิสต์ให้แข็งแกร่งตามชายแดน ในสิบสองปันนา คอมมิวนิสต์ได้แพร่เข้าไปยังหมู่บ้านต่างๆ โดยคนของรัฐบาลได้เข้าไปตีสนิทกับคนกลุ่มน้อย ภารกิจของรัฐบาลกลาง คือสำรวจและแพร่นโยบายคอมมิวนิสต์ รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์ระหว่างจีนฮั่นกับชนกลุ่มน้อยในสิบสองปันนา รวมถึงให้ชนกลุ่มน้อยมีอิสระในการปกครอง สิบสองปันนาได้รับตั้งเป็นภูมิภาคอิสระ และรัฐได้เข้ามาปฏิรูปที่ดินปี ค.ศ. 1956 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างไร่นา และระบบเศรษฐกิจโดยทั่วไปเศรษฐกิจ,การเมือง,ไทลื้อ,สิบสองปันนา,จีนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2534https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=900
899รายงานการวิจัยเทศกาลปีใหม่ของม้งขาวในประเทศไทยJean Mottin (ฌอง มอตแต๊ง)ผู้เขียนได้ศึกษารูปแบบชีวิตในช่วงเทศกาลปีใหม่ของม้งขาว บ้านเข็กน้อย จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งมีประชากรม้งอาศัยอยู่มากที่สุดในประเทศไทย และเป็นเทศกาลที่ม้งทุกคนจะเฉลิมฉลองร่วมกัน ผู้เขียนให้วิธีการทางชาติพันธุ์วรรณา (Ethnography) ศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม โดยเข้าไปอยู่ร่วมในสังคมเพื่อสังเกต (Participant Observation) การดำเนินชีวิตต่างๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ผู้เขียนใช้วิธีการเล่าเรื่องตามลำดับวันเวลาเป็นหลัก โดยไม่ลืมที่จะบอกกล่าวกิจกรรม ประเพณีของม้งในแต่ละวัน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถลำดับเหตุการณ์ และเป็นการง่ายที่จะเข้าใจภาพรวมของเทศกาลได้ดีขึ้น ผู้เขียนเริ่มจากอธิบายการคำนวนปฏิทินของม้งที่แตกต่างจากสากล และพูดถึงกิจกรรมหลักๆ เพื่อเตรียมงานเทศกาลปีใหม่ กิจกรรมส่วนใหญ่ ผู้เขียนแยกออกเป็น 2 ส่วนที่เกี่ยวกับการงานเทศกาล ในส่วนแรกจะเกี่ยวพันทางด้านศาสนา พิธีกรรม และความเชื่อต่างๆ ของม้ง เช่น การฆ่าสัตว์เพื่อเซ่นไหว้ การกราบไหว้เทพยดา ผี วิญญาณของบรรพชน การถือฤกษ์งามยามดี ม้งยังเชื่อว่าปีเก่าที่ผ่านไปจะนำพาสิ่งไม่ดีไปด้วย และจะเริ่มชีวิตใหม่สิ่งใหม่ๆ ในปีที่จะมาถึง ในส่วนที่สอง จะเกี่ยวพันกับงานรื่นเริง การละเล่นช่วงเทศกาลปีใหม่ จัดเป็นช่วงพักผ่อนจากการทำงานตลอดทั้งปี เพราะจัดเป็นช่วงเวลาเดียวที่ม้งทุกคนจะมีส่วนร่วมกันในเผ่า พบเจอกันมากที่สุด มีการเลือกคู่ครอง จะเห็นได้จากเครื่องแต่งกายที่จะตกแต่งสวมใส่กันเฉพาะเวลานี้เท่านั้น ตลอดถึงการกราบไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ในเผ่า เป็นช่วงเวลาที่ทำให้มองเห็นภาพโครงสร้างทางสังคมของม้งได้เด่นชัด ผู้เขียนชี้ว่า วิถีชีวิตของม้งเกี่ยวพันอยู่กับความเชื่อ เมื่อพิธีกรรมทางศาสนาจบลง ก็เหมือนสิ้นสุดเทศกาลปีใหม่ ทุกคนกลับไปทำงาน ไปดำเนินชีวิตตามปกติ กับโชคลาภ สิ่งดีๆ ที่มาพร้อมกับปีใหม่ด้วยม้งขาว,ประเพณีงานปีใหม่,พิธีกรรมทางศาสนา,การละเล่น,อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม,เข็กน้อย,เพชรบูรณ์, ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบูรณ์ ประเทศไทย2522ภาษาฝรั่งเศสhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=899
898บทความGeographies of Displacement: The Karenni and The Shan Across The Myanmar -Thailand BorderCark Grundy- Warr and Elaine Wong Siew Yinรายงานชิ้นนี้กล่าวถึง ปัญหาเรื่องผู้อพยพพลัดถิ่นที่อาศัยอยู่ตามบริเวณพรมแดน รอยต่อไทย – พม่า โดยยกตัวอย่างกะเหรี่ยงและชาน เพื่อแสดงให้เห็นกระบวนการ และแบบแผนการบังคับให้เกิดการย้ายถิ่น อันเป็นผลสืบเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองและชาติพันธุ์ โดยเฉพาะในแง่ความปรารถนาของระบอบทหารพม่า ในเรื่องเอกภาพของชาติใน “พื้นที่ของชาติ” มีส่วนสำคัญทำให้ชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ดังกล่าวต้องอพยพโยกย้าย หรือกลายเป็นผู้พลัดถิ่น บ้างก็ตกเป็นผู้อพยพไร้สัญชาติ หรือจัดตั้งกองกำลังชาติพันธุ์ที่ท้าทายอำนาจรัฐบาลทหารพม่า ถือเป็นหัวใจสำคัญในการวิเคราะห์เรื่องการบังคับให้ย้ายถิ่นข้ามพรมแดนรัฐชาติ ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาร่วมกับเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ (หน้า 93)คะยาห์ กะเรนนี บเว(กะเหรี่ยง),ไต คนไต ไตโหลง ไตหลวง ไตใหญ่ ,ผู้ลี้ภัย,การย้ายถิ่น,พรมแดน,การไร้สัญชาติ,พม่า,ไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบูรณ์ ประเทศไทย2545https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=898
897รายงานการวิจัยClaiming and Naming Resources on the Border of the State : Akha Strategies in China and ThailandJanet C. Sturgeonสถานะของความสัมพันธ์ด้านการจัดการทรัพย์สินและการใช้ผืนดินในหมู่บ้านชาวเขา เผ่าอาข่า สะท้อนถึงผลลัพธ์ของรัฐที่แตกต่างตามแนวทางของการจัดการป่าในหมู่ชนกลุ่มน้อย ในประเทศจีนชาติพันธุ์ชั้นสองหรือชนกลุ่มน้อยซึ่งทำไร่เลื่อนลอยถือเป็นพลเมืองโดยปริยาย โดยทั่วไปพวกเขาถูก “รวมเข้าไว้” ในนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อชาวนาในถิ่นอื่นของประเทศ ซึ่งรวมถึงเรื่องของแนวทางการสะสมและการกระจายผลผลิตทางการเกษตรตามนโยบาย อันเป็นผลมาจากแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมือง การจัดการพื้นที่ป่าไม้สู่หมู่บ้านและครัวเรือน แม้จะมีการทำไร่เลื่อนลอยในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้ตั้งครัวเรือนบนฐานด้านประชากร 15 ปีต่อมาโปรแกรมที่ส่งเสริมชาวนาให้เปลี่ยนจากระบบการเพาะปลูกข้าวบนพื้นที่สูง สู่การปลูกผลไม้ ชา และพืชเงินสดอื่น ๆ ในแปลง อย่างไรก็ดี แม้พวกอาข่าในแถบพญาไพรจะได้รับบัตรประจำตัวชาวเขา แต่พวกเขายังไม่ได้รับสิทธิให้ถือครองที่ดินที่พวกเขาบริหารจัดการ ในขณะที่มีกลุ่มที่เข้ามาครอบงำพื้นที่เพาะปลูกเพื่อฟื้นฟูป่าของรัฐ ทำให้คนหนุ่มสาวต้องออกไปทำงานนอกหมู่บ้านกันเกือบหมด อาข่าบางส่วนจากพญาไพรและจากที่อื่นย้ายเข้ามาขนยาเสพติดและค้าประเวณี เมื่อตลาดแรงงานถูกกฎหมายจ่ายค่าจ้างให้พวกเขาน้อยกว่าพลเมืองไทย อาข่าจึงยังคงเป็นชนชั้นชายขอบต่อไปในรูปแบบความสัมพันธ์ที่รัฐมักไม่ค่อยให้ความสำคัญมากนัก (หน้า 143)อาข่า,ชนกลุ่มน้อย,นโยบาย,พื้นที่ป่า,พรมแดน,กรมป่าไม้,การจัดการทรัพยากร,สิบสองปันนา,จีน,ไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบูรณ์ ประเทศไทย2540https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=897
896รายงานการวิจัยบทบาททางสังคมและเศรษฐกิจของสตรีชาวเขาเผ่าแม้ว (Socio-Economic Roles of Hmong Women)วิไลพร ชะมะผลินบทบาทของสตรีแม้วจากอดีตจนถึงปัจจุบันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ทั้งทางด้านสังคม วัฒนธรรม ประเพณี ยังคงยึดถือปฏิบัติตามบรรพบุรุษ แต่เมื่อสังคมภายนอกเปลี่ยนแปลงไป การเปิดเข้าสู่สังคมเมือง สตรีแม้ว ก็ปรับตัวในบางอย่างเพื่อให้ได้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ม้ง,สตรี,บทบาทครอบครัว,สังคม,ประเพณี,เศรษฐกิจ,ระบบเครือญาติ,การแต่งงาน-การหย่าร้าง,การคลอด การเลี้ยงบุตร,การศึกษา,ความเชื่อ,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2523ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=896
895รายงานการวิจัยการเปลี่ยนแปลงวิถีครอบครัวและชุมชนอีสาน : กรณีผู้ไทยสุวิทย์ ธีรศาศวัต และ ณรงค์ อุปัญญ์ผู้ไทยเป็นชนกลุ่มหนึ่งมีองค์ความรู้ในศาสตร์ต่างๆ หลายแขนง การมีภาษาเป็นของตนเอง การคิดค้นการใช้สมุนไพรในการรักษาโรค ประเพณี ความเชื่อ เช่น การบูชาผีปู่ตา การสั่งสอนบุตรหลานในเรื่องวัฒนธรรมการเคารพผู้ใหญ่ กิริยามารยาท ล้วนเป็นสิ่งที่ควรอนุรักษ์เพื่อให้คงอยู่สืบไป จึงมองว่าควรจะมีการทำการศึกษา จดบันทึกข้อมูลต่างๆ เหล่านี้เพิ่มมากขึ้น เพื่อไม่ให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้หมดไปตามกาลเวลาผู้ไท,การเปลี่ยนแปลงสังคม,วัฒนธรรม,เศรษฐกิจ,ประเพณี,ความเชื่อ,มุกดาหารตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2538https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=895
894รายงานการวิจัยการสำรวจภาวะสุขภาพจิตชาวไทยภูเขามนตรี นามมงคล, อุบล หมุดธรรม, เพชรา ปาสรานันท์รายงานวิจัยฉบับนี้เป็นการสำรวจกลุ่มชาติพันธุ์ 6 กลุ่มได้แก่ กะเหรี่ยง แม้ว เย้า อีก้อ มูเซอ และลีซอ ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน พะเยา และแม่ฮ่องสอน เพื่อนำผลการวิจัยที่ได้มาพัฒนางานด้านสุขภาพจิตชาวไทยภูเขา ในการศึกษาภาวะสุขภาพจิตได้ศึกษาผ่านปัจจัยอย่างอย่าง เช่น เผ่าหรือชาติพันธุ์ จังหวัดหรือพื้นที่ เพศอายุ การแต่งงาน จำนวนสมาชิกครอบครัว ศาสนา การศึกษา อาชีพรายได้ การมีที่ทำกิน การย้ายถิ่น การมีบัตรประชาชน โดยทำแบบสอบถามแล้วนำมาประเมินผลการวิจัย ซึ่งได้ข้อสรุปว่า ชาวไทยภูเขามีภาวะสุขภาพจิตในบริบทรวมไม่ดี คือสุขภาพจิตไม่ดีในบริบทตนเองกับครอบครัว ส่วนภาวะสุขภาพจิตชุมชนมีสุขภาพจิตดี
<div id="__if72ru4ruh7fewui_once">
</div>ม้ง, เมี่ยน, ลีซู, ลาหู่,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ชาวเขา,สุขภาพจิต,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=894
893รายงานการวิจัยการศึกษาเพื่อแสวงหาแนวทางการจัดการศึกษาสำหรับชาวไทยต่างวัฒนธรรมกองวิจัยการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรีเนื้อหาเกี่ยวกับการศึกษารวมทั้งสภาพความเป็นอยู่ต่างๆ ของชาวไทยต่างวัฒนธรรมที่อยู่ใน 3 พื้นที่ประกอบด้วย ชาวไทยภูเขาในภาคเหนือ ชาวไทยที่พูดภาษาเขมร ส่วย เยอ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และชาวไทยที่พูดภาษายาวีหรือมุสลิมที่อยู่ในภาคใต้ การศึกษาในครั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางการจัดการศึกษาสำหรับชาวไทยต่างวัฒนธรรมให้มีความเหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่วิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรมประเพณี ศาสนาและความเชื่อ และให้ประชาชนในกรณีศึกษามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นรวมทั้งเป็นการส่งเสริมด้านความมั่นคงของประเทศกูย กวย,ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,เญอ,การศึกษา,ภาคเหนือ,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2531https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=893
892รายงานการวิจัยการศึกษาความยั่งยืนของระบบเกษตรที่สูงมิ่งสรรพ์ ขาวสะอาด, กนก ฤกษ์เกษม, เบญจวรรณ ฤกษ์เกษม, ชัยวัฒน์ รุ่งเรืองศรี, สิตานนท์ เจษฎาพิพัฒน์, เบญจพรรณ ชินวัตร, พรเพ็ญ วิจักษณ์ประเสริฐรายงานวิจัยฉบับนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบหมู่บ้านลัวะ กะเหรี่ยง มูเซอ ลีซอ และม้ง ที่ได้รับการพัฒนาจากโครงการพัฒนาที่สูง 5 โครงการ คือ โครงการไทย-ออสเตรเลีย โครงการไทย-เยอรมัน โครงการแคร์ โครงการสามหมื่น(UN) และโครงการหลวง โดยมุ่งหวังที่จะหาแนวทางในการพัฒนาที่สูงที่เป็นเอกภาพโดยหลอมรวมเอาจุดแข็งของประสบการณ์ของทุกโครงการไว้ด้วยกันม้ง, ลีซู, ลาหู่, ลเวือะ,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ชาวเขา,การเพาะปลูกบนที่สูง,เศรษฐกิจ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=892
891รายงานการวิจัยสังคมและวัฒนธรรมของชาวบนปรีชา อุยตระกูล และ กนก โตสุรัตน์เนื้อหาของงานเขียนเกี่ยวกับการศึกษาถึงความเป็นมาของชาวบน บ้านน้ำลาด ตำบลนายางกลัก อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ว่าชาวบนมีความเป็นมา วิถีชีวิต ศาสนาและความเชื่อ ประเพณี เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและการสาธารณสุขเป็นเช่นไร โดยในการศึกษาได้ครอบคลุมไปถึงระบบครอบครัวและเครือญาติ เพราะต้องการให้เห็นสภาพสังคมและวัฒนธรรมของชาวบนทั้งในอดีตและในทุกวันนี้ และมีความสัมพันธ์ทางสังคมกับคนไทยและไทยลาวอย่างไร ตลอดจนทัศนคติของชาวบนที่มีต่อคนไทยและไทยลาวที่อยู่อาศัยในชุมชนว่าเป็นอย่างไรชาวบน,วิถีชีวิต,เศรษฐกิจ,สังคม,ความเชื่อ,ชัยภูมิตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดชัยภูมิ ประเทศไทย2529https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=891
890รายงานการวิจัยลักษณะชาติพันธุ์ไทโย้ย บ้านอากาศ อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนครพรรณอร อุชุภาพเนื้อหาของงานเขียนเกี่ยวกับการศึกษาสภาพความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อและพิธีกรรม ภาษา การเมือง เศรษฐกิจและประวัติความเป็นมาต่างๆ และความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมประเพณีของไทโย้ย บ้านอากาศ ตำบลอากาศ อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร กลุ่มไทโย้ยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยด้วยความสมัครใจหรือไม่ได้ถูกกวาดต้อนมาในช่วงเกิดศึกสงครามที่เกิดขึ้นในอดีต การอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยในเริ่มแรกก็เพื่อค้นหาที่อยู่ใหม่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูกมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การตั้งที่อยู่อาศัยและบุกเบิกที่ดินทำกินผู้ย้อย ย้อย ลาวย้อย ไทย้อย โย่ย,ความเป็นอยู่,ประวัติศาสตร์,ความเชื่อ,พิธีกรรม,สังคม,สกลนครตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2538https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=890
889รายงานการวิจัยการเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรมของชาวเขาในพื้นที่โครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมบนที่สูงสนิท วงศ์ประเสริฐ และคณะเนื้อหาของงานเขียนเกี่ยวกับการศึกษาเพื่อเป็นการประเมินผลของการยอมรับกิจกรรมด้านการพัฒนา และผลกระทบของการพัฒนา ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนชาวเขาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมบนที่สูงที่ดำเนินการระหว่าง พ.ศ.2523-2531 ในงานเขียนได้นำเสนอเฉพาะบ้านมูเซอ โละป่าไคร้ อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็น 1 ใน 9 หมู่บ้านชุมชนชาวเขา ที่อยู่ใน 8 เขต ของ 5 จังหวัดได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง แม่ฮ่องสอน น่านลาหู่,สังคม,วัฒนธรรม,เศรษฐกิจ,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2532https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=889
888รายงานการวิจัยวัฒนธรรมกับพฤติกรรมทางเพศและสถานการณ์การเผยแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ในชุมชนชาวเขาเผ่าถิ่นและเผ่าขมุนิพัทธเวช สืบแสงเนื้อหาของงานศึกษาการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในชุมชนถิ่นและขมุในพื้นที่จังหวัดน่าน นอกจากนี้ยังศึกษาวัฒนธรรมที่มีส่วนกำหนดพฤติกรรมทางเพศของขมุและถิ่น ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความเคร่งครัดในเรื่องเพศ โดยจะไม่ยอมให้หนุ่มสาวมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงการป้องกันและการแก้ปัญหาเรื่องพฤติกรรมทางเพศที่เกิดขึ้นในชุมชน เช่น การให้ความช่วยเหลือแม่หม้ายซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่เคยมีสามีมาก่อน เพราะการช่วยเหลือนั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้แม่หม้ายกับคนหนุ่มมีความสัมพันธ์ทางเพศต่อกันอันจะทำให้สังคมถิ่นและขมุเกิดความวุ่นวาย รวมทั้งจารีตประเพณีต่างๆ ในชุมชนก็มีส่วนในการป้องกันการมีพฤติกรรมทางเพศในทางที่ผิดอันจะส่งผลทำให้เกิดการระบาดของโรคเอดส์ในชุมชนถิ่น,ขมุ,จารีตประเพณี,สังคม,พฤติกรรมทางเพศ,โรคเอดส์,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=888
887รายงานการวิจัยผ้าทอไทลื้อ : เศรษฐกิจชุมชนเพื่อการพึ่งตนเองลำแพน จอมเมือง และ สุทธิพงษ์ วสุโสภาพลเนื้อหางานเกี่ยวกับการศึกษาแบบแผนการทอผ้าของชุมชนไทลื้อตำบลศิลาแลง อำเภอปัว จังหวัดน่าน แต่เดิมไทลื้อมีอาชีพหลักคือ ทำนาทำไร่ และทอผ้า เพื่อใช้สอยในครัวเรือน หญิงสาวไทลื้อก่อนที่จะแต่งงานต้องทอผ้าเตรียมไว้เพื่อมอบให้ญาติผู้ใหญ่ที่มาร่วมเป็นเกียรติในงานแต่งงาน กระทั่งภายหลังไทลื้อในตำบลศิลาแลงได้มีการรวมกลุ่มทอผ้าเพื่อร่วมกันทำงาน แลกเปลี่ยนความรู้และจำหน่าย นอกจากนี้ในงานเขียนยังได้กล่าวถึงความเป็นมาของไทลื้อซึ่งเดิมอาศัยอยู่ในดินแดนสิบสองปันนาและเมื่อเกิดศึกสงครามในสมัยนั้นระหว่างเมืองน่านและสิบสองปันนาและเมืองอื่นๆ ภายหลังสงครามไทลื้อจึงถูกกวาดต้อนมาอยู่ในจังหวัดน่านจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ไทลื้อเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ความเชื่อ วัฒนธรรม ภาษา รวมทั้งศิลปะการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองลื้อ,ผ้า,เศรษฐกิจ,วิถีชีวิต,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2546https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=887
886รายงานการวิจัยการศึกษาเปรียบเทียบพิธีกรรมการเล่นแกลมอของกลุ่มชาวกูยบ้านตรึมและกลุ่มชาวกูยบ้านแตล อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์วันชัย คำพาวงศ์เนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องการประกอบพิธีการเล่นแกลมอ ซึ่งเป็นการรักษาพยาบาลด้วยวิธีไสยศาสตร์ของกูยบ้านตรึม และบ้านแตล ตำบลตรึม อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ การรักษานี้เป็นการรักษาการเจ็บป่วยที่เชื่อว่าเป็นการกระทำของวิญญาณของผีบรรพบุรุษที่โกรธเคืองจึงทำให้คนในครอบครัวไม่สบาย งานเขียนได้ครอบคลุมไปถึงวิถีชีวิต สังคม การเมือง ความเชื่อ และเศรษฐกิจ การแต่งกายขั้นตอนการประกอบพิธีและด้านอื่นๆ ของกูยในสองหมู่บ้านที่มีความสัมพันธ์กับการประกอบพิธีการเล่นแกลมอซึ่งเป็นการรักษาตามความเชื่อพื้นบ้านของกูยกูย,ความเชื่อ,การรักษาพยาบาล,พิธีกรรมแกลมอ,สุรินทร์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2546https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=886
885รายงานการวิจัยการประเมินความต้องการของชุมชนบริเวณพื้นที่รองรับผู้หนีภัยชายแดนไทย – พม่า : อำเภอท่าสองยาง และอำเภอพบพระ จังหวัดตากสุภาค์พรรณ ขันชัย และคณะงานวิจัยนี้เกิดขึ้นจากประเด็นปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองจากสหภาพพม่าที่เข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายตามแนวชายแดนไทย – พม่า และไม่ยอมอยู่ในพื้นที่รองรับที่รัฐบาลไทยจัดไว้ให้ มีผลทำให้การวางแผนดำเนินการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ของรัฐบาลไทยและองค์กรเอกชนเป็นไปได้ยาก และก่อให้เกิดปัญหาด้านสาธารณสุข ความมั่นคง อาชญากรรม และยาเสพติด ดังนั้นการศึกษาถึงปัญหาและความต้องการของบุคคลกลุ่มนี้ จะสามารถเป็นแนวทางในการวางแผนระยะสั้นและระยะยาวในระดับรัฐได้ต่อไป โดยทำการศึกษาด้วยการสำรวจภาคสนามในพื้นที่วิจัย 2 แห่ง คือ หมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับพื้นที่รองรับผู้หนีภัยบ้านแม่หละ ตำบลแม่หละ อำเภอท่าสองยาง และหมู่บ้านใกล้เคียงพื้นที่รองรับผู้หนีภัยบ้านอุ้มเปี้ยม ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ผลการวิจัยพบว่าปัญหาสำคัญของผู้อพยพ ได้แก่ ความยากจน กลัวถูกเจ้าหน้าที่จับและส่งกลับบ้านเกิด ที่พักอาศัยไม่สะดวก ผู้อพยพมีความต้องการให้ครอบครัวได้เรียนหนังสือ รัฐบาลไทยอนุญาตให้อยู่ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ได้สัญชาติไทย ส่งกลับบ้านเกิดโดยสมัครใจ และหน่วยงานต่างๆ ช่วยแก้ไขปัญหาความยากจน และไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลไทย ได้แก่ การผลักดันกลับ ส่งไปประเทศที่สาม เข้าไปอยู่ในพื้นที่รองรับ ส่วนผลกระทบที่มีต่อคนไทยท้องถิ่น ได้แก่ ปัญหาความยากจน ขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ไฟฟ้าดับบ่อย น้ำไม่ไหล โรคระบาด น้ำเสีย ขยะเน่าเหม็น โดยมีความเห็นว่าผู้อพยพเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลเสียด้านต่างๆ ซึ่งมีความต้องการให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเข้ามาแก้ปัญหาด้านต่างๆ และต้องการให้รัฐบาลผลักดันผู้หนีภัยกลับบ้านเกิด หรือให้เจ้าหน้าที่ดูแลรับผิดชอบในส่วนที่ผู้อพยพออกมาขโมยผลผลิต ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผู้อพยพ ได้แก่ การจัดทำทะเบียนผู้อพยพในแต่ละหมู่บ้าน กำหนดสถานภาพของผู้อพยพในลักษณะหลบหนีเข้าเมืองให้ชัดเจน และรัฐต้องนำบริการสาธารณสุขเข้าไปให้ถึงกลุ่มผู้อพยพ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับคนไทยท้องถิ่น ได้แก่ หน่วยงานของรัฐต้องเข้ามาดูแลความเป็นอยู่ของชาวบ้านให้มากขึ้น มีการวางแผนประชาสัมพันธ์ไม่ให้คนไทยมีทัศนคติในทางลบต่อผู้อพยพ องค์การสหประชาชาติและองค์กรเอกชนต่างๆ ในพื้นที่ต้องให้ความใส่ใจคนไทยในฐานะเจ้าของพื้นที่และผู้ได้รับผลกระทบม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ผู้ลี้ภัยชาวพม่า,ค่ายอพยพ,การศึกษา,สาธารณสุข,ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=885
884รายงานการวิจัยพิธีกรรมเกี่ยวกับการเกษตรและความอุดมสมบูรณ์ของภาคเหนือ การศึกษาในแง่ความสัมพันธ์กับชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคมมาลี ไพรสนผู้เขียนพบว่าพิธีกรรมเกี่ยวกับการเกษตรและความอุดมสมบูรณ์ของภาคเหนือ ทำหน้าที่สนับสนุนส่งเสริมชีวิตทางเศรษฐกิจ ได้แก่ เป็นสิ่งแทนเทคโนโลยีทางการผลิต ควบคุมพลังงานการผลิต เป็นสิ่งสำแดงชัยในการเอาชนะธรรมชาติ และตอกย้ำบทบาทหน้าที่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการบันดาลความอุดมสมบูรณ์ ส่วนหน้าที่ที่สัมพันธ์กับชีวิตทางสังคมแบ่งออกเป็นระดับสังคมส่วนรวม ที่สนับสนุนส่งเสริมให้ชาวบ้านพยายามแก้ปัญหาด้วยตนเอง รวมถึงส่งเสริมความเป็นเอกภาพของสังคม และหน้าที่ระดับบุคคล ที่ช่วยรักษาความเจ็บป่วยและช่วยให้ชาวบ้านผ่อนคลายความวิตกกังวล นอกจากนี้ พิธีกรรมยังได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม โดยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น การลดหย่อนวิธีปฏิบัติ การเสื่อมสลาย การเกิดขึ้นใหม่ และการหย่อนคลายความเชื่อถือ ซึ่งมีสาเหตุมาจากความต้องการให้ขนาดของงานใหญ่โตขึ้น เพื่อจะได้เพิ่มความสนุกสนานคึกครื้นมากขึ้น จะได้เป็นที่พอใจของผี วิญญาณที่เชิญมาร่วมสนุก รวมถึงความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ความขาดแคลนวัสดุที่ใช้ในพิธีกรรม การเปลี่ยนแปลงของระบบการเมือง วิธีการผลิต และอิทธิพลของความคิดวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ (หน้า 117-119)คนเมือง,พิธีกรรม,การเกษตร,ความอุดมสมบูรณ์,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2531https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=884
883วิทยานิพนธ์The Dispossessed : An Anthropological Reconstruction of Lawa Ethnohistory in the Light of their Relationship with the TaiCholthira Satyawadhnaวิทยานิพนธ์ฉบับนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกแสดงลักษณะสังคมลัวะในจังหวัดน่าน ว่าเป็นสังคมระบบตระกูลที่สืบสายและนับผีบรรพบุรุษข้างแม่ ส่วนที่สองเป็นการเปรียบเทียบสังคมลัวะในจังหวัดน่านกับสังคมละว้าในภาคเหนือของไทยและว้าในยูนนาน โดยแสดงให้เห็นว่า ละว้าทั้งสองแห่งเป็นสังคมที่สืบสายตระกูลข้างพ่อ พร้อมทั้งเชื่อมโยงความขัดแย้งกับการเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ของละว้าในภูมิภาคอื่นของชายขอบไทย-ยูนนาน และส่วนที่สามเป็นการสืบสร้างรัฐละว้าในอดีต ซึ่งผู้หญิงไม่ได้มีอำนาจและสิทธิเหนือดินแดนที่ดินและการปกครองเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ปกครองและเป็นศูนย์รวมประเพณีความเชื่อด้วย ผู้ศึกษาเสนอว่า ละว้ามีรูปแบบการปกครองแบบนครรัฐมาตั้งแต่ต้นพุทธศักราชแล้ว ลักษณะสังคมมีทั้งแบบสืบสายตระกูลข้างพ่อและข้างแม่ ต่อมาการขยายอำนาจของรัฐไทในล้านนามีผลกระทบต่อระบบและโครงสร้างสังคมลัวะ หลังจากความสัมพันธ์ละว้า-ไทผ่านไป 500 ปี ราชวงศ์ละว้าได้ยอมรับอำนาจของไทยวน ผู้ชายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าผู้ปกครองลำดับแรก การสืบอำนาจการปกครองข้างพ่อก็ปฏิบัติเข้มขึ้น อย่างไรก็ตาม ลัวะซึ่งมีระบบและโครงสร้างสังคมที่ผู้หญิงเป็นศูนย์กลาง ก็ไม่ได้รับรูปแบบการแต่งงานระหว่างพี่ชาย-น้องสาวซึ่งเป็นประเพณีในราชสำนักไทยวน ในทางตรงกันข้าม ผู้ศึกษาเห็นว่า วัฒนธรรมการไหว้ผีข้างแม่และผู้หญิงเป็นฝ่ายควบคุมสังคมและผู้ปกครองของคนไทยภาคเหนือนั้นมาจากละว้า ในแง่นี้ผู้ศึกษามองว่า อัตลักษณ์ร่วมของละว้ายังคงดำรงอยู่โดยปราศจากตราประทับ “ความเป็นละว้า” และ”ความเป็นไทย”ได้ผสมผสานกันทั้งเชิงวัฒนธรรมและสังคม จนยากที่จะแยกอัตลักษณ์ละว้าออกมา (น.v-vi)ลเวือะ, ลวะ ลัวะ,ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์,โครงสร้างสังคม,ระบบตระกูลตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2534ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=883
882หนังสือThe spirit catches you and you fall sownAnne Fadimanหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการรักษาอาการป่วยโรคลมบ้าหมูของเด็กหญิงม้งคนหนึ่งชื่อ Lia Lee เกิดที่หุบเขาซานโฮควิน(the San Joaquin valley) รัฐแคลิฟอร์เนีย พ่อแม่ของเธอเป็นม้งอพยพ เมื่ออายุ 3 เดือนเธอมีอาการที่ม้งเรียกว่า quau dab peg(the spirit catches you and you fall dawn) หรือโรคลมบ้าหมู(epilepsy) ขณะที่แพทย์ให้การรักษาดีที่สุดด้วยยาจำนวนมาก พ่อแม่ของเธอกลับชอบที่จะผสมผสานการแพทย์แบบตะวันตกเข้ากับวิธีการรักษาพื้นบ้านโดยชักนำขวัญที่ออกจากร่างกายให้กลับคืนสู่เจ้าของ การรักษาในช่วง 4 ปี ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการสื่อสารบกพร่องทางภาษาก่อให้เกิดช่องว่างลึกระหว่างพ่อแม่เด็กกับแพทย์ที่ตั้งใจจริงในการรักษา อันเป็นผลทำให้การทำงานของสมองเด็กหญิงสูญเสียความสามารถไป(จาก About This Guide ท้ายเล่ม)ม้ง,การอพยพ,วัฒนธรรม,โรคลมบ้าหมู,สหรัฐอเมริกาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2540https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=882
881หนังสือOther Chinas: The Yao and the Politics of National BelongingRalph A. Litzingerหนังสือเล่มนี้เป็นการสำรวจศึกษาการเมืองของอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในประเทศจีนหลังยุคสังคมนิยม โดยให้ความสนใจต่อวิธีที่สมาชิกชนชั้นสูง(elite members) ของชนกลุ่มน้อยนำเสนอวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และอัตลักษณ์ของพวกเขาต่อคนจีนและคนภายนอก ผู้เขียนเริ่มต้นโดยการอธิบายว่า ในช่วงยุคสาธารณรัฐ (the republican period) เย้าถูกมองว่าเป็นคนอันตรายชอบคบหากับสัตว์ร้ายมากกว่าจะเข้าร่วมการสร้างชาติสมัยใหม่ ผู้เขียนได้เปรียบเทียบทัศนะนี้กับทัศนะของยุคปฏิรูปคอมมิวนิสต์ที่มองเย้าว่าเป็นกองกำลังที่น่ายกย่องประทับใจและเป็นตัวอย่างในเชิงบวกขององค์กรที่อยู่ในบังคับ ผู้เขียนแสดงวิธีที่นักวิชาการ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ และผู้ประกอบพิธีลัทธิเต๋ามีอิทธิพลต่อการอธิบายพรรณนาเย้า ในการทำเช่นนั้น ทำให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นทั้งที่เกี่ยวกับเย้าและที่เกี่ยวกับผลกระทบของวาทกรรมราชการ งานเขียนประวัติศาสตร์ นโยบายรัฐ และการปฏิบัติของพลังชนกลุ่มน้อย นอกจากนั้น ผู้เขียนยังพิจารณาบทบาทของเย้าในการปฏิรูปวัฒนธรรมช่วงทศวรรษ 1980 โดยการวิเคราะห์ประเด็นการปฏิบัติเชิงพิธีกรรม ระเบียบสังคม คุณธรรมจริยธรรม และการปกครองประชากรชนกลุ่มน้อย (จากปกหลัง)เย้า,อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,ความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์,ประเทศจีนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2543https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=881
880หนังสือสลกบาตรห้วยหมอนทองกับภูมิปัญญาชาวนครปฐมวิพุธ วิวรณ์วรรณนครปฐมเป็นเมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน ปรากฏร่องรอยหลักฐานทั้งโบราณสถานและโบราณวัตถุที่เก่าแก่มาแต่อดีต นอกจากนี้ยังมีการสั่งสม และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ อาทิ ผ้าซิ่นทอมือ งานหัตถกรรมจักสานไผ่ของชาวไทยโซ่ง หมวกโก่ยโล้ยของชาวนาสร้าง เครื่องปั้นกระถางดินเผาของชาวบ้านบางยูง ศิลปะงานผักตบสานหัตถกรรมพื้นบ้านย่าน นิลเพชร และข้าวหลามซึ่งเป็นงานภูมิปัญญาพื้นบ้านที่สร้างรายได้ให้กับชาวองค์พระ งานสลกบาตรห้วยหมอนทอง เป็นเครื่องหุ้มบาตรสำหรับพระสงฆ์ใช้เป็นอุปกรณ์ เวลาบิณฑบาต กลุ่มนายสมเกียรติ ทองมูลและชาวบ้านริเริ่มขึ้น ถือเป็นผู้สืบสาน และอนุรักษ์ศิลปะการทำสลกบาตร นายสมเกียรติเล่าว่า เมื่อมีอายุครบอุปสมบท ได้ไปเรียนวิชานี้จากวัดปากไม้ลาย เขตตำบลทุ่งขวาง อ.กำแพงแสน ซึ่งมีภิกษุทำ สลกบาตรอยู่ ฝึกฝนจนชำนาญเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการฝึกฝนสมาธิให้ดีขึ้นเมื่อกลับมาช่วยกิจการภายในครอบครัว ก็ได้นำวิชาทำสลกบาตรมาถ่ายทอดให้แก่ ชาวบ้าน นำไปถวายวัด อีกส่วนหนึ่งส่งไปจำหน่ายที่กรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง ปี พ.ศ.2536 เกิดการรวมตัวกันทำจริงจัง โดยเริ่มจากแรงงานในครัวเรือนแล้วจึง ค่อย ๆ ขยายวงกว้างออกไปลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ, มอญ,สลกบาตร,ห้วยหมอนทอง,ภูมิปัญญาท้องถิ่น,ประวัติศาสตร์,งานหัตถกรรมพื้นบ้าน,งานจักสาน,นครปฐมตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=880
879หนังสือฟ้อนรำภูไท เมืองเรณูนครชัยบดินทร์ สาลีพันธ์ เป็นการรวบรวมประวัติความเป็นมาของการฟ้อนรำ ท่ารำภูไท และการพัฒนาท่ารำของภูไท ที่อำเภอเรณูนคร จังหวัดสกลนคร เพื่อทำเป็นหลักสูตรการฟ้อนรำภูไทให้มีความถูกต้องกับท่ารำดั้งเดิมผู้ไทย,การรำ,การฟ้อนรำผู้ไทย,นครพนมตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนครพนม ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=879
878หนังสือประวัติศาสตร์ชนเชื้อชาติไทเจียงอิ้งเหลียง, ศาสตราจารย์ แห่งมหาวิทยาลัยยูนนานศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์ไท ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน โดยใช้เอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทางโบราณคดีและทางมานุษยวิทยาและจากการศึกษาผู้เขียนเชื่อว่ากลุ่มชาติพันธุ์ไทสืบเชื้อสายมาจากชนชาติเยว่โบราณที่อยู่ในดินแดนตอนใต้ของจีน ชนชาติไทมิได้อพยพมาจากทางเหนือแต่อาศัยอยู่ในดินแดนตอนใต้นี้มาแต่ดั้งเดิมแล้วไท,ประวัติศาสตร์,กำเนิดที่มาของกลุ่มชาติพันธุ์,จีนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดYunnan ประเทศจีน2534https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=878
877บทความSome Remarks on the “Yao Documents” found in Thailand and edited by Y. ShiratoriJao Tsungบทความชิ้นนี้เป็นการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลประวัติศาสตร์เย้าจากเอกสารประกาศพระเจ้าผิง (King Ping’s Charter) การเดินทางไปเหมยชาน(Jorney to Meishan) และคำ Mo Yao ในเอกสารเย้า (‘Yao Document’) ที่พบในประเทศไทยโดย Professor Shiratori Yoshi เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1970 ผู้เขียนได้ศึกษาเปรียบเทียบข้อมูลในเอกสารเย้านี้กับข้อมูลเย้าที่จีนรวบรวมไว้ในหนังสือ 2 เล่ม คือ Investigations into the social and History of Yao of Guangxi (I.S.H.Y.G.) และ A Selection of the Yao Guoshan Bang(S.Y.G.B.) (หน้า 125-126)เย้า,ประวัติความเป็นมา,จีนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดไม่ระบุ ประเทศจีน2534https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=877
876บทความYao Culture and Some Other Related ProblemsJacques Lemoineเนื้อหาบทความนี้เป็นนำเสนอประเด็นปัญหาการศึกษาวัฒนธรรมเย้าบางประการ ผู้เขียนสนใจประเด็นการศึกษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์เย้า โดยเน้นการนำประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกลุ่ม ภาษามาเป็นเกณฑ์จำแนกการเป็นเย้า รวมถึงศาสนาความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าและผี ซึ่งเป็นแก่นวัฒนธรรมสำคัญของเย้าเย้า,เมี่ยนเย้า,(the Mien Yao),วัฒนธรรม,อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,ศาสนาความเชื่อ,จีนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดไม่ระบุ ประเทศจีน2534https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=876
875บทความThe Movement of Lahu Hill People Towards A Lowland Lifestyle in North Thailand : A Study of Three VillageHoare, Peter W. C.บทความนี้เป็นบทความที่กล่าวถึงการอพยพของละหู่จากบนเทือกเขาสูงลงมาตั้งถิ่นฐานอยู่บนพื้นที่ที่ต่ำลงมาและมีปฏิสัมพันธ์กับไทยพื้นราบมากขึ้น โดยพิจารณาบริบทที่เป็นสาเหตุของการอพยพลงมาจากเทือกเขาสูงของละหู่ พิจารณาทั้งเงื่อนไขทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ และศึกษาถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางด้านสังคม วัฒนธรรม รวมไปถึงค่านิยมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนละหู่อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปรับตัวของละหู่ เมื่อมาอาศัยอยู่ยังพื้นที่ที่ต่ำลงมา และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าวมีผลต่อการทำลายความเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนละหู่ลาหู่,การย้ายถิ่นฐาน,อำนาจรัฐ,การครอบครองที่ดิน,ความเปลี่ยนแปลงการยังชีพ,การศึกษา,เศรษฐกิจ, ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2535https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=875
874บทความหมู่บ้านศาลาแดงเหนือกับเรือมอญกชภรณ์ ตราโมทสามโคกเป็นเมืองเก่า มีคนมอญอาศัยอยู่ที่สามโคกมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระ-นารายณ์มหาราช คนมอญสามโคกประกอบอาชีพทำนาเป็นอาชีพหลัก นอกจากนี้ยังทำเครื่องปั้นดินเผา เผาอิฐมอญขาย และนิยมออกเดินทางล่องเรือค้าขาย สินค้าที่คนมอญค้าขาย อาทิ เกลือ ปูเค็ม ไตปลา เต้าเจี้ยว กระเทียมดอง ลูกอินทผลัม คนมอญนิยมสร้างวัดมอญขึ้นเป็นศูนย์กลางของชุมชน คนมอญกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานแถบอำเภอสามโคก ได้แก่ หมู่บ้านมอญวัดพลับสุทธาวาส หมู่บ้านมอญวัดท้ายเกาะ หมู่บ้านมอญวัดเมตารางค์ หมู่บ้านมอญวัดศาลาแดงเหนือ สำหรับหมู่บ้านศาลาแดงเหนือในอำเภอสามโคก เป็นหมู่บ้านของคนไทยเชื้อสายมอญร้อยละ 90 ประกอบอาชีพค้าขายทางเรือมาแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พบว่า ระชากรในหมู่บ้านศาลาแดงเหนือเป็นคนไทยเชื้อสายมอญ วัดศาลาแดงเหนือเป็นวัดเก่าแก่สังกัดธรรมยุตสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่สอง นอกจากจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านแล้ว พระสงฆ์มอญยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำชุมชนและอบรมสั่งสอน เยาวชนให้เข้ามาบวชเรียนศึกษาพระธรรมวินัย การนับถือพุทธศาสนาของคนมอญค่อนข้างเคร่งครัดและมีจุดมุ่งหมายเพื่อตัดกิเลสและเพื่อนิพพาน วัดศาลาแดงเหนือเป็นวัดเก่าแก่ ขุดพบพระพุทธรูปโบราณเมื่อมีการรื้อถอนโบสถ์เก่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เนื่องจากคนมอญหมู่บ้านศาลาแดงเหนือส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขายทางน้ำจึงนิยมต่อเรือไว้ใช้ เรือมอญแบ่งเป็น 3 แบบ คือ เรือสำปั้น เรือข้างกระดาน และเรือกระแชง ซึ่งได้มีการปรับปรุงพัฒนารูปแบบและประโยชน์ใช้สอยไปตามบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุคสมัยมอญ,หมู่บ้านศาลาแดงเหนือ,เรือมอญ,ประวัติความเป็นมา,การค้าทางน้ำตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปทุมธานี ประเทศไทย2544https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=874
873บทความThe Karen People of Burma and ThailandYoko Hayami และ Susan M. Darlingtonคำว่า “กะเหรี่ยง” เป็นคำที่สัมพันธ์กับคนหลายกลุ่มทั้งในไทยและพม่าเนื่องจากมีความคล้ายคลึงกันในวัฒนธรรม กะเหรี่ยงทั้งในไทยและในพม่าล้วนเผชิญกับการถูกคุกคามทางวัฒนธรรม ภาษา ประเพณี การประกอบพิธีทางศาสนาเพราะวัฒนธรรมภายนอกจากทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ยังถูกคุกคามจากการทำลายทรัพยากรธรรมชาติที่พวกเขาอาศัยอยู่ จากนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อผู้ที่อาศัยบริเวณป่า ในประเทศพม่าเองก็มีปัญหาในเรื่องสงคราม อย่างไรก็ตาม แม้เผชิญความแตกต่างทางนโยบายทางการเมืองและภูมิอากาศที่แตกต่างกันแต่กะเหรี่ยงก็สามารถผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน แนวคิดตะวันตก ไทย และพม่า เพื่อปรับตัวกับกระแสการเปลี่ยนแปลง การอนุรักษ์อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และที่สำคัญก็ได้หาแนวทางในการป้องกันการกดขี่ทางกายภาพและทางวัฒนธรรม (หน้า 153)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การต่อสู้เพื่อความอยู่รอด,สิทธิมนุษยชน,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2543https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=873
872บทความThe Cultural Change and the Structures of Social Organization of the Hmong of ThailandChristian CULASงานชิ้นนี้มุ่งศึกษาการเปลี่ยนแปลง โครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมของม้งในประเทศไทย ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าม้งมีการเปิดรับการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามากระทบจากภายนอก เรียนรู้ที่จะนำความรู้ที่ได้มาปรับใช้กับตนเอง เช่น การใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร การนำสินค้าในเมืองมาใช้แทน เช่น เสื้อผ้าสำเร็จรูปมาใช้ม้ง,การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม,การค้า,การจัดระเบียบสังคม,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2537https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=872
871บทความ“He’s Really a Karen” : Articulation of Ethnic and Gender Relationships in a Regional ContextHayami Yokoงานวิจัยนี้มีจุดประสงค์ที่จะศึกษาเกี่ยวกับความหมายของการเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่แท้จริง ซึ่งหน้าที่ในการดำรงเผ่าพันธุ์หรือสืบทอดวิญญาณของบรรพบุรุษเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิง ดังนั้นการแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงของฝ่ายหญิงจึงเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยาก แต่จากตัวอย่างของกรณีศึกษาเป็นการแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ระหว่างหญิงสาวชาวกะเหรี่ยงจากหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง กับชายหนุ่มชาวไทยเหนือที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านไทยเหนือและไม่ได้ใช้ภาษากะเหรี่ยง แต่กลับเป็นที่ยอมรับของสังคมชาวกะเหรี่ยงว่าเป็นชาวกะเหรี่ยงที่แท้จริง เนื่องจากว่าฝ่ายชายมีเชื้อสายกะเหรี่ยง แต่มีการเลือกตั้งถิ่นฐานที่ต่างกัน และมีการแบ่งแยกเขตแดนด้วยลักษณะภูมิประเทศ จึงทำให้ความสัมพันธ์ของชาวกะเหรี่ยงแบ่งออกเป็นคนละกลุ่ม แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน เป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงกะเหรี่ยงมีแนวโน้มที่แต่งงานกับผู้ชายชาวไทยเหนือและย้ายเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านชาวไทยเหนือมากขึ้น โดยความสมัครใจและได้รับการยอมรับจากหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง เนื่องจากชายชาวไทยเหนือมีเชื้อชายของชาวกะเหรี่ยง ซึ่งบุตรที่เกิดขึ้นมาก็จะเป็นกะเหรี่ยง เป็นการทำให้กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงขยายออกไปปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์,ภาษา,ความเหลื่อมล้ำทางด้านเพศ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2542https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=871
870บทความComputations on a Tai Dam Origin MythJohn F. Hartmannงานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายในการศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างของการออกเสียงของคนพื้นเมือง ที่มีความแตกต่างไปจากรูปแบบการเขียนที่ปรากฏในตำนานไตดำ รูปแบบของการเขียนเป็นหลักฐานที่แสดงถึงลักษณะดั้งเดิมของภาษาไตดำที่ได้รับการรักษาไว้มากกว่าภาษาพูด โดยทำการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างชนพื้นเมืองผู้พูดภาษาไตดำ จำนวน 3 คน อ่านออกเสียงคำจากตำนานกำเนิดไตดำ เพื่อให้ผู้วิจัยทำการบันทึกเสียง และคัดลอกเสียงของคำเป็นรูปแบบของสัทอักษร และมีการเปรียบเทียบกับภาษาไทย จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะ ผลการศึกษาพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงการออกเสียงในทิศทางที่สลับกันระหว่างการเขียนและการพูดในเสียงอักษร b และ v แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ส่วนการเปรียบเทียบกับภาษาไทยพบว่า มีความแตกต่างกันในส่วนที่เป็นคำปิดหรือคำที่มีพยางค์ท้ายเป็นเสียง k ในภาษาไทยจะเป็นสระเสียงยาว แต่ในภาษาไตดำจะเป็นสระเสียงสั้น ส่วนปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสันนิษฐานว่ามาจากอิทธิพลภายนอก เช่น ภาษาเวียดนาม ซึ่งเป็นภาษาราชการ และภาษาจีนในแถบรัฐฉาน เนื่องจากมีที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงและมีอิทธิพลทางวัฒนธรรมต่อกันลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ภาษา,การเปลี่ยนแปลง,ตำนานตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2524https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=870
869บทความTies of Brotherhood: Cultural Roots of Southern Thailand and Northern MalaysiaSuthiwong Pongphaibun (สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์)กลุ่มชนในภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย และกลุ่มชนในตอนบนของมาเลเชีย มีความสัมพันธ์ที่ร่วมสายรากเดียวกัน ทั้งทางด้านชาติพันธุ์และรากเหง้าทางวัฒนธรรม ต่อมาเมื่อมีการติดต่อกับภายนอกโดยการสัญจรทางเรือ จึงเริ่มมีการผสมผสานทางด้านชาติพันธุ์และวัฒนธรรม จนกระทั่งในช่วงเวลาที่มีการติดต่อค้าขาย การแข่งขันทางด้านการค้า ขอบเขตการปกครอง และการแพร่หลายของวัฒนธรรมจากสากล ทำให้เกิดความเหินห่างทางด้านวัฒนธรรม การฟื้นฟูภราดรภาพหรือวัฒนธรรมนั้น ควรมีทิศทางของการฟื้นฟูด้วยการมองวัฒนธรรมในแต่ละระดับให้ถ่องแท้ เป็นการสร้างมนุษย์ชาติพันธุ์ใหม่ที่มีการบูรณาการทางด้านวัฒนธรรม ซึ่งอาจสามารถทำให้วิญญาณแห่งภราดรภาพกลับคืนมาอีกครั้งออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ชาติพันธุ์,วัฒนธรรม,ประวัติศาสตร์,ภาษา,คนไทย,ภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=869
868บทความBuddhism and Christianity in Competition? : Religious and Ethnic Identity in Karen Communities of Northern ThailandRoland Platzงานชิ้นนี้ศึกษาการกำหนดอัตลักษณ์ทางศาสนาและความเป็นชาติพันธุ์ของชุมชน กะเหรี่ยงสะกอว์ ในเขตพื้นที่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และเฉพาะในเขตอำเภอแม่แจ่ม และอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้วิจัยศึกษาข้อมูลช่วงปี 1999-2000 ในหมู่บ้านกะเหรี่ยงพุทธ กะเหรี่ยงคริสต์ รวมทั้งหมู่บ้านที่มีการนับถือมากกว่า 2 ศาสนา กะเหรี่ยงสะกอว์ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ แม้ว่ายังมีความเชื่อในการนับถือผีตามธรรมเนียมดั้งเดิมอยู่ ก็จัดเป็นกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธด้วย และได้ศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกะเหรี่ยงสะกอว์บนพื้นฐานทัศนคติ และความสัมพันธ์ ที่มีความเชื่อ ตามการนับถือศาสนาต่างๆ กันใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1. เครือข่ายทางสังคม 2. นวัตกรรมทางเศรษฐกิจและการตระหนักถึงระบบนิเวศน์วิทยา 3. เครือข่ายศาสนาในสังคมเมือง (หน้า 474) การวิจัยพบว่าชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโดยทั่วไปมักมีความรู้สึกสนิทใกล้ชิดกันในเขตชุมชนเดียวกัน (gaw) ซึ่งได้ใช้ทรัพยากรร่วมกัน ผ่านทางพิธีกรรมความเชื่อแบบดั้งเดิม ในการทำพิธีเซ่นสรวง Thi K’cha Gaw K’ cha การศึกษาจาก 170 ครัวเรือนใน 4 หมู่บ้านพบว่ากะเหรี่ยงมัพอใจที่จะนับถือเพียงศาสนาเดียว และนอกจากนี้พบว่าในกรณีที่มีความแตกต่างในความเชื่อของสมาชิกในครอบครัวมักจะเป็นฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายก็ตามที่แต่งงานมีครอบครัวใหม่ กรณีเช่นนี้มักสร้างความอึดอัดจนทำให้ครอบครัวใหม่ดังกล่าวแยกตัวออกมา พบในกรณีที่ครอบครัวที่นับถือคริสเตียน (หน้า 481-485) การศึกษาว่าในหนึ่งครอบครัวจะมีการนับถือศาสนาเดียว สำหรับตัวอย่างใน 4 หมู่บ้านที่มีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน 2 หมู่บ้านในอำเภอแม่แจ่ม พบว่ามีการนับถือศาสนาต่างๆ กันรวมกันอยู่ ยกเว้นคริสเตียน ในขณะที่อีก 2 หมู่บ้านนับถือ ศาสนาพุทธและนับถือผี การกำหนดอัตลักษณ์ของกะเหรี่ยงพุทธนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดความแตกแยก เพราะไม่เชื่อมโยงกับอัตลักษ์ทางชาติพันธุ์ ศาสนาไม่ได้แยกกะเหรี่ยงออกจากสังคม ความสามารถในการใช้ภาษาไทยที่ดีในกะเหรี่ยงกลุ่มนี้ได้ผนวกเอาความเป็นกะเหรี่ยงเข้าสู่สังคมไทย ด้วยเหตุผลที่กะเหรี่ยงได้เข้าไปใช้แรงงานในเมือง และเมื่อกลับมาก็ได้เพิ่มความใกล้ชิดกับสังคมไทยมากขึ้น (หน้า 485) แม้ว่าการนับถือวิญญาณและผีบรรพบุรุษ (aw cha) จะลดบทบาทลงอย่างมาก แต่ในความคิดเห็นของกะเหรี่ยง ความเชื่อและประเพณีเหล่านี้ควรได้รับการบันทึกไว้อาจในรูปแบบของ Tha (หน้า 482) แม้ว่าจะไม่มีการปฎิบัติประเพณีดังกล่าวอีกเลย (หน้า 489) อย่างไรก็ตามกะเหรี่ยงพุทธ ที่ได้ผ่านการศึกษาจากสังคมไทยพุทธ ตระหนักถึงความแตกต่างทางศาสนา แต่ยังคงให้ความสำคัญกับอัตตลักษณ์ทางชาติพันธุ์อันดับแรก สำหรับกะเหรี่ยงแบบติสท์ ได้ถูกการกลืนกลายทางวัฒนธรรม โดยการเชื่อมโยงจริยธรรมพื้นฐานของคริสเตียนเข้ากับตำนานเกี่ยวกับ (Yoa) วิถีศีลธรรมของกะเหรี่ยงแบบดั้งเดิม เช่น ความผูกพันและการดูแลรักษาธรรมชาติสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้ได้ถูกเน้นย้ำในรูปแบบการเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมี แบบติสท์ได้ปฎิเสธพิธีกรรมดั้งเดิมทั้งหมดแม้จะยังคงอัตตลักษณ์ทางการแต่งกายไว้ก็ตาม นอกจากนี้กะเหรี่ยงแบบติสท์มีแนวโน้มที่จะยกระดับทางศีลธรรมเหนือกว่า ชาติพันธุ์อื่น ซึ่งมีผลกระทบให้เกิดความขัดแย้ง แม้แต่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (หน้า 487-489) กรณีกะเหรี่ยงที่นับถือคริสต์นิกายคาทอลิค อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์มีความเกี่ยวข้องกับ ศาสนาน้อยกว่าโปแตสแตนท์ มิชชั่นนารีไม่ต้องการให้กะเหรี่ยงสะกอว์ทิ้งความเป็นตนเองด้วยศีลธรรมของความเป็นคริสต์ เห็นได้จากคาทอลิคไม่ได้เข็มงวดเรื่องการดื่มสุรา ตามประเพณีดั้งเดิม ตรงข้ามกับโปแตสแตนท์ที่ห้ามไม่ให้ดื่มสุรา (หน้า 484) ในความรู้สึกร่วมกันของอัตลักษณ์ทางศาสนาอาจเป็นสาเหตุของความแตกต่างในชาติพันธุ์ในกรณีนี้ได้ เมื่อมีคำถามเกี่ยวกับความขัดแย้งทางศาสนา กะเหรี่ยงสะกอว์มักจะเลี่ยงที่จะตอบแบบตรงไปตรงมา สื่อให้เห็นว่าพื้นฐานสังคมกะเหรี่ยงเป็นสังคมที่ค่อนข้างหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง (หน้า 486) แม้ว่าความจริงความแตกต่างในอัตลักษณ์ทางศาสนาจะมีอยู่ และอาจทำให้เกิดความรู้สึกแปลกแยกในกลุ่มกะเหรี่ยงด้วยกันที่นับถือศาสนาอื่น ตราบใดที่ความแตกต่างนี้ไม่ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง กะเหรี่ยงยังคงสามารถรักษาอัตลักษณ์ของตนได้อย่างใจกว้าง ท่ามกลางข้อขัดแย้งทางชาติพันธุ์ และศาสนา (หน้า 490)โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), อัตลักษณ์, ศาสนา, พุทธ, คริสต์, ภาคเหนือ ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=868
867บทความThe Lahushi Bakio : Birth of a New TribeLucien M. Hanks and Jane Richardson Hanksการศึกษานี้เป็นการศึกษาต่อยอดจากเรื่องที่ผู้ศึกษาได้ศึกษาไว้เดิมเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ในหัวข้อ “The Lahu Shi Hopoe : The Birth of a New Culture?” สำหรับเรื่องชนเผ่าที่พบใหม่ ที่เรียกตัวเองว่า Lahushi Bakio ภายใต้หัวข้อ “The Lahushi Bakio : Birth of a New Tribe” ผู้ศึกษาได้เน้นที่ประเด็นของการแบ่งเผ่าย่อย ที่มีลักษณะเฉพาะของ Lahushi เป็นสำคัญ และได้แสดงให้เห็นว่า การกำหนดชาติพันธุ์ที่พบใหม่นี้ มีความหมายมากกว่าขอบเขตของนิยามในเรื่องชนเผ่าหรือการศึกษาทางวิชาการ เกี่ยวกับ “Tribe” แต่ผลของการศึกษาได้พบลักษณะทางวัฒนธรรมที่มีความโดดเด่น กว่ากลุ่มชนเผ่าแยกย่อยอื่นๆ ในสายชาติพันธุ์ “ละหู่” (Lahu) ชาติพันธุ์ละหู่ มีเผ่าแยกย่อย 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ Lahuna และ Lahushi สำหรับกลุ่มหลังยังแยกย่อยออกเป็นอีก 2 กลุ่ม คือ Lahushi Balang และ Lauhshi Hopoe กลุ่ม Hopoe เกิดขึ้นจากการพัฒนาทางชาติพันธุ์ใน 4 ชั่วคน จากการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ โดยในรุ่นแรก คือ ผู้ชายฉานกับหญิงเผ่าอาข่า รุ่นที่2 ผู้ชายที่เป็นลูกผสมเชื้อสายรุ่นแรก แต่งงานกับหญิงเผ่าละหู่ รุ่นที่ 3 ผู้ชายที่เป็นลูกผสมของรุ่นที่ 2 แต่งงานกับหญิงจีน รุ่นที่ 4 ผู้ชายที่เป็นลูกผสมรุ่นที่ 3 แต่งงานกับหญิงละหู่ แรกเริ่มกลุ่มคนเหล่านี้ใช้ชื่อเรียกพวกเขาว่า “ Lahushi Hopoe” ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น Lahushi bakoi ในปี 1964 จำนวนหมู่บ้านของ Lahushi Hopoe เริ่มต้นจาก 4 หมู่บ้าน ปี 1969 ได้พิ่มจำนวนขึ้นเป็น 5 หมู่บ้าน และ เพิ่มเป็น 10 หมู่บ้าน ในปี 1974 Lahushi bakoi เป็นชนกลุ่มน้อย ที่ใช้ภาษาพูดของ Lahuna การกำหนดจำแนกความเป็นเผ่านั้น ต้องจัดการกับปัญหาทางด้านสภาพแวดล้อมของสังคม ที่เกิดจากเงื่อนปมจากมรดกทางวัฒนธรรม หรืออย่างที่ Lehman ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า การจำแนกเผ่านั้นเป็นบทบาทหน้าที่อย่างหนึ่ง โดยตัวอย่างการกำหนดอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวไทยพื้นราบทางเหนือ เห็นได้จากตัวอย่างกรณีศึกษาของลื้อที่เชียงคำ แต่สำหรับการศึกษานี้ Lahishi Bakio เป็นตัวอย่าง กรณีของกลุ่มชนที่มีภูมิหลังจากการแต่งงานกับคนที่มีความแตกต่างทางพื้นฐานสังคม ในช่วงแรก Bakio ได้พัฒนาการรวมกลุ่มตามแบบของลีซอ และผันแปรมาเป็นอิสระจากความต้องการสร้างเสรีภาพให้ตนเอง กลุ่มชนนี้ใช้ชื่อกลุ่มว่า Lahushi ใช้ภาษาของ Lahunyi และมีรูปแบบการตั้งหมู่บ้านตามแบบแผนของลีซอ จากสาเหตุความแตกแยกใหมู่เครือญาติ การใช้ชื่อเผ่าที่เก่าแก่ ช่วยให้ลูกหลานของ Aipu เกิดความกลมเกลียวกัน กับทั้งยังสร้างความแตกต่างกับ กลุ่มละหู่อื่นๆ อีกด้วย โดยสรุปกรณีศึกษานี้จึงดูเหมือนการเกิดขึ้นของเผ่าใหม่ ที่เรียกว่า “ Lahushi Bakio”ลาหู่,ละหู่ชิ(Lahushi),บาเกียว(Bakio),การเกิดเผ่าพันธุ์ใหม่,ชาติพันธุ์,เขตลุ่มน้ำแม่กก,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2530https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=867
866บทความการเกษตรแบบยังชีพของชาวขมุนิพัทธเวช สืบแสงผู้เขียนพบว่าลักษณะการเกษตรของชุมชนขมุมีปัจจัยที่กำหนดไม่ให้ระบบการเกษตรของชุมชนก้าวจากการเกษตรแบบยังชีพไปสู่การเกษตรในระบบตลาด ได้แก่ ปัจจัยทางด้านนิเวศวิทยากายภาพ อันเนื่องมาจากหมู่บ้านได้ก่อตั้งมากว่า 80 ปี ทำให้พื้นที่ถูกใช้เป็นเวลานานและทำให้ความสมบูรณ์ลดลง ปัจจัยที่สอง คือปัจจัยด้านประยุกต์วิทยาทางการเกษตร ชาวขมุใช้วิธีการที่เรียกว่า “ไร่หมุนเวียน” คือ เมื่อทำการเกษตรอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งผลผลิตที่ได้มีแนวโน้มจะลดลงมาก ไม่คุ้มกับการลงทุน และมีปัญหาอื่นๆ ก็จะปล่อยให้พื้นที่มีการพักตัวชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนพื้นที่กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ก็จะหวนกลับมาใช้พื้นที่นั้นอีก ประกอบกับชาวขมุใช้ที่ดินเพื่อปลูกข้าวเพื่อบริโภค ไม่ได้ใช้ที่ดินเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ จึงทำให้ที่ดินซึ่งถือเป็นระบบเศรษฐกิจไม่ถูกทำลาย (หน้า 3-5, 7)ขมุ,การเกษตร,ระบบเศรษฐกิจ,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2525ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=866
865บทความInternal Displacement in BurmaLanjouw, Steven, Mortimer, Graham and Bamforth ,Vickyจากแง่มุมทางด้านสิทธิมนุษยชน อาจกล่าวว่า “การไล่ที่ การบังคับให้ย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยของประชากรที่เกิดอยู่ในประเทศพม่า” นั้นส่งผลกระทบโดยตรงกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า โดยเฉพาะมีผลกระทบต่อชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในรัฐที่ตั้งอยู่ตามแนวชายแดนของประเทศ รวมถึงกลุ่มผู้อพยพลี้ภัยต่างๆ ซึ่งถูกบีบบังคับอย่างรุนแรงจากกองทัพรัฐบาลพม่าคะยาห์ กะเรนนี บเว, ไต คนไต ไตโหลง ไตหลวง ไตใหญ่, มอญ,กลุ่มชาติพันธุ์,ชนกลุ่มน้อย,การไล่ที่,พม่าตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2543https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=865
864บทความIslamic Reformism in ThailandRaymond Scupinรูปแบบของศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นผลมาจากการวิพากษ์ และปฏิกิริยาโต้ตอบกันระหว่างแบบแผนของอิสลามพื้นเมืองในไทย และอิทธิพลการเคลื่อนไหวทางวรรณกรรมที่นำโดยการเคลื่อนไหวปฏิรูปศาสนาอิสลามระหว่างช่วงศตวรรษที่ 20 พัฒนาการของการเคลื่อนไหวปฏิรูปอิสลามในกรุงเทพฯ คือ แรงกระตุ้นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นทางด้านรูปแบบของศาสนาอิสลามทั้งประเทศไทย (หน้า 1) การเคลื่อนไหวปฏิรูปอิสลามในไทย (โดยมีศูนย์กลางที่กรุงเทพฯ) เป็นผลสืบเนื่องมาจากการผสมผสานระหว่างรูปแบบของภูมิภาคตะวันออกกลาง และมาลายัน-อินโดนีเชียน (หน้า 4) ทั้งนี้ สามารถแบ่งมุสลิมได้เป็น 2 กลุ่ม คือ พวก Ulama แบบดั้งเดิม กับพวกนักปฏิรูปอิสลาม โดยที่พวก Ulama แบบดั้งเดิม พยายามปกป้องวิธีปฏิบัติแบบดั้งเดิม ซึ่งนักปฏิรูปอิสลามมองว่าเป็นการปฏิบัตินอกรีต เช่น ความเชื่อเรื่องเทวดา (hagiolotry) การบูชาวิญญาณ การมีหมอผีพื้นบ้าน และข้อปฏิบัติเกี่ยวกับความตายในชนบทห่างไกล นอกจากนั้น ยังมีข้อปฏิบัติของผู้ที่กลับมาบวชใหม่ หรือ hajji การเซ่นไหว้ทำบุญแบบโบราณ วิธีการกำหนดช่วงการรอมาฎอน ประเภทของนักบวช การนับถือรูปเคารพ และการใช้ภาษาอารบิก (หน้า 6-7)มุสลิม,การเคลื่อนไหวปฏิรูป,ความเชื่อ,แนวปฏิบัติของมุสลิม,ประเภทของมุสลิม,ประวัติของอิสลาม, ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2523https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=864
863บทความภูไทยทวีศิลป์ สืบวัฒนะ เดิมภูไทยตั้งบ้านเรือนอยู่แถบสิบสองจุไทย คือบริเวณลาวตอนเหนือ บางส่วนของเวียดนามตอนเหนือและทางใต้ของจีน แต่อพยพมายังประเทศไทยเพราะความขัดแย้งที่เกิดในบ้านเมืองของตนหรืออาจถูกเกลี้ยกล่อมมา หรือเพราะถูกกวาดต้อนจากการสงคราม ภูไทยเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย อาศัยอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและบางส่วนบริเวณจังหวัดราชบุรีและเพชรบุรี ปัจจุบันภูไทยใช้ภาษาไทย ส่วนภาษาของภูไทยเองมีความคล้ายคลึงกับภาษาไทยท้องถิ่นอีสานมาก คนภูไทยที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในไทยส่วนใหญ่อพยพมาจากเมืองวัง เมืองตะโปน และตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร และอุบลราชธานี ภูไทยทำนา ทำไร่ แค่เพียงพอสำหรับการดำรงชีพ ค้าขายโคกระบือ หนังสัตว์ และเขาสัตว์ นอกจากนี้มีการปั้นเครื่องปั้นดินเผาขาย ทำไร่ฝ้าย เลี้ยงไหม ทอผ้าฝ้ายและทอผ้าไหม ภูไทยนับถือพระพุทธศาสนาและมีประเพณีทางพุทธศาสนาเหมือนชาวอีสาน แต่ยังมีความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับผีและผีบรรพบุรุษผู้ไท,ประวัติศาสตร์,ชีวิตความเป็นอยู่,ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2526ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=863
862วิทยานิพนธ์พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยงในเชียงใหม่ปิยวรรณ วินิจชัยนันท์ กะเหรี่ยงเป็นชาวเขาเผ่าหนึ่งที่มีจำนวนประชากรในประเทศไทยสูงกว่าชาวเขาเผ่าอื่น ๆ อาศัยอยู่ตามที่ราบสูงระหว่างหุบเขามา ช้านาน มีขนบธรรมเนียมประเพณีและวิถีชีวิตเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งยังมีการสั่งสมภูมิปัญญาพื้นบ้านเกี่ยวกับพืชสมุนไพรต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพาปัจจัยสี่ คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค เป็นที่น่าสังเกตว่า กะเหรี่ยงมีชีวิตที่พึ่งพิงปัจจัยแวดล้อมตามธรรมชาติ และรู้จักนำพืชพรรณไม้ต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อมมาใช้ประโยชน์รูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่เป็นอาหาร และยารักษาโรคแล้วยังนำมาใช้สร้างที่อยู่อาศัยและใช้เป็นพืชเศรษฐกิจอีกด้วย การใช้ประโยชน์จากปัจจัยแวดล้อมที่เอื้ออิงธรรมชาติของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงนี้ เป็นข้อมูลดิบให้ผู้วิจัยด้านพฤกษศาสตร์ได้รับประโยชน์ในการนำมาศึกษาวิจัยได้จัดจำแนกชนิดพืชพรรณไม้เป็นชนิด สกุลและวงศ์มีทั้งชื่อสามัญ ชื่อวงศ์และชื่อวิทยาศาสตร์ อีกทั้งยังทราบถึงประโยชน์ใช้สอยในแง่มุมต่าง ๆ จากพื้นที่ศึกษาคือ หมู่บ้านชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง 5 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านแม่ หลอดใต้ บ้านผาแตก บ้านห้วยตอง บ้านทุ่งหลวง บ้านแฮเหนือปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),,พฤกษศาสตร์พื้นบ้าน,สมุนไพร,วิถีชีวิต,ป่าสงวน,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2538https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=862
861วิทยานิพนธ์ศาสนากับการพัฒนา : ศึกษาวิเคราะห์ความร่วมมือระหว่างชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิมในการพัฒนาหมู่บ้านนาใต้ ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงาอเนก สนามชัยวิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาโครงการแผ่นดินแผ่นดินทอง ในแง่การอาศัยศาสนาให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาหมู่บ้านที่มีชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมอาศัยอยู่ร่วมกัน และความร่วมมือระหว่างกลุ่มชาวไทยทั้งสอง จากการศึกษาพบว่าโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองมีหลักการบางส่วนเทียบได้กับการพัฒนาแบบแซมมวลอุนดงของเกาหลีใต้ มีการนำหลักการดังกล่าวมาประยุกต์สังคมไทย โดยรื้อฟื้นศาสนาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒธรรมที่มีมาในอดีตมาใช้ในการพัฒนา เมื่อรัฐบาลเข้ามากำหนดแนวคิดนี้เป็นอุดมการณ์แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง และได้ส่งเสริมอุดมการณ์ในพื้นที่ต่างๆ อย่างกว้างขวาง หมู่บ้านนาใต้เป็นหมู่บ้านหนึ่งที่ราชการตั้งให้เป็นหมู่บ้านแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง เนื่องจากมีสภาพสังคมเป็นไปตามเป้าหมาย ชาวบ้านไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมมีความยึดมั่นในศีลธรรม รักความสงบ และร่วมมือกันตอบสนองโครงการพัฒนาต่างๆ ของทางราชการเป็นอย่างดี แสดงให้เห็นว่าศาสนามีส่วนสำคัญที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันและพัฒนาชุมชนด้วยกัน (หน้า ก-ข)ไทยพุทธ,ไทยมุสลิม,วิถีชีวิต,ความร่วมมือ,อุดมการณ์,พังงาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพังงา ประเทศไทย2530https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=861
860วิทยานิพนธ์การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ในศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนวางจักรพันธุ์ พิชคุณการจัดตั้งโครงการหลวงตามพระราชพระราชดำริ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือชาวเขา เพื่อมนุษยธรรม ให้ชาวเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถเพาะปลูกสิ่งที่มีประโยชน์ และเป็นรายได้ให้กับชาวเขา แทนการปลูกฝิ่น ลดปัญหายาเสพติด และลดการถางป่า การทำไร่เลื่อนลอย และการปลูกพืชโดยวิธีที่ไม่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์อันยั่งยืน (หน้า 31)ม้ง,โครงการหลวงขุนวาง,ป่า,การใช้ประโยชน์จากทรัพยากร,การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=860
859วิทยานิพนธ์ชาวบน : พลวัตของระบบวัฒนธรรมในรอบศตวรรษสุรศักดิ์ บุญคงการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของชาวบนมีลักษณะเฉพาะที่เหมาะสมกับสภาพสังคมเดิม แต่เมื่อเงื่อนไขทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป วัฒนธรรมต่างๆ ก็ไม่อาจจะดำรงต่อไปได้ จำต้องหาทางออกโดยการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมใหม่ อีกทั้งปัจจัยภายนอกที่มากระทบ เช่น ระบบนิเวศที่เปลี่ยนแปลงไป การปฏิสัมพันธ์กับคนภายนอก การแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ ปัจจัยความเจริญทางด้านวัตถุ การศึกษา การสื่อสาร การคมนาคม และการพัฒนาที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ทิศทางการปรับตัวของวัฒนธรรมชาวบนมีแนวโน้มที่จะใกล้เคียงความเป็นวัฒนธรรมไทยอีสานมากยิ่งขึ้นชาวบน,ญัฮกุ้ร,เนียะกูร,การธำรงชาติพันธุ์,การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม,การแต่งกาย,การละเล่น,ภาษา ความเชื่อ ประเพณี ชัยภูมิตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดชัยภูมิ ประเทศไทย2546https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=859
858บทความReconstructing Lahu History in China.Ma Jianxiongบทความนี้ผู้เขียนมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้อ่านเข้าใจกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ล่าหู่ที่ได้รับผลกระทบจากกระบวนการโลกาภิวัฒน์และการเมืองท้องถิ่นช่วงปลายคริสตทศวรรษ 1980 ซึ่งมีคนเกี่ยวข้องอยู่ 3 กลุ่ม กลุ่มแรก เป็นนักภาษาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ที่สร้างประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ใหม่จากมุมมองศูนย์กลางอำนาจฮั่น(the perspective of Han centralism) กลุ่มที่สอง เป็นปัญญาชนล่าหู่ในท้องถิ่นที่มุ่งหมายสร้างประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ใหม่เพื่อความต้องการของพวกเขาเอง และกลุ่มที่สาม เป็นคนล่าหู่ทั่วไปที่ตีความตำนานตามสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน ผู้เขียนสรุปว่า การสร้างประวัติศาสตร์ที่เป็นทางการโดยปัญญาชนล่าหู่มีปัจจัยที่มีอิทธิพลครอบงำ คือ ความจำเป็นทางการเมืองที่จะต้องยืนยันอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ใน คริสตทศวรรษ 1990 ความจำเป็นที่จะต้องสร้างประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ตามมาตรฐาน และความคิดเห็นทางวิชาการกับวิธีการวิจัยที่นักประวัติศาสตร์ นักภาษาศาสตร์และปัญญาชนท้องถิ่นใช้ ประวัติศาสตร์ของล่าหู่ที่สร้างขึ้นใหม่จึงแตกต่างจากประวัติศาสตร์ที่ ”คนในกลุ่มอื่น” – ซึ่งก็คือชาวบ้าน - เข้าใจและตีความ เมื่อตำนานเชิงพิธีกรรมถูกนำมาใช้สร้างประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ แม้จะโดยนักวิชาการปัญญาชนท้องถิ่นเอง การผลิต/สร้างนั้นก็อาจจะถูกมองได้ว่าเป็นการสร้างตำนานใหม่มากกว่าการสร้างประวัติศาสตร์ (หน้า 288)ลาหู่,ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์,การสร้างประวัติศาสตร์,พิธีกรรมความเชื่อ,จีนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดชัยภูมิ ประเทศไทย2551ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=858
857วิทยานิพนธ์ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มไทยพุทธกับไทยมุสลิมในจังหวัดนราธิวาส : ศึกษาระยะทางทางสังคมเฉพาะกรณีปาลิต ผ่องแผ้วการวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อที่จะศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างการติดต่อกัน ทัศนคติ และการยอมรับ ของกลุ่มไทยพุทธและกลุ่มไทยมุสลิม ตามข้อแตกต่างในด้านสัดส่วนประชากรในชุมชน ศาสนา และระดับอายุของประชากร ซึ่งขะนำไปวิเคราะห์และเสนอแนะในการกำหนดกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมในชุมชนต่างๆ ผู้วิจัย ได้ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) ประเภทเปรียบเทียบแบบตัดขวาง (Cross-Sectional Comparative Study Design) โดยเก็บข้อมูลในช่วงเวลาเดียวเปรียบเทียบระหว่างชาวไทยพุทธกับชาวไทยมุสลิม จาก ชุมชน 6 หมู่บ้าน ในเขตอำเภอเมืองและอำเภอตากใบจังหวัดนราธิวาส ซึงทั้ง 6 หมู่บ้านนี้เป็นขุมชนที่มีชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมอาศัยอยู่รวมกันตามสัดส่วนที่ต่างกันอย่างน้อยอย่างละ 2 ชุมชน คือ ไทยพุทธมากกว่าไทยมุสลิม ไทยพุทธเท่ากับไทยมุสลิม และไทยพุทธน้อยกว่างไทยมุสลิม ซึ่งผลการวิจัยพบว่า 1. การติดต่อระหว่างบุคคลและระหว่างกลุ่มของชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี ส่วนทัศนคติของบุคคล่ของบุคคลที่มีต่อคนต่างศาสนาส่วนใหญ๋อยู่ในระดับปานกลางทัศนคติของกลุ่ม ส่วนใหญ๋อยู่ในระดับค่อนข้างดี ผลทดสอบความสัมพันธ์ระหว่าง การติดต่อกัน กับทัศนคติ พบว่าไม่เป็นไปตามสมมุติฐานที่วางไว้ว่า ?ชุมชนที่ชาวไทยทั้งสองกลุ่มชาติพันธุ์มีการติดต่อกันมากเท่าไร ก็จะมีทัศนคติที่ดีต่อกันมากขึ้นเท่านั้น? ทั้งในระดับกลุ่ม และระดับบุคคล และตัวแปรทั้งสองยังคงมีความสัมพันธ์กันเหมือนเดิมในการวิเคราะห์ภายใต้เงื่อนไขของตัวแปรเกี่ยวกับสัดส่วนของประชากรในชุมชน ศาสนา เพศ และอายุ 2. การยอมรับระหว่างบุคคลและระหว่างกลุ่มคนต่างศาสนานั้น ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ผลการทดสอบระหว่างทัศนคติกับการยอมรับพบว่า เป็นไปตามสมมุติฐานที่วางไว้ว่า ?ชุมชนที่ชาวไทยทั้ง 2 กลุ่มชาติพันธุ์ มีทัศนคติที่ดีต่อกันมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีการยอมรับมากหรือมีระยะทางสังคมใกล้กันมากขึ้น? เท่านั้น และตัวแปรทั้งสองยังคงมีความสัมพันธ์เหมือนเหมือนเดิมในการวิเคราะห์ภายใต้เงื่อนไขของตัวแปรเกี่ยวกับสัดส่วนของประชากรในชุมชน ศาสนา เพศ และอายุ ยกเว้นบุคคลที่มีระดับอายุ 60 ปีขึ้นไป ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะบุคคลในวัยนี้มีลักษณะอนุรักษ์นิยิมและยอมรับนวกรรมใหม่ๆ ค่อนข้างน้อย 3. ปฏิกิริยาของสังคมที่มีต่อการละเมิดนั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจมากนัก การทดสอบสมมุติฐานที่ว่า ผลการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างการยอมรับบุคคลต่างศาสนากับปฏิกิริยาของสังคมที่มีต่อการละเมิดพบว่าเป็นไปตามสมมุติฐานที่วางไว้ ว่า ?การยอมรับซึ่งกันและกัน (ระยะทางทางสังคม) และตัวแปร ทั้งสองยังคงมีความสัมพันธ์กันเหมือนเดิมในการวิเคราะห์ภายใต้เงื่อนไขของตัวแปรเกี่ยวกับสัดส่วนของประชากรในชุมชน ศาสนา เพศ และอายุ 4. การยอมรับคนต่างศาสนา ต่างชาติพันธุ์ ระหว่างบุคคลส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ผลการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างการยอมรับบุคคลต่างศาสนา ชาติพันธุ์ และคนไทยเชื้อสายจีนพบว่าเป็นไปตามสมมุติฐานที่วางไว้ ว่า ?ถ้าสมาชิกของกลุ่มหนึ่งไม่ยอมรับ (ระยะทางทางสังคมห่าง) สมาชิกของอีกกล่มหนึ่งซึ่งเป็นคนต่างชาติพันธุ์ก็มักจะไม่ยอมรับสมาชิกของกลุ่มอื่นที่ต่างชาติพันธุ์ด้วย ? และตัวแปร ทั้งสองยังคงมีความสัมพันธ์กันเหมือนเดิมในการวิเคราะห์ภายใต้เงื่อนไขของตัวแปรเกี่ยวกับสัดส่วนของประชากรในชุมชน ศาสนา เพศ และอายุออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายูมุสลิม,ไทยพุทธ,ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม,ระยะทางทางสังคม,นราธิวาสตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนราธิวาส ประเทศไทย2528ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=857
856บทความมลาบรีวิวัฒน์ พันธวุฒิยานนท์ไม่ปรากฎมลาบรี วิถีชีวิต การปรับตัว การเปลี่ยนแปลง น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนราธิวาส ประเทศไทย2544https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=856
855บทความปาดอง : มายา-อานุภาพในห่วงทองเหลืองวิวัฒน์ พันธวุฒิยานนท์บทความชิ้นนี้ได้ชี้ให้เห็นถึง ชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าปาดอง ของบ้านห้วยเสือเฒ่า อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งนอกจากการปรับตัวให้เข้ากับการใช้ชีวิตในเชิงธุรกิจการท่องเที่ยวแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตท่ามกลางการกลายเป็นสินค้าทางวัฒนธรรม (ซึ่งสิ่งที่ผลักดันไม่ใช่เพียงแค่การชักจูงจากนายหน้า แต่ยังรวมถึงความต้องการหลบลี้จากภัยสงคราม และเพื่อแสวงหาความเป็นอยู่ที่ดีกว่า )คะยัน กะจ๊าง กะเหรี่ยงคอยาว ปาดอง ,ธุรกิจการท่องเที่ยว,การปรับตัว,ความเปลี่ยนแปลง,บ้านเสือเฒ่า,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=855
854ปริญญานิพนธ์โลกทัศน์ของชาวบรู บ้านเวินบึก อำเภอโขงจียม จังหวัดอุบลราชธานีจิตรกร โพธิ์งามผู้เขียนได้ทำการศึกษาโลกทัศน์ของชาวบรู ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่ได้เข้ามาลงหลักปักฐานในประเทศไทย การศึกษาโลกทัศน์ที่มีต่อปัจจัยสี่และสิ่งต่างๆ รายรอบตัวของบรู ทำให้พบว่าบรูมีการมองสิ่งต่างๆ เหล่านั้นแตกต่างออกจากกลุ่มชนเจ้าของพื้นที่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการคงอยู่ของอัตลักษณ์บางอย่าง แต่ในขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนโลกทัศน์บางอย่างให้เกิดการอยู่ร่วมกับกลุ่มชนอื่นได้อย่างปกติสุข ถึงอย่างไรก็ดีด้วยความที่บรูเป็นกลุ่มชนที่ถือว่าเข้ามาทีหลังกลุ่มชนอื่น ทำให้บรูยังคงมองเห็นว่าตนเองความต่ำต้อยกว่ากลุ่มชนผู้มาก่อนหรืออยู่มานานกว่า ทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างเจียมเนื้อเจียมตน รวมถึงกระแสวัฒนธรรมใหม่ทั้งจากสังคมอีสานและสังคมส่วนกลางที่เข้ามาในสังคมบรู ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านวิถีชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมประเพณี และต่อโลกทัศน์ของบรูอยู่ตลอดเวลาบรู,โลกทัศน์,ความเชื่อ,พิธีกรรม,อุบลราชธานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=854
853วิทยานิพนธ์Anthropological linguistics in Mlabriคารม ไปยะพรหมวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ เสนอการศึกษาวิจัยภาษามลาบรีในสามประเด็น ประเด็นที่หนึ่งเกี่ยวกับระบบเสียง ซึ่งประกอบด้วย - ทำนองเสียง พบว่ามลาบรีมีรูปแบบทำนองเสียงเพียง 2 รูปแบบเท่านั้น คือ ทำนองเสียงสูง-ต่ำ และทำนองเสียงสูง - คำ มีชนิดของการสร้างคำอยู่ 4 ชนิด คือ คำผสม,คำเติม,คำยืม และคำที่สร้างขึ้นเอง ชนิดของคำ แบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ คำเดียว, คำพ้องเสียง, คำพ้องความหมาย และคำใกล้เคียง - พยางค์ โครงสร้างของพยางค์ ประกอบด้วยสระและพยัญชนะ มีรูปแบบของพยางค์อยู่3รูปแบบ ได้แก่ พยางค์นำ,พยางค์หลัก,พยางค์รอง - หน่วยเสียง คือหน่วยพื้นฐานของพยางค์ ไม่มีโครงสร้างที่แน่นอน แต่สามารถอธิบายการออกเสียงได้ หน่วยเสียงแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ พยัญชนะ และแบ่งออกเป็นพยัญชนะ 32 ตัว สระ10 ตัว และสระควบ 4 ตัว การออกเสียง สระจะเป็นส่วนสำคัญของการออกเสียงเสมอ ในภาษามลาบรีจะไม่มีความแตกต่างระหว่างสระเสียงสั้นและเสียงยาว แต่จะปรับการออกเสียงสั้นยาวตามพยางค์เปิดและพยางค์ที่เน้นหนัก ประเด็นที่สอง เกี่ยวกับลักษณะทางด้านมานุษยวิทยา ซึ่งประกอบด้วย - ระบบเครือญาติ มลาบรีเป็นชุมชนเล็กๆ ที่เกิดขึ้นด้วยการรวมตัวกันของหลายๆครอบครัวซึ่งเกี่ยวดองกันทางสายเลือด - บ้าน มลาบรีสร้างบ้านง่ายๆ ด้วยวัสดุหาง่ายเช่นไม้ไผ่ กิ่งไม้ และปูหลังคาด้วยใบกล้วยหรือใบปาล์ม สูงแค่นั่งได้พอดี หลังคาลาดลงจนจรดพื้นดินด้านหนึ่ง และปูพื้นด้วยใบไม้แห้งหรือไม้ไผ่ - ลักษณะเครื่องมือเครื่องใช้ที่เรียบง่ายสะท้อนรูปแบบสังคมวัฒนธรรมของมลาบรีได้เป็นอย่างดี เช่น ใบหอกและเสียมซึ่งทำจากโลหะนั้น มลาบรีใช้วิธีหาซื้อโลหะมาจากเผ่าอื่น แล้วนำมาเผาไฟจนอ่อนตัวแล้วทุบให้ขึ้นรูป เมื่อได้รูปที่ต้องการแล้วก็จุ่มน้ำให้แข็งตัว หน้าไม้ ปืนและมีดจะได้มาจากการติดต่อกับกลุ่มอื่นๆ เช่น ขมุ ม้ง หรือเย้า โดยได้เป็นค่าตอบแทนจากการทำงาน นอกจากนี้ยังมีเครื่องใช้ง่ายๆ ที่มลาบรีทำขึ้นเองได้ เช่น กล้องยาสูบ ที่ใส่เกลือ กระเป๋าสาน ฯลฯ - การรักษาโรค มลาบรีนับถือผี เมื่อมีคนเจ็บป่วย ผู้ป่วยก็จะทำการเซ่นไหว้ผีตนนั้นเพื่อขอขมา นอกจากนี้มลาบรียังใช้การรักษาด้วยสมุนไพรมากพอๆ กับการบูชาผี - เพลง มลาบรีจะร้องรำทำเพลงเมื่อทำการล่าสัตว์สำเร็จหรือมีงานเทศกาล เนื้อเพลงส่วนใหญ่จะกล่าวถึงการร่อนเร่พเนจร ความขัดสน ความทุกข์ทรมานในชีวิตของพวกเขา และมักจะเน้นเรื่องความแตกต่างระหว่างมลาบรีกับเผ่าอื่นๆ ประเด็นที่สาม เกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว่างภาษาและมานุษยวิทยา ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการสร้างคำ โดยอาศัยแนวเทียบกับสภาพแวดล้อมทางมานุษยวิทยาและสังคมมลาบรี มราบรี,ภาษา,ระบบเสียง,คำระบบเครือญาติ,เรือน,การรักษาโรค,เพลง,แพร่,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2533ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=853
852ปริญญานิพนธ์ประเพณีและพิธีกรรมของชาวมอญบ้านพระเพลิง ตำบลนกออก อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมาประนอม เคียนทองจากการศึกษาพบว่า ชาวมอญส่วนใหญ่ยังคงปฏิบัติตามประเพณีและพิธีกรรมประจำชีวิตแบบมอญ อันได้แก่ การบวช การแต่งงาน และการตาย ส่วนประเพณีเกี่ยวกับการเกิดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กล่าวคือจะไปคลอดที่โรงพยาบาลหรือสถานีอนามัยแทนการคลอดแบบโบราณกับหมอตำแย สำหรับประเพณีและพิธีกรรมแนวฮีตสิบสองของมอญเริ่มมีตั้งแต่เดือนห้าเป็นต้นไป
ฮีตสิบสองของมอญที่คล้ายกับฮีตสิบสองของอีสานมี ๖ ประเพณี คือ เดือนห้ามีบุญสงกรานต์ เดือนหกมีการเลี้ยงผีบ้านผีเรือนและผีบรรพบุรุษ เดือนแปด มีบุญเข้าพรรษา เดือนสิบมีบุญสารท เดือนสิบเอ็ดมีบุญออกพรรษาและบุญเทศน์มหาชาติ และเดือนสิบสองมีบุญกฐิน ส่วนประเพณีและพิธีกรรมในเดือนอื่นๆ ไม่ตรงกับฮีตสิบสองของอีสาน
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างประเพณีและพิธีกรรมกับวิถีชีวิตของมอญพบว่า การสืบทอดประเพณีและพิธีกรรมของมอญบ้านพระเพลิงมีความสัมพันธ์ในด้านคติธรรม ด้านเนติธรรม ด้านวัตถุธรรม และด้านสหธรรม ซึ่งช่วยให้สังคมมอญในชุมชนมีความสงบเรียบร้อย เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเคารพผู้อาวุโส (หน้า ข, 226-235)มอญ,ประเพณี,พิธีกรรม,นครราชสีมาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย2536https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=852
851วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในพิธีกรรมชุมชน และประเพณีเกี่ยวกับชีวิต : ศึกษากรณีชุมชนลาวโซ่ง จังหวัดสุพรรณบุรีประธาน เขียวขำ, ร้อยตำรวจโทการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในชุมชนลาวโซ่งแบ่งออกเป็นการเปลี่ยนแปลงในพิธีกรรมชุมชน และการเปลี่ยนแปลงประเพณีชีวิต ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลมาจากสาเหตุสำคัญ 8 ประการ คือ การรับนวัตกรรมทางวัตถุ การรับนวัตกรรมที่มิใช่วัตถุ แผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การพัฒนาของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพิธีกรรมชุมชน ส่วนการคมนาคม ระบบการศึกษา สื่อ และการย้ายถิ่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเพณีชีวิตในชุมชนลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,การเปลี่ยนแปลง,วัฒนธรรม,พิธีกรรม,สุพรรณบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสระบุรี ประเทศไทย2546https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=851
850วิทยานิพนธ์นามสกุลคนไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์: กรณีศึกษาที่ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีอาภรณ์ คูประเสริฐวงศ์จากการศึกษานามสกุลคนไทยมุสลิมเชื้อสายมุสลิมที่ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีสรุปได้ว่า คนไทยมุสลิมกลุ่มนี้ใช้ภาษาในการตั้งนามสกุลที่หลากหลาย โดยนิยมตั้งเป็นภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตหรือประสมกับภาษาไทยมากที่สุด รองลงมา คือ ภาษาไทย ภาษาอาหรับ ภาษามลายู และภาษาอื่นๆ มีจำนวนพยางค์ตั้งแต่ 2-7 พยางค์ โดยนิยมจำนวน 2 พยางค์มากที่สุด รองลงมา คือ 3 พยางค์ 4 พยางค์ และ 5-7 พยางค์ ตามลำดับ ความหมายที่นิยมนำมาตั้งนามสกุลมากที่สุดมีทั้งความหมายที่เป็นรูปธรรม นามธรรม และคุณลักษณะ ความหมายที่นิยมนำมาตั้งเป็นนามสกุลมากที่สุด คือ ความหมายแสดงเครือญาติ หรือเชื้อสาย รองลงมา คือ ความหมายที่แสดงความเป็นสิริมงคล ความสงบสุข และความหมายที่เป็นชื่อของศาสดา หรือชื่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ความหมายที่นิยมนำมาตั้งเป็นนามสกุลน้อยที่สุด คือ ความหมายที่เกี่ยวกับอาชีพ และความหมายเกี่ยวกับความเชื่อ ได้แก่ เทพ วิญญาณ ความฝัน สำหรับวิธีการตั้งนามสกุลคนไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์จำแนกได้ 3 กลุ่ม คือ นามสกุลที่ใช้มาตั้งแต่มีพระราชบัญญัติขนานนามนามสกุลที่ตั้งขึ้นใหม่ และนามสกุลที่เปลี่ยนมาจากนามสกุลเดิม โดยอาจมีเค้าทางเสียงแต่ไม่คงความหมาย และนามสกุลที่ตั้งขึ้นใหม่โดยไม่คงเสียงแต่คงความหมาย ค่านิยมที่สะท้อนให้เห็นจากการตั้งนามสกุลของคนไทยมุสลิมกลุ่มนี้แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ ค่านิยมเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องสาสนาอิสลาม ค่านิยมในเรื่องความเชื่ออื่นๆ เช่น เทพ วิญญาณ ความฝัน ค่านิยมในการแสดงความสัมพันธ์ทางเครือญาติ เชื้อสาย และตระกูล และค่านิยมที่แสดงความสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (หน้า ง, 73-76 )มุสลิมเชื้อสายมาเลย์,นามสกุล,นนทบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย2544https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=850
849วิทยานิพนธ์THE ETHNOGRAPHY OF LISU CURINGEdward Paul Durrenbergerการศึกษาองค์ความรู้และกระบวนการให้เหตุผลเกี่ยวกับโรคภัยและความโชคร้ายของลีซูที่อยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย ได้อาศัยกรอบทฤษฎี “Competence” และ “Data Inputs” ร่วมกับการตีความเชิงวัฒนธรรม เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ผี หรือระหว่างผู้ป่วยกับหมอผี รวมถึง ระบบความคิด ความเชื่อและความเป็นจริงซึ่งส่งผลต่อกระบวนการทางจิตใจผ่านจิตสำนึก (Cognitive competence) ก่อให้เกิดพฤติกรรมในแง่ของการแสดงออก (performance) ของลีซู ในความคิดของลีซู สาเหตุของการเจ็บป่วยและความโชคร้ายนั้นเกิดขึ้นได้ทั้งจากพลังธรรมชาติ (Natural disease) และพลังเร้นลับเหนือธรรมชาติ (Super natural disease) การจัดแบ่งระบบคู่ต่างขั้ว (Logic of polarities) จึงช่วยอธิบายให้เห็นโครงสร้างทางสังคมและโครงสร้างทางการเมืองภายในระบบความคิดของลีซู ที่ส่งผลถึงบริบทการหาสาเหตุของความเจ็บป่วยและการรักษาพยาบาลลีซู,วิถีชีวิต,การรักษาโรค,ภาคเหนือ,ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย2514ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=849
848บทความLe système de la famille YaoChob Kacha-Anandaผู้เขียนศึกษาระบบโครงสร้างครอบครัว การสืบวงศ์ตระกูลของชาติพันธุ์เย้าที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยมีการพูดถึงประเพณีการเลือกคู่ครอง การแต่งงาน การเลือกสืบวงศ์ตระกูลในลูกหลาน ค่านิยมในเรื่องบุตรนอกสมรสกับแรงงานที่เพิ่มขึ้น และชีวิตสมรสหลังการแต่งงาน โดยผู้เขียนกังวลถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม จารีตประเพณีดั้งเดิมจะเปลี่ยนแปลงไปในสังคมเย้าด้วยการติดต่อสัมพันธ์กับสังคมเมืองและการศึกษาเรียนรู้ที่เกิดขึ้น (หน้า 193)เย้า,ระบบการแต่งงาน,ครอบครัว,การสืบวงศ์ตระกูล,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย2515ภาษาฝรั่งเศสhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=848
847บทความThe Private and Public Lives of the Hmong Qeej and Miao LushengFalk, Catherineบทความนี้กล่าวถึงการรับรู้และการเล่นเก้งของม้งในพื้นที่ส่วนตัว ซึ่งได้แก่ พิธีศพ และพื้นที่สาธารณะ ซึ่งได้แก่ การเล่นในโอกาสอื่นนอกบ้าน เช่น จีบสาว การเล่นในพื้นที่ทั้งสองแห่งมีข้อกำหนดต่างกัน การเล่นเก้งม้ง ผู้เล่นต้องเป่าและเต้นไปพร้อมกัน ในพิธีศพผู้เล่นต้องเป่าและเคลื่อนไหวร่างกายให้ถูกต้องตามเวลา เสียงแคนที่เป่าเป็นการสื่อสารบอกการเดินทางไปสู่โลกบรรพบุรุษให้แก่วิญญาณผู้ตาย ซึ่งคนมีชีวิตไม่สามารถเข้าใจได้ ซึ่งต่างจากการเล่นเพื่อความสนุกสนานผู้เล่นมีอิสระในการเป่าและเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่า โดยผู้เขียนเห็นว่า การเล่นเพลงแห่งความตายที่ถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเป็นม้ง รวมทั้งแยกคนม้งออกจากคนอื่นม้ง,ม้งอพยพ,วัฒนธรรม,ดนตรี,อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,ออสเตรเลียตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2547https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=847
846บทความPassing through the countries, the years and lifePeter K. Kandreบทความนี้มี 3 ส่วน ส่วนแรก เป็นการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมเพื่อแสดงให้เห็นการเลือกและการตัดสินใจของเย้าที่สัมพันธ์กับการอพยพและการตั้งถิ่นฐาน รวมทั้งการจัดระเบียบการปกครองระดับท้องถิ่นในระบบความเชื่ออำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งเกี่ยวพันกันระหว่างอำนาจทางการเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร์ และปรากฏการณธรรมชาติ ส่วนที่สอง เป็นการจัดระเบียบทางวัฒนธรรมโดยมองผ่านพิธีกรรมประจำปีตามปฏิทินการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผา และส่วนที่สามซึ่งเป็นส่วนสุดท้าย เป็นกรณีตัวอย่างสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของเย้าคนหนึ่งในสังคมเย้าแบบดั้งเดิม (หน้า 273-274)เมี่ยน, อิวเมี่ยน, เย้า,วัฒนธรรม,การปรับตัว,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2534ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=846
845บทความGlobalised Threads: Costumes of the Hmong Community in North QueenslandMaria Wronska Friendบทความนี้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงเสื้อผ้าเครื่องแต่งของม้งที่อยู่ในควีนส์แลนด์เหนือ ประเทศออสเตรเลีย ผู้เขียนวิเคราะห์กระบวนการเปลี่ยนแปลงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมของม้ง โดยใช้แนวคิด cultural globalisation ที่มองว่าเป็นปรากฏการณ์ที่หลากหลายและซับซ้อนอันประกอบด้วยวัฒนธรรมโลกที่มีกำเนิดจากภูมิภาคและประเทศต่างๆหลายแห่ง ซึ่งตามความคิดนี้ cultural globalsiation เป็นเครือข่ายที่มีศูนย์กลางหรือพรมแดนไม่ชัดเจน ซึ่งอิทธิพลทางวัฒนธรรมได้เคลื่อนไปในทิศทางต่างๆ และศูนย์กลางภูมิภาคก็มีความสำคัญเพิ่มขึ้นในฐานะผู้ผลิตและตลาด (หน้า 120) ในบริบททางสังคมใหม่ของออสเตรเลีย ความหมายทางวัฒนธรรมและนัยยะสำคัญของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายม้งประสบกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ทางสังคมของกลุ่ม ข้อเท็จจริงที่ว่า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายม้งร่วมสมัยและชิ้นส่วนประกอบเครื่องแต่งกายมีต้นกำเนิดจากประเทศต่างๆ แสดงให้เห็นถึงพลวัตรของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้และก่อให้เกิดการสร้างสรรค์รูปแบบเสื้อผ้าที่แตกต่างผสมกัน ทั้งรูปแบบและหน้าที่ของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายม้งในออสเตรเลียจึงถูกปรับเปลี่ยน(transformed) อย่างมีนัยยะ (หน้า 115)ม้ง,การอพยพ,การพลัดถิ่น,การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม,เสื้อผ้า,เครื่องแต่งกาย,ออสเตรเลียตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2547ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=845
844บทความBeing a Woman: The Social Construction of Menstruation Among Hmong Women in AustraliaPranee Liamputtongในบทความนี้ ผู้เขียนใช้แนวความคิดการตีความเชิงสัญลักษณ์ของแมรี่ ดักกลาสศึกษาการมีระดูของผู้หญิงม้ง โดยสรุปว่า ในวัฒนธรรมม้ง ไม่มีความเชื่อว่าระดูเป็นอันตรายต่อผู้ชาย แต่ก็มีข้อกำหนดทางสังคมสำหรับผู้หญิง ซึ่งข้อกำหนดส่วนมากเป็นความเชื่อเกี่ยวกับการมีบุตรของผู้หญิงเพื่อให้มั่นใจว่า ผู้หญิงสามารถให้กำเนิดบุตรได้ ดังนั้นการมีระดูจึงเป็นสัญลักษณ์ของความสามารถในการมีบุตร ไม่ใช่กระบวนไม่บริสุทธิ์ (a polluting process) ผู้เขียนอธิบายว่า การมีระดูเป็นสิ่งจำเป็นของการเป็นผู้หญิงเพราะการมีระดูทำให้มีบุตรได้ การมีบุตรสืบเผ่าพันธุ์เป็นเรื่องสำคัญของชีวิตผู้หญิงม้งและจำเป็นต่อการดำรงอยู่สืบทอดความต่อเนื่องของสังคมม้ง ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ หนึ่ง การมีบุตรให้ความมั่นใจแก่พ่อแม่และครอบครัวในการมีชีวิตอยู่รอด สอง ในสังคมที่สืบทอดสายเลือดข้างบิดา (patriarchal society) เช่น สังคมม้ง ลูกเป็นทรัพยากรมีค่าของแม่ ทำให้แม่มีสถานภาพดี และสุดท้าย เด็กๆ จำเป็นต่อการสืบทอดความต่อเนื่องของสังคม (หน้า 172-173)ม้ง,ม้งอพยพ,วัฒนธรรม,ผู้หญิง,ระดู,ออสเตรเลียตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2547ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=844
843บทความA Simple Explanation of Taoism among the Yao of the One Hundred Thousand MountsZhang Youjuanบทความนี้ผู้เขียนพยายามแสดงให้เห็นการนับถือลัทธิเต๋าที่มีลักษณะเฉพาะของเย้าแห่งแสนขุนเขาในมณฑลกวางสีตอนใต้ โดยกล่าวถึงกำเนิดและพัฒนาการของเต๋าอย่างคร่าวๆ เพื่อแสดงว่าเต๋าได้แพร่เข้าไปในหมู่เย้าตั้งแต่ก่อนที่จะอพยพลงมาทางใต้แล้ว ผู้เขียนอธิบายให้เห็นความคิดความเชื่อรวมทั้งการปฏิบัติในลัทธิเต๋าที่เย้าแห่งหมื่นขุนเขานำมาปฏิบัติรวมกันกับความเชื่อดั้งเดิม ซึ่งทำให้ลัทธิเต๋ามีลักษณะเฉพาะแบบเย้า ที่มีทั้งความเชื่อดั้งเดิมและศาสนาสมัยใหม่ปรากฏอยู่ ผู้เขียนเห็นว่าการรับความเชื่อในลัทธิเต๋าของเย้าแห่งหมื่นขุนเขาเหมาะสมกับความต้องการของสังคมเย้าที่ยังคงมีการเพาะปลูกแบบเลื่อนลอย (shifting cultivation) และมีพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมล้าหลังเย้า,ศาสนาความเชื่อ,ลัทธิเต๋า,มณฑลกวางสี,ประเทศจีนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2534ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=843
842วิทยานิพนธ์Economic Marginalization And The Ethnic Consciousness Of The Green Mong (Moob Ntsuab) Of Northwestern ThailandHoward M. Radley : Corpus Christi Collegeในวิทยาพนธ์เล่มนี้ ผู้เขียนได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ลงตัวระหว่างแนวความคิดในเรื่องความเสมอภาคและแนวความคิดในเรื่องระดับชนชั้น ซึ่งได้สร้างลักษณะเฉพาะของม้งทั้งแนวคิดและการกระทำ สิ่งที่เรียกว่าการแกว่งไกวไปมาไม่แน่ไม่นอนระหว่างปรัชญาการปกครองแบบผู้มีอำนาจเด็ดขาดและการปกครองแบบประชาธิปไตยได้รับการสังเกตการณ์อย่างทั่วถึงกับประชาชนบนที่ราบสูงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้เขียนเชื่อว่าการที่เราจะเข้าใจแนวความคิดของคนม้ง เราต้องมองไปยังประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของคนม้ง ผู้เขียนได้แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนของโลกของความสว่างและโลกของความมืด การแบ่งเช่นนี้เป็นไปตามความแตกต่างของคนม้งระหว่างภาคกลางวันที่มีแก่นเนื้อหาของความเป็นเผ่าพันธ์มนุษย์ และภาคกลางคืนในโลกของความลี้ลับในเรื่องของจิตวิญญาณ ส่วนแรกจะให้รายละเอียดความเข้าใจถึงประวัติความเป็นของคนม้ง รวมถึงระบบเศรษฐกิจในหมู่บ้านที่ทำการศึกษาครอบคลุม 3 หมู่บ้านคนม้งของไทย โดยการตรวจสอบถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานที่มีการติดต่อกับรัฐจีน และการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับคนในพื้นที่ราบ ผู้เขียนคาดหวังว่าจะได้กรอบในมุมมองของคนม้ง ในส่วนที่สอง ผู้เขียนในบรรยายถึงโลกทางจิตวิญญาณของคนม้ง ผ่านทางการเข่าถึงพิธีกรรมของคนม้ง ทั้งพิธีกรรมเซ่นไหว้บรรพบุรุษ พิธีศพ ตำนานเทพยดาต่างๆ และและพิธีกรรมการทรงเจ้าเข้าผี ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นว่าความความแตกต่างระหว่าง ความเป็นชุมชนของครอบครัวขยาย กับพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับเครือญาติ และความเป็นปัจเจกบุคคลของผู้เข้าทรงเจ้า กับการเข้าสู่สภาวะที่แวดล้อมด้วยระดับชั้นของวิญญาณ แสดงให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนระหว่างความต้องการของตัวเองในความเสมอภาคของระดับชนชั้นสังคม และความต้องการเข้าสู่การได้รับการปกครอบในระบบชนชั้นแบบกษัตริย์ โลกทั้งสองของคนม้งเป็นส่วนที่เสริมกันและกัน และในแนวคิดของโลกทางจิตวิญญาณก็เปลี่ยนจากสมมุติโลกสู่การขยายความคิดแบบคนพื้นราบและแบบรัฐมากขึ้น ผู้เขียนเชื่อว่าการที่ชนเผ่าม้งจะปรับเปลี่ยนตัวเองจากลักษณะถดถอยในปัจจุบันที่ถูกมองว่าเป็นเผ่าพันธ์ที่อยู่เพื่อการยังชีพและเป็นครอบครัวเกษตรกรรมขยาย เป็นผู้พ่ายแพ้และเป็นชนกลุ่มน้อยตลอดกาล ไปสู่การสร้างอาณาจักรของตัวเองได้นั้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเกิดสงครามกลางเมืองและสังคมม้งมีความโกลาหล สุดท้าย ผู้เขียนแย้งว่า การมีอยู่ของอัตลักษณ์ของเชื้อชาติไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะถูกมองอย่างแยกส่วนจากรูปแบบทางความสัมพันธ์ทางสังคมที่กว้างกว่า และยังได้เปรียบเทียบถึงความตระหนักในเชื้อชาติของคนม้งเองกับจิตสำนึกทางชนชั้นในสังคมทุนนิยม (หน้า III)ม้ง,ม้งขาว,ม้งเขียว,เจ้าที่และวิญญาณบรรพบุรุษ,ผู้เชี่ยวชาญด้านพิธีกรรม,คนทรง,เทพของคนม้ง,ความเชื่อหลังความตาย,ฮวงจุ้ย,ทิศและเขตแดน,ลัทธิเต๋า,เทวนิยมของคนม้ง,เศรษฐกิจชายขอบ,เศรษฐกิจพึ่งพิงตนเองตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2529ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=842
841วิทยานิพนธ์ศักยภาพของชุมชนในการจัดการแหล่งท่องเที่ยว: กรณีชุมชนไทยทรงดำบ้านเขาย้อย ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรีมธุรส ปราบไพรีไทยทรงดำที่บ้านเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ยังคงมีประชากรบางส่วนดำเนินวิถีชีวิตตามแบบวัฒนธรรมประเพณีของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นระบบการผลิตทางการเกษตร เพื่อตอบบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน อย่างเช่น ข้าว และผ้าทอ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญของชาวไทยทรงดำ รวมไปถึงรูปแบบบ้านเรือนที่พักอาศัย ซึ่งการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่มีจุดเริ่มต้นมาจากเจ้าของวัฒนธรรมเอง และจากความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจของคนในชุมชน ก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และส่งผลดีให้กับชุมชนเอง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ สังคม รวมไปจนถึงความภาคภูมิใจในการอนุรักษ์ ทำนุบำรุง ฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของตน ให้ได้รับการถ่ายทอดอย่างถูกต้องสู่คนรุ่นต่อๆ ไป ดังจะเห็นได้จากการที่คนในวัยทำงานได้หันกลับมาทอผ้าแทนการไปรับจ้างในโรงงานมากขึ้น และเด็กๆ ในวัยเรียนได้รับการปลูกฝังวัฒนธรรมของตนเองผ่านการเรียนทั้งในระบบและนอกระบบอย่างเกื้อกูลซึ่งกันและกันลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,การท่องเที่ยว,ชุมชน,ความเชื่อ,เพชรบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=841
840บทความThe Mrabri : Anthropometric Genetic and Medical ExaminationGebhard Flatzจากการตรวจสอบมลาบรีจำนวน 18 คน ในทางการแพทย์ ผู้เขียนพบว่า มลาบรีอาจเป็นชนผิวเหลืองยุคโบราณเนื่องจากลักษณะทางกายภาพบ่งชี้ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในอนุทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาช้านานแล้ว แต่ยังจำเป็นต้องหาหลักฐานทางภาษามายืนยันข้อสรุปดังกล่าวต่อไป (หน้า 171) โดยเมื่อเปรียบเทียบกับยัมบรีในงานของ Bernatsik แล้วผู้เขียนวิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นชนกลุ่มเดียวกันกับมลาบรี แต่อาจมีลักษณะบางประการต่างกันบ้างเนื่องจากระยะห่างของเวลาที่ทำวิจัย (หน้า 170) ผู้เขียนยังระบุว่ามลาบรีคงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตำนานการปล่อยทาสเข้าป่าของเจ้าเมืองน่าน เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่ามลาบรีลดระดับวิวัฒนาการของตนเองลง ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ (หน้า 171) อย่างไรก็ตามผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตว่ามลาบรีอาจสูญพันธุ์ไปในเวลาไม่ช้า เนื่องจากพวกเขามีแนวโน้มว่าอาจรวมหรือผสมผสานเข้ากับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่อยู่ใกล้เคียงกัน เช่น ม้ง ละหู่ จนกระทั่งกลายเป็นคนไทยไปในที่สุด (หน้า 175)มลาบรี, มราบรี,พันธุกรรม,เชื้อชาติ,การตรวจทางการแพทย์,ภาคเหนือ,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2506ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=840
839บทความThe Political Expansion of the Mao ShanPadmeswar Gogoi‘Mao Shan’ อพยพสู่พม่าเมื่อศตวรรษที่ 13 สร้างอาณาจักรอยู่ในเขตยูนนานและทางตอนเหนือของพม่า มีศูนย์กลางขยายออกไปทางหุบเขา ‘Shweli’ จนถึงด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศตะวันตกของหุบเขา ‘Brahmaputra’ หรือแคว้นอัสสัม คนไทยอพยพลงมายังดินเเดนพม่าเมื่อราว 2,000 ปีมาแล้วในช่วงคริสตวรรษที่ 6 มีการอพยพครั้งใหญ่ของไทยจากภูเขาทางใต้ของยูนนานสู่หุบเขา ‘น้ำเมา’ (Shweli) และพื้นที่ใกล้เคียง ช่วงศตวรรษที่ 13 ‘Mao Shan’ มีอำนาจในเขตยูนนานและทางเหนือของพม่า หุบเขา‘Shweli’ เป็นศูนย์กลางอำนาจของไทยทางการเมืองเป็นครั้งแรก มีชุมชนขยายออกมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งคือรัฐฉานในปัจจุบัน จนกระทั่งศตวรรษที่ 13 ได้อพยพสู่ทางทิศตะวันตกและเข้าปกครองเมือง ‘Wehsali Lông’ หรืออัสสัม อาณาจักรฉานแห่งน่านเจ้าได้แตกสลายลงเมื่อมองโกลได้ชัยชนะในปี ค.ศ. 1253 เหตุนี้เองทำให้เกิดการอพยพของคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นไทยออกจากยูนนานไปยังทางทิศตะวันตกและทางใต้ ก่อนกุบไลข่านนำทัพบุกรุกนั้น คนไทยได้อพยพลงใต้ตามลำน้ำแม่โขงและแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งถิ่นฐานคือสยามแตกออกเป็นรัฐเล็กมากมาย จากรัฐไทยเล็กๆ กลายมาเป็นอาณาจักรไทย ได้แก่อาณาจักรสุโขทัย และอาณาจักรอยุธยา‘Mao Shan’,ฉาน,เงี้ยว,ประวัติศาสตร์,การขยายอำนาจ,ยูนนาน,พม่า,อินเดียตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2499ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=839
838วิทยานิพนธ์ไทยมุสลิมกับความมั่นคงแห่งชาติ : ศึกษากรณีชาวไทยมุสลิมในอำเภอรามัน จังหวัดยะลาพิเชฏฐ์ ทองศรีนุ่นสถานการณ์และปัญหาความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาที่ต่อเนื่องมาจากอดีตและยังคงมีอยู่ในปัจจุบันโดยไม่มีทีท่าว่าจะหมดไป และยิ่งทวีความซับซ้อน เห็นได้จากปรากฏการณ์ที่รุนแรง เช่น การปฏิบัติการเคลื่อนไหวก่อกวนสร้างความวุ่นวาย ข่มขู่ คุกคาม เรียกคาไถ่ เรียกค่าคุ้มครอง ลอบทำร้าย และก่อวินาศกรรม รูปแบบต่อมา คือ ปรากฏการณ์และเหตุการณ์ที่มีแนวโน้มนำไปสู่ความรุนแรง ได้แก่ การชุมนุม การประท้วง หรือรูปแบบปรากฏการณ์ที่ไม่รุนแรง ซึ่งเป็นเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ยังผลให้เกิดปัญหาความไม่สงบ ไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหาความหวาดระแวงและรู้สึกแปลกแยก ปัญหาอิทธิพลและการแทรกแซงจากต่างประเทศ สาเหตุของปัญหา เกิดจากนโยบายผสมกลมกลืนของรัฐบาลไม่สอดคล้องกับโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรมของชาวไทยมุสลิม และข้าราชการทุจริตประพฤติมิชอบ ดังนั้น การแก้ไขปัญหาความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆทั้งทางตรงและทางอ้อม (หน้า ค-ฆ)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ไทยมุสลิม,ความมั่นคง,นโยบายผสมกลมกลืน,ศาสนาอิสลาม,อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์,จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดยะลา ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=838
837วิทยานิพนธ์ปัญหาที่ตั้งค่ายอพยพผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงตามแนวชายแดนไทย-พม่า ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตากจีระศักดิ์ เพชรตรา, พันโทเนื้อหาศึกษาถึงความคิดเห็นของข้าราชการ ทหาร และพลเรือน ที่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับค่ายอพยพกะเหรี่ยงที่อยู่ตามบริเวณชายแดนไทย-พม่า และศึกษาความคิดเห็นว่าถ้าย้ายค่ายอพยพเข้าลึกมาในไทยประมาณ 10 กิโลเมตร และลดจำนวนค่ายผู้อพยพกะเหรี่ยงให้น้อยลงนั้นจะส่งผลกระทบด้านการเมือง สังคมและเศรษฐกิจของไทยหรือไม่ ซึ่งผลของการศึกษาพบว่าผู้ให้สัมภาษณ์มีความเห็นด้วยที่จะให้ค่ายอพยพกะเหรี่ยงอยู่ตามแนวชายแดนไทย-พม่า เพราะไทยช่วยเหลือแบบเฉพาะหน้าและช่วยตามหลักมนุษยธรรม เพราะหากเหตุการณ์สู้รบระหว่างพม่ากับชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนสงบลง ไทยก็สามารถส่งกะเหรี่ยงอพยพกลับประเทศได้ง่าย และหากย้ายค่ายอพยพลึกเข้ามาในไทยก็จะเกิดปัญหาแย่งที่ทำกินของคนไทยที่อยู่ในพื้นที่ และจะเกิดปัญหาการแย่งงานถ้าผู้อพยพลักลอบออกมาขายแรงงาน นอกจากนี้หากมีการโจมตีค่ายอพยพจากกองกำลังต่างชาติก็จะทำให้คนไทยที่อยู่ใกล้เคียงกับค่ายอพยพได้รับอันตรายปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ค่ายอพยพชนกลุ่มน้อยผู้ลี้ภัย,ทัศนคติ,ยุทธศาสตร์,ชายแดนไทย - พม่าตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=837
836บทความชาวน่าน คนหมู่มาก และคนกลุ่มน้อย ในเมืองน่านชนัญ วงษ์วิภาคกล่าวถึงคนเมืองซึ่งเป็นคนหมู่มากที่อาศัยในจังหวัดน่าน และชาติพันธุ์อื่นที่เป็นคนกลุ่มน้อย ได้แก่ ลื้อ ถิ่น ขมุ ม้ง เมี่ยน และผีตองเหลือง โดยได้ถ่ายทอดสภาพความเป็นอยู่ ความเชื่อ วัฒนธรรมความเชื่อ ประเพณีและสังคมของชาติพันธุ์ดังกล่าวว่ามีความเป็นอยู่และความเป็นมาอย่างไร และนำเสนอสภาพแวดล้อมต่างๆ ของจังหวัดน่าน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นประโยชน์ด้านการศึกษาต่อการพัฒนาความเป็นอยู่ของชาติพันธุ์ต่างๆ ในจังหวัดน่าน เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ
<div id="__if72ru4ruh7fewui_once">
</div>มลาบรี มราบรี,ลื้อ, ขมุ, ม้ง, เมี่ยน,ลัวะ,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,ประเพณี,เศรษฐกิจ,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=836
835วิทยานิพนธ์การอนุรักษ์แหล่งสมุนไพรเพื่อการรักษาแบบพื้นบ้านของชนเผ่าลาฮู : กรณีศึกษาบ้าน บ้านแม่คำน้อย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายพรรณี ชัยยาโนศึกษาการอนุรักษ์แหล่งสมุนไพรเพื่อการรักษาแบบพื้นบ้านของลาฮู บ้านแม่คำน้อย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย และศึกษาการรักษาพื้นบ้านในรูปแบบต่างๆ เช่น การรักษาจากหมอยา หมอผี ผู้สูงอายุที่มีความรู้เรื่องสมุนไพร ว่ารักษาอย่างไร มีการถ่ายทอดความรู้กันอย่างไร ทั้งนี้สมุนไพรที่ลาฮูใช้เป็นสมุนไพรที่เกิดขึ้นเองตามแหล่งธรรมชาติ ที่อยู่ในป่าเขา ไร่ นา และแหล่งน้ำ จะนำมาใช้เมื่อมีการเป็นไข้ไม่สบายหากเจ็บป่วยไม่มาก แต่ถ้าป่วยหนักก็จะให้หมอสมนุไพร หมอผี หรือไปรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันที่โรงพยาบาล หรือสถานีอนามัย นอกจากนี้ ลาฮูยังใช้สมุนไพรเป็นอาหาร และใช้ในการประกอบพิธีกรรมความเชื่อต่างๆลาหู่,การรักษาพื้นบ้าน,สมุนไพร,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=835
834รายงานการวิจัยการศึกษาสภาพเศรษฐกิจและวัฒนธรรมชุมชน ในเขตเส้นทางสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ไทยลาว จีนประชัน รักพงษ์เนื้อหาเกี่ยวกับการศึกษาสภาพเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ต่างๆ เช่ น ไทดำ ลื้อ ขมุ ละเมด สามต้าว ยั้ง ลานแตน ปะนะ สีดา กุ่ย ที่อยู่อาศัยในพื้นที่เส้นทางสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ไทย-ลาว-จีนซึ่งอยู่บริเวณภาคเหนือของประเทศลาว พื้นที่ศึกษาในภาคสนามจะเน้นที่แขวงบ่อแก้ว แขวงหลวงน้ำทา และพื้นที่ใกล้เคียง การศึกษาได้ศึกษาความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรมของหลายชาติพันธุ์ และการเปลี่ยนแปลงสังคมวัฒนธรรมเพื่อให้ทราบข้อมูลที่จะส่งเสริมด้านเศรษฐกิจหรือที่จะเป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมด้านการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ ที่เป็นศูนย์กลางของเส้นทางกาคมนาคมระหว่าง ไทย ลาว จีน และเวียดนามเศรษฐกิจ,วัฒนธรรม,สังคม,ลาว,ลื้อ,ไทดำ,ยั้ง,ขมุ,ละเมด,สามต้าว,ลานแตน,ปะนะ,กุ่ย,เขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ไทย ลาว จีนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=834
833วิทยานิพนธ์กระบวนการก่อรูปอัตลักษณ์ของผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง : ศึกษากรณีกะเหรี่ยงในพื้นที่พักพิงชั่วคราว บ้านแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตากสรพงษ์ วิชัยดิษฐกะเหรี่ยงในพื้นที่พักพิงบ้านแม่หละเหล่านี้ได้มีการสร้างประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตนเองตั้งแต่พม่ายังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ กระทั่งพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษก็ได้เกิดการสู้รบระหว่างกองกำลังทหารรัฐบาลพม่ากับกองกำลังทหารของกะเหรี่ยง จนทำให้มีประชากรกะเหรี่ยงได้หลบหนีภัยการต่อสู้ที่เกิดขึ้นตามแนวบริเวณชายแดนไทยพม่าเข้ามาอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวในหลายๆ แห่งในประเทศไทย กระทั่งกองกำลังทหารพม่าและกะเหรี่ยงพุทธได้ลักลอบเข้ามาเผาทำลายพื้นที่พักพิงในหลายพื้นที่ ดังนั้นทางการไทยจึงได้ยุบรวมพื้นที่พักพิงฯต่างๆ มารวมกันอยู่ที่พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก เพื่อให้เกิดความสะดวกในการดูแลผู้หลบหนีภัยการสู้รบจากประเทศพม่าปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), การอพยพ,สังคม,วัฒนธรรม,ความเป็นอยู่,การเมือง,ค่ายอพยพ,ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=833
832รายงานการวิจัยชาติพันธุ์ : ศักยภาพในการดูแลสุขภาพและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติบริเวณลุ่มน้ำขนาดเล็กในภาคเหนือยิ่งยง เทาประเสริฐ (บรรณาธิการ)ในรายงานวิจัยนี้ได้ศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในภาคเหนือของประเทศไทย และนำเสนอให้เห็นว่ากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ต่างก็มีวิถีทางของตนเองและมีศักยภาพในการดูแลสุขภาพ อย่างเช่น คนเมืองหรือไทยยวนที่อำเภอพญาเม็งรายมีภูมิปัญญาในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม เพราะสอดคล้องกับความรู้ ความเชื่อ และวิถีชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น จึงควรพัฒนาศักยภาพในการดูแลสุขภาพในท้องถิ่นขึ้นมาเป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพของประชาชน (หน้า 29-30) อาข่าและลาหู่ที่ดอยตุงต่างก็มีการดูแลรักษาสุขภาพตนเองอย่างมีระบบ เรียกว่า ระบบการแพทย์พื้นบ้าน ภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพนี้อาจถูกสืบสาน ปรุงแต่ง และคิดค้นขึ้นใหม่ตามการผันแปรของสภาพแวดล้อมปัจจุบันซึ่งการปรับตัวนี้ทำให้ระบบการแพทย์พื้นบ้านเป็นทางเลือกหนึ่งของการดูแลสุขภาพของชุมชนและยังคงดำรงบทบาทอยู่ เนื่องจากการแพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถอุดช่องว่างทางวัฒนธรรมของชนเผ่าได้จึงควรสนับสนุนให้ระบบแพทย์พื้นบ้านมีขีดความสามารถในการรับใช้ชุมชนโดยไม่เสี่ยง และเป็นตัวช่วยส่งเสริมระบบการแพทย์ปัจจุบัน ในการดูแลสุขภาพพื้นฐานของชาวบ้าน (หน้า 65-66) ในชุมชนปกาเกอญอที่ตำบลหัวเมืองเดิมชุมชนเคยใช้ภูมิปัญญาของตนเองจัดสรรและจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาด แต่เมื่อมาตรการการอนุรักษ์ป่าของรัฐบาลและกระแสของวัตถุนิยมและบริโภคนิยม ซึ่งมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่และวัฒนธรรมจากภายนอกเข้าไปทดแทนภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งผลต่อชุมชนที่เคยเป็นอิสระและอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เคยมีศักยภาพในการอนุรักษ์ทรัพยากรต่างๆ แฝงอยู่ในระบบความเชื่อและวิถีชีวิตต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และนิเวศวิทยาในท้องถิ่น เกิดการปรับเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตของชุมชน ทำให้ชุมชนลดการพึ่งพาตนเองลงและต้องเพิ่มภาวะการพึ่งพาภายนอกมากขึ้น ส่งผลต่อศักยภาพในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนลดลง ชุมชนเมี่ยนเลาสิบเองก็ประสบชะตากรรมแบบเดียวกันเพราะแต่เดิมระบบการผลิตของเมี่ยนเป็นการผลิตเพื่อบริโภคภายในครัวเรือน ปลูกพืช ผักหลายชนิดปะปนในไร่เดียวทำให้มีอาหารบริโภคตลอดฤดูกาล การใช้ประโยชน์จากที่ดินที่สามารถขยายไปได้มาก แต่เมื่อนโยบายของรัฐในปี 2510 ให้อพยพชาวเขาจากภูเขา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในให้เข้ากับสถานการณ์ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นำความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เข้ามาสู่สังคมเมี่ยน (หน้า 146-147)คนเมือง,อาข่า,ลาหู่,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),เมี่ยน,การดูแลสุขภาพ,การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=832
831วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่มีผลต่อการคุมกำเนิดของสตรีชาวเขาเผ่าเย้า อำเภองาว จังหวัดลำปางนิตยา แสงเล็กจากการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการคุมกำเนิดของสตรีชาวเขาเผ่าเย้า 4 หมู่บ้านในอำเภองาว จังหวัดลำปาง พบว่าจำนวนบุตร เพศระยะทางจากหมู่บ้านถึงสถานีบริการสาธารณสุข ประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้วิธีคุมกำเนิด เช่น อาการข้างเคียง ตลอดจนความกลัวต่อผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้วิธีคุมกำเนิด และข่าวลือมีผลต่อการคุมกำเนิด สำหรับปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ ลัทธิการนับถือ ลักษณะของครอบครัว ความรู้และการรับรู้ถึงวิธีคุมกำเนิด แหล่งรับบริการคุมกำเนิด แหล่งข่าวสาร ทัศนคติต่อการคุมกำเนิด ความเชื่อและขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีต่อการคุมกำเนิด ตลอดจนการปฏิบัติตัวเมื่อเจ็บป่วย พบว่าไม่มีผลต่อการคุมกำเนิด สตรีชาวเขาเผ่าเย้ามีแนวโน้มจะยอมรับการคุมกำเนิด แต่อัตราการคุมกำเนิดในบางหมู่บ้านยังต่ำ เนื่องจากความรู้ ความเข้าใจเดี่ยวกับการคุมกำเนิดยังไม่ดีพอ ประกอบกับยังนิยมการมีบุตรชายและที่ตั้งหมู่บ้านที่ห่างไกลจากสถานีอนามัยทำให้มีภาวะการเจริญพันธุ์สูงขึ้น จึงควรส่งเสริมความรู้ทางด้านการวางแผนครอบครัวส่งเสริมวิธีคุมกำเนิดที่สตรีชาวเขาเผ่าเย้าให้การยอมรับอยู่แล้ว คือ การฉีดและทำหมันหญิงและควรขยายสถานบริการให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น (หน้า ก-ข)เมี่ยน อิวเมี่ยน,เย้า,ครอบครัว,การคุมกำเนิด,ทัศนคติ,ภาวะเจริญพันธุ์,ความเชื่อ,ลำปางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=831
830ปริญญานิพนธ์วิเคราะห์บทสู่ขวัญของชาวกูย อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ปิยพันธุ์ สรรพสารการศึกษาวิเคราะห์บทสู่ขวัญของชาวกูยในบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของชาวกูย อำเภอศีขรภูมิ จังหวัด สุรินทร์ โดยศึกษาข้อมูลจากทางเอกสารและข้อมูลมุขปาฐะ ผลการศึกษาพบว่า พิธีกรรมสู่ขวัญของชาวกูย อำเภอศีขรภูมิจ.สุรินทร์ กระทำสืบเนื่องกันมาเป็นเวลานานโดยมีหมอขวัญเป็นผู้ประกอบพิธี คุณลักษณะของหมอขวัญที่ได้รับความเชื่อถือนั้นมีลักษณะที่คล้ายกันคือ เป็นเพศชาย อายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ผ่านการบวชเรียนเป็นเวลานาน และเคยประกอบพิธีกรรมการสู่ขวัญมาก่อนแล้วจนเชี่ยวชาญ เนื้อหาของบทสู่ขวัญจัดแบ่งตามโอกาสที่ใช้ประกอบพิธีกรรม 3 ประเภท คือ การสู่ขวัญในช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต พิธีสู่ขวัญในการเซ่นสรวง และพิธีกรรมสู่ขวัญสำหรับผู้ป่วย บทสู่ขวัญ มีบทบาทหน้าที่ในการให้การศึกษา สร้างความจรรโลงใจ ทำให้วัฒนธรรมสมบูรณ์และเข้มแข็งขึ้น สร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของบุคคลในชุมชน และบทบาทในการเป็นเครื่องมือควบคุม และรักษาแบบแผนของชุมชน ลักษณะการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมพบว่า พิธีกรรมการสู่ขวัญมีลักษณะของการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมในชุมชนชาวกูย 4 ด้าน คือ ภาษา ความเชื่อ การแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ และด้านประเพณีพิธีกรรม ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบมี 5 ด้าน คือ ความคล้ายคลึงด้านความเชื่อและค่านิยม คล้ายคลึงด้านชาติพันธุ์ คล้ายคลึงด้านการประกอบอาชีพ และการขยายความเจริญด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษา การปกครอง การสื่อสาร โทรคมนาคม และการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์กูย,วัฒนธรรม,พิธีกรรม,บทสู่ขวัญ,สุรินทร์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=830
829รายงานการวิจัยวัฒนธรรมไทยกวย อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์วุฒินันท์ พระภูจำนงค์ชาวไทยกวยใน อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ มีประมาณ 28 หมู่บ้าน จากหมู่บ้านทั้งหมดของอำเภอสตึก 208 หมู่บ้าน ชาวไทยกวยกลุ่มนี้ในอดีตมีความเป็นอยู่เรียบง่าย มีอาชีพหาของป่าล่าสัตว์ ในปัจจุบันได้หันมาประกอบอาชีพทางด้านเกษตรกรรม มีการรับเอาวัฒนธรรมของกลุ่มไทยลาว ไทยเขมร มาใช้ทำให้เกิดการผสมกลมกลืนด้านวัฒนธรรม ชาวไทยกวยมีภาษา และวรรณกรรมจัดอยู่ในภาษา มอญ – เขมร มีภาษาพูดเป็นของตนเองไม่มีอักษรเขียน มีวรรณกรรมเป็นแบบมุขปาฐะ การปรับตัว การเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ตลอดจน การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมนั้นชาวไทยกวยจะปรับตัวเข้ากับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นได้ดี และมีการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม และมีวิถีชีวิตที่ผสมกลมกลืนกันกับกลุ่มชาติพันธุ์ใกล้เคียงด้วย (หน้า 50–51)กวย,กูย,ประวัติความเป็นมา,วัฒนธรรม,บุรีรัมย์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=829
828หนังสือคนไทยในพม่าบุญช่วย ศรีสวัสดิ์กลุ่มชนชาติไตเป็นกลุ่มชนชาติที่เข้ามาอาศัยและตั้งอาณาจักรอยู่ในประเทศพม่าเป็นเวลานาน ต่อมาเกิดการแก่งแย่งอำนาจภายในและการรุกรานจากภายนอก ทำให้ชาวไตต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของชาวพม่าและกระจัดกระจายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ รวมทั้งมีคนไทยที่อพยพไปอาศัยและที่ถูกกวาดต้อนไปรวมอยู่ด้วย แม้ว่าหลังจากที่พม่าได้เอกราชจากอังกฤษแล้ว ชาวไตก็ยังไม่มีการปกครองตนเองตามที่รัฐบาลพม่าสัญญาไว้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะถูกภายใต้การปกครองของพม่า แต่รัฐบาลต้องคอยเอาใจและชาวไตก็ยังคงรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมส่วนใหญ่ของตนไว้ได้ ทั้งที่มีชาวพม่าเข้าไปปกครองและค้าขาย รวมถึงแต่งงานด้วย แต่การดำรงอัตลักษณ์นี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความห่างไกลจากชาวพม่าเช่นกันไต,ไทยใหญ่,ประวัติศาสตร์,วิถีชีวิตประเพณี,พม่า,เมียนมาร์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย2503ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=828
827บทความSecond Expedition to the Mrabi of North Thailand (“Khon Pa”)J.J. Boelesผู้เขียนพบว่ามลาบรีเป็นชนเผ่าที่อาจสืบทอดมาจากชนผิวเหลืองยุคโบราณซึ่งมีชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน แต่ด้วยความจำกัดของเวลาทำให้ผู้เขียนไม่อาจหาข้อสรุปจากการศึกษาได้มากนัก แต่ผู้เขียนก็ยังสามารถสรุปลักษณะเด่นของชาวมลาบรีได้ดังนี้<br />
1) มลาบรีไม่รู้จักวัฒนธรรมยุคหิน เพราะพวกเขาไม่มีเครื่องมือหินชนิดใดเลย<br />
2) มลาบรีไม่สามารถใช้หูกทอผ้าแบบมือ จึงไม่อาจผลิตเครื่องแต่งกายได้<br />
3) มลาบรีไม่ทำเกษตรกรรม<br />
4) มลาบรีไม่สร้างบ้าน<br />
5) มลาบรีม่สวมใส่เครื่องประดับ<br />
<br />
John H.Brandt ตั้งข้อสังเกตว่าพวกเขาอาจเป็นชนกลุ่มเร่ร่อนเก็บของป่าเหมือนชาว Negrito แม้ว่ามลาบรีจะไม่มีความสามารถในทักษะบางด้านแต่พวกเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจในทักษด้านงานหัตถกรรมและศิลปะการตกแต่งบางอย่าง นอกจากนี้พวกเขายังมีภาษาพูดเป็นของตนเอง มีพิธีกรรมการเต้นรำ และระบบความคิดความเชื่อเฉพาะ จึงทำให้ไม่อาจสรุปว่าพวกเขามีลักษณะเป็นคนป่าเถื่อน (หน้า 150–153)มลาบรี มราบรี,วิถีชีวิต,ภาษา,โครงสร้างกายภาพ,หัตถกรรม,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2506ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=827
826หนังสือหมู่บ้านไทดำเพชรตะบอง สิงห์หล่อคำไทดำเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่รักอิสระ มีความเป็นอยู่เรียบง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี รักความสงบ ไม่ขึ้นตรงต่อใคร ไทดำมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน มีวัฒนธรรมประเพณี ภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นเอกลักษณ์ของตน ไทดำอพยพเข้ามาในประเทศไทยหลายครั้ง จากสาเหตุของศึกสงคราม ตั้งรกรากระจายอยู่ทั่วไปใน 12 จังหวัด ดำรงชีวิตกลมกลืนไปกับคนไท แต่ยังคงรักษาวัฒนธรรม ประเพณี พิธีกรรมและความเชื่อของตนไว้อย่างเหนียวแน่นลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,วิถีชีวิต,ความเชื่อและประเพณี,เลย,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเลย ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=826
825หนังสือA Kammu Story - Listener's TalesKristina Lindel, Jan- Ojvind Swahn, Damrong Tayaninเน้นการศึกษาถึงเรื่องเล่า นิทาน ที่เป็นเหมือนวรรณกรรมปากเปล่าของขมุ ที่สะท้อนถึงความเชื่อ ความใฝ่ฝัน และวิถีชีวิตของชาวขมุ นิทานออกจะเหนือจริงเป็นจินตนาการที่ตัวเอกของเรื่องมักฉลาดเฉลียว มีไหวพริบ และโชคดี เอาตัวรอดจนประสบความสำเร็จในชีวิต แม้จะเกิดมายากจน แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติขมุ,นิทาน,เรื่องเล่า,ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์,ไทย,ลาวตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเลย ประเทศไทย2520ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=825
824บทความRegarding the Customs, Manners, Economics and Languages of the Kha (so) and Phuthai Living in Ampho Kutchinarai (กุฉินารายณ์), Changvat Kalasindhu, Monthon Roi EtE. Seidenfaden (แปล และให้ข้อคิดเห็น)โส้เรียกตัวเองว่า "โส้" แต่คนอื่นเรียกพวกเขาว่า "ข่า" ส่วนภูไทยเรียกตัวเองว่า 'ภูไทย โส้และภูไทยมีภาษาของตนเอง หมู่บ้านของโส้สร้างอยู่ในป่า หมู่บ้านของภูไทยสร้างอยู่บนโคกและไม่มีแหล่งน้ำ ผู้หญิงโส้ย้ายไปอยู่กับสามีเมื่อแต่งงาน ผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัว ครอบครัวของภูไทยจะเชื่อฟังผู้นำครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ชายหรือพี่สาว โส้เป็นชาวพุทธแต่ไม่มีพระสงฆ์ในหมู่บ้าน ไม่มีการเซ่นไหว้บูชาผี แต่ชื่อเรื่องผีปอบ ภูไทยมีการบูชาพระพุทธรูปและบูชาผีบรรพบุรุษ เชื่อเรื่องการเกิดใหม่ มีวัดที่มีพระสงฆ์จำวัด โส้และภูไทยใช้รากไม้เป็นยา ไม่มีความรู้เรื่องการรักษาโรค ภูไทยมีพิธีการแต่งงานที่ยาวนาน ครอบครัวฝ่ายชายต้องเตรียมของเซ่นไหว้ผีของครอบครัวฝ่ายหญิง และฝ่ายหญิงจะต้องเปลี่ยนมานับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายชายโส้ โซร ซี ,ผู้ไทย ภูไท ,วิถีชีวิต,ภาษา,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเลย ประเทศไทย2486ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=824
823บทความThe Lawa in Northern SiamE.W. Hutchinsonละว้าอาศัยอยู่ในพื้นที่สูงปลูกข้าว ปลูกผักผลไม้ หญิงและชายมีความเท่าเทียมกันในสังคม มีความเชื่อเรื่องภูตผี ผีที่ละว้าให้ความเคารพหลักคือ ผีบ้านผีเรือน ผีแร่ธาตุ ผีไร่นา มีการเซ่นสังเวยภูตผีด้วยกระทิง สุนัข และไก่ บ้านเรือนของละว้าปลูกสูงจากพื้นดิน มีห้องใหญ่เพียงห้องเดียว การแต่งงานฝ่ายชายจะพาฝ่ายหญิงเข้าบ้าน แต่เพราะพื้นที่ภายในบ้านมีอย่างจำกัดก็จะต้องย้ายครอบครัวของตนเองออกไปลเวือะ,ภาษา,เรือน,ความเชื่อ,พิธีกรรม,วิถีชีวิต,การแต่งงาน,เศรษฐกิจ,การรักษาพยาบาล,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเลย ประเทศไทย2477ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=823
822วิทยานิพนธ์การศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการใช้ที่ดินของหมู่บ้านมูเซอและหมู่บ้านคนไทยในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ภาติยะ พัฒนาศักดิ์งานชิ้นนี้ศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการใช้ที่ดินของหมู่บ้านมูเซอและคนไทยใน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และพบว่ารูปแบบการใช้ที่ดินของคนไทย รูปแบบการใช้ที่ดินของชาวมูเซอแตกต่างจากคนไทยพื้นราบ ในลักษณะที่คนไทยพื้นราบใช้ที่ดินมากกว่าชาวมูเซอ และปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมนั้นมีผลต่อรูปแบบการใช้ที่ดินของคนทั้ง 2 กลุ่ม โดยปัจจัยที่มีผลต่อการใช้รูปแบบที่ดินของชาวมูเซอ คือ จำนวนที่ดิน จำนวนสมาชิกในครัวเรือน และรายได้ในภาคเกษตรกรรม ส่วนปัจจัยที่มีต่อผลการใช้รูปแบบที่ดินของคนไทยพื้นราบ คือ รายได้ในภาคเกษตรกรรม รายจ่ายในภาคเกษตรกรรม จำนวนสมาชิกที่เป็นแรงงานด้านการเกษตรและจำนวนแรงงานทั้งหมด กล่าวคือ หากมีปัจจัยทั้ง 3 ประการนี้มากขึ้น มูเซอดำก็จะนำไปใช้ในการเกษตรกรรมเพิ่มมากขึ้น ส่วนปัจจัยที่มีต่อผลการใช้รูปแบบที่ดินของคนไทยพื้นราบนั้น คือ รายได้ในภาคเกษตรกรรม รายจ่ายในภาคเกษตรกรรม จำนวนสมาชิกครอบครัวที่เป็นแรงงานด้านการเกษตร และจำนวนแรงงานด้านการเกษตรที่ นอกเหนือจากจำนวนแรงงานสมาชิกในครอบครัว ซึ่งหากคนไทยพื้นราบมีรายได้ในภาคเกษตรกรรมและมีจำนวนสมาชิกในครอบครัวที่เป็นแรงงานด้านการเกษตรมากขึ้น และมีรายจ่ายในภาคเกษตรกรรมลดน้อยลง ก็จะทำให้คนไทยพื้นราบมีทุนและแรงงานนำไปใช้ในการเกษตรเพิ่มมากขึ้น และสามารถจ้างแรงงานด้านการเกษตรที่นอกเหนือจากสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้นด้วยลาหู่,มูเซอดำ,คนไทยพื้นราบ,การใช้ที่ดิน,ระบบเศรษฐกิจสังคม,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=822
821หนังสือคติความเชื่อและระบบสังคมกับการปลูกสร้างเรือนพื้นบ้านและชุมชนผู้ไทนพดล ตั้งสกุล, จันทนีย์ วงศ์คำการศึกษาการสร้างเรือนพื้นถิ่นของชาวผู้ไทที่สอดคล้องกับคติความเชื่อนั้นสามารถบอกได้ถึงการการเลือกพื้นที่การสร้างเรือน จัดวางลักษณะของตัวเรือน การจัดแบ่งพื้นที่ใช้สอยในตัวเรือน ซึ่งสัมพันธ์กับธรรมชาติและสอดคล้องกับความเป็นอยู่ของคนในครอบครัว ในการศึกษาเรือนพื้นถิ่นของชาวผู้ไททั้ง 6 ชุมชนพบว่ามีคติความเชื่อในการปลูกสร้างเรือนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น ห้ามเงาของเฮือนนอนทับเล้าข้าว แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของชาวผู้ไทที่ทำให้เล้าข้าวได้รับแสงแดดทำให้ข้าวไม่ขึ้นรา รวมถึงการใช้พื้นที่ในเรือน เช่น ห้องเปิงหรือห้องพระเป็นส่วนที่ให้ลูกชายนอนมีหิ้งพระและกระดูกของบรรพบุรุษห้ามหญิงสาวหรือคนแปลกหน้าเข้ามาในส่วนนี้ ส่วนที่ลูกสาวนอนจะอยู่ใกล้กับครัวเพื่อสะดวกในการทำงานบ้าน ชุมชนผู้ไทจะมีความเชื่อที่กำหนดระเบียบวิถีทางสังคมและประเพณีในการปลูกสร้างเรือน เช่น ต้องทำพิธีเสี่ยงทายหาพื้นที่ปลูกเรือน มีการทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ ปัจจุบันชาวผู้ไทได้มีการเปลี่ยนแปลงการสร้างบ้านเรือนเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ความเจริญที่เข้ามาสู่หมู่บ้าน เช่น การตัดถนน ทำให้ภูมิปัญญาในการปลูกสร้างเรือนตามคติความเชื่อแต่ดั้งเดิมค่อยๆ เลือนหายไปผู้ไท,คติความเชื่อ,ระบบสังคม,เรือน,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=821
820Ph.D. DissertationThe Analysis of Moken Opportunistic Foragers' Intragroup and Intergroup RelationsNarumon Hinshirananงานวิจัยนี้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ภายในและระหว่างกลุ่มของมอแกน โดยใช้โมเดลของการพึ่งพาอาศัยกัน หรือ interdependent model โดยมองว่าผู้หาของป่าล่าสัตว์ร่วมสมัยไม่ได้อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรือดำรงชีวิตเพียงเศรษฐกิจแบบยังชีพ (self-sufficient economy) เท่านั้น แต่ยังทำการค้าเพื่อนบ้านควบคู่กันไป "ผู้หาเก็บตามโอกาส หรือ Opportunistic foragers" เป็นเทอมที่เหมาะสำหรับกลุ่มผู้หาเก็บร่วมสมัย เนื่องจากสามารถปรับตัวยืดหยุ่นต่อกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจต่างๆ ได้ สำหรับมอแกนแล้วการปรับตัวยืดหยุ่นเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิต การสำรวจมอแกนเกาะสุรินทร์ทำให้เห็นข้อด้อยของโมเดลการพึ่งพาอาศัยกัน 2 ข้อ ข้อแรกคือ ความสัมพันธ์ของกลุ่มผู้หาของป่าล่าสัตว์ไม่ได้ถูกขัดเกลาเพียงแค่การพึ่งพาอาศัยกัน พ่อค้าคนกลางที่ค้าขายกับมอแกนมักสร้างเงื่อนไขและข้อผูกมัด และมอแกนยังต้องมีการพึ่งพาทางเศรษฐกิจสังคมจากคนนอก ข้อสองคือ แนวคิดโดดเดี่ยว ยังคงมีบทบาทสำหรับการอธิบายการดำรงอยู่ของสังคมหาเก็บร่วมสมัย ซึ่งการโดดเดี่ยวนี้สามารถปกป้องการรุกรานอย่างรวดเร็วจากคนนอก อีกทั้งยังช่วยให้มอแกนสามารถรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและอิสรภาพได้อีกด้วย ภาพรวมของโครงข่ายความสัมพันธ์ของมอแกนที่มีต่อระบบทางสังคมภายในและความสัมพันธ์ภายในกลุ่มนั้นถูกขัดเกลาโดยการแบ่งปันทั้งแบบสมัครใจและเรียกร้อง ความสัมพันธ์ระหว่างและภายในกลุ่มนั้นแสดงให้เห็นถึงระบบย่อยที่มีอิทธิพลต่อกัน ซึ่งานวิจัยนี้สำรวจความหลากหลายและการปฏิบัติต่อกันของความสัมพันธ์นี้ ในช่วงท้ายของงานวิจัยนี้จะเป็นข้อเสนอแนะเกี่ยวกับรูปแบบของการพัฒนาที่เหมาะสมกับการช่วยเหลือจากคนนอก (หน้า iv-v)มอแกน,ความสัมพันธ์ทางสังคม,การเก็บของป่าล่าสัตว์,การหาเก็บตามโอกาส,การพึ่งพา,ภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2539ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=820
819วิทยานิพนธ์เรือนไทยดำบ้านนาป่าหนาด ตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลยทวี พรมมาเนื้อหากล่าวถึงเรือนไทยดำบ้านนาป่าหนาด ต.เขาแก้ว อ.เชียงคาน จ.เลย โดยเป็นการศึกษาพัฒนาการด้านรูปแบบเรือนไทยดำ โครงสร้างรวมทั้งส่วนประกอบต่างๆ ของเรือนไทยดำ ที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิต ความเชื่อ และประเพณีต่างๆ การใช้สอยพื้นที่บ้าน เช่น การจัดสรรห้องเป็นห้องนอน ห้องพักผ่อน ห้องครัว ห้องบูชาผีเรือน หรือกะล่อห้อง ซึ่งรวมอยู่ในพื้นที่เรือน นอกจากนี้ เรือนไทยดำ ยังได้แสดงให้เห็นถึงการติดต่อทางสังคมของไทยดำกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น เช่น ไทยอีสาน โดยได้นำรูปแบบเรือนของไทยอีสาน มาปรับปรุงจนเป็นเรือนไทยดำ พัฒนากระทั่งเข้ากับสภาพแวดล้อม ที่อยู่ การใช้ประโยชน์ และค่านิยมของไทยดำไตดำ,การสร้างเรือน,ความเป็นอยู่,ความเชื่อ,ประเพณี,เลยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเลย ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=819
818วิทยานิพนธ์ประเพณีพะซูของชาวผู้ไทยบ้านหนองหญ้าไซ ตำบลหนองหญ้าไซ อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานีมนัสกมล ทองสมบัติกล่าวถึงประเพณี "พะซู "หรือ "ปะซู " หรือการแต่งงานของผู้ไทย บ้านหนองหย้าไซ ต.หนองหญ้าไซ อ.วังสามหมอ จ.อุดรธานี โดยงานเขียนได้ระบุองค์ประกอบต่างๆ ของการจัดงาน พะซู เช่น การปฏิบัติ พิธีกรรม วิถีชีวิต อาหารในพิธี และความเชื่อต่างๆ ที่อยู่ในแต่ละขั้นตอนของงานพะซู เช่น การบัก การโอม การมอบหับไข่ไท้งา การกินดอง การกินก่าว การกินซอด นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงความเชื่อของผู้ไทยในการ ล้างเท้าเขย สะใภ้ การสมมาสิ่งของ การสู่ขวัญ การปูที่นอน การเฆี่ยนเขย งานพะซูได้บอกถึงสภาพความเป็นอยู่ ความเชื่อ และวัฒนธรรมของผู้ไทย ว่างานพะซูในแต่ละขั้นตอนนั้นมีความสำคัญและมีการปฏิบัติอย่างไรผู้ไท,ประเพณี,วัฒนธรรม,พิธีแต่งงาน,อุดรธานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดอุดรธานี ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=818
817รายงานการวิจัยรูปแบบศิลปะและการจัดการผ้าทอที่ส่งผลต่อความเข้มแข็งและการพึ่งตนเองของชุมชนท้องถิ่น : ศึกษากรณีผ้าไหมแพรวา สายวัฒนธรรมผู้ไท จังหวัดกาฬสินธุ์ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์, นันทิยา จันทร์อ่อน, สุดใจ ศรีบ้านโพนกล่าวถึงรูปแบบและการทอผ้าไหมแพรวาซึ่งเป็นวัฒนธรรมการทอผ้าของผู้ไท จ.กาฬสินธุ์ ในงานเขียนได้ระบุถึงการผลิตและการจำหน่าย และการส่งเสริมกระบวนการทอผ้าไหมแพรวา ซึ่งการทอผ้าได้มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลังจากที่สมเด็จพระราชินีนาถได้เสด็จมายัง จ.กาฬสินธุ์ จึงทรงมีพระราชดำริให้ตั้งกลุ่มทอผ้าซึ่งเป็นกลุ่มสตรีที่มีความสามารถในการทอผ้าใช้ในครัวเรือนมาแต่เดิม ให้มาร่วมกันและทางการก็ได้เข้ามาสนับสนุนโดย สนับสนุนด้านการออกแบบ กระบวนการผลิต และส่งเสริมในการจำหน่ายหาตลาดให้กับสมาชิกที่เข้ารวมกลุ่มเพื่อทอผ้าไหมแพรวาผ้าไหมแพรวา,ผู้ไท,ไทอีสาน,การพัฒนาการทอผ้าและการจำหน่าย,กาฬสินธุ์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=817
816รายงานการวิจัยประวัติศาสตร์ไทดำในประเทศไทยมนู อุดมเวชเนื้อหากล่าวถึงความเป็นมา และสาเหตุที่ทำให้ไทดำในประเทศไทยอพยพ ไปตั้งรกรากอยู่ที่แห่งใหม่ ซึ่งในงานวิจัยได้กล่าวถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไทดำต้องอพยพ เนื่องจากขาดแคลนที่ทำกินเนื่องจากมีประชากรเพิ่มขึ้น และที่อยู่เดิมเกิดความแห้งแล้งและศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของไทดำที่อยู่ในชุมชนต่างๆของแต่ละจังหวัดในประเทศไทย ทั้งนี้เนื่องจากว่าการอพยพหาที่อยู่ใหม่ของไทดำนั้น เป็นการอพยพเป็นกลุ่ม และไปอยู่รวมกันเป็นชุมชนที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ และบางส่วนก็ได้ไปอยู่รวมกลุ่มกับคนไทยพื้นเมือง ซึ่งต้องปรับตัวเข้าหากันเพราะว่ามีประเพณี ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้การไปตั้งรกรากในที่อยู่ใหม่นั้น ไทดำไม่ค่อยประสบปัญหาเรื่องการปรับตัว เพราะไทดำจะไปอยู่ที่ห่างไกลความเจริญห่างตัวเมือง โดยจะเน้นที่พื้นที่ทำกินและสามารถซื้อที่ดินแห่งใหม่ตามฐานะเศรษฐกิจของตนได้ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ประวัติศาสตร์ไตดำ,การอพยพ,ประเพณี,สังคม,วิถีชีวิต,ภาคกลาง,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=816
815บทความประวัติและเรื่องน่ารู้ของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์สมันตรัฐบุรินทร์พระยาสมันตรัฐบุรินทร์รับราชการครั้งแรกเป็นล่ามมลายูสังกัดกระทรวงกลาโหม และได้รับแต่งตั้งเป็นล่ามมลายูในกองข้าหลวงมณฑลปัตตานี ประจำอยู่หัวเมืองภาคใต้ที่อำเภอยะหริ่ง สายบุรี และหนองจิก ต่อมาได้รับราชการเป็นขุนราชบริรักษ์ ล่ามมณฑลปัตตานี ในปี พ.ศ.2459 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯเป็นพระยาสมันตรัฐบุรินทร์และได้ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลสืบต่อมาถึง 18 ปี เป็นผู้วางรากฐานในการพัฒนาท้องถิ่นอำเภอเบตงขึ้นเป็นคนแรก เมื่อได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ก็ปฏิบัติหน้าที่ในการเอาใจใส่ดูแลประชาราษฎร์ และพัฒนาจังหวัดเป็นอย่างดี เป็นผู้จัดตั้งโรงเรียนสอนหนังสือไทยขึ้นเป็นครั้งแรก จากเดิมที่โรงเรียนสอนแต่ภาษามลายู ทั้งยังได้พัฒนาด้านการคมนาคมด้วยการตัดเส้นทางทั้งทางรถไฟ และทางรถยนต์ เป็นตัวอย่างในการขุดบ่อเลี้ยงปลาที่ตำบลละงู ทั้งยังแนะนำส่งเสริมให้ราษฎรปลูกกาแฟ พริกไทยจนสามารถส่งออกไปขายยังปีนังอีกด้วย พระยาสมันตรัฐบุรินทร์เป็นผู้ที่สนใจศึกษาสภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและชนเผ่าในท้องที่ ทั้งยังมีความรู้ในเชิงกว้างทางด้านประวัติศาสตร์ ตำนานเรื่องเล่าทางศาสนา หลักความเชื่อตามหลักศาสนาอิสลาม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีพิธีการของชาวมลายู ชนเผ่าซาไกและชาวน้ำ จากรายงานการตรวจราชการและการตั้งข้อสังเกตผ่านบทความและปาฐกถาพบว่า พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ได้ให้ข้อแนะนำที่เป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ เหมาะสมจะนำไปปฏิบัติพัฒนางานด้านการศึกษาและการดูแลด้านสุขอนามัยแก่เยาวชนไทยมุสลิม,มุสลิม,พระยา,สมันตรัฐบุรินทร์,ประวัติ,ผลงาน,รายงานตรวจราชการ,สตูลตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสตูล ประเทศไทย2506ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=815
814บทความลาหู่บุญช่วย ศรีสวัสดิ์มูเซอมักเรียกตนเองว่า "ลาฮู" เป็นชนเผ่าที่นิยมการต่อสู้ เนื่องจากความเชื่อเกี่ยวกับ การต่อสู้และการตายเพื่อพระเจ้าหรือผีฟ้า อาณาจักรลาฮูก่อนถูกครอบครองมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล มีเมืองต่าง ๆ อยู่ถึง 36 หัวเมือง มีอำนาจทั้งทางปกครองและทางศาสนาคล้ายกษัตริย์ นอกจากการเป็นตัวแทนของพระเจ้าหรือผีฟ้าแล้ว พระมูเซอยังสอนให้จับอาวุธรุกรานชนเผ่าใกล้เคียง ต่อมาเมื่อถูกรุกรานก็แตกพ่าย ทิ้งอาณาจักรให้ตกอยู่ใต้การครอบครองของจีนและพม่า บางพวกอพยพเข้าไปอยู่รัฐกะฉิ่น บางพวก ลงมาทางใต้บริเวณเขตดินแดนสิบสองปันนา บางกลุ่มเข้าไปอยู่ในลาวเหนือ เวียดนามเหนือ รัฐฉาน (ไทยใหญ่) แล้วอพยพเข้าสู่ตอนเหนือของไทย มูเซอในประเทศไทยส่วนใหญ่อาศัยอยู่แถบเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก มูเซอมีภาษาเป็นของตัวเอง คือ ภาษามูเซอซึ่งชาวเขาเผ่าอื่นสามารถเรียนรู้และใช้ติดต่อสื่อสารกับมูเซอได้ นิยมสร้างบ้านตามแบบชาวไทยใหญ่เพื่อ ใช้อาศัยหลับนอนเพียงชั่วคราว เพราะมักจะอพยพย้ายถิ่นอยู่เสมอ มูเซอแดงส่วนใหญ่ฐานะยากจน เมื่อไม่มีข้าวทานก็มารับจ้างทำไร่ให้พวกก้อ ลีซอ แม้ว เย้าแล้วเอาข้าวไปรับประทานหรือเอาฝิ่นไปสูบ บ้างก็นำบุตรมาแลกฝิ่นกับพวกเย้า มูเซอแดงและมูเซอดำ มีการเต้นรำเพื่อพลีกรรมและเซ่นสังเวยผีฟ้า พิธีเต้นรำเพื่อบวงสรวง "เจ้างือซา" ของมูเซอแดงเรียกว่า "ปอยเต" มูเซอดำจะมีการเต้นรำบวงสรวงมากกว่ามูเซอเผ่าอื่นถือว่าเป็นการทำบุญล้างบาป เรียกพิธีนี้ว่า "เฮ็ดตาหลู่" ชายเผ่ามูเซอแดงชอบสูบฝิ่นและล่าสัตว์ ไม่ค่อยขยันทำการงานนัก จึงได้ชื่อว่าเป็นเผ่าเจ้าสำราญ ในขณะที่มูเซอดำขยัน ไม่นิยมสูบฝิ่น ไม่ชอบล่าสัตว์แต่ชอบเคี้ยวหมาก มูเซอรักลูกสาวมากกว่าลูกชาย สังคมมูเซอนิยมสืบสายตระกูลฝ่ายมารดา ชายหญิงมีสิทธิและฐานะเท่าเทียมกัน ต่างจากพวกแม้วและพวกเย้าลาหู่,ระบบเศรษฐกิจ,ระบบสังคม,ความเชื่อ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสตูล ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=814
813บทความแม้วบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ม้งในประเทศไทยแบ่งเป็น 3 เผ่า คือ ม้งขาว ม้งดำและม้งลาย ทั้งสามเผ่ามีภาษา ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมความเป็นอยู่คล้ายคลึงกัน ต่างเพียงเครื่องแต่งกาย ม้งนับถือผีฟ้า และผีเรือน เชื่อว่าผีฟ้ามีอำนาจเหนือมนุษย์และสัตว์ ส่วนผีเรือน เป็นวิญญาณบรรพบุรุษที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว ผีอื่น ๆ แม้วถือเป็นผีร้าย ม้งเคยอยู่ทางทิศใต้ของมองโกเลียแล้วอพยพมาอยู่ตอนกลางของจีน มีอาณาจักรและกษัตริย์ปกครอง ชาวจีนเคยเรียกพวกแม้วว่า "ชนชาติฮั่น" ครอบครัวม้งนับถือระบบอาวุโสเป็นหลัก และมักจะนับถือชายมากกว่าหญิง การสืบแซ่ตระกูลตกอยู่กับฝ่ายชาย ม้งรู้ภาษาจีนมากกว่าภาษาอื่น ถัดมาคือภาษาลาว -ไทย ม้งบางคนพูดภาษาจีนฮ่อได้ แต่มีความรู้เกี่ยวกับภาษาจีนน้อยกว่าเย้า เป็นชนเผ่าที่สูบฝิ่นจัดกว่าชาวเขาเผ่าอื่น โดยเฉพาะในพื้นที่สูงชันห่างไกลจากหมู่บ้าน เสื้อม้งรัดตัวมากกว่าเผ่าอื่น นุ่งกางเกงจีนยาวถึงข้อเท้า มีเป้ายาน หญิงม้งนุ่งกระโปรงมีลวดลายดอก มีแผ่นผ้าสี่เหลี่ยมปิดจากเอวด้านหน้าคล้ายผ้ากันเปื้อน ใช้ผ้าพันแข้งสีขาวดำ ไม่สวมรองเท้า ไม่มีหมอแผนปัจจุบันรักษายามเจ็บป่วย มักใช้วิธีเซ่นไหว้ผี มีการร้องเพลงและบรรเลงดนตรีในโอกาสต่าง ๆ มีการทำบุญทานไม้กระดาน "สะพานต่ออายุ" แล้วทำพิธีขับไล่ผีป่าจากร่างกายผู้ป่วย เรียกว่า "ฉะด้า" มีการกรีดสัญลักษณ์ลงบนท่อนไม้เล็ก ๆ เพื่อใช้แทนการส่งหนังสือ เช่น หากกรีดไม้เป็นรอยตรง ๆ สองรอยตรงหัวท้าย แล้วมัดขนไก่กับพริกขี้หนูติดไปด้วย แสดงว่ามีธุระด่วนที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ต้องการให้ไปหาโดยด่วน อาชีพหลักของม้ง คือการทำไร่ซึ่งมีทั้งไร่ข้าว ข้าวโพดและฝิ่นม้ง,วิถีชีวิต,ความเชื่อ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสตูล ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=813
812หนังสือต่องสู้บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ต่องสู้หรือกะเหรี่ยงดำเป็นชาวเขาเผ่าหนึ่งซึ่งไม่ยอมรับว่าตนเป็นกะเหรี่ยง มักอยู่ปะปนกับไทยใหญ่และไทยเขินตามจังหวัดชายแดน ตั้งบ้านเรือนอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามเนินเขา ชาวจังหวัดแม่ฮ่องสอนมักเข้าใจว่าเป็นกะเหรี่ยง นิยมแต่งกายด้วยชุดสีดำ ชายแต่งกายคล้ายไทยใหญ่ หญิงแต่งกายคล้ายกะเหรี่ยง พูดภาษาใกล้เคียงกับภาษากะเหรี่ยง มีถิ่นฐานเดิมอยู่บริเวณรอบทะเลสาบอินเลรัฐฉานตอนใต้ของพม่า ต่องสู้นับถือผีเรือนและผีหมู่บ้านทั้งยังเชื่อถือโชคลาง นิยมเกี้ยวพาราสีด้วยการร้องเพลง และนิยมฝังศพมากกว่าเผา เชื่อว่าเมื่อตายไปดวงวิญญาณ "เล่" จะลอยไปอยู่บนยอดเขาหลอยมอ ยอดสูงอยู่ทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นที่รวมดวงวิญญาณ บ้านต่องสู้จะมีแท่นบูชาผีบรรพบุรุษ ขนบธรรมเนียมของต่องสู้คล้ายคลึงกับกะเหรี่ยงเผ่าบวอยปะโอ,การตั้งบ้านเรือน,ตำนาน,ภาษา,การฝังศพ,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=812
811หนังสือซาไกบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ชนเผ่าเซียมังอาศัยอยู่บนแผ่นดินแหลมมลายูทางตอนเหนือ ส่วนชนเผ่าซาไกอยู่ตอน กลางและตอนใต้ของแหลมมลายูมาแต่เดิม ก่อนที่ชาวไทยและมลายูจะอพยพเข้าไป ลักษณะเด่นด้านชาติพันธุ์ของชนเผ่าทั้งสองแม้จะมีรูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกัน อีก ทั้งยังมีระบบความเชื่อในการนับถือผี การใช้ใบไม้หรือเศษผ้ามาปกปิดร่างกายเฉพาะแห่งแบบชาวป่า สภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบสังคมยังชีพดำรงชีวิตด้วยการหาของป่า ล่าสัตว์และแลกเปลี่ยนสิ่งของไม่ต่างกันนัก แต่ก็มีข้อปลีกย่อยที่แตกต่างกัน เช่น ซาไกรูปร่างเตี้ยและมีผิวคล้ำดำแดงกว่าเซียมัง ชอบอาศัยอยู่ตามป่ามากกว่าบนเนินเขาชอบอยู่ในที่ห่างไกลจากหมู่บ้านมลายู และมักโยกย้ายถิ่นที่อยู่เสมอ ในขณะที่เซียมังผิวคล้ำน้อยกว่า และมีรูปร่างสูงกว่าซาไกเล็กน้อย ชอบอาศัยอยู่ตามเนินเขาสูงหรือในป่าลึก ถนัดใช้หน้าไม้ ธนูและหอกมากกว่าใช้กล้องไม้ซางเป่าลูกดอกแบบซาไก นอกจากนี้ ยังเชื่อถือโชคลางน้อยกว่ามันนิแม้จะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานความเชื่อต่าง ๆ มากมาย เมื่อความเจริญมาเยือน ซาไกและเซียมังเริ่มผสมกลมกลืนกับคนท้องถิ่นเช่นชาวมลายูจนมีจำนวนลดลงไป เซียมังและมันนิที่ตั้งหลักแหล่งถาวรได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียนของรัฐมันนิ มานิ กอย คะนัง(ซาไก),แหลมมลายูตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=811
809บทความกะเหรี่ยงบุญช่วย ศรีสวัสดิ์กะเหรี่ยงเป็นชาวเขาเผ่าที่มีจำนวนประชากรสูงสุดในประเทศไทย แบ่งเป็นกะเหรี่ยงสะกอ กะเหรี่ยงโปว์ (กะเหรี่ยงยางขาว) และกะเหรี่ยงบวอย (กะเหรี่ยงยางแดง) มีสำเนียงพูด ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิตต่างกันบ้างตามสภาพแวดล้อมของ แต่ละท้องถิ่น กะเหรี่ยงส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตที่เกี่ยวโยงกับระบบความเชื่อเรื่องผีและโชคลางแบบไสยศาสตร์ ซึ่งสะท้อนผ่านสิ่งปลูกสร้าง ประเพณีพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การเลี้ยงผีในโอกาสต่าง ๆ หรือการที่กะเหรี่ยงเผ่าโปว์มีตำแหน่งสำหรับหญิงอาวุโสให้เป็นตัวแทนของผีหรือหมอผีสืบเชื้อสายตระกูลกันมา หรืองานปลูกเสาผีที่จัดขึ้นในเดือนเมษายนของทุกปีเรียกว่า "กะลู่มั่งกะล่า" แม้จะมีบางส่วนหันมานับถือพุทธศาสนาและศาสนาคริสต์ กะเหรี่ยงมีภาษาเป็นของตนเองตัวอักษรคล้ายภาษามอญและพม่า กะเหรี่ยงแดงถือว่าตนเป็นชาติใหญ่และไม่ยอมรับพวกกะเหรี่ยงขาวเผ่าสะกอและเผ่าโปว์ว่ามีเลือดกะเหรี่ยงแท้ กะเหรี่ยงในไทยส่วนใหญ่อยู่ทางภาคตะวันตกของประเทศไทยเท่านั้นปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การแต่งกาย,อาชีพ,ประเพณี,การเลี้ยงผี,การเกี้ยวพาราสี,ภาคเหนือ,ภาคกลางตะวันตกตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=809
808บทความเย้าบุญช่วย ศรีสวัสดิ์เย้าเป็นชนเผ่าที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายชาวจีน มีนิสัยรักสะอาด เย้ามักเลือกทำเลที่ตั้งหมู่บ้านบนไหล่เขา พื้นที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ไม่นิยมอยู่บนยอดเขาสูงเพราะกลัว ลมพายุ เดิมชนชาติเย้ามีตัวหนังสือของตนเองไม่ได้ใช้ตัวอักษรจีนอย่างทุกวันนี้ อย่างไรก็ดี เย้ามีภาษาพูดเป็นของตนเอง ซึ่งมีคำคล้ายภาษาแม้ว เย้าปลูกข้าวทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียวพันธุ์ต่าง ๆ มีฝีมือในการปลูกฝิ่นเหนือกว่าชาวเขาเผ่าอื่นๆ เพราะรู้จักเลือกที่ดิน จนทำให้ฝิ่นเป็นสินค้าสำคัญของเย้า แต่เมื่อรัฐบาลให้เลิกปลูกและสูบฝิ่น เย้าก็หันมาทำไร่ชาซึ่งสร้างรายได้ดี มีม้าเป็นพาหนะที่สำคัญของเผ่าในการบรรทุกของ เย้ามีขนบธรรมเนียมในการใช้ตะเกียบแบบจีน และมีการเลี้ยงน้ำชาผู้มาเยือนบ้าน มีตำนานและประวัติศาสตร์ของชนเผ่าสืบทอดกันมายาวนาน มีการร้องเพลงเกี้ยวพาราสีและธรรมเนียมเที่ยวสาวต่างหมู่บ้าน หญิงสาวเย้าไม่ถือเรื่องความบริสุทธิ์ นอกจากนี้ตามประเพณียังถือว่าค่าตัวของหญิงที่มีลูกติดแพงกว่าหญิงสาวทั่วไป ลูกที่ไม่มีพ่อก็ถือว่าเป็น "ลูกผีให้" เย้ามักใช้เงินแต่งงานมากกว่าทุกเผ่าถือเป็นการซื้อผู้หญิงมาเป็นภรรยา บางครั้งต้องไปกู้เงินเสียดอกเบี้ยแพง แล้วนำหญิงมาทำงานหาเงินให้สามีใช้หนี้ไม่ต่างจากทาสของสามี ชายเย้าจึงมักมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบาย ปล่อยให้ผู้หญิงทำงาน ทั้งยังสะสมเงินไว้แต่งงานหาภรรยามาบำเรอความสุขทางเพศ หญิงเย้าแม้มีครรภ์ก็ต้องทำงานทุกอย่าง มีสภาพไม่ต่างจากทาสหรือสัตว์เลี้ยงที่ถูกผู้ชายซื้อไว้เพื่อนำมาใช้งาน หมู่บ้านเย้ามีหมอผีหรือ "ซิบเมี้ยนเมี่ยน" เป็นตัวแทนประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ตามความเชื่อเรื่องผีและโชคลาง ประเพณีพิธีกรรมต่าง ๆ ของเย้า เช่น พิธีกินข้าวใหม่ พิธีเสี่ยงทายพื้นที่ฝังศพ เป็นต้นเย้า,วิถีชีวิต,เศรษฐกิจ,ครอบครัว,ความเชื่อ,พิธีกรรม,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=808
807บทความผีตองเหลืองบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ยุมบรีเป็นชนเผ่าเร่ร่อนในป่าลึก และมักโยกย้ายถิ่นอยู่เสมอ การนำใบตองมาใช้มุงเพิงพักเมื่อเปลี่ยนเป็นสีเหลืองก็ย้ายที่ตั้งใหม่ทำให้ถูกเรียกว่า "ผีตองเหลือง" ยุมบรีมีภาษาเป็นของตนเอง เป็นภาษาจำกัดถ้อยคำ ฟังคล้ายภาษาข่ามุและละว้า มักใช้ชีวิตอยู่กินอย่างเรียบง่ายด้วยการหาของป่า เก็บพืชผักผลไม้และล่าสัตว์ป่า ไม่นิยมสะสมอาหาร นุ่งห่มเปลือกไม้ปกปิดเฉพาะที่ลับ บ้างก็นุ่งห่มผ้าเก่า ๆ ระบบครอบครัวของยุมบรียึดระบบผัวเดียวเมียเดียว ยุมบรีนับถือผีป่าซึ่งสิงสถิตตามต้นไม้ใหญ่ มีการเซ่นผีในแต่ละปี มีการผูกข้อมือเรียกขวัญเมื่อเจ็บป่วย ยุมบรีมีสุขอนามัยไม่ดีนัก เนื่องจากไม่ค่อยรักษาความสะอาดของเสื้อผ้าและร่างกาย ผู้ชายสักหมึกตามร่างกายเป็นอักขระพื้นเมืองเหนือ เชื่อว่าช่วยป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายหรือสัตว์มีพิษ และช่วยให้คงกระพัน อาวุธที่ถนัดในการล่าสัตว์คือ กล้องไม้ซางเป่าลูกดอกคล้ายพวกเซียมังและซาไกมลาบรี มราบรี,คนป่า,ประวัติความเป็นมา,วิถีชีวิต,การแต่งกายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=807
806บทความอีก้อบุญช่วย ศรีสวัสดิ์อาข่านิยมตั้งบ้านเรือนสูงกว่าพวกเย้า ลีซอและมูเซอ ก้อนับถือผีและวิญญาณบรรพบุรุษ มีพิธีธรรมเนียมและสิ่งปลูกสร้างเป็นเครื่องบ่งบอก ถือคติปล่อยให้หญิงสาวและชายหนุ่มได้แสวงหาความสุขทางเพศโดยอิสระก่อนแต่งงาน มีประเพณีคัดเลือกผู้ทำหน้าที่ให้ความรู้ด้วยการเบิกพรหมจารีให้ มีทั้งตัวแทนของทั้งฝ่ายหญิงเรียกว่า "มิดะ" ฝ่ายชายเรียกว่า "ปู่จี" มีการร้องเพลงเต้นรำ เรียกว่า "ละจิฉ้อ"
การเต้นรำของก้อมีจังหวะเร็ว ประกอบเสียงแคน การเต้นรำของชายคล้ายเผ่ามูเซอ เนื้อเพลงที่ร้องเกี้ยวสาวเป็นเพลงรัก บ้างก็บรรยายเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ หรือรำพึงรำพันถึงความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว มีผูกโคลงกลอนสุภาษิตเป็นเนื้อเพลงด้วย การแต่งกายของก้อนิยมใช้สีดำล้วน ชายหนุ่มมีเครื่องประดับเป็นดอกจันโลหะเงิน นิยมโกนผมรอบศีรษะไว้ผมเป็นกระจุกตรงกลาง เรียกว่า "จอมบ่อ" แล้วปล่อยผมห้อยลงมาคล้ายหางเปีย เชื่อกันว่าหากไม่ไว้จุกนี้จะถูกผีทำให้เป็นบ้า
หญิงก้อนิยมแต่งกระโปรงจีบรอบเอวสั้นเหนือเข่า มีสนับแข้งสลับสี ก้อมีตำนานเรื่องเล่าพื้นบ้านถึงต้นกำเนิดของชนเผ่า อาข่าประกอบอาชีพเพาะปลูกข้าวไร่ พืชผักและปลูกฝิ่น อาข่าที่อยู่ใกล้พรมแดนพม่าปลูกฝิ่นเป็นอาชีพ และติดฝิ่นกันมาก เพราะถือเป็นพืชเงินสด อาข่านิยมหาของป่าไปแลกเนื้อสุนัขอาข่า,วิถีชีวิต,ระบบความเชื่อ,การเกี้ยวพาราสี,ระบบเศรษฐกิจ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัด ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=806
805วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับจำนวนบุตรในอุดมคติของชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง : ศึกษาเฉพาะกรณีจังหวัดน่านประสิทธิ์ ฤทธิ์เนติกุลงานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาจำนวนบุตรในอุดมคติของม้งและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ (อายุ เพศ สถานภาพสมรส จำนวนคนในครัวเรือน ฐานะของครัวเรือน ขนาดของที่ดินทำกิน ความสามารถในการใช้ภาษาไทย) ที่มีกับจำนวนบุตรในอุดมคติโดยศึกษาเปรียบเทียบระหว่างม้งที่มีสภาพเศรษฐกิจสมัยใหม่กับชุมชนที่เป็นแบบดั้งเดิม ผ่านชุมชนม้ง 2 แห่งใน จ.น่าน เป็นชุมชนแบบใหม่ 1 แห่งและแบบเก่า 1 แห่ง
สัมภาษณ์ประชากรอายุระหว่าง 15-44 ปี ทั้งชายและหญิงที่สมรสและยังไม่ได้สมรส ใช้ตัวอย่างชุมชนละ 150 คน ผลการวิจัยพบว่าสตรีม้งที่สมรสและสิ้นสุดวัยเจริญพันธุ์แล้วมีบุตรที่เกิดรอด 7 คน บุตรมีชีวิต 6 คน เสียชีวิต 1 คน มีบุตรในอุดมคติ 1 คน ส่วนบุตรในอุดมคติของม้งโดยเฉลี่ยทั้งหมดเท่ากับ 4.13 คน แยกเป็นชุมชนแบบใหม่มีจำนวนบุตรในอุดมคติคือ 3.97 คน ส่วนในชุมชนแบบเก่าคือ 4.65 คน ชุมชนม้งแบบดั้งเดิมมีจำนวนบุตรในอุดมคติมากกว่าชุมชนม้งแบบใหม่ เพราะชุมชนม้งแบบดั้งเดิมประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก ม้งยิ่งมีอายุมากขึ้นความต้องการมีบุตรในอุดมคติก็จะยิ่งมีมากขึ้นเพราะการไม่ได้รับการศึกษา ม้งที่ยังเป็นโสดมีบุตรในอุดมคติน้อยกว่ากลุ่มที่สมรสแล้ว เพราะกลุ่มที่ยังเป็นโสดได้รับการศึกษาและประสบปัญหาการประกอบอาชีพมากกว่ากลุ่มที่สมรสแล้ว ในชุมชนแบบใหม่ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าชุมชนแบบเก่า ความต้องการมีบุตรในอุดมคติมีน้อยกว่าชุมชนแบบเก่าเพราะการศึกษาที่มีมากกว่าและสภาพสังคมที่บีบรัด
ในชุมชนแบบใหม่ที่มีขนาดของที่ดินทำกินมาก ความต้องการมีบุตรก็จะมากขึ้นด้วย ส่วนชุมชนแบบดั้งเดิมยิ่งมีขนาดที่ดินมากขึ้นมีแนวโน้มที่จะมีบุตรในอุดมคติน้อยลง ยิ่งม้งมีความสามารถใช้ภาษาไทยมากขึ้นเท่าไหร่ความต้องการบุตรในอุดมคติยิ่งน้อยลงเท่านั้น เพราะมีโอกาสใกล้ชิดแหล่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวผ่านทางสื่อมวลชน โดยสรุปตัวแปรที่มีอิทธิพลกำหนดจำนวนบุตรในอุดมคติมากที่สุดเรียงตามลำดับคือ อายุ ความสามารถในการใช้ภาษาไทย ลักษณะของชุมชน ขนาดของที่ดินทำกิน ฐานะของครัวเรือน ส่วนเพศ สถานภาพสมรสและจำนวนคนในครัวเรือนมีอิทธิพลน้อยมากม้ง,เงื่อนไขทางสังคม,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=805
804บทความThe Meo of North-West Thailand, A Southeast Asian Hill TribeKeen, F. G. E.บทความนี้เป็นรายงานการศึกษาถึงความอยู่รอดของชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่บนที่สูงในสังคมโลกยุคปัจจุบัน โดยมีม้งในประเทศไทยเป็นกรณีศึกษา ซึ่งสังคมของม้งนั้นยังเป็นสังคมแบบหมู่บ้าน อยู่กันเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ภายในบ้านหลังเดียวกัน ซึ่งสร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย ม้งมีภาษาพูดของตนเองแต่ไม่มีภาษาเขียน และไม่มีองค์กรการปกครองใดของม้งที่จะมีอำนาจเหนือกว่าหมู่บ้านซึ่งมีผู้ใหญ่บ้านที่มาจากการเลือกตั้งของตัวแทนครอบครัวม้งเป็นผู้ปกครอง ไม่มีการแต่งงานหรือแม้กระทั่งการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างม้งกับชนกลุ่มน้อยบนที่สูงกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่ม้งเลย แต่เดิมเมื่อหลายพันปีก่อนม้งอาศัยอยู่ทั่วไปในประเทศจีน แต่ต่อมาได้ถูกขับไล่ออกมาและได้อพยพลงใต้เข้ามาอยู่ในดินเเดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่มีความขัดแย้งกับกลุ่มชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ก่อน ม้งจึงอพยพขึ้นไปอาศัยอยู่ในป่าและเลี้ยงชีพด้วยการถางป่าทำไร่หมุนเวียน และหันมาปลูกฝิ่นด้วยในช่วงคริสตศตวรรษ ที่ 19 ม้งมีความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติที่พวกเขาเรียกว่า "ผี" โดยมี "หมอผี" เป็นผู้ทำพิธีกรรมทางศาสนาและอ้างว่าสามารถติดต่อกับผีได้ จึงทำให้หมอผีเป็นผู้ที่มีอิทธิพลสูงมากในหมู่บ้านของม้ง ปัจจุบันม้งอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลไทยในฐานะที่เป็นพลเมืองของประเทศไทย วิถีชีวิตหลายๆอย่างของม้งที่ขัดต่อกฏหมายไทย ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนไป เช่น การทำไร่หมุนเวียนหรือการปลูกฝิ่น หากแต่ม้งยังมีความมั่นคงในความเชื่อในการใช้ชีวิตตามวิถีทางดั้งเดิมของตนอยู่เช่นเดิม ปัญหาก็คือว่า ม้งจะสามารถดำรงความเป็นตัวตนของตัวเองในสังคมโลกยุคปัจจุบันไปได้อีกนานสักเพียงใดม้ง,สภาพแวดล้อม,วิถีชีวิต,ความเชื่อ,สภาวะทางอำนาจรัฐไทย,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2508ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=804
803วิทยานิพนธ์วรรณกรรมไทยเย้าจากตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยาสุภาพร วิสารทวงศ์เป็นการรวบรวมนิทานพื้นบ้านของไทยเย้าในตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา มีเนื้อหาครอบคลุมวรรณกรรมพื้นบ้านประเภทนิทาน ภาพสะท้อนสังคมและโลกทรรศน์ทางสังคมในด้านต่าง ๆ เช่น ชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ ประเพณี ความเชื่อ ค่านิยม ที่ปรากฏในนิทานตามกฏวรรณกรรมพื้นบ้านของสติธ ธอมป์สัน (หน้า 68-70)เย้า,นิทาน,โลกทัศน์,พะเยาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=803
802วิทยานิพนธ์วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวผู้ไทย ศึกษาเฉพาะกรณีกิ่งอำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหารรัตนาภรณ์ พัสดุเศรษฐกิจดั้งเดิมของผู้ไทมีรากฐานจากการทำไร่ทำนาเป็นหลัก บริโภคอาหารที่เก็บหาจากธรรมชาติผสมผสานกับผลผลิตที่ได้จากการทำไร่นา ส่วนเสื้อผ้าก็นิยมทอใช้เอง หน่วยสังคมที่สำคัญของผู้ไท คือ ครอบครัวขยาย ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก และคู่สมรสของลูกๆ ซึ่งอาจมีทั้งสะใภ้และลูกเขย โดยที่ผู้อาวุโสฝ่ายชายจะเป็นผู้นำสำคัญของครอบครัว ครอบครัวหรือครัวเรือนหลายครัวเรือนตั้งถิ่นฐานรวมกันเป็นชุมชนหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำในการปกครองดูแล และมีสถาบันอื่น เช่น พระสงฆ์ และกรรมการหมู่บ้านร่วมดูแลชุมชนให้สงบสุข ในเรื่องความเชื่อ ผู้ไทนับถือพุทธศาสนาเหมือนคนไทยทั่วๆ ไป แต่ในขณะเดียวกันก็มีการนับถือผีตามความเชื่อดั้งเดิมด้วย ทำให้วิถีชีวิต ความเชื่อ และพิธีกรรมของผู้ไทมีเอกลักษณ์บางอย่าง เช่น พิธีเหยา อย่างไรก็ตาม ในชุมชนผู้ไทเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในแง่ต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และความเชื่อ ทำให้ประเพณี พิธีกรรม และลักษณะความสัมพันธ์บางประการเริ่มเปลี่ยนแปลงไปผู้ไท,วิถีชีวิต,โครงสร้างทางสังคม,มุกดาหารตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=802
801วิทยานิพนธ์การเปรียบเทียบบทบาทของบิดามารดาชาวพุทธและชาวมุสลิมในการปลูกฝังคุณธรรมทางศาสนาในครอบครัวแขไข สว่างพื้นผู้เขียนงานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาเกี่ยวกับหลักศาสนาพุทธและอิสลาม เพื่อช่วยในการทำความเข้าใจของวิธีสั่งสอนบุตรในครอบครัว โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การสั่งสอนบุตรของประชากรพุทธและการสั่งสอนบุตรของประชากรมุสลิม 1. การสั่งสอนบุตรของประชากรพุทธ เน้นหลักคำสอนตามพระไตรปิฎก ศีล5 คุณธรรมต่างๆที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ สอนให้ทำดีละเว้นความชั่ว ทำบุญไหว้พระตามเทศกาลทางพุทธศาสนา 2. การสั่งสอนบุตรของประชากรมุสลิม เน้นที่หลักคำสอนของพระคัมภีร์อัล-กุรอานและอัล-หะดีษ (หน้า 32) ซึ่งเป็นคำสอนของพระนบีมูฮัมหมัด ศาสดาของศาสนาอิสลาม เป็นหลักปฏิบัติตน มีคุณธรรมตามความเชื่อเพื่อให้ได้พบพระเจ้าเป็นความหวังอันสูงสุด (หน้า 30) โดยสรุปแล้วแม้ว่ามีความแตกต่างทางคำสอนแต่จุดมุ่งหมายของทั้งสองศาสนาเหมือนกันทำให้บุตรสามารถเติบโตเป็นคนดีมีคุณภาพต่อไปมุลสิม,ชาวพุทธ,บทบาทบิดามารดา,การอบรมเลี้ยงดูบุตร,หลักการศาสนา,นครศรีธรรมราชตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนครศรีธรรมราช ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=801
800วิทยานิพนธ์แนวทางในการจัดสวัสดิการให้แก่ชนกลุ่มน้อยในจังหวัดภาคใต้ : จากกรณีศึกษาเรื่องของชาวเลในเขตจังหวัดภูเก็ตและพังงาธนา วสวานนท์ผู้เขียนได้ศึกษาสภาพความเป็นอยู่ทั่วไป ของชาวเลในเขตจังหวัดภูเก็ตและพังงา โดยศึกษาเกี่ยวกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ การศึกษา สุขอนามัย และบริการด้านต่างๆ ที่ได้รับในปัจจุบัน และได้การสำรวจความต้องการด้านสวัสดิการต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการและแก้ปัญหาได้ นอกจากนี้ ยังศึกษาปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชนกลุ่มน้อยชาวเลในเขตพื้นที่ศึกษา ซึ่งผู้เขียนได้เน้นถึงสาเหตุสำคัญของปัญหาว่ามาจากความยากจน และการที่คนในพื้นที่ปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยชาวเลอย่างมีเงื่อนไข ประกอบกับภาครัฐยังไม่มีนโยบายด้านสวัสดิการ หรือส่งเสริมการพัฒนาชนกลุ่มน้อยชาวเลที่ชัดเจน จากประเด็นศึกษาทั้งหมดข้างต้น ผู้เขียนได้สรุปผลการศึกษาเป็นแนวทางในการจัดสวัสดิการให้แก่ชนกลุ่มน้อยชาวเลในจังหวัดภาคใต้ เพื่อนำข้อมูลเสนอหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป (หน้า 146-157)อูรักลาโว้ย,ชาวเล,วิถีชีวิต,การจัดสวัสดิการ,ภูเก็ต,พังงา,ภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนครศรีธรรมราช ประเทศไทย2523ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=800
799วิทยานิพนธ์"ปิ๊ห์" ดนตรีของชนเผ่าลัวะ บ้านเต๋ย จังหวัดน่านธรรมนูญ จิตตรีบุตรผลจากการศึกษาพบว่าชนเผ่าลัวะเป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่บริเวณจังหวัดน่านของประเทศไทย มีประเพณีความเชื่อและพิธีกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองคือ พิธี "สลด" โดย "ปิ๊ห์" เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ในการบรรเลงประกอบพิธีโสลดและมีความสำคัญมากต่อวิถีชีวิตของชนเผ่าลัวะ เครื่องดนตรีชนิดนี้เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงเป็นกลุ่มใหญ่ๆ จึงเสมือนว่าเป็นศูนย์รวมของชาวบ้านในการถ่ายทอดความรู้สึกทางวัฒนธรรม ลักษณะทางกายภาพของ "ปิ๊ห์" เป็นเครื่องดนตรีที่ผลิตจากไม้ไผ่ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ไม้เฮียะ" มีทั้งหมด10 ชุด แต่ละชุดมีเสียงที่ตายตัวแตกต่างกัน ด้านลักษณะเฉพาะทางดนตรีของ "ปิ๊ห์" พบว่าเป็นเพลงที่มีรูปแบบเดียว มีลักษณะการบรรเลงที่ซ้ำไปซ้ำมา ส่วนใหญ่แล้วเพลงที่บรรเลงโดย "ปิ๊ห์" ใช้กระสวนจังหวะที่เหมือนกันและใกล้เคียงกัน ด้านการเคลื่อนที่ของทำนองมีอยู่6ลักษณะคือ ทำนองแบบซ้ำตัวโน้ต แบบสลับฟันปลา แบบขาลงและขาขึ้น แบบขาขึ้นและขาลง และแบบขาลง (หน้า ง)ลัวะ,สังคม,วัฒนธรรม,ดนตรี,อารมณ์ความรู้สึก,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=799
798วิทยานิพนธ์Ethnic Pluralism in the Northern Thai City of Chiang MaiMichael R.J. Vatikiotisงานวิจัยชิ้นนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ตัวเมืองเชียงใหม่ ภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ผ่านการศึกษาลักษณะทางกายภาพ เศรษฐกิจและโครงสร้างทางสังคมของเมืองเชียงใหม่ จากข้อมูลพบว่าชาติพันธุ์ต่างๆ ที่เข้ามา ส่วนใหญ่จะมาจากชายแดนประเทศพม่า ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ซึ่งพวกเขาต้องมีการปรับตัวให้เข้ากันได้กับการปกครองของเมืองเชียงใหม่ในขณะนั้น ต่อมาในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ขึ้นไป การพัฒนาเมืองเชียงใหม่ ทำให้มีการเพิ่มจำนวนของกลุ่มผลประโยชน์ในบางกลุ่ม ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาวต่างด้าว ซึ่งเกิดจากการเติบโตการค้าและการพาณิชย์และสภาวะทางเศรษฐกิจของภูมิภาคที่เปิดโอกาสทางการธุรกิจ อีกทั้งเชียงใหม่เป็นพื้นที่ปลอดจากการรุกรานจากยุโรป (ด้วยลัทธิขยายอาณานิคม) และความปลอดภัยของเชียงใหม่ ทำให้ชาวต่างด้าวและชนกลุ่มน้อยเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพื่อทำการค้าขายในเชียงใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เคยติดต่อทำการค้าในพื้นที่แถบนี้มาก่อน การที่เชียงใหม่มีพื้นที่ติดกับลาวและพม่านั้น ไม่เพียงแต่สนับสนุนการอพยพย้ายถิ่นของชนกลุ่มน้อย แต่ก็สามารถส่งผลถึงความเติบโตในการค้าขายระหว่างชายแดนได้ดี โดยเฉพาะการปลอดจาการเข้ามาขัดขวางของรัฐบาล นอกจากนั้น ผู้วิจัยมีความเห็นว่า ในขณะที่นักวิชาการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ความสนใจกับชนกลุ่มน้อย จำนวน 300,000 คน ที่ตั้งรกรากในพื้นที่ภูเขา แต่ผู้วิจัยคิดว่าการศึกษาชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ชุมชนเมืองก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของพวกเขาซึ่งถึงแม้มีจำนวนน้อยก็มีผลกระทบต่อสังคมของชุมชนเมืองเช่นกัน อีกทั้งยังพบว่ามีการคาบเกี่ยวในการตั้งถิ่นฐานและปฏิสัมพันธ์กันระหว่างกันของชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่ม ยกตัวอย่างเช่น ชาวจีนและชาวต่างชาติที่มาจากเอเชียใต้ (ส่วนใหญ่คือชาวอินเดีย) ชาวจีนยูนนานกับชาวฉาน ข้อสังเกตอีกประการคือ ภูมิลำเนาเกิดมีความสำคัญในการดำเนินชีวิตมากกว่าลักษณะทางชาติพันธุ์ เช่น พบว่าชาวอาข่าที่มีชาติพันธุ์เดียวกันแต่เกิดที่ประเทศไทยกับเกิดที่พม่าจะมีการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในสังคมเชียงใหม่เกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการจัดการและปรับตัวของชนต่างด้าวและชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในเมืองได้เป็นอย่างดี มุสลิมจากเบงกาลีและจีนยูนนาน ได้แสดงออกและรักษาชาติพันธุ์ของตน ด้วยการแสดงว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในอาชีพของตน ซึ่งในที่นี้คือการค้าขายจีน,อินเดียน,จีนยูนนาน,ฉาน,ชาติพันธุ์,ความหลากหลาย,สังคมเมือง,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2527ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=798
797รายงานการวิจัยการศึกษาเปรียบเทียบประเพณีวัฒนธรรมของชาวผู้ไทย - ชาวโซ่ ศึกษาเฉพาะกรณีอำเภอพรรณานิคมและอำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนครสุรัตน์ วรางค์รัตน์งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบวัฒนธรรมของผู้ไทยในอ.พรรณานิคม และโซ่ใน อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร ในประเด็นประวัติความเป็นมา ระบบความเชื่อทางศาสนา ประเพณีการแต่งงานและระบบเครือญาติ ความเจ็บป่วยและการรักษาพยาบาลและประเพณีในการทำศพ ผลการวิจัยพบว่าผู้ไทยและโซ่อพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงเข้ามาอยู่ในดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยได้ก่อตั้งชุมชนกระจัดกระจายบริเวณพื้นที่ จ.นครพนมและ จ.สกลนคร ผู้ไทยและโซ่มีความเชื่อหลายอย่างคล้ายกันคือการนับถือผีที่เชื่อว่าสิ่งนอกเหนือธรรมชาติมีอำนาจให้คุณและโทษแก่มนุษย์ มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติเหล่านี้ได้จึงต้องเซ่นสรวงบูชาเพื่อให้ประโยชน์แก่ตน ความเชื่อตามหลักพุทธศาสนาที่เชื่อว่าเป็นเครื่องมือทำให้เกิดความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ความเชื่อตามแบบคติพราหมณ์เพื่อความเป็นศิริมงคลในโอกาสต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานบวช การสู่ขวัญผู้ที่จะจากบ้านหรือกลับบ้าน การรับขวัญผู้เจ็บป่วย ผู้ไทยและโซ่เชื่อว่าการผิดจารีตประเพณีเป็นการผิดผี ทำให้ผีโกรธและลงโทษครอบครัว แต่ถ้าบูชาอย่างถูกต้อง ผีนั้นก็จะให้ประโยชน์มากกว่าโทษ พิธีกรรมงานศพของผู้ไทยและโซ่ประกอบด้วยพิธีกรรมย่อย มีความหมายซ่อนอยู่ในตัวของมันเอง เช่น การอาบน้ำศพสะอาดถือเป็นการชำระมลทินให้ผู้ตาย การจัดพิธีสวดพระอภิธรรมหรือสวดยอดมุขของผู้ไทยมีความหมายคล้ายพิธีซางกมูทของโซ่ที่ต้องการให้วิญญาณอยู่ในอาการสงบ ส่วนความแตกต่างในพิธีกรรมสะท้อนให้เห็นความเชื่อเรื่องวิญญาณที่แตกต่างกัน การโปรยข้าวตอกตามเส้นทางไปสู่ป่าช้าของผู้ไทยหมายถึงการไม่กลับมาอีก แต่โซ่เชื่อว่าข้าวตอกจะช่วยบอกเส้นทางกลับบ้าน ผู้ไทยจะทำบุญให้ผู้ตายไปสู่สุคติ แต่โซ่จะเรียกวิญญาณผู้ตายให้กลับมาอยู่ในบ้านเพื่อเป็นผีบ้านผีเรือนคุ้มครองลูกหลาน พิธีกรรมการแต่งงานของผู้ไทยและโซ่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน เริ่มตั้งแต่การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว การสู่ขอ การหมั้นและการแต่งงาน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องฤกษ์งามยามดี ความเชื่อเรื่องขวัญ ความถูกต้องในพิธีกรรมจะทำให้เกิดความรุ่งเรือง ในตัวพิธีกรรมจะมีคำสอนในตัวของมันเอง ระบบครอบครัวของผู้ไทยและโซ่เป็นวงจร 2 แบบ เริ่มจากการเป็นครอบครัวเดี่ยวเมื่อหนุ่มสาวแต่งงานกันและมีบุตร บุตรแต่งงานก็อาจนำเอาสามีภรรยามารวมอยู่ในบ้านทำให้เกิดครอบครัวขยายหลังจากนั้นคู่สมรสจึงออกไปปลูกบ้านตั้งครอบครัวของตนโดยอิสระ โดยปลูกบ้านบริเวณใกล้เคียงกับบ้านของพ่อแม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำให้เกิดบ้านเล็กในเขตบ้านใหญ่ (Multi - household Compound) เกิดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจ แรงงาน ผู้ไทยและโซ่เลื่อมใสการรักษาพยาบาลแบบพื้นบ้านตามวิธีทางไสยศาสตร์ ด้วยความเชื่อที่ว่าความเจ็บป่วยเกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติ การแก้ไขก็ต้องใช้อำนาจเหนือธรรมชาติเช่นเดียวกัน และบุคคลที่จะรักษาได้ต้องเป็นผู้สามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากผีหรืออำนาจเหนือธรรมชาติได้ บุคคลผู้นั้นคือหมอไสยศาสตร์ซึ่งจะรักษาไปตามประสบการณ์ของแต่ละคนผู้ไท,โส้,ประเพณี,วัฒนธรรม,สกลนครตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=797
796รายงานการวิจัยลาวโซ่ง : รายงานการวิจัยสุมิตร ปิติพัฒน์, บัณฑร อ่อนดำ, พูนสุข ธรรมาภิมุขรายงานการวิจัย "ลาวโซ่ง" ฉบับนี้ ศึกษาลาวโซ่งในแง่มุมต่างๆ ตั้งแต่ประวัติความเป็นมาของลาวโซ่ง ชุมชนและสภาพเศรษฐกิจของลาวโซ่งที่บ้านดอนทราย พื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรม แบบแผนการดำเนินชีวิตและวัฏจักรชีวิตของลาวโซ่ง ประเพณีและพิธีกรรมทางศาสนา โดยเลือกศึกษาชุมชน ลาวโซ่งในหมู่บ้านดอนทราย ต.ทับคาง อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี ผลการวิจัยพบว่า ลาวโซ่งเป็นกลุ่มไทโบราณกลุ่มหนึ่งมีถิ่นฐานเดิมอยู่ในแคว้นสิบสองจุไทย (ปัจจุบันคือเวียดนามเหนือตอนที่เชื่อมต่อกับลาวและจีนตอนใต้) ถูกกวาดต้อนเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ลาวโซ่งหมู่บ้านดอนทรายซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยชิ้นนี้มีระบบเศรษฐกิจแบบชาวไร่ชาวนา (Peasant Community) มีอาชีพเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ พืชที่เพาะปลูกส่วนใหญ่เป็นข้าวเจ้าเกือบทั้งหมด พันธุ์ข้าวที่ใช้เกือบทั้งหมดเป็นพันธุ์พื้นบ้าน ผลผลิตข้าวต่อไร่ของชาวบ้านเฉลี่ยไร่ละ 28.7 ถัง ส่วนสัตว์เลี้ยง ชาวบ้านนิยมเลี้ยงเป็ด ไก่ เพื่อบริโภคในครัวเรือน เมื่อเหลือจึงนำออกขาย ส่วนอาชีพเสริมอื่นๆ ของชาวบ้านดอนทรายมีทั้งการเป็นแรงงานรับจ้าง ค้าขาย รับราชการ ทำไร่ ระบบสังคมของลาวโซ่งแบ่งชนชั้นออกเป็น 2 กลุ่ม คือ "พวกเจ้า" หรือ "ผู้ท้าว" และ "พวกคนธรรมดา" หรือ "ผู้น้อย" ดั้งเดิม แต่ปัจจุบันไม่มีความแตกต่างทางสังคม ระบบครอบครัวเป็นแบบครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family) คือ ลูกชายพาภรรยาไปตั้งบ้านเรือนใหม่ของตนเอง พ่อเป็นผู้มีอำนาจและเป็นผู้นำการสืบสกุลจะนับทางฝ่ายพ่อ (Patrilineal) แบบแผนชีวิตของลาวโซ่งล้วนมีพิธีกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะลาวโซ่งเชื่อว่าสิ่งต่างๆ ในโลกอยู่ใต้อำนาจของผีและสิ่งเหนือธรรมชาติ ชีวิตคนจึงเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับผีต่างๆ ทั้งผีดีและผีร้าย ดังนั้นลาวโซ่งจึงต้องบูชาเซ่นไหว้ผีอยู่เสมอ ปัจจุบันพิธีกรรมทางศาสนาหลายอย่างเริ่มห่างหายไปจากสังคมของลาวโซ่งตามสภาพสังคมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,วิถีชีวิต,ความเชื่อ,พิธีกรรม,ชุมชน,เพชรบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2521ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=796
795รายงานการวิจัยข้อห้ามและข้อนิยมเบื้องต้นทางสังคมของชาวเขาเผ่าอีก้อภาคเหนือพินิจ พิชยศิลป์พรรณนาการดำรงชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม และสังคมของอาข่า ตั้งแต่รูปแบบลักษณะหมู่บ้านและบ้าน การแต่งกาย อาหารการกิน การแต่งงาน ครอบครัว เครือญาติ การปกครองภายในหมู่บ้าน การประกอบอาชีพ ความเชื่อเรื่องโชคลาง ตลอดจนประเพณีต่างๆ ในแต่ละช่วงฤดูกาล และอธิบายถึงข้อห้าม ข้อนิยม ในเรื่องต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการนับถือผี และความเชื่อในสิ่งเร้นลับอันให้สังคมอาข่าอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอาข่า,ข้อห้าม,ข้อนิยมทางสังคม,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2517ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=795
794-ข้อมูลและข้อสนเทศเบื้องต้นเกี่ยวกับชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (โป) บ้านดงดำ ตำบลฮอด อำเภอฮอด จ.เชียงใหม่ประวิตร โพธิอาสน์บ้านดงดำตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง แต่เดิมเป็นหมู่บ้านใต้เขื่อนภูมิพล สำหรับชุมชนกะเหรี่ยงโปแยกตัวออกมาจากกะเหรี่ยงที่บ้านโฮ่ง ซึ่งตั้งรกรากมานานถึง 35 ปีแล้ว ถิ่นที่อยู่ของกะเหรี่ยงในอำเภอฮอดนี้มีอายุเก่าแก่ถึง 200 ปี หลังจากชาวกะเหรี่ยงที่อยู่ในเขตน้ำท่วมก็อพยพมาอยู่ที่นิคมเขื่อนภูมิพล มาตั้งเป็นหมู่บ้านดงดำใหม่ประกอบด้วย บ้านดงดำเหนือ บ้านดงดำใต้ บ้านสารภีเหนือและบ้านสารภีใต้ ชาวบ้านได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินครอบครัวละ 5 ไร่ จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2519 หมู่บ้านดงดำมีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 458 คน เป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงโป 433 คน ชาวบ้านดงดำนับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ยังคงเคร่งครัดต่อความเชื่อในการนับถือผีและประเพณีดั้งเดิม ภายในหมู่บ้านมีวัดและโรงเรียน ได้รับบริการสาธารณสุขจากหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ รวมถึงบริการวางแผนครอบครัวจาก ม. เชียงใหม่ ชาวบ้านดงดำแต่เดิมมีเศรษฐกิจแบบยังชีพ กล่าวคือ ประกอบอาชีพทำไร่เลื่อนลอยและหาของป่า ต่อมาก็เริ่มเปลี่ยนมาประกอบอาชีพรับจ้าง ทำเกษตร ทำประมงเพื่อสร้างรายได้ที่เป็นตัวเงิน กะเหรี่ยงบ้านดงดำนิยมปลูกพืชล้มลุกระยะสั้น เช่น ถั่วลิสง พริก ละหุ่ง ยาสูบ ถั่วเหลือง ข้าวโพด และเลี้ยงสัตว์ งานฝีมือที่เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนได้รับการส่งเสริมจากศูนย์วิจัยชาวเขาและได้เงินทุนหมุนเวียนและช่องทางการจัดจำหน่ายจากสถานเอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์โพล่ง) โผล่ง โพล่ว ซู กะเหรี่ยง,โครงสร้างประชากร,เศรษฐกิจ,สังคม,การปกครอง,การศึกษา,ศาสนา,เชียงใหม่,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2520ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=794
793รายงานการวิจัยการวิเคราะห์นิทานพื้นบ้านผู้ไทยจากจังหวัดกาฬสินธุ์อรทัย สุทธิ, ภาสพงษ์ ผิวพอใช้ และสกุลพรรณ โพธิจักรการศึกษาครั้งนี้มุ่งเก็บรวบรวมนิทานพื้นบ้านของชาวผู้ไทย เพื่อจำแนกประเภทตามรูปแบบของนิทาน วิเคราะห์เนื้อหาของนิทานและความสัมพันธุ์ระหว่างนิทานกับสภาพสังคมและวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทยในจังหวัดกาฬสินธุ์ ผลการศึกษาพบว่ามีนิทานพื้นบ้านของชาวผู้ไทยทั้งสิ้น 102 เรื่อง เป็นนิทานมุขตลก 37 เรื่อง นิทานชีวิต 24 เรื่อง นิทานคติ 20 เรื่อง นิทานผี 9 เรื่อง นิทานอธิบายเหตุ 7 เรื่อง นิทานสัตว์ 3 เรื่อง และนิทานประจำถิ่น 2 เรื่อง ด้านโครงสร้างมีกฎของวรรณกรรมพื้นบ้านที่สอดคล้องกับนิทานพื้นบ้านผู้ไทยได้แก่ กฎของการเริ่มเริ่งและจบเรื่อง กฎแห่งการซ้ำ กฎแห่งการแตกต่างแบบตรงกันข้าม กฎของการสร้างเรื่องเชิงเดี่ยว ฉากประทับใจ เรื่องความสมเหตุสมผล เรื่องของเอกภาพและการเพ่งจุดสนใจไปที่ตัวละครเอกเพียงตัวเดียว ส่วนด้านการสะท้อนวิถีชีวิตของชาวบ้านพบหลายด้านด้วยกันเช่น ด้านสภาพความเป็นอยู่ ด้านครอบครัว ด้านการประกอบอาชีพ ด้านประเพณี ด้านความเชื่อ ด้านค่านิยมและบทบาทของสมาชิกในสังคมผู้ไท,นิทาน,ภาพสะท้อนสังคม,ความเชื่อ,ค่านิยม,กาฬสินธุ์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=793
792รายงานการวิจัยการเลี้ยงช้างของชาวไทย-กุย(ส่วย) ในจังหวัดสุรินทร์ชื่น ศรีสวัสดิ์ผลการศึกษาพบว่า ชาวไทย-กุย(ส่วย) เดิมอาศัยอยู่ที่ ทางตอนใต้ของประเทศลาว และทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรกัมพูชา ก่อนที่ลาวจะสถาปนาตนเองในช่วงศตวรรษที่ 18-20 พวกเขามีความผูกพันกับช้างมาก เมื่ออพยพเข้าที่ประเทศไทยมาอยู่ที่อิสานตอนใต้ก็ได้นำช้างเข้ามาด้วย โดยมีการเลี้ยงดูช้างในฐานะที่เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน ในสามลักษณะคือ เป็นมรดกทางวัฒนธรรม เป็นทรัพย์สินที่มีค่า และเป็นสมาชิกในครอบครัว การประพฤติต่อช้างจึงต้องให้ความใส่ใจกับช้างมากเป็นพิเศษ การใช้ประโยชน์จากช้าง มีตั้งแต่ขายช้างทั้งตัว ขายงา ขายขนหาง ขายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ทำจากช้าง อาทิ งา ขน น้ำมันช้าง นำช้างไปแสดงต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไปรับจ้างให้คนขี่ และจากการวิจัยพบว่าจำนวนประชากรช้างในจังหวัดสุรินทร์ได้ลดลงไปอย่างรวดเร็ว จาก 361 เชือก ในปี 2522 เหลือ 101 เชือก ในปี 2529 และการเลี้ยงช้างในปัจจุบันประสบปัญหาการขาดแคลนสถานที่เลี้ยงดู จึงทำให้ต้องขายช้างไปในพื้นที่ต่างถิ่นเป็นจำนวนมาก แม้ช้างจะมีเหลือจำนวนไม่มากนักแต่ชาวไทย กุย พยายามสร้างคุณค่าให้กับช้าง โดยการฝึกให้สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายประการ เช่น การแสดงในงานช้าง รับจ้างไปปรากฏตัวในงานต่าง ๆ ซึ่งบทบาทดังกล่าว ทำให้ช้างได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไปมากขึ้น ความสำคัญของช้างก็กลับมาอีกครั้ง และในส่วนของจังหวัดได้ให้ความสำคัญมากขึ้น ด้วยการส่งเสริมการเลี้ยงช้าง ตั้งแต่การเอาใจใส่เมื่อช้างเจ็บป่วย การจัดทะเบียนช้าง และการให้รางวัลช้างเกิดใหม่ นอกจากนี้ผู้วิจัยได้ให้ข้อเสนอแนะว่าควรมีการส่งเสริมและสนับสนุนการเลี้ยงช้างในหลายวิธีการ ได้แก่ 1) การจัดที่เลี้ยงดูถาวร เนื่องจากปัจจุบันควาญช้างทั้งหลายต่างประสบปัญหาเกี่ยวกับที่เลี้ยงช้าง เพราะที่ว่างเปล่าซึ่งเป็นทำเลี้ยงช้าง ได้ถูกบุกเบิกเป็นที่นาหมด ดังนั้นช้างจึงมักถูกล่ามไว้ตามหัวไร่ปลายนา ได้กินอาหารเพียงแค่ประทังชีวิตไปวัน ๆ โดยเฉพาะในช่วงทำนาจะลำบากมาก 2) ควรหาวิธีการตอนช้างพลาย เพื่อให้ลดความดุร้าย เพราะด้วยความดุร้ายของมันทำให้ชาวบ้านไม่นิยมเลี้ยง มันจะขายไปต่างถิ่นเพื่อใช้งาน หากทำให้ช้างเชื่องกว่าเดิม จะสามารถมาฝึกให้ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น (หน้า 67)กูย,ส่วย,ประวัติ,ความเป็นมา,วิถีชีวิต,การเลี้ยงช้าง,สุรินทร์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=792
791รายงานการวิจัยImpact of Deforestation and Reforestation Program on Household Survival Strategies and Women's Work: The Case of the Karen and Lisu in a village of Northern Thailand.Shalardchai Ramitanondh and Virada Somswasdiรายงานนี้ มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ที่เกิดกับชาวลีซอและกะเหรี่ยง หลังจากที่รัฐบาลได้ดำเนินโครงการปลูกป่าทดแทนเพื่อแก้ปัญหาการทำลายป่าของชาวเขา และรักษาป่าต้นน้ำ ในพื้นที่หมู่บ้านปางขุม ตำบลยั้งเมิน อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งผลการศึกษาสามารถสรุปได้ ดังนี้ การดำเนินโครงการทำให้เกิดการลดลงของพื้นที่ป่า ซึ่งในขณะนั้นมีจำนวนจำกัดอยู่แล้ว ในประเด็นเรื่องความขัดแย้งของลีซอและกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น ถึงแม้ว่าจะมีการขัดแย้งกันอย่างชัดเจนทั้งในประเด็นเรื่องทรัพยากรน้ำและที่ดินทำกิน แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นความสัมพันธ์อีกประเภทหนึ่ง คือ ความสัมพันธ์แบบ "ขั้วตรงกันข้าม" (Unity of opposites) ลีซอให้งานกับกะเหรี่ยงที่ยากจนทำ เพราะต้องการแรงงาน ด้วยความสัมพันธ์เช่นนี้ทำให้กะเหรี่ยงไม่อพยพย้ายลงไปที่ราบที่ชุมชนของคนเมือง และถึงแม้ว่าสถานการณ์จะดูเหมือนไม่ค่อยดี จนทำให้ลีซอต้องการย้ายไปที่แห่งอื่น อย่างไรก็ตามรัฐบาลไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น และเชื่อว่าในที่สุดแล้วทั้งสองจะยังคงตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เดิม และโครงการรักษาป่าของรัฐบาลจะส่งผลกระทบกับทั้งสองชาติพันธุ์อย่างแน่นอน โดยไม่จำกัดเพศหรือวัย และดูเหมือนว่าในวัยทำงานทั้งชายหญิงจะต้องทำงานหนักขึ้นอย่างแน่นอน และถ้างานนั้นเป็น "งานบ้าน" ผู้หญิงทั้งกะเหรี่ยงและลีซอต้องรับภาระหนักอย่างแน่นอน (หน้า 220)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ลีซู,การทำลายป่า,การทำไร่เลื่อนลอย,การปลูกป่าทดแทน,กลยุทธ์การอยู่รอด,ผู้หญิง,จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2535ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=791
790หนังสือคนพื้นเมืองกับพื้นที่อนุรักษ์โครงการนำร่องอันดามัน หมู่เกาะสุรินทร์หนังสือ "คนเมืองกับพื้นที่อนุรักษ์" เป็นการสรุปย่อโครงการนำร่องอันดามัน หมู่เกาะสุรินทร์ ที่ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาทางเลือกการพัฒนาอย่างยั่งยืน ให้การดำรงอยู่ของชุมชนและวัฒนธรรมมอแกนที่สอดคล้องกับการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมชายฝั่งทะเลที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและบ้านของมอแกน โดยเนื้อหาในหนังสือเป็นการสรุปกิจกรรมที่ทางโครงการฯได้ดำเนินการไปหลายโครงการ และมีเนื้อหาในแง่มุมต่างๆ ของมอแกนสอดแทรกอยู่ในหนังสือด้วย ทั้งประวัติความเป็นมา สภาพเศรษฐกิจ การดำรงชีวิต สุขภาพ ศิลปวัฒนธรรม ความเชื่อ และสภาพสังคมของมอแกนที่เปลี่ยนแปลงไปมอแกน,ชาวเล,พื้นที่อนุรักษ์,โครงการนำร่องอันดามัน,หมู่เกาะสุรินทร์,พังงาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพังงา ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=790
789วิทยานิพนธ์การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการสื่อสาร ความเชื่อทางศาสนาและความทันสมัยของชาวไทยมุสลิมในอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานีจินตวดี พุ่มศิริผู้เขียนได้วิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการสื่อสาร ความเชื่อทางศาสนาและความทันสมัยของไทยมุสลิมใน อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี โดยใช้วัดกับตัวแปรทางประชากรโดย 1) กำหนดตัวแปรด้านรายได้ ระดับการศึกษา ตำแหน่งในสังคม การสื่อสารระหว่างบุคคล การติดต่อกับสังคมภายนอกกับความสัมพันธ์ในการเปิดรับสื่อมวลชน ผลปรากฏว่าตัวแปรส่วนใหญ่มีความสอดคล้องต่อการเปิดรับสื่อมวลชนแต่ตัวแปรรายได้ตำแหน่งในสังคมไม่มีผลต่อการเปิดรับสื่อมวลชน 2) ตัวแปรด้านอายุกับความสัมพันธ์ในการเปิดรับสื่อมวลชนและความทันสมัย กล่าวคือกลุ่มที่มีอายุน้อยจะมีการเปิดรับสื่อมวลชนมากและมีความทันสมัยสูงกว่ากลุ่มที่มีอายุมาก 3) ตัวแปรรายได้ ระดับการศึกษา ตำแหน่งในสังคม การสื่อสารระหว่างบุคคล การติดต่อกับสังคมภายนอกและการเปิดรับสื่อมวลชนกับความสัมพันธ์เรื่องความทันสมัย ปรากฏว่าตัวแปรด้านรายได้ ระดับการศึกษา การติดต่อกับสังคมภายนอกและการเปิดรับสื่อมวลชนมีผลต่อความทันสมัย ส่วนตำแหน่งในสังคมและการสื่อสารระหว่างบุคคลไม่ได้มีผลต่อความทันสม 4) ตัวแปรรายได้ ระดับการศึกษา ตำแหน่งในสังคม การสื่อสารระหว่างบุคคล การติดต่อกับสังคมภายนอกและการเปิดรับสื่อมวลชนกับความสัมพันธ์ในความเชื่อทางศาสนา ปรากฏว่าตัวแปรส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนา แต่การติดต่อกับสังคมภายนอกเป็นตัวแปรที่ไม่มีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนา 5) ตัวแปรด้านอายุกับความเชื่อทางศาสนา บ่งบอกว่าไทยมุสลิมในจังหวัดปัตตานีที่มีอายุมากจะมีความเชื่อทางศาสนามากในทางตรงกันข้ามคนที่มีอายุน้อยจะมีความเชื่อทางศาสนาลดน้อยลง 6) ตัวแปรด้านความทันสมัยกับความเชื่อทางศาสนา กล่าวคือความทันสมัยไม่มีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนาของไทยมุสลิม (หน้า 102-107)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ไทยมุสลิม,การสื่อสาร,ความทันสมัย,ความเชื่อ,ปัตตานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=789
788วิทยานิพนธ์A Study on Nutritional Status Of Karen Lactating Woman and the Quality of Breast Milk in Vitamin a Deficient AreasNathika Silalaiอาการขาดวิตามินเอในกลุ่มเด็กทารกและเด็กก่อนวัยเรียนเป็นปัญหาอย่างมากในอำเภออมก๋อยจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับคุณภาพน้ำนมและการให้นมบุตร จุดประสงค์ของการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบคุณภาพน้ำนมระหว่างพื้นที่ราบใกล้ตลาดและโรงพยาบาลกับพื้นที่สูงห่างไกลตลาดและโรงพยาบาล และระหว่างฤดูฝนกับฤดูแล้ง โดยเก็บข้อมูลในกลุ่มหญิงให้นมบุตร 25 คนและ 38 คนในพื้นที่ราบและพื้นที่สูงตามลำดับ ทางด้านสถานภาพทางสังคม-เศรษฐกิจของครอบครัว น้ำหนัก-ส่วนสูง และข้อมูลการบริโภคอาหาร ขณะเก็บตัวอย่างน้ำนมแม่ในกลุ่มหญิงให้นมบุตรช่วง 12 เดือนแรกเท่านั้นทั้งสองพื้นที่และสองฤดูกาล ลักษณะพื้นที่และฤดูกาลที่ต่างกันนั้นมีผลต่อสารอาหารที่ได้รับของหญิงให้นมบุตร ข้อมูลการบริโภคอาหารของหญิงให้นมบุตรแสดงให้เห็นว่า กลุ่มพื้นที่สูงในช่วงฤดูแล้งจะได้รับพลังงานต่ำกว่าในช่วงฤดูฝนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ขณะเดียวกันในช่วงฤดูแล้งนั้นกลุ่มพื้นที่สูงได้รับพลังงานต่ำกว่ากลุ่มพื้นที่ราบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเช่นกัน สารอาหารอื่นๆ ก็เช่นกัน และปริมาณไขมันที่บริโภคอยู่ในอัตราต่ำกว่าร้อยละ 10 ซึ่งส่งผลต่อการดูดซึมวิตามินเอทั้งในสองพื้นที่และสองฤดูกาล จากการศึกษาองค์ประกอบของน้ำนมพบว่า ปริมาณวิตามินเอในน้ำนมมีค่าต่ำกว่าปกติ นอกจากนั้นปริมาณวิตามินเอของหญิงให้นมบุตรในพื้นที่ราบมีค่าสูงกว่าในพื้นที่สูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และในช่วงฤดูฝนก็สูงกว่าในฤดูแล้งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จำนวนหญิงให้นมบุตรที่มีปริมาณวิตามินเอในน้ำนมต่ำในพื้นที่สูงช่วงฤดูแล้งมีค่าสูงที่สุดคือร้อยละ 83.3 จากการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ลักษณะของพื้นที่และฤดูกาลที่ต่างกันนั้นมีผลต่อการได้รับสารอาหารของหญิงให้นมบุตรในปริมาณที่ต่างกันซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณวิตามินเอในน้ำนมแม่ และจะส่งผลกระทบไปยังการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กรวมไปถึงภาวะการขาดวิตามินเอของเด็กทารกและเด็กก่อนวัยเรียนต่อไป การแจกยาเม็ดวิตามินเอแก่แม่และปรับปรุงการบริโภคอาหารของหญิงให้นมบุตร คุณภาพน้ำนม และรูปแบบการเลี้ยงดูเด็กทารกนั้นจัดเป็นวิธีที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาเหล่านี้ (หน้า IV)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โภชนาการ,คุณภาพน้ำนม,การขาดวิตามินเอ,อมก๋อย,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=788
787วิทยานิพนธ์A Study of Language Choice For Social Communication Among Hmong, Khmu, and Prai at Ban Nansord, Thung Chang District, Nan Provinceสถาพร บุญประเสริฐการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา การใช้ภาษาของชุมชนม้ง ขมุ และปรัย ที่บ้านน้ำสอด อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน โดยจะศึกษาภาษาที่ใช้ภายในกลุ่มของตนเองและติดต่อกันระหว่างกลุ่ม รวมทั้งการติดต่อกับคนไทย โดยดูว่าแต่ละกลุ่มจะมีการเลือกใช้ภาษาใด ในสถานการณ์ใด และกับใคร เพื่อใช้เป็นแนวทางอธิบายสภาพชุมชน ว่ามีสภาพการใช้ภาษาเป็นอย่างไร ต้องการที่จะเรียนภาษาใดมากน้อยเพียงใด<br />
<br />
นอกจากศึกษาการใช้ภาษาแล้ว ยังศึกษาทัศนคติที่กลุ่มคนเหล่านั้นต่อภาษา วัฒนธรรม และบุคคลต่างๆ ด้วย ผลจากการวิจัยพบว่า กลุ่มม้งยังมีการเลือกใช้ภาษาของตนเองมากที่สุด ในการติดต่อภายในกลุ่มตนเอง รองลงมาคือกลุ่มขมุ และกลุ่มปรัย ส่วนในการติดต่อระหว่างกลุ่มแต่ละกลุ่มก็จะมีการเลือกใช้ภาษาคำเมืองและไทยกลางไปตามแต่ละสถานการณ์ สำหรับทัศนคติต่อภาษา กลุ่มขมุเป็นกลุ่มที่จะมีความรู้สึกอาย ที่จะพูดภาษาตนเองในที่ชุมชนมากกว่ากลุ่มอื่น และยังเป็นกลุ่มที่อยากอยู่ร่วมกับคนไทยและให้บุตรหลานเรียนภาษาไทยมากกว่ากลุ่มอื่น ในขณะที่กลุ่มม้งเป็นกลุ่มที่ต้องการให้คนนอกเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมของตนน้อยกว่ากลุ่มปรัย และพวกเขายังเป็นกลุ่มที่มีความขัดแย้งกับเพื่อนต่างกลุ่มมากกว่ากลุ่มอื่นๆ (หน้า I )ม้ง,ขมุ,,การเลือกใช้ภาษา,การสื่อสาร,ทัศนคติต่อภาษา,บ้านน้ำสอด,ทุ่งช้าง,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2532ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=787
786หนังสือThe Mrabri in Laos : A World under the CanopyChazee Laurentจากการศึกษาประวัติความเป็นมา วิถีชีวิต ความเชื่อ ของมราบรี (ผีตองเหลือง) ที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาว พบว่า มราบรี เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังมีการดำเนินชีวิตแบบดั้งเดิม การใช้ชีวิตขึ้นอยู่กับการการพึ่งพิงธรรมชาติ อาศัยอยู่ในป่า ยังชีพด้วยการล่าสัตว์ หาของป่า ใช้ชีวิตเป็นอิสระจากโลกภายนอก ถึงแม้ว่าจะมีความพยายามจากทางการที่พยายามชักจูงให้พวกเขาตั้งถิ่นฐานถาวร แต่ความพยายามนั้นไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากไม่ได้รับความสนใจจากมราบรี อย่างไรก็ตามนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจศึกษาต่อไปว่าในอนาคตรุ่นลูกหลานของชาติพันธุ์มราบรีจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร ผู้วิจัยมีความเห็นว่า สิ่งที่มราบรีต้องการจริงๆ นั้นคือสุขภาพที่ดี ความเป็นอิสระ และความปลอดภัย ส่วนอนาคตของมราบรีนั้นขึ้นอยู่กับการป้องกันป่าและความสามารถในการปกป้องมราบรี จากการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ การแตกแยกในกลุ่ม และความขัดแย้งทางวัฒนธรรม การใช้ป่าอย่างผิดกฏหมายเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำลายป่า รวมทั้งการถางเผาป่าและการท่องเที่ยว และถ้าหากในอนาคตมราบรีต้องการตั้งถิ่นฐานถาวร ควรให้พวกเขาเรียนรู้การใช้ชีวิตและป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ (หน้า 5, 45)มลาบรี,มราบรี,การตั้งถิ่นฐาน,วิถีชีวิต,ความเชื่อ,ลาวตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2544ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=786
785หนังสือการเดินทางของม้งหลังความตายJacques Lemoine (ชาค์ก เลอมวน)ผู้เขียนได้ใช้แนวคิด โครงสร้างนิยม ศึกษาองค์ประกอบทางสังคมของชาติพันธุ์ม้งผ่านทางเนื้อหาที่สะท้อนออกมาจากบทสวดศพ เพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลบอกคณค่าในอารยะธรรมม้ง (หน้า 5) โดยผู้เขียนได้ใช้บทสวดศพ โคว้เก้ ของม้งกลุ่มหนึ่งที่อาศัยในประเทศลาวเป็นจุดศึกษา และนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับวัฒนธรรมความเชื่อที่มีอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะวัฒนธรรมจีน (หน้า 43) บทสวดโคว้เก้หมายถึงการชี้นำเส้นทาง จะพูดถึงเนื้อหานิทานปรัมปราในเรื่องการสร้างโลก การกำเนิดของชาติพันธุ์มนุษย์ ความตาย และสุดท้ายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับคนตาย (หน้า 14) โดยผู้เขียนวิเคราะห์ว่า ความคิดหลักเรื่องการชี้นำคนตายเป็นเสมือนการเดินทางของวิญญาณหรือขวัญเพื่อไปเกิดใหม่ สำหรับม้ง จุดหมายปลายทางของการกลับมาเกิดใหม่จะเป็นการไปพบบรรพชนในสายตระกูลของตน เพื่อป้องกันวิญญาณไม่ให้พลัดหลงไปเกิดในชาติพันธุ์อื่นหรือสิ่งมีชืวิตอื่น ทำให้ต้องสวดชี้นำเส้นทาง (หน้า 109) ผู้เขียนได้เสริมว่าความเชื่อทางมายาคติเกี่ยวพันกับโลกจริง อัตราการตายโดยเฉพาะในเด็กม้งมีสูง บรรพชนก็เหมือนกับผู้สืบทอด การกลับชาติมาเกิดจะมีขึ้นในเวลาใกล้ๆ กันระหว่างความตายและการเกิดใหม่ การตั้งชื่อผู้เกิดใหม่ให้เหมือนกับชื่อของผู้ตาย มีการสวดนำวิญญาณผู้ตายไปเกิดทันทีแทนที่จะอัญเชิญไปสถิตอยู่แท่นบูชาบรรพบุรุษ อย่างน้อยก็มีความเชื่อว่าเป็นการรับประกันเผ่าพันธุ์จะคงอยู่ต่อไป (หน้า 109-111)ม้ง,บทสวดศพ,ความตาย,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์,ลาวตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2526ภาษาฝรั่งเศสhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=785
784บทความLES MOKEN Littérature Orale et Signes de Reconnaissance CulturelleJacques IVANOFF (ชาค์ก อิวาน๊อฟ)ผู้เขียนได้ศึกษาวัฒนธรรมและโครงสร้างของสังคมมอแกน ผ่านทางมุขปาฐะตำนานที่ถ่ายทอดโดยมอแกนจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อจะบอกกล่าวภาพลักษณ์ของมอแกนที่เป็นมากกว่าชาวประมงหรือวัตถุทางการท่องเที่ยว ผู้เขียนต้องการที่จะนำเสนอประวัติของชาวมอแกนตามสายตาของมอแกนเอง โดยเจาะกลุ่มมอแกนที่อพยพและอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย ผู้เขียนได้อธิบายที่มาของสัญญะทางมรดกทางวัฒนธรรม ที่มาของชื่อมอแกน จากตำนานของการทำผิดจารีตประเพณีของ แกน น้องสาวพระราชินีผู้ปกครองกลุ่มยิปซีทะเล การทำรูปเว้าที่หัวเรือและท้ายเรือเป็นสัญลักษณ์บอกเล่าถึงการลงโทษในความผิด เมื่อเปรียบเทียบร่างกายมนุษย์เป็นการตัดช่องทางการทำงาน การบริโภค การขับถ่าย และสุดท้าย ตำนานยังชี้ให้เห็นถึงการอพยพตั้งถิ่นฐานของมอแกนในประเทศไทยของกลุ่มคนที่ถูกขับไล่ เนรเทศออกจากกลุ่มที่ตั้งดั้งเดิม สุดท้ายผู้เขียนวิตกถึงการเข้ามาของความเจริญทางวัฒนธรรมสมัยใหม่ ความเคยชินและการปรับตัวของมอแกนต่อสังคมที่จะทำให้วิถีชีวิตวัฒนธรรมมอแกนเปลี่ยนแปลง และหลงลืมประเพณีดั้งเดิม (หน้า 9,20)มอแกน,มุขปาฐก,ตำนานตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพังงา ประเทศไทย2529ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=784
783บทความสังคมและวัฒนธรรมชาวขมุกับการพัฒนานิพัทธเวช สืบแสงผู้เขียนนำเสนอลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าขมุในประเทศไทยเท่าที่มีปรากฏอยู่ในปัจจุบัน เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการพัฒนาซึ่งในปัจจุบันเน้นเกี่ยวกับมิติทางวัฒนธรรมมากขึ้น โดยผู้เขียนได้อธิบายเกี่ยวกับการแบ่งกลุ่มและการกระจายตัวของชาวขมุ โครงสร้างทางสังคมและเน้นเกี่ยวกับระบบความเชื่อเรื่องผีและอำนาจเหนือธรรมชาติที่มีอืทธิพลต่อวิถีชีวิตของขมุอย่างมาก ประกอบกับอธิบายลักษณะทางเศรษฐกิจของขมุและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างหลากหลาย นอกจากนั้น ยังได้วิเคราะห์เกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจของขมุ พร้อมทั้งแสดงกรณีตัวอย่างการพัฒนาชุมชนขมุแบบเน้นในมิติทางวัฒนธรรมขมุ,สังคม,วัฒนธรรม,การพัฒนา,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพังงา ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=783
782บทความMeat-Consumption, Feasting and Commensality among Karen in the Context of Socio-Religious Changes in the Upland-Lowland ContinuumHayami Yokoผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นว่าอาหารและการแบ่งปันอาหาร รวมไปถึงการเซ่นไหว้ด้วยสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กเป็นศูนย์กลางของพิธีกรรมของชาวกะเหรี่ยงโดยที่งานเลี้ยงและการแบ่งปันให้แก่คนในชุมชนรวมทั้งการเซ่นไหว้สะท้อนให้เห็นรูปแบบของการจัดระบบสังคมของชาวกะเหรี่ยง และการถอนตัวจากการบริโภคเนื้อและการเซ่นไหว้ในแบบกะเหรี่ยงของหมู่ผู้บำเพ็ญตบะ/พรตทางพุทธศาสนานำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงของระเบียบสังคมของชาวกะเหรี่ยง (หน้า 294-295)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),อาหาร,ศาสนา,การเปลี่ยนแปลงของสังคม,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพังงา ประเทศไทย2546ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=782
781บทความA Study on Culture Contact and Cultural Change: Atsang and De'ang Nationalities as CasesYaun Yanบทความนี้ได้อธิบายถึงการติดต่อและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในแคว้นยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยชี้ให้เห็นว่าวัฒนธรรมของชนชาติต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในยูนนานมีพัฒนาการความเปลี่ยนแปลงที่อยู่บนฐานของการติดต่อทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย โดยศึกษาจากกรณีของชาวอาซางและชาวเด้ออังในบริเวณเต้อหง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของยูนนาน ทั้งชาวอาซางซึ่งใช้ภาษาอยู่ในกลุ่มภาษาทิเบต-พม่าในตระกูลภาษาจีน-ทิเบตและชาวเด้ออังซึ่งมีภาษาอยู่ในกลุ่มภาษามอญ-เขมรในตระกูลออสโตร-เอเชียติค ต่างมีลักษณะที่เก็บรักษาวัฒนธรรมของกลุ่มตนเองควบคู่ไปกับการรับอิทธิพลจากวัฒนธรรมไทซึ่งเป็นวัฒนธรรมจากภายนอกโดยอิทธิพลของวัฒนธรรมจากภายนอก/วัฒนธรรมไทได้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชาวอาซางและชาวอาซาง,เด้ออัง,การติดต่อทางวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม,ยูนนาน,จีนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพังงา ประเทศไทย2546ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=781
780บทความBuddhism and The Hmong : A Case Study in Sociological AdjustmentNicholas Tappผู้วิจัยศึกษาถึงการเผยแพร่พุทธศาสนาในประเทศไทยให้กับชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย พร้อมทั้งศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อการล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จในการเผยแพร่พุทธศาสนาในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งจากการศึกษาพบว่าการเผยแพร่ศาสนาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อของชาวม้ง มีความขัดแย้งกับคำสอนพุทธศาสนา โดยเฉพาะศีลข้อ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ โดยส่วนมากชาวม้งมีอาชีพเป็นนักล่าสัตว์ และข้อ 3 ห้ามประพฤติผิดในกาม ชาวม้งมีความเชื่อว่าการมีความสัมพันธ์ทางเพศก่อนแต่งงานหรือการมีภรรยาหลายคนเป็นที่ยอมรับกันในเผ่า ผู้วิจัยได้อธิบายสาเหตุเพิ่มเติมที่การเผยแพร่พุทธศาสนาในกลุ่มชาวเขาเผ่าม้งว่า ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร นอกเหนือจากความไม่สอดคล้องในเรื่องความเชื่อดั้งเดิมของชาวม้งแล้ว อีกปัจจัยคือ ปัญหาในด้านภาษาและเศรษฐกิจ เนื่องจากชาวม้งไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยได้ การพูดแต่ละครั้งจึงต้องผ่านล่าม มีคนแปล คนในไทยไม่มีใครพูดภาษาม้งได้ (หน้า 23) และถ้าหากผู้ชายในครอบครัวออกบวช จะเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจขึ้นกับครอบครัว เพราะไม่มีใครไปหาอาหารมาเลี้ยงครอบครัว ผู้วิจัยมีความเห็นว่า สำหรับชาวม้งแล้วศาสนาพุทธ เป็นสิ่งที่ให้โอกาสทางการศึกษา ซึ่งเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด ที่ชาวเขาจะถูกส่งให้ไปเป็นพระเณร พวกเขาไม่ได้เรียนภาษาบาลีแต่เรียนภาษาไทยแทน นอกจากนั้นม้งใช้พุทธศาสนาเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความเป็หนส่วนหนึ่งของประเทศ และจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ (หน้า 17)ม้ง,รัฐไทย,การเผยแพร่พุทธศาสนา,เชียงใหม่,สระบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสระบุรี ประเทศไทย2528ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=780
779บทความธรรมเนียมปฏิบัติการแต่งงานของไทยดำในภาคกลางของประเทศไทยNitaya ONOZAWAคนไทยดำในอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี มีธรรมเนียมการแต่งงานที่แตกต่างจากคนไทย หลังจากที่หนุ่มสาวชอบพอกัน ฝ่ายชายจะตกลงกับพ่อแม่ฝ่ายหญิงเพื่อมาเป็นเขยขวัญทำงานในไร่นาให้ฝ่ายหญิงอยู่ประมาณ 2-3 ปี ก่อนจะทำพิธีหมั้น หลังจากหมั้นก็จะเป็นช่วงเวาลาเขยอาสาซึ่งฝ่ายชายจะมาอยู่ที่บ้านของภรรยา จนเมื่อถึงเวลาที่ฝ่ายชายและพาภรรยาและบุตรย้ายออกจึงมีพิธีแต่งงาน ซึ่งภรรยาจะต้องเปลี่ยนกลุ่มผีตามสามี คนไทยดำนับถือผีบรรพบุรุษและเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,การแต่งงาน,ภาคกลางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสระบุรี ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=779
778บทความThe Lüไม่ระบุ ชื่อผู้เขียนลื้อชอบอยู่ในพื้นที่หุบเขาใกล้กับริมแม่น้ำ หมู่บ้านของลื้อมีรั้วไม้ล้อมในอดีตลื้อมักสร้างบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูง มีจั่วสูง บ้านของลื้อสะอาด ลื้อทานข้าวเหนียวเป็นอาหาร และทานเนื้อสัตว์ เช่น หมู ไก่ เนื้อ เป็ด ปลา กับพืชผักต่างๆ ลื้อล่าสัตว์ ปลูกข้าว ปลูกพืชผักต่างๆ เช่น ต้นฝ้าย ข้าวสาลี ถั่ว งา หรือฟักทอง ทอผ้าเองแต่ไม่มีไว้ขาย มีช่างไม้ฝีมือดี ผู้ชายเป็นผู้นำครอบครัว ภรรยาและลูกต้องเชื่อฟัง เด็กผู้หญิงจะต้องอยู่ภายใต้การปกครองของพ่อแม่จนกว่าจะแต่งงาน ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง ปัจจุบันลื้อนับถือพุทธศาสนาปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ลื้อก็ยังคงให้เครื่องเซ่นกับผีเพื่อส่งผลดีกับชาตินี้ เดิมลื้อนับถือภูตผีและบูชาผีสาง ลื้อเชื่อว่าวิญญาณคนตายไม่หายไปไหนแต่รอการเกิด ซึ่งหากทำดีก็จะได้เกิดมามีชีวิตที่ดีลื้อ,วิถีชีวิต,วัฒนธรรม,สังคม,ความเชื่อ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสระบุรี ประเทศไทย2468ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=778
777บทความThe Lawa of Umphai and Middle Me PingErik Seidenfadenศึกษาละว้าที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของบ่อหลวง ผู้เขียนได้เดินทางเข้าไปหมู่บ้านต่างๆ ได้แก่ หมู่บ้านอุ้มผาย บ้าน 'ละอุบ' โดยพรรณาถึงสภาพชีวิตของละว้าโดยสังเขป และตั้งข้อสังเกตว่าละว้าใช้ภาษาถิ่นของแต่ละหมู่บ้านซึ่งแตกต่างกัน แต่คนส่วนใหญ่พูดลาวหรือกะเหรี่ยงได้ ละว้ามีความเชื่อเรื่องผี มีการสร้างบ้านผีในแต่ละหมู่บ้านและเซ่นไหว้ด้วยดอกไม้และสิ่งของต่างๆ แต่ไม่มีพิธีเกี่ยวกับการฝังศพลเวือะ,วิถีชีวิต,นิทาน,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2483ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=777
776บทความStone Memorials of the Lawa (Northwest Thailand)H.E. Kauffmannละว้าในอุ้มผายมีความเชื่อเรื่องผี เคารพผีบรรพบุรุษและผีหมู่บ้าน เชื่อในชีวิตหลังความตาย ในอุ้มผายพบกลุ่มเสาหินและเสาไม้ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าละว้าเคยมีวัฒนธรรมหินใหญ่/หินตั้งในอดีตเมื่อ 3,000 ปีมาแล้ว และเชื่อว่าพื้นที่ในภาคอีสานที่มีเสาหินตั้งนั้นมีความเกี่ยวพันกับละว้าลเวือะ,อนุสาวรีย์หิน,ความเชื่อ,พิธีกรรม,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2514ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=776
775บทความSome notes about the ChaubunErik Seidenfadenคน Nia-kuol ในอดีตเคยอาศัยอยู่บนที่สูงในป่าแถบเทือกเขาดงรัก มีวิถีชีวิตแบบหาของป่าล่าสัตว์ และเร่ร่อนประมาณเมื่อ 60 ปีที่แล้วจึงอพยพลงมาอยู่ในอำเภอปักธงไชยและกระทอก เปลี่ยนจากเร่ร่อนมาตั้งถิ่นฐานถาวร มีคนพูดภาษา Nia-kual อยู่ 500-600 คน เมื่ออยู่ในพื้นที่ราบก็ทำการปลูกข้าว ข้าวโพด ยาสูบ ไม่ได้เลี้ยงสัตว์พวกวัวควายมากนักชาวบน,ประวัติ,วิถีชีวิต,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2462ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=775
774บทความMouhitotsu noKataoka Tatsukiรายงานฉบับนี้วิเคราะห์แนวคิดท้องถิ่นเรื่อง "ความรู้ทางเลือก" ผ่านชาวเขาเผ่าละหู่ ในบริบทของการเปลี่ยนผ่านทางศาสนา และเปรียบเทียบกับแนวคิดด้านการศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่น ในปัจจุบันมีการถกเถียงกันเรื่องศาสนาที่ดึงดูดความสนใจของคนหลังจากเกิดปัญหาเรื่องป่าชุมชน ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจมากในประเทศไทย จากการวิเคราะห์นี้พบว่า การรักษาสิ่งแวดล้อมตามแนวคิดศาสนาของชาวเขา เปรียบได้กับความรู้ทางเลือกหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งถูกคาดหวังว่าจะเข้ามาแทนที่แนวคิดแบบทุนนิยมในการพัฒนาประเทศแถบตะวันออก อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าแนวคิดเรื่องความรู้ทางเลือกที่คิดค้นโดยละหู่ทั้งคริสต์และพุทธนั้น ค่อนข้างจะแตกต่างจากความคาดหวังของผู้รู้ ละหู่พุทธรวมทั้งละหู่คริสต์ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ความรู้ทางเลือกนั้นถือกำเนิดมาจากการสร้างของพระเจ้า (หน้า 45)ลาหู่,ความรู้,ศาสนา,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2545ภาษาญี่ปุ่นhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=774
773บทความละว้าบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ละว้าเป็นชนชาติที่สืบเชื้อสายมาจาก "ว้า" หรือ "ล้า" ในมณฑลยูนนานตอนใต้กับเขตรัฐฉานแห่งสหภาพพม่า เป็นชนเผ่าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของชาติพันธุ์ประการหนึ่ง คือ นิยมประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับการเซ่นสังเวยผีด้วยการฆ่าสัตว์ และยึดถือความ เชื่อในการนับถือผีอย่างเหนียวแน่น สะท้อนผ่านสิ่งปลูกสร้าง ประเพณีพิธีกรรมต่าง ๆ มีหัวหน้าฝ่ายจารีตประเพณีสืบตระกูลต้นผีเรียกว่า "ต้นฮีต" ละว้าบ้านบ่อหลวงกับละว้าบ้านอุมพายถือเป็นคนละตระกูล นับถือผีคนละประเภท ละว้าบ้านบ่อหลวงมักมองว่าละว้าอุมพายนั้นเป็นพวกป่าเถื่อน เนื่องจากยังคงรับประทานเนื้อสุนัขและนับถือผีอย่างเคร่งครัด ในขณะที่ละว้าบ้านบ่อหลวง บ้านห้วยสิงห์ และบ้านจอมแจ้งนับถือทั้งศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ปนกัน ละว้าแต่เดิมพูดภาษาละว้าได้ แต่ปัจจุบันมีเหลืออยู่เพียงไม่กี่หมู่บ้านที่พูดละว้าได้ เนื่องจากหันมาพูดภาษาถิ่นตามชาวเขาที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงเพิ่มขึ้น เช่น ภาษาเหนือ ภาษาไทยใหญ่ ภาษาสะกอประวัติศาสตร์,การตั้งถิ่นฐาน,วิถีชีวิต,สภาพสังคม,การนับถือผีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=773
772บทความThe Akha PatrilineageJane R. Hanksการสืบเชื้อสายของอาข่าเป็นการสืบเชื้อสายทางลำดับญาติผ่านฝ่ายชาย จุดเด่นของความเชื่อในหมู่ชาวอาข่า คือ การสืบทอดพิธีการขานชื่อบรรพบุรุษ ลักษณะการถ่ายจะเป็นแบบปากต่อปาก จากรุ่นสู่รุ่น(เฉพาะฝ่ายชาย) ลำดับชื่อของบรรพบุรุษ (พิธีการขานชื่อ) ปรากฏอยู่ในทุกๆ พิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีศพ ที่เชื่อว่าหากมีการเอ่ยขานถึงรายชื่อบรรพบุรุษวิญญาณผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะพบกับความสุขร่วมกับสมาชิกหรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วอาข่า,การขานชื่อ,การสืบสกุลทางฝ่ายชายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2507ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=772
771บทความแข่ลีซอบุญช่วย ศรีสวัสดิ์"ลีซอ" เป็นชื่อที่คนไทยใช้เรียกชาวเขาเผ่าหนึ่งซึ่งนิยมตั้งบ้านเรือนอยู่ในที่สงบห่างไกล เนื่องจากนิยมปลูกฝิ่น เรียกตนเองว่า "ลีซู" นิยมปลูกบ้านเรือนติดพื้นดิน บ้านของลีซอมีประตูเข้าด้านหน้าประตูเดียวเรียกว่า "ประตูผีออก" มีประเพณีห้ามหญิงสาวที่ออกเรือนไปแล้วกลับเข้าบ้านทางประตูนี้โดยไม่มีสามีพามา หญิงลีซอนิยมแสกผมกลางเกล้ามวยแล้วโพกผ้าสีดำผืนใหญ่ ความสุขของชายลีซอคือ "การดื่มสุรา ดื่มน้ำชา รับประทานอาหารและร่วมประเวณี" ชายหญิงลีซอไม่ถือเรื่องการมีเพศสัมพันธ์กันก่อนแต่งงาน มีประเพณีพาหนีแล้วจึงมาสู่ขอ เมื่อแต่งงานแล้วหญิงต้องไปอยู่บ้านฝ่ายชาย ลีซอนิยมบุตรชายมากกว่าบุตรสาว ลีซูประกอบอาชีพปลูกฝิ่น ไม่ชำนาญด้านการล่าสัตว์เหมือนมูเซอแดง นิยมเพาะปลูกข้าวไว้พอบริโภคภายในครอบครัวทั้งยังทำไร่ข้าวโพดไว้ใช้เลี้ยงหมูและไก่ ลีซอนับถือผีและดวงวิญญาณบรรพบุรุษ มีการตั้งแท่นบูชาเรียกว่า "ตาบิ" มีผู้นำทางศาสนาหรือหมอผีประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ มีการเซ่นบูชาผีฟ้า ประเพณีที่สำคัญ เช่น การทำบุญทานศาลา งานกินฟ้าหรือกินวอ (งานฉลองปีใหม่) งานเต้นรำของลีซอเรียกว่า "เอี๊ยหยาม่า" หรือ "เทียวโก" ถือเป็นการพลีกรรมถวายผีฟ้าและผีเรือน พิธีเรียกขวัญหรือ "โซฮาคู"ลีซู,วิถีชีวิต,การเพาะปลูก,ครอบครัว,ความเชื่อ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=771
770รายงานการวิจัยศาสนาและอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ ศึกษากรณีกลุ่มชนกะเหรี่ยง ในประเทศไทย และประเทศพม่าขวัญชีวัน บัวแดงเนื้อหากล่าวถึงการนับถือศาสนาและอัตลักษณ์ของกะเหรี่ยง ทั้งที่อยู่ในประเทศพม่าและในประเทศไทย โดยได้ระบุถึงการที่กะเหรี่ยงในพม่าเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์แทนศาสนาดั้งเดิม ในช่วงที่อังกฤษเข้ามาปกครองพม่า ยุคล่าอาณานิคม รวมทั้งการพัฒนาความเป็นชาติของกะเหรี่ยง ตลอดจนการอพยพของกะเหรี่ยงตั้งแต่ในอดีตจนเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในพม่า กระทั่งสู้รบกับพม่าเนื่องจากปัญหาทางการเมือง จนต้องอพยพเข้ามาอยู่ในไทย อาศัยอยู่ในศูนย์อพยพในหลายจังหวัด นอกจากนี้รายงานชิ้นนี้ยังระบุถึงการนับถือศาสนา เช่น พุทธ คริสต์ และผีเรือน(ออแฆ) ของกะเหรี่ยงในประเทศไทย โดยทำการศึกษาในบริเวณชายแดนไทย-พม่า เขต อ.ท่าสองยาง จ.ตากปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง)คะยาห์ กะเรนนี บเว(กะเหรี่ยง),ศาสนา,อัตลักษณ์,พม่า,ไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=770
769วิทยานิพนธ์ภูมิหลังของประชากรชาวไทย-มุสลิม ในเขตชุมชนเมืองกับลักษณะโครงสร้างทางสังคมของชุมชน : ศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกรณีชุมชนเมืองกับชุมชนกึ่งเมือง กึ่งชนบท และชุมชนชนบท ในจังหวัดปัตตานีสมมุติ เบ็ญจลักษณ์เนื้อหาเป็นการศึกษาเพื่อให้ทราบและเปรียบเทียบ โครงสร้างสังคมของมุสลิมที่อยู่ในเขตเมือง เช่น เขตเทศบาล ชุมชนกึ่งเมือง กึ่งชนบท คือ เทศบาลที่ยกระดับมาจากสุขาภิบาล และชุมชนชนบท คือ เขตที่อยู่ในส่วนของการปกครองขององค์การบริหารส่วนตำบล หรือ อบต. และสภาตำบล ในอำเภอที่เป็นเป้าหมายในการศึกษา เช่น อ.เมือง อ.หนองจิก อ.โคกโพธิ์ อ.แม่ลาน อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ว่ามีรูปแบบใด อาทิ ระบบเครือญาติ ระบบอุปถัมภ์ ระบบฝักฝ่าย โดยโครงสร้างชุมชนนั้นขึ้นอยู่กับภูมิหลังประชากร เช่น เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ ผลของการศึกษาพบว่า ลักษณะโครงสร้างทางสังคมของชุมชน เกี่ยวกับการยึดถือระบบเครือญาติ ระบบอุปถัมภ์ หรือระบบฝักฝ่าย จะยึดถือระบบเครือญาติเป็นด้านหลัก ระบบฝักฝ่ายเป็นด้านรอง และระบบอุปถัมภ์เป็นด้านเสริม ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างภูมิหลังของประชากรกับการยึดถือระบบเครือญาติ โดยภาพรวมจะยึดถือระบบเครือญาติเป็นด้านหลัก ไม่มีความแตกต่างในทัศนะความเห็นต่อลักษณะโครงสร้างทางสังคมของชุมชนเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างภูมิหลังของประชากรกับการยึดถือระบบอุปถัมภ์ พบว่าภูมิหลังของประชากรแตกต่างกัน เช่น เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ โดยภาพรวมของลักษณะทางสังคมของชุมชน ยึดถือระบบอุปถัมภ์เป็นด้านเสริม, ความสัมพันธ์ระหว่างภูมิหลังของประชากรกับการยึดถือระบบฝักฝ่าย พบว่าโดยภาพรวมชุมชนจะยึดถือระบบฝักฝ่ายเป็นรอง จากการตั้งฐานคติในการศึกษาภูมิหลังของประชากรชาวไทย-มุสลิมในเขตชุมชนเมืองกับลักษณะโครงสร้างทางสังคม พบว่ายึดถือระบบเครือญาติเป็นด้านหลัก เปรียบเทียบลักษณะโครงสร้างทางสังคมในภาพรวมระหว่างชาวไทย-มุสลิมในเขตชุมชนเมือง กับชุมชนกึ่งเมือง-กึ่งชนบท และชุมชนชนบท พบว่ามีลักษณะโครงสร้างทางสังคมของชุมชนเป็นแบบเครือญาติเป็นด้านหลักทั้งหมดออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ชุมชน,สังคม,เศรษฐกิจ,การศึกษา,ปัตตานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=769
768วิทยานิพนธ์การศึกษาวิเคราะห์ความเชื่อพระพุทธศาสนา และฤาษีของชาวกะเหรี่ยงทุ่งใหญ่นเรศวร กรณีศึกษา หมู่บ้านสะเน่พ่อง ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีภาวนีย์ บุญวรรณกล่าวถึงความเป็นมาของชุมชนกะเหรี่ยงโปว์ บ้านสะเน่พ่อง ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ที่นับถือฤาษี ซึ่งมีคำสอนประยุกต์มาจากหลักธรรมในศาสนาพุทธ กระทั่งกะเหรี่ยงบ้านสะเน่พ่อง ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธในภายหลัง แม้ว่าในชุมชนไม่มีสำนักฤาษีแล้ว แต่ ก็มีความเชื่อบางอย่างผสมอยู่ในพิธีของศาสนาพุทธหลงเหลืออยู่ ในงานได้วิเคราะห์ความเชื่อทางศาสนาพุทธ กับฤาษีกลุ่มต่างๆ ที่กะเหรี่ยงนับถือ และถือกำเนิดตั้งแต่อยู่ในพม่า กระทั่งพม่าปราบปรามเพราะระแวงเรื่องความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากฤาษีจะเป็นผู้นำด้านพิธีกรรมแล้วยังเป็นผู้นำด้านการสู้รบอีกด้วย ดังนั้นฤาษีกะเหรี่ยงและผู้นับถือจึงลี้ภัยเข้ามาอยู่ในบริเวณทุ่งหญ่นเรศวร ในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี และใน จ.ตาก จนถึงทุกวันนี้โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ความเชื่อ,พุทธศาสนา,ฤาษี,ทุ่งใหญ่นเรศวร,กาญจนบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=768
767วิทยานิพนธ์กว่าตั้ง : การศึกษาเชิงพิธีกรรมวิเคราะห์ ศึกษากรณี หมู่บ้านเย้าห้วยแม่ซ้าย อ.เมือง จ.เชียงรายจงหทัย อมรพัฒนกุลกล่าวถึงการวิเคราะห์พิธีกว่าตั้งหรือพิธีแขวนตะเกียง เป็นพิธีของผู้ชายเย้า บ้านห้วยแม่ซ้าย อ.เมือง จ.เชียงราย เพื่อสะท้อนให้เห็นความหมายทางสัญลักษณ์ และทำให้เห็นหน้าที่ต่างๆ ที่ผ่านการอบรมสั่งสอนจาก หมอผี พ่อครู และผู้อาวุโสเย้า ที่ถ่ายทอดความเชื่อผ่านพิธีกรรม ซึ่งเปรียบเสมือนการขัดเกลาทางสังคม เช่น สั่งสอนให้ลูกชายมีความกตัญญูต่อบุพการี ครูบาอาจารย์ ให้ประพฤติตัวเป็นคนดีในสังคม และไม่ทำชั่วให้คนอื่นได้รับความเดือนร้อน ทั้งนี้รายงานได้ระบุถึงการเปลี่ยนแปลงสังคมของเย้าอันเนื่องมาจากพื้นฐานทางความเชื่อ เช่น การเซ่นไหว้เพื่อตอบแทนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสอนให้เชื่อผู้นำ ดังนั้นเมื่อมีนโยบายการพัฒนาจากหน่วยงานภาครัฐเข้ามาในหมู่บ้าน สังคมเย้าจึงรับมาโดยง่าย โดยผ่านคำสั่งของผู้นำท้องถิ่นอีกวาระหนึ่งเย้า,พิธีกว่าตั้ง,พิธีกรรม,แม่ซ้าย,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=767
766รายงานการวิจัยประเพณีที่ช่วยส่งเสริมการผสมผสานทางสังคมระหว่างชาวไทยพุทธกับชาวไทยมุสลิมฉวีวรรณ วรรณประเสริฐ, พีรยศ ราฮิมมูลา, มานพ จิตต์ภูษากล่าวถึงประเพณีต่างๆ ในท้องถิ่นที่ช่วยสนับสนุนการผสมผสานทางสังคมของกลุ่ม ผู้นับถือศาสนาพุทธและมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลามใน 5 หมู่บ้านที่เป็นกรณีศึกษา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ บ้านป่าบอน บ้านมะปรางมัน ต.ป่าบอน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี บ้านคล้า บ้านกะลุแป ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา และบ้านปิเหล็ง ต.มะรือโบออก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ในแต่ละหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านที่นับถือศาสนา อิสลามทั้งหมดหรือศาสนาพุทธทั้งหมู่บ้าน และบางแห่งต่างก็นับถือศาสนาทั้งสองในอัตราส่วนที่ต่างกัน
ในงานเขียนได้กล่าวถึงประเพณีต่างๆ ของศาสนาอิสลาม และศาสนาพุทธ แม้ว่าประเพณีทางศาสนาคนทั้งสองกลุ่มจะไม่ประกอบพิธีร่วมกันแต่ผู้นับถือศาสนาทั้งสองก็ได้ร่วมกิจกรรมทางประเพณีกันในทางสังคม เช่น ไปช่วยเหลืองาน จัดเตรียมงาน และเป็นแขกไปร่วมงานเพื่อแสดงน้ำใจต่อกันมุสลิม,พุทธศาสนิกชน,ประเพณี,การผสมผสานทางสังคม,จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัด ประเทศไทย2524ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=766
765วิทยานิพนธ์บทบาทของพ่อล่ามชาวผู้ไทย ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหารนำชัย อุปัญญ์ศึกษาบทบาทของพ่อล่าม หรือผู้รับรองหรือเป็นผู้ค้ำประกันความมั่นคงของชีวิตการแต่งงาน กรณีผู้ไทย ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ทั้งนี้พ่อล่ามเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในสังคมผู้ไทยเนื่องจากเป็นผู้ที่มีครอบครัวที่มั่นคงและเป็นผู้ที่คนในชุมชนให้ความเคารพ และเป็นผู้แนะนำลูกล่ามหรือผู้ที่จะเป็นเขยใหม่ให้ขยันทำงานและอ่อนน้อมให้ความเคารพญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง สำหรับคนที่มาเป็นพ่อล่าม มาจากหลายอาชีพ เช่น ข้าราชการ พ่อค้า และเกษตรกร คนที่เป็นพ่อล่ามจะมีบทบาทต่อลูกล่ามซึ่งเป็นคู่สมรสใหม่ ทั้งก่อนแต่ง และบทบาทระหว่างจัดพิธี และหลังจัดงานแต่งงานเรียบร้อยแล้ว พ่อล่ามก็ยังมีหน้าที่ดูแลคู่สมรสใหม่ในเรื่องต่างๆ เช่น ด้านเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่อื่นๆ ส่วนลูกล่ามก็จะให้ความช่วยเหลือด้านแรงงานต่อครอบครอบของพ่อล่าม ผู้ไทยถือว่าพ่อล่ามเปรียบเสมือนพ่อคนที่ 2 ที่มีพระคุณต่อชีวิตผู้ไท,วิถีชีวิต,พิธีแต่งงาน,พ่อล่าม,ลูกล่าม,จังหวัดมุกดาหารตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=765
764วิทยานิพนธ์ความทันสมัยและพิธีกรรมทางศาสนาของกลุ่มชาติพันธุ์เยอ : กรณีศึกษาหมู่บ้านสำโรงเฒ่า จังหวัดศรีษะเกษเทอดชาย เอี่ยมลำนำเนื้อหากล่าวถึงความทันสมัยที่มีผลกระทบต่อพิธีกรรมทางศาสนาและด้านอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน ตลอดจนกล่าวถึงด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ศิลปวัฒนธรรม การศึกษา ถิ่นกำเนิดของกลุ่มชาติพันธุ์และสาเหตุของการย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ของกลุ่มชาติพันธุ์เยอ บ้านสำโรงโคเฒ่า ต. พรหมสวัสดิ์ อ.พยุห์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งคนเหล่านี้เป็นชาติพันธุ์หนึ่งที่อยู่ในภาคอีสานของประเทศไทย กลุ่มนักวิชาการระบุว่าได้ทำการอพยพมาจากประเทศจีน ก่อนที่จะเข้ามาในลาว กัมพูชาและประเทศไทยเยอ,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,พิธีกรรม,ศรีสะเกษตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=764
763วิทยานิพนธ์พัฒนาการของรูปแบบการผลิตทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าม้งปริญญา ใจเถิงจากการศึกษาผู้วิจัยได้พบว่า การผลิตของชุมชนชาวเขาเผ่าม้งบ้านรักแผ่นดินในอดีตเป็นการผลิตทางการเกษตรแบบพอมีพอกินเน้นเพื่อบริโภคในครัวเรือน มีการแลกเปลี่ยนผลผลิตกันระหว่างญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน เป็นความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเครือญาติ ต่อมาชุมชนได้ถูกโยกย้ายไปอยู่ในพื้นที่แห่งใหม่ ณ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลทางการเมือง การย้ายถิ่นที่อยู่และที่ทำกินเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงการผลิตแนวใหม่ที่ทำการผลิตเพื่อการค้าขาย พัฒนาการของรูปแบบการผลิตทางการเกษตรของชาวม้ง จากเพียงผลิตเพื่อให้พอยังชีพในครัวเรือนมาเป็นเพื่อการค้าขายนั้น เงื่อนไขที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีทั้งเงื่อนไขภายใน ได้แก่ การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงในระบบการผลิต การลอกเลียนแบบและดูตัวอย่างจากผู้นำอาชีพ และจากการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ทำกินของหมู่บ้าน สำหรับเงื่อนไขปัจจัยภายนอกนั้น อย่างเช่น การที่หน่วยงานราชการได้อพพยชาวม้งให้มาอยู่ในพื้นที่ใหม่ การคมนาคมขนส่งที่ดีขึ้น และการติดต่อสื่อสารที่สะดวกรวดเร็ว อีกทั้งเจ้าหน้าที่ทหารที่เข้ามาส่งเสริมอาชีพในชุมชน การมีตลาดรองรับผลผลติ ตลอดจนการสนับสนุนการผลิตทั้งจากหน่วยงานของรัฐและเอกชน (หน้า 115-118)ม้ง,พัฒนาการ,การผลิต,การเกษตร,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=763
762วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นชาวเขาเผ่าม้งสมควร ใจกระจ่างการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นชาวเขาเผ่าม้ง กลุ่มตัวอย่างเป็นวัยรุ่นม้งที่มีอายุระหว่าง 13-19 ปี อยู่นอกระบบโรงเรียน โดยใช้วิธีการสุ่ม เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติร่วมด้วย ผลการวิจัยสรุปว่า ปัจจัยที่พบว่ามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมทางเพศอย่างมีนัยสำคัญในทุกด้านนั้นประกอบด้วย อายุ เพศ อาชีพ ระดับการศึกษา ประสบการณ์การย้ายถิ่น ค่านิยมเรื่องเพศ สิ่งกระตุ้นทางเพศ และการคล้อยตามกลุ่มเพื่อน สำหรับปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมทางเพศคือ ปัจจัยด้านความรู้เรื่องเพศศึกษา และเจตคติเรื่องเพศ (หน้า 63)ม้ง,วัยรุ่น,พฤติกรรมทางเพศ,ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=762
761วิทยานิพนธ์การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมระหว่างชาวไทยและชาวมอญ ที่ก่อให้เกิดการพัฒนาชุมชน : กรณีศึกษา ต.ตลาด อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการวสุ เขียวสอาดจากการศึกษาพบว่า การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในตำบลตลาดส่วนใหญ่เป็นการสื่อสารแบบตัวต่อตัว เป็นรูปแบบการสื่อสารที่มีบทบาทมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีเรื่องของศาสนา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีเป็นเสมือนตัวกลางในการเชื่อมโยงให้เกิดการศึกษาซึ่งกันและกัน ทำให้ความเป็นตัวตนของชาวมอญตำบลตลาดที่แสดงออกมาในปัจจุบันส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นแบบ "มอญๆ ไทยๆ" การผสมผสานกลมกลืนที่เกิดขึ้นระหว่างชาวไทยและชาวมอญในตำบลตลาดนี้นั้นได้ส่งผลถึงความเป็นตัวตนของชาวมอญแทบทุกด้าน ทำให้ชาวมอญในปัจจุบันมีลักษณะคล้ายคลึงกับชาวไทย
ดังนั้นการผสมกลมกลืนที่เกิดขึ้นในตำบลตลาด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ระหว่างชาวไทยและชาวมอญที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น ได้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว จนกระทั่งก่อให้เกิดการพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ การศึกษา การท่องเที่ยว หรือการเมืองขึ้นในพื้นที่แห่งนี้ (หน้า 88, 99 และ 104)มอญ,วัฒนธรรม,การสื่อสาร,ภาคกลางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัด ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=761
760บทความTradition and Cultural Background of the Patani RegionWorawit Baru (Ahmad Idris)มีเนื้อหาครอบคลุมชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีชาวมาเลย์มุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย เรียกตัวเองว่าคน มลายู ใช้ภาษามลายูหรือภาษามาเลย์และใช้ตัวเขียนที่เรียกว่า "ยาวี" รัฐ "Patani" เดิมเคยมีอาณาเขตกว้างขวาง มีพื้นที่รวมปัตตานี หนองจิก ยะหริ่ง รามัน ยะลา สายบุรี และระแงะ เป็นมณฑลปัตตานี ก่อนที่จะถูกแยกออกเป็น 3 จังหวัดได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส มีโรงเรียนปอเนาะเป็นโรงเรียนที่สอนทั้งศาสนาอิสลามและเรื่องความรู้ทั่วไป หลังจากที่อาณาจักร "Patani" ได้เสียเอกราชให้แก่สยามแล้ว รัฐบาลไทยได้เข้ามาจัดการการปกครอง แต่คนในท้องถิ่นก็ยังคงปฏิบัติตามหลักอิสลามและยังรักษาวัฒนธรรมของตนไว้ ผู้คนในจังหวัดเหล่านี้เป็นชาวมุสลิมโดยส่วนใหญ่ มีภาษามลายูใช้ในชีวิตประจำวัน มีวัฒนธรรมประเพณี และวิถีชีวิตที่ปฏิบัตตามหลักของอิสลามอย่างเคร่งครัดออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มาเลย์มุสลิม,ประวัติศาตร์,สังคม,ประเพณี,วัฒนธรรม,ภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัด ประเทศไทย2538ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=760
759บทความSouthern Thailand and Its Border ProvincesHarald Uhligพื้นที่ทางภาคใต้ของไทยมีภูมิประเทศแบบชายฝั่งทำให้ฝนตกชุก มีเทือกเขาเป็นแนวยาว มีเกาะน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน ประชากรในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมแต่ก็มีคนไทยและจีน มีรายได้หลักคือการประมง ปลูกข้าว ทำสวนยางพารา ทำสวนผลไม้ และการท่องเที่ยว ภูมิประเทศเป็นพื้นที่ภูเขา มีพื้นที่ราบระหว่างเทือกเขาเหล่านี้และชายฝั่งทะเลทางด้านตะวันออก การตั้งชุมชนในภาคใต้มีทั้งหนาแน่นและเบาบาง มีข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ การประมง การปลูกมะพร้าว การปศุสัตว์ การป่าไม้ และผลไม้ เศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่มุสลิมทางชายฝั่งประสบปัญหาเรื่องสภาพดินเพราะเป็นดินทราย การปลูกยางพารากำลังได้รับการพัฒนาเพื่อแข่งขันกับมาเลเซียและอินโดนีเซีย นอกเหนือไปจากการทำสวนทำนาก็ยังมีพืชเศรษฐกิจอื่นๆ อย่างปาล์มน้ำมัน ป่าชายเลนจำนวนมากลดลงและระบบนิเวศถูกทำลาย แผนพัฒนาแห่งชาติเร่งขยายตัวเมืองและกระจายอำนาจจากศูนย์กลางไปยังท้องถิ่นถกเถียงกันในเรื่องค่าใช้จ่าย เทคนิคและเศรษฐกิจออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มาเลย์มุสลิม,ภูมิศาสตร์,เศรษฐกิจ,จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัด ประเทศไทย2538ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=759
758บทความThe MeoSchrock, Joann L.ม้งเป็นชาวเขากลุ่มใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในประเทศไทย เป็นเผ่าพันธุ์มองโกลอยด์ที่อพยพมาจากทางใต้ของจีนก่อนเข้าสู่ประเทศไทย ม้งปลูกพืชหลายอย่างเช่น ข้าว ข้าวโพด เมล็ดข้าวสาลีเป็นพืชหลัก พืชรองมาได้แก่ อ้อย แตง ถั่ว ผักต่างๆ มันเทศ หอมหัวใหญ่ งา พริก น้ำเต้า ฟักทองเศรษฐกิจของม้งขึ้นอยู่กับการทำไร่เลื่อนลอย การล่าสัตว์ การปลูกฝิ่นเพื่อขาย ล่าสัตว์และจับปลา การหาของป่า งานอุตสาหกรรมในครัวเรือน และการเกษตรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ครัวเรือนของม้งมีลักษณะเป็นครอบครัวที่ประกอบด้วยพ่อแม่ ลูกชายและคู่สมรส กับลูกสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ม้งมีความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษและผีต่างๆ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติ เช่น ผีฟ้า ผีนา ผีภูเขา และอื่นๆ จึงมีการเซ่นไหว้เพื่อให้ผีพอใจและไม่ทำร้าย ซึ่งต้องมีหมอผีเป็นผู้ประกอบพิธีกรรม นอกจากนี้ยังเชื่อว่ามนุษย์จะมี 'pli' อยู่ในร่างทำให้มีชีวิต หาก 'pli' ออกจากร่างกายและไม่กลับมาจะถึงแก่ความตาย แต่ 'pli' นี้จะกลับมารอที่บ้านเพื่อจะได้เกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งม้ง,โครงสร้างทางสังคม,เศรษฐกิจ,วัฒนธรรม,ภาคเหนือ,ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัด ประเทศไทย2513ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=758
757Ph.D. DissertationNegotiating Religious Practices In A Changing Sgaw Karen Community In North ThailandKwanchewan Buadaengกรณีนี้เป็นการศึกษาชุมชนกะเหรี่ยงสกอว์ ในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างปี 1989-1999 ภายใต้หัวข้อ "การต่อรองการปฏิบัติศาสนกิจในการเปลี่ยนแปลงของชุมชนกะเหรี่ยงสกอว์ในพื้นที่ภาคเหนือของไทย" เพื่อที่จะอธิบายการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระของพิธีกรรมต่างๆ ที่ชุมชนกะเหรี่ยงสะกอร์ได้ปฏิบัติตามความเชื่อดั้งเดิม ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อมของสังคม เศรษฐกิจและการเมือง การศึกษานี้มีลักษณะสำคัญ คือ ประการแรกศึกษาการกำหนดตัวแปรของลักษณะการปฏิบัติทางศาสนาในกลุ่ม กลุ่มความเชื่อต่างๆ คือ กลุ่มนับถือบูชาวิญญาณ กลุ่มนับถือคริสต์ และกลุ่มนับถือพุทธ ในประเด็นนี้แสดงถึงลักษณะเฉพาะของการรับความเชื่อจากทั้งกลุ่มคนที่มีการปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่น คนเมือง(คนไทยท้องถิ่น) และจากสังคมอื่นๆ เช่น การเข้ามาของกลุ่มเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ประการที่สอง การศึกษามุมมองและระดับการผสมกลมกลืนของการปฏิบัติตามวิถีเดิมทั้งหลาย ทั้งที่เป็นส่วนบุคคล ครัวเรือนและชุมชน ประการที่สาม คือ การเปลี่ยนแปลงลักษณะของตัวศาสนา ที่เปิดโอกาสให้ผู้นับถือ ได้ยืดหยุ่น การประกอบพิธีกรรม และ ข้อปฏิบัติต่างๆ ทั้งนี้ยังรวมถึงการเข้ามามีส่วนร่วมในพิธีกรรมต่างๆ ของทั้งกะเหรี่ยงคริสต์และกะเหรี่ยงพุทธ ซึ่งมีการปฏิบัติข้ามความเชื่อกัน เช่น การบูชาผีที่คุ้มครองหมู่บ้าน ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมส่วนรวมของชุมชน กลุ่มนับถือคริสต์ ก็ให้ความร่วมมือในพิธีกรรมดังกล่าว ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ได้จากการศึกษาชี้ให้เห็นถึงกระบวนการต่อรองและต่อรองซ้ำสำหรับความหมายในแต่ละเหตุการณ์ ในแต่ละวันของผู้เกี่ยวข้อง การปฏิบัติพิธีกรรมดั้งเดิมนั้นสามารถยกเลิก ปรับปรุง หรือ ปรับให้สามารถตอบสนองความต้องการต่างๆ ได้อย่างมีความหมายอย่างยิ่งต่อผู้ปฏิบัติไม่ว่าส่วนบุคคล ครัวเรือน หรือชุมชน ขึ้นอยู่กับบริบทอันมีปัจจัยจากภาวะการณ์ที่ซับซ้อนเหนือการควบคุม กับการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางอำนาจของท้องถิ่น จากระบบหัวหน้าหมู่บ้าน (He Kho) ผู้อาวุโสที่มีบทบาทต่อการควบคุมพฤติกรรม จารีตประเพณี รวมทั้งเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ได้ถูกอำนาจแบบใหม่เข้ามาแทนที่ (หน้า 24) และมีอิทธิพลต่อชุมชนในระดับบังคับบัญชา ได้แก่ เจ้าหน้ารัฐและตัวแทน เช่น ผู้ใหญ่บ้าน หรือ กรรมการหมู่บ้าน ที่ปฏิบัติตามนโยบายการปกครองท้องถิ่นของรัฐส่วนกลาง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มกระบวนการทางสังคมที่มุ่งพัฒนาตามแนวคิดของแต่ละกลุ่ม เช่น คริสตจักรคาทอลิค โครงการพระธรรมจาริก กลุ่มเหล่านี้ได้ปลูกฝังทัศนคติและโลกทัศน์ใหม่ให้กับชุมชนกะเหรี่ยงสกอว์ ซึ่งก็มีผลกระทบต่อการปฏิบัติตามพิธีกรรมความเชื่อดั้งเดิม อิทธิพลจากกระบวนการเหล่านี้ได้เปิดให้มีการต่อรองอย่างมีความหมายกับบริบทของท้องถิ่นปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),กระบวนการต่อรอง,การปฏิบัติตามศาสนา,การเปลี่ยนแปลงของชุมชน,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัด ประเทศไทย2544ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=757
756วิทยานิพนธ์ความต้องการและความพึงพอใจรายการวิทยุกระจายเสียงมุสลิมภาคภาษาไทยของชาวไทยมุสลิมในเขตกรุงเทพมหานครเสกสรร พรหมพิทักษ์กลุ่มตัวอย่างต้องการเนื้อหาเกี่ยวกับข่าวสารในแวดวงสังคมมุสลิมไทยค่อนข้างมาก (ร้อยละ 46.3) รองลงมาคือเน้นเนื้อหาเกี่ยวกับหลักการศาสนาอิสลาม(ร้อยละ 45.9) รูปแบบรายการ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ต้องการรูปแบบพูดคุยและสนทนาค่อนข้างมาก(ร้อยละ 48.5) วันเวลาออกอากาศ กลุ่มตัวอย่างอยากให้นำเสนอทุกวัน(ร้อยละ 55.0)และออกอากาศช่วง 04.00 - 07.00 น.(ร้อยละ 37.3) ความถี่ในการออกอากาศ กลุ่มตัวอย่างอยากให้รายการมีการนำเสนอทุกวัน(ร้อยละ 56.1) ผู้ดำเนินรายการ กลุ่มตัวอย่างต้องการผู้ดำเนินรายการที่มีกลวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจและพูดถูกหลักไวยากรณ์ไทยและอาหรับทั้งหมด(ร้อยละ 100.0) กลุ่มตัวอย่างพึงพอใจเนื้อหาค่อนข้างมาก(ร้อยละ 41.7) วันเวลาออกอากาศค่อนข้างมาก(ร้อยละ 44.7) และผู้ดำเนินรายการพึงพอใจค่อนข้างมาก(ร้อยละ 37.6) ส่วนความพึงพอใจด้านรูปแบบรายการและความถี่ในการออกอากาศกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่พึงพอใจในระดับปานกลางคิดเป็น ร้อยละ 43.3และ 36.2 ตามลำดับมุสลิม,ภาษา,วิทยุกระจายเสียง,กรุงเทพมหานครตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=756
755รายงานการวิจัยอาข่า หลากหลายชีวิตจากขุนเขาสู่เมืองปนัดดา บุณยสาระนัย, หมี่ยุ้ม เชอมือรายงานการวิจัยเล่มนี้นำเสนอข้อมูลพื้นฐานทั่วไปเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า สภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมชนบนที่สูง ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับกลุ่มอาข่าที่อพยพลงมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเชียงใหม่โดยนำเสนอผ่านกรณีตัวอย่างจำนวน 6 กรณี นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้สำรวจสัมภาษณ์พูดคุยกับอาข่าที่เข้ามาอาศัยในตัวเมืองเชียงใหม่จำนวน 1,020 คน พบว่าส่วนใหญ่เป็นคนโสด อยู่ในวัยเรียนและวัยทำงาน เป็นเพศหญิงมากกว่าชาย นับถือศาสนาคริสต์ การศึกษายังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขายส่วนตัวและทำงานบริการต่างๆ โดยอาข่ามักอาศัยรวมกันเป็นกลุ่มมากกว่าอยู่ตามลำพัง และมีกิจกรรมต่างๆที่ทำร่วมกัน เช่น การรวมตัวที่โบสถ์อาข่าคริสต์ในวันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นต้น
รายงานการวิจัยชิ้นนี้พบว่าการอพยพเข้ามาสู่เมืองของอาข่ามีความสัมพันธ์กับบริบทความเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรมที่เกิดจากการพัฒนาชุมชนบนที่สูง ทิศทางการพัฒนาเมืองให้เป็นเขตที่เจริญเติบโตในทุกๆ ด้าน โดยที่ทิศทางการพัฒนาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่ออาข่า (รวมไปถึงกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ) ที่ต้องทิ้งวิถีชีวิตแบบเดิมเพื่อเข้ามาหาทางรอดที่ดีกว่าในเมืองใหญ่ เป็นการอพยพที่เกิดจากการถูกบีบคั้นหลายประการ เช่น ขาดแคลนที่ดินทำกิน ปัญหาผลผลิตราคาตกต่ำ ต้องการการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น ความต้องการด้านสวัสดิการทางสังคมที่สูงขึ้น เมื่ออาข่าอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองแล้ว แต่ละคนแต่ละชุมชนก็มีรูปแบบการปรับตัว การเลือกใช้ การตัดสินใจ และการดำเนินชีวิตที่แตกต่างหลากหลาย มีการประยุกต์ใช้ทุนทางสังคมที่มีในการดำเนินชีวิตประจำวันทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยใช้ทักษะความชำนาญที่มีอยู่เดิมเมื่อครั้งอาศัยอยู่บนที่สูง แต่ก็นำมาใช้ได้น้อย อาชีพรับจ้างทั่วไปจึงเป็นอาชีพแรกๆ ของอาข่าที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมือง บางรายสามารถเป็นเจ้าของกิจการได้เอง แต่บางรายก็ขาดทุนมีหนี้สิน เมื่อกลับไปอยู่หมู่บ้านก็ไม่สามารถปรับตัวกลับไปทำการเกษตรแบบเดิมได้อีก ก็ต้องเข้ามาในเมืองเพื่อทำงานรับจ้างอีกครั้ง
นอกจากนี้วิถีชีวิตของอาข่าในเมืองมีการรวมกลุ่มกันหนาแน่น ทั้งการอาศัยกันเป็นชุมชน และการพบปะกันตามโอกาสวันหยุดต่างๆ เช่น ชุมชนของอาข่าที่โบสถ์อาข่าคริสต์ เป็นต้นอาข่า,วิถีชีวิตเมือง,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=755
754วิทยานิพนธ์หลวงพ่ออุตตมะ : ผู้นำทางวัฒนธรรม กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรม ของหมู่บ้านมอญพลัดถิ่น ที่สังขละบุรีอรวรรณ ทับสกุลเนื้อหาระบุถึงบทบาทของหลวงพ่ออุตตมะ พระมอญ ต่อมาได้รับสัญชาติไทย เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในชุมชนมอญพลัดถิ่นวัดวังก์วิเวการาม ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ทั้งในด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา ศาสนา และประเพณี วัฒนธรรม หมู่บ้านแห่งนี้เป็นชุมชนมอญที่ย้ายมาจากหมู่บ้านเดิมที่ถูกน้ำท่วม หลังจากมีการสร้างเขื่อนเขาแหลม เมื่อ พ.ศ.2527 ความเป็นมาของการรวบรวมชุมชนมอญพลัดถิ่นใน อ.สังขละบุรี ได้กล่าวถึงความเป็นอยู่ก่อนการสร้างเขื่อน และหลังการสร้างเขื่อน บทบาทของหลวงพ่ออุตตมะ ที่เป็นผู้นำทางศาสนาของมอญ ซึ่งมีศรัทธาต่อศาสนาพุทธ และบทบาททางโลกของหลวงพ่อที่เป็นผู้ประสานกับทางการไทยในการจัดสรรที่อยู่ และดูแลเรื่องสิทธิต่างๆ ของมอญพลัดถิ่นในชุมชนวัดวังก์วิเวการามบทบาทผู้นำ,หลวงพ่ออุตตมะ,มอญพลัดถิ่น,การเมือง,วัฒนธรรม,กาญจนบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=754
753รายงานการวิจัยConflict and Displacement in Karenni : The Need For Considered ResponsesVicky Bamforth , Steven Lanjouw, Graham Mortimerการเคลื่อนย้ายของ "กะเหรี่ยง" กลุ่มต่างๆ ในรัฐ คะเรนนี (Karenni) ของพม่า มีสาเหตุเนื่องมาจากการสู้รบของกองกำลังต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่ภายในรัฐ คะเรนนี (Karenni) ตั้งแต่เมื่อพม่าได้รับเอกราช และเริ่มมีปัญหาการแบ่งแยกภายในรัฐ โดยกลุ่มที่ต้องการแยกตัวจากพม่าและกลุ่มที่ต้องการอยู่กับพม่า จากกลุ่มทหารที่สู้กันภายในรัฐภายหลังแยกตัวออกมามากมายเป็นหลายกลุ่ม โดยมีกองทหารพม่าTatmadaw ที่มีกำลังมากที่สุด และกลุ่มต่างๆ คือ The Karenni National Progressive Party (KNPP) ,The Karenni National People's Liberation Front (KNPLF), The Kayan New Land Party (KNLP) The Shan State Natioanalities Liberation Organisation (SSNLO) ที่พยายามแบ่งแยกตัวเองเข้าสู้รบกันเพื่ออำนาจเงินตรา ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายหมู่บ้าน และไม่สามารถพัฒนา เศรษฐกิจถูกทำลาย วิธีหาเงินเข้าคือการขายทรัพยากรป่าไม้ การสู้รบกันทำให้ยากต่อการเข้าไปช่วยเหลือผู้คน ผู้คนที่ได้รับผลกระทบต้องอยู่อยากยากลำบากและไม่มีความปลอดภัย ในหมู่บ้านมีการสู้รบกันตลอดเวลาแม้ในช่วงรอระยะเวลาการเก็บเกี่ยว เพราะไม่มีงานอื่นๆ ทำ เด็กผู้ชายไม่ได้ไปโรงเรียนก็จะเข้ารบ รัฐบาลไม่ได้ให้ความสนใจทางการศึกษาหรือทางสาธารณะสุข ชาวบ้านป่วยเป็นโรคขาดสารอาหารมากที่สุดคะยาห์ กะเรนนี บเว(กะเหรี่ยง),การเคลื่อนย้ายประชากร,พม่าตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2543ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=753
752หนังสือAt the Scent of WaterNancy Ashcraftผู้เขียนได้กล่าวถึงปัญหาหลักๆ ในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นความเชื่อใหม่เข้าไปในหมู่บ้านกะเหรี่ยงเหมาต้า ในเขตชายแดน อ.แม่สอด จังหวัดตาก คือ 1. การนับถือผีอันเนื่องมาจากความกลัวต่อปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ โดยเฉพาะอาการป่วยไข้ของสมาชิกในชุมชน(หน้า 57) 2. วัฒนธรรมประเพณีความเชื่อแต่โบราณ เช่น การถือว่าผู้หญิงนั้นเกิดมาพร้อมกับอัปมงคล การดำเนินการทางพิธีกรรม หรือบทบาทต่างๆ ในสังคมชนเผ่าจะต้องมีผู้ชายเป็นผู้นำ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อหมอสอนศาสนาที่เป็นเพศหญิงกระทั่งมีผู้ที่หันมานับถือศาสนาคริสต์มากขึ้นในหมู่บ้านแต่การให้ผู้หญิงเป็นผู้นำประกอบพิธีกรรมทางศาสนาก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับในบรรดาคนสูงอายุ(หน้า 29, 44, 210) 3. อำนาจเก่า หรือการได้รับความยอมรับนับถิอของผู้สูงอายุในหมู่บ้านที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงต่อความเชื่อของภูตผี อาจถือเป็นวาระการเมืองที่คานต่อความเชื่อใหม่ที่จะมาลิดรอนอำนาจที่เคยมีอยู่ของตนไป จึงได้รับปฏิกิริยาต่อต้านทันที(หน้า 18) 4. ความเป็นอยู่อันห่างไกลความเจริญ และยากแค้น การเดินทางไม่สะดวก เป็นสิ่งที่ปกป้องชนเผ่าจากการควบคุมของรัฐและแรงปะทะภายนอกของวัฒนธรรมหลักของประเทศไทย(หน้า 23, 24, 53, 73)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ชุมชน,ศาสนาคริสต์,การเปลี่ยนแปลง,ปัญหาการเผยแพร่คริสต์ศาสนา,ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2529ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=752
751บทความFrom Gendered Past to Gender Future : Hmong Women Negotiating Gender Inequity in Northern ThailandPatricia V. Symondบทความนี้ต้องการนำเสนอว่าในสังคมม้ง แม้ผู้ชายจะเป็นใหญ่ แต่ผู้เขียนเห็นว่า ยังมีช่องทางในวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของชาวม้ง ที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีอิทธิพล มีอำนาจต่อรอง และมีเสรีภาพในหลายๆ เรื่องอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องเสรีภาพทางเพศซึ่งคล้ายๆ กับตะวันตก เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำนม บทบาทของพี่สาวน้องสาว และในปัจจุบัน ผู้หญิงม้งดูเหมือนว่าจะเป็นผู้มีอิทธิพลในทางเศรษฐกิจเมื่องานฝีมือและผ้าทอของผู้หญิงม้งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวม้ง,ผู้หญิง,สถานภาพ,อำนาจ,ความไม่เท่าเทียม,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2542ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=751
750บทความThe Politics of Cosmology : An Introduction to Millenarianism and Ethnicity among Highland Minorities of Northern ThailandClaes Corlinการเคลื่อนไหวเพื่อโลกใหม่ที่ดีขึ้น(millenarian) ในหมู่ชาวเขาทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดจากองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น ความหมายทางวัฒนธรรมของชาวเขากลุ่มต่าง ๆ สถานะทางเศรษฐกิจ-การเมืองระหว่างปลายศตวรรษที่ 19 ถึงศตวรรษที่ 20 อิทธิพลทางวัฒนธรรมของชนส่วนใหญ่ที่ปกครองอยู่ (อาทิเช่น วัฒนธรรมพุทธนิกายเถรวาท) รวมทั้งอิทธิพลของมิชชันนารี (หน้า 116) ความหมายทางวัฒนธรรม หมายถึง วิถีทางเฉพาะที่ถือปฏิบัติในการเคลื่อนไหวเพื่อโลกใหม่ที่ดีกว่า แม้ว่าจะมีลักษณะร่วมกับแบบแผนการเคลื่อนไหวแบบ millenarian ทั่วไป แต่ก็จะมีลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมสำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่มชาวเขาในประเทศไทย ซึ่งมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ อาจจะกล่าวได้ว่ามีความร่วมกันบางประการอันเนื่องจากการมีพื้นฐานระบบคิด และโลกทัศน์ในเรื่องจักรวาลที่คล้ายคลึงกัน ความหมาย หรือการสื่อเชิงวัฒนธรรมมิใช่เป็นเรื่องที่ตายตัว แต่ถูกก่อรูปมาในช่วงเวลาอันยาวนานที่ได้มีการปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และกลุ่มชนที่อยู่รอบข้างตำนานบ่งบอกว่า "ชาวเขา" เป็นผู้พ่ายแพ้ แต่ตำนานก็ให้ความหวังว่า สักวันหนึ่งยุคทองจะกลับคืนมาในโลกปัจจุบัน วัฒนธรรมของชาวเขาต้องเผชิญหน้ากับวัฒนธรรมที่เป็นของรัฐไทย และอาจจะทำให้ชาวเขารู้สึกถูกคุกคามในทางวัฒนธรรม คริสตศาสนาอาจจะเป็นทางเลือกหนึ่ง (หน้า 117) คริสต์ศาสนากับความเชื่อท้องถิ่นของชาวเขาดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี โดยความเชื่อบางอย่างของชาวเขานั้นสอดคล้องกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ล เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับน้ำท่วมโลก มีมิชชันนารีผู้หนึ่งถึงกับกล่าวอ้างว่ากะเหรี่ยงก็คือกลุ่มชนในอิสราเอลที่สาบสูญไป อย่างไรก็ตาม พัฒนาการของความสัมพันธ์ดังกล่าวได้พิสูจน์แล้วว่าการพบกันของสองวัฒนธรรมจะทำให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้น ทั้งนี้ องค์ประกอบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมของชาวเขา สถานการณ์ที่ล่อแหลมในฐานะที่เป็นชนกลุ่มน้อย รวมทั้งอิทธิพลของศาสนาคริสต์ ได้ส่งผลให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองขึ้นอย่างไม่คาดคิด ซึ่งก็รวมถึงการสร้างนิยามใหม่ให้กับชาติพันธุ์ของตนด้วย ตัวอย่างเช่น กองกำลังกะเหรี่ยงเพื่อการปลดแอก (Karen Liberation Army)(หน้า 117) ทุกวันนี้ชาวเขาชนกลุ่มน้อยเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดยทัวร์ต่างชาติและอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นสิ่งที่สร้างรายได้เป็นอย่างดี(หน้า 117) อย่างไรก็ตาม ชีวิตของชาวเขาก็เปลี่ยนไปในหลาย ๆ ด้าน อย่างเช่น การมีโทรทัศน์เข้ามาแทนที่นิทานเรื่องเล่า และการใส่เสื้อแบบสมัยใหม่แทนเสื้อผ้าพื้นเมือง แต่ในขณะเดียวกันก็มีจิตสำนึกด้านชาติพันธุ์ในกลุ่มคนวัยรุ่นที่มีการศึกษา และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็น มาของชนกลุ่มน้อยก็ก่อให้เกิดความรู้ซึ้งในวัฒนธรรมที่เจริญงอกงามอย่างยิ่งของชาติพันธุ์ตนเอง นอกจากนั้น พวกเขายังตระหนักถึงประเด็นความเท่าเทียมกันทางการเมืองและเศรษฐกิจอีกด้วย(หน้า 119)ม้ง, เมี่ยน, ลีซู, ลาหู่, ลเวือะ, ลัวะ,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ชาวเขา,จักรวาลวิทยา,กระบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนา,ศาสนาคริสต์,จิตสำนึกชาติพันธุ์,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2543ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=750
749บทความThe So People of Kusuman, Northeastern, ThailandRaymond S. Kania and Siriphan Hatuwong Kaniaโส้ มาจากไหนไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด ปัจจุบันโส้อยู่ในจังหวัดสกลนคร มีทักษะการจักสานด้วยไม้ไผ่และการทอผ้าฝ้าย โส้ปลูกข้าวแต่ไม่เน้นขายเป็นสินค้าหลัก เพราะบางทีผลผลิตไม่ดี แต่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยการพึ่งตนเอง เช่น ปลูกพืชผัก ล่าสัตว์ ชาวบ้านมีความเชื่อเรื่องภูตผี เคารพผีต้นไม้ใหญ่เชื่อว่ามีอำนาจสูงสุด ผู้นำหมู่บ้านเป็นผู้ที่สื่อสารระหว่างผีต้นไม้ใหญ่กับชาวบ้าน ชาวบ้านเชื่อว่าผีทำให้เจ็บป่วยหรือตาย ผู้นำหมู่บ้านเป็นผู้ตัดสินข้อถกเถียงต่างๆ หญิงชายมีสิทธิ์เลือกคู่ครองเอง ผู้ใหญ่จะสอนลูกหลานให้รู้จักการดำรงชีพ และสอนให้เด็กๆ รู้จักคิดจากนิทานโส้ โซร ซี ,วิถีชีวิต,ตำนาน,ครอบครัว,สกลนครตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2522ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=749
748รายงานการวิจัยข้อห้ามข้อนิยมของชาวเขาเผ่าถิ่นร.ต.ภูเบธ วีโรทัย รน.เนื้อหาทั้งหมดเกี่ยวกับความเชื่อที่เป็นข้อห้ามที่ไม่ควรปฏิบัติต่างๆ และข้อปฏิบัติที่ชาวเขาเผ่าถิ่นในหมู่บ้านต่างและอำเภอๆ ในเขตจังหวัดน่านนิยามยึดถือปฏิบัติตามจารีตประเพณีและวิถีชีวิตลัวะ,ชาวเขา,ประเพณีพื้นบ้าน,ข้อห้าม,ความเชื่อ,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=748
747-A Report on Tribal peoples in Chiangrai Province North of Mae Kok RiverLucien M.Hanks, Lauriston Sharp, Jane R. Hanks.วิถีชีวิตชาวเขาในจังหวัดเชียงราย ที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อ 150-100 ปีที่แล้วจากเดิมที่เคยดำรงชีพตามวิถีดั้งเดิม โดยชาวเขาเหล่านี้เป็นผู้รับและผู้ถูกกระทำ กล่าวคือ เมื่อชาวเขามีการติดต่อกับคนที่อยู่พื้นราบมากขึ้นก็รับเอาวัฒนธรรมมาด้วย เช่น การแต่งกาย การพูดภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิถีชีวิตจากเดิมที่มีการพึ่งพาตนเองก็หันมาพึ่งพาตลาดมากขึ้นในการซื้อหาสินค้าและการขายผลผลิตทั้งที่เป็นผลผลิตทางการเกษตรและหัตถกรรม จากการผลิตเพื่อใช้กลายมาเป็นการผลิตเพื่อขายตอบสนองความต้องการของตลาดท่องเที่ยว แม้ชาวเขาในปัจจุบันจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนแต่ต้องแลกมาด้วยจิตวิญญาณและความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตน และการถูกสร้างภาพให้กลายเป็นผู้ก่อปัญหาเรื่องการตัดไม้ทำลายป่าและการปลูกฝิ่นม้ง, เมี่ยน, ลีซู, ลาหู่,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ชาวเขา,วิถีชีวิต,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2507ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=747
746บทความA Guide to Mon StudiesChristian Bauerเป็นการรวบรวมงานการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับมอญที่เป็นการศึกษาทั้งของชาวตะวันตกและชาวเอเชีย งานในระยะแรกส่วนใหญ่เป็นงานเกี่ยวกับด้านภาษาศาสตร์ ได้แก่ การศึกษาคำศัพท์ โครงสร้างทางการออกเสียงและการเขียน มีการทำเป็นพจนานุกรมภาษามอญขึ้น เมื่อสามารถเข้าใจภาษามอญ งานชิ้นหลังๆ ก็เป็นงานเกี่ยวกับทางด้านมานุษยวิทยา คติชนวิทยา และวัฒนธรรมในด้านต่างๆ ได้แก่ ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ การตั้งถิ่นฐาน ประเพณี วรรณกรรม ภาษาถิ่น ภาษาและศาสนา นิทานพื้นถิ่น และนักวิชาการชาวตะวันตกหลายคนก็ให้ความสนใจเกี่ยวกับจารึกภาษามอญโบราณ และมีการจัดทำพจนานุกรมภาษามอญโบราณขึ้นเฉพาะ (หน้า 11,14) ผู้เขียนยังได้แบ่งงานการศึกษาเกี่ยวกับมอญ ออกเป็นส่วนๆ ได้แก่ การศึกษาศาสนา ดนตรี วรรณกรรม มานุษยวิทยา สังคมศาสตร์ และคติชนวิทยา ศิลปะ โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และภาษาศาสตร์ และรวบรวมงานในรูปแบบบรรณานุกรมไว้ เพื่อให้ผู้อ่านได้ทำการศึกษาต่อไป (หน้า 17)มอญ,แนวทางงานศึกษาวิจัยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2529ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=746
745วิทยานิพนธ์ทัศนคติของชาวเขาเผ่าลีซอต่อโครงการจัดที่อยู่อาศัยทำกินบนพื้นที่ อำเภอพบพระ จังหวัดตากประดิษฐ์พร จิระปัญญาเลิศประชากรทั้งหมดที่ใช้ในการศึกษาส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 39.88 ปี การรู้ภาษาไทยพูดได้แต่อ่านไม่ออก มีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว มีรายได้จากการเกษตรเฉลี่ย 21,141.64 บาท มีรายได้จากการประกอบอาชีพอื่นเฉลี่ย 5,005.87 บาท/ปี มีรายได้รวมของครัวเรือนเฉลี่ย 25,583.73 บาท/ปี มีการปลูกข้าวและข้าวโพดเป็นอาชีพหลัก มีการติดต่อกับโลกภายนอกเฉลี่ย 5.89 ครั้ง/เดือน มีการติดต่อกับเจ้าหน้าที่เฉลี่ย 1.14 ครั้ง/เดือน และมีทัศนคติที่ดีต่อโครงการ จากผลการทดสอบสมมติฐานพบว่ารายได้จากการประกอบอาชีพอื่นและรายได้รวมของครัวเรือนมีความสัมพันธ์กับทัศนคติที่มีต่อโครงการจัดที่อยู่อาศัยทำกินบนพื้นที่ ส่วนอายุ การรู้ภาษาไทย ลักษณะของครอบครัว รายได้จากการเกษตร เครื่องมือที่ใช้ในการเกษตร จำนวนพื้นที่ปลูก ลักษณะความเป็นผู้นำในหมู่บ้าน การติดต่อกับโลกภายนอกและการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ไม่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติที่มีต่อโครงการ ส่วนปัญหาและอุปสรรคของชาวเขาเผ่าลีซอพบว่า พื้นที่ทำกินไม่เพียงพอ การคมนาคมไม่สะดวก ปัญหาด้านสุขภาพอนามัยในครัวเรือน ขาดน้ำทำการเกษตรในฤดูแล้ง แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร อุปโภคและบริโภคไม่เพียงพอและขาดความรู้ความเข้าใจในภาษาไทย สำหรับความต้องการของชาวเขาเผ่าลีซอพบว่าต้องการพื้นที่ทำกินเพิ่ม ปรับปรุงการคมนาคมและสาธารณูปโภค ปรับปรุงแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและคุณภาพน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคลีซู,ทัศนคติ,ที่อยู่อาศัย,ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=745
744วิทยานิพนธ์รูปแบบของการสื่อสารและการยอมรับบทบาทของสตรีมุสลิมในการบริหารจัดการ สหกรณ์ออมทรัพย์อิสลามบ้านสุไหงปาแน อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานีอีหม๊ะ นิฮะรูปแบบการสื่อสารเพื่อการบริหาร จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์อิสลามที่สตรีมุสลิมเป็นผู้บริหาร ประกอบด้วย 3 รูปแบบ คือ การสื่อสารทางเดียวที่มีลักษณะเป็นทางการ การสื่อสารสองทางที่มีลักษณะเป็นทางการ และการสื่อสารสองทางที่มีลักษณะไม่เป็นทางการ ระดับการยอมรับบทบาทของสตรีมุสลิมด้านการบริหารจัดการสหกรณ์ออมทรัพย์อิสลามของสมาชิกในสังคมกลุ่มต่างๆ จำแนกได้ 3 ระดับ คือ การยอมรับโดยดุษฎี การยอมรับอย่างมีเงื่อนไขและการไม่แสดงความเห็นแต่ไม่คัดค้าน ส่วนปัจจัยที่มีผลทำให้สมาชิกในสังคมมุสลิม ยอมรับบทบาทของสตรีมุสลิมด้านการบริหารจัดการสหกรณ์ออมทรัพย์อิสลาม ประกอบด้วย 3 ปัจจัยคือ การที่คณะกรรมการบริหารเป็นผู้ที่มีอะมานะฮ์ การที่คณะกรรมการบริหารทุกคนมีอาชีพเป็นครูและการที่คณะกรรมการทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคมออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,สตรีการสื่อสาร,บทบาท,สหกรณ์ออมทรัพย์,ปัตตานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=744
743วิทยานิพนธ์การมีส่วนร่วมของมุสลิมไทยกับการได้มาซึ่งผู้นำกิจการศาสนาอิสลาม ศึกษากรณีการสรรหาจุฬาราชมนตรีคำนวณ วิบูลย์พันธุ์การมีส่วนร่วมของมุสลิมไทยในการสรรหาจุฬาราชมนตรี เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2491 โดยประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทั่วประเทศเป็นผู้มีส่วนร่วมในการสรรหาจุฬาราชมนตรีโดยตรง ตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 กำหนดให้สัปบุรุษประจำมัสยิด เป็นผู้คัดเลือกอิหม่ามประจำมัสยิด อิหม่ามประจำมัสยิดเป็นผู้คัดเลือกกรรมการกรรมการอิสลามประจำจังหวัด และกรรม การอิสลามประจำจังหวัดเป็นผู้สรรหาจุฬาราชมนตรี การสรรหาจุฬาราชมนตรีโดยกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเมื่อปี พ.ศ. 2540 ทำให้ได้จุฬาราชมนตรีที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมุสลิมทั่วประเทศ เนื่องจาการสรรหาดังกล่าวเป็นการสรรหาที่สอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลามและมีความถูกต้องบริสุทธิ์ยุติธรรมเป็นที่ยอมรับของมุสลิมทั่วประเทศ ส่วนปัญหาในการสรรหาจุฬาราชมนตรีตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2491 ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2524 และการสรรหาจุฬาราชมนตรีคนปัจจุบันเมื่อปี พ.ศ. 2540 มีปัญหาเหมือนกันคือ ในขณะที่ตำแหน่งจุฬาราชมนตรีว่างลง ไม่มีกฎหมายฉบับใดกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหา ตลอดจนตัวบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการสรรหา กระทรวงมหาดไทยจึงแก้ปัญหาโดยการเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวในการสรรหาจุฬาราชมนตรีในปี พ.ศ. 2491 เชิญผู้แทนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ ผู้แทนกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยและผู้แทนกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ มาประชุมปรึกษา กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวในการสรรหาในปี พ.ศ. 2524 และเชิญผู้แทนกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการและผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย มาประชุมปรึกษา กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาเพื่อใช้ในการสรรหาในปี พ.ศ. 2540มุสลิมไทย ผู้นำ อิสลาม จุฬาราชมนตรี การมีส่วนร่วมตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=743
742วิทยานิพนธ์ผลกระทบของการดำเนินงานโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมันต่อชุมชนชาวเขา : ศึกษาเฉพาะกรณีพื้นที่ลุ่มน้ำลาง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอนชัยวัฒน์ ดิเรกวัฒนาผลกระทบของการดำเนินงานโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมันต่อชุมชนชาวเขา : ศึกษาเฉพาะกรณีพื้นที่ลุ่มน้ำลาง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยแบ่งกลุ่มประชากรออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนากับกลุ่มที่ไม่อยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนา จากการศึกษาพบว่า 1) การดำเนินงานโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมันไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนับสำคัญต่อชุมชนชาวเขาในพื้นที่ลุ่มน้ำลาง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวคือ ในด้านเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงในระดับต่ำ เช่นการครอบครองทรัพย์สิน ความรู้การเกษตร รายได้ การถือครองที่ดิน การมีสัตว์เลี้ยง ในด้านสังคม มีผลกระทบต่อการศึกษาอยู่บ้าง ในลักษณะของการเริ่มให้ความสำคัญต่อการศึกษา และด้านการเมือง ไม่พบความแตกต่าง แต่มีเพียงการติดต่อสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้น 2) ชุมชนชาวเขาในพื้นที่ลุ่มน้ำลาง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาของโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมันไม่มีสภาพเศรษฐกิจ, สังคมและการเมืองที่แตกต่างจากชุมชนในพื้นที่ควบคุม ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมัน กล่าวคือ ในด้านเศรษฐกิจ ไม่มีความแตกต่างอย่างเด่นชัดในด้านรายได้ การใช้ความรู้ทางเกษตร การมีสัตว์เลี้ยง การครอบครองทรัพย์สิน ซึ่งชุมชนควบคุมจะมีช่วงรายได้และการครอบครองทรัพย์สินสูงกว่า ในด้านสังคม ระดับการศึกษา วิธีรักษาพยาบาล การวางแผนครอบครัวไม่มีความแตกต่างอย่างชัดเจน มีเพียงชุมชนที่มีโครงการให้ความสำคัญกับระบบการศึกษามากกว่า และในด้านการเมือง ไม่พบความแตกต่างเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน การนับถือผู้นำมีเพียงประการเดียวที่แตกต่างคือ ชุมชนที่มีโครงการจะพึ่งพาเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนมากกว่า (หน้า ข-ค)
<div id="__if72ru4ruh7fewui_once">
</div>ม้ง, เมี่ยน, ลีซู, ลาหู่,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), อ่าข่า, ชาวเขา,โครงการพัฒนา,ผลกระทบ,เศรษฐกิจ,สังคมและการเมือง,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=742
741วิทยานิพนธ์การสร้างความเป็นหญิงชายทางสังคมและจริยธรรมในชุมชนลาหู่ : กรณีศึกษาหญิงลาหู่ชลดา มนตรีวัตสภาพสังคมในหมู่บ้านลาหู่ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดปัญหาต่างขึ้นมามากมาย เช่นการค้าประเวณี การถูกล่อลวง ซึ่งเดิมมีการวิเคราะห์ว่ามาจากปัญหาการศึกษา หรือวัฒนธรรมที่เอื้ออำนวยให้ผู้หญิงถูกล่อลวง หรือสมัครใจไปค้าประเวณี แต่เมื่อศึกษาดูแล้ว สาเหตุดังกล่าวเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งเท่านั้น อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ สังคมไม่ได้ตระเตรียมให้ผู้หญิงมีบทบาทที่ต้องเผชิญกับโลกภายนอก ไม่ได้เตรียมกระบวนการสร้างความเป็นหญิงชายและการแบ่งงานกันทำ กล่าวคือ สังคมลาหู่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ผู้หญิงไม่สามารถอยู่บ้านและทำงานบ้านเพียงอย่างเดียว ผู้หญิงหลายคนต้องออกจากบ้านเพื่อไปหารายได้ให้ครอบครัว ต้องไปใช้ชีวิตกับคนนอกเผ่า ซึ่งระบบสังคมลาหู่ไม่เคยตระเตรียมให้ผู้หญิงเหล่านี้ต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ ทำให้ถูกล่อลวงได้ง่าย นอกจากนี้จริยธรรมของเผ่าลาหู่ใช้ตัดสินผู้หญิงกับผู้ชายแตกต่างกัน เมื่อผู้หญิงถูกบังคับให้ออกจากชุมชนที่เคยใช้ชีวิตมาตั้งแต่เกิด และไม่เคยไปสัมผัสกับคนภายนอก สิ่งที่ตามมาคือความล้มเหลวในชีวิต ผู้หญิงที่แต่งงานกับคนนอกเผ่า จะต้องออกจากหมู่บ้านถึงแม้ว่าจะไม่มีความพร้อมก็ตาม ขณะที่ผู้ชายสามารถไปแต่งานกับใครที่ไหนก็ได้ แล้วพากลับมาอยู่ในหมู่บ้านได้ และถือเป็นเรื่องปกติ (หน้า ง-ฉ)ลาหู่,ผู้หญิง,การสร้างความเป็นหญิงชายทางสังคม,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=741
740วิทยานิพนธ์การท่องเที่ยวทางนิเวศกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) บ้านแม่กลางหลวงและบ้านอ่างกาน้อย อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์สุวณี ทรัพย์พิบูลผลการศึกษาเรื่องการท่องเที่ยวทางนิเวศกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) บ้านแม่กลางหลวงและบ้านอ่างกาน้อย อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ โดยศึกษาผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านบวกและลบ ทางสังคมและวัฒนธรรม จากการศึกษาพบว่าโครงสร้างหลักทางสังคมและวัฒนธรรมชุมชนกะเหรี่ยงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่ได้มีการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมรอบด้าน ชุมชนยังคงไว้ซึ่งวิถีการผลิตพึ่งตนเอง และคงความสัมพันธ์แบบเครือญาติมีการเอื้อเฟื้อแบ่งปันกัน ซึ่งแม้ว่าชุมชนจะมีการเปลี่ยนแปลงการนับถือศาสนาไปแล้ว แต่ยังคงไว้ซึ่งระบบคุณค่าของการเคารพธรรมชาติที่มีสิ่งเหนือธรรมชาติควบคุมอยู่ การท่องเที่ยวก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ เกิดการสร้างงานและรายได้ และช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่า และมีผลกระทบต่อชุมชนในเรื่องปัญหามลพิษ และการรบกวนพื้นที่ส่วนตัวจากการท่องเที่ยว ชุมชนสามารถพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศให้เป็นกิจกรรมทางเลือกสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจในลักษณะธุรกิจชุมชนพร้อมๆ กับการอนุรักษ์ฟื้นฟูวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของชุมชนท้องถิ่นก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาอย่างยั่งยืน (หน้า ง-จ)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ,ดอยอินทนนท์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=740
739บทความWhite Hmong Kinship : Terminology and StructureLee, Gary Yiaบทความชิ้นนี้ผู้เขียนศึกษาคำเรียกเครือญาติของม้งและวิเคราะห์ความสำคัญของคำเรียกในโครงสร้างเครือญาติและการจำแนกกลุ่มเครือญาติ หน่วยครอบครัวและและตระกูลข้างบิดาเป็นเกณฑ์พื้นฐานลำดับแรกของการจัดกลุ่ม ม้งมีสิทธิและภาระหน้าที่ต่อคนในกลุ่มนี้มากกว่ากลุ่มอื่นและตระกูลอื่น คำเรียกหลานชายและหลานสาวของพ่อที่เป็นลูกลุง - อาผู้ชายว่า nus muag (brothers and sisters) ซึ่งตรงกันข้ามกับหลานสาวและหลานชายของพ่อที่เป็น ลูกป้า-อาหญิง หลานสาวและหลานชายของแม่ที่เป็นลูกลุง-น้าชาย และหลานสาวหลานชายแม่ที่เป็นลูกของป้า-น้าสาวว่า npawg (counsins) สะท้อนถึงสิทธิและภาระหน้าที่ดังกล่าว ดังคำของ Radciff-Brown ที่ว่าคนที่ถูกเรียกขานด้วยคำคำเดียวกันเป็นคนที่มีภาระหน้าที่ต่ออีกคนหนึ่งแบบเดียวกัน (หน้า 11-12)ม้ง,ระบบเครือญาติ,คำเรียกเครือญาติและโครงสร้างตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2529ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=739
738วิทยานิพนธ์ความต้องการและความพึงพอใจรายการวิทยุกระจายเสียงมุสลิมภาคภาษาไทยของชาวไทยมุสลิมในเขตกรุงเทพมหานครเสกสรร พรหมพิทักษ์กลุ่มตัวอย่างต้องการเนื้อหาเกี่ยวกับข่าวสารในแวดวงสังคมมุสลิมไทยค่อนข้างมาก (ร้อยละ 46.3) รองลงมาคือเน้นเนื้อหาเกี่ยวกับหลักการศาสนาอิสลาม(ร้อยละ 45.9) รูปแบบรายการ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ต้องการรูปแบบพูดคุยและสนทนาค่อนข้างมาก(ร้อยละ 48.5) วันเวลาออกอากาศ กลุ่มตัวอย่างอยากให้นำเสนอทุกวัน(ร้อยละ 55.0)และออกอากาศช่วง 04.00 - 07.00 น.(ร้อยละ 37.3) ความถี่ในการออกอากาศ กลุ่มตัวอย่างอยากให้รายการมีการนำเสนอทุกวัน(ร้อยละ 56.1) ผู้ดำเนินรายการ กลุ่มตัวอย่างต้องการผู้ดำเนินรายการที่มีกลวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจและพูดถูกหลักไวยากรณ์ไทยและอาหรับทั้งหมด(ร้อยละ 100.0) กลุ่มตัวอย่างพึงพอใจเนื้อหาค่อนข้างมาก(ร้อยละ 41.7) วันเวลาออกอากาศค่อนข้างมาก(ร้อยละ 44.7) และผู้ดำเนินรายการพึงพอใจค่อนข้างมาก(ร้อยละ 37.6) ส่วนความพึงพอใจด้านรูปแบบรายการและความถี่ในการออกอากาศกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่พึงพอใจในระดับปานกลางคิดเป็น ร้อยละ 43.3และ 36.2 ตามลำดับมุสลิม,ภาษา,รายการวิทยุกระจายเสียง,กรุงเทพมหานครตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=738
737รายงานการวิจัยการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนตระกูลภาษาลาวพวน บ้านนาคูนน้อย เมืองนาซายทอง แขวงกำแพงนะคอนเวียงจัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวสมศักดิ์ ศรีสันติสุข และคณะบ้านนาคูนน้อย เมืองนาซายทอง แขวงกำแพงนะคอนเวียงจัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีกระบวนการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวทางด้านเศรษฐกิจมีมากกว่าด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข และด้านการพักผ่อนหย่อนใจตามลำดับ ในขณะที่ด้านศาสนาและความเชื่อมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวน้อยที่สุดและน้อยกว่าด้านครอบครัวและด้านการปกครองตามลำดับ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมได้แก่ ปัจจัยด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ปัจจัยด้านการพัฒนาตามนโยบายของรัฐ ปัจจัยด้านการอบรมขัดเกลาทางสังคมและปัจจัยด้านสื่อสารมวลชน ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีมากที่สุด ได้แก่ การเปลี่ยนไปสู่ความทันสมัยด้านวัตถุและการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นน้อยคือ การเคารพเชื่อฟังผู้อาวุโสและปัญหาสังคมซึ่งสามารถแก้ไขได้ภายในชุมชนพวน ไทยพวน ไทพวน,การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม,สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=737
736รายงานการวิจัยการสร้างความหมายว่าด้วยเครือญาติและครอบครัวในเครือข่ายทางสังคมของผู้หญิงอิวเมี่ยน(เย้า)ภายใต้วิถีการผลิตเชิงพาณิชย์และระบบสังคมที่ให้อำนาจผู้ชายเป็นใหญ่วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์ผู้เขียนได้สรุปว่าสังคมอิวเมี่ยนในโลกประสบการณ์ของผู้หญิงอิวเมี่ยนมีความซับซ้อนมากเกินกว่าที่นักสังคมศาสตร์และนักสตรีนิยมจะประทับตราลงไปได้ว่ามันเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงปัจจัยการผลิต การบริโภคเพราะระบบสังคมที่ให้อำนาจชายเป็นใหญ่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในลักษณะวิภาษวิธี (dialetic) ทั้งในเชิงรูปธรรม และนามธรรมโดยการต่อรองอำนาจของผู้หญิงเหล่านี้มักปรากฏในรูปของความอะลุ่มอะล่วยการถนอมน้ำใจ การนิ่งเฉย ร้องไห้ หรือเสียดสีแล้วแต่กรณีและเป็นการต่อสู้ที่ไม่ได้เพื่อการมีชีวิตรอดของพวกเธอคนเดียวแต่สู้เพื่อความอยู่รอดของสมาชิกในครอบครัวของพวกเธออีกหลายชีวิตให้สามารถอยู่อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์เท่าที่พวกเธอจะกระทำได้(หน้า 150-151)อิวเมี่ยน,เย้า,ผู้หญิง,เครือข่ายทางสังคม,ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=736
735วิทยานิพนธ์กลยุทธ์การสื่อสารอันนำไปสู่การก่อตัวเป็นชุมชนพัฒนาของชุมชนมุสลิมกุฎีขาว แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานครปณิธา รื่นบรรเทิงวิวัฒนาการของชุมชนแบ่งได้เป็น 3 ระยะคือ ระยะของการก่อตัว ระยะเริ่มต้นการพัฒนาและระยะที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่วนปัจจัยที่ทำให้ชุมชนเกิดการก่อตัวเป็นชุมชนพัฒนาสามารถแยกได้เป็น 2 ลักษณะคือ ปัจจัยภายในชุมชน คือ สภาพชีวิต ความเป็นอยู่ ลักษณะทางกายภาพและแนวคิดการพัฒนาของคนในชุมชน ส่วนปัจจัยภายนอกได้แก่ ความเจริญเติบโตของสังคมเมืองและการได้รับความสนับสนุนจากกลุ่มองค์กรภายนอกชุมชน การใช้สื่อของชุมชนประกอบด้วย สื่อที่ใช้ภายในชุมชน คือ สื่อบุคคล สื่อเฉพาะกิจ สื่อชุมชนและสื่อมวลชนโดยสื่อหลักที่ใช้คือสื่อเฉพาะกิจประเภทหนังสือเวียน ส่วนสื่อที่ใช้ภายนอกชุมชนคือ สื่อบุคคลและสื่อเฉพาะกิจ ซึ่งสื่อที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับชุมชนภายนอกคือ สื่อเฉพาะกิจ ประเภทจดหมายราชการหรือจดหมายที่ออกอย่างเป็นทางการ พัฒนาการของการใช้สื่อเพื่อการพัฒนาของชุมชน ใน 2 ช่วงแรกของวิวัฒนาการของชุมชนจะใช้สื่อบุคคลในการสื่อสาร ต่อมาในช่วงที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สื่อบุคคลถูกลดบทบาทไป โดยชุมชนให้ความสำคัญกับการใช้สื่อเฉพาะกิจ สื่อชุมชนและสื่อมวลชนตามลำดับ ในส่วนของกลยุทธ์การใช้สื่อทั้งภายในและภายนอกชุมชนนั้น จะใช้สื่อหลายๆประเภทประกอบกันเนื่องจากลักษณะของสื่อแต่ละสื่อจะมีลักษณะที่แตกต่างกันและสามารถสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ โดยมีเป้าหมาย 4 ประการคือ เพื่อต้องการแจ้งให้ทราบผลการดำเนินงานที่ผ่านมา เพื่อต้องการให้ทราบว่ามีกิจกรรมใดเกิดขึ้น เพื่อขอความร่วมมือสนับสนุนและเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ กับชาวบ้านในชุมชน โดยทั้งสี่ประการจะตอบสนองเป้าหมายหลักคือ ต้องการให้ชุมชนเกิดการพัฒนามุสลิม,กลยุทธ์,การสื่อสาร,การก่อตัว,ชุมชน,กรุงเทพมหานครตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=735
734วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตรของชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำสอง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตากSuthin Wuthibut หัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีช่วงอายุระหว่าง 41-50 จำนวนสมาชิกในครัวเรือนมี 5-10 คน ประชากรมีระยะเวลาอยู่อาศัยในหมู่บ้านส่วนใหญ่ระหว่าง 31-40 ปี ประชากรมีรายได้อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่า 2,000 บาท/ครอบครัว/ปี ที่มาของรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายสัตว์เลี้ยง แต่ละครัวเรือนมีพื้นที่การถือครองมากกว่า 41 ไร่ การใช้ประโยชน์ที่ดินมี 3 ลักษณะคือ ไร่เลื่อนลอยแบบหมุนเวียน นาขั้นบันไดและไร่เลื่อนลอยแบบหมุนเวียนผสมปนกัน และนาขั้นบันได สำหรับปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตรของประชากรคือ สภาพภูมิประเทศ สถานภาพทรัพยากรดิน ความลึกของผิวหน้าดิน สถานภาพทรัพยากรน้ำ สถานภาพพื้นที่ทำกินและจำนวนพื้นที่ถือครอง มีความสัมพันธ์ต่อการใช้ประโยชน์ที่ดินของชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำสอง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนปัจจัยด้านรายได้รวมของครัวเรือน จำนวนแรงงานในครัวเรือน ลักษณะการอยู่อาศัยในหมู่บ้าน ระยะเวลาการอยู่อาศัยในหมู่บ้าน การติดต่อกับสังคมภายนอกและการเรียนหนังสือของสมาชิกในครัวเรือนมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ที่ดิน,เกษตรกรรม,ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=734
733รายงานการวิจัยHmong and Karen Health and Family Planing: Cultural and other factors affecting use of modern health and family planning services by hilltribes in northern Thailand.Kunstadter, Peter; Kesmanee, Chupinit and Pothiart, Prawit .ม้งเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดได้จากหลายสาเหตุทั้งจากอุบัติเหตุ สาเหตุจากภายในและจากธรรมชาติภายนอก รวมถึงการเจ็บป่วยที่มีความสัมพันธ์กับสังคม ข้อห้าม และจิตวิญญาณ เทพเจ้าต่าง ๆ การรักษามีหลายวิธีการ การตัดสินใจเลือกใช้เป็นไปตามสภาพแวดล้อมและสถานการณ์แต่ละบุคคลที่เจ็บป่วย หากไม่ได้มีสาเหตุภายนอกซึ่งได้วินิจฉัยแล้วโดยหมอผี การรักษาก็จะเป็นไปโดยใช้ยาสมุนไพรแบบดั้งเดิม ยาสมัยใหม่ หรือใช้คาถา หรือผสมผสานวิธีการรักษาทั้งแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ สำหรับการวางแผนครอบครัวของม้งยังไม่ได้รับความสนใจมากนัก เนื่องจากหลายปัจจัยโดยเฉพาะปัจจัยทางด้านสังคมที่เป็นครอบครัวขยาย การสืบโคตรตระกูลฝ่ายพ่อทำให้มีความต้องการลูกชายมากกว่าลูกสาวแต่ก็ยังคงต้องการมีลูกสาวเช่นกันเพื่อช่วยเศรษฐกิจในครอบครัว และต้องการแรงงานมาใช้ในการผลิต ปัจจัยทางโครงสร้างทางสังคม ความเชื่อและพิธีกรรมได้หยั่งรากลึก และแม้จะดูเหมือนว่าม้งจะยอมรับวัฒนธรรมภายนอกแต่ดูเหมือนจะยอมรับวัฒนธรรมทางวัตถุสมัยใหม่ได้ง่ายกว่า แต่ยังคงสืบทอดโครงสร้างทางสังคมแบบดั้งเดิม หากเป็นไปตามกระบวนการนี้ อาจจะทำให้เกิดปัญหาในการวางแผนครอบครัว ซึ่งแนวทางในการแก้ไขอาจจะอยู่ที่การสนับสนุนแนวคิดที่เกี่ยวกับความเท่าเทียมกันในเรื่องเพศให้เหมือนกับในสังคมไทย ทั้งลูกสาวและลูกชายสามารถดูแลครอบครัวได้ก็อาจจะช่วยลดอัตราการเกิดได้ (หน้า 141-148) กะเหรี่ยงเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก แต่ส่วนใหญ่การเจ็บป่วนเกิดจากผี เทพเจ้า หรือการเสียขวัญ ซึ่งจะต้องมีการเซ่นไหว้ด้วย หมู ไก่ เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย แต่กะเหรี่ยงก็มีอีกหลายวิธีการในการรักษาอาการเจ็บป่วยเช่น การใช้ยาสมุนไพร น้ำมนต์ ยาสมัยใหม่ ฯลฯ การรักษาแบบสมัยใหม่ได้รับความนิยมน้อยเนื่องจากค่ารักษาแพงกว่าการรักษาแบบดั้งเดิม และมีปัจจัยเกี่ยวกับความเชื่อเกี่ยวกับการคลอดที่โรงพยาบาลจะทำให้เด็กไม่มีบุญและมารดาเจ็บมากกว่าการคลอดที่บ้าน กลุ่มกะเหรี่ยงยังคงต้องการความรู้เกี่ยวกับการดูและครรภ์ การเลี้ยงดูเด็กและโภชนาการเพิ่มมากขึ้น ในเรื่องการวางแผนครอบครัว พบว่ามีปัจจัยทางวัฒนธรรมบางประการที่ช่วยในเรื่องของการวางแผนครอบครัวได้ดีกว่าม้ง เช่นจากการที่กะเหรี่ยงไม่ได้เป็นครอบครัวขยายและไม่ได้คาดหวังกับเพศของบุตรมากเท่าม้ง แม้ว่าจะนิยมมีลูกสาวมากกว่าก็ตาม และ ในกลุ่มหมู่บ้านที่ได้รับการพัฒนาเป็นกลุ่มที่ใช้การคุมกำเนิดมากกว่า แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปทางสังคมเป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับการวางแผนครอบครัว (หน้า 217-219)ม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,สาธารณสุข,การวางแผนครอบครัว,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2530ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=733
732วิทยานิพนธ์การวิเคราะห์แบบมีส่วนร่วมถึงความยั่งยืนของระบบเกษตรในชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่สอง ตำบลแม่สอง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตากบุญส่ง ธารศรีทอง ศึกษาสภาพการทำการเกษตร ความยั่งยืนของระบบเกษตร อุปสรรคและข้อเสนอแนะในการทำเกษตรแบบยั่งยืนในชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่สอง ตำบลแม่สอง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยศึกษาการทำไร่หมุนเวียน การทำนาดำ การเลี้ยงโค การเลี้ยงกระบือ การเลี้ยงสุกร การขุดหาหน่อไม้ การขุดหาเฮาะโคะโซ การขุดหาบุก ผลวิจัยพบว่าผลผลิตจากการทำไร่และทำนาลดลงในปีที่ปริมาณน้ำฝนน้อย การทำไร่หมุนเวียนจะมีการปลูกพืชชนิดอื่นเสริมเพื่อให้ข้าวได้รับสารอาหารอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ การเลี้ยงโค กระบือ สุกร ของชาวบ้านยังเป็นรายได้เสริมในยามที่ผลผลิตข้าวไม่เพียงพอต่อการบริโภค รวมไปถึงการหาของป่าที่ยังอุดมสมบูรณ์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของชาวบ้าน ในภาพรวมของหมู่บ้านพบว่าระบบเกษตรมีความยั่งยืนโดยอาศัยความหลากหลายในการทำการเกษตร แม้ผลผลิตข้าวไม่เพียงพอแต่ได้รับการชดเชยจากการเลี้ยงสัตว์และการหาของป่า (ดูบทคัดย่อและหน้า 230-231)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),,การมีส่วนร่วม,ชุมชน,เกษตรยั่งยืน,ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=732
731บทความAgricultural Transformation and the Politics of Hydrology in Northern ThailandWalker, Andrewข้อขัดแย้งเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำในพื้นที่สูงทางภาคเหนือของประเทศไทย มักจะมีการกล่าวถึงบ่อยครั้งถึงการลดลงของน้ำในแหล่งน้ำ อันเนื่องมาจากการถางป่าไม้ บทความชิ้นนี้เสนอข้อโต้แย้งเโดยอาศัยหลักฐานการศึกษาทรัพยากรน้ำหลายด้านว่าอาจจะเป็นผลกระทบมาจากการที่มีการใช้น้ำเพิ่มขี้นมากในขณะที่ปริมาณมีลดลง ผู้วิจัยเสนอว่าการเปลี่ยนมุมมองจากอุปทานน้ำ (Water supply) ไปยังความต้องการใช้น้ำ (Water demand) จะช่วยให้เห็นแนวทางปัญหาการจัดการทรัพยากรน้ำได้ชัดเจนขึ้น ถ้าข้อโต้แย้งสาธารณะยังคงมุ่งประเด็นเรื่องอุปทานน้ำ ก็จะมุ่งประเด็นทั่วไปที่กลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในป่าบนพื้นที่สูง แต่ถ้าการจัดการน้ำเปลี่ยนไปมุ่งประเด็นไปที่ความต้องการใช้น้ำหรืออุปสงค์ ความสนใจจะเปลี่ยนไปที่ความต้องการใช้น้ำซึ่งมีที่มาหลากหลาย (หน้า 941)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ยวน,เกษตรกรรม,นโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2546ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=731
730รายงานการวิจัยลาวโซ่ง : พลวัตของระบบวัฒนธรรมในรอบสองศตวรรษสุมิตร ปิติพัฒน์, รศ. และ เสมอชัย พูลสุวรรณ, รศ.ดร.เนื้อหาครอบคลุมพื้นที่ศึกษาทั้งถิ่นฐานเดิมของลาวโซ่ง คือ สิบสองจุไท และถิ่นฐานที่ถูกกวาดต้อนเข้ามา คือ จังหวัดเพชรบุรี ภาคกลางของประเทศไทย และมีการเคลื่อนย้ายถิ่นออกไปในหลายจังหวัดของภาคกลาง การเปลี่ยนแปลงทางด้านนิเวศน์ ทำให้ลาวโซ่งมีกลไกทางสังคมในการธำรงชาติพันธุ์หลายระดับและที่สำคัญที่สุด คือ คติการนับถือผีบรรพบุรุษ ซึ่งนับว่าเป็นรากแก้วของวัฒนธรรมลาวโซ่งทั้งระบบ และเพิ่มความเข้มข้นจนทำให้เกิดเครือข่ายทางสังคมรูปแบบใหม่ๆลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ความเป็นมา,การปรับตัว,เพชรบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=730
729วิทยานิพนธ์ค่านิยมทางประชากรของชนกลุ่มน้อย : ศึกษาเฉพาะกรณีชาวมอญเขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานครปิยชาติ หอวัฒนกุลงานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาค่านิยมทางประชากรของมอญในเขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ในด้านการเกิด การสมรส การย้ายถิ่น และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างค่านิยมทางประชากรทั้ง 3 ด้านกับตัวแปรเพศ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา อาชีพ อายุ และรายได้ในครัวเรือน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นชายและหญิงในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน เกือบทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ ใช้ภาษามอญติดต่อสื่อสาร มีสมาชิกครัวเรือนโดยเฉลี่ย 6 คน ในจำนวนนี้มีรายได้ประมาณ 3 คน มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 5 คน อายุแรกสมรสเฉลี่ยชาย 24 ปี หญิง 21 ปี ส่วนใหญ่สมรสแล้วมากกว่าร้อยละ 50 การศึกษาระดับประถมศึกษาตอนต้นมากกว่าครึ่ง ประกอบอาชีพรับจ้าง มีอายุเฉลี่ย 40.34 ปี ครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ย 3,402.18 บาทต่อเดือน โดยกลุ่มตัวอย่างมีค่านิยมไม่แน่ใจเรื่องคุณค่าของบุตร เพศของบุตรและจำนวนบุตรที่ต้องการ กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยที่อายุแรกสมรสควรสูงขึ้น ไม่เห็นด้วยกับการที่สตรีมีเพศสัมพันธ์ก่อนการสมรส กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยกับการอาศัยอยู่ในถิ่นเดิม ไม่แน่ใจกับการย้ายถิ่นที่อยู่ กลุ่มตัวอย่างที่อายุมากมีแนวโน้มต้องการมีจำนวนบุตรมากหรือมีครอบครัวขนาดใหญ่ และไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ทางเพศก่อนการสมรส กลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้สูงขึ้นมีค่านิยมสมรสช้า และเห็นว่าสามีภรรยาควรได้ตัดสินใจเรื่องราวต่างๆร่วมกัน กลุ่มตัวอย่างเพศหญิงผูกพันกับท้องถิ่นของตนและคิดว่าการย้ายถิ่นไม่ช่วยยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาสูงและมีรายได้สูงมีแนวโน้มต้องการย้ายถิ่นฐานเพราะคิดว่าจะช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น (ดูหน้าบทคัดย่อและหน้า 128-140)มอญ,ค่านิยม,ประชากร,กรุงเทพมหานครตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2532ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=729
728รายงานการวิจัยการศึกษาประเพณีการรำพาข้าวสารและการตักบาตรพระร้อยในอำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานีวงเดือน สุขบางการร้องรำพาข้าวสารของชาวบ้านจังหวัดปทุมธานี เป็นประเพณีเก่าแก่ของจังหวัดที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตพื้นบ้านที่เรียบง่าย เนื่องจากสภาพสังคมชนบทในอดีตประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก มีความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับชาติภพ นรกสวรรค์ การมีอายุยืน ศรัทธาการอธิษฐานและการสร้างสมผลบุญ รวมถึงค่านิยมในด้านต่างๆ อาทิ ค่านิยมเกี่ยวกับการรับราชการ การนิยมความมั่งคั่งร่ำรวย การมีรูปร่างสวยงาม การทำบุญ ต้องการความสุขสบาย ต้องการของใช้มีราคา การมีภรรยาหลายคน ความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับบ้าน ความร่วมมือภายในสังคม และการมีคุณธรรม การใช้ภาษาในบทร้องรำพาข้าวสารมักใช้คำง่าย ๆ ตรงไปตรงมา มีสัมผัสคล้องจอง ซ้ำคำหรือใช้คำเปรียบเทียบเน้นความ รวมถึงการใช้สรรพนามเพื่อให้เกิดความรู้สึกสนิทสนมเป็นกันเอง ยกย่องผู้บริจาคเปรียบเสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ การร้องรำพาข้าวสารที่จัดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีการตักบาตรพระร้อยซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่อย่างหนึ่งของชาวจังหวัดปทุมธานี คือจะมีพระภิกษุและสามเณรมารับบิณฑบาตในเรือจากชาวบ้านริมฝั่งน้ำไม่ต่ำกว่า 100 รูปมีการจัดแสดงมหรสพและการละเล่นต่าง ๆ จัดขึ้นหลังวันออกพรรษาไปจนถึงประมาณกลางเดือนสิบสองมอญ,รามัญ,รำพาข้าวสาร,การตักบาตรพระร้อย,บทร้อง,ประเพณี,การละเล่น,ค่านิยม,ความเชื่อ,ปทุมธานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปทุมธานี ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=728
727วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่มีผลต่อการคุมกำเนิดของสตรีชาวเขาเผ่าม้งและเผ่ากะเหรี่ยงวราพร วันไชยธนวงศ์ งานศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการคุมกำเนิดของสตรีชาวเขาเผ่าม้งและกะเหรี่ยง ตามโครงการวางแผนครอบครัวแห่งชาติถือว่าเป็นกลุ่มที่จำเป็นให้บริการวางแผนครอบครัว ผลการศึกษาพบว่า ตัวแปรทางด้านประชากร ได้แก่ อายุภรรยา อายุสามี จำนวนบุตรชาย จำนวนบุตรที่มีชีวิต จำนวนบุตรในอุดมคติ ความต้องการบุตรชาย และความต้องการบุตรหญิง ตัวแปรทางด้านสังคม ได้แก่ เผ่าถิ่นที่อยู่อาศัย ความคิดเห็นในการให้การศึกษาแก่บุตรชาย และความคิดเห็นในการให้การศึกษาแก่บุตรหญิง และตัวแปรด้านสุขภาพ ได้แก่ การได้รับการดูแลก่อนคลอด ประสบการณ์การคลอด ความรู้เรื่องวัคซีน และสถานภพาการฉีดวัคซีนลูก ปัจจัยในตัวแปรที่ศึกษาทั้ง 3 ตัวแปรนี้ต่างมีความสัมพันธ์กับการใช้การคุมกำเนิด ในตัวแปรบางตัวไม่มีผลปฏิสัมพันธ์กับการวางแผนครอบครัว หากแต่มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ได้แก่ อายุภรรยา เผ่า และสถานะภาพการฉีดวัคซีนลูกม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยงสตรี,การวางแผนครอบครัว,การอนามัย,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปทุมธานี ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=727
726วิทยานิพนธ์การศึกษาสภาพการจัดการศึกษานอกระบบเพื่อชนชาวกะเหรี่ยง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรีสุรีย์พร รักอยู่ ชุมชนกะเหรี่ยงทั้ง 2 หมู่บ้าน มีพื้นที่ติดแนวชายแดนไทย-พม่า และเป็นแดนที่ล่อแหลมต่อการลุกล้ำดินแดน การเดินทางลำบากเพราะเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวน มีความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น ไม่มีที่ดินเป็นเอกสารสิทธิ์ ขาดการจัดการระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ทางด้านการศึกษาพบว่ากะเหรี่ยงเกือบทั้งหมดไม่รู้หนังสือ อ่านและเขียนภาษาไทยไม่ได้ ด้านสาธารณสุขยังขาดการดูแลสุขภาพอนามัย และสถานที่ให้บริการด้านสาธารณสุข มีเพียงตู้ยาและเวชภัณฑ์ซึ่งไม่เพียงพอกับการให้ บริการ ด้านการอาชีพกะเหรี่ยงยังชีพอยู่ได้ด้วยการเกษตรแบบล้าหลัง ไม่เพียงพอแก่การบริโภค ด้านสังคมและอาชญากรรมพบว่า มีการทำร้ายร่างกายและลักขโมย ในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อ ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผี ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ยังมีการตัดไม้ทำลายป่า ในด้านการกีฬาและนันทนาการ ชาวบ้านไม่มีความสนใจที่จะใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ การวางแผนและการดำเนินการจัดการศึกษาเพื่อชนกะเหรี่ยง ในด้านการศึกษาจะมีศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนของอำเภอสวนผึ้งเป็นหน่วยงานหลัก ด้านอนามัยและสาธารณสุขจะมีสาธารณสุขประจำตำบลห้วยม่วงเป็นผู้ให้บริการ ด้านการประกอบอาชีพ มีเจ้าหน้าที่เกษตรอำเภอแนะนำและฝึกอบรมด้านการประกอบอาชีพ ด้านสังคมและการปกครองมีเจ้าหน้าที่ของหน่วยทหารเข้ามาฝึกอบรมรวมทั้งยังฝึกอบรมเรื่องการอนุรักษ์ป่าไม้และรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ส่วนด้านประเพณี วัฒนธรรมจะมีทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้ามาจัดการรักษา ผลการจัดกิจกรรมการศึกษาเพื่อคนกะเหรี่ยงพบว่าผู้เข้ารับการอบรมสามารถอ่านออกเขียนภาษาไทยได้ ชาวบ้านมีอาชีพหลักและอาชีพรองทำให้มีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น ด้านสาธารณสุขมีการรักษาความสะอาดของสุขภาพร่างกายที่ดีและรักษาความเจ็บป่วยของร่างกายที่ถูกต้องขึ้น ด้านความมั่นคงพบว่า มีการจัดเวรยามในชุมชนและเตรียมความพร้อมที่จะรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดน ด้านสิ่งแวดล้อมมีการปลูกป่าทดแทนและตระหนักถึงสภาพแวดล้อมมากขึ้น ด้านสังคมวัฒนธรรมและประเพณีมีการถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณีจากผู้สูงวัยมายังเยาวชน ส่วนด้านกีฬาและนันทนาการพบว่ามีการให้ความร่วมมือในด้านต่างๆ แก่ทางราชการ มีการพัฒนาจิตใจและสร้างความสามัคคีในหมู่เยาวชนโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),สังคม,เศรษฐกิจ,ความเชื่อ,เชียงใหม่,การจัดการ,การศึกษานอกระบบ,ราชบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=726
725วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่มีผลต่อความรู้ความคิดเห็นต่อนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาที่ทำกินของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยผาเมือง จังหวัดลำพูนยอดชาย ไวยเนตร ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่ให้ข้อมูลเป็นเพศชายร้อยละ 79.6 เพศหญิงร้อยละ 20.4 มีอายุเฉลี่ย 38 ปี ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษาร้อยละ 67.1 มีสถานภาพในชุมชนเป็นลูกบ้าน ร้อยละ 93.4 ระดับคะแนนเฉลี่ยของความรู้ต่อนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาพื้นที่ทำกิน เท่ากับ 7.28 ระดับคะแนนเฉลี่ยของความคิดเห็นต่อนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาพื้นที่ทำกิน เท่ากับ 8.01 ปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้นโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาพื้นที่ทำกินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ระยะเวลาการอาศัยอยู่ในพื้นที่ ความรู้และความคิดเห็นในเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ - สัตว์ป่า สำหรับด้านปัจจัยที่มีผลต่อความคิดเห็นต่อนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาพื้นที่ทำกินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เพศ อาชีพ ความรู้และความคิดเห็นในเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ - สัตว์ป่า ส่วนอายุ สถานภาพในชุมชน ระดับการศึกษา การรับรู้ข่าวสาร รายได้ รายจ่าย ขนาดพื้นที่ถือครอง มีผลต่อการรับรู้และความคิดเห็นต่อนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาพื้นที่ทำกินอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ความคิดเห็น,นโยบายรัฐ,ที่ทำกิน,ลำพูนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=725
724วิทยานิพนธ์เจตคติของชาวเขาเผ่าลีซอและเผ่ากระเหรี่ยงในตำบลแจ่มหลวงต่อการอนุรักษ์ป่าไม้สุชาดา สายศรเจตนาคติของชาวเขาเผ่าลีซอและเผ่ากะเหรี่ยงต่อการอนุรักษ์ป่าไม้มีทั้งหมด 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการปลูกป่า การบุกรุกทำลายป่า คุณประโยชน์ ไฟป่า และกฏหมาย 1) การปลูกป่า ชาวเขาทั้ง 2 เผ่ามีเจตนาคติเห็นด้วยในระดับปานกลางและระดับดีเกี่ยวกับเรื่องของการปลูกป่าของหน่วยงานรัฐบาล ตลอดจนการร่วมมือปลูกต้นไม้ร่วมกับรัฐบาลถือเป็นสิ่งจำเป็น ชาวเขาทั้ง 2 เผ่ามีเจตคติที่ต่างกันเกี่ยวกับเรื่องจำนวนป่าไม้ในบริเวณหมู่บ้านลดลง สมควรจะมีการอนุรักษ์เอาไว้ 2) การบุกรุกทำลายป่า ชาวเขาทั้ง 2 เผ่ามีเจตคติระดับปานกลางและระดับดีเกี่ยวกับเรื่องการไม่สมควรแผ้วถางป่าเพื่อทำพื้นที่การเกษตรเพิ่มขึ้น 3) คุณประโยชน์ ชาวเขาทั้ง 2 เผ่ามีเจตคติในระดับดีเกี่ยวกับเรื่องป่าเป็นแหล่งผลิตไม้เพื่อใช้สอย เจตคติในด้านคุณประโยชน์ของป่าไม้ไม่แตกต่างกันทุกรายการทั้ง 2 เผ่า 4) ไฟป่า ชาวเขาทั้ง 2 เผ่ามีเจตคติระดับปานกลางและระดับดีเกี่ยวกับเรื่องของการเกิดไฟป่า ไม่เป็นผลดีต่อการเตรียมพื้นที่ปลูก ส่วนเจตคติในด้านไฟป่าไม่แตกต่างกันทุกรายการทั้ง 2 เผ่า 5) กฎหมาย ชาวเขาทั้ง 2 เผ่ามีเจตคติระดับในระดับปานกลางเกี่ยวกับเรื่องสมควรให้มีการลงโทษผู้กระทำการลักลอบตัดต้นไม้ ส่วนเจตคติในด้านกฏหมายไม่แตกต่างกันทุกรายการทั้ง 2 เผ่าลีซู,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,การอนุรักษ์,ป่าไม้,เจตคติ,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=724
723วิทยานิพนธ์ปัญหาม้งอพยพสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกกับผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย และสปป.ลาวพิทักษ์ อินทิยศงานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาถึงพัฒนาการ วิเคราะห์และประเมินแนวโน้มของปัญหาผู้อพยพชาวเขาเผ่าม้งที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก จ.สระบุรีกับผลกระทบที่มีต่อการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและลาวในยุคหลังสงครามเย็น ผลวิจัยพบว่าผู้ให้สัมภาษณ์ทั้งฝ่ายไทยและลาวเห็นว่า ม้งอพยพที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยขณะนี้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลาวและไทย ทำให้ลาวหวาดระแวงไทยเรื่อยมาว่า ให้การสนับสนุนม้งกลุ่มนี้เพื่อต่อต้านรัฐบาลลาว โดยแนวโน้มในอนาคตของความหวาดระแวงจะเป็นอย่างไรไม่สามารถชี้ชัดได้ ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศในเวลานั้นว่าเป็นอย่างไร หากไทยแก้ไขปัญหาผู้อพยพม้งที่ถ้ำกระบอกอย่างเป็นรูปธรรม โอกาสรื้อฟื้นความสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจย่อมมีสูง (ดูหน้าบทคัดย่อ)ม้ง,สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก,ความสัมพันธ์,ไทย,ลาว,สระบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสระบุรี ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=723
722รายงานการวิจัยLahu Nyi (Red Lahu) Village Society and Economy in North Thailand. Volume 2Walker, Anthony R.รายงานวิจัยชิ้นนี้เป็นความพยายามทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่แดง "Lau Nyi" หมู่บ้าน Sha O Kha บนพื้นที่สูงบริเวณดอย Mae Tad อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ระบบเศรษฐกิจของหมู่บ้านอยู่บนพื้นฐานของการทำไร่หมุนเวียน พืชหลักที่ทำการเพาะปลูกคือ ข้าว ข้าวโพด พริกและฝิ่น และมีการค้าขายแลกเปลี่ยนทั้งภายในหมู่บ้านและกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ภายนอก ไม่ว่าจะเป็น8oไทยภาคเหนือ และจีนฮ่อ พ่อค้าเหล่านี้มักจะเดินทางเข้ามาในหมู่บ้านปีละหลายครั้งเพื่อทำการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า การค้าขายเป็นหลักประกันหากการเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ผลเต็มที่พวกเขาก็ยังสามารถอยู่ได้จนถึงฤดูการเก็บเกี่ยวครั้งต่อไป ลักษณะโครงสร้างสังคมลาหู่แดง "Lau Nyi" เป็นสังคมที่มีความเป็นอิสระและความเท่าเทียมกัน ซึ่งหมายถึงการเป็นอิสระจากสังคมของตนเองและเป็นอิสระจากสังคมอื่น ทุกคนต่างทำงานของตนเองมีความเท่าเทียมกันไม่มีความเหลื่อมล้ำทางสังคมมากนัก และโครงสร้างทางสังคมของลาหู่แดง "Lau Nyi" เป็นโครงสร้างหลวมไม่มีการสร้างสัมพันธ์ในรูปแบบสายตระกูลคือโคตรตระกูล ซึ่งลักษณะโครงสร้างทางสังคมมีความสัมพันธ์กับแนวคิดของความเป็นอิสระความเท่าเทียมกันรวมถึงรูปแบบการดำรงชีวิตที่ต้องอพยพย้ายถิ่นฐานอยู่เสมอ การที่รัฐบาลไทยจะเข้ามาปกครองกลุ่มลาหู่แดง "Lau Nyi" รัฐควรจะมีความรู้ความเข้าใจลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคมหมู่บ้านลาหู่แดง "Lau Nyi" รายงานวิจัยชิ้นนี้หวังว่าจะเป็นส่วนช่วยในการสร้างความเข้าใจระหว่างรัฐและลาหู่แดง "Lau Nyi" เพิ่มมากขึ้นรวมถึงเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาปางประการตามความเห็นของผู้วิจัย (หน้า 550-558)ลาหู่,ลาหู่แดง,ระบบเศรษฐกิจ,สังคม,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสระบุรี ประเทศไทย2513ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=722
721หนังสือชนชาติเย้า : เย้าเมี่ยนและเย้ามุนในจีน เวียตนาม ลาว และ ไทยเจสส์ จี. พูเรต์ (แปลโดย มงคล จันทร์บำรุง, สมเกียรติ จำลอง)งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาเรื่องการอพยพย้ายถิ่น ธรรมเนียม ความเชื่อ พิธีกรรม ที่อยู่อาศัย และการแต่งกายของ เย้าเมี่ยน และ เย้ามุนในจีน เวียดนาม ลาวและไทย เย้าเป็นชนชาติที่มีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง ดังเช่นการแสดงออกในเรื่องของการแต่งกาย ได้แก่ การสวมเสื้อผ้าตามจารีตประเพณี และ การสวมเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งเป็นการแสดงความเป็นเย้าที่เด่นชัดที่สุด สำหรับความเชื่อ ประเพณี เช่น การเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษนั้น นับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างสูงต่อชีวิตทางวิญญาณของเย้า และศาสนามีการนับถือลัทธิเต๋า นอกจากนี้ เย้ายังมีภาษาพูดเป็นของตนเอง โดยเย้ากลุ่มที่พูดภาษาเมี่ยนเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่สุด ส่วนเย้ากลุ่มใหญ่อันดับสองคือกลุ่มที่พูดภาษามุน ทว่าเย้าเมี่ยนและเย้ามุนไม่มีภาษาเขียนของตัวเอง ปัจจุบัน แม้ว่าเย้าจะมีการอพยพไปอยู่อาศัยในประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในไทย ลาว หรือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศสและแคนาดา แต่เย้าก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์และการแสดงออกถึงความเป็นเย้าไว้ได้ดังเดิมเย้าเมี่ยน,เย้ามุน,การอพยพ,ความเชื่อ,พิธีกรรม,เครื่องแต่งกาย,การตั้งถิ่นฐาน,จีน,เวียดนาม,ลาว,ไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสระบุรี ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=721
720บทความอาข่า พิธีกรรม ความเชื่อ ความจริง และความงาม กุศโลบายดำรงวิถีแห่งชนเผ่าเบญจวรรณ วงศ์คำ (บรรณาธิการ) และคณะงานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ประเพณีพิธีกรรมของอ่าข่าบ้านห้วยขี้เหล็ก ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงรายอาข่า,พิธีกรรม,ประเพณี,ความเชื่อ,การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=720
719วิทยานิพนธ์สภาพความเป็นอยู่และความต้องการที่เกี่ยวกับการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวเลละเอียด กิตติยานันท์งานวิจัยชิ้นนี้ ศึกษาสภาพความเป็นอยู่ของชาวเลในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษา การปกครอง การสาธารณสุข ศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี ความจำเป็นพื้นฐานและคุณภาพชีวิต รวมไปถึงความต้องการของชาวเลในเรื่องการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยศึกษาชาวเลหมู่บ้านหาดราไวย์ หมู่ที่ 2 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต จำนวน 84 ครอบครัว ผลการวิจัยพบว่า ชาวเลหาดราไวย์มีประชากรทั้งหมด 439 คน มีภาษาพูดเป็นของตนเองแต่ไม่มีภาษาเขียน สร้างบ้านเรือนอยู่อย่างเรียบง่ายบนพื้นที่ของเอกชน ชาวเลส่วนใหญ่ประกอบอาชีพจับปลาในทะเลมาขาย แต่รายได้มักไม่พอกับรายจ่ายทำให้เป็นหนี้สินกันมาก ชาวเลส่วนใหญ่สมรสตั้งแต่อายุยังน้อยคือประมาณ 14-16 ปี สังคมของชาวเลยกย่องให้ภรรยาเป็นใหญ่ สามีจะประกอบอาชีพอะไรต้องขออนุญาตจากภรรยา ชาวเลส่วนใหญ่ยังคงมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์และนับถือคำสอนของบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด แต่ประเพณีต่าง ๆ ที่เก่าแก่ของชาวเล ได้รับเอาประเพณีและวิธีการของคนเมืองในบริเวณใกล้เคียงไปใช้ในบางส่วน ขณะเดียวกัน ชาวเลบางส่วนยังนับถือศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม แต่ก็เป็นไปอย่างไม่เคร่งครัดมากนัก ส่วนความเป็นอยู่ของชาวเลด้านสุขอนามัยนั้นพบว่า ชาวเลส่วนใหญ่มีสุขภาพแข็งแรง เพราะมีอาหารทะเลให้บริโภคอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ในชุมชนกลับไม่มีส้วมใช้ โรคที่ชาวเลเป็นกันมากคือโรคผิวหนัง (เกลื้อน) ชาวเลรักษาการเจ็บป่วยโดยซื้อยามากินเอง ชาวเลส่วนใหญ่ไม่ได้เข้ารับการศึกษาตามระบบโรงเรียนเพราะความยากจน และไม่ต้องการให้บุตรหลานเข้าโรงเรียนที่เรียนร่วมกับคนพื้นเมือง เพราะไม่ต้องการให้เกิดการดูถูกเหยียดหยาม ชาวเลส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าร่วมกิจกรรมตามที่รัฐระบุไว้ เช่น การเลือกตั้ง การเกณฑ์ทหาร ความสนใจด้านการเมืองการปกครองของชาวเลมีอยู่น้อยมาก ชาวเลส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่ไม่เข้าเกณฑ์ความจำเป็นพื้นฐานในเป้าหมายของปี 2529 เกณฑ์วัดคุณภาพชีวิตของคนไทยเมื่อมาใช้วัดชาวเล ชาวเลส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับเกณฑ์นั้น นอกจากนี้ ชาวเลต้องการความรู้เกี่ยวกับหนังสือเพื่อให้สามารถอ่านออกเขียนได้ โดยชาวเลต้องการระบบการศึกษานอกระบบโรงเรียน โดยให้ผู้รู้ช่วยสอนหรือแนะนำให้ นอกจากนี้ชาวเลยังต้องการความรู้เพื่อการประกอบอาชีพ ความรู้ในการรักษาพยาบาลและสุขอนามัยขั้นพื้นฐาน ความรู้ในการอยู่ร่วมกันระหว่างคนในชุมชนอีกด้วย ชาวเลเห็นว่าปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคือ ความยากจน การไม่รู้หนังสือ การไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง สุขลักษณะอนามัยที่ไม่สะอาดอูรักลาโว้ย,ชาวเล,ความเป็นอยู่,การศึกษา,คุณภาพชีวิต,ภูเก็ตตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=719
718วิทยานิพนธ์พิธีรำเจ้าพ่อของชาวมอญ : กรณีศึกษาดนตรีและพิธีรำเจ้าพ่อของชาวมอญดวงรัตน์ ทรัพย์ประดิษฐ์งานวิจัยชิ้นนี้พบว่า "ผีเจ้าพ่อ" เป็นผีอีกประเภทหนึ่งที่มอญเคารพนับถือเปรียบได้กับเทวดาของมอญ ชาวบ้านแต่ละกลุ่มแต่ละหมู่บ้านจะมีเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่เป็นที่พึ่งทางใจต่างกันไป ดังนั้นเมื่อถึงเวลาอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณบรรพบุรุษและเทวดา จึงมีพิธีรำเจ้าพ่อเจ้าแม่ทุกปี โดยพิธีรำเจ้าพ่อนิยมปฏิบัติหลังเทศกาลสงกรานต์ก่อนวันแรม 15 ค่ำ เดือน 5 แต่ละหมู่บ้านจะจัดเครื่องบูชามีอาหารประเภทข้าวหลาม ข้าวเหนียว มีดอกไม้พวงมาลัยถวาย การแต่งกายในพิธีรำเจ้าพ่อจะแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของเจ้าพ่อนั้นๆ ชาวบ้านจะเชิญผู้ที่เป็นสื่อทางวิญญาณหรือ "ร่างทรง" แต่ละหมู่บ้านจะเชิญเจ้าพ่อเจ้าแม่ของหมู่บ้านตัวเองมารวมกัน พิธีกรรมจะเริ่มขึ้นโดยการรำถวายเจ้าพ่อหลักเมืองเพราะเป็นเทพเจ้าสูงสุดของมอญพระประแดง กระบวนการพิธีรำเจ้าพ่อจะประกอบไปด้วย (1) ผู้รำ ส่วนมากมักเป็นผู้หญิงอาวุโสวัยชรา เป็นบุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์เป็นที่นิยมชมชอบของคนในหมู่บ้าน (2) ผู้ร่วมพิธีกรรม เป็นบุคคลในชุมชนผู้อาวุโส ญาติพี่น้องคนในครอบครัว เป็นการรวมกลุ่มของญาติพี่น้องผ่านการทำพิธีกรรม (3) สถานที่ประกอบพิธีกรรม มักใช้สถานที่ที่ผู้คนในชุมชนเชื่อถือ เช่น ศาลเจ้าพ่อประจำหมู่บ้าน (4) นักดนตรี ส่วนมากมักเป็นผู้ชายและสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เครื่องดนตรีประกอบพิธีรำเจ้าพ่อประกอบด้วยฆ้องมอญปี่มอญ ระนาดเอก ตะโพนมอญ เปิงมาง 1 ลูกและฉิ่ง ปัจจุบันจะใช้เครื่องปี่พาทย์มอญเครื่องห้าหรือวงปี่พาทย์มอญเครื่องคู่บรรเลง บางครั้งอาจใช้เครื่องปี่พาทย์ไทยเครื่องห้า โดยทำนองเพลงจะเป็นเพลงนุ่มนวลบรรเลงช้า แสดงถึงความสง่างามของเจ้าพ่อที่เข้ามาในพิธี รูปแบบเพลง มักบรรเลงกลับไปกลับมา เพลงที่ใช้เป็นเพลงในการประโคมศพ กระสวนจังหวะ เป็นจังหวะซ้ำๆ มีรูปแบบจังหวะและสำนวนเพลงในแต่ละเพลงไม่มากนัก ลักษณะเพลงบรรเลงซ้ำรูปแบบเดิมและบรรเลงฆ้องวงแบบมือมอญ การบรรเลงเพลง ต้องสัมพันธ์กับท่ารำ โดยดูสัญญาณจากการเปลี่ยนสิ่งของในการรำถวายมอญ,พิธีรำเจ้าพ่อ,ดนตรี,พระประแดง,สมุทรปราการตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=718
717อื่นๆเจดีย์ที่ปรากฏในชุมชนชาวพวน : กรณีศึกษาวัดมหาเจดีย์ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา และวัดแสงสว่าง อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรีอรวรรณ เชื้อน้อยรายงานชิ้นนี้ตรวจสอบรูปแบบศิลปะ ที่มาของรูปแบบศิลปะและกำหนดอายุของเจดีย์ที่ปรากฏในชุมชนพวน วัดมหาเจดีย์ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา และวัดแสงสว่าง อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี และใช้หลักฐานทางรูปแบบศิลปะเพื่อศึกษาประวัติการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของพวน รวมไปถึงศึกษารูปแบบศิลปะที่เปลี่ยนไป เมื่อผสมผสานกับวัฒนธรรมอื่น ผลการศึกษาพบว่าเจดีย์ที่ปรากฏในชุมชนพวนทั้ง 2 วัด มีรูปแบบทางศิลปกรรมที่สัมพันธ์กับเจดีย์ลาวโดยเฉพาะกลุ่มเมืองเชียงขวาง ทั้งโครงสร้างโดยรวม การทำเพิ่มมุมไม้ 20 ฐานที่มีลักษณะยืดสูง การไม่ให้ความสำคัญกับบัวหงาย การใช้เส้นลวดบัวอย่างมากมาย องค์ระฆังขนาดเล็กและการไม่ใช้บัลลังก์รองรับส่วนยอด เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางศิลปกรรมที่ช่างเอาลักษณะเฉพาะมาสร้างสรรค์เพื่อรำลึกสถานที่ที่ตนจากมา อย่างไรก็ตามช่างได้สอดแทรกลักษณะที่แตกต่างกันออกไปตามสุนทรียศาสตร์ของตน เช่น ความแตกต่างของลวดบัวแต่ละเส้นที่นำมาประกอบกัน ชุดฐานรองรับองค์ระฆังของเจดีย์วัดมหาเจดีย์ที่บิดมุมฐานให้อยู่กึ่งกลางส่วนฐาน แต่ทั้งนี้บางครั้งอาจจะเกิดความผิดพลาดของช่างในการสร้างหรือซ่อมโดยทำให้ลักษณะต่างๆ โดยเฉพาะระเบียบชุดฐานผิดไปจากแบบแผน ทั้งนี้อายุของเจดีย์น่าจะสร้างราวปลายพุทธศตวรรษที่ 24 - ต้นพุทธศตวรรษที่ 25 แสดงให้เห็นว่าพวนที่อพยพมาอาศัยในบริเวณนี้ส่วนใหญ่มาจากเมืองเชียงขวางและเข้ามามีบทบาทอย่างมากในสมัยรัชกาลที่ 3 (หน้า 27-28)พวน ไทยพวน ไทพวน,ศิลปะ,เจดีย์,ฉะเชิงเทรา,ปราจีนบุรี,ภาคกลางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=717
716วิทยานิพนธ์การยอมรับการปลูกพืชทดแทนฝิ่นของชาวเขาเผ่าม้ง หมู่บ้านหนองหอยเก่า ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริมจังหวัดเชียงใหม่วิพัฒน์ ดวงโภชน์ศึกษาลักษณะส่วนบุคคล ปัจจัยด้านเศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกรชาวเขาเผ่าม้งหมู่บ้านหนองหอยเก่า ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับการปลูกพืชทดแทนฝิ่น และศึกษาถึงปัญหาและอุปสรรคของชาวเขาเผ่าม้งในการปลูกพืชทดแทนฝิ่น โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นหัวหน้าครัวเรือนผู้ปลูกพืชทดแทนฝิ่นจำนวนทั้งสิ้น 118 ครัวเรือน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 40.06 ปี ร้อยละ 52.5 ไม่ได้เรียนหนังสือ ส่วนใหญ่จึงอ่านภาษาไทยไม่ได้เลย กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีประสบการณ์จากการปลูกพืชทดแทนฝิ่นมากกว่า 5 ปี รายได้ของครัวเรือนเฉลี่ยอยู่ที่ 64,168 บาทต่อปี พื้นที่ถือครองเพื่อทำการเกษตรเฉลี่ย 3.2 ไร่ การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ โดยส่วนใหญ่แล้วติดต่อกับเจ้าหน้าที่โครงการหลวง และได้รับข้อมูลข่าวสารจากเจ้าหน้าที่โครงการหลวงมากที่สุด มีแรงงานในครัวเรือนเฉลี่ย 3.62 คน เกษตรกรพอใจราคาพืชผลทดแทนฝิ่นน้อย เพราะราคาทดแทนฝิ่นไม่ค่อยแน่นอน เกษตรกรร้อยละ 45.8 ไม่เคยเข้ารับการฝึกอบรมเรื่องการเกษตร และหัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นผู้นำใด ๆ ในหมู่บ้าน ส่วนปัจจัยที่สัมพันธ์กับการยอมรับการปลูกพืชทดแทนฝิ่นของเกษตรกรคือ อายุ ระดับการอ่านภาษาไทย ความพอใจในราคาพืชทดแทนฝิ่น ประสบการณ์การฝึกอบรมด้านการเกษตร การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ ส่วนปัญหาของเกษตรกรกลุ่มตัวอย่างกับการปลูกพืชทดแทนฝิ่นที่พบคือ (1) ปัจจัยการผลิตมีราคาแพง (2) ปัญหาการตลาด เช่น ราคา การขาย (3) ขาดเงินทุนในการดำเนินการ (4) แรงงานในการเกษตรไม่เพียงพอ (5) ขาดน้ำเพื่อใช้เพาะปลูกในฤดูแล้ง (หน้า ข-ค)ม้ง,การเกษตรกรรม,การรับของใหม่,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=716
715หนังสือก่อนจะเหลือเผ่าพันธุ์สุดท้าย มอแกน (SEA - GYPSIES)อรรถกร ภาคีรุณหนังสือเล่มนี้นำเสนอเรื่องราวของชนเผ่ามอแกนที่อาศัยอยู่บริเวณอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ โดยนำเสนอในรูปแบบสารคดีมีการอ้างอิงงานวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับชนเผ่ามอแกนในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งในด้านวิถีชีวิต การทำมาหากิน สภาพสังคม รวมไปถึงประเพณีความเชื่อที่ผูกโยงกับวิถีชีวิตของมอแกนในแง่มุมต่าง ๆ ด้วย โดยงานชิ้นนี้ศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าเร่ร่อนในทะเล (Sea Nomads) คือ เผ่ามอแกน บริเวณเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ โดยชาวเลเผ่า "มอแกน" จะเร่ร่อนตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณชายฝั่งอันดามัน โดยใช้ชีวิตส่วนใหญ่บนเรือที่เป็นทั้งบ้านและยานพาหนะ แต่ปัจจุบันจะตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณชายฝั่งหรือบนเกาะ ชาวเล "มอแกน" พบได้ในหมู่บ้านตามอำเภอต่างๆ ในจังหวัดพังงา และหมู่เกาะมะริดในเขตน่านน้ำประเทศพม่า มอแกนมีวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับฤดูกาลจากลมมรสุม เมื่อทะเลเรียบและอากาศดี มอแกนจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในเรือเพื่อจับปลาและงมหอย เมื่อถึงฤดูลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ คลื่นลมจัด มอแกนจะขึ้นฝั่งสร้างกระท่อมอยู่กันชั่วคราว โดยเรือมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจของมอแกน เพราะเป็นเครื่องมือทำมาหากินและที่อยู่อาศัยไปพร้อมกัน ดังนั้นมอแกนจึงมีพิธีเลี้ยงผีเรือก่อนถึงฤดูกาลที่ต้องออกทะเล มอแกนเชื่อว่าเรือแต่ละลำจะมีวิญญาณของผีไม้สิงสถิตอยู่ สังคมของมอแกนมีพื้นฐานอยู่แบบระบบเครือญาติแบบครอบครัวเดี่ยว หญิงและชายมีความสำคัญพอ ๆ กัน มักแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่แต่งงานในหมู่ญาติพี่น้อง ไม่นิยมเปลี่ยนคู่ครอง นอกจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียชีวิตลง ครอบครัวของมอแกนที่แตกออกมาจากครอบครัวใหญ่ได้กลายเป็นครอบครัวเดี่ยวเล็ก ๆ รวมตัวกันเป็นกองเรือขนาด 7-10 ลำ แต่ละกองเรือเป็นตัวแทนของการใช้ชีวิตเร่ร่อนทางทะเลของมอแกน โดยแต่ละกองเรือจะมีบุคคลที่เรียกว่า "ปาเตา" ทำหน้าที่นำทาง เขาคือตำแหน่งของผู้อาวุโสสูงสุดประจำเรือ เป็นผู้รับผิดชอบชะตากรรมของสมาชิก เป็นทั้งหมอผี หมอยา คนทรงและผู้พิทักษ์ประจำกองเรือ มอแกนมีอายุเฉลี่ย 28 ปี เพราะเสียชีวิตจากโรคที่ได้รับจากการบีบกดของน้ำขณะดำน้ำ เมื่อมอแกนเจ็บป่วยจะเยียวยาโดยให้โต๊ะหมอมาเข้าทรงและเซ่นไหว้ด้วยวิธีต่าง ๆ มอแกนยังใช้ความรู้ทางสมุนไพรรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วย มอแกนมีนิทานและบทเพลงที่เป็นเรื่องเล่าสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของมอแกนในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวิถีชีวิตด้านการเลือกคู่ครอง เนื่องจากปัจจุบันวิถีชีวิตของมอแกนต้องขึ้นมาอาศัยตามชายฝั่งของเกาะทำให้ต้องกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ของอุทยานแห่งชาติมากขึ้น ทำให้ความเป็นอยู่ของมอแกนต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของเจ้าหน้าที่มอแกน,วิถีชีวิต,หมู่เกาะสุรินทร์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=715
714หนังสือความรู้เกี่ยวกับล้านนาไทย เรื่อง ชาวเขาในดินแดนล้านนาวนัช พฤกษะศรีหนังสือเล่มนี้ศึกษาชาวเขากลุ่มต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยทางภาคเหนือตอนบน คือ กะเหรี่ยง ม้ง มูเซอ เย้า ถิ่น ลีซอ อีก้อ ละว้า ขมุ โดยชาวเขาเผ่าต่างๆ อพยพมาจากดินแดนอื่นสู่ดินแดนล้านนาทั้งสิ้น เช่น กะเหรี่ยงที่สันนิษฐานว่ามีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนก่อนจะอพยพมาที่ประเทศพม่าราวคริสตวรรษที่ 6 หรือ 7 (พุทธศตวรรษที่ 11 หรือ 12) มาก็อพยพเข้ามายังล้านนา และถิ่นที่อพยพมาจากประเทศลาว ชาวเขามีความเชื่อและข้อห้ามของการเลือกทำเลที่ตั้งหมู่บ้าน ชาวเขาส่วนใหญ่จึงปลูกบ้านไม่เป็นระเบียบนัก ขนาดของหมู่บ้านมีตั้งแต่ 2-3 หลังคาเรือนถึง 120 หลังคาเรือน จากการสำรวจของสถาบันวิจัยชาวเขาเมื่อปี พ.ศ. 2527 พบว่า จำนวนประชากรชาวเขาในประเทศไทยมีทั้งหมด 429,001 คน โดยร้อยละ 83 ของจำนวนชาวเขาอาศัยอยู่บริเวณภาคเหนือตอนบน ชาวเขาส่วนใหญ่มีอาชีพเพาะปลูก พืชหลักคือข้าว มีทั้งทำไร่และทำนาดำ โดยการทำไร่จะโค่นถางและเผาก่อนปลูกพืชอาศัยน้ำฝน ชาวเขาบางกลุ่มทำไร่หมุนเวียน เช่น ม้ง เย้า มูเซอ ลีซอและอีก้อ สำหรับสังคมชาวเขา "หมู่บ้าน" เป็นสถาบันทางสังคมที่ใหญ่ที่สุด เป็นศูนย์กลางการปกครอง ความสัมพันธ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และการปฏิบัติทางศาสนา ส่วนครัวเรือนของชาวเขามีโครงสร้าง 2 รูปแบบ คือ ครอบครัวขยาย (มักพบในชนเผ่าม้งและเย้า) และครอบครัวเดี่ยว (มักพบในชนเผ่ากะเหรี่ยงและละว้า) หมู่บ้านของชาวเขาทุกหมู่บ้าน (ยกเว้นลีซอ) จะมีหัวหน้าโดยประเพณีและผู้ช่วย มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน เป็นผู้แทนของหมู่บ้านติดต่อกับทางราชการ บางหมู่บ้านก็มีคณะผู้อาวุโสที่คอยเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้นำหมู่บ้าน ชาวเขาทุกเผ่านับถือผี โดยเชื่อว่ามีวิญญาณสถิตอยู่ตามสรรพสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ ชาวเขาเชื่อว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติ โรคภัยไข้เจ็บ เกิดจากการกระทำของผี ชาวเขาจะมีพิธีกรรมเซ่นไหว้บรวงสรวงผี มีผู้ทำพิธีกรรมที่เรียกว่า "หมอผี" ความเชื่อของชาวเขายังผสมผสานกับความเชื่อทางศาสนาอื่น ๆ นอกจากนี้ชาวเขายังนับถือศาสนาจากการเผยแพร่ เช่น ศาสนาพุทธของโครงการพระธรรมจาริก ศาสนาคริสต์นิกายต่าง ๆ ที่มีหมอสอนศาสนาเข้ามาเผยแพร่ ความสัมพันธ์ระหว่างชนชาติไทยกับชาวเขาตั้งแต่สมัยล้านนาจนถึงปัจจุบันมีรูปแบบความสัมพันธ์ 3 รูปแบบ คือ (1) ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง ตั้งแต่สมัยล้านนาจนถึงสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ชาวเขายังมีอิสระในการปกครองกิจการภายในเผ่าตนเอง แต่ต้องจงรักภักดีต่อผู้ปกครอง (2) ความสัมพันธ์ระดับชาวบ้าน มีการติดต่อระหว่างชาวเขากับคนไทยพื้นราบภาคเหนือ ในด้านต่าง ๆ (3) ความสัมพันธ์ระหว่างชาวเขาและราชการที่ทางการพยายามเข้ามาส่งเสริมพัฒนาชาวเขาในด้านต่าง ๆ ทำให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมกับคนไทย เช่น ชาวเขานับถือศาสนาพุทธมากขึ้น รูปแบบทรงผม เครื่องแต่งกายเป็นไปตามคนพื้นราบมากขึ้น การศึกษาเป็นไปตามระบบสังคมไทยพื้นราบ มีการแต่งงานกับคนไทยมากขึ้นม้ง, เมี่ยน, ลาหู่, ลเวือะ,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ขมุ, ชาวเขา,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=714
713รายงานการวิจัยบริบททางวัฒนธรรมและการยอมรับการวางแผนครอบครัวของชาวเขาในเขตโครงการหลวงสารณีย์ ไทยานันท์, อุไรวรรณ แสงศร, นิภา ลาชโรจน์, สมเกียรติ จำลอง,อิฐศักดิ์ ศรีสุโข และ สุเมธ ทาริยะการยอมรับการวางแผนครอบครัวของชาวเขา 8 หมู่บ้านในเขตโครงการหลวง มีความสอดคล้องและสัมพันธ์กับบริบททางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมประเพณีอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง กล่าวคือ จารีตการสืบสายตระกูล ค่านิยมของชนเผ่าที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อ ส่งผลต่อลักษณะโครงสร้างของครัวเรือน วัฒนธรรมแบบเน้นครอบครัวขยายของม้งและอาข่า ซึ่งสืบสายตระกูลฝ่ายบิดาซึ่งให้ความสำคัญกับบุตรชายมากกว่าบุตรสาว การสร้างตระกูลใหญ่หมายถึงสถานภาพด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ดีเป็นการเพิ่มอำนาจให้หัวหน้าครอบครัว ทั้งการให้สิทธิหัวหน้าครอบครัวมีภรรยาน้อยได้จนกว่าจะมีบุตรชาย ส่งผลให้บทบาทและสถานภาพของผู้หญิงในสังคมม้งและอาข่า ขึ้นอยู่กับการให้กำเนิดบุตรชายเพียงเท่านั้น แต่เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป กระแสการพัฒนาให้โอกาสด้านอาชีพกับผู้หญิงในสังคมม้งและอาข่าเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการยอมรับการวางแผนครอบครัวในหมู่ผู้หญิงเพิ่มขึ้น ในขณะที่กระแสการพัฒนาส่งผลให้ หมู่บ้านกะเหรี่ยงและลาหู่ประสบปัญหาเดียวกัน คือสภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่จำกัดไม่สามารถรอบรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นได้ ประกอบกับผู้หญิงมีสถานภาพสูงขึ้น จึงเลือกที่จะมีบุตรน้อยลงทำให้การยอมรับการวางแผนครอบครัวค่อนข้างแพร่หลายม้ง,ลาหู่, อ่าข่า, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ชาวเขา,โครงการหลวง,การวางแผนครอบครัว, ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=713
712วิทยานิพนธ์การศึกษากระบวนการบูรณาการวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมอาข่าของนักเรียนชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่าในระดับประถมศึกษา: การศึกษาเฉพาะกรณีนักเรียนชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่า บ้านปลายฟ้า อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายเสาวลักษณ์ อัศวยิ่งถาวรงานวิจัยนี้เป็นการศึกษาถึงกระบวนการการศึกษาในแบบบูรณาการด้านวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมอ่าข่าของนักเรียนไทยภูเขาเผ่าอ่าข่าระดับประถมศึกษา โรงเรียนทอฝัน บ้านปลายฟ้า อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ในด้านที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมการดำรงชีพ ภาษา ศาสนา ศิลปะและสังคม และพบว่า ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านทัศนคติและการปฏิบัติตัวของเด็กๆ ต่อวัฒนธรรมอ่าข่า อันมีที่มามาจากวัฒนธรรมจากภายนอกที่ผ่านเข้ามาทางการศึกษา ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และสภาพแวดล้อมที่ความเป็นเมืองเข้ามาสู่ชุมชนมากขึ้นเข้ามามีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของเด็กๆ กลุ่มที่ทำการศึกษามากขึ้นกว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่ของพวกเขา สำนึกของความเป็นชาติพันธุ์อ่าข่ามีความยืดหยุ่นมากขึ้นระหว่างความเป็นอ่าข่าและความเป็นพลเมืองไทย (หน้า 232,239) อย่างไรก็ตาม การบูรณาการวัฒนธรรมไทยของเด็กชั้นประถมชนเผ่าอ่าข่าบ้านปลายฟ้าไม่ได้เป็นการนำเข้าไปแทนที่วัฒนธรรมอ่าข่าดั้งเดิมทั้งหมด แต่เป็นการรับเข้ามาทดแทนวัฒนธรรมอ่าข่าที่ไม่มีความหมายในชีวิตปัจจุบันแล้ว การบูรณาการทางวัฒนธรรมลักษณะนี้จึงเป็นไปในลักษณะที่ทำให้การดำเนินชีวิตของเด็ก ๆ มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นในโลกปัจจุบันที่วัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามามีบทบาทในกลุ่มชนเผ่าอ่าข่ามากยิ่งขึ้น เพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์อ่าข่ายังดำรงอยู่ได้สืบต่อไปและมีความเป็นปึกแผ่น (solidarity) ในชุมชนมากขึ้น (หน้า 247-248)อาข่า,วัฒนธรรม,ระบบการศึกษา,บูรณาการทางวัฒนธรรม,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=712
711บทความทำอย่างไรให้ชาวเขาในภาคเหนือของไทย รับระบบการศึกษาสมัยใหม่ของประเทศKataoka Tatsukiรายงานชิ้นนี้เป็นการศึกษาเรื่อง ทำอย่างไรให้ชาวเขาในภาคเหนือของไทย รับระบบการศึกษาสมัยใหม่ของประเทศ ทั้งนี้โดยการใช้กรณีศึกษาเรื่องการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดเชียงใหม่ ระบบการศึกษาแห่งชาติจากส่วนกลางถูกนำเข้าสู่เขตพื้นที่สูงในภาคเหนือของไทย ในช่วงทศวรรษ 1950 ซึ่งเกี่ยวโยงถึงยุคสงครามเย็นอันเป็นเงื่อนไขในขณะนั้น และในเวลาต่อมาได้ถูกใช้เป็นบริบทในการพัฒนาพื้นที่สูง ชาวเขาสมัครใจที่จะส่งลูกหลานของพวกเขาเข้าโรงเรียนประถมที่สอนตามหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติ และไม่ลังเลใจที่จะรับการสนับสนุนพิเศษสำหรับชาวเขา เพื่อโอกาสทางการศึกษาที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยบริบทดังกล่าว ชาวเขาจึงตกอยู่ในสภาวะการมีตัวตนหรือเอกลักษณ์ที่กำกวม เพราะไม่เลือกชัดเจนว่าจะเป็นชาวเขาหรือคนไทย แต่กลายเป็นว่าพวกเขาเป็นทั้งชาวเขาและคนไทย (หน้า 87)ม้ง, เมี่ยน,ลื้อ, ลีซู, ลาหู่, อ่าข่า, ลัวะ ,ละเวือะ,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ชาวเขา,การศึกษา,ระบบโรงเรียน,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2544ภาษาญี่ปุ่นhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=711
710บทความThe KhmuSchrock, Joann L.งานนี้มุ่งเสนอภาพรวมของขมุ ทั้งในเรื่องประวัติความเป็นมาของขมุ ที่เดิมอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาว อพยพเข้ามาเป็นแรงงานรับจ้างในไทย และตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทยมานานนับพันปี ปัจจุบัน ขมุอยู่อาศัยกระจายไปทั่วภาคเหนือ นอกจากนี้ ยังนำเสนอลักษณะการตั้งชุมชนของขมุ วิถีการดำรงชีวิต ความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม การประกอบอาชีพ ระบบเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์กับคนกลุ่มอื่น ตลอดจนวิธีการที่คนนอกกลุ่มจะเข้าไปสัมพันธ์กับขมุ ในสังคมขมุนับการสืบเชื้อสายทางฝ่ายชาย ผู้ชายจึงมีความสำคัญในฐานะผู้นำ และผู้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ โดยธรรมชาติแล้วขมุเป็นกลุ่มชนที่ขี้อาย เจียมเนื้อเจียมตัว ยอมคน และมักจะตื่นตกใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าขมุ,ประวัติความเป็นมา,เศรษฐกิจ,ระบบสังคม,วัฒนธรรม,ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2513ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=710
709หนังสือชีวิตดั่งฝันที่เทือกเขาบรรทัดญิบ พันจันทร์มันนิ (ซาไก) เป็นกลุ่มชนหนึ่งทางภาคใต้ ที่ดำรงวิถีชีวิตแบบชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิม คือ เก็บหาของป่าล่าสัตว์ ทั้งยังมีขนบความเชื่อ ธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาสมุนไพรอันเป็นเอกลักษณ์ประจำเผ่า แต่เมื่อความเจริญเข้าถึง รูปแบบวิถีชีวิตดั้งเดิมของมันนิก็เริ่มเปลี่ยนไป มันนิต้องปรับตัวและเปลี่ยนวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและวัฒนธรรมแบบชาวพื้นเมือง ในขณะที่ตัวตนหรืออัตลักษณ์แบบคนเผ่าดั้งเดิม มักได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยามในรูปแบบต่าง ๆ มันนิเองก็ได้เรียนรู้บทเรียนหลายอย่าง ผ่านประสบการณ์การติดต่อกับผู้คนที่หลากหลายในสังคมภายนอกมันนิ มานิ กอย คะนัง(ซาไก),วิถีชีวิต,ตรังตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตรัง ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=709
708หนังสือเสียงเพรียกจากคนมอญทองไต (บรรณาธิการ)ชนชาติมอญมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานทางประวัติศาสตร์ ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดี ศิลาจารึก ภาษาและวัฒนธรรมอันเก่าแก่มาก่อน ในส่วนของความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศพบว่า ในอดีตแผ่นดินมอญเคยปกครองตนเองเป็นอิสระจากพม่ามาก่อน หลังจากถูกพม่ารุกรานและเข้ายึดครอง มอญก็หนีแตกพ่ายเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารกษัตริย์ไทยจนได้รับความไว้วางใจให้ทำราชการและงานศึก คนมอญอพยพเข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่สมัยพระนเรศวรสืบเนื่องมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ในขณะที่มอญในพม่ากลับต้องรวมตัวกันในนามพรรคและแนวร่วม เพื่อเรียกร้องดินแดนซึ่งตนเคยครอบครองมาก่อนคืนจากพม่า เพื่อสถาปนาสาธารณรัฐมอญในเขตพื้นที่ 5 จังหวัดในเขตแดนภาคใต้ตอนล่างของพม่า แม้ผลแห่งการเรียกร้องจะทำให้รัฐบาลทหารพม่าสถาปนาพื้นที่เมืองเมาะละแหม่งและเมืองสะเทิมขึ้นเป็นรัฐมอญให้ แต่มอญกลับไม่ยอมรับและยังคงมีการเรียกร้องดินแดนบางส่วนอยู่ ในขณะที่คนมอญบริเวณรอยต่อเขตแดนไทยปัจจุบัน กลับประสบปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ต้องเผชิญกับการกดขี่ข่มเหง คุกคามและการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ของรัฐไทยอยู่ นอกจากนี้ การใช้กลไกอำนาจรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าเข้าปราบปรามชนกลุ่มต่าง ๆ รวมถึงมอญในรัฐของตน เหล่านี้เป็นปัญหาความขัดแย้งที่ยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบันมอญ,สิทธิมนุษยชน,ชนชาติ,ภาษา,ความขัดแย้ง,กาญจนบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=708
707วิทยานิพนธ์บทบาทของสื่อพื้นบ้านในวัฒนธรรมมอญใน อำเภอพระประแดงศรีปาน รัตติกาลชลากรผู้เขียนศึกษาบทบาทของสื่อพื้นบ้านในวัฒนธรรมมอญพระประแดง จากการศึกษาพบว่าบทบาทของสื่อพื้นบ้านของมอญ มีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วง ทั้งในด้านบทบาทและรูปแบบ บทบาทที่เด่นชัดต่อตัวผู้คนมอญในชุมชนพระประแดงนั้นก็คือ การปฏิบัติตามประเพณีต่าง ๆ เมื่อได้ทำแล้วเกิดความสบายใจ บทบาทที่มีต่อชุมชน คือ การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ภายในชุมชน บทบาทของสื่อพื้นบ้านที่มีต่อสังคมมอญ คือ การได้ถ่ายทอดและได้เรียนรู้วัฒนธรรมมอญจากคนรุ่นหนึ่งไปอีกรุ่นหนึ่งซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ การถ่ายทอดนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างระหว่างความเชื่อเรื่องผีกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา คนมอญยังคงรักษาสื่อพื้นบ้านที่เกี่ยวกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนาไว้ มากกว่าความเชื่อเรื่องผี ซึ่งเป็นวัฒนธรรมอันเป็นมรดกที่ได้ถ่ายทอดให้แก่มอญรุ่นใหม่ (หน้า 282)มอญ,สื่อพื้นบ้าน,วัฒนธรรม,ประวัติความเป็นมา,ชุมชน,สมุทรปราการตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=707
706รายงานการวิจัยคนภูเขาในป่าเต็งรัง ชะตาชีวิตผู้ถูกอพยพ บ้านวังใหม่(บ้านผาช่อ) ตำบลร่องเคาะ อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปางสมบัติ บุญคำเยือง, ธัญญลักษณ์ แซ่เลี้ยว และ ประชา แซ่จ๋าวแม้การอพยพนี้จะช่วยให้พื้นที่ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติดอยหลวงฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ได้บ้าง แต่หากพิจารณาในแง่ผลกระทบต่อชีวิตและครอบครัวของผู้ถูกอพยพและผลกระทบต่อสังคมวัฒนธรรมโดยรวม นับตั้งแต่การย้ายถิ่นฐานออกนอกหมู่บ้าน ครอบครัวเกิดความแตกแยก ในกรณีการย้ายถิ่นเข้าเมืองของสตรี ส่งผลให้ถูกชักจูงเข้าสู่กระบวนการขายบริการทางเพศและตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ได้ค่อนข้างง่าย ส่วนคนที่ไม่สามารถออกจากหมู่บ้านไปทำงานที่อื่น แต่มีความจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อเลี้ยงดูชีวิต ก็ต้องหันเข้าสู่ขบวนการค้ายาเสพติด จากการรวบรวมข้อมูลในช่วงเวลาสั้นๆ การอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเขาออกจากพื้นที่ป่ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ราบมีข้อสรุปเบื้องต้นว่า หากพิจารณาในแง่ผลกระทบต่อครอบครัว ผลที่ได้รับจากการอพยพชาวบ้านลงมาอยู่ในเขตพื้นที่ราบ น่าจะไม่คุ้มค่าเท่าใดนัก เพราะเป็นการสร้างเงื่อนไขบีบบังคับให้กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเขาไร้ทางเลือกทางออกของชีวิตและหันไปสร้างปัญหาทางสังคมด้านอื่นๆ งานวิจัยนี้มีข้อคิดเห็นว่า การพัฒนาชุมชนบนพื้นที่สูง ที่ต้องมุ่งดำเนินการไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะในเรื่องของการพึ่งพาตนเอง การอพยพกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเขาออกจากพื้นที่ป่า อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการอนุรักษ์/ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในทางตรงกันข้ามการส่งเสริมการดำรงชีวิตอยู่ในเขตพื้นที่ป่าอย่างผู้อนุรักษ์ และตระหนักถึงคุณค่าของการเกื้อกูลซึ่งกันและกันระหว่างมนุษย์กับทรัพยากรธรรมชาติ น่าจะเป็นทางเลือกทางออกที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
<div id="__if72ru4ruh7fewui_once">
</div>เย้า,การอพยพ,ชีวิต,ลำปางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=706
705วิทยานิพนธ์ดนตรีชาวเขาเผ่าเย้า กรณีศึกษาหมู่บ้านผาเดื่อ อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายศรัณย์ นักรบสภาพทั่วไปของชุมชน ปัจจุบันเป็นชุมชนใหญ่มีความเจริญด้านต่างๆ มาก เนื่องจากหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ให้การช่วยเหลือ พัฒนาหมู่บ้านอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายปี ส่วนด้านวัฒนธรรมดนตรี มีการสืบทอดมาช้านานไม่สามารถทราบได้ว่ามีขึ้นในสมัยใด นอกจากตำนานที่เล่าต่อกันมา ดนตรีเป็นลักษณะการถ่ายทอดด้วยวิธีปากเปล่า เครื่องดนตรีและส่วนประกอบต่างๆ เป็นวัสดุที่หาได้จากธรรมชาติมี 4 ชนิด ได้แก่ "หยัด" เป็นเครื่องดนตรีชนิดเดียวที่ใช้บรรเลงทำนอง ส่วน "โย" "ต้งล้อ" และ "เฉ่าเจ้ย" เป็นเครื่องประกอบจังหวะ การผสมวงดนตรีมี 2 ลักษณะคือวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีครบ 4 ชิ้นและวงดนตรีที่มีเฉพาะเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ 3 ชิ้น นักดนตรีส่วนมากมีอายุ 40-55 ปีประกอบอาชีพด้านการเกษตรเป็นอาชีพหลักการแต่งกายของนักดนตรีในพิธีกรรมจะแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า ดนตรีจะใช้บรรเลงเฉพาะเพื่อประกอบพิธีกรรมสำคัญ 3 พิธีเท่านั้น ได้แก่ พิธีกรรมการแต่งงานแบบใหญ่ พิธีกรรมงานศพ และพิธีกรรมงานขึ้นปีใหม่ โดยมีบทเพลงที่ใช้บรรเลงทั้งหมด 11 เพลงจากการวิเคราะห์พบว่าบทเพลงเป็นลักษณะที่มีแนวทำนองเดียว ไม่ปรากฎการใช้เสียงในลักษณะดังเบา โครงสร้างของทำนองประกอบด้วยโน้ตเสียงยาวสลับกับกลุ่มโน้ตตกแต่งทำนองที่เป็นวลีสั้นๆ ระบบเสียงมีเอกลักษณ์เฉพาะซึ่งใกล้เคียงกับระบบเสียงไมเนอร์ มิได้ใกล้เคียงกับเสียงดนตรีไทยแต่ประการใด การบรรเลงบทเพลงจะไม่เป็นไปตามเสียงไมเนอร์ ทั้งนี้เนื่องจากนักดนตรีมีอิสระในการสร้างเสียง เครื่องดนตรีที่บรรเลงประกอบจังหวะไม่มีบทบาทมากนัก เป็นลักษณะการบรรเลงตามทำนองของหยัดเท่านั้น
<div id="__if72ru4ruh7fewui_once">
</div>เย้า,ชุมชน,ดนตรี,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=705
704วิทยานิพนธ์สตรีแม่บ้านในชุมชนวัฒนธรรมเขมรกับบทบาทด้านการดูแลรักษาสุขภาพ กรณีศึกษาบ้านตลุงเก่า อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์รุ่งทิพย์ ชาญชัยสิริกุลบทบาทของผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านในชุมชนวัฒนธรรมเขมรถูกกำหนดโดยปัจจัยทางสรีรวิทยา และปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรมที่มีการผสมผสานกันอย่างลึกซึ้ง ให้เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพทั้งด้านการส่งเสริม และการป้องกันสุขภาพในสภาวะที่ร่างกายปกติ นอกจากนั้น ยังมีบทบาทในการดูแลรักษา การฟื้นฟูสุขภาพเมื่อเกิดการเจ็บป่วย โดยใช้องค์ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมอยู่ในความคิด ความเชื่อที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากระบบสุขภาพของชุมชนวัฒนธรรมเขมร ซึ่งเป็นกระบวนการจัดร่วมกันระหว่างผู้ป่วยและบุคคลอื่นๆ ในชุมชนของผู้ป่วย ภายใต้ระบบการแพทย์สามัญชน ที่ผสมผสานทั้งความรู้และประสบการณ์จากระบบการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์แบบตะวันตก การแสดงออกซึ่งพฤติกรรมในการดูแลรักษาสุขภาพจะไหลเวียนอยู่ในชุมชนและถูกเลือกเอามาใช้ต่อสถานการณ์เจ็บป่วยที่เกิดขึ้น และจะมีวิวัฒนาการไปตามกระแสของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เมื่อตนเอง สมาชิกในครัวเรือนหรือในชุมชนเจ็บป่วย ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านจะมีพฤติกรรมแสดงออกต่อปัญหาทางสุขภาพเพื่อให้หายจากการเจ็บป่วยตามกระบวนการรักษาสุขภาพ โดยจะร่วมกับบุคคลในครัวเรือน เครือญาติหรือผู้ใกล้ชิด เพื่อประเมินอาการเจ็บป่วย การเลือกแหล่งรักษาพยาบาล การกำหนดวิธีการรักษาและประเมินผลการรักษาทุกขั้นตอนเป็นระยะๆ รวมถึงการประเมินค่าใช้จ่าย และประเมินถึงความคุ้มประโยชน์หรือผลสุทธิในการรักษาแต่ละวิธีด้วย ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านส่วนหนึ่งในชุมชน แสดงบทบาทในการดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยให้กับสมาชิกในชุมชนหลายวิธี เช่น เป็นหมอโบล หมอทรง เพื่อค้นหาสาเหตุของการเจ็บป่วยและวิธีการบำบัดรักษา ตามวิธีการทางไสยศาสตร์ เป็นหมอยาสมุนไพร หมอนวดแผนโบราณ เพื่อรักษาผู้ป่วยในชุมชนตามความคิด ความเชื่อของสมาชิกในชุมชน นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่าผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านทั้งสามฐานะ มีบทบาทด้านการดูแลรักษาสุขภาพ อันเป็นพฤติกรรมทางสุขภาพคล้ายคลึงกัน เนื่องจากบทบาทดังกล่าวมีอยู่ในวิถีการดำรงชีพอันเป็นวัฒนธรรมของชุมชน ที่แสดงออกทางพฤติกรรมการรักษาสุขภาพ โดยมีความคิดความเชื่อ ที่ใช้ในการวินิจฉัยสาเหตุของการเกิดโรคเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาทางสุขภาพและพบว่าหญิงทั้งสามฐานะเลือกใช้บริการระบบการแพทย์พื้นบ้านและระบบการแพทย์แบบตะวันตกในระดับที่ไม่แตกต่างกัน การจะพึ่งบริการทางการแพทย์ระบบใดขึ้นอยู่กับความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุการเกิดโรคเป็นสำคัญ ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านได้แสดงความต้องการที่จะให้มีการปรับเปลี่ยนความคิด ความเชื่อและทัศนคติ ให้ผู้ชายเข้ามามีส่วนร่วม ช่วยเหลือและรับผิดชอบกิจกรรมในครัวเรือนเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระส่วนหนึ่งของผู้หญิง เปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีบทบาทสาธารณะมากขึ้น ปลูกฝังให้ผู้ชายสนใจและใส่ใจปัญหาทางสุขภาพของตนเองมากขึ้น ปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางวัฒนธรรมของสังคมเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์หญิงชายในด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่จะมีขึ้นทุกฝ่ายในชุมชนต้องให้ความสำคัญและร่วมกันทำในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านต้องการให้หน่วยงานด้านสาธารณสุข เห็นความสำคัญในบทบาทที่สังคมวัฒนธรรม กำหนดให้ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพ จึงต้องการที่จะได้รับเลือกให้เข้ารับการชี้แนะเพิ่มพูนความรู้ในด้านการดูแลรักษาสุขภาพในทุกรูปแบบของการเรียนรู้ เพื่อจะได้นำความรู้ไปปฏิบัติและถ่ายทอดแก่ครอบครัวและชุมชนต่อไปคะแมร์ลือ,เขมร,วัฒนธรรม,สตรี,สุขภาพ,แพทย์พื้นบ้าน,บุรีรัมย์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=704
703วิทยานิพนธ์ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างความทันสมัยของพ่อแม่ การอบรมเลี้ยงดู ความเชื่อ อำนาจภายในตนด้านสุขภาพและลักษณะมุ่งอนาคต ที่มีต่อพฤติกรรมการรักษาความสะอาดร่างกายของนักเรียนชาวเขาเผ่าเย้าในระดับประถมศึกษาอัมพร วงศ์ใหญ่ความทันสมัยของพ่อแม่มีอิทธิพลทางตรงต่อความเชื่ออำนาจภายในตนด้านสุขภาพ และมีอิทธิพลทางอ้อมต่อพฤติกรรมการรักษาความสะอาดร่างกาย โดยส่งอิทธิพลผ่านตัวแปรความเชื่ออำนาจภายในตนด้านสุขภาพ แต่ไม่พบว่าความทันสมัยของพ่อแม่ที่มีต่อพฤติกรรมการรักษาความสะอาดร่างกายโดยผ่านตัวแปรลักษณะมุ่งอนาคต วิธีการอบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุนและใช้เหตุผล มีอิทธิพลทางตรงต่อลักษณะมุ่งอนาคตและมีอิทธิพลทางอ้อมต่อพฤติกรรมการรักษาความสะอาดร่างกาย โดยส่งผลผ่านตัวแปรลักษณะมุ่งอนาคต แต่ไม่พบว่าวิธีการอบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุนและใช้เหตุผล มีอิทธิพลทางตรงความเชื่ออำนาจภายในตนด้านสุขภาพ รวมทั้งไม่พบอิทธิพลทางอ้อมของการอบรมเลี้ยงดูทั้งสองแบบ ที่มีต่อพฤติกรรมการรักษาความสะอาดร่างกายโดยผ่านตัวแปรความเชื่ออำนาจภายในตนด้านสุขภาพ นอกจากนี้ ความเชื่ออำนาจภายในตนด้านสุขภาพและลักษณะมุ่งอนาคตยังมีอิทธิพลทางตรงต่อพฤติกรรมการรักษาความสะอาดร่างกายอีกด้วย
<div id="__if72ru4ruh7fewui_once">
</div>เย้า,นักเรียน,การอบรมเลี้ยงดู,สุขภาพ,ความสะอาด,พะเยาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=703
702บทความปีใหม่เย้าจุไรรัตน์ นิ่มนวล, พงศ์กฤษฎิ์ พละเลิศ และ วิเชียร คชาอนันต์เทศกาลปีใหม่หรือเทศกาล "เจี่ย เซียง เหียง" เป็นเทศกาลสำคัญอย่างหนึ่งในรอบปี ซึ่งตรงกับวันขึ้นปีใหม่ตามระบบปฏิทินจันทรคติของจีนโดยมีกำหนด 3 วันคือวันที่ 1-3 ของเดือนที่ 1 ของปี มีความสำคัญต่อเย้า คือเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตความเป็นอยู่ เป็นโอกาสเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษเพื่อแสดงความกตัญญูซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของงานโดยมีหมอผีเป็นผู้ประกอบพิธี และต้องทำพิธีให้เสร็จภายในช่วงเช้าวันที่ 1 ของปีใหม่ นอกจากนี้ ยังถือเป็นเทศกาลแห่งความสนุกสนาน และพักผ่อนหลังจากตรากตรำทำงานหนักมาตลอดปี มีการเสี่ยงทายชะตาชีวิตของครอบครัวและขอพรจากผีบรรพบุรุษ เช่น การนำกระดูกและหัวไก่ที่เป็นเครื่องเซ่นมาดูเปรียบเทียบกันเพื่อทำนายชะตาชีวิตของครอบครัวในปีใหม่ หรือ พิธีชั่งน้ำ "อ้วมเอี้ยม" เพื่อเสี่ยงทายว่าจะมีน้ำอุดมสมบูรณ์ โดยการเปรียบเทียบน้ำปีเก่าและปีใหม่ พิธีจะทำระหว่าง 6 โมงถึง 1 ทุ่ม เอาน้ำมาใส่ถ้วยแล้วเอาตาชั่งฝิ่นชั่ง พอรุ่งเช้าประมาณ 6 โมง นำภาชนะใบเดิมใส่น้ำแล้วนำไปชั่งเทียบกับเมื่อวาน ถ้าหนักกว่าแสดงว่าปีใหม่นี้จะมีน้ำอุดมสมบูรณ์ ถ้าเบากว่าแสดงว่าปีใหม่นี้น้ำไม่ค่อยดีแต่ถ้าน้ำหนักเท่ากันแสดงว่าเหมือนปีที่ผ่านมา เย้ายังนิยมทำกิจกรรมอันเป็นมงคลเพื่อเอาฤกษ์หรือเพื่อเป็นสิริมงคลในปีใหม่ เช่น การตื่นนอนแต่เช้าตรู่เพื่อพาสมาชิกในครอบครัวเตรียมเครื่องมือการเกษตรชนิดต่างๆ ไปฟันป่า ถางไร่ พอเป็นพิธี เพราะเชื่อว่าจะทำให้ทุกคนเป็นคนขยันและได้สอนวิธีการเกษตรให้แก่บุตรหลาน หลังจากนั้นมีการเก็บดอกไม้ชนิดต่างๆ มาประดับหิ้งผีและเก็บหินมากองไว้ใต้หิ้งผีอันหมายถึงการเก็บเงินเก็บทองเข้าบ้านเพื่อให้ครอบครัวมีความร่ำรวยตลอดปี นอกจากนี้ บางหมู่บ้านอาจจัด พิธี "โข่วโต่ว" หรือ "อาบไฟ" ซึ่งเป็นพิธีเฉพาะครอบครัวหรือตระกูลที่นับถือผีบรรพบุรุษคนเดียวกัน เพื่อเป็นการเพิ่มกำลังทหารและพลังอำนาจแก่ผีบรรพบุรุษอีกด้วย
<div id="__if72ru4ruh7fewui_once">
</div>เย้า,ประเพณี,พิธีกรรม,ปีใหม่,พะเยาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=702
700วิทยานิพนธ์พฤติกรรมสุขภาพของชาวซาไก : กรณีศึกษาบ้านซาไก หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านแหร อำเภอธารโต จังหวัดยะลาวีรวัฒน์ สุขวราห์พฤติกรรมสุขภาพของซาไก ตำบลบ้านแหร อำเภอธารโต จ.ยะลา เป็นผลมาจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ทั้งสภาพภูมิศาสตร์ สภาพสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรม รวมถึงได้รับอิทธิพลจากกลุ่มสังคมภายนอก เมื่อรูปแบบวิถีชีวิตในสังคมเร่ร่อนหาอาหารเพื่อยังชีพแบบดั้งเดิมของซาไกเปลี่ยนแปลงไป ความเชื่อเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพแต่เดิมที่มักเชื่อในอำนาจการกระทำของผี ส่งผลต่อวิธีการรักษา เช่น การใช้เวทมนตร์คาถาเสกหมากพลู หรือที่เรียกว่าทำ "ซาโฮส" การบอกกล่าวขอขมาลาโทษต่อผีเมื่อประสบเหตุ เป็นที่น่าสังเกตว่า สังคมแบบเร่ร่อนทำให้ซาไกเรียนรู้ที่จะสั่งสมสืบทอดภูมิปัญญาองค์ความรู้ ที่เกี่ยวกับการใช้ยาสมุนไพรต่างๆ ในการรักษาโรคและใช้เพื่อคุมกำเนิด แต่เมื่อเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลง ซาไกได้รับการจัดสรรที่ดินจากทางการให้เข้ามาตั้งหลักแหล่งถาวรในหมู่บ้าน มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการยังชีพด้วยการรับจ้างกรีดยางและถางป่าแลกเปลี่ยนเงินตรา เมื่อซาไกได้รับอิทธิพลทางสังคมวัฒนธรรมและรูปแบบวิถีชีวิตจากชุมชนไทยพุทธและไทยมุสลิม ก็เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล เพื่อให้เกิดการยอมรับจากกลุ่มสังคมในชุมชนใกล้เคียง ซาไกเริ่มหันมาดูแลเอาใจใส่ทำความสะอาดร่างกายและเสื้อผ้า รู้จักใช้ยาแผนปัจจุบันควบคู่ไปกับการรักษาด้วยวิธีการดั้งเดิมเมื่อเจ็บป่วย รวมถึงการเข้าถึงบริการจากสาธารณสุขภาครัฐ หญิงซาไกหันมาฝากครรภ์และทำคลอดที่โรงพยาบาล ทั้งยังได้รับคำแนะนำในการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด และยารักษาโรคแผนปัจจุบันจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของทางการมันนิ มานิ กอย คะนัง(ซาไก),สุขภาพ, ความเจ็บป่วย, การรักษา, วิถีชีวิต, สมุนไพร, ยะลาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดยะลา ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=700
699บทความการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าถิ่นภูเบธ วีโรทัยกล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม และด้านอื่น ๆ ที่มาจากนโยบายการพัฒนาของหน่วยงานต่าง ๆ ของทางราชการ และนายทุนต่าง ๆ ที่เป็นหน่วยงานและกลุ่มบุคคลจากภายนอกชุมชน ซึ่งผลของการพัฒนานั้นได้เกิดผลกระทบต่อชุมชนถิ่น ที่อาศัยอยู่ในบ้านน้ำสอด และบ้านน้ำเพาะ ตำบลและ และบ้านน้ำพิ ตำบลทุ่งช้าง อำเภอท่องช้าง กับบ้านปาก่ำ ตำบลบ่อเกลือเหนือ กิ่ง อำเภอบ่อเกลือ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นได้ส่งผลให้วิถีชีวิตของถิ่นเปลี่ยนไป เช่นการส่งเสริมการทำแบบนาดำซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชาวไทยพื้นราบ แทนการทำไร่ข้าวโบราณ หรือ แซฮีด จนทำให้พิธีกรรมในไร่บางอย่างต้องปรับเปลี่ยนหรือสูญหาย และการพัฒนาการเกษตรแบบพานิชย์ ของ สหกรณ์การเกษตร ที่สนับสนุนให้ถิ่นกู้ยืมพันธุ์พืช ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง กระทั่งทำให้เกิดการเกษตรแบบเพื่อขายแทนการเกษตรแบบยังชีพที่เคยทำมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษลัวะ,เศรษฐกิจ,สังคม,วัฒนธรรม,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=699
698วิทยานิพนธ์ภาวะความทันสมัยในระบบครอบครัวและเครือญาติกับวัฒนธรรมการนับถือผีของชาวกะเหรี่ยงอุทัยวรรณ มินสุวรรณ วัฒนธรรมความเชื่อในการนับถือผีแบบดั้งเดิมของกะเหรี่ยง มีบทบาทและอิทธิพลต่อรูปแบบวิถีชีวิตในสังคมเกษตร แต่เดิมกะเหรี่ยงมีระบบการผลิตที่จำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานภาคครัวเรือน จากระบบครอบครัวและเครือญาติเป็นหลัก เมื่อภาวะความทันสมัยอันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมเข้ามามีบทบาทต่อครอบครัวและเครือญาติ ส่งผลให้การปฏิบัติพิธีกรรมการนับถือผีเป็นแบบก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น โดยมีการปรับเปลี่ยนให้ยืดหยุ่นขึ้น ผลการวิจัยทดสอบสมมติฐาน หาความสัมพันธ์ระหว่างระบบครอบครัว และระบบเครือญาติกับวัฒนธรรมการนับถือผีของกะเหรี่ยงตำบลป่าแป๋ อ. แม่แตง จ. เชียงใหม่ พบว่า ประเภทครอบครัวที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเดี่ยวหรือครอบครัวขยาย การแต่งงานระหว่างคนต่างเผ่าหรือคนภายในเผ่าเดียวกัน การยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ลูกสมรสกับคนต่างเผ่าหรือคนพื้นราบ อำนาจในการเลือกคู่ครองด้วยตนเองหรือพ่อแม่เป็นผู้เลือกให้ อำนาจในการเลือกที่อยู่อาศัยหลังแต่งงาน อำนาจการตัดสินใจภายในครอบครัว รวมถึงความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องการแบ่งมรดก สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลทำให้วัฒนธรรมการนับถือผีแตกต่างกันแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการตั้งถิ่นฐานของกะเหรี่ยงตามหลักความเชื่อแบบดั้งเดิม กลับส่งผลให้วัฒนธรรมการนับถือผีมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ เป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ที่ยังคงมีความเชื่อตามแบบแผนดั้งเดิม แต่ไม่ปฏิบัติตามความเชื่อนั้น กลับมีวัฒนธรรมการนับถือผีแบบก้าวหน้ามากกว่า (หน้า 101-106)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การนับถือผี,ความทันสมัย,ระบบครอบครัว,เครือญาติ,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=698
697วิทยานิพนธ์ความเชื่อเกี่ยวกับมาลาเรียและพฤติกรรมการใช้มุ้งในชุมชนกะเหรี่ยงธวัช บุณยมณี การศึกษาความเชื่อเกี่ยวกับมาลาเรีย ซึ่งส่งผลต่อทัศนคติและพฤติกรรมการใช้มุ้งชุบน้ำยาและไม่ชุบน้ำยาในชุมชนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ตำบลสามหมื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก พบว่าขึ้นอยู่ปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ อาทิ ปัจจัยทางสังคมประชากรรวมถึงแบบแผนความคิดความเชื่อของประชากรในชุมชน ผสมผสานกับปัจจัยทางภูมิศาสตร์ สภาพแวดล้อมระบบนิเวศภายในชุมชนนั้น อีกทั้งยังมีส่วนสัมพันธ์กับสถาบันทางสังคมในชุมชนนั้น เนื่องจากสภาพที่ตั้งของชุมชนเป็นป่าเขารกครึ้ม อากาศร้อนชื้น มีลำธารแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งเหมาะแก่การเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงพาหะนำเชื้อไข้มาลาเรีย ทั้งยังคงสภาพสังคมและวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมของชนเผ่า การป้องกันรักษาโรคต่าง ๆ มักกระทำไปตามความเชื่อพื้นบ้าน แต่หลังจากชุมชนมีการติดต่อกับสังคมภายนอก มากขึ้น ก็เริ่มรู้จักแพทย์แผนปัจจุบันและวิธีการป้องกันรักษาโรคแบบอื่น ๆ สำหรับไข้มาลาเรีย (ปะโจ่จื้อ) หรือไข้พิษยุงนี้เข้าสู่ชุมชนหลายกระแส เมื่อเกิดอาการไข้ หนาวสั่นและผลตรวจเลือดจากหมอสมัยใหม่ พบเชื้อมาลาเรียในกระแสเลือด บุคลากรด้านสาธารณสุขก็มักมาพ่นสารเคมี เจาะเลือดและให้ยารักษา นอกจากนี้สถานีอนามัยตำบลสามหมื่นยังได้เปิดให้บริการรักษาโรค ซึ่งประชาชนสามารถเข้ารับบริการได้จากคลินิกชุมชนใกล้เคียง (หน้า 105-107)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ความเชื่อ,พฤติกรรม,โรคติดต่อ,ทัศนคติ,สุขภาพ,ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=697
696หนังสือเงาะป่า-ซาไก นิเชาเมืองไทย ชนป่าที่กำลังสูญสลายวันเฉลิม จันทรากุลวิถีชีวิตของชนเผ่าซาไกมีรูปแบบเฉพาะตัว อีกทั้งยังมีรายละเอียดปลีกย่อยด้านวัฒนธรรม อาทิ ความเชื่อเกี่ยวกับภูติผีวิญญาณและการเชื่อถือโชคลาง ขนบประเพณี และคติความเชื่ออันเกี่ยวโยงกับค่านิยมอันเป็นเครื่องกำหนดวิถีปฏิบัติสืบต่อกันมา อาทิ ค่านิยมการครองพรหมจรรย์ก่อนแต่งงาน การให้ความสำคัญกับเท้ามากกว่าศีรษะ พิธีกรรมการขอขมาวิญญาณสัตว์ที่ตนล่า การเลือกที่ตั้งและการสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งแสดงถึงความเป็นชนเผ่าที่นิยมเร่ร่อนมากกว่าอยู่ติดที่ ภาษาพูดของชนเผ่า รวมถึงการสั่งสมภูมิปัญญาความรู้เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพร โดยเฉพาะ ภูมิปัญญาดั้งเดิมของซาไกเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวและจำกัดจำนวนบุตรโดยอาศัยยาสมุนไพรจากธรรมชาติ ความเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของซาไก มาจากการมีปฏิสัมพันธ์กับคนเมืองในลักษณะที่ซาไกมักถูกเอารัดเอาเปรียบหรือกลายเป็นเครื่องมือของกลุ่มผลประโยชน์ เป็นสิ่งที่กลืนกินวิถีชีวิตทัศนคติและค่านิยมแบบเดิมของชนเผ่า จากเดิมที่เคยกินอยู่แบบพึ่งพาธรรมชาติอย่างสันโดษเรียบง่าย ก็ต้องปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เข้ามาเพื่อความอยู่รอดมันนิ มานิ กอย คะนัง(ซาไก),วิถีชีวิต,ความเชื่อ,ภาษา,วัฒนธรรม,สมุนไพร,การแพทย์แผนโบราณ,ภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=696
695หนังสือซาไก ชนกลุ่มน้อยภาคใต้ของไทยเกศริน มณีนูน และ พวงเพ็ญ ศิริรักษ์ซาไกเป็นชนกลุ่มน้อยทางภาคใต้ของไทย อาศัยอยู่กระจัดกระจายเป็นกลุ่มตามป่าดิบเขาและบริเวณเทือกเขาในเขตจังหวัดตรัง พัทลุง สตูล ยะลา และนราธิวาส มีสภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การหาอาหาร การสร้างที่พัก ความเชื่อและพิธีกรรม ภาษาพูด รวมถึงการธำรงรักษาเอกลักษณ์และภูมิปัญญาในการดำรงชีพในป่าแบบมนุษย์โบราณ ซาไกบางกลุ่มยังคงนิยมอพยพเร่ร่อนย้ายถิ่นที่อยู่ไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ซาไกบางส่วนหันมาตั้งถิ่นฐานถาวร มีการแต่งงานกับคนท้องถิ่นจนมีซาไกลูกผสมเพิ่มขึ้น แม้จะมีการปรับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ให้กลมกลืนกับสังคมวัฒนธรรมแบบคนเมืองมากขึ้น เช่น การแต่งกาย การใช้ภาษาท้องถิ่นภาคใต้มากขึ้น การหันมาประกอบอาชีพรับจ้าง เพาะปลูกแทนการหาอาหารจากป่าแบบเดิม การหันมาบริโภคข้าวเป็นอาหารหลักแทนมันป่า อย่างไรก็ดี ซาไกบางกลุ่มก็ยังคงประสบปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมบางอย่างของคนเมือง เช่น การใช้รองเท้า นอกจากนี้ยังพบปัญหาการที่ซาไกถูกเอารัดเอาเปรียบและตกเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ที่ต้องการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากขาดการศึกษาในระบบโรงเรียน และค่านิยมของคนนอกที่ขาดความเคารพสิทธิพื้นฐานของชนเผ่าซาไกมันนิ มานิ กอย คะนัง(ซาไก),วิถีชีวิต,ภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=695
694วิทยานิพนธ์กระบวนการถ่ายทอดวัฒนธรรมการทอผ้าของชาวไทยทรงดำรัชพล ปัจพิบูลย์งานวิจัยนี้เป็นกระบวนการถ่ายทอดการทอผ้าที่สืบต่อกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยการสอนการทอผ้า มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ถ่ายทอดและผู้รับการถ่ายทอด ผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการถ่ายทอด ได้แก่ พ่อ แม่ และญาติพี่น้องที่มีความรู้เป็นผู้ถ่ายทอดแก่ลูกหลานที่ยังไม่ได้รับการเรียนรู้ จนสามารถปฏิบัติเองได้เพื่อจะได้มีผ้าทอของไทยทรงดำ ไว้ใช้เข้าร่วมพิธีกรรมของชุมชนลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,การถ่ายทอดวัฒนธรรม,ค่านิยม,ความเชื่อ,พิธีกรรม,การทอผ้า,เพชรบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=694
693บทความThe LisuSchrock, Joann L.ศึกษาลีซูที่อาศัยอยู่บนภูเขาทางตอนเหนือของไทย ลีซูใช้ตระกูลภาษาทิเบต-พม่า ลีซูในประเทศไทยพูดภาษามูเซอ, จีน และยูนนานได้ บางส่วนพูดภาษาไทใหญ่, ลาว-ไทย และอาข่า สันนิษฐานว่าถิ่นฐานเดิมของลีซูอยู่บริเวณทางตะวันตกเฉียงเหนือของยูนนานหรือในธิเบต ก่อนจะอพยพขึ้นไปทางใต้คือหุบเขาสาลวิน และเข้าสู่ประเทศพม่าและไทย ลีซูทำการเกษตรกรรม โดยใช้พื้นที่ป่าหักร้างถางพงและเผาก่อนการเพาะปลูก รายได้หลักของลีซูคือการปลูกฝิ่นและค้าฝิ่น ครัวเรือนของลีซูประกอบด้วยครอบครัวเดี่ยว มีสามี ภรรยา และลูกๆ ที่ยังไม่แต่งงาน คู่แต่งงานใหม่จะอาศัยอยู่กับครอบครัวฝ่ายสามี ลีซูบูชาภูตผีและบรรพบุรุษ แต่ก็มีผู้นับถือศาสนาพุทธและคริสต์ และเชื่อว่าโลกนี้เต็มไปด้วยวิญญาณมีทั้งดีและร้ายสิงสถิตอยู่ในที่ต่างๆลีซู,ชาติพันธุ์,วิถีชีวิต,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2513ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=693
692บทความThe LawaSchrock, Joann L.ลัวะที่ในประเทศไทยอาศัยอยู่บริเวณที่ราบสูงบ่อหลวงระหว่างเมืองฮอด และเมืองยวมอีกกลุ่มอาศัยอยู่ในเทือกเขาอุ้มผาย ทำการเกษตรกรรมปลูกข้าวและพืชต่างๆ เช่น ข้าวโพด ถั่ว แตง มันฝรั่ง พริก ผัก และเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู ไก่ สุนัข เพื่อใช้เป็นอาหารและใช้ในพิธีบูชายัญ ลัวะเชื่อเรื่องภูตผีว่ามีอยู่ในทุกๆ สิ่งรอบตัว พิธีกรรมส่วนใหญ่จึงเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับภูติผี เมื่อมีเหตุการณ์ผิดปกติก็จะทำพิธีเซ่นไหว้ลเวือะ,โครงสร้างสังคม,ประเพณี,เศรษฐกิจ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2513ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=692
691บทความEthnobotany of Hill Tribes of Northern Thailand : Medicinal Plants of AkhaAnderson, Edward F.ภูมิปัญญาด้านการใช้สมุนไพรในการรักษาโรคของอาข่าเริ่มสูญหายและไม่มีผู้สืบทอด และไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากการรักษาด้วยยาสมัยใหม่ได้ผลรวดเร็วและการเข้าถึงสถานพยาบาลทำได้ง่ายกว่าแต่ก่อนมากอาข่า,สมุนไพร,การรักษาโรค,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2529ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=691
690บทความEthnobotany of Hill Tribes of Northern Thailand : Lahu Medicinal Plants.Anderson, Edward F.การรักษาโรคของลาหู่ใช้ทั้งสมุนไพรที่มีอยู่ตามธรรมชาติร่วมกับการรักษาด้วยพิธีกรรม เมื่อการรักษาด้วยยาแผนใหม่เข้ามาแพร่หลายการรักษาด้วยวิธีดั้งเดิม และความรู้เกี่ยวกับการรักษาด้วยยาสมุนไพรก็เริ่มสูญหายไปไม่ได้รับการสืบทอดลาหู่,สมุนไพร,การรักษา,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2529ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=690
689รายงานการวิจัยCommerce and Ethnic Differences : The Case of the Mon in Thailand.Foster, Brian L.ระบบสังคมแบบเครือญาติ ที่มีการคาดหวังให้เครือญาติหรือผู้ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันแสดงความเอื้อเฟื้อต่อกัน ในระดับที่แตกต่างกันไปตามระดับความสัมพันธ์ ซึ่งระบบดังกล่าวมีอิทธิพลต่อการค้าภายในชุมชน คนในชุมชนจะไม่ทำการค้าขายภายในชุมชนหรือค้าขายกับกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน เนื่องจากความคาดหวังของผู้ค้าและผู้ซื้อที่สวนทางกัน ก่อให้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ดังนั้น จึงพบว่าผู้ค้าที่มาจากนอกชุมชนจะประสบความสำเร็จมากกว่า เนื่องจากไม่ต้องเผชิญความกดดันจากความคาดหวังของคนในชุมชนนั้นๆมอญ,การค้า,อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,ภาคกลางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2505ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=689
688วิทยานิพนธ์คุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชนบทห่างไกล และความต้องการทางการศึกษา สำหรับกำหนดแนวทางและเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพประชากร กรณีศึกษาชาวส่วยเขมร หมู่บ้านแจงแมง และหมู่บ้านชำ อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีษะเกษน้ำทิพย์ พุ่มไม้ทองจากการสำรวจคุณภาพชีวิตของส่วยเขมรในหมู่บ้านแจงแมง และหมู่บ้านชำ พบว่าสภาพคุณภาพชีวิตยังเป็นปัญหาอยู่เกือบทุกด้าน สาเหตุคือ 1.ความยากจน เกิดจากผลผลิตทางการเกษตร และรายได้ต่ำ ขาดเงินทุนจัดหาปัจจัยการผลิต ขาดความรู้และประสบการณ์การเกษตรแผนใหม่ ที่จะทำให้ผลผลิตสูง การมีลูกมาก การถูกเอาเปรียบจากนายทุนที่กู้ยืมเงินมาลงทุนในอาชีพ หรือใช้จ่ายในครัวเรือนโอกาสในการเลือกอาชีพมีน้อย 2.ความเจ็บไข้ ไม่สามารถประกอบการงานได้ หรือได้ไม่เต็มที่มีอัตราสูง เนื่องจากการกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ ที่พักอาศัย การรักษาพยาบาลยังไม่ถูกต้องตามสุขบัญญัติ 3.ความไม่รู้ หรือการศึกษาต่ำ ทำให้คิดว่าไม่สามารถนำความรู้ไปใช้ในการดำรงชีวิตได้ ซึ่งเป็นผลจากสภาพแวดล้อม และสิ่งที่จะส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ในสังคมส่วยเขมรมีน้อย 4.เนื่องจาก ความไม่กระตือรือร้นในการประกอบอาชีพ หรือการแสดงออกทางสังคมที่ขาดระเบียบ ไม่สนใจเหตุการณ์แวดล้อม คอยแต่ความช่วยเหลือจากทางราชการ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้การพัฒนาคุณภาพชีวิตของส่วยเขมร เป็นไปใม่ได้เท่าที่ควร ประกอบกับส่วยเขมรยังขาดความเข้าใจถึงประโยชน์และข้อดี ในการร่วมมือกันทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาหมู่บ้าน ส่วนในด้านความต้องการทางการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ส่วยเขมรมีความต้องการความรู้มากน้อยต่างกันตามองค์ประกอบพื้นฐานด้านต่าง ๆ อย่างไรก็ดี นโยบายหรือการจัดการศึกษาที่เน้นอาชีพที่ผ่านมา ส่วยเขมรยังไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในการดำรงชีวิต เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องสภาพภูมิประเทศ และความยากจน (หน้า 194,197-198)กูย,ส่วย,คุณภาพชีวิต,การศึกษา,ศรีสะเกษตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=688
687บทความThe KarenSchrock, Joann L.กะเหรี่ยง ใช้กล่าวเรียกชาวเขา 4 เผ่า ได้แต่ กระเหรี่ยงโปว์ กะเหรี่ยงสกอว์ กะเหรี่ยง Pa-O และกะเหรี่ยง Kayah เชื่อว่าอาจมาจากธิเบต-จีน ก่อนที่จะย้ายลงมาทางพม่า ภาษากะเหรี่ยง เป็นกลุ่มภาษา Sino-Tibetan, Tibeto-Burman, Mon-Khmer และกลุ่มภาษาอิสระอื่นๆ ในประเทศไทยพบกะเหรี่ยงอยู่ทางภาคเหนือที่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และเชียงราย จังหวัดชุมพร จังหวัดลำปาง กะเหรี่ยงอาศัยอยู่บนภูเขาและที่ราบต่ำ เชื่อว่ากะเหรี่ยงย้ายมาจากจีนเมื่อศตวรรษที่ 13 และตั้งถิ่นฐานตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาละวิน (salween) ข้าวเป็นอาหารหลักของกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงภูเขามีวัฒนธรรมปลูกข้าวนาปรัง ส่วนที่อยู่ที่ราบปลูกข้าวนาดำ ข้าวเป็นพืชหลัก กะเหรี่ยงปลูกผักอื่นๆ ปลูกฝ้าย ข้าวสาลี ล่าสัตว์ และตกปลา กะเหรี่ยงที่ราบมีที่นาขนาดใหญ่ และปลูกพืชผลอื่น เช่น ยาสูบ กล้วย ผลไม้ อ้อย และรับจ้างทำงานในไร่นาให้กับชาวนาในพื้นที่ต่ำ ครอบครัวกะเหรี่ยงเป็นครอบครัวเดี่ยวแยกออกมาตั้งครัวเรือนเอง บางทีก็เป็นครอบครัวขยายรวมปู่ย่าตายายหรือลูกที่แต่งงานแล้ว จะให้ความสำคัญกับฝ่ายแม่ เมื่อแต่งงานคู่บ่าวสาวจะย้ายไปอยู่ที่บ้านภรรยาหรือหมู่บ้านฝ่ายภรรยา แม้ว่ากะเหรี่ยงจะให้ความสำคัญกับญาติฝ่ายแม่ แต่สถานะทางสังคมของผู้หญิงต่ำกว่าผู้ชาย กะเหรี่ยงเป็นคริสต์แต่ก็เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณเชื่อว่าการเจ็บป่วยมีสาเหตุจากภูตผี วิธีรักษาโรคจะบูชายัญปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,โครงสร้างสังคม,ระบบเศรษฐกิจ,ประเพณี,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย2513ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=687
686บทความThe AkhaSchrock, Joann L.อาข่ามีเชื้อสายมองโกลอยด์ คาดว่าเป็นชาติพันธุ์ที่แตกออกมาจาก Lolo ที่อยู่ในกลุ่ม Tibeto-Burman ใช้ภาษาที่มีรากจากตระกูลภาษา Sino-Tibetan อาข่าในประเทศไทยพบอยู่ใกล้ชายแดนไทย-พม่า ในอำเภอแม่สายและแม่จัน จังหวัดเชียงราย อาข่าอพยพทุก ๆ 5-7 ปี เพราะพื้นที่เพราะปลูกขาดการบำรุงรักษา เศรษฐกิจหลักของอาข่าขึ้นอยู่กับการเกษตร ปลูกข้าวและฝ้าย และปลูกฝิ่นไว้ขายเป็นรายได้หลัก โครงสร้างทางครอบครัวของอาข่าเป็นครอบครัวขยาย จะให้ความสำคัญกับผู้ชาย ในแต่ละหมู่บ้านมีผู้นำ อาข่าเชื่อเรื่องผีที่ทำให้เจ็บป่วย ผีรักษาหมู่บ้าน ผีบ้าน ผีบรรพบุรุษอาข่า,โครงสร้างทางสังคม,ประเพณี,ความเชื่อ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย2513ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=686
685บทความEthnicity and Worldview in Chiang Mai, ThailandBasham, Richardศึกษาการผสมผสานทางวัฒนธรรมไทยและจีนในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่าการที่คนไทยเชื้อสายจีนปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยเพื่อเป็นการยกระดับสถานภาพทางสังคมและได้รับการยอมรับจากคนไทยว่าเป็นคนไทย การผสมผสานระหว่างสองวัฒนธรรมนี้เป็นไปอย่างกลมกลืน เนื่องจากคนไทยจะยอมรับผู้ที่รู้และปฏิบัติตามขนบประเพณีไทยเป็นอย่างดีลูกจีน,การผสมผสาน,วัฒนธรรมจีน-ไทย,ความเป็นไทย,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย2530ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=685
684บทความHmong Child Survival in Thailand, Laos and CaliforniaKundstadter, Peter, et al.สาระสำคัญของการศึกษาครั้งนี้ คือการค้นหาว่าปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลทำให้อัตราการตายของทารกม้งลดลง โดยตั้งข้อสมมติฐาน ความก้าวหน้าทางการแพทย์สมัยใหม่ การพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม สถานภาพของสตรี แต่ยังไม่พบข้อสรุปที่ชัดเจนม้ง,อัตราการตายของทารก,สถานภาพสตรี,ไทย,ลาว,อเมริกาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย2532ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=684
683บทความKaren Cultural Capital and the Political Economy of Symbolic PowerSantasombat, Yosกะเหรี่ยงต่อสู้กับวาทกรรมของรัฐที่สร้างภาพลักษณ์พวกเขาให้กลายเป็นผู้ทำลายป่า โดยการที่กะเหรี่ยงใช้วัฒนธรรมของตนรวมถึงภูมิปัญญาดั้งเดิมในการ สร้างอำนาจเพื่อต่อสู้กับอำนาจรัฐ โดยการไม่ยอมรับวาทกรรมของรัฐและสร้างวาทกรรมขึ้นมาสร้างอัตลักษณ์ตนเองว่าเป็นผู้อนุรักษ์ป่าปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การผลิตทางวัฒนธรรม,การนิยามความหมายของกลุ่มชาติพันธุ์,ภาพลักษณ์,ตัวตน,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=683
682วิทยานิพนธ์มลาบรีกับการช่วงชิงทรัพยากรในบริบทของการพัฒนาโดยรัฐศักรินทร์ ณ น่านระบบสังคมวัฒนธรรมความเชื่อดั้งเดิมของสังคมชนเผ่ามลาบรี ได้รับคำนิยามจากคนภายนอกในฐานะ "คนป่า" หรือ "ผีตองเหลือง" มาแต่อดีต แสดงให้เห็นตัวตนแบบชนเผ่าเร่ร่อนดั้งเดิม ที่อาศัยพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติจากป่าเพื่อยังชีพอย่างไม่รุกรานจนเกินพอดี แต่เมื่อโครงการพัฒนาทั้งจากหน่วยงานของรัฐและเอกชน เข้ามามีบทบาทจัดการกับวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของมลาบรี ด้วยการใช้อำนาจรัฐให้สิทธิจัดสรรที่ดินในชุมชนม้งบ้านห้วยหยวก ตำบลแม่ขะนิง อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ให้มลาบรีเข้ามาตั้งหลักแหล่งถาวร โดยการจัดตั้งเป็น "ชุมชนตองเหลือง" การจำกัดพื้นที่เฉพาะและการปิดล้อมจากกลุ่มอำนาจภายนอก ยิ่งทำให้การเข้าถึงทรัพยากรและพื้นที่ป่าของมลาบรีเป็นไปอย่างยากลำบาก มลาบรีจำต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการยังชีพจากที่เคยท่องป่าล่าสัตว์ สู่การเป็นแรงงานรับจ้างทำไร่ในชุมชนม้ง ซ้ำยังตกเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวจังหวัดน่านของทางการ มีการนำมลาบรีที่แต่งกายด้วยการนุ่งตะแยด ซึ่งถูกลดทอนให้กลายเป็นเพียงสัญญะที่สำคัญ ในการจัดแสดงวิถีชีวิตทางวัฒนธรรมแบบชนเผ่าดั้งเดิม มาใช้สร้างจุดขายเพื่อการท่องเที่ยวจังหวัด แทนที่จะวางแผนพัฒนาวิถีชีวิตบนรากฐานที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และตัวตนของมลาบรีอย่างแท้จริง แสดงให้เห็นถึงความลักลั่นในการพัฒนาที่ขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงรากเหง้าทางวัฒนธรรม ระบบคุณค่าและโครงสร้างความเชื่อของสังคมชนเผ่ามลาบรี การพัฒนาได้ส่งผลให้มลาบรีมีตัวตนทางสังคมที่ปรากฏต่อสังคมภายนอกไม่ต่างจาก "คนชายขอบของสังคม" ภายใต้การจัดการโดยกลุ่มอำนาจต่าง ๆ อย่างไรก็ดี มลาบรีเองก็มิได้มีท่าทียอมจำนนต่ออำนาจภายนอกอย่างสิ้นเชิง กลับพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์ หรือใช้โอกาสดังกล่าวเป็นอำนาจต่อรองในการเข้าถึงทรัพยากรหรือบางครั้งก็มีท่าทีต่อต้านทางอ้อม เช่น การเพิกเฉยไม่ใส่ใจจะรักษาพื้นที่โครงการพัฒนาต้นน้ำโดยปล่อยให้ไฟไหม้ป่า เพื่อต่อต้านจากการถูกกีดกันในการเข้าถึงทรัพยากรในพื้นที่อนุรักษ์ของทางการมลาบรี มราบรี,คนชายขอบ,ทรัพยากร,การพัฒนา,บริโภคนิยม,ความสัมพันธ์,เชิงอำนาจ,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2548ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=682
681รายงานการวิจัยวัฒนธรรมพื้นบ้านยวนสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมาลัดดา ปานุทัย, ละอองทอง อัมรินทร์รัตน์ และ สนอง โกศัยงานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นภาพรวมวัฒนธรรมพื้นบ้านของคนไทยเชื้อสายยวน (โยนก) ซึ่งอพยพมาจากเชียงแสน มายังเชียงใหม่ สระบุรี ราชบุรี บางส่วนอพยพมายังสีคิ้ว ทำให้เข้าใจถึงวัฒนธรรมพื้นบ้าน ประเพณีท้องถิ่น ศิลปะพื้นบ้าน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่มีประเพณีเหมือนคนไทยทั่วไป แต่คงมีเอกลักษณ์ของยวน (โยนก) ตรงที่พูดภาษาเหนือ มีประเพณีความเชื่อเรื่องผีและวิญญาณ มีการละเล่นในประเพณีสงกรานต์ เรียกว่า "ลำเดือนห้า" และลักษณะการแต่งกายที่มีลักษณะเฉพาะตัวของยวนโยนก (หน้าบทคัดย่อ)ยวน คนเมือง ไทยวน, วัฒนธรรม , ประเพณี, ภาษา , นครราชสีมาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย2526ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=681
680วิทยานิพนธ์ความสำคัญของการอพยพเคลื่อนย้ายกลุ่มชาติพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำโขงต่อความเป็นเมืองสุวรรณเขต ระหว่าง ค.ศ.1893-1954ธวัชชัย พรหมณะเมืองสุวรรณเขตตั้งอยู่ในภาคกลางของสาธารณะประชาธิปไตยประชาชนลาว ตรงข้ามจังหวัดมุกดาหารของประเทศไทย เดิมเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ชื่อว่าท่าแร่ คนเมืองสุวรรณเขตและชาวมุกดาหารเชื่อว่าตนมีบรรพบุรุษเดียวกัน แต่ตั้งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ ตั้งแต่ ค.ศ. 1893-1954 เมื่อลาวตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เมืองสุวรรณเขตได้ถูกสถาปนาขึ้นและกลายเป็นเมืองสำคัญของลาว ฝรั่งเศสต้องการพัฒนาเมืองสุวรรณเขตให้เป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองในระดับส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ศูนย์กลางการไปรษณีย์โทรเลข แต่ขาดแคลนแรงงานเพราะมีพลเมืองน้อย จึงดำเนินนโยบายเพิ่มจำนวนประชากร โดยส่งเสริมให้คนลาวที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในไทยอพยพไปอยู่ที่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงโดยรับเป็นผู้ที่ถือสัญชาติฝรั่งเศสเป็นการตอบแทน และดำเนินการอพยพผู้ที่ถือสัญชาติฝรั่งเศสในอาณานิคมอินโดจีน เช่น คนลาว คนกัมพูชา คนเวียดนาม เข้ามาอยู่ในเมืองสุวรรณเขต โดยคนเวียดนามอพยพเข้ามามากที่สุด ทำให้เมืองสุวรรณเขตเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ แต่ละกลุ่มมีการปรับตัวเข้าหากันและมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมืองสุวรรณเขตซึ่งเดิมเป็นชุมชนลาวให้เป็นเมืองที่มีรูปแบบตามแบบตะวันตก การอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์เข้ามาในเมืองส่งผลให้เป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และเป็นรากฐานของสังคมเรื่อยมาถึงปัจจุบันลาว,เขมร,เวียต,การอพยพ,ประเทศลาวตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=680
679รายงานการวิจัยการศึกษาวิถีชีวิตชนกลุ่มน้อยในเขตพื้นที่ภาคอีสานทวี ถาวโร1.ไทดำ บ้านนาป่าหนาด ตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย อาชีพหลักทำนาข้าวเหนียว อาชีพรองคือทอผ้า และทำไร่ถั่วเหลืองและข้าวโพด เรือนอยู่อาศัยแบบเฮือนไต ยกใต้ถุนสูง ปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนเป็นคอนกรีตและเรือนพื้นติดดิน ชีวิตประจำวันแต่งกายเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป ส่วนชุดที่มีเอกลักษณ์ตามวัฒนธรรมเดิมจะแต่งเมื่อมีงานประเพณีต่าง ๆ รับประทานข้าวเหนียวเป็นอาหารหลักไม่นิยมรับประทานเนื้อวัว เวลาเจ็บป่วยนิยมรักษาแผนปัจจุบันร้อยละ 85 รักษาแบบพื้นบ้านร้อยละ 10 และซื้อยามารับประทานเองร้อยละ 5 เป็นสังคมที่มีการนับถือผีมาตั้งแต่โบราณเป็นจุดรวมสำคัญทำให้พฤติกรรมของผู้ไทตั้งอยู่ในกรอบประเพณีของกลุ่ม และยังคงสืบสานประเพณีที่ผูกพันกับความเชื่อเรื่องผี เช่น การเสนเฮือน การแต่งงาน เป็นต้น 2. ผู้ไท บ้านหนองช้างและบ้านแก่นทราย ลักษณะที่อยู่อาศัยเป็นเรือนไม้จริง ใต้ถุนสูง ปัจจุบันยังคงนิยมบ้านแบบดั้งเดิม ที่เปลี่ยนมาใช้วัสดุแบบใหม่มีน้อยมาก ผู้ชายนิยมสักตามร่างกายโดยเฉพาะที่ขาลงมาถึงหัวเข่า ในระยะเวลาประมาณ 40 ปีมานี้ คนหนุ่มสาวและเด็ก ๆ เปลี่ยนมาแต่งกายเหมือนคนไทย แต่คนแก่ยังคงแต่งกายตามวัฒนธรรมดั้งเดิม อาหารการกินเหมือนอาหารพื้นบ้านอีสาน เมื่อเจ็บป่วยนิยมรักษาแผนปัจจุบัน ร้อยละ 90 รักษากับหมอพื้นบ้าน ร้อยละ 8 ลักษณะทางวัฒนธรรมจะกลมกลืนกับวัฒนธรรมลาวและอีสาน นับถือผีบรรพบุรุษเรียกว่า "ถลา" การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามแบบสังคมสมัยใหม่ยังไม่ปรากฏในชุมชนผู้ไทที่นี่ 3. ไทย้อ บ้านท่าขอนยาง บ้านเรือนที่อยู่อาศัยเดิมเป็นบ้านไม้ ใต้ถุนสูง มุงหญ้าคาและได้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบและวัสดุมาโดยตลอด แต่ยังคงลักษณะใต้ถุนสูงไว้ ปัจจุบันจะแต่งกายแบบดั้งเดิมเฉพาะในโอกาสพิเศษเท่านั้น ตามปกติจะแต่งกายแบบคนไทยทั่ว ๆ ไป อาหารการกินเหมือนอาหารพื้นบ้านอีสานทั่วไป เมื่อเจ็บป่วยนิยมรักษาแผนปัจจุบันร้อยละ 95 รักษาทั้งแบบแผนปัจจุบันและหมอพื้นบ้านร้อยละ 5 ไทย้อมีวิถีชีวิตหนักไปทางสังคมเมืองแต่การปฏิบัติตามความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีตามแบบสังคมเกษตรกรรมและสังคมชนบท และยึดตามฮีตสิบสองคลองสิบสี่ของอีสานยังเด่นชัดหลายเรื่อง เช่น การไหว้ผีตาแฮกไทย้อ,ไทดำ,ผู้ไท,วิถีชีวิต,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=679
678วิทยานิพนธ์ศึกษาการบำเพ็ญฮัจญ์ของชาวมุสลิมในประเทศไทยวิริยา ขันธสิทธิ์ผู้เขียนกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการบำเพ็ญฮัจญ์ตั้งแต่สมัยศาสดาอิบรอฮีม (อ.) ซึ่งเป็นสถานที่และจุดเริ่มต้นของรูปแบบพิธีกรรมบำเพ็ญฮัจญ์มาถึงปัจจุบันนี้ (หน้า 13-17) การบำเพ็ญฮัจญ์ของศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) (หน้า 48-53) และได้กล่าวถึงคุณประโยชน์ของการบำเพ็ญฮัจญ์ (หน้า 19) และหัวข้อสำคัญอื่นๆ ได้แก่ รูปแบบของการบำเพ็ญฮัจญ์ (หน้า 24-25) ข้อห้ามขณะอยู่ในชุดอิห์รอม (หน้า 25) และค่าปรับในการละเมิดข้อห้าม (หน้า 26), พิธีการบำเพ็ญฮัจญ์* องค์ประกอบของการบำเพ็ญฮัจญ์ มี 6 ข้อ (หน้า 27-31 และโปรดดูตารางหน้า 44 ประกอบ) * สิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติในการบำเพ็ญฮัจญ์ มี 5 ข้อ(หน้า 31-73) * สิ่งที่ควรปฏิบัติในการบำเพ็ญฮัจญ์ 7 ข้อ (หน้า 37-41) ขั้นตอนการบำเพ็ญฮัจญ์ (หน้า 41-45), สถานที่สำคัญในพิธีฮัจญ์ (หน้า 58 -62), ประวัติความเป็นมาของการบำเพ็ญฮัจญ์ในประเทศไทย (หน้า 64-71) การเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านทรัพย์ สิน ร่างกายและจิตใจ (หน้า 72-78), การเตรียมความพร้อมทางด้านความรู้ (หน้า 79), ปัญหาและแนวทางแก้ไข (หน้า 98-100), การบำเพ็ญฮัจญ์ ที่เป็นไปตามแบบอย่างของศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) เท่านั้นที่จะเป็นฮัจญ์ที่อัลลอฮ์ทรงรับ (ฮัจญ์มับรูร์) การบำเพ็ญฮัจญ์หากขาดหลักปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักศาสนาจะเป็นฮัจญ์ที่สมบูรณ์ไม่ได้ (หน้า 4) ผู้เขียนจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาเกี่ยวกับการบำเพ็ญฮัจญ์ตามหลักศาสนาอิสลามและการศึกษาว่ามุสลิมในประเทศไทยได้ปฏิบัติตามบทบัญญัตินั้นมากน้อยแค่ไหน เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพของผู้บำเพ็ญฮัจญ์ต่อไป หัวข้อสำคัญที่ผู้เขียนกล่าวถึงคือ ข้อผิดพลาดในการบำเพ็ญฮัจญ์ได้แก่ การไม่ปฎิบัติตามบทบัญญัติของศาสนาโดยเจตนา ความรู้ความเข้าใจที่ผิดจากหลักศาสนา หรือความไม่รู้หลักศาสนา ความไม่สำรวม เป็นต้น (หน้า 54-57, 102-106) แต่อย่างไรก็ตามนักวิชาการศาสนาอิสลามส่วนใหญ่เห็นว่า องค์ประกอบสำคัญของการบำเพ็ญฮัจญ์ของมุสลิมในประเทศไทยเป็นไปตามแบบอย่างของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) มีแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด แต่ทั้งนี้ การบรรลุวัตถุประสงค์ของการบำเพ็ญฮัจญ์ ขึ้นอยู่กับเจตนาของแต่ละบุคคล (หน้า 118) อย่างไรก็ตาม ผู้นำชุมชน (อิมาม) ควรมีบทบาทในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ชุมชนในเรื่องการบำเพ็ญฮัจญ์ด้วย (หน้า 119) เพื่อให้การบำเพ็ญฮัจญ์นั้นเป็นฮัจญ์ที่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงรับมุสลิม,การบำเพ็ญฮัจญ์,ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=678
677วิทยานิพนธ์ความชรากับสถานภาพและบทบาทของผู้สูงอายุในชุมชนโซ่ง กรณีศึกษา บ้านเนินหว้า ตำบลกง อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัยลักษณพร กิจบุญชูผู้สูงอายุหรือคนเฒ่าคนแก่ในสังคมลาวโซ่งมีบทบาทและสถานภาพตามลักษณะความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ทั้งยังมีบทบาทและความสัมพันธ์ต่อสังคมวัฒนธรรมอันเกี่ยวพันกับวิถีชีวิต ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีพิธีกรรมตามแบบของลาวโซ่งอย่างแนบแน่น เนื่องจากสังคมโซ่งให้ความสำคัญกับระบบอาวุโส ความเชื่อและการนับถือผีบรรพบุรุษ ผู้สูงอายุลาวโซ่งที่มีประสบการณ์ ความรู้ความชำนาญในการธำรงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี มีบทบาทในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ จึงทำให้มีสถานภาพที่สูงกว่าผู้สูงอายุลาวโซ่งส่วนใหญ่ ที่มีบทบาทและสถานภาพเพียงแค่ภายในครัวเรือน ในฐานะหัวหน้าครัวเรือนที่คอยให้คำปรึกษา เป็นที่พึ่งทางใจ อบรมสั่งสอนและถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้และวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมถึงการเลี้ยงดูบุตรหลานก่อนวัยเรียน ทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระภายในบ้านลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,คนเฒ่า,สถานภาพ,ลักษณะทางวัฒนธรรม,พิธีกรรม,สุโขทัยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสุโขทัย ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=677
676วิทยานิพนธ์ดนตรีในสังคมวัฒนธรรมของชาวชอง ตำบลตะเคียนทอง จ.จันทบุรีสายพิรุณ สินฤกษ์เพลงพื้นบ้านของคนชอง ตำบลตะเคียนทอง กิ่งอำเภอเขาคิชฌกูฎ จังหวัดจันทบุรีได้รับอิทธิพลจากคนไทยภาคกลางอยู่มาก ทั้งด้านการร้องรำทำเพลงและเครื่องดนตรีที่ใช้ส่วนใหญ่เพื่อประกอบจังหวะ แต่ก็มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เพลงของชองแสดงให้ เห็นถึงบทบาทหน้าที่ของศิลปะท้องถิ่นซึ่งมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับวิถีชีวิต สังคมและวัฒนธรรมของคนชอง อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ อาทิ เพลงในพิธีอัญเชิญผีบรรพบุรุษหรือ "ผีหิ้งผีโรง" เพลงในพิธีแต่งงาน เพลงยันแย่ เพลงในพิธีศพ ลักษณะเนื้อร้องเพลงของชองมักแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับสัตว์เลี้ยงและคนกับธรรมชาติ มีหน้าที่รองคือ เป็นเครื่องสร้างความบันเทิงเริงใจ นอกเหนือจากบทบาทหลักในการร้องเพื่อประกอบพิธีกรรม ลักษณะเด่นของเพลงร้องของชอง คือ เนื้อเพลงและประโยคในทำนองส่วนใหญ่ไม่สัมพันธ์กัน การเคลื่อนที่ของระดับเสียงมีลักษณะคล้ายลูกตกของดนตรีแบบแผนไทย มีลักษณะการซ้ำโน้ต บางครั้งช่วงกลางและท้ายประโยคเพลงเกิดการเคลื่อนที่รูปแบบซ้ำๆ กัน หรือเคลื่อนที่เป็นขั้นคู่กระโดด บันไดเสียงหรือกลุ่มเสียงมีลักษณะแบบเพลงพื้นบ้านของไทยชอง,พ่อเพลง, ดนตรี, เพลงพื้นบ้าน, พิธีกรรม, ความเชื่อ, จันทบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดจันทบุรี ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=676
675ปริญญานิพนธ์ศักยภาพชุมชนเพื่อการพัฒนา : กรณีศึกษาชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงบ้านห้วยเย็น หมู่ที่ 18 ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่สมควร เขียมสุวรรณ งานนี้นำเสนอสภาพทั่วไปของชุมชน ประวัติศาสตร์ความเป็นมา สภาพทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ ประชากร และทรัพยากรสิ่งแวดล้อมของชุมชน นอกจากนี้ ชุมชนมีการรวมกลุ่มสามัคคีในการทำพิธีกรรม สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในได้ แต่คนในชุมชน มีลักษณะสันโดษ ไม่กล้าแสดงออก ถูกเอาเปรียบจากคนภายนอก ขาดความริเริ่มสร้างสรรค์ และมีปัญหายาเสพติดในชุมชน นอกจากนี้ยังขาดการบริการขั้นพื้นฐานจากรัฐ เช่น ขาดถนน ไฟฟ้า สาธารณสุข ไม่รู้ภาษาไทย ทำให้การสื่อสารกับหน่วยงานต่างๆ มีปัญหา ส่วนโอกาสของชุมชนห้วยเย็นคือ การมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีภูมิปัญญาที่ดีงาม สามารถดัดแปลงใช้ในชีวิตประจำวัน และเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนใหญ่ คือเป็นเครือข่ายลุ่มน้ำแม่วาง (หน้า ข-ค)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การพัฒนา,ชุมชน,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=675
674บทความเร๊ะ ตู๊ เร๊ง : การจัดการทรัพยากรของชาวขมุเสถียร ฉันทะขมุเป็นกลุ่มชนที่อยู่ในบริเวณภาคเหนือมานาน มีกลุ่มย่อยแตกแขนงหลายกลุ่ม ปัจจุบันพบได้ในเชียงราย น่าน อุทัยธานี กาญจนบุรี ขมุมีระบบการผลิตแบบไร่หมุนเวียนคล้ายกับปกาเกอะญอ และมีภูมิปัญญาการรักษาความเจ็บป่วยที่เกิดจากความเจ็บป่วยทั่วไปและความเจ็บป่วยที่เกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิต จากกระแสตลาดภายนอก และแรงกดดันจากภาครัฐ ทำให้ขมุบ้านห้วยจ้อเริ่มทำการผลิตเพื่อขาย อย่างไรก็ตาม ขมุบ้านห้วยจ้อยังคงพยายามรักษาวิถีการผลิตแบบดั้งเดิม เป็นการผลิตเพื่อบริโภค และการปลูกพืชสวนครัวเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงทางอาหาร นอกจากนี้ ขมุบ้านห้วยจ้อยังนิยมกระแสการรักษาพยาบาลมัยใหม่ แต่ยังคงไม่ละทิ้งการรักษาแบบดั้งเดิมเมื่อการแพทย์สมัยใหม่ไม่สามารถรักษาความเจ็บป่วยได้ จึงเป็นการผสานการรักษาแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่พร้อมกันขมุ,การจัดการทรัพยากร, เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=674
673บทความกะเหรี่ยง : การจัดการทรัพยากรและความเจ็บป่วยอุไรวรรณ แสงศร กะเหรี่ยงบ้านผาผึ้งเดิมมีการผลิตแบบทำไร่หมุนเวียน แต่หลังจากการควบคุมของรัฐ ทำให้พื้นที่ทำกินมีจำนวนน้อยลง ไม่อาจทำไร่หมุนเวียนได้ครบรอบอีกต่อไป ขณะเดียวกันภูมิปัญญาการรักษาพยาบาลแบบดั้งเดิม กำลังเสื่อมคลายลง เนื่องจากเยาวชนคนรุ่นใหม่ไม่สนใจเรียนรู้การรักษาแบบดั้งเดิม นิยมรักษาพยาบาลแบบสมัยใหม่มากกว่าปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การจัดการทรัพยากร,ความเจ็บป่วย,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=673
672บทความอาข่ากับการจัดการทรัพยากรและรักษาความเจ็บป่วยอุไรวรรณ แสงศรอาข่ามีภูมิปัญญาในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ทำไร่แบบตัดฟันโค่นเผา เมื่อทำไร่ติดต่อกัน 3 - 5 ปี จึงปล่อยทิ้งให้ป่าฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ สิทธิการใช้พื้นที่ทำไร่เป็นของผู้จับจอง หากละเว้นไป ผู้อื่นอาจเข้าไปทำประโยชน์ได้ พืชหลักที่ปลูกคือ ข้าว ข้าวโพด และฝิ่น ปัจจุบันอาข่าไม่สามารถพักฟื้นที่ดินได้ จึงมีการใช้ที่ดินเข้มข้น ก่อให้เกิดที่ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ การรักษาพยาบาลของอาข่ามีทั้งการเข้าทรงและการใช้สมุนไพร ซึ่งยังคงได้รับความนิยม ถึงแม้ว่าชาวบ้านมีทางเลือกในการรักษาพยาบาลมากขึ้น อีกทั้งสมุนไพรเริ่มหายากมากขึ้นจากพื้นที่ป่าที่ลดน้อยลงอาข่า,การจัดการทรัพยากร,การรักษาพยาบาล,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=672
671วิทยานิพนธ์อิทธิพลของวัฒนธรรมอิสลามที่มีต่อนิสิตนักศึกษาไทยมุสลิมในสถาบันอุดมศึกษาพจนีย์ ทรัพย์สมานงานวิจัยชิ้นนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของวัฒนธรรมอิสลามที่มีต่อนิสิตนักศึกษาไทยมุสลิมในสถาบันอุดมศึกษา และเปรียบเทียบอิทธิพลของวัฒนธรรมอิสลามที่มีต่อนิสิตนักศึกษาไทยมุสลิมในสถาบันอุดมศึกษาในกรุงเทพมหานครและภาคใต้ โดยกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยชิ้นนี้คือ นิสิตนักศึกษามุสลิมในมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ และภาคใต้ 7 แห่ง จำนวน 446 คน ผลวิจัยพบว่าการกระทำ ความเชื่อ และแนวความคิดของนิสิตนักศึกษาไทยมุสลิมได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมอิสลามมากกว่าร้อยละ 80 ส่วนมากเป็นพฤติกรรมด้านจริยธรรมและกิจกรรมนิสิตนักศึกษา ส่วนพฤติกรรมด้านวิชาการได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอิสลามระหว่างร้อยละ 70 - 80 ส่วนพฤติกรรมด้านการดำรงชีวิตในสังคมได้รับอิทธิพลอยู่ระหว่างร้อยละ 50 - 60 ส่วนการเปรียบเทียบอิทธิพลของวัฒนธรรมอิสลามที่มีต่อนิสิตนักศึกษาไทยมุสลิมที่อยู่ในกรุงเทพฯและภาคใต้พบว่า ประเภทพฤติกรรมของนักศึกษาไทยมุสลิมที่อยู่ภาคใต้ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมอิสลามมีค่าร้อยละสูงกว่าพฤติกรรมของนักศึกษามุสลิมในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะการดำเนินชีวิตในสังคม (หน้า ง - จ)มุสลิม,นักศึกษา,กิจกรรม,พฤติกรรม,วัฒนธรรมอิสลาม,ภาคกลาง,ภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=671
670วิทยานิพนธ์สภาพการศึกษา ปัญหา และความต้องการการศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 6 ที่เป็นชาวชอง : การศึกษาเฉพาะกรณีโรงเรียนวัดทุ่งสะพาน ตำบลพลวง อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรีอัจฉรา มุขแจ้งผลวิจัยพบว่าชุมชนชองในหมู่บ้านทุ่งสะพานตั้งหลักแหล่งมาเป็นเวลานับร้อยๆ ปี เอกลักษณ์ความเป็นชอง วัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อบางประการ ยังคงได้รับการรักษาไว้ โรงเรียนในหมู่บ้านมีเป้าหมายเพื่อต้องการให้นักเรียนมีความรู้พื้นฐานสำหรับประกอบอาชีพ เพราะนักเรียนชองไม่นิยมศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา เนื่องจากฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว การถ่ายทอดความรู้ด้านอาชีพ วัฒนธรรมประเพณี ศาสนา และจริยธรรม ความเชื่อต่างๆ ของชอง ผ่านการศึกษานอกโรงเรียนที่ชองได้รับ โดยครอบครัวมีบทบาทสำคัญสำหรับการถ่ายทอดความรู้ดังกล่าว ปัญหาที่พบในการถ่ายทอดการศึกษา คือ โรงเรียนมีปัญหาในการปฏิบัติตามเป้าหมายตามที่รัฐกำหนด นอกจากนี้ โรงเรียนไม่ได้ปรับหลักสูตรให้เข้ากับสภาพท้องถิ่นเท่าที่ควร สำหรับผู้ปกครองก็ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนและใกล้ชิดนักเรียนเนื่องด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ นักเรียนต้องการให้โรงเรียนสอนเน้นกลุ่มทักษะและสร้างเสริมลักษณะนิสัย โดยให้สอดแทรกเรื่องราวที่เกี่ยวกับชองและท้องถิ่น ส่วนการศึกษานอกโรงเรียน นักเรียนต้องการความรู้เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพอนามัย ความรู้เรื่องสวนผลไม้เพื่อประกอบอาชีพ นักเรียนยังต้องการรักษาวัฒนธรรมประเพณีของชอง ทั้งประเพณีแต่งงานแบบชอง และประเพณีการทำบุญทุ่ง (ดูหน้าบทคัดย่อ)ชอง,สภาพการศึกษา,ปัญหา,จันทบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดจันทบุรี ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=670
669วิทยานิพนธ์การเปรียบเทียบการเปิดรับข่าวสาร ความรู้ ทัศนคติ และการมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสภาพป่าไม้และแหล่งต้นน้ำ ระหว่างชาวเขาเผ่าลีซอบ้านห้วยน้ำดัง ชาวเขาเผ่าลีซอบ้านห้วยรูดอยสามหมื่นกับชาวไทยพื้นราบบ้านแม่เลา อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่จารุภัทร ถาวโรฤทธิ์งานวิจัยชิ้นนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดรับข่าวสาร ความรู้ ทัศนคติ และการมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสภาพป่าไม้และแหล่งต้นน้ำ และเปรียบเทียบการเปิดรับข่าวสาร ความรู้ ทัศนคติ และการมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสภาพป่าไม้และแหล่งต้นน้ำ ระหว่างชาวเขาเผ่าลีซอบ้านห้วยน้ำดัง ชาวเขาเผ่าลีซอบ้านห้วยน้ำรูดอยสามหมื่น กับคนไทยพื้นราบบ้านแม่เลา อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่โดยประชากรที่ใช้ศึกษาในงานวิจัยครั้งนี้เป็นชุมชนชาวเขาเผ่าลีซอบ้านห้วยน้ำดังประมาณ 150 ครอบครัว บ้านห้วยน้ำรูดอยสามหมื่นประมาณ 85 ครอบครัว ซึ่งอาศัยอยู่ในอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง และคนไทยพื้นราบบ้านแม่เลาที่อยู่ใกล้เคียงอีกจำนวน 150 ครอบครัว โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างมาจากประชากรจำนวน 353 ตัวอย่าง ผลการวิจัยพบว่า - การเปิดรับข่าวสารมีความสัมพันธ์กับความรู้ในการฟื้นฟูสภาพป่าไม้และแหล่งต้นน้ำ - การเปิดรับข่าวสารมีความสัมพันธ์กับทัศนคติในการฟื้นฟูสภาพป่าไม้และแหล่งต้นน้ำ - การเปิดรับข่าวสารมีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสภาพป่าไม้และแหล่งต้นน้ำ - ความรู้มีความสัมพันธ์กับทัศนคติในการฟื้นฟูสภาพป่าไม้และแหล่งต้นน้ำ - ความรู้มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสภาพป่าไม้และแหล่งต้นน้ำ - ทัศนคติไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสภาพป่าไม้และแหล่งต้นน้ำ - การเปิดรับข่าวสาร ความรู้ ทัศนคติและการมีส่วนร่วมมีความสัมพันธ์กับลักษณะประชากร - การเปิดรับข่าวสาร ความรู้ ทัศนคติและการมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสภาพป่าไม้และแหล่งต้นน้ำระหว่างชาวเขาเผ่าลีซอบ้านห้วยน้ำดัง ชาวเขาเผ่าลีซอบ้านห้วยน้ำรูดอยสามหมื่นกับคนไทยพื้นราบบ้านแม่เลา อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ มีความแตกต่างกัน โดยลีซอเปิดรับข่าวสารจากสื่อมวลชนต่ำเนื่องจากฐานะที่ยากจน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและเจ้าหน้าที่ไม่ราบรื่น เกิดปัญหาในการเข้าไปเผยแพร่ความรู้ การคมนาคมไม่สะดวก ทำให้การมีส่วนร่วมกับเจ้าหน้าที่อยู่ในระดับต่ำ ส่วนการรับข่าวสารของไทยพื้นราบบ้านแม่เลาก็อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากในหมู่บ้านรับสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ในปริมาณที่น้อย แม้ในหมู่บ้านจะมีการออกสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับป่าไม้และสิ่งแวดล้อม แต่ก็ไม่เป็นที่รู้จัก และไม่เป็นที่สนใจของชาวบ้านเพราะต้องประกอบอาชีพ แต่ชุมชนก็มีทัศนคติที่ดีกับและความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทำให้การมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ เป็นไปด้วยดี (ดูบทคัดย่อ)ลีซู, ข่าวสาร, ความรู้, ทัศนคติ, การมีส่วนร่วม, การฟื้นฟูป่า, เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=669
668รายงานการวิจัยChanges in the Northern Thai Hills: an Examination of the Impact of Hill Tribe Development Work 1957-1987Renard, Ronald D. et al.เนื่องจากทั้งกะเหรี่ยง และม้ง ยังเน้นยึดถือวิถีชีวิตแบบเดิมอยู่ ทำให้การเปลี่ยนแปลงในแต่ละด้านเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลค่อย ๆ มีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของชาวเขาในภาคเหนือมากขึ้นเป็นลำดับ (หน้า 77)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), ม้ง , การพัฒนาชาวเขา, การเปลี่ยนแปลง, ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2531ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=668
667รายงานการวิจัยEnvironmentMischung, Rolandงานวิจัยมีพื้นที่การศึกษาอยู่บริเวณเทือกเขาอินทนนท์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างชนเผ่าทั้งสอง(กะเหรี่ยง และม้ง) กับสภาพแวดล้อมของพวกเขา ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและพฤติกรรมการปรับตัว (หน้า 128) กะเหรี่ยงได้เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่การศึกษาระหว่าง ค.ศ. 1890-1895 โดยซื้อที่ดินจากเจ้าเมืองเชียงใหม่ เมื่อกะเหรี่ยงเหล่านี้พัฒนาการทำเกษตรไปสู่การปลูกข้าวแบบนาดำ ทำให้เกิดการเพิ่มศักยภาพในการผลิตโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มพื้นที่การทำเกษตร แต่ในช่วง 20-30 ปีมานี้ พวกเขาเริ่มกีดกันการเข้ามาของคนภายนอก เพื่อที่จะรักษาทรัพยากรเอาไว้ให้คงอยู่กับชุมชน (หน้า 128) ระบบเศรษฐกิจของกะเหรี่ยงยังเป็นไปในทิศทางของการพึ่งตนเอง ทำการเกษตรเพื่อบริโภคให้พอกินเป็นหลัก โดยที่พืชเศรษฐกิจก็มีการปลูกเช่นกันแต่ไม่มีบทบาทความสำคัญต่อชีวิตมากนัก ขณะที่ในประเด็นที่เกี่ยวกับความเชื่อนั้น ยังมีการเคารพบูชา และเกรงกลัวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ อยู่เช่นในอดีต ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่ากะเหรี่ยงเป็นชาติพันธุ์ที่มีความคิดเชิงอนุรักษ์นิยม ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงอะไรตามโลกภายนอกอย่างรวดเร็ว (หน้า 129) ส่วนม้งมีวิถีชีวิต และวัฒนธรรมที่ค่อนข้างแตกต่างกับกะเหรี่ยง พวกเขาค่อนข้างที่จะเป็นคนหัวทันสมัยกว่า และมีการเปลี่ยนแปลงปรับตัวตามความทันสมัยมากกว่า แม้ม้งจะประสบกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ขาดความอุดมสมบูรณ์อย่างต่อเนื่อง แต่ก็สามารถค้นพบวิธีการต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาดังกล่าวให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ นอกจากนั้น ยังมีเครือข่ายความสัมพันธ์แบบข้ามชุมชน(Supra-local) มีการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนแห่งอื่นซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลออกไป และเปิดใจรับนวัตกรรมต่าง ๆ ที่จะทำให้ศักยภาพทางเศรษฐกิจของพวกเขาพัฒนาขึ้น (หน้า 130-131) ผลการศึกษาครั้งนี้จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของวิถีความเป็นอยู่ระหว่างกะเหรี่ยงและม้ง ซึ่งมิได้แตกต่างเพียงแค่ในด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่แตกต่างกันในด้านวัฒนธรรม และความเชื่อด้วย (หน้า 131) อย่างไรก็ตาม สามารถสรุปได้ว่าทั้งระบบวัฒนธรรมและระบบนิเวศน์สิ่งแวดล้อมระหว่างกะเหรี่ยงกับม้ง เป็นผลมาจากแรงขับดันทางวัฒนธรรม และความรู้ความเข้าใจที่มีต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว (หน้า 133)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ม้ง,การปรับตัว,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2529ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=667
666วิทยานิพนธ์การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงหมู่บ้านห้วยปูลิง ตำบลม่อนจอง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่สมนึก ชัยธรรมงานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง และความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ กับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ตลอดจนปัญหาอุปสรรคและความต้องการในอนาคตของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และการทำการเกษตร โดยประชากรที่ใช้ศึกษาในงานวิจัยชิ้นนี้เป็นหัวหน้าครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงทุกครัวเรือนในหมู่บ้านห้วยปูลิง ต.ม่อนจอง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ จำนวน 88 ครัวเรือน ผลการวิจัยแสดงว่า หัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นชายอายุเฉลี่ย 40.22 ปี เข้าใจภาษาไทย รายได้รวมของครัวเรือนเฉลี่ย 12,446.59 บาทต่อปี จำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 4.08 คน แรงงานทำการเกษตรเฉลี่ย 2.69 คน รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เฉลี่ย 4.75 ครั้งต่อปี มีพื้นที่ครอบครองเฉลี่ย 5.87 ไร่ ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เฉลี่ย 5.47 ครั้งต่อปี ติดต่อกับชุมชนภายนอกเฉลี่ย 5.31 ครั้งต่อปี และได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เฉลี่ย 1.67 ครั้งต่อปี ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงส่วนใหญ่ปฏิบัติเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ในระดับปานกลางมีค่าเฉลี่ย 2.04 ดังนี้ การป้องกันรักษาป่าอยู่ในระดับปานกลาง การปลูกป่าอยู่ในระดับปานกลาง การป้องกันไฟป่าอยู่ในระดับมาก การเผยแพร่ความรู้และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าไม้อยู่ในระดับปานกลาง ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปลูกพืชที่สามารถช่วยป้องกันดินทลาย ช่วยปรับปรุงหน้าดิน และช่วยรักษาต้นน้ำ ส่วนผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า เพศ จำนวนสมาชิกในครัวเรือน แรงงานในการทำการเกษตร จำนวนพื้นที่ครอบครอง การติดต่อกับบุคคลภายนอกและการได้รับการฝึกอบรมมีความสัมพันธ์กับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ปัญหาเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงได้แก่ การลักลอบตัดไม้ของบุคคลภายนอกหมู่บ้าน ต้นไม้ที่ปลูกส่วนใหญ่ตาย อุปกรณ์สำหรับดับไฟป่าไม่เพียงพอ ชาวบ้านต้องการให้เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างเคร่งครัด ปรับเปลี่ยนจากมาตรการเชิงรับที่ใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมาย มาเป็นมาตรการเชิงรุกที่เน้นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ จัดฝึกอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้มากครั้งขึ้น และต้นไม้ที่นำมาส่งเสริมให้ราษฎรปลูกตามโครงการปลูกป่าควรตระหนักถึงความต้องการที่แท้จริงของราษฎรด้วย (ดูบทคัดย่อ)โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การอนุรักษ์ป่า,การเกษตร,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=666
665บทความReligion and Religion Change in a hill Karen Community of Northwestern Chiang Mai ProvinceYamamoto, Kumikoการศึกษาชิ้นนี้กระทำในพื้นที่ชุมชนบ้านแม่ขะปู ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ ผลการศึกษาพบว่าศาสนาของกะเหรี่ยงอยู่ในรูปแบบของการนับถือเทพ หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ โดยให้ความสำคัญต่อการทำพิธีกรรมเพื่อแสดงความเคารพบูชา และอธิษฐานบนบานต่อเทพ ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภท คือ เทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์ และเทพผู้ดูแลดินแดนทั้งนี้ เทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์ (The Guardian Deity) ถือเป็นผู้ดูแลทุกข์สุขของทุกชีวิต ทั้งในเรื่องสุขภาพความเจ็บป่วย ชะตาการเกิดการตาย ชีวิตหลังความตาย ฯลฯ โดยเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบ้านเรือน สัตว์เลี้ยง หรือมีเด็กเกิดใหม่ จะต้องทำพิธีบอกกล่าวให้เทพฯ ได้รับรู้ ขณะที่เทพผู้ดูแลดินแดน (The Territorial Deity) ถือเป็นเจ้าของอาณาเขต และทรัพยากรของชุมชน ซึ่งแต่ละครอบครัวต้องทำพิธีที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรที่เรียกว่า "l ta:" (หน้า 135) เพื่อวิงวอนให้เทพฯ ช่วยปกป้องคุ้มครองเพื่อความปลอดภัยของชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โลกทัศน์, พิธีกรรม, ความเชื่อ, บทบาทหญิงชาย, เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2534ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=665
664รายงานการวิจัยผ้าพื้นเมืองมอญชนัญ วงษ์วิภาคงานวิจัยได้ครอบคลุมตั้งแต่ลักษณะทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ พัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรม โดยเน้นเรื่องผ้าพื้นเมืองมอญ ซึ่งศึกษาในแง่ของอุปกรณ์ ขั้นตอนการทอผ้า สีสันลวดลาย และบริบทผ้าพื้นเมืองต่อสังคมมอญ ลายผ้า ความสัมพันธ์ทางสังคม ราชบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=664
663หนังสือ"ตากลาง" หมู่บ้านช้างแห่งลุ่มน้ำมูลพิทยา หอมไกรลาศบ้านตากลาง เป็นหมู่บ้านกวย มีอาชีพหลัก คือ การเลี้ยงช้าง และยังคงรักษาพิธีกรรมความเชื่อที่เกี่ยวกับช้าง เช่น พิธีเซ่นหนังประกรรม พิธีปะชิ พิธีเบิกไพร พิธีประสะ พิธีลาประกรรม และความสามารถในการฝึกและเลี้ยงช้าง ที่ต้องอาศัยความยอมรับและเชื่อใจกันระหว่างช้างและควาญช้าง ทั้งนี้ต้องศึกษาและสังเกต จากเสียงร้อง กริยาท่าทาง และลักษณะของช้าง นอกจากพิธีกรรมเกี่ยวกับช้างแล้ว กวยยังมีพิธีกรรมและความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตมากมายที่ยังคงได้รับการยอมรับและปฏิบัติสืบต่อกันมากูย,กวย,ช้าง,ความเชื่อ,พิธีกรรม,สุรินทร์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=663
662บทความCommon Roots and Present Inequality : Ethnic Myths among Highland Populations of Mainland Southeast AsiaCorlin, Claesชาวเขาชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะทางวัฒนธรรมและความเชื่อที่หลากหลาย การพิจารณาตัดสินความแตกต่างระหว่างชาติพันธุ์จึงต้องอยู่ในทิศทางที่เป็นไปโดยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ อิทธิพลของชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงรวมทั้งบริบทในมิติต่าง ๆ ที่แวดล้อมชุมชนของชาติพันธุ์นั้น ๆ สำหรับตำนานเรื่องน้ำท่วมโลกนั้น ชาติพันธุ์ต่าง ๆ มีเนื้อเรื่องที่แตกต่างกัน แต่โดยสรุปแล้ว ตำนานดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นถึงคติความเชื่อเกี่ยวกับความเป็นมาของชาติพันธุ์ จารีตประเพณีของชาติพันธุ์ รวมไปถึงการให้ความหมาย หรือการเห็นคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ ทั้งนี้ ตำนานมิใช่สิ่งที่สะท้อนความเชื่อของผู้คนเท่านั้น แต่ยังได้แสดงบทบาทหน้าที่ในการโน้มน้าวความคิดของผู้คนให้เปลี่ยนสถานการณ์ที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคม ไปสู่การสร้างพฤติกรรมที่นำมาซึ่งการให้ และการรับอย่างเท่าเทียมกัน นอกจากนั้น ตำนานยังหยิบยื่นคำอธิบายเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ในโลกปัจจุบันได้ดีพอ ๆ กับการกำหนดวิถีแห่งพฤติกรรมของผู้คนในอนาคตข้างหน้า (หน้า 30)ม้ง, เมี่ยน, ลีซู, ลาหู่, ลเวือะ, ลัวะ, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), อาข่า,ขมุ,ชาวเขา, ความเชื่อ, ตำนาน, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2537ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=662
661วิทยานิพนธ์สภาพและปัญหาทางการศึกษาของอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยดวงเนตร ดิษฐลักษณ์งานนี้ได้แสดงให้เห็นว่าในทัศนะของผู้บริหารวิทยาลัยฯ นโยบายของรัฐในการจัดตั้งอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยยังไม่ชัดเจนในระดับรัฐ กระทรวง กรม ทำให้เป็นปัญหาในการจัดการศึกษาและบริหารโรงเรียน วิชาศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายไม่ต่อเนื่องกัน ทำให้ไม่สามารถวัดระดับความรู้ของนักเรียนได้ นอกจากนี้ยังขาดแคลนงบประมาณที่ใช้ดำเนินการ ผู้ปกครองของนักเรียนที่มีฐานะยากจนไม่สามารถช่วยเหลือโรงเรียนในด้านต่างๆ ได้ เอกชนและองค์กรต่างๆ ไม่ให้ความช่วยเหลือโรงเรียนเท่าที่ควร โรงเรียนไม่สามารถคัดเลือกนักเรียนที่เข้าเรียนใหม่ตามเกณฑ์ที่กำหนดได้ และยังขาดห้องประชุมขนาดมาตรฐานสำหรับการประชุมและอบรมและให้บริการแก่ชุมชน สำหรับแนวทางแก้ปัญหา ผู้วิจัยระบุว่า ต้องอบรมเทคนิควิธีการสอนด้านวิชาศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับแก่ครูผู้สอน ปรับปรุงเพิ่มเติมเนื้อหาวิชาศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับ ส่วนการขาดแคลนงบประมาณ กรมสามัญศึกษาควรจัดสรรเงินพิเศษให้อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย บรรจุบุคลากรที่เกี่ยวกับงานหอพักนักเรียนประจำโดยตรง และเพิ่มการประชาสัมพันธ์ไปให้สังคมภายนอกได้รู้จักมากขึ้น ส่วนความต้องการการศึกษา ผู้บริหารต้องการงบประมาณมาดำเนินการในโรงเรียนมาก ส่วนผู้ปกครองและนักเรียนต้องการให้โรงเรียนเปิดสอนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น และต้องการให้มีการเรียนการสอนวิชาศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับควบคู่กับวิชาสามัญ (ดูหน้าบทคัดย่อ)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม สภาพปัญหา การศึกษา อิสลามวิทยาลัย ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=661
660วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมชุมชนกะเหรี่ยงดารุพัสตร์ สำราญวงศ์ กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสังคมและวัฒนธรรม ประเพณี ความเป็นอยู่ของกะเหรี่ยงบ้านเกริงกะเวีย หมู่ 2 ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี เช่น เศรษฐกิจ การศึกษา สังคมและวัฒนธรรม อนามัย การปกครอง ซึ่งมีผลมาจากการได้รับการศึกษาสมัยใหม่ ได้แก่ ทางราชการเข้ามาตั้งโรงเรียนภายในหมู่บ้าน และมีการพัฒนาท้องถิ่น เช่น ผลจากการสร้างเขื่อนเขาแหลม และการสร้างถนนเข้าหมู่บ้านของหน่วยงานของรัฐที่ทำให้การเดินทางติดต่อภายนอกหมู่บ้านสะดวกสบายมากขึ้น ตลอดจนมีการติดต่อกับบุคคลภายนอกหมู่บ้าน ทั้งการติดต่อค้าขายพืชผลทางการเกษตรกับพ่อค้าคนไทยที่อยู่ในเขต อ.ทองผาภูมิ และ จ.กาญจนบุรี อันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมและการปรับตัวของกะเหรี่ยงโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การเปลี่ยนแปลง,สังคม,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,กาญจนบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=660
659หนังสือThe Yao, The Mien and Mun Yao in China, Vietnam. Laos and ThailandPourret, Jess G.เย้าเป็นชนกลุ่มน้อยที่เก่าแก่มีถิ่นฐานดั้งเดิมในประเทศจีน ทำเกษตรกรรมบนพื้นที่ลุ่ม แต่เนื่องจากปัจจัยทางการเมือง เศรษฐกิจ ส่งผลให้เย้าอพยพอย่างช้า ๆ จากภาคกลางของจีนลงมาทางตอนใต้ และอพยพลงมาทางเหนือของเวียดนาม ทางเหนือของลาว และทางเหนือของประเทศไทยเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจเป็นทำไร่หมุนเวียนบนพื้นที่สูงและปลูกพืชเศรษฐกิจเช่น ฝิ่น ยาสูบ และพืชผักอื่นๆ สำหรับขายและแลกเปลี่ยนกับวัตถุดิบที่ไม่สามารถผลิตได้เช่น เหล็ก เครื่องเงิน เกลือ เป็นต้น เย้า เมี่ยน และ Mun Yao นับถือลัทธิเต๋าซึ่งผสมผสานเข้ากับความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ลัทธิเต๋ามิใช่เป็นศาสนาเท่านั้นแต่ได้กลายเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต การจัดระเบียบทางสังคมของเย้าอยู่บนพื้นฐานของโคตรตระกูลซึ่งมีความสำคัญต่อการแต่งงานและการสร้างความสัมพันธ์ภายในสังคมในแต่ละหมู่บ้าน และสร้างอัตลักษณ์ของเย้าให้แตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ จากปัญหาทางการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เย้าบางส่วนต้องอพยพไปประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศฝรั่งเศส และ ประเทศแคนาดา แต่เย้า เมี่ยนและ Mun Yao ก็ยังคงดำรงเอกลักษณ์ วัฒนธรรมบางประการของตนไว้ แต่อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมของพวกพวกเขาก็มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละพื้นที่เย้า เมี่ยน วิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรม จีน เวียดนาม ลาว ไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2545ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=659
658วิทยานิพนธ์บทบาทผู้นำและการผสมผสานทางวัฒนธรรม : ศึกษากรณีชุมชนกะเหรี่ยงในจังหวัดราชบุรีดวงกมล วรรธโนทัยกล่าวถึงบทบาทผู้นำ เช่นผู้นำทางการเมือง ศาสนา การศึกษา และการผสมผสานวัฒนธรรม ซึ่งเป็นการช่วยรักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมกะเหรี่ยง เนื่องจากผู้นำหมู่บ้านมีอำนาจและบทบาทสำคัญในด้านการปกครอง ความเชื่อและประเพณีต่างๆ และให้การศึกษากับคนในหมู่บ้าน รวมทั้งเป็นที่ยอมรับของคนในหมู่บ้าน ซึ่งคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนับถือศาสนาพุทธและได้นำความรู้นั้นมาผสมผสานกับวัฒนธรรมของกะเหรี่ยง บ้านหนองตาดั้ง ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี จึงทำให้วัฒนธรรมท้องถิ่นของกะเหรี่ยงคงอยู่ต่อไปโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ผู้นำ,การผสมผสานทางวัฒนธรรม,ราชบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=658
657หนังสือไทลื้อเมืองน่านยงยุทธ ไชยศิลป์กล่าวถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของไทลื้อ ใน จ.น่านซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในหมู่บ้านต่างๆ ใน อ.ทุ่งช้าง อ.เชียงกลาง อ.ปัว และ อ.ท่าวังผา ซึ่งแต่เดิมไทลื้อมีถิ่นฐานอยู่ในสิบสองพันนา มณฑลยูนนานทางภาคใต้ของประเทศจีน ก่อนที่จะอพยพมาอยู่ที่น่าน โดยได้ระบุถึงสาเหตุของการย้ายถิ่นอันเนื่องมาจากสงคราม และปัญหาทางการเมืองในอดีต และการดำรงวัฒนธรรมของไทลื้อ ที่ยังปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน ทั้งในด้านความเชื่อศาสนา วัฒนธรรมประเพณีต่างๆ เศรษฐกิจ การเมือง เป็นต้นลื้อ,วัฒนธรรม,การเมือง,ประเพณี,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=657
656รายงานการวิจัยการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรมในชุมชนชาติพันธุ์กวยและญ้อ : การศึกษาเปรียบเทียบเฉพาะกรณีสมศักดิ์ ศรีสันติสุข, ปนัทดา เผือกพันธ์ (เพ็ชรสิงห์) และ รุ่งอรุณ ทีฆชุณหเถียรงานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาเปรียบเทียบชุมชนชาติพันธุ์กวยและญ้อในเรื่องประวัติความเป็นมาของชุมชน ลักษณะปัจจัยและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะทั่วไปของชุมชนทั้ง 2 แตกต่างกัน ทั้งประวัติความเป็นมาของชุมชน โครงสร้างของประชากรที่แสดงให้เห็นอัตราส่วนผู้ที่เป็นภาระในชุมชนกวยน้อยกว่าชุมชนญ้อ พื้นที่ตั้งของกวยมีความอุดมสมบูรณ์ในการทำการเกษตรน้อยกว่าพื้นที่ของญ้อ แบบแผนการตั้งถิ่นฐานกระจุกตัวคล้ายคลึงกัน ชุมชนทั้ง 2 ประกอบอาชีพเกษตรกรรมคล้ายกัน วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจเริ่มมีระบบเศรษฐกิจการค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้นำทางการเมืองของทั้ง 2 ชุมชนเปลี่ยนไปเป็นตัวแทนของรัฐมากขึ้น ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้นำกับชาวบ้านในชุมชนกวย แต่ชุมชนญ้อไม่พบความขัดแย้งลักษณะนี้ ในส่วนโครงสร้างครอบครัวของกวยเป็นแบบครอบครัวขยายที่ลูกเขยไปอยู่กับแม่ยาย ส่วนญ้อเป็นครอบครัวขยายที่ลูกสะใภ้ไปอยู่กับแม่ผัว บทบาทของพ่อแม่ในการเลี้ยงดูบุตรน้อยลงเนื่องจากภาระทางเศรษฐกิจ การแต่งงานมีประเพณีเฉพาะของแต่ละชุมชน ความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติของทั้ง 2 ชุมชนแน่นแฟ้นมาก ส่วนการศึกษาบทบาทของครูที่มีต่อชุมชนน้อยลง เพราะครูเป็นคนนอกพื้นที่ อาศัยอยู่นอกชุมชน การกลับมาทำประโยชน์ของนักเรียนต่อชุมชนเมื่อเรียนจบยังมีน้อยมาก การรักษาพยาบาลของทั้ง 2 ชุมชน เปลี่ยนจากการรักษาแบบพื้นบ้านเป็นการรักษาตามแบบแผนตะวันตก มีการวางแผนครอบครัวและคุมกำเนิดในทั้ง 2 ชุมชน กวยยังนับถือผีบรรพบุรุษ ส่วยญ้อเลิกนับถือผีบรรพบุรุษแล้ว ชาวบ้านทั้ง 2 ชุมชนพักผ่อนโดยการฟังวิทยุ ชมละครโทรทัศน์ ชมภาพยนตร์กลางแปลงที่เข้ามาฉายเก็บเงิน ออกไปเที่ยวงานบุญนอกหมู่บ้าน ในตัวจังหวัด นอกจากนี้ชาวบ้านทั้ง 2 ชุมชนยังนิยมดื่มเหล้า เล่นการพนัน อีกด้วย ปัจจัยภายนอก เช่น การพัฒนาสาธารณูปโภค การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม การแพร่กระจายของอำนาจรัฐ ปัจจัยด้านสื่อสารมวลชน เป็นปัจจัยที่สำคัญและมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม ส่วนปัจจัยภายในที่สนับสนุน ได้แก่ ปัจจัยด้านนิเวศวิทยา ชาติพันธุ์ บุคลิกภาพ ความเชื่อและประเพณี (หน้า (2)-(4))กูย กวย,ญ้อ ย้อ ญ่อ โย้,เศรษฐกิจ,การเมือง,สังคม,วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2532ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=656
655รายงานการวิจัยการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านในการอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งของประเทศไทยชูสิทธิ์ ชูชาติรายงานการวิจัยชิ้นนี้ศึกษาการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านของกะเหรี่ยง ลัวะ และคนไทย ในการอนุรักษ์ระบบนิเวศป่าภาคเหนือของประเทศไทย โดยเน้นการศึกษาที่วิธีการของกะเหรี่ยงเปรียบเทียบกับลัวะและคนไทย แล้วนำมาวิเคราะห์ว่าการใช้ภูมิปัญญามีปัญหา อุปสรรค และความสำเร็จอย่างไรบ้าง ผลการวิจัยพบว่า ชาวบ้านมองระบบนิเวศป่าประกอบด้วยสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ดิน น้ำ อุณหภูมิ แร่ธาตุ ฝน ฯลฯ และสิ่งมีชีวิต เช่น สัตว์ พืช และมนุษย์ ชาวบ้านใช้ระบบการผลิตและการดำรงชีวิตแบบพึ่งพาป่าโดยยึดหลักการอนุรักษ์ การพึ่งพาอาศัย การเคารพ การนับถือ ความกลัว การสำนึกบุญคุณ ระบบนิเวศในป่าเริ่มสูญสลายเมื่อมีการพัฒนาพื้นฐานปัจจัยการผลิตและระบบการผลิตเพื่อขาย แต่ชาวบ้านบางส่วนก็ยังคงรักษาระบบนิเวศป่าไว้ได้ พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ป่า ได้แก่ การนับถือผี การผูกสายสะดือทารกไว้ที่ต้นไม้ ระบบเหมืองฝาย การประปาภูเขา การบวชป่า การสืบชะตาแม่น้ำ การปลูกป่า การทำไร่หมุนเวียนและการสร้างแนวป้องกันไฟ โดยพิธีกรรมดังกล่าวเป็นการปฏิบัติที่แสดงถึงความเคารพ ความกตัญญู ความกลัว การอ้อนวอน การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ ในปัจจุบันมีป่าที่ชาวบ้านรักษาเท่าที่สำรวจพบประมาณ 400 ป่า มีองค์กรชาวบ้านรักษาป่า 42 องค์กร ในเขตลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน กก อิง ยวมและปาย แต่ก็มีอุปสรรคที่ยังมีการทำลายป่าจากนักการเมืองและนายทุนจากการร่วมมือของชาวบ้านบางกลุ่ม ในส่วนของข้าราชการบางหน่วยงานก็ไม่ยอมรับวิธีการรักษาป่าของชาวบ้าน มีการกันคนออกจากพื้นที่ป่าที่ชาวบ้านอาศัยอยู่มานาน โดยที่ผู้วิจัยได้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาว่าต้องใช้หลักศาสนาและวัฒนธรรม สร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญาต่อต้านลัทธิบริโภคนิยมและวัตถุนิยม ใช้ปัญญาดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ นอกจากนี้ต้องแก้ปัญหาทางด้านโครงสร้างคือระบบการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา กฎหมาย โดยยึดหลักการการอยู่อย่างยั่งยืนและเกื้อกูลกันระหว่างพืช สัตว์ และมนุษย์ในระบบนิเวศเดียวกัน (หน้า (1) - (2))ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ลเวือะ,ไทย,ภูมิปัญญาชาวบ้าน,การอนุรักษ์ป่า,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=655
654วิทยานิพนธ์ความเชื่อและประเพณีของชาวกะเหรี่ยงเกี่ยวกับการประกอบอาชีพเกษตร บ้านห้วยหยวก ตำบลแม่ริม อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่รัชกรณ์ อุแสงครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับ ทัศคติความเชื่อที่เกี่ยวกับประเพณี และวัฒนธรรมของกะเหรี่ยง บ้านห้วยหยวก ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ที่เกี่ยวกับการประกอบอาชีพเกษตร ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากการทำไร่แบบเลื่อนลอยในอดีตมาเป็นแบบ การทำไร่แบบหมุนเวียนแบบปัจจุบัน ที่เป็นเกษตรแบบยังชีพ ซึ่งมีข้อจำกัด เรื่องพื้นที่ทำกิน จึงทำให้กะเหรี่ยงต้องปรับเปลี่ยนการทำการเกษตร เพื่อให้เหมาะสมกับที่ดินของตนปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),เกษตรแบบไร่หมุนเวียน,ความเชื่อ,ความเป็นอยู่,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=654
653บทความองค์ความรู้ในการจัดการทรัพยากรและสุขภาพของชาว "เมี่ยน"สมเกียรติ จำลองศึกษาการจัดการทรัพยากรและสุขภาพของเมี่ยนบ้านปางพริก หมู่ที่ 3 ตำบลผาช้างน้าย อำเภอปง จังหวัดพะเยาเมี่ยน,การจัดการทรัพยากร,พิธีกรรม,สุขภาพ,พะเยาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=653
652บทความ"ดลั๊งชั่ว" แนวคิดในการจัดการความเจ็บป่วยกลุ่มชาติพันธุ์ "ม้ง"ทรงวิทย์ เชื่อมสกุลบทความนี้ศึกษาแนวคิดการจัดการความเจ็บป่วยกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่บ้านขุนห้วยไคร้ ซึ่งเชื่อว่าการเจ็บป่วยต่างๆ มีสาเหตุมาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1) ผีทำหรือผีแกล้ง (ดล๊างอัว) 2) ขวัญหาย (ปลี่ป๊ง) 3) คุณไสยหรือมนต์ดำ (จอดลั๊ง)
4) อากาศเปลี่ยนแปลง (ฟั้จัว(ฮ)หลง) 5) ลมไหลย้อนกลับ (จัว(ต)จ๋อ)
6) กินผิด (น่อจือหุ) คือการกินอาหารบางอย่างไม่ถูกกับร่างกายในบางเวลา 7) เลือดไม่ดี (ฉังตือยวน)
8) เชื้อโรค (กั๊งม้อ) 9) ความประมาทและเคราะห์ร้าย
และจะทำการรักษาตามสาเหตุของความเจ็บป่วยโดยหมอผีหรือหมอสมุนไพร
- การทำพิธีไล่หรือขอขมา ต้องใช้สัตว์เพื่อแลกกับชีวิตของผู้ป่วย
- ให้หมอผีทำพิธีเรียกขวัญกลับคืนสู่ร่างโดยเร็ว
- ต้องให้เจ้าของผีที่ทำคุณไสยไปทำพิธีเอาผีออกให้
- เอาเลือดไม่ดีออก
- ใช้สมุนไพรม้ง,สุขภาพ,การรักษาพยาบาล,พะเยา,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัด ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=652
651บทความเกียรติยศและศักดิ์ศรีแห่งหมอยาทวิช จตุวรพฤกษ์ลีซอ หรือ ลีซู มีภูมิปัญญาในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ร้อนและพื้นที่เย็น นอกจากนี้ยังมีการจำแนกพื้นที่เขตบ้านอันเป็นพื้นที่สำหรับที่อยู่อาศัย ที่ทำกินและที่ฝังศพ ส่วนพื้นที่เขตป่าเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีเจ้าของ ยังไม่มีการบุกเบิก ทุกคนเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ ภายในไร่นาของลีซู มีการปลูกพืชผสมผสานระหว่างพืชเชิงเดี่ยวเช่น กระเทียม หอม และพืชไร่ สวนผลไม้ แปลงผักสวนครัว ตลอดจนสมุนไพรเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงทางอาหาร ในด้านการแพทย์ ลีซูมีภูมิปัญญาการดูแลรักษา ความเจ็บป่วยที่มีสาเหตุมาจากธรรมชาติและอำนาจเหนือธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องขวัญทั้ง 9 ในตัวคน นอกจากนี้การเป็นหมอยาจะต้องมีการเรียนรู้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องยาวนานจากครูอาจารย์ที่เป็นผู้รู้ในหมู่บ้าน มีข้อห้ามและจรรยาบรรณอย่างเคร่งครัดกำกับหมอยาในปัจจุบันการรักษาพยาบาลสมัยใหม่จะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ชาวบ้านยังคงให้การยอมรับหมอยาพื้นบ้านลีซูเช่นเดิมหมอยาได้มีการปรับตัวให้สอดคล้องกับระบบตลาด และยังคงยึดมั่นในหลักปฏิบัติของหมอยาอย่างสม่ำเสมอลีซู,สุขภาพ,แพทย์พื้นบ้าน,สถานภาพทางสังคม,การจัดการทรัพยากร,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=651
650บทความภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพพืชสมุนไพร : กรณีศึกษาในวิถีชีวิตชุมชนไทลื้อ จ.เชียงรายเสถียร ฉันทะไทลื้อเดิมอาศัยอยู่ในบริเวณแคว้นสิบสองปันนา มีการอพยพเข้ามาทางประเทศไทย 2 เส้นทาง คือ ทางเชียงตุงมาทางท่าขี้เหล็ก และเส้นทางผ่านลาวเข้าทางเชียงของ ไทลื้อมีการทำนา ทำข้าวไร่ เลี้ยงสัตว์ และมีภูมิปัญญาการจัดการทรัพยากรน้ำด้วยระบบเหมืองฝาย และภูมิปัญญาการรักษาพยาบาล ด้วยการจำแนกสาเหตุความเจ็บป่วย 2 ประการ คือ เกิดจากอำนาจตามธรรมชาติ โดยเชื่อว่าร่างกายประกอบด้วย 4 ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จะทำให้เกิดความสมดุล และการใช้สมุนไพร โดยยังมีการใช้วิธีการรักษาแบบพื้นบ้านอยู่ ควบคู่กับการรักษาสมัยใหม่ลื้อ,สุขภาพ,แพทย์พื้นบ้าน,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=650
649บทความระบบครอบครัวและเครือญาติของชาวมลาบรี (ผีตองเหลือง)นิพัทธเวช สืบแสงเนื้อหาครอบคลุมถึงระบบครอบครัว ตลอดจนสังคมของมลาบรี หรือ ผีตองเหลือง ซึ่งปัจจุบันนี้มีอยู่ใน จ.น่าน เท่านั้น โดยได้ระบุถึงความเป็นมา การดำรงชีวิตป่า และการคบหากับชาวเขาเผ่าอื่นรวมทั้งคนไทยพื้นราบ ซึ่งแต่ก่อนผีตองเหลืองจะไม่ค่อยพบปะกับคนภายนอก แต่ปัจจุบันได้เข้ามาใช้แรงงานให้กับชาวเขาเผ่าอื่น และคนไทย เพื่อแลกเปลี่ยนกับอาหาร เครื่องใช้ ซึ่งเมื่อก่อนนี้ มลาบรี หรือผีตองเหลือง ดำรงชีวิตโดย หาของป่า ล่าสัตว์เท่านั้นมลาบรี มราบรี,ครอบครัว,เครือญาติ,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2527ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=649
648บทความปัญหาการจัดกลุ่มเชื้อชาติของผีตองเหลืองนิพัทธเวช สืบแสงกล่าวถึงการจัดกลุ่มชาติพันธุ์ผีตองเหลือง หรือ มลาบรี ว่าอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ใด และมีชีวิตอยู่อย่างไร ตลอดจนได้เล่าความเป็นมาของผีตองเหลือง หลังจากที่ได้โยกย้ายไปอยู่ตามสถานที่ต่างๆในหลายจังหวัด ก่อนที่จะมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านอีกหลายแห่ง ในหลายอำเภอของจังหวัดน่านกระทั่งถึงปัจจุบันมลาบรี มราบรี,การจัดกลุ่มชาติพันธุ์,ผีตองเหลือง,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2524ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=648
647วิทยานิพนธ์การดำรงอยู่ของความเชื่อเรื่องผีของกะเหรี่ยงคริสต์ทิพวรรณ คำมาศึกษาถึงความเชื่อเรื่องผีของกะเหรี่ยงบ้านแม่หงานหลวง ต.ปางหินฝน อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ที่นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งคนเหล่านี้เคยนับถือผีมาก่อน ก่อนที่จะเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ในภายหลัง โดยได้บอกเล่าความเชื่อเรื่องผีที่ยังคงดำรงอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่นความเชื่อเรื่องผีด้านการเกษตร เช่นการเพาะปลูก การฟันไร่ การรักษาพืชผล และการเก็บเกี่ยวผลผลิต ผีในธรรมชาติ เช่นในป่า ต้นไม้ น้ำ ดิน และการรักษาพยาบาล อันเนื่องมาจากการกระทำของผี โดยงานเขียนได้ระบุถึงปัจจัยและเงื่อนไขของความเชื่อเรื่องผียังคงอยู่ แม้ว่ากะเหรี่ยงบ้านแม่หงานหลวง ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้วปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ความเชื่อ,ผี,คริสตศาสนา,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=647
646วิทยานิพนธ์พลวัตการใช้ที่ดินของชุมชนม้งในป่าอนุรักษ์ใกล้เมืองเชียงใหม่:กรณีศึกษาหมู่บ้านดอยปุย อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุยดาริกา ห้วยทรายเนื้อหาครอบคลุมเรื่องชุมชนม้ง บ้านดอยปุย หมู่ 11 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นหมู่บ้าน ที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติสุเทพ-ปุย ซึ่งหมู่บ้านนี้ได้รับสิทธิพิเศษให้อยู่ในอุทยานฯ แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ขยายพื้นที่ทำกิน หรือ บุกเบิกที่ดินเพิ่มเติม งานเขียนได้ศึกษาถึงการใช้ที่ดินของม้ง หลังจากหมู่บ้านได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจากการที่หมู่บ้านได้รับการพัฒาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวจึงทำให้แรงงานภาคการเกษตรลดน้อยลง และหันมาเปิดร้านค้าขายสินค้าพื้นเมือง ซึ่งเป็นรายได้หลักของคนในหมู่บ้าน แทนการดำรงชีพแบบทำการเกษตรเช่นแต่ก่อนม้ง,การใช้ที่ดินป่าอนุรักษ์,ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=646
645บทความบทบาทของสตรีในสังคมชาวเขาเผ่าลัวะ กรณีศึกษาชาวขาเผ่าลัวะ บ้านอมพาย ต.ป่าแป๋ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอนนุศิษฏ์ จินดาศรีกล่าวถึงบทบาทของสตรีลัวะ บ้านอมพาย ต.ป่าแป๋ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ในช่วงวัยต่างๆ ตั้งแต่วัยเด็ก วัยสาว วัยแต่งงานมีครอบครัว และวัยชรา ว่ามีบทบาทอย่างไรในครอบครัว ทั้งในการทำงานบ้าน การทำงานในไร่ การเลี้ยงลูก ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสังคมวัฒนรรม เศรษฐกิจของลัวะลเวือะ,สตรี,บทบาท,การพัฒนา,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=645
644วิทยานิพนธ์การจัดการทรัพยากรป่าไม้แบบพื้นบ้าน : การศึกษาเปรียบเทียบระหว่าง ชาวไทยพื้นราบ และชาวไทยภูเขา ในภาคเหนือของประเทศไทยไชยา อู๋ชนะภัยงานเขียนได้ระบุถึงการจัดทรัพยากรป่าไม้แบบพื้นบ้าน โดยเปรียบเทียบระหว่างคนไทยพื้นราบเชื้อสายไทยใหญ่ ที่อยู่บ้านล้อง-สนติสุข หมู่ 11 ต.ปวง อ.หัวช้าง จ.ลำพูน กับกะเหรี่ยงโปว์ บ้านหนองหลัก หมู่ 9 ต.ตะเคียนปม กิ่ง อ.ทุ่งหัวช้าง จ.ลำพูน ว่ามีรูปแบบการจัดการป่าโดยนำประเพณีความเชื่อต่างๆ มาจัดการด้านการอนุรักษ์ป่าไม้ ซึ่งแต่เดิม ทั้งไทยพื้นนราบและกะเหรี่ยงก็ได้นำประเพณีพื้นบ้านมาจัดการทรัพยากรป่าไม้ เช่น แบ่งป่าออกเป็นป่าแบบต่างๆ ในการ ใช้ป่า เช่นป่าช้า ป่าเสื้อบ้าน ป่าขุนน้ำ ในกลุ่มคนไทยพ้นราบ ส่วนกะเหรี่ยง ก็แบ่งออกเป็นป่าช้า ป่าดงหอ ป่าขุนน้ำ ป่าเสื้อบ้าน และป่าขุนน้ำ ซึ่งในภายหลังได้มีการปรับเปลี่ยนกฎการรักษาป่า เมื่อมีบุคคลภายนอกเข้าลักลอบตัดไม้ และ เก็บของป่าภายในเขตป่าของหมู่บ้านโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ไทยพื้นราบ,การใช้ทรัพยากรป่าไม้,ลำพูนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=644
643รายงานการวิจัยThailand Yao Past, Present and FutureKacha- Ananda, Chobเย้าอพยพเข้ามาในประเทศไทยจากลาวเมื่อประมาณ 100 ปีที่ผ่าน อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ น่าน พะเยา ลำปาง ตาก และมีบางกลุ่มอพยพลงไปในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร และสุโขทัย เย้ามีระบบเศรษฐกิจอยู่บนพื้นฐานของการทำไร่หมุนเวียน เพาะปลูกข้าว, ข้าวโพด และการเพาะปลูกฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เย้ายังเพาะปลูกพืชอื่น ๆ เช่น พริก พริกไทย มัน เพื่อใช้ในครัวเรือนและค้าขาย ภายหลังการแต่งงงาน ผู้หญิงเย้าจะปลี่ยนมานับถือโคตรตระกูลและย้ายมาอยู่กับครอบครัวของสามี ลักษณะครอบครัวเย้าเป็นครอบครัวขยายใน 1 ครัวเรือนอาจจะมีหลายครอบครัวอยู่ร่วมกัน หัวหน้าครอบครัวจะเป็นผู้ชายเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบสมาชิกในครัวเรือนทุกคน การจัดระเบียบทางสังคมหมอผีผู้ประกอบพิธีกรรมเป็นผู้ที่รู้กฎระเบียบข้อปฏิบัติ ขนบธรรมเนียมประเพณีของหมู่บ้าน และมีหัวหน้าหมู่บ้าน และผู้ใหญ่บ้านตามระเบียบการปกครองของรัฐไทย นอกจากนี้เย้านับถือผู้อาวุโส มีสภาผู้อาวุโสคอยช่วยเหลือให้คำแนะนำหัวหน้าหมู่บ้านและช่วยตัดสินใจเรื่องต่างๆ เย้านับถือผี ผีบรรพบุรุษ อำนาจเหนือธรรมชาติ และลัทธิเต๋าซึ่งได้รับมาจากจีนเมื่อประมาณ 600 ปีมาแล้ว ทั้งสองระบบความเชื่อผสมผสานจนกลายเป็นความเชื่อเฉพาะเป็นเอกลักษณ์ของเย้า เย้าเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดการเจ็บป่วย การตาย หรือให้ความโชคดี อุดมสมบูรณ์แก่มนุษย์ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผี อำนาจเหนือธรรมชาติ และมนุษย์ โดยการประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้ ด้วยการฆ่าหมู ไก่ หมอผีจะเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองโลกเข้าไว้ด้วยกัน ในปัจจุบันมีเย้าบางส่วนหันไปนับถือศาสนาคริสต์และศาสนาพุทธ สถานะทางสังคมของเย้าที่อาศัยในประเทศไทยปัจจุบัน แม้ว่าพวกเขาจะมีบัตรประชาชนถือสัญชาติไทยแต่บางครั้งยังถูกเรียกว่าเป็นชาวเขา อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบกับกลุ่มชนบนพื้นที่สูงอื่นๆ เย้าเป็นกลุ่มที่ได้รับสัณชาติไทยและมีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่ากลุ่มชนบนพื้นที่สูงอื่นๆ ค่อนข้างมากเย้า,วิถีชีวิต,สังคม,วัฒนธรรม,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2538ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=643
642บทความThe Formation of Ethnic and National Identity: A Case Study of the Lahu in ThailandKataoka, Tatsukiบทความนี้ ผู้เขียนตรวจสอบแนวคิดเชิงทฤษฎี 2 ประเด็น ที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์การก่อรูปอัตลักษณ์ของชาติ และชาติพันธุ์ คือ "ความยืดหยุ่นของอัตลักษณ์ชาติพันธุ์" และ ความเป็นไปได้ของ "ความคิดชาตินิยมกระแสรองที่มาจากรากหญ้า" ด้วยการศึกษาความคิดเกี่ยวกับประเพณีและการจำแนก/บ่งบอกชาติพันธุ์ของล่าหู่ท่ามกลางกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่าง "ประเพณี" กับ "ความเป็นล่าหู่" ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางศาสนา จากหมู่บ้านล่าหู่ 2 แห่งที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์และประเพณีทางศาสนาของจีน ผู้เขียนพบว่าเกณฑ์การจำแนกชาติพันธุ์ความเป็นล่าหู่ยืดหยุ่นเปลี่ยนแปลงได้ ธรรมเนียมประเพณี (awli) เป็นตัวกำหนดความเป็นล่าหู่โดยไม่ได้คำนึงถึงความเชื่อศาสนา ขณะเดียวกันความเป็นล่าหู่ก็ไม่ได้ถูกกำหนดโดยธรรมเนียมประเพณีเท่านั้น แต่ยังถูกกำหนดโดยกำเนิดและคุณสมบัติของคู่สมรสด้วยลาหู่,อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,อัตลักษณ์ชาติ,การระบุชาติพันธุ์,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2544ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=642
641บทความ“Masala-alenam” : A resource management of the Lua at Hoh Villageอรัญญา ศิริผลลัวะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่มาดั้งเดิมในแถบจังหวัดเชียงใหม่และน่าน ต่อมาอพยพขึ้นไปอยู่บนดอยมากขึ้น มีระบบการผลิตแบบไร่หมุนเวียน 5 - 7 รอบ มีการเพาะปลูกพืชพันธุ์ที่หลากหลาย และจัดวางผังในแปลงเดียวกัน และมีภูมิปัญญาในการรักษาทั้งแบบสมุนไพรและพิธีกรรม ซึ่งปัจจุบันกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งลเวือะ,การจัดการทรัพยากร,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=641
640บทความ"ปินเตา" วิถีการดูแลสุขภาพ "คนเมือง" บ้านม่วงยายเสถียร ฉันทะคนเมือง เป็นการเรียกกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มต่างๆ จึงเป็นการผสมผสานกันระหว่างความแตกต่างหลากหลายทางความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม ที่อาศัยอยู่ในดินแดนล้านนาร่วมกัน แต่ไม่สามารถบ่งชี้ได้แน่ชัดว่าเกิดขึ้นเมื่อใด นักวิชาการบางท่านกล่าวว่าเป็นคำเรียกเพื่อตอบโต้การดฤูถูกทางชาติพันธุ์ทั้งจากพม่าและรัฐไทยยวน คนเมือง,ระบบเศรษฐกิจ,การจัดการป่า,การดูแลสุขภาพพื้นบ้าน,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=640
639บทความThe Lahu Symbolic Universe and Reconstruction of Ethnic IdentityBoonkamyeung, Sombatผู้เขียนเห็นว่า ความไม่มั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของล่าหู่ที่อาศัยอยู่ในบริเวณชายแดนไทย-พม่า อันเนื่องมาจากความขัดแย้งของกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ การรื้อฟื้นสัญลักษณ์และปฏิรูปโครงสร้างทางสังคม-วัฒนธรรมของล่าหู่เป็นการปฏิบัติการการรื้อฟื้นสัญลักษณ์เพื่อสร้างอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ โดยการทำตนเองให้ต่างจากกลุ่มที่มีอำนาจและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่เป็นชนกลุ่มน้อย การกระทำต่างๆ เหล่านี้เป็นการสร้างความรู้สึกหรือสำนึกในอัตลักษณ์ล่าหู่เพื่อหล่อหลอมล่าหู่ให้มีความเป็นเอกภาพท่ามกลางการแข่งขันกันระหว่างกองทหารพม่า กองกำลังอิสระไทยใหญ่และกองกำลังชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ที่มีฐานกองกำลังอยู่ในบริเวณชายแดน (น.136)ลาหู่,ล่าหู่แดง,(Lahu Nyi),อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,จักรวาลวิทยา,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2545ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=639
638บทความGeomancy and Development : Thecase of the White Hmong of Northern Thailand.Tapp, Nicholasบทความชิ้นนี้ ผู้เขียนนำเสนอวิธีการที่ม้งนำระบบความเชื่อเรื่องทำเลที่ตั้งมาอธิบายความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เป็นผลมาจากการพัฒนา ผู้เขียนเห็นว่า ม้งใช้สัญลักษณ์ของวาทกรรมทำเลที่ตั้ง (geomantic discourse) ซึ่งได้แก่ เรื่องเล่าเกี่ยวกับทำเลที่ตั้งมาอธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ และใช้แสดงความรู้สึกที่เป็นความกลัวและความไม่พอใจ ซึ่งเป็นผลมาจากการติดต่อกับคนพื้นราบที่เพิ่มขึ้น โครงการปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนการปลูกฝิ่น การทำเหมืองและป่าไม้ที่กระทบต่อการใช้ทรัพยากรแบบเดิมของม้ง ผู้เขียนสรุปว่า เรื่องเล่าเหล่านั้นทำหน้าที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึก ขณะที่ความขัดแย้งที่แท้จริงได้ถูกปลดเปลื้องให้ภาพใหม่ เพื่อซ่อนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือแก้ไขใหม่ (น.237)ม้ง,ความเชื่อทำเลที่ตั้ง,(geomancy),ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2531ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=638
637Ph.D. DissertationCategories of Change and Continuity among the White Hmong (Hmoob Dawb) of Northern ThailandTapp, Nicholas C.T.วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ศึกษาการไม่ถูกกลืนกลายของม้ง ( the non-assimilation of Hmong) ในบริบทของประเทศไทย(บทที่ 1-4) ประเทศจีน (บทที่ 5-8) และต่างประเทศ (บทที่ 9) การเล่าประวัติศาสตร์ม้ง (the oral account of Hmong history) เป็นการเคลื่อนไหวในสถานการณ์ของหมู่บ้าน และเป็นการแสดงทัศนคติปัจจุบัน ซึ่งผู้ศึกษาหวังว่าวิทยานิพนธ์ฉบับนี้จะนำไปสู่ความคิดใหม่ๆ เรื่องตำแหน่งแห่งที่ของประวัติศาสตร์ (the place of history) ในสาขามานุษยวิทยา กล่าวคือ สำนึกทางประวัติศาสตร์ที่ใช้ตัดสินหรือประเมินเหตุการณ์ปัจจุบันใหม่อย่างสม่ำเสมอและยืดหยุ่น โครงสร้างชุมชนม้งขาวที่ศึกษานี้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองและศาสนาความเชื่อเป็นตัวกำหนดชุมชน เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้จำกัดกรอบความคิดของชาวบ้าน (บทที่1-3) ผู้ศึกษาเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองและศาสนาความเชื่อมองเห็นได้จากความคิดคู่ตรงข้ามกันระหว่าง "ประชาชน" (ม้ง) กับ "รัฐ" (จีน) รวมทั้งการวิเคราะห์เรื่องเล่าตำนานในหมู่บ้าน ผู้ศึกษาเห็นว่า ตำนานที่อ้างว่าตัวอักษรม้งสูญหายไปเพราะคนจีน มีความสัมพันธ์กับเรื่องเล่าเกี่ยวกับกษัตริย์ม้งที่ยังคงกระตุ้นการเกิดกระบวนการผู้มีบุญ (messianic uprisings) ขณะเดียวกันผู้ศึกษาก็สำรวจระบบความคิดทำเลที่ตั้งในรูปของเรื่องเล่าความขัดแย้งกับจีนโดยใช้กรณีศึกษาในพื้นที่สำรวจ (บทที่ 7) และสำรวจระบบเครือญาติและกลไกในการรวมสมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์อื่น (บทที่ 8) ผู้ศึกษานำความคิด "ประวัติศาสตร์แท้จริง" ('real' history) มาใช้และสรุปว่า ม้งแยกตนเองจากกลุ่มที่มีอำนาจโดยการใช้คำและสัญลักษณ์ของกลุ่มที่มีอำนาจ และในบทที่ 9 ผู้ศึกษายังสำรวจปัญหา "การผสมผสานวัฒนธรรม" ('acculturation') ในกลุ่มม้งอพยพ ซึ่งแสดงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ถูกตีความหมายด้วยประเพณีการเล่าเรื่อง (น.2 -abstract)ม้งขาว,การเปลี่ยนแปลง,การจำแนกตัวเองทางชาติพันธุ์,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2528ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=637
636บทความเอดส์บนพื้นที่สูง : กรณีศึกษาของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ลิวา ผาดไธสง-ชัยพานิชผลการศึกษาพบว่าการแพร่กระจายของเชื้อเอดส์ในพื้นที่ศึกษาอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรง โดยเพิ่งพบผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคเอดส์เพียงรายเดียวในปลายปี พ.ศ.2544 และยังไม่มีผลการยืนยันของผู้ติดเชื้อเอดส์เพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจัยทางวัฒนธรรมการมีเพศสัมพันธ์ที่มีจารีตประเพณีในการควบคุมทางสังคม รวมถึงปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมในพื้นที่ ส่งผลให้อัตราการเคลื่อนย้ายของประชากรอยู่ในระดับที่ต่ำ จึงทำให้มีลักษณะสังคมปิด นอกจากนี้ยังมีปัจจัยทางภูมิศาสตร์ โดยพื้นที่ทำการศึกษาตั้งอยู่บนเขาที่มีความลาดชันและยังไม่มีการคมนาคมที่อำนวยความสะดวก อย่างไรก็ดี ถ้าสังคมกะเหรี่ยงมีการติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้น ย่อมส่งผลให้มีการแพร่กระจายของโรคเอดส์เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยหากประชากรยังไม่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอดส์เพียงพอ ด้วยเหตุนี้จึงต้องส่งเสริมให้มีการเผยแพร่ความรู้ และสร้างแรงจูงใจให้ประชากรตระหนักถึงอันตรายและวิธีป้องกันการแพร่กระจายของโรคเอดส์ (หน้า 51-52, 56-58)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),เอดส์,แม่วาง,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=636
635วิทยานิพนธ์เค่ง เครื่องดนตรีของชนเผ่าม้งวสันต์ชาย อิ่มโอษฐ์ม้งถือว่าเค่งเป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญที่สุด โดยเชื่อว่าสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้ ใช้เป่าในพิธีกรรมทางความเชื่อ ได้แก่ ความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย จึงมีพิธีศพถือว่าเป็นพิธีสำคัญที่สุด ความเชื่อในเรื่องการปกป้องรักษา จึงมีพิธีซื้อ ความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่จึงมีพิธี "ตจอผลี่" ความเชื่อเรื่องลางบอกเหตุร้าย จึงมีพิธีทำบุญฆ่าวัวให้วิญญาณผู้ตาย มีเพลงเป่าในเวลาเช้า เที่ยงและเย็น ห้ามเป่าปนกันหรือเป่าเล่น ห้ามสตรีเป่าเค่งในงานศพ ใช้เค่งเป่าเพื่อความบันเทิง การเกี้ยวพาราสี เป็นเพื่อนขณะเดินทางและในวาระพิเศษต่างๆได้ ม้งถือว่าพระแม่เจ้าคือบรมครูทางวิชาเป่าเค่ง
เค่งเป็นเครื่องดนตรีตระกูลเครื่องลม (Aerophones) ลิ้นเดียว (Single Reed) ระบบเสียงของเค่งมี 6 เสียง จากการวิเคราะห์ระบบเสียงเค่งทั้ง 12 ขนาด พบว่า ค่าความยาวโดยเปรียบเทียบเสียงแต่ละท่อของเค่งทั้ง 12 ขนาด มีความยืดหยุ่นไม่คงที่ เสียงเค่งทั้งหมดมี 6 เสียง มีลักษณะคล้ายกับบันไดเสียงสากลแบบ 5 เสียง (Pentatonic)โดยมีเสียงที่ 1 กับเสียงที่ 6 ห่างกัน 1 Octave ปัจจุบัน เค่ง เป็นเครื่องดนตรีที่ยังคงรักษาระบบเสียงแบบดั้งเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าชีวิตประจำวันของนายเล่าต๋า แซ่เฒ่า จะคลุกคลีกับสังคมโลกสมัยใหม่ที่มีการตั้งเสียงดนตรีอย่างสากล แบบ Equal Temperament ก็ตามม้ง,เครื่องดนตรี,ค่ง,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=635
634วิทยานิพนธ์การศึกษาบริบททางภาษาศาสตร์และวัฒนธรรมของชื่อชาวมอญ กรณีศึกษาชาวมอญ บ้านวังกะ ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีนริศรา โฉมศิริภาษาที่ใช้ในการตั้งชื่อ นอกจากใช้ภาษามอญแล้ว ยังใช้ภาษาพม่า ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ตลอดจนพบว่ามีการประสมภาษาในการตั้งชื่อ นอกจากนี้ มอญเพศหญิงกลุ่มอายุที่ 3 มีชื่อเป็นภาษามอญมากที่สุด ส่วนเพศชายกลุ่มอายุ 45 ปีขึ้นไปจะมีชื่อเป็นภาษาพม่ามากที่สุด มอญเพศหญิงและเพศชาย กลุ่มอายุ 1-10 ปีมีชื่อเป็นภาษาไทยมากที่สุด ในเรื่องโครงสร้างทางภาษาของชื่อพบว่า ชื่อของมอญในกลุ่มอายุ 45 ปีขึ้นไปมีจำนวนพยางค์และการสร้างคำที่ซับซ้อนน้อยกว่าชื่อของคนกลุ่มอายุน้อยเพศเดียวกัน ทางด้านที่มาและความหมายของชื่อแสดงให้เห็นถึงค่านิยม ความเชื่อและวิถีชีวิตของมอญ ส่วนใหญ่ชื่อเพศชายมีความหมายถึง ความรักชาติ ชัยชนะ ส่วนชื่อเพศหญิงมีความหมายเกี่ยวกับความสวยงาม สำหรับเรื่องการเปลี่ยนชื่อของมอญพบว่ามาจากเหตุผลทางสังคมมากที่สุดมอญ,วัฒนธรรม,ภาษาศาสตร์,การตั้งชื่อ,กาญจนบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=634
633วิทยานิพนธ์ความต้องการในการพัฒนาอาชีพการเกษตรของชาวเขาเผ่ามูเซอดำ หมู่บ้านดอยปู่หมื่นใน ตำบลแม่สาว อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่พยุงศักดิ์ ไชยกอศึกษาสภาพการเกษตร ความต้องการพัฒนาอาชีพการเกษตร หาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะส่วนบุคคล สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกรกับความต้องการพัฒนาอาชีพการเกษตร ตลอดจนศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาอาชีพการเกษตรของเกษตรกรชาวเขาเผ่ามูเซอดำ หมู่บ้านดอยปู่หมื่นใน ต.แม่สาว อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ที่เป็นหัวหน้าครัวเรือน 36 คน จาก 36 หลังคาเรือน ผลการวิจัยพบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้างและทำการเกษตร มีพื้นที่การเกษตรถือครองเฉลี่ย 14 ไร่ ปลูกพืชหลักๆ คือ ชา บ๊วย ลิ้นจี่ มีการเลี้ยงสัตว์ เช่น หมูและไก่ เพื่อประกอบพิธีกรรมและบริโภคในครัวเรือน ความต้องการพัฒนาอาชีพการเกษตร สิ่งที่เกษตรกรต้องการมากที่สุด คือ การถือครองที่ดิน แหล่งเงินกู้/สินเชื่อเพื่อการเกษตร ความรู้ด้านการเกษตร การฝึกอบรมและศึกษาดูงานด้านการเกษตร ความรู้ในการใช้ปุ๋ยเคมี การใช้ยาป้องกันกำจัดศัตรูพืช เส้นทางคมนาคมขนส่งสินค้าที่ควรพัฒนาขึ้น การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ราคาผลผลิตทางการเกษตร การปรับปรุงคุณภาพผลผลิต การจัดตั้งกลุ่ม/รวมกลุ่ม การรับรู้ข่าวสารด้านการเกษตร เกษตรกรกลุ่มตัวอย่างมีปัญหาด้านพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตต่ำ ไม่มีคุณภาพ ขาดเทคโนโลยีมารองรับ แรงงานไม่เพียงพอ ขาดตลาดรับซื้อที่ให้ราคาเป็นธรรม นอกจากนี้สัตว์เลี้ยงก็เจริญเติบโตช้า เกษตรกรไม่ได้รับการศึกษา ขาดความรู้ด้านการเกษตร ข้อเสนอแนะจากผู้วิจัยคือ รัฐบาลควรใส่ใจส่งเสริมพัฒนาการเกษตรบนที่สูงอย่างจริงจัง โดยทำความเข้าใจสภาพพื้นที่ ทรัพยากรธรรมชาติและสังคมของเกษตรกร โดยใช้แนวทางในงานวิจัยชิ้นนี้เพื่อพัฒนาส่งเสริมอาชีพ ความเป็นอยู่ของเกษตรกรชาวเขาให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของเกษตรกร (ดูหน้าบทคัดย่อ)ลาหู่,มูเซอดำ,การพัฒนาการเกษตร,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=633
632วิทยานิพนธ์ปัญหาชาวเขาและการกำหนดมาตรการเฉพาะในการควบคุมชาวเขาเพื่อความมั่นคงแห่งชาติชัยวัฒน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา, พันเอกชาวเขาเป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของไทยและนับวันแต่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพการเมือง เศรษฐกิจ สังคมของประเทศ ดังนั้น งานวิจัยชิ้นนี้จึงต้องการศึกษาเพื่อเสนอแนะนโยบายและมาตรการต่อรัฐบาลเพื่อนำไปปฏิบัติต่อชาวเขา โดยนโยบายและมาตรการมีดังนี้ ข้อเสนอแนะในการกำหนดนโยบายของรัฐบาลที่มีต่อชาวเขา - ด้านการเมืองการปกครอง 1) ให้ชาวเขามีที่อยู่อาศัยและที่ทำกินเป็นหลักแหล่งถูกต้องตามกฎหมาย จัดระเบียบการปกครองชุมชนในระบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย 2) ให้ชาวเขาอยู่ร่วมในสังคมไทยโดยมีสำนึกในความเป็นคนไทย 3) สกัดกั้นผลักดันชาวเขาจากนอกประเทศไม่ให้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม 1) ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของชาวเขาให้เพียงพอในการดำรงชีวิต พึ่งตนเองได้ 2) ควบคุมอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรชาวเขา 3) กำหนดมาตรการให้ชาวเขาเลิกปลูกยาเสพติด ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ มีระบบการอนุรักษ์และใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่เหมาะสม ข้อเสนอแนะในการกำหนดมาตรการปฏิบัติของรัฐบาลที่มีต่อชาวเขา - ด้านการเมืองการปกครอง 1) เร่งรัด สำรวจจำนวน แยกประเภท จัดทำทะเบียน ออกบัตรประจำตัวแก่ชาวเขา พิจารณาให้สัญชาติไทยแก่ชาวเขาในทะเบียนบ้านที่เป็นคนไทย 2) จัดระเบียบการปกครองชุมชนชาวเขาเข้าสู่ระบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย 3) กำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมให้ชาวเขาอยู่อาศัยและทำกินถาวรตามกฎหมาย 4) ใช้กฎหมายและระเบียบทางราชการให้เกิดผลทุกพื้นที่ 5) ให้ชาวเขาเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของความเป็นพลเมืองไทย 6) สกัดกั้นการอพยพเข้ามาใหม่ของชาวเขาจากนอกประเทศ พร้อมผลักดันออกไปนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง 7) ลดและขจัดอิทธิพลของชนกลุ่มน้อยและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในหมู่ชาวเขา ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม 1) ยกระดับรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิต 2) ให้ชาวเขาเลิกปลูกและเสพยาเสพติด - ด้านการอนุรักษ์ การใช้ และการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ จัดแผนการใช้ที่ดินเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรบนที่สูง และใช้กฎหมายในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างจริงจังม้ง, ลีซู,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), อ่าข่า, ชาวเขา,ปัญหาความมั่นคง,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=632
631วิทยานิพนธ์การศึกษาค่านิยมการมีบุตรของสตรีชาวเขาเผ่าม้งและเผ่ากะเหรี่ยงในจังหวัดเชียงใหม่สมภพ มณีเวชการศึกษาค่านิยมต่อการมีบุตรของสตรีเผ่าม้งและเผ่ากะเหรี่ยงในจ.เชียงใหม่ พบว่าสตรีทั้ง 2 เผ่าให้คุณค่าต่อการมีบุตรทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยเหตุผลสำคัญต่อการตัดสินใจมีบุตร เนื่องจากบุตรสามารถช่วยทำงานภายในบ้าน สามารถประกอบอาชีพและหารายได้ รวมทั้งมีความสำคัญในการดูแลร่างกายและจิตใจเมื่อแก่ชรา 2. ด้านอารมณ์ โดยเป็นปัจจัยที่ให้คุณค่าทางความสุข ความพึงพอใจที่พ่อแม่ได้รับจากความรัก ความเป็นเพื่อน ช่วยลดความเหงา ความเบื่อหน่าย 3. ด้านความเป็นปึกแผ่นของครอบครัวและสืบสกุล ซึ่งไม่เพียงบุตรจะช่วยสืบสกุลประเพณีต่อไป แต่ยังเพื่อมอบมรดกให้ลูกหลานสืบไป 4.ด้านการพัฒนาตนเอง อันเป็นแรงจูงใจต่อการกำหนดเป้าหมายชีวิตไปสู่ความสำเร็จ นอกจากนี้ปัจจัยที่ส่งผลสำคัญต่อการมีค่านิยมในการมีบุตรขึ้นอยู่กับอายุ จำนวนบุตร โครงสร้างครอบครัว อาชีพ ฐานะครอบครัว การศึกษา และศาสนาม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),สตรี,ค่านิยม,การมีบุตร,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2533ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=631
630วิทยานิพนธ์บทบาทขุนนางมอญในสมัยอยุธยาระหว่าง พ.ศ.2127 ถึง 2310อภิเชฏฐ์ จั่นเที่ยงการศึกษาค้นคว้าจากเอกสารทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชนชาติมอญซึ่งอพยพเข้ามาในอาณาจักรอยุธยาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พ.ศ.2127 ถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ.2301 การที่ชนชาติมอญอพยพเข้ามาเนื่องจากสงครามระหว่างมอญกับพม่า พระมหากษัตริย์ของอยุธยาโปรดให้ไปตั้งถิ่นฐานตามที่ต่างๆและให้อยู่ดูแลควบคุมกันเอง
โดยเน้นศึกษาบทบาทขุนนางมอญทั้งทางด้านทหารและพลเรือนปรากฏว่ามีขุนนางมอญและขุนนางเชื้อสายมอญที่น่าจะมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ขณะนั้น ดังปรากฏบทบาทขุนนางมอญในกองทหารหน้า ทหารเรือ ทหารม้า ทหารอาทมาต และขุนนางมอญยังมีบทบาทด้านพลเรือนด้วยดังจะเห็นได้จากมีขุนนางไทยเชื้อสายมอญได้รับตำแหน่งสำคัญ เช่น ออกญาโกษาธิบดีเหล็ก และออกญาโกษาธิบดีปาน และยังปรากฏว่าขุนนางมอญมีเกี่ยวข้องในการแย่งชิงอำนาจราชบัลังก์หลายครั้งและขุนนางมอญยังร่วมก่อกบฏอีกหลายครั้งด้วยกัน ขุนนางมอญจึงมีบทบาทความสำคัญต่อความมั่นคงของราชอาณาจักรและราชบัลลังก์ในขณะนั้นอย่างมากมอญ,ขุนนาง,อยุธยาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=630
629รายงานการวิจัยการศึกษาภาพจิตรกรรมฝาผนังวิหารวัดอุโปสถารามความสัมพันธ์กับชาวลาวในท้องถิ่นจังหวัดอุทัยธานีจิราพร ปิ่นสุวรรณบุตรผู้เขียนได้ศึกษาจากหลักฐานทางเอกสารที่คนลาวถูกกวาดต้อนเข้ามาในภาคกลางของประเทศไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และมีการอยู่อาศัยสืบต่อมาจนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วิหารวัดอุโปสถารามได้รับการเขียนขึ้น<br />
<br />
จากลักษณะการเขียนภาพจิตรกรรมภายนอกตัวอาคารอันเป็นลักษณะเฉพาะของศิลปะลาวจะพบในวัดที่มีความเกี่ยวเนื่องกับคนลาวหรือเป็นวัดที่สร้างขึ้นในชุนชนลาวเท่านั้น ประกอบกับปรากฏภาพผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น และผู้ชายมีรอยสักที่ขาในภาพจิตรกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์แสดงตัวตนความเป็นลาวเมื่อครั้งอดีต ผู้เขียนนำเสนอว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วิหารวัดอุโปสถารามนั้นน่าจะสัมพันธ์กับคนลาวที่อาศัยในจังหวัดอุทัยธานีในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ภาพจิตรกรรมได้รับการเขียนขึ้นลาว,จิตรกรรมฝาผนัง,วิถีชีวิต,อุทัยธานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดอุทัยธานี ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=629
628วิทยานิพนธ์วิเคราะห์นิทานพื้นบ้านชาวเขาเผ่าม้งรัตนาภรณ์ อัตธรรมรัตน์เป็นการรวบรวมนิทานพื้นบ้านม้งจำนวน 49 เรื่อง จำแนกออกได้ 6 ประเภทคือ นิทานชีวิต นิทานวีรบุรุษ นิทานประจำถิ่น ตำนาน นิทานอธิบายเหตุ นิทานมุขตลก และวิเคราะห์เรื่องราวที่ปรากฏในนิทานเหล่านั้นครอบคลุมเนื้อหาด้านสภาพความเป็นอยู่ โลกทัศน์ ความคิด - ความเชื่อ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของม้งบ้านบวกจั๋นและม้งบ้านบวกเต๋ย ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ม้ง,นิทานพื้นบ้าน,สภาพความเป็นอยู่,โลกทัศน์,ความเชื่อ,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2532ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=628
626วิทยานิพนธ์การอบรมเลี้ยงดูเด็กของผู้ปกครองชาวเลในหมู่บ้านสังกาอู้ จังหวัดกระบี่ : การศึกษาเชิงชาติพันธุ์วรรณาสุรัสวดี กองสุวรรณ์ผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการเลี้ยงดูเด็กชาวเลในหมู่บ้านสังกาอู้ คือ แม่ รองลงมาคือ ยาย โดยการส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกายด้วยการให้เด็กๆ ชาวเลได้รับประทานอาหารอย่างพอเพียง ได้รับการดูแลรักษาพยาบาลตามความเชื่อของแม่ ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านจิตใจและอารมณ์ผ่านการกอด อุ้ม และสัมผัสเด็กอย่างสม่ำเสมอ และมีการใช้สื่อพื้นบ้านเพื่อช่วยกล่อมเกลาทางด้านจิตใจและอารมณ์ รวมถึงได้รับการการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสังคม ด้วยการฝึกให้เด็กรู้จักแบ่งปันและมีความสามัคคี มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และได้รับการส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา ด้วยการสอนความรู้ด้านภาษา ฝึกให้เรียนรู้ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งฝึกใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ภายใต้บริบทของชาวเล ส่วนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดูเด็กของผู้ปกครองชาวเลตามทฤษฎีนิเวศวิทยาวัฒนธรรม ได้แก่ ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ปัจจัยทางระบบครอบครัวและเครือญาติ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ปัจจัยทางสังคม ปัจจัยทางการศึกษา ปัจจัยทางความเชื่อ และปัจจัยทางวัฒนธรรมประเพณี (หน้า ง, 151)อูรักลาโว้ย,ชาวเล,การอบรมเลี้ยงดู,การถ่ายทอดวัฒนธรรม,กระบวนการขัดเกลาทางสังคม,บ้านสังกาอู้,กระบี่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกระบี่ ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=626
625วิทยานิพนธ์การศึกษาการสืบทอดงานศิลปะผ้าทอของกลุ่มไทยทรงดำในจังหวัดเพชรบุรีนิยม ออไอศูรย์จากการศึกษาพบว่ากลุ่มไทยทรงดำในพื้นที่ศึกษายังคงสืบทอดวัฒนธรรมการทอผ้าไว้ได้ เนื่องจากปัจจัย 3 ประการ ประการแรก คือ ความเชื่อเรื่องผี แถน (ผีฟ้า) โดยเฉพาะผีบรรพบุรุษ ไทยทรงดำจึงต้องใช้ผ้าและเครื่องแต่งกายพื้นเมืองในการประกอบกิจในพิธีกรรม ประการที่สอง สตรีไทยทรงดำบางส่วนยังคงตระหนักและเห็นคุณค่าในการอนุรักษ์วัฒนธรรมการทอผ้าของกลุ่ม ประการที่สาม เป็นผลจากการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดเพชรบุรีที่จัดให้มีการชุมนุมกลุ่มไทยทรงดำ จึงเป็นการกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวในกิจกรรมการทอผ้าพื้นเมือง (หน้า 124)ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ผ้าทอ,เพชรบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=625
624วิทยานิพนธ์งานหัตถกรรมของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง เขตหมู่บ้านพระบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลึ้ จังหวัดลำพูนสโรชา เทพสุนทรกะเหรี่ยงบ้านพระบาทห้วยต้ม เป็นกะเหรี่ยงที่อพยพมาจากจังหวัดตากและเชียงใหม่ ด้วยความศรัทธาในตัวครูบาวงศ์และพระพุทธศาสนาจนยกเลิกพิธีกรรมดั้งเดิมของตน กะเหรี่ยงบ้านพระบาทห้วยต้มมีหัตถกรรมดั้งเดิมของตน คือ การทำเครื่องเงิน งานจักสาน และการทอผ้า และเมื่อมีหน่วยงานราชการเข้าไปส่งเสริมอาชีพด้วยการหาวัตถุดิบและหาตลาดให้กับการทำเครื่องเงิน เครื่องเงินจึงกลายเป็นสินค้าที่ส่งขายโดยทั่วไปและเป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติ นอกจากนี้ยังมีอาชีพด้านหัตถกรรมที่เกิดขึ้นใหม่ ได้แก่ การตัดศิลาแลง และการตีมีด เป็นงานที่สร้างรายได้ให้กับคนกะเหรี่ยงบ้านพระบาทห้วยต้มปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),หัตถกรรม,ลำพูนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=624
623วิทยานิพนธ์ลักษณะที่อยู่อาศัยของชาวเขาในโครงการพัฒนาดอยตุง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายปรัชวิกร มาสมบูรณ์การศึกษาลักษณะที่อยู่อาศัยของชาวเขาเผ่าลาหู่ ในโครงการพัฒนาดอยตุง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย มีการศึกษาถึงพัฒนาการของที่อยู่อาศัยของชาวเขา ลักษณะที่อยู่อาศัยของชาวเขาในปัจจุบัน และปัญหาด้านที่อยู่อาศัยของชาวเขาเผ่าลาหู่ในปัจจุบันเพื่อการวางแผนแก้ปัญหาด้านที่อยู่อาศัย โดยจากการศึกษาพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเรือน 9 รูปแบบได้แก่ - เรือนดั้งเดิม ยกพื้นเตี้ยแบบครัวอยู่ในตัวเรือน - เรือนดั้งเดิม ยกพื้นเตี้ยแบบครัวอยู่ติดกับตัวเรือน - เรือนดั้งเดิม ยกพื้นเตี้ยแบบเพิ่มห้องนอน - เรือนดั้งเดิม แบบแยกครอบครัวใหม่ - เรือนประยุกต์ ยกพื้นแบบใช้ชานหน้าเรือนเป็นทางเชื่อมสู่ห้องครัว - เรือนประยุกต์ ยกพื้นแบบแยกห้องครัวต่างหาก - เรือนประยุกต์ ติดพื้นแบบแยกครัวติดด้านหลังเรือน - เรือนประยุกต์ ติดพื้นแบบแยกครัวติดด้านหน้าเรือน - เรือนใหม่ 2 ชั้น จากรูปแบบเรือนทั้งหมด เรือนของผู้สูงอายุยังคงชานหน้าเรือนไว้ เรือนที่สร้างใหม่มีการสร้างห้องเก็บของเป็นองค์ประกอบใหม่ที่สร้างขึ้นเป็นอันดับแรก การขยายครัวของเรือนได้เพิ่มส่วนครัวและห้องนอนลูก การเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการออกไปทำงานนอกพื้นที่ การเงินดีขึ้นเรือนจึงมีความถาวรมากขึ้น แต่ก็ยังคงมีความเชื่อในพื้นที่อยู่ คือ ห้ามหันจั่วเรือนตรงกัน การแยกเรือนของครอบครัวที่แต่งงานต้องสร้างเรือนติดพื้น และการรักษาลานประกอบพิธีกรรมไว้ โดยผลจากการศึกษาได้ข้อเสนอแนะที่นำไปวางแผนการอยู่อาศัยได้ คือ เพิ่มนโยบายแบ่งแปลงที่ดินสำหรับการขออนุญาตปลูกสร้างเรือนใหม่ ไม่ให้ปลูกในที่ดินแปลงเดิมเพราะจะทำให้แออัด การกำหนดระยะห่างระหว่างเขตที่ดินไปถึงเรือนอยู่อาศัย การหาวัสดุใหม่ที่สามารถแทนวัสดุธรรมชาติเดิมแทนการใช้วัสดุสมัยใหม่ตามท้องตลาด เพื่อให้เรือนเกิดลักษณะเฉพาะถิ่นลาหู่,ที่อยู่อาศัย,โครงการพัฒนาดอยตุง,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=623
622วิทยานิพนธ์การศึกษาความเชื่อด้านสุขภาพของชาวไทยมุสลิมที่ใช้บริการสุขภาพในโรงพยาบาลในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้สาลี เฉลิมวรรณพงศ์ศึกษาเปรียบเทียบความเชื่อด้านสุขภาพของไทยมุสลิมที่ใช้บริการสุขภาพในโรงพยาบาล 4 แห่งในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 290 คน โดยสัมภาษณ์ความเชื่อด้านสุขภาพ 6 ด้าน ได้แก่การรับรู้การเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย, การรับรู้ความรุนแรงของการเจ็บป่วย, การรับรู้ประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข การรับรู้อุปสรรคด้านกายภาพ จิตใจ, การเงินในการไปใช้บริการสาธารณสุข, แรงจูงใจด้านสาธารณสุขทั่วไป และปัจจัยร่วม ผลการวิจัยคือ คนไทยมุสลิมมีความเชื่อด้านสุขภาพในระดับสูง รับรู้อุปสรรคด้านกายภาพและด้านจิตใจในระดับปานกลาง, ผู้หญิงมีความเชื่อด้านสุขภาพและรู้ถึงอุปสรรคในการใช้บริการสาธารณสุขสูงกว่าผู้ชาย, ผู้ป่วยนอกมีความเชื่อด้านสุขภาพรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยมีแรงจูงใจด้านสุขภาพ สูงกว่าผู้ป่วยใน รับรู้อุปสรรคการไปใช้บริการสาธารณสุข ต่ำกว่าผู้ป่วยใน, ผู้ที่มีอายุ 20 -30 ปี รับรู้ประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข มีแรงจูงใจด้านสุขภาพสูงกว่าผู้มีอายุ 31-45 ปี และ 46-60 ปี ตามลำดับ ผู้ที่มีอายุ 20-30 ปี รู้ถึงอุปสรรคในการไปใช้บริการสาธารณสุขต่ำกว่าผู้มีอายุ 31-45 ปี และ 46-60 ปี ตามลำดับ, ผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษามีความเชื่อเกี่ยวกับการเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย ประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข และแรงจูงใจด้านสุขภาพ ต่ำกว่าผู้มีการศึกษา ส่วนผู้ที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษาและการศึกษานอกระบบมีความเชื่อและแรงจูงใจต่ำกว่าผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาตามลำดับ, ผู้ที่มีรายได้มากกว่า 2,500 บาท รับรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยสูงกว่าผู้มีรายได้ 1,001-2,500 บาท และ 1,000 บาท ตามลำดับ และผู้ที่มีรายได้มากว่า 2,500 บาทรับรู้ถึงอุปสรรคในการไปใช้บริการสาธารณะสุขต่ำกว่า ผู้มีรายได้ 1,001-2,500 บาท 1,000 บาทตามลำดับออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ไทยมุสลิม,ความเชื่อ,การดูแลสุขภาพ,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=622
621ปริญญานิพนธ์ประวัติความเป็นมา และแนวทางการพัฒนาอาชีพชาวไทยใหม่ ตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงาผ่อง กำลังดัสนะชาวไทยใหม่ถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ทางทะเลที่เก่าแก่กลุ่มหนึ่ง ชาวไทยใหม่ในตำบลเกาะพระทองนั้น เป็นชาวไทยใหม่พวก "มาซิง" หรือเผ่าสิงห์ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตั้งแต่หมู่ที่ 1- 4 คือ บ้านทุ่งดาบ บ้านท่าแป๊ะโย้ย บ้านเกาะระ และบ้านปากจก มีวิถีชีวิตเร่ร่อนในเรือผูกพันกับทะเลมาแต่ในอดีต แม้จะขึ้นมาตั้งบ้านเรือนบนบก ก็ยังคงดำรงชีพด้วยการหาของจากทะเลไปขายหรือแลกเปลี่ยนเป็นสินค้าสิ่งของ แม้จะขึ้นมาอยู่บนบกแล้วก็ยังคงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมไว้ได้เป็นส่วนใหญ่ ทั้งด้านค่านิยม คติความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี ยกเว้นรูปแบบบางอย่างที่ได้รับอิทธิพลจากสังคมและวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองเข้ามามีบทบาท เช่น ศิลปะการละเล่นพื้นเมือง เครื่องแต่งกายและความนิยมใช้เครื่องประดับ ด้านการประกอบอาชีพ ชาวไทยใหม่มีอาชีพหลักซึ่งชายหญิงแบ่งหน้าที่กันชัดเจนคือ ผู้ชายตกปลาวางราวเบ็ด ผู้หญิงเก็บหอยชักตีน หาปลิงทะเลมาทำแห้งขาย ปัญหาในการประกอบอาชีพมีทั้งด้านอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือเก่า ขาดแคลน ชำรุด ไม่ทันสมัย ปัญหาด้านการตลาดคือ ขาดอำนาจต่อรองในการซื้อขายแลกเปลี่ยนและขาดเงินทุน นอกจากนี้ด้วยอุปนิสัยฟุ่มเฟือยและชอบเล่นการพนันทำให้ชาวไทยใหม่มักไม่มีเงินเหลือเก็บ หรือไม่ค่อยมีเงินออมเพราะไม่นิยมเก็บหอมรอมริบ สำหรับการส่งเสริมด้านการประกอบอาชีพ ผู้ชายอยากให้ส่งเสริมอาชีพการวางราวเบ็ดตกปลา ส่วนผู้หญิงอยากให้ส่งเสริมอาชีพการทำปลิงทะเลแห้งขาย ซึ่งเป็นอาชีพที่ทำอยู่แล้วและมีความชำนาญถนัดในเรื่องดังกล่าว แนวทางการส่งเสริมพัฒนาอาชีพชาวไทยใหม่ กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้ 1 ส่งเสริมด้านเครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ เช่น พัฒนาเรือหางยาวในการวางราวเบ็ดตกปลา ส่งเสริมโรงเรือนหุงต้มปลิง 2. ส่งเสริมกรรมวิธีการผลิตให้สะอาด ถูกสุขอนามัย พร้อมจัดหาภาชนะกองกลางแบบอุตสาหกรรมขนาดย่อม 3. ส่งเสริมด้านเงินทุน จัดให้มีสหกรณ์เพื่อส่งเสริมการออมทรัพย์ (เพื่อการผลิต) การจัดตั้งกลุ่มอาชีพชาวไทยใหม่ควบคู่กัน รวมถึง การจัดตั้งกลุ่มแม่บ้านหรือกลุ่มสตรีอาสาพัฒนามอแกลน,ไทยใหม่, ชาวเล, ประวัติท้องถิ่น,วิถีชีวิต,การศึกษา,พังงาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพังงา ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=621
620วิทยานิพนธ์การปกครองของไทยที่มีต่อเมืองพวนและชาวพวนในราชอาณาจักรไทยระหว่าง พ.ศ. 2322-2436ปรารถนา แซ่อึ๊งงานวิจัยนี้ศึกษาเรื่อง การปกครองของไทยที่มีต่อเมืองพวนและคนพวนในราชอาณาจักรไทยระหว่าง พ.ศ. 2322-2436 ซึ่งมีการใช้นโยบายการปกครองแบบเมืองประเทศราชในระยะแรกด้วยการให้เมืองพวนส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้ และไม่มีการจัดการปกครองที่เข้มงวดนัก แต่ต่อมาได้ใช้วิธีการกวาดต้อนคนพวนเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทย เพื่อไม่ให้เหลือเป็นกำลังแก่ญวนซึ่งถือว่าเป็นศัตรูของไทยในเวลานั้น การกวาดต้อนคนพวนมานี้ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกพลัดถิ่น เพราะมีการรวบรวมให้อาศัยอยู่ด้วยกัน และการปกครองคนพวนของทางการไทยก็ให้คนพวนปกครองกันเองภายใต้การดูแลของขุนนางไทยในระบบไพร่ (มูลนายและไพร่) เช่นเดียวกับการปกครองคนไทย คนพวนจึงรู้สึกเป็นอิสระไม่คิดว่าถูกกดขี่และจงรักภักดีต่อไทย ประกอบกับการทำมาหากินในเมืองไทยมีความอุดมสมบูรณ์กว่าที่เมืองพวน คนพวนจึงไม่คิดหลบหนีกลับไป รวมทั้งอุปนิสัย และประเพณีต่างๆ ของคนไทยและคนพวนมีความคล้ายกันจึงสามารถอยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ พวนที่อาศัยอยู่ในไทยนับว่ามีบทบาทสำคัญทั้งทางเศรษฐกิจ ในเรื่องการเป็นแรงงานและการส่งส่วย รวมทั้งมีบทบาททางการเมืองในการเป็นกำลังในกองทัพยามมีสงครามพวน,การปกครอง,มูลนาย,ไพร่,Houaphanตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดHouaphan ประเทศลาว2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=620
619รายงานการวิจัยรายงานวิจัยเชิงปฏิบัติการ การมีส่วนร่วมของประชาชนกับการพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาเผ่ามูเซอ ฉบับที่ 1 ประจำปี 2527ศุภชัย สถีรศิลปินรายงานวิจัยเชิงปฏิบัติการชิ้นนี้ เพื่อทดสอบวิธีการต่างๆ ที่มีผลส่งเสริมการมีส่วนร่วมของมูเซอว่าได้ผลมากน้อยเพียงใด และค้นคว้าทดลองวิธีการหรือกิจกรรมที่เหมาะสมในการส่งเสริมความคิดริเริ่ม การพึ่งตนเองและชุมชน เพื่อนำประสบการณ์และข้อค้นพบไปใช้ประโยชน์เพื่อทำข้อเสนอแนะวิธีการหรือกิจกรรมที่เป็นกลวิธีหรือมาตรการอันเหมาะสมแก่การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชาวเขาที่มีสภาพคล้ายคลึงกัน กลุ่มชาติพันธุ์ในรายงานการศึกษาวิจัยชิ้นนี้คือชาวเขาเผ่ามูเซอ "เฌเร" หมู่บ้านห้วยน้ำริน ต.แม่เจดีย์ใหม่ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย โดยรายงานชิ้นนี้เป็นระยะเริ่มแรกของการปฏิบัติงานตามโครงการวิจัย ที่กล่าวถึงสภาพทั่วไปของหมู่บ้านวิจัย สถานที่ตั้งและโครงสร้างประชากรโดยย่อ ประวัติความเป็นมาของมูเซอในหมู่บ้าน ประวัติการอพยพและความสำคัญของผู้นำการอพยพแต่ละช่วงปี ลำดับขั้นของการพัฒนาหมู่บ้านที่ทำให้มูเซอมีโอกาสติดต่อสัมผัสรูปแบบต่างๆ ของการพัฒนาที่นำเข้ามาในหมู่บ้านนับตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา และสุดท้ายได้กล่าวถึงระบบสังคมของมูเซอที่ประกอบด้วยผู้นำที่ส่งผลให้เกิดความร่วมมือในหมู่บ้าน (หน้าคำนำ,1)ลาหู่,การมีส่วนร่วม,การพัฒนา,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2527ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=619
618รายงานการวิจัยพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของชาวเล : ภูเก็ตสมบูรณ์ อัยรักษ์, ประพรศรี นิรันทร์รักษ์, วนิภา วิศาล, ผดุงเกียรติ อุทกเสนีย์, ขนิษฐา กมลวัฒน์ และ วีระ กาวิเศษศึกษาพฤติกรรมด้านสุขภาพอนามัยที่เป็นอยู่ของชาวเลอันจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ไปสู่พฤติกรรมที่พึงประสงค์ งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาชาวเล 2 หมู่บ้าน คือ ชุมชนชาวเลราไวย์ และชุมชนชาวเลรัษฎา (เกาะสิเหร่) ในจังหวัดภูเก็ต (หน้า 12) กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ศึกษาของ 2 ชุมชนก็แตกต่างกัน กล่าวคือ ชุมชนชาวเลราไวย์ศึกษากลุ่มผู้นำชุมชน กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มหนุ่มสาว ส่วนชุมชนชาวเลรัษฎา ศึกษากลุ่มผู้นำชุมชน กลุ่มชายดำน้ำ และกลุ่มหนุ่มสาว ผลการวิจัยพบว่าปัญหาสุขภาพอนามัยที่ชาวเลเผชิญคือโรคอุจจาระร่วงและปัญหาที่เกิดจากโรคการดำน้ำ ชาวเลมีวิธีดูแลสุขภาพตนเองผ่านมิติการแพทย์แบบพหุลักษณ์ คือผสมผสานระหว่างแพทย์แผนโบราณและแพทย์แผนปัจจุบัน พฤติกรรมดูแลสุขภาพตนเองในเรื่องอุจจาระร่วง ชาวเลเข้าใจพอสมควร เช่น การใช้ส้วม การเก็บอาหาร การปรับปรุงคุณภาพน้ำก่อนนำมาบริโภค การแก้ปัญหาของชุมชนยามเกิดการระบาดของโรค จะใช้การประกอบพิธีกินข้าวล่างเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการทำความสะอาดที่อยู่อาศัย การดูแลสุขภาพตนเองที่เกิดจากโรคดำน้ำเป็นไปในลักษณะลองผิดลองถูก เรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์ การแก้ปัญหาของชาวเลเมื่อเกิดโรคจะใช้วิธีนำผู้ป่วยลงไปปรับความดันระดับ 10 เมตร โดยมีผู้ช่วย 3 คนช่วยกันนวดจนผู้ป่วยรู้สึกตัวจึงนำไปรักษาพยาบาลต่อไป การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่มีผลดีต่อสุขภาพควรสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวเล โดยการมีส่วนร่วมขององค์กรต่างๆ เพื่อให้กิจกรรมเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน (บทคัดย่อ)อูรักลาโว้ย,ชาวเล,การดูแลสุขภาพ,ภูเก็ตตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=618
617รายงานการวิจัยชาติพันธุ์กับความสามารถในการดูแลรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้านยิ่งยง เทาประเสริฐ, ธารา อ่อนชมจันทร์ (บรรณาธิการ)ความสามารถในการดูแลรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้านของแต่ละชนเผ่า ไม่ว่าจะเป็นหมอเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยล้านนา หรือหมอพื้นบ้านเผ่าอาข่าหรือลาหู่ ต่างก็มีระบบการแพทย์ภูมิปัญญาพื้นบ้านดั้งเดิมที่ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพชน มีการเรียนรู้หรือได้รับการถ่ายทอดอิทธิพลจากภูมิปัญญาทางการแพทย์แผนโบราณ หรือแม้แต่ผสมผสานทางเลือกในการดูแลรักษาสุขภาพจากระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน การดูแลรักษาสุขภาพและรักษาอาการเจ็บป่วย ต่างก็มีเอกลักษณ์ทางความเชื่อ วิธีการวินิจฉัยโรค กระบวนการในการรักษา และเครื่องมือเฉพาะกลุ่มแตกต่างกันไป อย่างไรก็ดี อาจจำแนกการเจ็บป่วยได้เป็น 2 ลักษณะคือ ความเจ็บป่วยทางจิตใจ ซึ่งไม่สามารถระบุได้แน่ชัด มักได้รับการวินิจฉัยสาเหตุอันสืบเนื่องมาจากความเชื่อเรื่องของชนเผ่าเรื่องผีและเรื่องขวัญ เช่น การผิดผี หรือขวัญตก รักษาโดยการประกอบพิธีกรรมเลี้ยงผี ไล่ผีส่งเคราะห์ เรียกขวัญ โดยมีหมอผีหรือหมอขวัญทำพิธี นอกจากนี้ยังมีความเจ็บปวดด้านร่างกาย เช่น โรคต่าง ๆ ไฟไหม้น้ำร้อนลวก ได้รับพิษ อัมพาต โรคข้อ กระดูกหัก เลือดลมและประจำเดือนผิดปกติ เหล่านี้ ชนเผ่าอาข่าและลาหู่มักมีหมอพื้นบ้านทำหน้าที่ดูแลรักษาโดยวิธีผสมผสานหลาย ๆ วิธีทั้งความเชื่อพื้นบ้าน เช่น การใช้ยาสมุนไพรไม่ว่าจะเป็นในรูปของยาต้ม ยาฝน ยาบด ยาอบ การพึ่งพาหมอเป่าคาถาอาคมให้กระดูกติดกัน หรือท่องคาถาดับพิษ การพึ่งพาหมอผีประกอบพิธีกรรมแทงผีของอาข่า หรือหมอพระที่รักษาไข้โดยการลนเทียนหน้าแท่นบูชาในวิหาร เป็นต้น นอกจากนี้หมอเมืองหรือหมอพื้นบ้านเองก็ยังเรียนรู้พึ่งพาระบบแพทย์แผนใหม่ ในรูปยาฉีดและยาที่ใช้รับประทานจากพ่อค้าเร่ ชาวจีนฮ่อ ร้านขายยาหรือจากการเป็นอาสาสมัครที่ได้รับการอบรมด้านสาธารณสุข ในขณะที่ชาวบ้านมักดูแลรักษาสุขภาพตนเองในระดับหนึ่ง โดยการรักษากันเอง หรือพึ่งพาหมอพื้นบ้านที่ได้รับการยอมรับในชุมชน สลับกับการพึ่งพาสถานีอนามัย โรงพยาบาลหรือสถานบริการด้านสาธารณสุขของรัฐที่เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น ปรับเปลี่ยนไปตามความเจริญทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมอาข่า,ลาหู่,ภูมิปัญญา,การแพทย์พื้นบ้าน,สมุนไพร,การสืบทอด,ความเชื่อ,ล้านนา เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=617
616วิทยานิพนธ์ระบบการผลิตของครัวเรือนในชุมชนกะเหรี่ยงที่สัมพันธ์กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสัญชัย เจริญหลายผลการวิจัยพบว่ากะเหรี่ยงแต่ละครัวเรือนมีระบบการผลิตแบบผสมผสานที่พึ่งพาอาศัยทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการดำรงชีพ รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย เป็นหลัก ส่งผลให้ไม่เกิดการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำการเกษตรเชิงธุรกิจ กระบวนการผลิตจึงไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนสามารถรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของตนต่อไปได้ยาวนาน ทั้งนี้ เนื่องมาจากคนในชุมชนต่างมีแนวความเชื่อที่ว่าสรรพสิ่งในโลกมนุษย์ล้วนเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกัน ดังมีคำพังเพยว่า "ป่าอยู่ คนอยู่ ป่าไม่มี คนอยู่ไม่ได้" ประกอบกับแบบแผนการดำเนินชีวิตที่รักสันโดษ พึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ตามหลักปรัชญาที่ว่า "บริโภคแต่พออิ่ม นุ่งห่มแต่พออุ่น" นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องผีและข้อห้ามต่างๆ ที่เป็นกฎเกณฑ์ของชุมชน ทำให้คนเคารพธรรมชาติและแสดงออกผ่านทางพิธีกรรม อันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคม (หน้า ง-จ, 93-94, 124)กะเหรี่ยง,การผลิต,การบริโภค,การอนุรักษ์,ทรัพยากรธรรมชาติ,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=616
615รายงานการวิจัยสังคมจารีตประเพณีและการยอมรับการวางแผนครอบครัว : ศึกษากรณีชาวเขาในเขตโครงการหลวงมงคล จันทร์บำรุง, สมเกียรติ จำลอง, อิฐศักดิ์ ศรีสุโข และ ทรงวิทย์ เชื่อมสกุลปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ส่งผลต่อการยอมรับการคุมกำเนิดและการวางแผนครอบครัวของชาวเขา เนื่องจากชาวเขาเผ่ามูเซอและม้งมีระบบการผลิตกึ่งยังชีพแบบดั้งเดิมเป็นหลัก แรงงานในครัวเรือนถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มผลผลิต อีกทั้งชาวเขายังให้ความสำคัญกับระบบเครือญาติ สังคมม้งถือว่าการมีบุตรมากหรือมีบุตรหลายคนเป็นหลักประกันว่าจะมีผู้เลี้ยงดูตนในบั้นปลายชีวิต ไปจนถึงชีวิตหลังความตาย นอกจากนี้ ชาวเขาเผ่ามูเซอและม้งยังให้ความสำคัญต่อเพศของบุตรแตกต่างกัน มูเซอให้ความสำคัญกับลูกสาวมากกว่าลูกชาย เพราะเมื่อแต่งงานแล้วสามีต้องมาเป็นแรงงานให้ที่บ้านฝ่ายหญิง ส่วนสังคมม้งต้องมีลูกชายเป็นผู้สืบสกุล ดูแลครอบครัวและเลี้ยงดูพ่อแม่ยามชรา ยิ่งมีบุตรชายมากเท่าใดก็ยิ่งมีความมั่นคงมาก นอกจากนี้ลักษณะพิเศษของสังคมมูเซอคือ ค่อนข้างให้อิสระในการตัดสินใจเกี่ยวกับคู่ครองสูง การแต่งงานหรือการหย่าร้างกระทำได้ง่าย สตรีมูเซอจึงไม่นิยมคุมกำเนิดแบบทำหมันถาวร อย่างไรก็ดี ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการคุมกำเนิด ทุกหมู่บ้านชาวเขาที่ทำการศึกษา พบว่ามีจำนวนประชากรวัยเด็กมากกว่าวัยอื่น ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบที่ตามมาเช่น เป็นภาระในการเลี้ยงดู เด็กวัยเรียนส่วนใหญ่ที่จบชั้นประถมไม่มีโอกาสศึกษาต่อในระดับสูงเพื่อนำไปประกอบวิชาชีพ อีกทั้งยังขาดพื้นที่ทำกินรองรับอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรลาหู่, ม้ง, ชาวเขา,การวางแผนครอบครัว,จารีตประเพณี,ความเชื่อ,โครงการหลวง,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=615
614รายงานการวิจัยข้อห้ามข้อนิยมของชาวเขาเผ่าเย้าเพ็ญทิพย์ ทั่วประโคนชาวเขาเผ่าเย้ามีวิถีชีวิต วัฒนธรรม ขนบธรรมเนี่ยม ข้อห้ามและข้อนิยม ซึ่งบ่งถึงวิถีที่ควรปฏิบัติหรือไม่ควรปฏิบัติ สอดคล้องกับความเชื่อเรื่องการนับถือผี ไสยศาสตร์และโชคลางอยู่มาก ธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ที่ผูกโยงกับสภาพความเป็นอยู่ ทำให้เย้ามีลักษณะเฉพาะทางสังคมและวัฒนธรรมแตกต่างจากชนกลุ่มอื่น อาทิ มารยาทในการรับประทานอาหารและการดื่ม มารยาทในการเยี่ยมเยียนบ้านเย้า การเลือกคู่ครอง การตั้งบ้านเรือน การเกิดและการรับบุตรบุญธรรม การตั้งชื่อ การเรียกชื่อ การอบรมเลี้ยงดูบุตร การประกอบอาชีพ การดูแลป้องกันรักษาโรค การปกครอง งานศพ ความเชื่อโชคลางและความฝันเย้า,เมี่ยน,ข้อห้าม,ข้อนิยม,ขนบธรรมเนียมมารยาท,การอบรมเลี้ยงดู,ศาสนา,ความเชื่อ,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=614
613รายงานการวิจัยการศึกษาของลัวะบ้านกองลอยรัตนา ตุงคสวัสดิ์เนื้อหาเกี่ยวกับการศึกษาและปัญหาด้านการศึกษาของลัวะ บ้านกองลอย ต.บ่อสลี อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมของตนกับวัฒนธรรมไทยเข้าด้วยกันจนเหลือวัฒนธรรมลัวะไม่มากในปัจจุบัน งานวิจัยศึกษาทั้งการศึกษาในโรงเรียนของรัฐ เช่น ที่โรงเรียนบ้านกองลอยทั้งสภาพแวดล้อมของโรงเรียน ครู ผู้บริหาร นักเรียน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ลัวะเกิดความรู้สึกว่าเป็นพลเมืองไทยตามนโยบาย "รวมพวก" ให้รักษาสิ่งแวดล้อมและเลิกการปลูกฝิ่นโดยหันมาปลูกพืชทดแทนชนิดอื่น และการศึกษานอกโรงเรียน อันได้แก่ความรู้ที่ได้จากคนในชุมชน เช่นจาก พ่อ แม่ และพระ ได้แก่คำสอนเรื่องศาสนา ความเชื่อเรื่องผี การทำการเกษตร การดำรงชีวิตในด้านต่างๆลเวือะ,การศึกษา,ความเชื่อ,การเมือง,การจัดระเบียบสังคม,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=613
612รายงานการวิจัยพืชสมุนไพรและภูมิปัญญาในการรักษาพยาบาลของชาวเมี่ยนสมเกียรติ จำลองการศึกษานี้ได้ศึกษาลักษณะทางชาติพันธุ์ของเมี่ยน ทั้งประวัติความเป็นมา การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน ระบบครอบครัวเครือญาติ การปกครอง ความเชื่อเรื่องผี เทศกาลและประเพณีสำคัญ และเลือกศึกษากลุ่มคนเมี่ยน หมู่บ้านปางพริก ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา ในประเด็นเรื่องระบบการจัดการทรัพยากร สาเหตุความเจ็บป่วย และระบบการรักษาพยาบาลพื้นบ้านของเมี่ยน ที่ใช้ทั้งหมอยาสมุนไพร และหมอผี รวมทั้งการรักษาพยาบาลพื้นบ้านที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันเมี่ยน,ประวัติศาสตร์,วัฒนธรรม,การรักษาพยาบาลพื้นบ้าน,พะเยาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=612
611รายงานการวิจัยภูมิปัญญาพื้นบ้านในการจัดการทรัพยากรและการรักษาความเจ็บป่วยของ "อีก้อ"อุไรวรรณ แสงศรการศึกษานี้เป็นการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ "อีก้อ" ที่บ้านแสนสุข อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย โดยเน้นการศึกษาไปที่การจัดการทรัพยากร ทั้งเรื่องน้ำ ป่า พื้นที่ทำกิน การทำเกษตรกรรม ผักพื้นบ้านทั้งที่ปลูกและที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ความเชื่อพิธีกรรมที่มีบทบาทในวิถีชีวิตของอีก้ออย่างมาก และภูมิปัญญาพื้นบ้านในการรักษาความเจ็บป่วย ซึ่งมีการรักษาด้วยสมุนไพร หมอผี คนทรง และพิธีกรรมอาข่า,การจัดการทรัพยากร,การรักษาพยาบาล,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=611
610รายงานการวิจัยรายงานการวิจัยชุมชนมอญบ้านวังกะ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ความเป็นมาและการเปลี่ยนแปลงสุจริตลักษณ์ ดีผดุงกลุ่มชนที่สำคัญกลุ่มหนึ่งในอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี "มอญ" ซึ่งได้อพยพเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2490 ด้วยสาเหตุของสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่สงบในประเทศพม่าทางราชการไทยจัดให้เป็นผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า และมีบางส่วนที่จัดเป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง โดยตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านวังกะ ตำบลหนองลู มอญล้วนเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและมีสิ่งสำคัญที่เป็นศูนย์รวมจิตใจ คือ หลวงพ่ออุตตมะแห่งวัดวังก์วิเวการาม (หน้า 134) อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่มอญที่บ้านวังกะเหล่านี้ยังคงมีสถานภาพ เป็นผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า และผู้หลบหนีเข้าเมืองทำให้ไม่ได้รับสัญชาติไทยไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน แม้ว่าจะเกิดบนแผ่นดินไทย ฟังพูดอ่านเขียนได้ดีเหมือนคนทั่ว ๆ ไป ทำให้เกิดปํญหาต่าง ๆ ตามมา (หน้า 134) วิธีแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยาวส่วนหนึ่ง เช่น
1.การทบทวนกฏหมายและระเบียบเกี่ยวกับการเข้าเมืองใหม่อีกครั้ง เพื่อกำหนดสถานะของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
2.เจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นควรมีจิตใจที่เมตตาไม่ฉวยโอกาสที่ผู้พลัดถิ่นเหล่านี้ตกอยู่ในสภาพจำยอมมาใช้เป็นประโยชน์
3.การเปิดโอกาสให้ได้รับการศึกษา
4.แม้ว่าประเทศไทยจะสามารถจัดการกับปัญหาชนกลุ่มน้อยได้ดีในระดับหนึ่ง แต่แน่นอนว่าประเทศไทยไม่อาจแบกภาระอันเกิดจากการกระทำของรัฐบาลพม่าไปได้ตลอด ทางแก้ปัญหาหนึ่งน่าจะผลักดันให้พม่าแก้ไขปัญหาภายในประเทศอย่างแท้จริง (หน้า 136-137)
การถูกคุกคามของวัฒนธรรมจากภายนอก การรุกรานของสื่อจากกรุงเทพฯ ทางโทรทัศน์ ระบบการศึกษาที่นำเอาวัฒนธรรมไทยภาคกลาง โดยเฉพาะของกรุงเทพฯ มาสู่เยาวชนรุ่นใหม่ ก็เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้สังขละบุรีในวันนี้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก และที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว คือ การท่องเที่ยว แนวทางที่น่าจะรับมือกับการท่องเที่ยวและใช้ประโยชน์ให้ได้มากเพื่ออนุรักษ์ความเป็นคนมอญ อาจจะทำในรูปของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เช่น รูปแบบการพักอาศัยแบบโฮมสเตย์ การนำชมชีวิตความเป็นอยู่ของคนมอญ การจัดแสดงศิลปะและวัฒนธรรมของมอญ การจัดทำของที่ระลึกที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของท้องถิ่น และที่สำคัญที่สุดก็คือการให้ความรู้ความเข้าใจแก่คนมอญบ้านวังกะถึงความเป็นตัวตนและภูมิปัญญาของตนเอง ทั้งให้ความพร้อมตั้งรับการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาอย่างเหมาะสม (หน้า 135-136)มอญ,ผู้พลัดถิ่น,ความเปลี่ยนแปลง,กาญจนบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=610
609วิทยานิพนธ์การศึกษาการสื่อสารการศึกษาของชาวเล หมู่เกาะสุรินทร์สมเกียรติ สัจจารักษ์ศึกษาธรรมชาติของ "การสื่อสารการศึกษา" ของชาวเลหมู่เกาะสุรินทร์ ในด้านวิธีการสื่อสารการศึกษา สื่อที่ใช้ในการสื่อสารการศึกษา และประเภทของการสื่อสารการศึกษา โดยศึกษาชาวเลมอเก็น ที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา 36 ครอบครัว มีประชากรเป็นกลุ่มตัวอย่าง 134 คน ผู้วิจัยจัดเก็บข้อมูลจาการสังเกตุ และสัมภาษณ์ ใช้การสังเกตุแบบมีส่วนร่วม (participation observation) และแบบไม่มีส่วนร่วม และเป็นการสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง (semi -structured) ผลการวิจัยสรุปได้คือ วิธีการสื่อสารการศึกษาของชาวเลหมู่เกาะสุรินทร์ ใช้วิธีบอกเล่าโดยใช้ภาษามอเก็น (moken) ความรู้บางอย่างถูกถ่ายทอดโดยการชี้แนะ เด็กๆ เรียนรู้จากการสังเกตพ่อแม่และคนในชุมชน มีลักษณะการเรียนรู้ด้วยการกระทำ (learning by doing) สื่อที่ใช้ในการสื่อสารการศึกษา ใช้จากบุคคลที่อยู่ใกล้ชิด และสื่อของจริง ได้แก่ สถานที่จริงเครื่องมือเครื่องใช้ เป็นต้น ประเภทของกรสื่อสารการศึกษา ใช้การศึกษาระหว่างบุคคล (interpersonal to communication) ระหว่างกลุ่มกับบุคคล (group to person) และระหว่างกลุ่มผู้ใหญ่ไปยังกลุ่มเด็ก (group to group)มอแกน,ชาวเล,การสื่อสารการศึกษา,หมู่เกาะสุรินทร์,พังงาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพังงา ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=609
608รายงานการวิจัยการศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของพ่อบ้านม้งในงานวางแผนครอบครัวและดูแลอนามัยการเจริญพันธุ์กรรณิการ์ มณีวรรณศูนย์พัฒนาอนามัยพื้นที่สูงศึกษาการวางแผนครอบครัวแบบมีส่วนร่วมของพ่อบ้านม้ง 48 คน ให้ความรู้เรื่องปัญหาประชากร การวางแผนครอบครัว และอนามัยการเจริญพันธุ์ มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สร้างแนวร่วมโดยเขียนข้อกำหนดการปฏิบัติเพื่อปรับปรุงตนเองในการดำเนินชีวิต ดูแลสุขภาพ มีการสัมภาษณ์ สังเกต เสวนากลุ่ม
พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงความรู้ ความเชื่อ การดูแลสุขภาพครอบครัวมากขึ้น มีการตัดสินใจร่วมโดยเสนอวิธีคุมกำเนิดให้แม่บ้านเลือก นำแม่บ้านไปตรวจสุขภาพประจำปี ดูแลลูก การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการหมู่บ้านได้ขอให้ศูนย์พัฒนาอนามัยพื้นที่สูง จัดอบรมหลักสูตรเดิมเน้นครอบครัวสุขสันต์ให้กับคู่สมรส 25 คู่ จากการอบรมสังเกต คู่สมรสสนใจซักถามปัญหาต่างๆ รูปแบบการมีส่วนร่วมจึงควรนำไปใช้เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการวางแผนครอบครัวและอนามัยเจริญพันธุ์ในพื้นที่ต่างๆ ประยุกต์ใช้กับโครงการอื่นที่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของพ่อบ้านม้ง ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านอื่นต่อไปม้ง,สุขภาพ,งานวางแผนครอบครัว,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=608
607รายงานการวิจัยดนตรีชาวเขาเผ่าม้ง หมู่บ้านสบเบ็ด อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่านบุญลอย จันทร์ทองม้งยังคงรักษาความเป็นวัฒนธรรมของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานศพ ความเชื่อถือต่างๆในเรื่องของจิตวิญญาณ และขั้นตอนในการปฏิบัติไว้อย่างชัดเจนและให้ความสำคัญกับพิธีเป็นอย่างมาก การวิเคราะห์ดนตรีที่ใช้ประกอบในพิธีกรรมงานศพ ผลวิจัยพบว่าเครื่องดนตรีที่ใช้ในการดำเนินทำนองคือ "เก้ง" มีความสำคัญในการเป็นผู้นำในพิธีศพ จัดอยู่ในตระกูลเครื่องลม มีระบบการเทียบเสียง 5 เสียง มีส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วนคือ เต้าเก้ง ท่อเสียง 6 ท่อและลิ้น ซึ่งใช้วัสดุและเครื่องมือที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นจากธรรมชาติ บทเพลงของดนตรีม้งเป็นโครงสร้างเพลงที่มีท่อนเพลงหลายท่อน ไม่มีการวนซ้ำไปมา มีองค์ประกอบดนตรีครบถ้วน ทั้งทำนองเพลง การประสานเสียงและจังหวะ นักดนตรีมีอิสระในการสร้างเสียงสูงต่ำ แตกต่างจากทำนองเดิม โดยเกิดจากการควบคุมลมหายใจ ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษและเป็นเอกลักษณ์ในบทเพลง ส่วนเครื่องดนตรีประกอบได้แก่ จัว เป็นการบรรเลงในแนวเดียวตลอดในทุกบทเพลง ซึ่งมีลักษณะและส่วนจังหวะที่ปรากฏให้เห็นในบทเพลงทั้งหมดมีอยู่ลักษณะเดียว ลักษณะการผสมวงมี 2 ลักษณะคือ วงดนตรีที่มีเครื่องดนตรี 2 ชิ้นจะใช้ในพิธีกรรมงานศพคือเก้งและจัว ส่วนงานรื่นเริงจะใช้การร้องเป็นส่วนใหญ่และใช้เครื่องดนตรีชนิดอื่นเล่นในยามว่าง เช่น จ้างและย่าง ส่วนในเรื่องของวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับดนตรีได้มีการสืบทอดมาช้านาน ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเกิดขึ้นในยุคใด สมัยใด ดนตรีชาวเขาเผ่าม้งได้สะท้อนสภาพวัฒนธรรมของม้ง โดยบทเพลงจะใช้บรรเลงประกอบพิธีกรรมงานศพเป็นส่วนใหญ่ ม้งถือว่า บทเพลงกับพิธีกรรมงานศพเป็นสิ่งควบคู่กันอย่างแยกไม่ออก ดนตรีและพิธีกรรมงานศพถือว่ามีความสำคัญที่สุดของม้ง ผลการวิเคราะห์ตามองค์ประกอบของดนตรีสรุปได้ว่า ลักษณะของเสียงเป็นการถ่ายทอดความรู้สึก รูปพรรณมีแนวทำนองประสานเสียง ลักษณะที่เป็นทำนองบรรเลงไปเรื่อยๆ คล้ายเพลงด้น มีทำนองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะชนเผ่าม้ง,ดนตรี,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=607
606หนังสือลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ 24 ประวัติสังเขปชนชาติแม้ว เย้า มูเซอร์ไม่ทราบชื่อผู้แต่งแน่ชัดความเป็นมาของแม้ว เย้า และมูเซอ ค่อนข้างใกล้เคียงกัน กล่าวคือ เดิมอาศัยอยู่ในแถบประเทศจีน ฮ่อ และยูนนาน ก่อนที่จะอพยพเข้าสู่สยาม ดังนั้นลักษณะประเพณี วัฒนธรรม การแต่งกายของชาวเขาทั้ง 3 เผ่า จึงใกล้เคียงกับชาวจีน เช่น พิธีแต่งงาน ภาษาที่ใช้พูด ลักษณะการตั้งถิ่นฐานรวมไปถึงถิ่นที่อยู่ของชาวเขาทั้ง 3 เผ่า จะอยู่บนภูเขาสูง จะสร้างบ้านเพื่อให้สามารถเตรียมเคลื่อนย้ายได้ง่าย ชาวเขาทั้ง 3 เผ่า ส่วนใหญ่ทำการกสิกรรม ทำไร่ ปลูกพืชผัก และเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู ไก่ ไว้บริโภคในครัวเรือนและนำไปขายและแลกเปลี่ยนกับคนพื้นราบ การรักษาอาการเจ็บป่วย ยังอาศัยความเชื่อแบบเดิมเพื่อเยียวยารักษา คือ ฆ่าหมู ไก่ เพื่อบรวงสรวงวิญญาณผีป่า ให้มารักษาอาการเจ็บป่วยลาหู่ ลาฮู,เมี่ยน อิวเมี่ยน, ม้ง,ประวัติชนชาติ,ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2475ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=606
605วิทยานิพนธ์นโยบายและการดำเนินการของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับผู้อพยพชาวมอญระหว่างปี ค.ศ.1952 - 1995ประเสริฐ ทองประสมสารนิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาพัฒนาการนโยบายและการดำเนินการของรัฐบาลไทยต่อผู้อพยพเชื้อสายมอญและกลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกันระหว่างปี ค.ศ.1952-1995 ตั้งแต่การหลั่งไหลของผู้อพยพเข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่ปี ค.ศ.1952 เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ประเทศไทยมีฐานะเป็นผู้ให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยจากประเทศพม่า โดยการเฟื่องฟูของลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นปัจจัยสำคัญที่รัฐบาลตระหนักถึง ชนกลุ่มน้อยและผู้อพยพมอญจึงเป็นแนวสกัดกั้นการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์จากทางตะวันตกของประเทศ (หน้า 90-91)
ประกาศกระทรวงมหาดไทยห้ามคนต่างด้าวสัญชาติพม่าอพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายปี ค.ศ.1976 เป็นจุดเริ่มต้นที่รัฐบาลไทยเริ่มใช้กฎหมายจำแนกสถานภาพผู้อพยพโดยใช้คำว่าผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าแยกออกจากผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (หน้า 46-49)
หลังจากเหตุการณ์นองเลือดที่กรุงย่างกุ้งเมื่อปี ค.ศ.1988 ทำให้มีผู้อพยพเข้ามาในประเทศไทยอีกหลายกลุ่ม รัฐบาลมีนโยบายและแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อห้ามการอพยพเข้ามาของชนกลุ่มน้อย เพราะรัฐบาลพม่าระแวงสงสัยว่าไทยสนับสนุนชนกลุ่มน้อยอยู่เงียบๆ (หน้า 49-52)
เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลงนโยบายของรัฐบาลที่มีต่อผู้อพยพเปลี่ยนแปลงไปเพื่อหวังผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ แต่ก็ยังคงเข้มงวดในเรื่องการอพยพเข้ามาของชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ อยู่เสมอ เว้นเสียแต่ว่าหากสามารถนำคนเหล่านั้นมาเป็นแรงงานได้ รัฐบาลไทยก็ผ่อนปรน สำหรับผู้อพยพมอญ จากที่รัฐบาลมีนโยบายให้ที่พักพิงก็เปลี่ยนมาเป็นการผลักดันออกนอกราชอาณาจักร (หน้า 52-58)มอญ,ผู้อพยพ,รัฐไทย,นโยบาย,การดำเนินการ,กาญจนบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=605
604รายงานการวิจัยงานวิจัยประวัติศาสตร์บ้านครัวและการต่อต้านทางด่วนซีดีโรดของชาวชุมชนเรืองศักดิ์ ดำริห์เลิศงานวิจัย "ประวัติศาสตร์บ้านครัวและการต่อต้านทางด่วนซีดีโรดของชาวชุมชน" ประวัติศาสตร์สำคัญต่อไปนี้ประวัติการณ์ที่ 1 การขุดคลองแสนแสบใต้ผ่านบ้านครัว สมัยรัชกาลที่ 1 บรรพชนเป็นผู้ที่ขุดคลองหลบหลีก หมู่บ้านกองอาสาจาม (ชุมชนบ้านครัว) สุเหร่ากองอาสาจาม (มัสยิดยามีอุลค็ยรียะห์) และสุสานทหารนิรนาม (กุบุรฺ) อนุชนบ้านครัวจะเห็นแนวคลองคดโค้งมาจนทุกวันนี้ประวัติการณ์ที่ 2 การตัดถนนบรรทัดทอง ผ่านบ้านครัวสมัยรัชกาลที่ 7 มีโครงการตัดถนนจากสามแยกเจริญผลไปบรรจบถนนเพชรบุรีที่สามแยกอุรุพงษ์ มีแนวถนนพาดผ่านหมู่บ้านมัสยิดยามีอุลค็ยรียะห์และสุสาน มีโครงการในปี พ.ศ. 2473 แต่ถูกระงับไปเป็นเวลานานประมาณ 30 ปี ต่อมาในรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้รื้อฟื้นโครงการขึ้นใหม่ มาสร้างในช่วงปี พ.ศ. 2501-2506 มีถนน ผ่านกลางหมู่บ้านบางส่วน แต่พ้นจากพื้นที่มัสยิดและสุสาน ตามที่เห็นปัจจุบันประวัติการณ์ที่ 3 โครงการสร้างทางด่วนซีดีโรดผ่านบ้านครัว โครงการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531-ปัจจุบัน (มิถุนายน 2545) แนวทางด่วนซีดีโรดเดิมพาดผ่านชุมชนเป็นส่วนใหญ่ผ่านมัสยิดซูลูกุลมุตตากีน ข้ามคร่อมสุสาน ต่อมาโยกย้ายแนวไปคร่อมคลองมหานาค (แสนแสบใต้) ในช่วงที่พาดผ่านชุมชนบ้านครัว เมื่อพ้นทางด่วนซีดีโรดจะตวัดกลับเข้าแนวเดิมที่สะพานหัวช้าง ไปสิ้นสุดในเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่ถนนราชดำริ โครงการนี้ยังมิได้ยุติและจะยุติลงอย่างไรกล่าวไว้ในบทที่ 7 (หน้า 149)บ้านครัว,ประวัติศาสตร์,ทางด่วน,ปัญหา,ข้อพิพาท,กรุงเทพตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=604
603หนังสือผีตองเหลืองหมื่นวลีงานชิ้นนี้ศึกษากลุ่มชนเผ่า "ผีตองเหลือง" หรือ มลาบรี คือคนป่า บ้านห้วยฮ่อม อ.ร้องกวาง จ.แพร่ เป็นชนกลุ่มน้อยเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ในป่าดงทึบ บนยอดเขาสูงทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มีการพบหลักฐานที่เกี่ยวกับผีตองเหลืองบริเวณภูเขียว จ.ชัยภูมิ ราว พ.ศ.2462 ต่อมาก็พบผีตองเหลืองอีกที่ภูกระดึง จ.เลย และที่ดอยเวียงสระ จ.เชียงใหม่ ในเวลาต่อมา และกระจายออกไปเรื่อยๆ ถึงเขต จ.เชียงราย บริเวณดอยช้าง และในอำเภอต่างๆ ของ จ.แพร่ (อ.ร้องกวาง อ.สอง) จ.น่าน (อ.สา อ.น้อย) ในปัจจุบัน ผีตองเหลืองไม่มีที่อยู่ถาวร จะอพยพย้ายกันไปตามป่าทึบบนดอยต่างๆ จะอพยพในลักษณะวนเวียนกลับมาที่เดิม ไม่เคลื่อนย้ายออกไปนอกเส้นทางมากนักภายในรัศมีประมาณ 30 ตารางกิโลเมตร มักปลูกสร้างที่พักอย่างง่ายๆ เป็นเพิงหมาแหงนเล็กๆ จะปลูกที่พักอาศัยอยู่ใกล้กันประมาณ 3-4 ครอบครัว เพื่อช่วยเหลือกันและกันได้ ปัจจุบัน ผีตองเหลืองกำลังลดจำนวนลงเรื่อยๆ เพราะป่าที่เป็นที่อยู่อาศัยลดจำนวนลง อาหารจึงลดลงตาม ทำให้เกิดการขาดแคลน เจ็บไข้ได้ป่วย เสียชีวิตก่อนวัยอันควร พวกเขาหาอาหารด้วยการล่าสัตว์ เก็บพืชผักผลไม้ตามที่ต่างๆ ในป่ามาแบ่งปันกันกิน บางครอบครัวก็ลงมารับจ้างชาวบ้านป่าหรือชาวเขาเผ่าแม้วทำไร่ โดยได้รับค่าแรงเป็นหมูบ้าง เป็นเงินบ้าง ผีตองเหลืองจะอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 ครอบครัว ครอบครัวหนึ่งมีสมาชิกไม่เกิน 4-5 คน ประเพณีการแต่งงานไม่ค่อยมีพิธีรีตองมากนัก เมื่อฝ่ายชายมีความรักต่อหญิงสาว ก็จะขออนุญาตกับพ่อแม่ฝ่ายหญิงสาว โดยไม่มีสินสอดทองหมั้น เมื่อหย่าร้างจะไม่เสียค่าปรับสินไหม ค่าหย่าร้างใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องเพศสัมพันธ์ของผีตองเหลืองถือว่าปกติ ไม่น่าอับอาย หญิงและชายอาจจะแต่งงานกันมาแล้วคนละหลายครั้ง บางคู่ที่เลิกกันไปแล้วก็อาจจะย้อนกลับมาแต่งงานกับคู่เดิมของตน หากหญิงมีชู้กับชายอื่น สามีจะยกภรรยาให้ไปอยู่กับชู้โดยไม่มีโทษ สุขภาพและอนามัยของผีตองเหลืองไม่ค่อยได้รับการเอาใจใส่ การคลอดลูกของหญิงผีตองเหลืองจะอาศัยผู้หญิงที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกันช่วยทำคลอด โดยห้ามผู้ชายเข้าไปยุ่งเกี่ยวบริเวณนั้นโดยเด็ดขาด เพราะถือเป็นการผิดประเพณี "บ่แมนฮีต บ่แมนคลอง" ผีตองเหลืองนำพืชพันธุ์ไม้ต่างๆ ในป่ามาทำเป็นยารักษาโรคได้ ของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้วิถีชีวิตของผีตองเหลืองเริ่มเปลี่ยนแปลงตาม เพราะต้องปรับตัวให้เข้ากับอารยธรรมสมัยใหม่เพื่อความอยู่รอด รวมไปถึงพื้นที่ป่าอันเป็นแหล่งอาหารได้ลดลงทำให้ผีตองเหลืองต้องปรับตัวเองให้อยู่รอดมลาบรี มราบรี,ชีวิตความเป็นอยู่,การหาอาหาร,ประเพณี,การรักษาโรค,แพร่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแพร่ ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=603
602อื่นๆบทวิเคราะห์ข้อมูลเรื่อง เครื่องจักสานของชาวไทยใหญ่จารุวรรณ โรจน์พงศ์เกษมเครื่องจักสานของไทยใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ และลักษณะประชากร คือ กะเหรี่ยงที่อยู่ข้างเคียง โครงสร้างของเครื่องจักสาน มีทั้ง โครงสร้างที่มีลายเป็นตัวบังคับรูปทรง มีทั้งลายขัด และลายทะแยง โครงสร้างที่ใช้วัสดุอื่น หรือวัสดุเดียวกันเสริมให้คงรูป ประกอบขึ้นเป็นส่วนก้น ส่วนกลาง หรือส่วนผนังของภาชนะ และส่วนปาก ที่มีการเก็บริม และเข้าขอบ เครื่องจักสานจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหน้าที่การใช้สอย และวัสดุ มีทั้งเครื่องจักสานที่ใช้เป็นภาชนะ เครื่องจักสานที่ใช้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องจักสานที่ใช้เป็นเครื่องเรือน และปูลาด เครื่องจักสานที่ใช้ในวัฒนธรรมการบริโภค และเครื่องจักสานที่ใช้เป็นเครื่องจับ ดัก ขังสัตว์ สุนทรียภาพหรือคุณค่าทางความงามเกิดจากรูปทรง โครงสร้าง และลวดลายที่สัมพันธ์กัน สุนทรียภาพที่เกิดจากผิวและสีวัสดุ และสุนทรียภาพที่เกิดขึ้นขณะใช้งาน (หน้า 18-82)ไทยใหญ่,เครื่องจักสาน,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแพร่ ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=602
601วิทยานิพนธ์อิสลามกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ศึกษาผลกระทบทางศาสนาจากการขยายตัวของเมืองในชุมชนมุสลิม แขวงทรายกองดินใต้ เขตมีนบุรีประภา เสียงเสนาะชุมชนมุสลิม แขวงทรายกองดินใต้ เขตมีนบุรี มีประวัติสืบเนื่องยาวนานกว่า 200 ปี โดยเริ่มจากการอพยพมาจากเมืองคะดะห์(ไทรบุรี) และปัตตานี ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ตามลำดับ แต่ในเรื่องของการขยายตัวเมืองในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบแก่ชุมชนอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ การใช้แรงงาน การประกอบอาชีพ ตลอดจนด้านศาสนาและวัฒนธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ชุมชนพยายามดำรงรักษาและถ่ายทอดไปยังลูกหลานให้มากที่สุด ภายใต้ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ การขยายตัวเมืองทำให้ชุมชนต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น จึงจำเป็นต้องหางานที่มีรายได้สูงขึ้นกว่าการทำนาซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิม การจำเป็นต้องออกไปทำงานไกลบ้านทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น มีเวลาว่างน้อยลง เหน็ดเหนื่อย และจะมีผลกระทบต่อการปฏิบัติศาสนกิจ โดยเฉพาะด้านการนมาซและการถือศีลอด เพราะไม่สามารถปฏิบัติได้เต็มที่เท่ากับที่บรรพบุรุษเคยปฏิบัติกันมา สมาชิกชุมชนจึงมีการใช้ข้อผ่อนผันทางศาสนามากขึ้น ผู้นำชุมชนตลอดทั้งคณะกรรมการบริหารชุมชน ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการวางแผนสร้างงาน กระจายงานและรายได้รวมทั้งการให้ความรู้ด้านศาสนาควบคู่กันไป เพื่อให้คนในชุมชนสามารถปรับตัวเข้ากับผลกระทบดังกล่าวได้ โดยยังคงรักษาความเป็นมุสลิมที่ยึดมั่นในคำสอนของศาสนาอิสลามไว้มุสลิม,การขยายตัวของเมือง,อิสลาม,มีนบุรี,กรุงเทพมหานครตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=601
600วิทยานิพนธ์ผฺกาสฺรโพน การศึกษาวิเคราะห์สังคม วัฒนธรรม ความเชื่อของชาวเขมรพระมหาศักดิ์ เพชรประโคนสังคมเขมรในสมัยประมาณ พ.ศ. 2476 เป็นสังคมชนบท การประกอบอาชีพส่วนมากเกี่ยวเนื่องด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การทำนา หาของป่า การค้าขายข้าวและสิ่งจำเป็นแก่การดำรงชีวิตประจำวัน ความเป็นอยู่ของหญิงด้อยกว่าชาย หญิงสาวต้อง อยู่ในโอวาทของพ่อแม่ รักนวลสงวนตัวตามขนบธรรมเนียมเขมรโบราณ คนส่วนมากไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาแบบสมัยใหม่ คนที่ฐานะดีเท่านั้นที่จะส่งเสริมลูกชายให้เล่าเรียนเพื่อรับราชการเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล ผู้หญิงสูงอายุนิยมกินหมากพลูและ เข้าวัดรักษาอุโบสถศีล คนส่วนมากนิยมยกย่องคนดีมีคุณธรรมมีความรู้ความสามารถ แต่กำลังมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนไปในทางวัตถุนิยม โดยเริ่มยกย่องคนที่มีฐานะทางการเงิน ประเพณีแต่งงานเป็นหน้าที่ของพ่อแม่จะจัดการให้ลูกตามที่เห็นสมควร หญิงสาว ไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นเรื่องคู่ครอง การจัดงานศพนิยมตั้งรูปถ่ายคนตายไว้หน้าโลงศพ มีการปักธงจระเข้ มีการบรรเลงเพลงโศกเศร้าที่เรียกว่า "ทามมีง" เป็นเอกลักษณ์ การตั้งศพบำเพ็ญกุศลไม่มีกำหนดวันที่แน่นอนขึ้นอยู่กับความพอใจของเจ้าภาพ ปรัชญาความเชื่อมีลักษณะผสมผสานกันระหว่างความเชื่อตามหลักพุทธศาสนา เช่น หลักกรรม ความเชื่อท้องถิ่น เช่น เชื่อผี เชื่อวิญญาณบรรพบุรุษ ความเชื่อแบบพราหมณ์ เช่น ความเชื่อต่อเทพเจ้า พระอินทร์ พระพรหม ถึงแม้จะถือพุทธศาสนาเป็นหลักแต่ ก็มีพิธีกรรมแบบท้องถิ่นและพราหมณ์เข้ามาเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยเสมอเขมร,สังคม,ประเพณี,ความเชื่อ,นิยาย,ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=600
599เอกสารวิชาการองค์ความรู้การใช้สมุนไพรและระบบการดูแลรักษาสุขภาพพื้นบ้านอิ้วเมี่ยนคณะทำงานและกองเลขาเครือข่ายเมี่ยนศึกษาและรวบรวมองค์ความรู้ภูมิปัญญาพื้นบ้านของชาวเขาเผ่าเมี่ยน ใน 3 จังหวัด คือ พะเยา เชียงราย ลำปางเพื่อส่งเสริมให้รื้อฟื้นคุณค่าและบทบาทของกลุ่มผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญในการดูแลสุขภาพในด้านพฤกษศาสตร์และด้านจิตวิญญาณเพื่อเผยแพร่เกียรติคุณและองค์ความรู้ และเสริมสร้างบทบาทเครือข่ายหมอพื้นบ้านให้เข้มแข็งมากขึ้น ระบบการดูแลสุขภาพของเผ่าเมี่ยนในอดีต เมื่อถึงคราวเจ็บป่วย ชาวบ้านจะใช้รูปแบบการดูแลสุขภาพพื้นบ้านที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่อดีต ทั้งใช้วิธีการบีบนวด ไล่เลือดลม ยาสมุนไพร ใช้คาถาประกอบพิธีกรรม บางส่วนชาวบ้านสามารถทำได้เอง บางส่วนก็อาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น หมอยาสมุนไพร หมอผี หมอคาถา การดูแลรักษาสุขภาพของเมี่ยนจะเกี่ยวโยงกับการให้ความเคารพ ปฏิบัติและยึดมั่นตามหลักความเชื่ออย่างเคร่งครัดสม่ำเสมอ เช่น การเคารพบวงสรวงต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วให้มาคุ้มครองคนในครอบครัวให้รอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยความเชื่อเกี่ยวกับการเจ็บป่วยของเมี่ยนแบ่งได้ 4 ประเภทคือ 1) เกิดจากการกระทำของสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ 2) เกิดจากการที่ขวัญไม่อยู่หรืออกจากร่างกาย 3) เกิดจากการดูแลสุขภาพและความผิดปกติของร่างกาย 4) เกิดจากอุบัติเหตุ ประเภทหมอพื้นบ้าน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1)กลุ่มที่รักษาทางกาย ใช้การบีบนวด จับเส้น ใช้ยาสมุนไพร 2) กลุ่มที่รักษาทางจิตวิญญาณ เรียนตำราหรือผู้รู้ที่เชี่ยวชาญด้านนี้และนำไปปฏิบัติจนชำนาญ เช่น คนเข้าทรง หมอคาถา เป็นต้น ระบบวินิจฉัยโรค แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ โรคที่มีอาการเด่นชัดสามารถวินิจฉัยได้ด้วยตาเปล่า เช่น โรคที่เกิดจากการดูแลรักษาสุขภาพไม่ดี ร่างกายขาดความสมดุล โรคที่เกิดจากเชื้อโรค อุบัติเหตุ เป็นต้น และโรคที่ไม่สามารถบอกสาเหตุหรือวิเคราะห์อาการของโรคได้ ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เช่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณร้ายต่างๆ รวมไปถึงการที่ขวัญหนีออกไปจากร่ายกาย จะใช้ระบบการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและพิธีกรรม กระบวนการเรียนรู้และถ่ายทอด มีทั้ง การถ่ายทอดอย่างเป็นทางการ และการถ่ายทอดอย่างไม่เป็นทางการ เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองจากการสังเกต จดจำ สืบทอดภายในสายตระกูล โดยจะมีข้อห้ามและข้อปฏิบัติของหมอยาสมุนไพรที่เกี่ยวโยงกับความเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของยา โดยจะมีพิธีกรรมเกี่ยวข้องค่อนข้างมากเมี่ยน,อิ้วเมี่ยน,สมุนไพร,การดูแลรักษาสุขภาพ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=599
598วิทยานิพนธ์การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม : กรณีศึกษาหมู่บ้านห้วยโป่งผาลาด อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงรายภูสวัสดิ์ สุขเลี้ยงโดยภาพรวมบ้านห้วยโป่งผาลาดจัดได้ว่า เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถพัฒนาศักยภาพการเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ที่ยั่งยืนได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นชุมชนที่มีความพร้อมทั้งทรัพยากรทางการท่องเที่ยว ประกอบด้วยวัฒนธรรม ประเพณี พิธีกรรม และวิถีการดำเนินชีวิต มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียงพอ สามารถให้บริการนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ในปัจจุบันการวางแนวทางพัฒนาในอนาคต เช่นการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลการท่องเที่ยวของชุมชน การสร้างห้องสุขาสำหรับนักท่องเที่ยว และมีแผนกการพัฒนาบุคลากรที่ชัดเจน เป็นต้น ดังนั้น จากการศึกษาเพื่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม : กรณีศึกษาบ้านห้วยโป่งผาลาด (ชาวเขาเผ่ามูเซอดำ) ตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ในครั้งนี้พบว่า แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมบ้านห้วยโป่งผาลาดยังคงขาดอยู่ก็แต่เพียง การบริหารจัดการภายในชุมชนบางประการที่ยัง ไม่ได้ดำเนินการ ซึ่งหากสามารถปฏิบัติตาม โครงการพัฒนาศักยภาพทางการท่องเที่ยวที่วางแนวทางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บ้านห้วยโป่งผาลาด ก็จะเป็นหมู่บ้านวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนในอนาคต (หน้า 92-93)ลาหู่,ความเป็นอยู่,ประเพณี,การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=598
597อื่นๆประวัติชนชาติเย้าชาญ รังสิยานนท์ชนชาติเย้ามีชาติกำเนิดอยู่ในประเทศจีน อพยพย้ายถิ่นเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสยาม ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่เป็นหย่อมตามเนินเขา มักอยู่กันไม่เป็นหลักแหล่ง ย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ ตามการเพาะปลูก มีความเชื่อเรื่องการนับถือผี การเสี่ยงทาย ขนบธรรมเนียม พิธีกรรม รวมถึงตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับอำนาจของผู้ศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ยังมีภาษาและคำศัพท์ เครื่องแต่งกาย และการไว้ผม สถาปัตยกรรม การแต่งงานและการเลี้ยงดูบุตร การรักษาโรคด้วยฝิ่น รวมถึงลักษณะรูปร่างหน้าตาเป็นเครื่อง แสดงถึงเอกลักษณ์ประจำชาติพันธุ์เย้า,ประวัติศาสตร์,ลัทธิขนบธรรมเนียม,ภาษา,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2468ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=597
596บทความCultural Ideals, socioeconomic change and household composition: Karen, Lua', Hmong and Thai in Northwestern Thailand.(p. 299-329)Kunstadter, Peterงานนี้แสดงให้เห็นว่า แบบแผนการกระจายตัวขององค์ประกอบครัวเรือนในชุมชนต่าง ๆ ที่ต่างชาติพันธุ์กัน สอดคล้องกับอุดมการณ์ด้านวัฒนธรรม ในเรื่องของรูปแบบครัวเรือนของกลุ่มชาติพันธุ์ดังกล่าว เช่น ม้งกับกะเหรี่ยงมีอุดมการณ์เรื่องรูปแบบครัวเรือนต่างกัน นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่า การที่ชุมชนก้าวเข้าสู่ระบบแรงงานรับจ้างและตลาด จะทำให้ครัวเรือนเป็นแบบ ครอบครัวเดี่ยว เช่น กะเหรี่ยง และ ลัวะ ในเมือง (หน้า 327)ปะโอ,ลัวะ,ม้ง,การตั้งถิ่นฐาน,ครัวเรือน,อุดมการณ์ทางวัฒนธรรม,ภาคตะวันตกเฉียงเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2527ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=596
595-เครื่องจักสานของชาวไทยใหญ่จารุวรรณ โรจน์พงศ์เกษมเครื่องจักสานของไทยใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ และลักษณะประชากร คือ กะเหรี่ยงที่อยู่ข้างเคียง โครงสร้างของเครื่องจักสาน มีทั้ง โครงสร้างที่มีลายเป็นตัวบังคับรูปทรง มีทั้งลายขัด และลายทะแยง โครงสร้างที่ใช้วัสดุอื่น หรือวัสดุเดียวกันเสริมให้คงรูป ประกอบขึ้นเป็นส่วนก้น ส่วนกลาง หรือส่วนผนังของภาชนะ และส่วนปาก ที่มีการเก็บริม และเข้าขอบ เครื่องจักสานจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหน้าที่การใช้สอย และวัสดุ มีทั้งเครื่องจักสานที่ใช้เป็นภาชนะ เครื่องจักสานที่ใช้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องจักสานที่ใช้เป็นเครื่องเรือน และปูลาด เครื่องจักสานที่ใช้ในวัฒนธรรมการบริโภค และเครื่องจักสานที่ใช้เป็นเครื่องจับ ดัก ขังสัตว์ สุนทรียภาพหรือคุณค่าทางความงามเกิดจากรูปทรง โครงสร้าง และลวดลายที่สัมพันธ์กัน สุนทรียภาพที่เกิดจากผิวและสีวัสดุ และสุนทรียภาพที่เกิดขึ้นขณะใช้งาน (หน้า 18-82)ไทยใหญ่,เครื่องจักสาน,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=595
594วิทยานิพนธ์วัฒนธรรมการบริโภคอาหารของชาวไทยมุสลิม อำเภอเมือง จังหวัดสตูลปราณี จันทศรีผู้วิจัยได้ศึกษาวัฒนธรรมการบริโภคอาหารของไทยมุสลิม อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ทั้งในโอกาสปกติและโอกาสพิเศษ ในโอกาสปกติ ได้จำแนกตามวัย ในวัยทารก เน้นอาหารที่มีลักษณะเหลวละเอียด บริโภคง่าย การบริโภคอาหารในวัยเด็กและ วัยรุ่น เน้นการเลือกบริโภคตามที่ตนต้องการโดยออกไปบริโภคนอกบ้าน นิยมบริโภคอาหารจานเดียว การบริโภคอาหารในวัยผู้ใหญ่ ในวัยนี้ต้องการอาหารที่มีประโยชน์และให้คุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะต้องทำงานหนัก และในวัยชรา ลักษณะอาหารต้องเป็นอาหารอ่อน สะดวกในการบริโภค ย่อยง่ายและช่วยในการขับถ่าย
วัฒนธรรมการบริโภคในโอกาสพิเศษ จำแนกตามโอกาส ดังนี้ ในโอกาสเจ็บป่วย ต้องเป็นอาหารอ่อน รสชาติจืด ในโอกาสต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยือน จะเหมือนกับการบริโภคอาหารในโอกาสปกติ เพียงแต่เพิ่มปริมาณ และอาจทำอาหารเป็นพิเศษ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฐานะ และความสำคัญของผู้มาเยือน การบริโภคอาหารในโอกาสประเพณีต่าง ๆ ต้องไม่เป็นอาหารต้องห้ามทางศาสนา ต้องเป็นอาหารที่สะอาด บริโภคหลังจากที่ทำพิธีเสร็จแล้ว และการบริโภคอาหารในโอกาสฉลองความสำเร็จหรือประสบโชค เป็นอาหารที่แตกต่างจากโอกาสปกติ ต้องปรุงด้วยเนื้อวัว และเนื้อแพะ ปรุงขึ้นใหม่บริโภคมื้อเดียวหลังจากเสร็จพิธีทางศาสนา (หน้า 243)ไทยมุสลิม,วัฒนธรรม,การบริโภค,สตูลตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสตูล ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=594
593อื่นๆผ้าทอกะเหรี่ยงบ้านป่าเลา อ.แม่ทา จ.ลำพูนวจินตน์ วังแจ่มการศึกษาเรื่องผ้าทอกะเหรี่ยงบ้านป่าเลา อ.แม่ทา จ.ลำพูน ได้กล่าวถึงความเป็นมา การอพยพ และการตั้งถิ่นฐานของกะเหรี่ยง วิถีชีวิต และการแต่งกายของกะเหรี่ยง ที่แยกกันอย่างชัดเจนระหว่างหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน ซึ่งจะใส่ชุดคลุมสีขาว ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้ว จะใส่เสื้อพื้นสีแดง ดำ หรือน้ำเงิน และมีลวดลายงดงาม ส่วนผู้ชายนั้นจะใส่เสื้อและกางเกงที่มีลักษณะเดียวกันตั้งแต่เด็กจนแต่งงาน การทอผ้าเป็นหน้าที่เฉพาะของผู้หญิงที่จะต้องทอให้กับสามีและลูกด้วย การทอผ้ายังแสดงถึงฝีมือ และความประณีต รวมทั้งเป็นหน้าเป็นตาให้กับครอบครัว การศึกษานี้ ยังได้บอกถึงกระบวนการและขั้นตอนการทอผ้าจากปุยฝ้าย จนกระทั่งเป็นผืนผ้า ตัดเย็บเป็นเสื้อ ผ้าซิ่น กางเกง และการตกแต่งลวดลายอย่างสวยงามโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ผ้าทอ,ลำพูนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=593
592วิทยานิพนธ์พลวัตของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ในชีวิตครอบครัว และบทบาททางเพศสภาพของผู้หญิงอิวเมี่ยน (เย้า) ภายใต้ผลกระทบของการพัฒนาวิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์ศึกษาความสัมพันธ์ทางบทบาทของคนในครอบครัว และสังคมของผู้หญิงอิวเมี่ยน (เย้า) โดยผ่านการศึกษาจากผู้ร่วมวิจัยหลักและเป็นกรณีศึกษาหลักที่เป็นผู้หญิงอิวเมี่ยนและ เป็นคนรักของผู้เขียนงานวิจัย รวมทั้งเครือญาติที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่มาขายน้ำเต้าหู้ในตลาดเมืองเชียงใหม่ว่ามีความสัมพันธ์เชิงการใช้อำนาจในเครือญาติอย่างไร ในงานวิจัยได้แบ่งชีวิตของผู้ร่วมวิจัยออกเป็นสามส่วนตั้งแต่แรกเกิดกระทั่งอยู่ในวัยเรียน ชีวิตก่อนตัดสินใจมาอยู่กับคนรัก (ผู้เขียนงานวิจัย) และหลังจากมาอยู่กับคนรัก เพื่อสะท้อนให้เห็นมุมมองของผู้ร่วมวิจัยที่พบเจอจากบุคคลใกล้ชิดเพื่อนร่วมงานรวมทั้งคนรักและทัศนคติที่ได้พบเห็นจากคนพื้นราบและชาวเขาเผ่าต่างๆ ที่ผู้หญิงอิวเมี่ยนได้รับเย้า,ผู้หญิง,เพศสภาพ,ครอบครัว,ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=592
591รายงานการวิจัยThe Akha: Guardians of the Forest.Goodman, Jimอาข่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูง ถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในประเทศจีน โดยเฉพาะในจังหวัดยูนนนาน อาข่าแยกออกเป็นหลายกลุ่มย่อยและอพยพเข้าสู่พม่า ลาว เวียดนาม และประเทศไทยในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา วิถีชีวิตดั้งเดิมของอาข่าอยู่บนพื้นฐานของการทำไร่หมุนเวียนบนพื้นที่สูง โดยเฉพาะการปลูกข้าว และพืชผัก เช่น ฟักทอง แตงกวา ข้าวฟ่าง ลูกเดือย ฯลฯ เป็นระบบเศรษฐกิจที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ แต่อาข่าก็มีการติดต่อค้าขายกับกลุ่มคนภายนอก ระบบเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงทั้งจากการพัฒนาของรัฐ จำนวนประชากรบนพื้นที่สูงหนาแน่นขึ้น อาข่าเริ่มหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น มะเขือเทศ ขิง กะหล่ำปลี พริก ฝิ่น ชา ยาง อ้อย หรือกาแฟ แต่ราคาขายที่ได้ก็ไม่ดีนัก โครงสร้างทางสังคมอาข่านับถือโคตรตระกูลและผีบรรพบุรุษของฝ่ายชาย เมื่อแต่งงานผู้หญิงจะเปลี่ยนมาเป็นคนของตระกูลฝ่ายชาย ในหมู่บ้านจะมีหัวหน้าหมอประกอบพิธีกรรม "Dozema" จะเป็นผู้ประกอบพีธีกรรมตามความเชื่อและประเพณีดั้งเดิมของอาข่า รวมถึงเป็นผู้ดูแลให้สมาชิกในหมู่บ้านให้ประพฤติตนตามข้อปฏิบัติของอาข่า "Akhazang" นอกจากนี้ข้อห้ามและกฎต่างๆ มักจะมีตำนานอธิบายถึงเหตุผลที่ต้องกระทำตามอยู่เสมอ กลุ่มอาข่าเริ่มมีและติดต่อกับโลกภายนอกมากขึ้น จากโครงการพัฒนาบนพื้นที่สูงของรัฐในการสร้างถนน การชลประทาน และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ รวมถึง การให้การศึกษา การสนับสนุนการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของอาข่าจากรูปแบบดั้งเดิมมาสู่ความเป็นสมัยใหม่มากขึ้น (หน้า 1-251)อาข่า วิถีชีวิต สังคมและวัฒนธรรม เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2540ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=591
590บทความThe Akha, The Years After in : Marginalisation in ThailandVan Geusau, Leo A.การเปลี่ยนแปลงและปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเฉพาะกลุ่มอาข่าเท่านั้น แต่ยังในกลุ่มชนที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงอื่น ๆ เช่นกัน ในปี ค.ศ. 1992 ประชากรบนพื้นที่สูงมีจำนวนมากกว่า 6 ล้านคน แต่เป็นประชากรในกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีฐานะเป็นชนกลุ่มน้อย "Hill tribes" เพียง 10 เปอร์เซ็นต์ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านอาข่ามีปัจจัยมาจากการที่รัฐเข้ามาอ้างสิทธิ์ในการจัดการพื้นที่ป่าไม้ และเกิดการขยายตัวเศรษฐกิจ การพัฒนาบนพื้นที่สูง การสร้างถนนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในหมู่บ้านและในพื้นที่โดยรอบไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาทำการสัมปทานป่าไม้ การเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ การศึกษา การรับเอาความเจริญจากการพัฒนาตามโครงการต่างๆ ของรัฐและสิ่งที่สำคัญคือถนนได้รวมชุมชนอาข่าที่เคยแยกเป็นอิสระกับระบบเศรษฐกิจและการปกครองของรัฐระดับมหัพภาคเข้าด้วยกัน กระบวนการเหล่านี้กลายเป็นปัจจัยที่ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงกลายเป็นคนชายขอบ (หน้า 3) ในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา การดำรงชีวิตของอาข่าไม่ง่ายนักสำหรับการเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีสถานะต่ำกว่า แต่อาข่าก็ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้และปรับเปลี่ยนแนวทางเพื่อรับมือกับสถานการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้น การช่วยเหลือกันและการยอมรับการศึกษาแบบใหม่ การยอมรับความช่วยเหลือจากองค์กรอิสระ NGOs เป็นส่วนหนึ่งของการปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างความรู้ใหม่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในสังคมเมืองสมัยใหม่ (หน้า 5-8)อาข่า,การเปลี่ยนแปลง,ความเป็นชายขอบ,เชียงราย,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2535ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=590
589บทความThe Chronical of Saen Charoen Village in Northern ThailandVan Geusau, Leo A.งานวิจัยชิ้นนี้บันทึกคำบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ประเพณีและข้อปฏิบัติต่างๆ ของอาข่าหมู่บ้านแสนเจริญ ภาคเหนือประเทศไทย จากคำบอกเล่าของหัวหน้าหมู่บ้าน ผู้นำอาข่าผู้หญิง นักเล่าเรื่อง (Phi-ma) และหมอประกอบพิธีกรรม โดยมีความพยายามที่จะบันทึกเรื่องราวตรงกับที่ผู้เล่ามากที่สุด หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้เป็นรายงานฉบับร่าง ซึ่ง Dr. Leo A. von Geusau ได้มอบเอกสารให้กับนักวิจัยของศูนย์มานุษยวิทยา สิรินธร ซึ่งทางโครงการได้พิจารณาเห็นว่าเป็นงานชิ้นสำคัญจึงได้นำมาเผยแพร่ในฐานข้อมูลอาข่า,คำบอกเล่า,ประวัติศาสตร์,สังคมวัฒนธรรม,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=589
588วิทยานิพนธ์การศึกษาเปรียบเทียบความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนาของชาวมุสลิมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยานิรันดร์ ขันธวิธิงานศึกษาชิ้นนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบลักษณะแนวความเชื่อและการ ปฏิบัติทางศาสนาของมุสลิมในจังหวัดอยุธยา ใน 6 ประเด็น ได้แก่ ทรรศนะต่อหลักปฏิบัติตามแบบอย่างของศาสดา (ซูนนะฮ์) ทรรศนะและวิธีปฏิบัติต่อผู้นำ (ฎออะฮ์) วิธีขอพร (ดุอาฮ์) พิธีศพ (ญะนาซะฮ์) โอวาทก่อนการละหมาดวันศุกร์ (คุฏบะฮ์) การฉลองวันคล้ายวันประสูติของศาสดา (เมาลิด) จากกลุ่มมุสลิมที่ยึดถือต่างกันใน 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มจุฬาราชมนตรี กลุ่มกีแซะฮ์ภูเขาทอง กลุ่มดะอ์วะฮ์ และกุล่มครูฟอวัดโคก โดยพบว่า มุสลิมทุกกลุ่มมีความศรัทธาร่วมกันในหลักคำสอนของศาสนาและแหล่งที่มาของคำสอนจากคัมภีร์ทางศาสนาคือ อัลกุรอาน และซุนนะฮ์ รวมทั้งหลักนิติศาสตร์อิสลาม ความแตกต่างที่ปรากฏอยู่เป็นข้อปฏิบัติปลีกย่อยซึ่งแต่ละกลุ่มได้รับอิทธิพลจากผู้นำทางศาสนาที่จะมีพื้นฐานความเข้าใจและความรู้ในตัวบทศาสนาเป็นสำคัญ ทั้งนี้การยึดมั่นในผู้นำศาสนาและการยอมรับวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมทั้งภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นปัจจัยสำคัญทำให้มีการตีความศาสนาโดยนำวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้ามาประกอบและถ่ายทอดสืบต่อกันมา จนเกิดกลุ่มความเชื่อที่มีลักษณะเด่นจำเพาะต่างๆ และดำรงอยู่ร่วมกันเป็นพหุสังคมในจังหวัดอยุธยามุสลิม,ความเชื่อ,การปฏิบัติทางศาสนาอิสลาม,อยุธยาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=588
587วิทยานิพนธ์การรับนวัตกรรมและพิธีกรรมทางศาสนา: ศึกษากรณีชุมชนไทยพวนในจังหวัดลพบุรีเชาว์วัย ศุภรตรีทิเพศ, ร.ต.ท.ผู้เขียนได้ศึกษาถึงความเปลี่ยนแปลงในพิธีกรรมจากอดีตสู่ปัจจุบันของไทยพวนบ้านกล้วย พบว่าการนำความพัฒนาและความทันสมัยมาสู่ชุมชน ได้แก่การขุดคลองชลประทาน และการตัดถนนหลวงเข้าสู่ตัวเมือง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบความเชื่อและพิธีกรรมที่สืบทอดมายาวนานภายในหมู่บ้าน เกิดจากปัจจัย 2 ประการที่มาพร้อมกับแผนการพัฒนาของภาครัฐ ดังนี้ 1) การรับนวัตกรรมทางวัตถุ เช่น สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ยานพาหนะ ทำให้พฤติกรรมความเป็นอยู่ของชาวบ้านเปลี่ยนไป ส่งผลถึงการประกอบพิธีกรรม ที่ได้นำวัสดุที่หาได้ตามยุคสมัยและเป็นสิ่งที่ต้องซื้อหาเข้ามาแทนที่สิ่งของเดิมที่เสียเวลาในการ ทำกว่ามาก และยังเป็นของที่คนในหมู่บ้านนำมาช่วยในงานพิธีกรรมของแต่ละบ้าน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันและความสนิทสนมระหว่างครอบครัวแต่ละครอบครัว ก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย 2) การรับนวัตกรรมที่ไม่ใช่วัตถุ เช่น เศรษฐกิจแบบทุนนิยม ทำให้การประกอบอาชีพ หรือการผลิตผลผลิตทางการเกษตรป้อนเข้าสู่ตลาดมากขึ้น และคำนึงถึงระบบเศรษฐกิจมากกว่าการผลิตไว้ใช้เองในบ้าน หรือนำไปแลกเปลี่ยนภายในหมู่บ้านอย่างเช่น ในอดีตกลายเป็นสิ่งที่ไม่นิยมทำกันในปัจจุบันพวน ไทยพวน ไทพวน,ความเชื่อ,พิธีกรรม,การรับนวัตกรรม,การพัฒนา,การปรับตัว,ลพบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลพบุรี ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=587
586อื่นๆชาวเลบ้านแหลมตง : การศึกษาทางด้านมานุษยวิทยาวัฒนธรรมวิสิฏฐ์ มะยะเฉียว, เขมชาติ เทพไชยรายงานการสำรวจชุมชนชาวเลบ้านแหลมตง บรรยายให้เห็นสภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี และพิธีกรรมของชาวเล ชาวเลบ้านแหลมตงได้อพยพมาจากชุมชนชาวเลต่าง ๆ อาทิ ชาวเลสิงห์ อูรักลาโว๊ย และมอเกลน มีการผสมผสานด้านชาติพันธุ์โดยการแต่งงานข้ามกลุ่ม<br />
<br />
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มนายทุนอพยพมาจากสตูล และพวกมุสลิมอพยพมาจากเกาะยาว ชาวเลมีความเชื่อในเทพเจ้าประจำศาล โดยยึดถือเป็นที่พึ่งทางใจ มักทำพิธีแก้บนเมื่อมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ ทั้งยังยกย่องนับถือโต๊ะเป็นผู้นำประจำชุมชน และเป็นที่ปรึกษาด้านพิธีกรรม ผู้ใหญ่บ้านมีบทบาทต่อชีวิตความเป็นอยู่ไม่มากนัก ชาวเลชุมชนบ้านแหลมตงมักอยู่กันเป็นครอบครัวเดี่ยว ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพานายทุนในชุมชนเป็นหลัก ประกอบอาชีพหลักคือการจับสัตว์น้ำ เป็นที่น่าสังเกตว่า ระบบวงจรเศรษฐกิจภายในชุมชนถูกกำหนดขึ้นโดยนายทุน มีการหมุนเวียนสินค้าและค่าจ้างแรงงานในรูปแบบต่าง ๆ เป็นเครื่องผูกมัดชาวเล นายทุนมีบทบาทและอิทธิพลสูงในการกำหนดราคารับซื้อสินค้า โดยให้ราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด ในขณะที่ขายสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ชาวเลในราคาแพง ทั้งยังเป็นเจ้ามือหวยเถื่อน ผูกชาวเลไว้ด้วยระบบหนี้สิน โดยไม่มีหน่วยงานรัฐเข้าไปจัด การอูรักลาโว้ย,ชาวเล,ความเชื่อ,พิธีกรรม,มานุษยวิทยาวัฒนธรรม,เกาะพีพีดอน,กระบี่,ภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกระบี่ ประเทศไทย2527ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=586
585วิทยานิพนธ์การฟ้อนของชาวผู้ไทย : กรณีศึกษาหมู่บ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์สุภาพร คำยุธาชนเผ่าผู้ไทยบ้านโพนมีศิลปะการฟ้อนรำ ทั้งการฟ้อนละครผู้ไทยและฟ้อนผู้ไทยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่สืบทอดต่อกันมา มีพัฒนาการองค์ประกอบในการแสดงด้านต่าง ๆ อาทิการคิดประดิษฐ์ท่าฟ้อน การเพิ่มเครื่องดนตรีประกอบ โดยปรับเปลี่ยน รูปแบบให้เหมาะสมกับโอกาสในการแสดง อาทิ ฟ้อนถวายฯ งานรื่นเริง งานบุญบั้งไฟ งานต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เป็นต้นผู้ไท,การฟ้อน,ละคร,การฟ้อนรำ,ประวัติความเป็นมา,ประเพณี,พิธีกรรม,ภาษา,สังคมวัฒนธรรม,การแต่งกาย กาฬสินธุ์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=585
584วิทยานิพนธ์ศึกษาเปรียบเทียบการเผยแพร่ศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ในกลุ่มชาวเขา ศึกษาเฉพาะกรณีชาวกะเหรี่ยงบ้านผาเด๊ะ ตำบลพระธาตุผาแดง อำเภอแม่สอด จังหวัดตากจำรัส กันทะวงษ์การเผยแพร่ศาสนาพุทธ ส่วนมากจะใช้วิธีการเข้าไปร่วมมือจากหน่วยงานของทางราชการที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือกะเหรี่ยงในหมู่บ้าน หลังจากนั้น มีการสร้างสำนักสงฆ์ให้พระสงฆ์จำพรรษาเพื่อเผยแพร่พุทธศาสนาโดยชักชวนกะเหรี่ยงในหมู่บ้านให้นำบุตรหลานมาบวชเป็นสามเณร ตั้งแต่ พ.ศ. 2527 จนถึงปัจจุบัน มีเด็กชายกะเหรี่ยงที่เข้าบวชเป็นสามเณรมาแล้วจำนวน 4 คน และมีผู้นับถือศาสนาพุทธจำนวน 23 ครอบครัว จำนวน 120 คน สำหรับการปฏิบัติศาสนกิจนั้นจะคล้ายกับชาวไทยพุทธโดยทั่วไป ส่วนทางด้านการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ จะใช้วิธีการเผยแพร่ศาสนาควบคู่กับการให้ความช่วยเหลือแก่กะเหรี่ยง ได้แก่ การให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษา ด้านการประกอบอาชีพและด้านการอนามัย โดยมีการช่วยเหลือที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของกะเหรี่ยง เช่น การตั้งธนาคารข้าว การให้เงินกู้ในการประกอบอาชีพ โดยจะให้ความช่วยเหลือแก่กะเหรี่ยงทุกครอบครัวที่ประสบความเดือดร้อนจากการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 จนถึงปัจจุบัน มีกะเหรี่ยงบ้านผาเด๊ะที่นับถือศาสนาคริสต์จำนวน 10 ครอบครัว สำหรับการปฏิบัติศาสนากิจโดยทั่วไปจะเหมือนกับผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ทั่วไป วิธีที่ทั้งสองศาสนาใช้นั้น มีลักษณะคล้ายกัน คือ การเข้าไปให้ความช่วยเหลือแก่กะเหรี่ยงควบคู่กับการชักชวนให้เข้ามานับถือศาสนาของตน สำหรับความแตกต่างกันนั้น พบว่าทางศาสนาคริสต์มีความพร้อมในการช่วยเหลือมากกว่าทางด้านพุทธศาสนา ทั้งนี้เนื่องจากทางด้านศาสนาคริสต์มีเงินทุนสนับสนุนในการเผยแพร่ศาสนาที่มั่นคง ตลอดจนบาทหลวงที่มีความพร้อมในด้านความเข้าใจในภาษาและรับนโยบายของสภาคาทอลิกเพื่อการเผยแพร่ศาสนาโดยเฉพาะ สำหรับทางด้านพุทธศาสนา ไม่มีแหล่งเงินทุนที่มั่นคงในการเผยแพร่ ส่วนพระสงฆ์นั้น มิได้ผ่านการศึกษาอบรมทางด้านภาษาและวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงมาโดยเฉพาะ กอปรกับมีข้อจำกัดของศีลบางข้อ ที่ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือชาวบ้านได้เต็มที่ ในด้านเกี่ยวกับเงินทุนและปัจจัยที่จำเป็นในการครองชีพต่างๆ การช่วยเหลือของพระสงฆ์จึงต้องอิงกับหน่วยงานของทางราชการ แต่อย่างไรก็ตาม การเผยแพร่ศาสนาของฝ่ายพุทธศาสนาก็ยังได้รับการสนับสนุนมากกว่าทางฝ่ายศาสนาคริสต์ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การเผยแพร่ศาสนา,พุทธศาสนา,คริสต์ศาสนา,ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=584
583วิทยานิพนธ์ผลกระทบจากการจัดการท่องเที่ยวต่อสังคมและวัฒนธรรมของชาวผู้ไทย บ้านโคกโก่ง ตำบลกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์เริงวิชญ์ นิลโคตรสังคมและวัฒนธรรมของผู้ไทมีความเป็นเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ มีการนับถือญาติตามสายผี ความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติดำเนินไปอย่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เอกลักษณ์ทางสังคมและวัฒนธรรมสะท้อนให้เห็นได้จากพิธีกรรมต่างๆ เช่น พิธีกรรมเหยา การแต่งงาน พิธีกรรมสำหรับคนตาย นอกจากนี้ผู้ไทยังมีประเพณีและวัฒนธรรมตามฮีตสิบสอง คลองสิบสี่อย่างชาวไทยถิ่นอีสาน แต่มีขั้นตอนของพิธีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของผู้ไทสอดแทรกเข้าไปด้วย ในส่วนของการจัดการการท่องเที่ยวของชุมชนเริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2526 ตามโครงการจัดงานน้ำตกโคกโก่ง ต่อมาในปี พ.ศ.2541 คณะกรรมการการท่องเที่ยวจังหวัดมีมติเห็นชอบเลือกหมู่บ้านโคกโก่ง เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐ ดังนั้นจึงมีการจัดการอย่างเป็นระบบ ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นอย่างดี วิธีการจัดการท่องเที่ยวของหมู่บ้านมีรูปแบบการนำเสนอประเพณีและความเชื่อผ่านการแสดงกิจกรรม การเหยา การเลี้ยงผี เป็นต้นและนำเสนอวิถีชีวิตในลักษณะโฮมสเตย์ ผลกระทบจากการส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่งผลให้ชุมชนตระหนักถึงความสำคัญของสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่นมากขึ้น ชุมชนมีรายได้และสังคม ภายนอกได้รู้จักชุมชนมากขึ้น ผลกระทบด้านลบส่งผลให้ความสัมพันธ์ มีการเปลี่ยนแปลง เช่นความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน มี การเปลี่ยนจากเดิมที่มีลักษณะเกื้อกูลอุปถัมภ์เป็นลักษณะความสัมพันธ์ที่มุ่งผลต่างๆ ตอบแทนมากขึ้นและการนำเอาประเพณีพิธีกรรมดั้งเดิมของสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่นมาแสดงแก่คณะทัวร์บางพิธีกรรม เช่น พิธีกรรมเหยาเลี้ยงผี ทำให้ถูกมองว่า จะทำให้คุณค่าของพิธีกรรมดังกล่าวลดความน่าเชื่อถือผู้ไท,สังคม,วัฒนธรรม,การท่องเที่ยว,กาฬสินธุ์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=583
582วิทยานิพนธ์การศึกษาการปรับตัวทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของชาวม้ง ภายใต้โครงการพัฒนาของรัฐในพื้นที่อำเภอพบพระ จังหวัดตากบุญทวงศ์ เจริญผลิตผลการอพยพของม้งออกจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก มาอยู่ในพื้นที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก จำนวน 17 หมู่บ้าน ทำให้เกิดการปรับตัวของม้งทั้งผู้ที่ถูกอพยพและม้งที่ถูกยึดพื้นที่ทำกิน ทางด้านเศรษฐกิจคือ การประกอบอาชีพ มีการเพาะปลูกพืชเพื่อขายแทนการทำการเกษตรเพื่อยังชีพ มีการรับวัฒนธรรมสังคมเมืองเข้าสู่ชุมชน มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเพณีวัฒนธรรมที่มีอยู่ เกิดค่านิยมในสังคมเมือง มีการแข่งขันและเกิดการขัดแย้งทางการเมืองและการปกครอง มีปัญหาสังคมที่รุนแรงคือปัญหายาเสพติด และส่งผลให้เกิดปัญหาเด็กกำพร้าตามมา เนื่องจากบิดา - มารดาเสียชีวิตหรือถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับยาเสพติด การปรับตัวของม้งในพื้นที่การดำเนินโครงการพัฒนาของรัฐทำให้มีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากสังคมดั้งเดิมไปสู่สังคมสมัยใหม่ ซึ่งมีทั้งสิ่งที่ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและสิ่งที่ทำลายวัฒนธรรมของม้งในขณะเดียวกัน ข้อเสนอแนะ การดำเนินโครงการพัฒนาของรัฐจึงควรจะคำนึงถึงประเพณี วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของม้ง โดยให้ม้งกลุ่มเป้าหมายเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานทุกกระบวนการม้ง,การปรับตัว,โครงการพัฒนาของรัฐ,ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=582
581วิทยานิพนธ์วิเคราะห์นิทานไทยพวน ตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัยกิ่งแก้ว เพ็ชรราชเป็นการวบรวมนิทานพื้นบ้านของไทยพวนตำบลหาดเสี้ยว มีเนื้อหาครอบคลุมวรรณกรรมพื้นบ้านประเภทนิทาน มีการจำแนกประเภท วิเคราะห์โครงสร้างของนิทาน ภาพสะท้อนสังคมด้านต่าง ๆ เช่นชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ ประเพณี ความเชื่อ ค่านิยม ที่ปรากฎในนิทานตามกฎวรรณกรรมพื้นบ้านของเอกเซล ออลริค (หน้า265)ไทยพวน,นิทาน,ความเชื่อ,ประเพณี,ค่านิยม,สุโขทัยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสุโขทัย ประเทศไทย2528ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=581
580วิทยานิพนธ์บทบาทในครอบครัวของผู้หญิงกะเหรี่ยง อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่สุภาวดี คุ้มแว่นการศึกษาบทบาทในครอบครัวของผู้หญิงกะเหรี่ยง อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการศึกษาปัจจัยที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงบทบาทการเป็นภรรยาและบทบาทการเป็นมารดาของผู้หญิงกะเหรี่ยงสะกอบ้านแม่ขะปู ในแต่ละช่วงอายุ โดยวิธีการศึกษาเข้าร่วมสังเกตอย่างมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก โดยอาศัยอยู่กับชาวบ้านในชุมชนเป็นระยะเวลา 1 ปี ผลการศึกษาพบว่า การรับนวัตกรรมและการติดต่อกับโลกภายนอก เป็นปัจจัยที่มีผลทำให้บทบาทการเป็นภรรยาและบทบาทการเป็นมารดาของผู้หญิงกะเหรี่ยงเปลี่ยนแปลงไป และน้ำประปาเป็นปัจจัยที่ทำให้บทบาทการเป็นภรรยาเปลี่ยนแปลงไป แต่ไม่มีผลทำให้บทบาทการเป็นมารดาเปลี่ยนแปลงไปด้วย (หน้า ง)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ครอบครัว,บทบาทผู้หญิง,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=580
579วิทยานิพนธ์ปัญหาในการพิจารณาให้สถานะคนต่างด้าวแก่ชาวเขาผู้อพยพ : กรณีศึกษาอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายโชคชัย ศรีหิรัญรัตน์เนื้อหางานวิจัยมุ่งประเด็นไปยังปัญหาของโครงการพิจารณาให้สถานะคนต่างด้าวแก่ชาวเขาที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย โดยต้องการศึกษาถึงความรู้ ความเข้าใจต่อโครงการพิจารณาให้สถานะคนต่างด้าวแก่ชาวเขาที่อพยพในพื้นที่อำเภอเชียง ของ จ.เชียงราย โดยแบ่งประเด็นการวิเคราะห์ออกเป็น 3 ประเด็น คือ 1. การวิเคราะห์เกี่ยวกับความรู้ ความเข้าใจต่อโครงการฯ 2. การวิเคราะห์เกี่ยวกับปัญหาของการดำเนินงานเกี่ยวกับโครงการ ฯ 3. การวิเคราะห์เกี่ยวกับผลกระทบที่ได้รับจากการดำเนินการชาวเขา,คนต่างด้าว,สถานภาพทางกฎหมาย,เจ้าหน้าที่รัฐ,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=579
578รายงานการวิจัยเกษตรทฤษฏีใหม่และเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อครอบครัวผาสุก : กรณีศึกษา นายหวังกี่ ลี เกษตรกรชาวเขาเผ่าม้ง ในจังหวัดเชียงใหม่ลีศึก ฤทธิ์เนติกุลศึกษาครอบครัวของนายหวังกี่ ลี เกษตรชาวเขาเผ่าม้งในจังหวัดเชียงใหม่ที่ใช้ระบบการเกษตรอิงทฤษฏีใหม่และดำเนินชีวิตตามเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำริ เพื่อครอบครัวผาสุก รวมถึงวิวัฒนาการการทำเกษตร การบริหารแรงงานและกิจกรรม
ในครัวเรือน จากการศึกษานี้พบว่า ครอบครัวนายหวังกี่ ลี สามารถเลี้ยงตัวเองได้ด้วยการปลูกข้าว พืชไร่ เลี้ยงสัตว์ และค้าขายภายในหมู่บ้าน แม้จะไม่สามารถทำเงินได้มาก เนื่องจากไม่สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดใดชนิดหนึ่งได้มากจากการทำการเกษตรระบบผสมผสาน แต่ก็มีผลผลิตพอบริโภคตลอดทั้งปี ครอบครัวของนายหวังกี่ ลี มีไข่และเนื้อสัตว์บริโภคเป็นอาหารปกติ ในขณะที่ครอบครัวอื่นซึ่งมีฐานะดีกว่าถือว่า อาหารพวกเนื้อและไข่เป็นของหายาก อีกทั้งในส่วนของผลผลิตที่มีมากเกินกว่าการบริโภคก็แบ่งขายเป็นรายได้เสริม มีเงินพอแก่ความจำเป็น ไม่เป็นหนี้เป็นสิน สามารถนำไปซื้อสิ่งของจำเป็นในเมืองและส่งลูกไปศึกษาต่อในเมืองได้
จากการสังเกตของผู้วิจัยพบว่าสมาชิกในครัวเรือนของนายหวังกี่ ลี ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน มีการแบ่งงานกันทำตามศักยภาพกระจายแรงงานอย่างเหมาะสมในหมู่สมาชิกในครอบครัว หากเกิดความสับสน นายหวังกี่ ลี จะเป็นผู้ชี้ขาดคนสุดท้ายให้ทุกคนปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นการจัดการตามจารีตประเพณีที่สืบทอดกันมาม้ง,เกษตร,ชาวเขา,เศรษฐกิจพอเพียง,ทฤษฏีใหม่,ครอบครัว,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=578
577รายงานการวิจัยสภาพความเป็นอยู่และปัญหาของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตากณรงค์ ใจหาญสภาพความเป็นอยู่และปัญหาของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตากเป็นผลมาจากปัญหาด้านการคมนาคม เนื่องจากสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านอยู่ห่างไกลความเจริญ ทำให้บริการจากรัฐด้านต่างๆ เข้าไม่ถึง เกิดปัญหาด้านต่าง ๆ ตามมา ทั้งปัญหาความยากจนเนื่องจากพื้นที่ทำการเกษตรไม่ได้ผล ปัญหาการไม่ได้รับสัญชาติไทย การขาดเอกสารสิทธิครอบครองในที่ดินทำกินของตน ปัญหาด้านสุขอนามัย ขาดแคลนครูเข้าไปสอน ขาดโรงเรียนและหลักสูตรที่สอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิต นอกจากนี้ยังพบอุปสรรคด้านภาษาและการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้นำหมู่บ้าน - ชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ของทางการ ทำให้ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงไม่ได้รับความช่วยเหลือ ดูแลจากทางการอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมคนพื้นราบ อีกทั้งเจตคติหรือทัศนคติเชิงลบของเจ้าหน้าที่ทางการต่อชาวเขา ส่งผลให้เกิดการตราข้อกำหนดกฎเกณฑ์ในทางที่คล้ายเป็นการเลือกปฏิบัติปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),สถานภาพ,การปกครอง,การดำรงชีวิต,ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=577
576รายงานการวิจัยความแปลกแยกทางการเมืองของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดปัตตานีหวันอับดุลเลาะฮ์ ทรงเลิศความสัมพันธ์ระหว่างคุณสมบัติส่วนบุคคลของไทยมุสลิมในพื้นที่จังหวัดปัตตานีต่อความยึดมั่นผูกพันในศาสนา และความแปลกแยกทางการเมืองพบว่า ความยึดมั่นผูกพันในศาสนาของไทยมุสลิมมิได้มีความสัมพันธ์กับความแปลกแยกทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ มุสลิมในจังหวัดปัตตานีมิได้มีความแปลกแยกมากมายนัก และมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของระบอบการเมืองเช่นเดียวกับคนไทยในพื้นที่อื่นๆ ในหมู่มุสลิมเพศชายมีแนวโน้มการยึดมั่นผูกพันในศาสนาและมีแนวโน้มในการปฏิบัติศาสนกิจสูงกว่าเพศหญิง ผู้ที่มีอายุและรายได้มากกว่ามีแนวโน้มในการปฏิบัติมากกว่า กลุ่มที่สมรสแล้วมีแนวโน้มจะยึดมั่นผูกพันทางศาสนาสูงกว่ากลุ่มคนโสด อย่างไรก็ดี ตัวแปรด้านอาชีพ ระดับการศึกษา และสถานภาพสมรสเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บุคคลมีความแปลกแยกทางการเมือง นักศึกษามีความแปลกแยกทางการเมืองมากที่สุดเนื่องจากการตระหนักถึงปัญหาบนพื้นฐานของความรู้ ส่วนข้าราชการมีระดับความแปลกแยกทางการเมืองน้อยที่สุด กลไกแก้ปัญหาความแปลกแยกและข้อขัดแย้งอาจบรรเทาได้ด้วยการให้ความสำคัญกับมนุษย์ ในเชิงยอมรับความแตกต่างหลากหลายด้านวัฒนธรรม และยอมรับเอกลักษณ์เฉพาะทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากไทยมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่อาศัยในพื้นที่มาแต่อดีต และเคยมีอิสระในการปกครองในฐานะประเทศราชมาก่อน ส่งผลให้มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ความผิดพลาดด้านนโยบายผสมกลมกลืนของรัฐในอดีตไม่ประสบผลสำเร็จ กลับก่อให้เกิดความขัดแย้ง แปลกแยกระหว่างไทยมุสลิมบางกลุ่มกับเจ้าหน้าที่ของรัฐจนเกิดปัญหาขึ้น (หน้า 16-19, 61, 63, 65-66, 68-70, 143, 146-147, 150, 155-156)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,มลายู,การเมือง,ความแปลกแยก,ปัตตานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=576
575รายงานการวิจัยแนวทางแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในทัศนของกรรมการอิสลามประจำจังหวัดจักรพันธุ์ วงษ์บูรณาวาทย์วัตถุประสงค์ของงานวิจัยชิ้นนี้เพื่อต้องการทราบทัศนะของกรรมการอิสลามประจำจังหวัดว่า อะไรเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเขามีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไรบ้าง โดยใช้วิธีแจกแบบสอบถามและสัมภาษณ์กรรมการอิสลาม โดยเป็นการวัดทัศนคติของกรรมการอิสลามในประเด็นต่างๆ ดังนี้คือ ความเห็นเรื่องความช่วยเหลือของรัฐบาลในการอุปถัมภ์ค้ำชูศาสนาอิสลามว่าเพียงพอหรือไม่ โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความเห็นว่าไม่เพียงพอ ความเห็นเรื่องรัฐบาลเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาท้องถิ่นเพียงพอหรือไม่ โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่าไม่เพียงพอ และได้เสนอแนะให้รัฐบาลช่วยเหลือใน 3 ประเด็นหลักๆ คือ 1) ความต้องการด้านโครงสร้างหลัก 2) ความต้องการโครงสร้างทางเศรษฐกิจ 3) ความต้องการโครงสร้างทางสังคม สำหรับความเห็นที่ว่า ฐานะทางเศรษฐกิจของคนในท้องถิ่นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ดีขึ้นแล้วหรือยัง ซึ่งกลุ่มตัวอย่างโดยส่วนใหญ่เห็นว่ายังไม่ดีพอ สำหรับสาเหตุของปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้และแนวทางแก้ไข กลุ่มตัวอย่างเห็นว่าสาเหตุหลักๆ มาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐมากที่สุด รองลงมาคือปัญหาทางเศรษฐกิจ การศึกษา และสาเหตุอื่นๆ นอกจากนี้ ยังได้สอบถามความเห็นจากกรรมการอิสลามประจำจังหวัดว่าประชาชนในท้องถิ่นของเขาได้รับความเดือดร้อนจากกลุ่มใดมากที่สุด กลุ่มตัวอย่างโดยส่วนใหญ่เห็นว่า ความเดือดร้อนมาจากกลุ่มโจรผู้ร้ายทั่วๆ ไป จากเจ้าหน้าที่รัฐ จากขจก. และจากกลุ่มอื่นๆ เช่น ผกค. โจรลักเล็กขโมยน้อย และพวกติดยาเสพติด กรรมการอิสลามประจำจังหวัดยังมีความเห็นว่าคุณสมบัติความรู้ ความสามารถของข้าราชการทั่วไปมีเพียงพออยู่แล้ว ส่วนคุณสมบัติด้านอื่นๆ เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต ความเสียสละอุทิศตนให้ส่วนรวม ความยุติธรรม และความจริงใจที่มีต่อประชาชน ยังต้องปรับปรุงแก้ไขทั้งสิ้น สำหรับผู้วิจัยได้ระบุแนวทางการแก้ไขปัญหา ดังนี้ 1) ปรับปรุงแก้ไขที่ตัวข้าราชการ เพื่อให้เป็นบุคคลที่มีภาพพจน์ที่ดีในสายตาประชาชน 2) ปรับปรุงแก้ขทางด้านโครงสร้างหลัก โดยเน้นหนักความเจริญด้านถนนหนทางและการคมนาคมที่สะดวก 3) ปรับปรุงทางด้านสังคม โดยส่งเสริมให้มีการศึกษาอย่างทั่วถึง เน้นความสำคัญของการศึกษาในหลักสูตรภาษาไทย 4) ปรับปรุงด้านเศรษฐกิจ โดยประกันราคาสินค้า หาทางกำจัดพ่อค้าคนกลางโดยการตั้งสหกรณ์ ให้ประชาชนสามารถเพิ่มรายได้โดยวิธีการต่างๆ 5) ปรับปรุงโครงการเข้าถึงประชาชน โดยให้กรรมการอิสลามมีบทบาทร่วมในโครงการต่างๆ ของทางราชการ 6) ปรับปรุงการบริหารงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ใหม่เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงานและเอกภาพในการปกครองบังคับบัญชาระหว่างส่วนราชการต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานของทหาร ตำรวจ และพลเรือน (ดูหน้าบทคัดย่อ)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,คณะกรรมการอิสลาม,แนวทางแก้ไขปัญหา,จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2523ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=575
574รายงานการวิจัยความสัมพันธ์และทัศนคติของเด็กไทยมุสลิมต่อผู้ใหญ่หนุ่มสาวและสูงอายุ (ญาติ-ไม่ใช่ญาติ)ศรีเรือน แก้วกังวาลความสัมพันธ์และทัศนคติระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่หนุ่มสาว และผู้ใหญ่สูงอายุมีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กทุกด้าน คือ ร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา งานวิจัยชิ้นนี้จึงศึกษาข้อมูลเพื่อสำรวจสัมพันธภาพและทัศนคติของเด็กไทยมุสลิมต่อผู้ใหญ่ หนุ่มสาว (25-60 ปี) และผู้ใหญ่สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) เด็กไทยมุสลิมในกลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 574 คน เป็นเด็กอายุ 6-12 ปี (วัยเด็กตอนปลาย) เป็นตัวแทนของเด็กไทยมุสลิม 4 กลุ่ม คือ ภาคเหนือ 4 จังหวัดภาคใต้ กรุงเทพฯ และภาคใต้ ทัศนคติในการศึกษามี 10 ประเด็น คือ ดี-ไม่ดี เศร้า-สุข ถูก-ผิด น่ารัก-ไม่น่ารัก สวย-น่าเกลียด เป็นมิตร-เป็นศัตรู สะอาด-สกปรก รวย-จน สุขภาพดี-ขี้โรค มีน้ำใจ-ไร้น้ำใจ โดยมีวัตถุประสงค์ในการวิจัยดังนี้คือ 1) ศึกษาความสัมพันธ์และทัศนคติของเด็กทุกกลุ่มต่อผู้ใหญ่หนุ่มสาวและสูงอายุโดยภาพรวม 2) ศึกษาความแตกต่างของทัศนคติของเด็กต่อผู้ใหญ่หนุ่มสาวและสูงอายุโดยแยกตามทัศนคติ 10 ประเด็น 3) เปรียบเทียบความสัมพันธ์และทัศนคติต่อผู้ใหญ่หนุ่มสาว-สูงอายุ ของเด็กทั้ง 4 กลุ่ม 4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติต่อผู้ใหญ่หนุ่มสาวและสูงอายุกับตัวแปรอื่นๆ ที่เป็นภูมิหลังของเด็กกลุ่มตัวอย่างคือ การมีผู้สูงอายุในหมู่บ้าน ความถี่ในการไปมัสยิด ความถี่ในการสวดมนต์ และการทำกิจกรรมร่วมกับผู้สูงอายุ ผลการศึกษาพบว่า สัมพันธภาพและทัศนคติของเด็กไทยมุสลิมทั้ง 4 กลุ่ม ที่มีต่อผู้ใหญ่หนุ่มสาวและสูงอายุมีความเหมือนกันมากกว่าแตกต่างกัน ความแตกต่างที่เกิดขึ้นน่าจะเกิดจากความแตกต่างของการดำเนินชีวิตที่แปลกกันตามภูมิภาคของประเทศและวัฒนธรรมท้องถิ่น เด็กมุสลิมโดยภาพรวมมีสัมพันธภาพและทัศนคติที่ดีต่อผู้สูงอายุมากกว่าผู้ใหญ่หนุ่มสาวอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างเครือญาติของคนไทยมุสลิมกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะชาวมุสลิมภาคใต้ อีกทั้งแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์และการเกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่นของไทยมุสลิมโดยส่วนรวม (ดูบทคัดย่อ)มุสลิม,เด็ก,ผู้ใหญ่,ทัศนคติ,ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=574
573รายงานการวิจัยการปกครองท้องที่ต่างวัฒนธรรม : สถานการณ์ในบริเวณ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และแนวทางแก้ไขจักรกฤษณ์ นรนิติผดุงการ,ทวี สวนมาลี และ ปริญญา อุดมทรัพย์การประเมินสถานการณ์ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งนี้ กระทำจากผู้ให้ข้อมูลหลายกลุ่ม ทั้งข้าราชการในระดับสูงกว่าจังหวัด ระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล ตัวแทนประชาชน และประชาชน โดยมีภูมิหลังทางเชื้อชาติศาสนาที่แตกต่างกัน คือ ไทยพุทธ และมุสลิม เพื่อนำมาวิเคราะห์สถานการณ์ 4 ด้านคือ การปกครองและความมั่นคง การเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสังคมความเป็นอยู่ สถานการณ์ในทุกๆ ด้านของ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่อดีตมามีแนวโน้มและความเป็นไปดีขึ้นจากจุดต่ำสุดเมื่อปี พ.ศ. 2518 มาจนถึงจุดที่ประเมินพอใจมากคือในปัจจุบัน (พ.ศ.2525 - 2526) และผู้ประเมินยังคาดหวังอีกว่าสถานการณ์ในอนาคต จะดีขึ้นตามลำดับ แต่ย่อมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหลายประการ (หน้า 156 - 170)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ไทยพุทธ,เศรษฐกิจ,การปกครอง,จังหวัดชายแดน,ภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=573
572วิทยานิพนธ์ปัญหาการปรับตัวทางสังคมของนักเรียนชาวเขาเผ่าปกากะญอในโรงเรียนบ้านห้วยทราย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่นงลักษณ์ แก้ววงศ์ดีผู้เขียนพบว่า นักเรียนชาวเขาเผ่าปกากะญอมีปัญหาการปรับตัวทางสังคมด้านความสัมพันธ์กับเพื่อน และด้านความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมในโรงเรียนอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีปัญหาเรื่องเพื่อนไม่ค่อยให้นักเรียนเป็นที่ปรึกษาอยู่ในระดับมาก อาจเป็นเพราะว่า นักเรียนชาวเขาเผ่าปกากะญอที่เป็นกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเพศชายอยู่ช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่ให้ความสำคัญของเพื่อนมาก ต้องการมีเพื่อนสนิทเพื่อนที่รู้ใจคอยให้คำปรึกษา แต่เนื่องจากความแตกต่างทางด้านประเพณี วัฒนธรรม ค่านิยมความสนใจและระยะเวลาที่เข้ามาศึกษาทำให้นักเรียนไม่มีเพื่อนพูดคุยด้วย (หน้า 41) ส่วนปัญหาการปรับตัวด้านความสัมพันธ์กับครูและด้านความสัมพันธ์กับชุมชนอยู่ในระดับน้อย โดยนักเรียนไม่กล้าปรึกษาปัญหากับครูเนื่องจากพึ่งเข้ามาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ ทำให้ยังไม่มีความไว้วางใจที่จะให้บุคคลอื่นรับรู้ปัญหาของตนเอง และคนในชุมชนยังไม่มีความสนิทสนมกับนักเรียนทำให้ไม่กล้าที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนเท่าที่ควร (หน้า 43)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),นักเรียน,การปรับตัว,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=572
571หนังสือลักษณะทางเศรษฐกิจสังคมของชุมชนและประชาชน ในพื้นที่กิ่วลม 3 จังหวัดลำปาง (Siocio-Economic of KEW LOM III)ไม่ระบุเนื้อหาภายหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงการศึกษา หมู่บ้าน 10 แห่งจาก 3 อำเภอใน จ.ลำปาง อันเป็นพื้นที่ที่โครงการชลประทานกิ่วลมครอบคลุมอยู่ว่าการสร้างระบบชลประทานจะส่งผลกระทบต่อประชากรในแง่ใดบ้างโดยศึกษาตั้งแต่ประวัติความเป็นมาของประชากร ลักษณะทางสังคม ความเชื่อ เศรษฐกิจ โดยเฉพาะความเห็นของประชากรต่อการชลประทาน พบว่ากว่าร้อยละ 80 เห็นด้วย และถึงแม้ว่าจะมีการพูดถึงปัญหาที่จะตามมา ผู้เขียนได้กล่าวถึงข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหานี้ไว้อีกด้วยประชากร,สังคม,เศรษฐกิจ,ลำปางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2543ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=571
570หนังสือLife in a Lisu VillageDavies, John R.ลีซูหมู่บ้าน Dton Loong อพยพเข้ามาจากชายแดนพม่าในปี ค.ศ. 1960 ในอดีตหมู่บ้านดำรงวิถีชีวิตด้วยการทำไร่หมุนเวียนปลูกข้าวและพืชผักต่าง ๆ และเลี้ยงสัตว์ ปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจหลักของหมู่บ้านขึ้นอยู่กับการทำหัตถกรรมเย็บผ้าส่งออกขายนอกหมู่บ้าน นักท่องเที่ยวเข้ามาในหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้น และลีซูออกไปทำงานรับจ้างในเมืองเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน สภาพเศรษฐกิจและสังคมของลีซูในหมู่บ้านได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาและการติดต่อกับโลกภายนอก อย่างไรก็ตามกาลเวลาไม่สามารถย้อนกลับการที่จะดำรงวัฒนธรรมของลีซูให้คงอยู่ ขึ้นอยู่กับการที่หมู่บ้านมีระบบเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และการมีสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิมของตนไว้ รวมถึงการที่กลุ่มคนภายนอกพยายามเรียนรู้ ทำความเข้าใจ ยอมรับ และมองเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมอื่นแม้ว่าจะเป็นวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยก็ตามลีซู,ความเป็นมา,วัฒนธรรม,ชีวประวัติ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2545ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=570
569หนังสือHistory of the Malay Kingdom of PataniSyukri, Ibrahim (ชื่อสมมติ) เขียน Conner Bailey และ John N. Miksic แปลงานเขียนมีเนื้อหาหลักที่ความขัดแย้งและสงครามระหว่างสยามในอดีตจนถึงรัฐบาลไทยในปัจจุบันกับคนมุสลิมในภาคใต้ ผู้เขียนพยายามสะท้อนภาพความคับแค้นใจของคนมุสลิมที่ถูกกดขี่ ถูกแย่งชิงทรัพยากร ถูกฆ่าอย่างทารุณโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐไทย ทั้งในสงคราม และในความหวาดระแวง งานเขียนนี้เปรียบเสมือนตัวแทนความรู้สึกนึกคิดของคนมุสลิมที่ถ่ายทอดออกมาให้โลกภายนอกได้รับรู้ถึงชะตากรรมของเผ่าพันธุ์ และเรียกร้องให้คนมุสลิมรุ่นหลังลุกขึ้นมากำหนดอนาคตของตนเองด้วยมือของตนเอง อย่าตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้กดขี่อย่างรัฐบาลไทยอีก สิ่งที่น่าสนใจของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่เป็นมุมมองของคนมุสลิมอย่างแท้จริง ผู้เขียนเขียนหนังสือนี้เพื่อเผยแพร่ในหมู่คนมุสลิมในภาคใต้ เขียนเป็นภาษายาวี เพื่อให้คนมุสลิมได้เรียนรู้ความเป็นมาของตนเองออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,รัฐปตานี,ประวัติศาสตร์,พัฒนาการ,การล่มสลาย,จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2528ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=569
568บทความKaren Tradition According to Christ or Buddha: The Implications of Multiple Reinterpretations for a Minority Ethnic Group in ThailandHayami, Yokoเนื้อหาของบทความได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของกะเหรี่ยงในเรื่องของความเชื่อทั้งสองแบบ สำหรับความเชื่อดั้งเดิมเป็นความเชื่อที่ถือเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่สืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษ และความเชื่อใหม่ที่มาจากสังคมภายนอกนั้นกะเหรี่ยงได้ยึดถือปฏิบัติเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสังคมภายนอก เนื่องจากทุกวันนี้กะเหรี่ยงติดต่อกับสังคมภายนอกทั้งทางกายภาพและเศรษฐกิจ การเป็นที่ยอมรับจากสังคมภายนอกว่ามีสถานภาพทางสังคมที่เท่าเทียมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับวิถีชีวิตของกะเหรี่ยงในปัจจุบันปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ความเชื่อ,ประเพณี,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2539ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=568
567บทความInter-Ethnic Relations in the Making of Mainland Southeast AsiaHayashi, Yukioเนื้อหาภายในเอกสารฉบับนี้กล่าวถึงความเป็นมา ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต ความเชื่อ ประเพณี ความสัมพันธ์ และปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงของชาติพันธุ์ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลัวะ,ยอง,ไต คนไต ไตโหลง ไตหลวง ไตใหญ่,ขึน ไทขึน,ยวน คนเมือง,มอญ,ชาติพันธุ์,วิถีชีวิต,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=567
566บทความDiscarding the Basket: The Reinterpretation of Tradition by Akha Christians of Northern ThailandKammeren, Conelia Annอาข่ากล่าวถึงการละทิ้งหรือเลิกใช้ตะกร้าสะพายหลังว่าเป็นผลมาจากการกระทำตามคัมภีร์ทางศาสนาคริสต์ แต่จากการเก็บข้อมูลวิจัย นอกเหนือจากเหตุผลดังกล่าวแล้วอาข่าเองสมัครใจจะเลิกใช้ตะกร้าดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าไม่ร่วมสมัยอาข่า,ตะกร้า,ประเพณี,ความคิดความเชื่อ,การเปลี่ยนแปลง,ศาสนาคริสต์,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2539ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=566
565บทความPast Perception of Local Identity in the Upper Peninsular Area: A Comparative Study of Thai and Malay Historical LiteraturesChuleeporn Virunhaบทความนี้ต้องการจะวิเคราะห์มุมมองต่ออัตลักษณ์ในท้องถิ่นแหลมมลายูส่วนบนในอดีต ตามที่ปรากฏในวรรณกรรมของท้องถิ่นไทยและมลายู สิ่งที่เลือกมาศึกษาคือศูนย์กลางอำนาจท้องถิ่นในช่วงก่อนศตวรรษที่ 19 ได้แก่ เมืองขนาดเล็กของไทยหรือ "maung" และของมลายูเรียก "karajaan" โดยศึกษาในเชิงเปรียบเทียบจากวรรณกรรมของทั้งสองฟากชายแดนแต่มุ่งความสนใจไปที่ "Hikayat Patani", "Hikayat merong Mahawangsa", "the Tale of Lady White Blood" และ "Tamnan Maung Nakorn Si Thammarat" การศึกษาทั้งเนื้อหาและบริบททางประวัติศาสตร์จากเรื่องดังกล่าวมีประเด็น 2 ประเด็นหลักได้แก่ ประการแรกปัญหาของอัตลักษณ์ - มุมมองของฝ่ายหนึ่ง(พวกเรา) ต่อคนอื่น(พวกเขา) ถูกสะท้อนออกมาอย่างไร ปัจจัยอะไรที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปแบบอัตลักษณ์ กลุ่มชาติพันธุ์ ศาสนา วัฒนธรรมหรือความจำเป็นเพื่อความปลอดภัย ประการที่สองคือเรื่องปฏิสัมพันธ์ สะท้อนว่าท้องถิ่นนี้เป็นศูนย์กลางความสัมพันธ์กับภายในภูมิภาคอย่างไร ผลที่ยังไม่เป็นทางการของการศึกษานี้ปรากฏว่าก่อนที่จะมีแนวคิดเรื่องรัฐชาติและเขตแดน มุมมองของอัตลักษณ์ในพื้นที่คาบสมุทรมลายูส่วนบน แสดงถึงนัยสำคัญของ 'ความแตกต่าง' และ 'ความหลากหลาย' การเข้าใจอัตลักษณ์โดยส่วนมากในหลายกรณีค่อนข้างแคบและรวมศูนย์ด้วยความรู้ตัว แต่ไม่ยึดติดกับชาติพันธุ์หรือภูมิภาคว่าเป็นปัจจัยแห่งความแตกต่างของอัตลักษณ์โดยเฉพาะ ในขณะเดียวกันมีความพยายามที่จะสร้างสิ่งที่เป็น "ภูมิภาค" ความรู้สึกเป็นเจ้าของ และเพื่อที่จะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และระหว่างรัฐในแง่ของการมีต้นกำเนิดและประสบการณ์ร่วมกัน สำหรับปัญหาปฏิสัมพันธ์ การสำรวจวรรณกรรมพื้นเมืองเสนอการดำรงอยู่ของการปฏิสัมพันธ์แบบคู่ขนาน 2 คู่ ได้แก่การปฏิสัมพันธ์แนวตรงระหว่างศูนย์กลางไทยและมลายูในแหลมมลายูส่วนบน คู่ขนานกับระบบอุปถัมภ์ภายในและภายนอกภูมิภาค แม้ว่าจะมีการแข่งขันและความขัดแย้งอยู่มาก อีกทั้งมีการบังคับในความสัมพันธ์แบบบรรณาการก็ตาม แต่ความทรงจำที่สะท้อนในประวัติศาสตร์นิพนธ์เสนอภาพของระบบที่ดำรงอยู่ร่วมกันมากกว่าการครอบงำ จากมุมมองของประวัติศาสตร์ก่อนสมัยใหม่ ในฐานะที่เป็นมุมมองในอดีตต่ออัตลักษณ์ผ่านประวัติศาสตร์นิพนธ์ของคนพื้นเมือง ยืนยันความพิเศษเฉพาะของพื้นที่แหลมมลายูส่วนบนว่า เป็นจุดบรรจบของความสัมพันธ์ทางอำนาจ วัฒนธรรม และกลุ่มชาติพันธุ์ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มลายู,อัตลักษณ์ท้องถิ่น,ตำนาน,ประวัติศาสตร์,ท้องถิ่นตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=565
564บทความLuang Pho Thuat as a Thai Cultural Hero: Popular Religion in the Integration of PattaniJory, Patrickการบูชาหลวงพ่อทวดวัดช้างไห้ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน เข้าใจว่ามีความเชื่อมโยงทางการเมืองกับรัฐไทยในการบูรณาการปัตตานีและจังหวัดรอบๆ ในฐานะเมืองศูนย์กลางพุทธศาสนาในขณะที่มีความไม่แน่นอนทางการเมืองซึ่งมีสาเหตุมาจากการเคลื่อนไหวเพื่ออำนาจปกครองตนเองของชาวมาเลย์ในปัตตานี (หน้า 36)หลวงพ่อทวด,พุทธศาสนา,วีรบุรุษทางวัฒนธรรม,บูรณาการ,ปัตตานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=564
563บทความสรุปผลการประชุมสัมมนา เรื่อง การแก้ไขปัญหาชุมชนบนพื้นที่สูงสำนักงาน ศอ.ชข.ทภ. 3 (ศูนย์อำนวยการประสานงานแก้ไขปัญหาชาวเขา และกำจัดการปลูกพืชเสพติด กองทัพภาคที่ 3)เนื้อหาเป็นการบรรยายเรื่องการแก้ไขปัญหาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับชาวเขาและการปลูกพืชเสพติด และมีการอภิปรายเรื่องแนวคิดในการจัดทำแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาชุมชน สิ่งแวดล้อม และควบคุมพืชเสพติดบนพื้นที่สูง และเรื่องปัญหาชุมชนบนพื้นที่สูง นอกจากนี้ยังมีการอภิปรายกลุ่มย่อยในเรื่อง ดังนี้ - แนวทางการแก้ไขปัญหาการลงทะเบียนชาวเขาและการสกัดกั้นผลักดันชาวเขา แนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการจัดที่อยู่อาศัยและที่ทำกินแก่ชาวเขา - แนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกในความเป็นไทยให้แก่ชาวเขา - บทบาทหน้าที่ของคณะทำงานชาวเขาอำเภอ โดยมุ่งเน้นให้เห็นถึงสภาพปัญหาและข้อเท็จจริง แนวทางการพิจารณาของกลุ่ม และแนวทางการแก้ไข ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางหาข้อสรุปและจัดทำแผนแม่บทระดับชาติ จัดตั้งองค์กรระดับอำเภอเพื่อแก้ไขปัญหาให้ถูกต้อง สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงม้ง, เมี่ยน, ลีซู ลาหู่, อ่าข่า, ลเวือะ, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ชาวเขา,ชุมชนบนพื้นที่สูง,การแก้ปัญหา,การสร้างจิตสำนึกความเป็นไทย,การลงทะเบียน,การจัดที่อยู่อาศัย,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2532ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=563
562บทความThe Hill Tribes of Northern Thailand: Current Trends and Problems of their Integration into the Modern Thai NationMischung, Rolandบทความนี้ผู้เขียนต้องการนำเสนอบทบาทของชาวเขาที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย กับการเข้ารวมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยยุคปัจจุบัน โดยนำเสนอประเด็นปัญหาที่มีมาตั้งแต่ในอดีต ทั้งแนวคิดและทัศนคติของชาวเขาและคนพื้นราบที่มีต่อกัน บทบาททางสังคม การเมือง และการดำเนินการของรัฐบาล โดยนำเสนอในแนวประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ผู้เขียนยังแสดงความคิดเห็นและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้จากการดำเนินนโยบายของรัฐบาล หากการดำเนินการของรัฐบาลสร้างแรงกดดัน และมองข้ามความหลากหลายทางชาติพันธุ์ซึ่งเป็นรากฐานของสังคมไทยม้ง, เมี่ยน, ลีซู, ลาหู่, ลวะ,ลัวะ,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), ขมุ,ชาวเขา,รัฐไทย,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2542ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=562
561วิทยานิพนธ์อาชีพการทอผ้ากี่เอวของชนเผ่ากะเหรี่ยง บ้านพระบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูนฤชุอร แซ่โกยผลการวิจัยพบว่าการทอผ้าของชนเผ่ากะเหรี่ยงที่บ้านพระบาทห้วยต้มมีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต โดยเป็นการทอเพื่อใช้นุ่งห่มในชีวิตประจำวันและในประเพณีต่างๆ เช่น ประเพณีแต่งงานและขึ้นบ้านใหม่ ต่อมาเมื่อหน่วยงานต่างๆ ได้เข้าไปจัดสร้างสาธารณูปโภคขยายโอกาสทางการศึกษาและส่งเสริมอาชีพการทอผ้า ทำให้การทอผ้ากลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับชนเผ่ากะเหรี่ยง กระบวนการผลิตจึงเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในเชิงพาณิชย์ ด้วยการพัฒนาคุณภาพของเส้นใย สีย้อมให้มีความคงทน มีการประยุกต์ลวดลายและผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายมากขึ้น รวมถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการถ่ายทอดความรู้ที่มิได้จำกัดเฉพาะเพศหญิงในระบบเครือญาติเท่านั้น แต่เป็นการถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นระบบจากหน่วยงานที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือ (หน้า ง-จ)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การทอผ้า,กี่เอว,บ้านพระบาทห้วยต้ม,ลำพูนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=561
560วิทยานิพนธ์ลักษณะผู้ใหญ่บ้านที่ชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยงต้องการ: อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอนเบญญาภา สกุลวนาการผลการวิจัยพบว่าลักษณะของผู้ใหญ่บ้านที่ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในอำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอนต้องการมากที่สุดคือ ผู้ใหญ่บ้านที่เป็นที่พึ่งของลูกบ้านได้ ให้คำปรึกษาช่วยเหลือและห่วงใยลูกบ้าน รองลงมาคือ ผู้ใหญ่บ้านที่มีส่วนร่วมกับสังคมดี เข้ากับคนในหมู่บ้านได้ มีลักษณะประนีประนอม คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน มีความรับผิดชอบดี มีความอดทน เป็นผู้นำแบบประชาธิปไตย ปฏิบัติตามหน้าที่ถูกต้องเป็นกลาง ส่วนผู้ใหญ่บ้านที่ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงต้องการน้อยที่สุดคือ ผู้นำเลี้ยงผีไร่ประจำปี รองลงมาคือ ผู้นำซึ่งมุ่งแต่งานแต่ไม่สนใจความรู้สึกของคน และผู้ใหญ่บ้านที่เป็นทายาทของผู้นำแต่เดิม (หน้า 79)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ผู้ใหญ่บ้าน,การปกครอง,แม่ฮ่องสอน,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=560
559ปริญญานิพนธ์ลักษณะทางสังคม เศรษฐกิจ และความเชื่อของกะเหรี่ยงเผ่าโปว์ บ้านตุงติง ตำบลอมก๋อย อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่สุรีพร ชินวงศ์จากการศึกษาพบว่าสังคมกะเหรี่ยงโปว์บ้านตุงติงยังมีลักษณะของสังคมแบบดั้งเดิมอยู่ โดยส่วนใหญ่เป็นแบบครอบครัวเดี่ยว มีการสืบสายบรรพบุรุษฝ่ายมารดา และมีเซี่ยเก็งคูเป็นหัวหน้าชุมชนในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ประชากรยังคงแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายประจำเผ่า แต่การศึกษาของชุมชนยังอยู่ในระดับต่ำกว่าการศึกษาภาคบังคับ อาชีพหลักของกะเหรี่ยง คือเกษตรกรรม โดยการทำนา และทำสวนมะเขือเทศ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่ามีผีสิงสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีพิธีเซ่นไหว้ผีเหล่านั้น เช่น พิธีกินผี พิธีกินปีใหม่ พิธีเลี้ยงผีประปา เป็นต้นโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),สังคม,เศรษฐกิจ,ความเชื่อ,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=559
558วิทยานิพนธ์ผลของการส่งเสริมการปลูกพืชเชิงอนุรักษ์ดินและน้ำบนที่สูงที่มีต่อชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ : กรณีศึกษาโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมบนที่สูงจรีเมธ อังกสิทธิ์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ศึกษาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านแรงงาน ต่อกะเหรี่ยงที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยพบว่าแรงงานภาคการเกษตรมีจำนวนลดลง มีสาเหตุมาจากการเคลื่อนย้ายแรงงานกะเหรี่ยงสู่พื้นที่ราบ พื้นที่นาดำเพิ่มขึ้น เนื่องจากการปรับขยายพื้นที่นาดำ ทำให้พื้นที่ทำไร่เลื่อนลอยลดลง วงจรหมุนเวียนพื้นที่เพื่อการเกษตรลดลงจาก 2.13 ปี เป็น 1.36 ปี เนื่องจากมีการทำไร่นาถาวรทดแทนการทำไร่เลื่อนลอยมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการส่งเสริมของโครงการฯ ในด้านกรรมวิธีการผลิตและปรับปรุงพันธุ์พืช รายได้จากการเลี้ยงสัตว์ลดลง โดยหันมามุ่งเน้นด้านการเพาะปลูกและการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมกันมากขึ้น รายได้นอกการเกษตรเพิ่มขึ้น เนื่องจากกะเหรี่ยงส่วนใหญ่หันมาประกอบอาชีพรับจ้างนอกหมู่บ้าน (หน้า 78-80)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การพัฒนา,การอนุรักษ์ทรัพยากร,เชียงใหม่,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=558
557รายงานการวิจัยประเพณีการผูกข้อมือ-การกินน้ำสุกและพระพุทธศาสนา : ศึกษากรณีกะเหรี่ยงโปภาคกลางสุรพงษ์ กองจันทึกเดิมกะเหรี่ยงโปว์ด้ายขาวมีการไหว้ผี กินอ้นกินปลา บูชาต้นไม้ เมื่อรับพุทธศาสนาจากมอญ กะเหรี่ยงบางกลุ่มเปลี่ยนมาผูกข้อมือด้วยด้ายเหลืองสะเดิ่ง บางกลุ่มเลิกผูกข้อมือและเปลี่ยนมากินน้ำสุก กลุ่มด้ายขาวในประเทศไทยพยายามปรับตัวเข้าหาพุทธศาสนา โดยเปลี่ยนจากไหว้ผีป่าเป็นไหว้ผีบ้านและไหว้พระในบ้าน จนกระทั่งผู้อื่นก็สามารถไหว้พระที่บ้านของตนได้ กลุ่มด้ายเหลืองสะเดิ่งก็เปลี่ยนเป็นด้ายเหลืองพระ เพื่อให้มีสีเหลืองคุ้มครองเช่นเดียวกับพระ ไหว้และเคารพพระแทนการไหว้เจดีย์เสาสะเดิ่งและเจ้าวัด ความเคร่งครัดในประเพณีปฏิบัติเริ่มคลายลงเมื่อกลุ่มกินน้ำสุกได้ตีความว่าเหล้าก็เป็นน้ำสุกและหันมาดื่มเหล้า ส่วนกะเหรี่ยงที่หันไปนับถือศาสนาคริสต์ได้เลิกผูกข้อมือและกินน้ำสุกแล้ว อย่างไรก็ดี สังคมกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ยังคงยึดมั่นในพุทธศาสนา จะงดฆ่าสัตว์ ตัดต้นไม้ และจะไปทำบุญที่วัดในวันพระ วัดและเจ้าวัดยังคงเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของกะเหรี่ยงทุกคน (หน้า 65-66)โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การผูกข้อมือ,การกินน้ำสุก,พุทธศาสนา,ภาคกลางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=557
556วิทยานิพนธ์โครงสร้างทางสังคมของชนเผ่ากะเหรี่ยง กรณีศึกษาหมู่บ้านตีนธาตุ ตำบลแม่จะเรา อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตากชวลิต ธนาคำ, ร.ต.ท.ผลการศึกษาสภาพความเป็นอยู่ของประชากรกะเหรี่ยงในหมู่บ้านตีนธาตุ ตำบลแม่จะเรา อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ทำให้ทราบว่าประชากรกะเหรี่ยงนั้นมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างไปจากคนไทยโดยทั่วไป ส่งผลให้ภาพรวมของโครงสร้างทางสังคมมีลักษณะเฉพาะตน แต่ในปัจจุบันสังคมของกะเหรี่ยงบ้านตีนธาตุกำลังเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยเนื่องจากมีการติดต่อสัมพันธ์กับชุมชนภายนอกเพิ่มขึ้นทำให้เกิดการไหลบ่าของวัฒนธรรมจากภายนอกเข้าสู่หมู่บ้านมากขึ้นตามไปด้วย (หน้า ก-ข)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),โครงสร้างทางสังคม,บ้านตีนธาตุ,ตาก,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2528ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=556
555อื่นๆการศึกษาลวดลายการต้องกระดาษโดยใช้สิ่วตอกของกลุ่มไทยใหญ่ ในเขตอำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอนอนุสรณ์ บุญเรืองจากการศึกษาพบลวดลายต้องกระดาษประมาณ 100 ลายที่มีลักษณะคล้ายลวดลายของการฉลุโลหะ เนื่องจากมีที่มาจากแหล่งเดียวกัน คือ การประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมในพุทธศาสนา ทำให้ผู้พบเห็นเกิดความศรัทธาในพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น การฉลุลวดลายต้องกระดาษส่วนใหญ่จะสร้างลวดลายให้รวมอยู่ในแผ่นเดียวกัน และมีเทคนิคการต้องลายโดยการใช้ลิ่มหรือสิ่วตอกลงบนกระดาษให้เกิดลวดลายที่อ่อนช้อยตามแบบที่ร่างขึ้น ทั้งนี้ ช่างฝีมือได้ยึดคติและความเชื่อทางพุทธศาสนาผสมผสานกับจินตนาการในการสร้างสรรค์ลวดลาย จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของช่างฝีมือแต่ละคนไทใหญ่,หัตถกรรม,ลวดลายการต้องกระดาษ,แม่ฮ่องสอน,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=555
554วิทยานิพนธ์การศึกษาตำรับอาหารพื้นบ้านชาวยองพิกุล บุญมากาศตำรับอาหารพื้นบ้านของคนยองทั้ง 47 ตำรับ จำแนกเป็นประเภทแกง 19 ตำรับ ประเภทน้ำพริก (ต๋ำ) 14 ตำรับ และประเภทอื่นๆ อีก 14 ตำรับ ปรุงโดยวิธีคั่ว (ผัด) ยำ และแอ๊บ อาหารดังกล่าวล้วนมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุ ส่วนเครื่องปรุงสำคัญ ได้แก่ ปลาร้า เกลือ กะปิ และนิยมใช้ตะไคร้ ข่า ขมิ้น ใบมะกรูด กระเทียม หัวหอมเล็ก ผักชีในการปรุงแต่งอาหารให้น่ารับประทานยิ่งขึ้น โดยรายการอาหารที่รับประทานในชีวิตประจำวันกับในงานประเพณีและเทศกาลต่าง ๆ ส่วนใหญ่มีความคล้ายคลึงกัน จะมีรายการอาหารบางอย่างที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่ แกงฮังเล แกงอ่อม แกงหยวก แกงปลีตาล ห่อนึ่ง จิ้นปิ้ง น้ำพริกอ่อง ขนมจ๊อก ข้าวต้มกล้วย และขนมบะแต๋งลาย นอกจากนี้ผลไม้ที่นิยมรับประทาน ได้แก่ กล้วยน้ำว้า มะม่วง ส้มโอ และกระท้อน (หน้า 92-94)ยอง,อาหาร,ลำพูน,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=554
553วิทยานิพนธ์The Relationship of Smoking by Karen parents to the Mortality of Their Children During the First Year of LifeTidwell, Denis D.การสูบยาสูบ ของพ่อแม่กะเหรี่ยง ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของบุตรที่เพิ่งคลอด (หน้า i, ii)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),สตรี,บุหรี่,พม่าตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2532ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=553
552หนังสือHilltribe Health and Family Planning : Results of a survey of Hmong (Meo) and karen Households in Northern ThailandKamnuansilpa, Peerasit; Kunstadter, Peter and Auamkul, Nantaมีเนื้อหาเกี่ยวกับม้งและกะเหรี่ยงเกี่ยวกับโรคติดต่อจากที่อยู่อาศัย โรคขาดสารอาหาร การคลอดบุตร และสุขภาพของเด็กๆ กับสุขภาพของครรภ์มารดาที่พบว่า งานสาธารณะสุขชุนชนมีน้อย รวมไปถึงเรื่องของการคุมกำเนิดของสตรีวัยเจริญพันธ์ที่แต่งงานแล้ว การให้นมบุตร และการบริการสุขภาพให้กับเด็กม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,ความเชื่อ,เศรษฐกิจ,การคุมกำเนิด,แม่ฮ่องสอน,ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2530ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=552
551หนังสือสาระองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นอิ้วเมี่ยน (เย้า)สมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย(ศ.ว.ท./IMPECT) และคณะมีเนื้อหาครอบคลุมความเป็นมาของวัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณี ศิลปะพื้นบ้านตลอดจนวิถีชีวิตของเมี่ยนเมี่ยน,อิ้วเมี่ยน,เย้า,วัฒนธรรม,พะเยาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=551
550รายงานการวิจัยสภาพสังคมเศรษฐกิจและพฤติกรรมการสื่อสารของชาวเขาเผ่า เย้า ม้ง และถิ่น ในจังหวัดน่าน ข้อเสนอแนะสำหรับการวางแผนผลิตสื่อเพื่อการเผยแพร่นวัตกรรมกองควบคุมพืชเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. สำนักนายกรัฐมนตรีในกระบวนการพัฒนาผู้ที่จะนำในการเปลี่ยนแปลงจะต้องมีคุณสมบัติทางจิตวิทยา และพบว่าการแพร่ขยายของสื่อมวลชนจะช่วยให้คนล้าหลังกลายเป็นคนทันสมัย ดังนั้นนักพัฒนาจึงต้องหยิบใช้เครื่องมือจากสื่อให้เหมาะสมเพื่อให้ผู้รับข่าวสารเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่าง ซึ่งกองควบคุมพืชเสพติด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด มีนโยบายหลักที่จะช่วยให้ชาวเขาลดหรือขจัดการปลูกฝิ่น โดยได้ทำการศึกษาชาวเขาเผ่าเย้า ม้ง ถิ่น ใน 4 หมู่บ้านคือ บ้านละเบ้ายา บ้านกอก บ้านสะกาดเหนือและบ้านสะกาดกลางในจังหวัดน่าน ตั้งแต่วันที่ 3-9 พฤศจิกายน พ.ศ 2526 สภาพสังคมของชาวบ้านทั้ง 4 เขต มีประเพณีของชนเผ่ายึดถือและปฏิบัติกันเป็นรอยรีต และเริ่มมีการรับความเชื่ออื่นเข้ามา เช่น พุทธศาสนา เป็นต้น ด้านเศรษฐกิจเป็นระบบการผลิตเพื่อยังชีพ มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันบ้าง เช่น เมี่ยง ฝ้าย ข้าวโพด และสัตว์เลี้ยง เป็นต้น ส่วนพฤติกรรมการสื่อสาร ชาวบ้านมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นส่วนมากและมีความสนในต่อการอบรมในเรื่องการเกษตรและการทำมาหากิน โดยวิทยุเป็นรูปแบบการสื่อสารที่เข้าถึงชาวบ้านมากที่สุด แต่ในรูปแบบอื่นยังไม่ได้รับความสนใจจากชาวบ้านเนื่องจากความไม่เข้าใจม้ง,เมี่ยน อิวเมี่ยน,ลัวะ,การสื่อสาร,สภาพสังคม,เศรษฐกิจ,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2527ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=550
549หนังสือประเพณีมอญที่สำคัญจวน เครือวิชฌยาจารย์ประเพณีมอญสามารถบอกถึงวิถีชีวิตของคนไทยเชื้อสายมอญตั้งแต่เกิดจนตาย รวมทั้งประเพณีในพุทธศาสนา เช่น การเทศน์มหาชาติที่คนไทยเชื้อสายมอญแถบลุ่มแม่น้ำแม่กลองยังยึดถือปฏิบัติกันอยู่ ประเพณีมอญดังกล่าวบางอย่างมีแนวปฏิบัติคล้ายกับประเพณีของคนไทยเชื้อสายอื่นๆ บางครั้งก็แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะคนไทยเชื้อสายมอญที่อาศัยอยู่ลุ่มแม่น้ำแม่กลองในเขตบ้านโป่ง อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี มีประเพณีบางอย่างที่คนไทยเชื้อสายมอญเห็นว่าไม่สำคัญก็ค่อยๆ สูญหายไปตามสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีประเพณีที่เห็นว่าสำคัญและดำรงรักษาไว้ แม้ว่าอาจจะมีการปรับเปลี่ยนบ้าง เช่น ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีโกนผมไฟ ประเพณีนับถือผีบ้าน ฯลฯ ซึ่งกลายเป็นอัตลักษณ์มอญเป็นที่น่าภูมิใจของคนไทยเชื้อสายมอญ (หน้า คำนำ, คำนำผู้เขียน)มอญ,ประเพณี,ราชบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=549
548วิทยานิพนธ์วัฒนธรรมและการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของชาวลัวะ บ้านละอูบ ตำบลห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อยพระครูประภากรพิศิษฎ์ (บุญรัตน์ ทาประภากร)ทุกวันนี้ลัวะมีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมประเพณีหลายอย่าง เพราะความเจริญเข้ามาในหมู่บ้าน จึงมีการผสมผสานวัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามาในหมู่บ้าน เช่น ภาษาพูดไทยกลาง ไทยล้านนาและประเพณีของไทย ตลอดจนการแต่งกาย นอกจากนี้ความเปลี่ยนแปลงส่วนหนึ่งก็มาจาก คนในหมู่บ้านไปขายแรงงานต่างถิ่น เมื่อกลับบ้านเกิดจึงนำเอาวัฒนธรรมใหม่ๆ มาเผยแพร่ แทนวัฒนธรรมเดิมที่เป็นแบบลัวะเพียงอย่างเดียวลเวือะ,การผสมกลมกลืน,วัฒนธรรม,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=548
547วิทยานิพนธ์ภาวะเจริญพันธุ์ของสตรีชาวเลในจังหวัดกระบี่ พังงาและภูเก็ตถวิล นำปัญจพลจากการศึกษาพบว่าอายุแรกสมรสมีความสัมพันธ์กับภาวะเจริญพันธุ์คือ จำนวนบุตรเกิดรอดน้อยลง ตามการเพิ่มขึ้นของอายุแรกสมรส สตรีที่มีระยะเวลาการสมรสนานกว่าจะมีบุตรเกิดรอดสูงกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการตายของทารกกับภาวะเจริญพันธุ์มีผลทำให้ภาวะเจริญพันธุ์ลดลง การพิจารณาเป็นรายจังหวัดหรือพิจารณาโดยควบคุมอายุสตรีปัจจุบันก็ให้ผลทำนองเดียวกัน สำหรับปัจจัยด้านสังคมพบว่า การศึกษาของสามีและของภรรยามีความสัมพันธ์กับภาวะเจริญพันธุ์ คู่สมรสที่ไม่รู้หนังสือ มีจำนวนบุตรเกิดรอดเฉลี่ยสูงกว่าคู่สมรสที่รู้หนังสือ การศึกษารายจังหวัด ในระดับพวกที่ไม่รู้หนังสือและพวกที่รู้หนังสือ ก็ให้ผลในทำนองเดียวกัน สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะโครงสร้างของครอบครัวกับภาวะเจริญพันธุ์พบว่าไม่มีแบบแผนแน่นอน ส่วนความ สัมพันธ์กับศาสนาพบว่าสตรีสามีนับถือลัทธิไทยใหม่มีจำนวนบุตรเกิดรอดโดยเฉลี่ยสูงกว่าสตรีที่สามีนับถือศาสนาพุทธและศาสนาหรือลัทธิอื่นๆ แต่เมื่อพิจารณาตามหมวดอายุพบว่า ค่าที่ได้ไม่แตกต่างกันมากนัก จากการศึกษาปัจจัยด้านเศรษฐกิจพบว่าสตรีหรือสามีที่มีอาชีพตั้งแต่ 2 อาชีพขึ้นไปจะมีจำนวนบุตรเกิดรอดสูง แต่เมื่อพิจารณาแต่ละหมวดพบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอาชีพกับภาวะเจริญพันธุ์มีน้อยมาก ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้กับภาวะเจริญพันธุ์พบว่า คู่สมรสที่มีรายได้ต่ำจะมีภาวะเจริญพันธุ์สูงกว่าคู่สมรสที่มีรายได้สูงกว่า ไม่ว่าจะพิจารณาจากทุกจังหวัดหรือพิจารณาเป็นรายจังหวัด ปัจจัยด้านอื่นๆ เกี่ยวกับความรู้ ทัศนคติและการวางแผนครอบครัวพบว่าผู้ที่เห็นด้วยกับการวางแผนครอบครัวจะมีจำนวนบุตรเกิดรอดโดยเฉลี่ยต่ำกว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วย ผู้ที่เคยใช้การปฏิบัติเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวจะมีจำนวนบุตรเกิดรอดโดยเฉลี่ย ต่ำกว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วย และผู้ที่เคยใช้การปฏิบัติเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวจะมีจำนวนบุตรเกิดรอดโดยเฉลี่ยต่ำกว่าผู้ที่ไม่เคยใช้ ถ้าพิจารณาตามหมวดอายุ พบว่า กลุ่มอายุ 15-24 ปีพบว่า ผู้ที่เห็นด้วยและผู้ที่เคยใช้การคุมกำเนิดเพื่อการวางแผนครอบครัว กลับมีจำนวนบุตรเกิดรอดโดยเฉลี่ยสูงกว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วย และผู้ที่เคยใช้ในกลุ่มอายุ 35-44 ปีหรือมากกว่า จะมีความสัมพันธ์กลับกัน นอกจากนี้ ผลของความแตกต่างด้านประชากร เศรษฐกิจ สังคม ที่มีผลต่อภาวะเจริญพันธุ์จะเห็นเด่นชัดในจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดกระบี่มากกว่าจังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ตมีสภาพเศรษฐกิจสูงกว่าแต่พบว่ามีภาวะเจริญพันธุ์ต่ำกว่าอีก 2 จังหวัด เมื่อมีการคุมตัวแปรด้านประชากร เศรษฐกิจและสังคม ก็ให้ผลในทำนองเดียวกัน นอกจากนี้เมื่อนำอายุของสตรีมาพิจารณาด้วย พบว่า จังหวัดภูเก็ตมีภาวะเจริญพันธุ์ต่ำกว่าอีก 2 จังหวัดโดยเฉพาะในหมวดอายุ 15-24 ปีและ 35-44 ปีอูรักลาโว้ย, ชาวเล,สตรี,ภาวะเจริญพันธุ์,กระบี่,พังงา,ภูเก็ตตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกระบี่ ประเทศไทย2526ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=547
546วิทยานิพนธ์ลักษณะและปัญหาในการสื่อสารต่างวัฒนธรรมระหว่างชาวเลกับเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน กรณีศึกษาโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเลในตำบลราไวย์ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ตจิราพร บุตรสันติ์ผลวิจัยพบว่า ชาวเลเปิดรับข่าวสารจากนักพัฒนาชุมชนในลักษณะของการพบปะที่บ้าน การนัดประชุมและการบอกข่าวผ่านผู้นำชุมชน ในทัศนะของชาวเลระบุว่า ไม่มีอุปสรรคในการสื่อสารต่างวัฒนธรรม ชาวเลต้องการให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาเป็นคนภูเก็ตเช่นกัน ภาษามิได้เป็นอุปสรรคในการสื่อสารกับนักพัฒนาชุมชนชาวเลต้องการเปลี่ยนแปลงตนเองให้เข้ากับชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ แต่ยังมีชาวเลที่รู้สึกว่านักพัฒนาชุมชนเป็นคนละกลุ่มกับพวกเขาและมีความเห็นว่านักพัฒนาชุมชนควรเรียนรู้วัฒนธรรมชาวเลให้มากขึ้น ส่วนอุปสรรคในการสื่อสารในทัศนะของนักพัฒนาชุมชนคือ การขาดความไว้วางใจ ขาดความใกล้ชิด การมีทัศนะที่ไม่ดีต่อเจ้าหน้าที่รัฐและความแตกต่างด้านภาษา ชาวเลมีสถานภาพสมรสและระดับการศึกษาต่างกัน มีความรู้เกี่ยวกับโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเลต่างกัน และระยะเวลาที่อาศัยในพื้นที่ต่างกันมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเลต่างกัน ชาวเลเพศต่างกันมีความคาดหวังต่อลักษณะพึงประสงค์ของนักพัฒนาชุมชนต่างกันและมีความคาดหวังต่อลักษณะโครงการพัฒนาชุมชนต่างกัน ความรู้ของชาวเลเกี่ยวกับโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเลไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเล แต่ทัศนะคติของชาวเลต่อโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเล มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเลอูรักลาโว้ย,ชาวเล,การสื่อสารต่างวัฒนธรรม,ภูเก็ตตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=546
545รายงานการวิจัยการเปลี่ยนแปลงวิถีครอบครัว และชุมชนอีสาน: กรณี กะเลิง จังหวัดมุกดาหารสุวิทย์ ธีรศาศวัต, ณรงค์ อุปัญญ์เนื้อหาระบุถึง วิถีชีวิต ความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณี ในด้านต่างๆ ของกะเลิงบ้านโนนสังข์ศรี ต.บ้านซ่ง อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร อธิบายให้เห็นภาพการดำรงชีวิต การใช้เครื่องไม้ เครื่องมือ ในการเลี้ยงชีพ และการละเล่นต่างๆ ของกะเลิงกะเลิง,วิถีชีวิตความเป็นอยู่,ประเพณี,ความเชื่อ,มุกดาหารตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=545
544วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคม-เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม : ศึกษากรณีชาวเลสังกาอู้ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่เยาวลักษณ์ ศรีสุกใสงานชิ้นนี้ศึกษาถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลอูรักลาโว้ย บ้านสังกาอู้ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ภายใต้พัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีข้อสมมติฐานถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวว่า เกิดขึ้นเนื่องจากการเข้ามาของรัฐและระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ผลจากการศึกษาทำให้ทราบว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ การขยายตัวของอำนาจรัฐ และธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้ระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพภายในชุมชนเปลี่ยนไปเป็นระบบการผลิตเพื่อการค้ามากขึ้น เกิดระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ ส่งผลต่อวิถีชีวิต สภาพสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ต่อชาวบ้านสังกาอู้หลายประการ เช่น เงินตราเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น เกิดอาชีพที่หลากหลาย เกิดการปะทะสังสรรค์ทางวัฒนธรรมกับภายนอก คนในชุมชนมีค่านิยมทางวัตถุ อย่างไรก็ดีด้วยพื้นฐานการเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังมีสำนึกในบรรพบุรุษร่วมกัน และการมีความสัมพันธ์แบบเครือญาติได้เป็นแรงยึดเหนี่ยวทางสังคมที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงด้านอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวเลเป็นไปอย่างไม่รวดเร็วนัก (หน้า ง)อูรักลาโว้ย,ชาวเล,สังกาอู้,การเปลี่ยนแปลงทางสังคม,ความเชื่อ,พิธีกรรม,ภาษา,กระบี่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดกระบี่ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=544
543วิทยานิพนธ์การทอผ้าของชาวละว้าบ้านมืดหลอง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่จรัญญา ลีพาแลวการทอผ้าของละว้า ทั้งในอดีตและปัจจุบันยังคงใช้กี่ขนาดเล็ก ที่เรียกว่ากี่เอวเป็นอุปกรณ์หลัก ฝ้ายและด้ายที่ใช้ทอผ้า มีทั้งฝ้ายที่ปลูกเองและซื้อจากอำเภอแม่แจ่ม เช่นเดียวกับสีที่ใช้ในการย้อมผ้าจะได้จากสีธรรมชาติและสีเคมี การทอผ้าในอดีตของละว้าในอดีตจะทอไว้ใช้ในพิธีกรรมและใช้ในชีวิตประจำวันเท่านั้น ปัจจุบันมีพ่อค้าจากพื้นราบสนใจสั่งซื้อผ้าทอละว้า บางประเภทเพื่อนำไปจำหน่าย นอกจากนี้มีการรวมกลุ่มสตรีในหมู่บ้าน เพื่อทอผ้าขายเป็นรายได้เสริมภายในครอบครัว ซึ่งโดยทั่วไปแล้วชาวบ้านจะทอผ้าเมื่อมีเวลาว่างจากงานประจำ ในส่วนของลวดลายผ้าทอละว้าจากอดีตจนปัจจุบันจะพบเพียง 2 ลายคือ ลายเส้นที่เกิดจากการมัดย้อม เส้นยืนบนผืนผ้าซิ่น โดยที่ผู้ทอต้องใช้ความชำนาญมากเป็นพิเศษในการทอเพื่อให้ได้ลายเส้นสวยงาม และอีกลายคือลายข้าวหลามตัดซึ่งทอไว้สำหรับเป็นผ้าคลุมศพคนตาย สันนิษฐานว่าอาจได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนานิกายมหายานลเวือะ,การทอผ้า,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=543
542รายงานการวิจัยการรับรู้ภาพลักษณ์ของกลุ่มเชื้อชาติและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสังคมพหุภาค กรณีศึกษาเชียงใหม่พิสมัย วิบูลย์สวัสดิ์ลักษณะพึงปรารถนามีความสัมพันธ์กับภาพลักษณ์ที่บุคคลมีต่อกลุ่มตนเอง ขณะที่ลักษณะที่ไม่พึงปรารถนามีความสัมพันธ์ กับกลุ่มอื่นๆ จากการเปรียบเทียบกลุ่มเชื้อชาติ 4 กลุ่มพบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดประเมินกลุ่มเจ้าของประเทศว่ามีคุณลักษณะทางบวกหลายประการ การวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์พบความสัมพันธ์ทางบวกสูงระหว่างมโนทัศน์กลุ่มเชื้อชาติ "คนจีน" กับ "การ ค้าขาย" และ "คนอเมริกัน" กับ "คนต่างชาติ" ขณะที่มโนทัศน์ชาวเขาเผ่าม้ง จะอยู่ตรงมุมที่แยกแตกต่างจากมโนทัศน์อื่น ความ ห่างไกลทางสังคมระหว่างคนไทยและชาวเขาเผ่าม้งจึงอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งและความเข้าใจผิดกันได้ม้ง,คนจีน,ไทย,ภาพลักษณ์,การปฏิสัมพันธ์,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=542
541วิทยานิพนธ์T'in Culture: An Ethonography Of The Tin Tribe Of Northern ThailandFilbeck, Davidเอกสารมีเนื้อหาครอบคลุมความเป็นมา วิถีชีวิต ความเชื่อ ประเพณีและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของถิ่น ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายหลังที่มีความเจริญมากขึ้นลัวะ,วัฒนธรรม,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2515ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=541
540วิทยานิพนธ์พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวไทลื้อ ชาวม้งและชาวเย้าในบางพื้นที่ของจังหวัดน่านจันทรารักษ์ โตวรานนท์จากการศึกษาพฤกษศาสตร์พื้นบ้านไทลื้อ หมู่บ้านเฮี้ย อำเภอปัว ม้งหมู่บ้านดอยติ้ว และเย้า หมู่บ้านสันเจริญ อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน พบตัวอย่างพืชที่นำมาใช้ประโยชน์ 273 ชนิด 221 สกุล 98 วงศ์ จำแนกเป็นพืชอาหาร 98 ชนิด สมุนไพร 162 ชนิด พืชเศรษฐกิจ 11 ชนิดและพืชประโยชน์อื่นๆ 31 ชนิด พบพืชเฉพาะถิ่น 1 ชนิดคือ บ่าบุกต้นเดี่ยว (Maesaglomerata K. Larsen & C.M.Hu) ซึ่งม้งใช้รากต้มน้ำดื่มแก้อาการป่วยเรื้อรัง พืชที่น่าสนใจได้แก่ สมุทรโคดม (Sorghum vulgare var. saccharatum Boerl.) เย้ารับประทานลำต้น มีรสชาติเหมือนอ้อยแต่กากหยาบกว่าอ้อยและเมล็ดนำไปเลี้ยงสัตว์ น่าจะมีการส่งเสริมให้มีการปรับปรุงพันธุ์เพื่อจะได้นำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำตาลอีกชนิดหนึ่ง ต้นไข่ปูใหญ่ หนามไข่กุ้งและส้มกุ้ง ผลสุกมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย น่าจะลองนำมาแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่นแยมผลไม้ ในอนาคตควรส่งเสริมให้มีการปรับปรุงพันธุ์ให้ดีขึ้น ต้นข่าคม ม้งและเย้าใช้ผลและเหง้าประกอบอาหาร ช่อดอกอ่อนเผาไฟนำมาจิ้มน้ำพริก ช่อดอกยังมีความสวยงาม ควรจะมีการปรับปรุงพันธุ์เพื่อส่งเสริมเป็นไม้ตัดดอก ส่วนพืชสมุนไพรที่น่าสนใจได้แก่ ว่านพระฉิม ม้งนำลำต้นมาต้มหรือดองเหล้าเพื่อเสริมสมรรถภาพของผู้ชาย กกและหญ้าคมบางเขา ม้งใช้ทั้งต้น ต้มให้สตรีดื่มเมื่อต้องการทำแท้ง พวงแก้วกุดั่น ม้งใช้รากต้มน้ำดื่มหรืออาบแก้โรคหนองใน จากการศึกษาพบว่าพืชที่ได้ส่วนมากเก็บหาจากป่าโดยตรง มิได้มีการปลูกเพิ่มเติมหรือใช้อย่างระมัดระวังและขาดการจัดการทรัพยากรที่ดีอาจทำให้พืชบางชนิดสูญพันธุ์ได้ อีกทั้งยังพบพืชจำพวกเฟิร์นและคล้ายเฟิร์น 8 ชนิด พืชดอก 256 ชนิดซึ่งยังคงต้องศึกษาชนิดของพืชและวิธีการนำพืชเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง เพื่อจะได้นำทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดลื้อ,ม้ง,เมี่ยน อิวเมี่ยน,เศรษฐกิจ,พฤกษศาสตร์พื้นบ้าน,น่านตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=540
539รายงานการวิจัยAn Adoption of Crop Replacement Program by Hill Tribe Farmers in Highland Agricultural Marketing and Production Project : Thai/UNDP During the Period 1975-1980Angkasith, Pongsak (พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์)การศึกษาครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษา ผลที่เกิดขึ้นกับชาวเขาจากการดำเนินโครงการ The 1973-1980 Crop Replacement and Community development Project Became Highland Agricultural Marketing and Reduction Project (HAMP) ช่วงการดำเนินโครงการระหว่างปี ค.ศ.1980-1982 ในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือ โดยจะศึกษาถึงปัจจัยที่ทำให้ชาวเขาในพื้นที่โครงการหันมาปลูกพืชทดแทนตามคำแนะนำของโครงการ ทั้งปัจจัยด้านอายุ เพศ ระดับการศึกษา แต่อิทธิพลของปัจจัยเหล่านี้ยังไม่ชัดเจน (หน้า 23-30)ม้ง ,ลีซู, ลาหู่, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),จีนยูนนาน, ชาวเขา,การปลูกพืชทดแทน,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดน่าน ประเทศไทย2525ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=539
538วิทยานิพนธ์อิทธิพลของวัฒนธรรมท้องถิ่นต่อพฤติกรรมทางการเมือง กรณีศึกษาพิธีแซนยะของชุมชนชาวกูย ตำบลแจนแวน กิ่งอำเภอศรีณรงค์ จังหวัดสุรินทร์อรัญญา พงศ์สะอาดการประกอบพิธีแซนยะหรือการเลี้ยงปู่ตาของชาวกูย ตำบลแจนแวน กิ่งอำเภอศรีณรงค์ จังหวัดสุรินทร์ จะจัดปีละ 2 ครั้ง ในช่วงเดือน 3 และเดือน 6 ตามจันทรคติ เพื่อเป็นการเซ่นไหว้ปู่ตา ชุมชนเชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษที่คอยปกป้องคุ้มครองชุมชนให้อยู่เย็นเป็นสุข การแซนยะมีความหมายเกี่ยวข้องกับการทำการเกษตร เป็นอาชีพหลักของคนในชุมชน ความเชื่อและการปฏิบัติเกี่ยวกับพิธีแซนยะได้สืบทอดมาหลายชั่วคนและถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด หากละเลยไม่ปฏิบัติหรือไม่เคารพ กูยเชื่อว่าจะนำภัยพิบัติมาสู่ชุมชน การประกอบพิธีแซนยะ มีผู้นำในการประกอบพิธีกรรมคือ "เฒ่าจ้ำ" เป็นคนเฒ่าคนแก่ที่คนในชุมชนเคารพนับถือและเป็นตัวแทนในการติดต่อสื่อสารกับปู่ตา ขั้นตอนการประกอบพิธีกรรม เริ่มต้นจากการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นของชุมชนและกำหนดการจัดงาน ทุกขั้นตอนจะเป็นไปโดยมีพื้นฐานจากการมีส่วนร่วมของชุมชน เนื่องจากชุมชนมีความเชื่อดั้งเดิมทางไสยศาสตร์ การประกอบพิธีแซนยะซึ่งเป็นพิธีที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ จึงเป็นเสมือนการตอกย้ำความเชื่อดังกล่าวให้มีความแนบแน่นในวิถีชีวิตกูยมากขึ้น ส่งผลให้กูยมีบุคลิกภาพแบบอำนาจนิยมและเชื่อฟังผู้มีอำนาจ ส่งผลให้พฤติกรรมทางการเมืองของกูยเป็นการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า - มีส่วนร่วม ในด้านของการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง ของกูยในตำบลแจนแวนมีอัตราส่วนที่ไม่มากนัก นอกจากการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเป็นทางการในรูปแบบของการเข้าร่วมเวทีประชาคมหมู่บ้านและการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติแล้ว กูยตำบลแจนแวน ยังมีพฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองในลักษณะที่รุนแรง ดังเช่น การตั้งกลุ่มทางการเมือง นอกจากนี้ยังมักแสดงพฤติกรรมทางการเมืองในลักษณะการชุมนุมประท้วงเป็นประจำ หากมีเหตุการณ์อันนำความไม่พอใจมาสู่ชุมชน นอกจากนี้ อิทธิพลของการเข้าร่วมพิธีแซนยะยังก่อให้เกิดพฤติกรรมการรวมตัวทางการเมือง การเลือกผู้นำทางการเมืองการปกครองทั้งผู้นำที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยที่ชุมชนมิได้ตระหนักถึงศักยภาพของตนเองและแสดงออกอย่างเป็นระบบระเบียบ จากการศึกษาจึงสรุปได้ว่า วัฒนธรรมทางการเมืองมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทางการเมืองของชุมชนโดยผ่านกระบวนการกล่อมเกลา และเรียนรู้ทางวัฒนธรรมท้องถิ่นกูย,วัฒนธรรมท้องถิ่น,พฤติกรรมการเมือง,พิธีแซนยะ,สุรินทร์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=538
537วิทยานิพนธ์ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการสื่อสารกับทัศนคติต่อการพึ่งพาตนเองของชาวไทยมุสลิม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยามงคล พูนเพิ่มสุขสมบัติงานวิจัยนี้พบว่าตัวแปรด้านการอ่านหนังสือพิมพ์ ที่มีความสัมพันธ์ต่อการพึ่งพาตนเองของไทยมุสลิม อำเภอพระนครศรีอยุธยา มี 4 ตัว ตัวแปรทั้งหมดอธิบายทัศนคติต่อการพึ่งตนเองได้ประมาณร้อยละ 27 คือ การอ่านคอลัมน์ต่างๆ จะมีอิทธิพลต่อทัศนคติต่อการพึ่งตนเองโดยมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการอ่านข่าวภายในประเทศ ข่าวเกษตรกรรมและคอลัมน์แพทย์ การอ่านคอลัมน์ตอบปัญหาหัวใจ มีความสัมพันธ์ในเชิงลบกับทัศนคติต่อการพึ่งตนเอง ตัวแปรด้านฟังวิทยุกระจายเสียงที่มีความสัมพันธ์ต่อการพึ่งพาตนเอง มี 7 ตัวแปร ทั้งหมดอธิบายทัศนคติต่อการพึ่งพาตนเองได้ประมาณร้อยละ 30 โดยการเปิดรับฟังข่าวภายในประเทศ รายการเพื่อการศึกษาและระยะเวลาในการเปิดรับมีความสัมพันธ์ในเชิงบวก การเปิดรับละครวิทยุ การสอนภาษาต่างประเทศ เพลงลูกทุ่งและความถี่ในการเปิดรับมีความสัมพันธ์ในเชิงลบ ตัวแปรด้านการเปิดรับโทรทัศน์ที่มีความสัมพันธ์ต่อการพึ่งพาตนเองมี 4 ตัว ตัวแปรอธิบายทัศนคติต่อการพึ่งพาตนเองได้ประมาณร้อยละ 25 โดยการเปิดรับละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์นักสืบต่างประเทศและข่าวต่างประเทศมีความสัมพันธ์ในเชิงบวก ส่วนความถี่ในการเปิดรับมีความสัมพันธ์ในทางลบ ตัวแปรด้านการสื่อสารระหว่างบุคคลที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับทัศนคติต่อการพึ่งพาตนเองมี 3 ตัวคือตัวแปรทั้งหมดสามารถอธิบายทัศนคติต่อการพึ่งพาตนเองได้ประมาณร้อยละ 15 ตัวแปรทั้งหมดมีความสัมพันธ์กับทัศนคติต่อการพึ่งพาตนเองในเชิงบวก ตัวแปรด้านการติดต่อกับสังคมภายนอกที่มีความสัมพันธ์กับต่อการพึ่งพาตนเองมีตัวเดียวคือ การเดินทางไปต่างจังหวัดซึ่งอธิบายทัศนคติต่อการพึ่งตนเองได้ประมาณร้อยละ 8 โดยมีความสัมพันธ์กับทัศนคติต่อการพึ่งตนเองในเชิงบวกไทยมุสลิม,การสื่อสาร,ทัศนคติ,การพึ่งตนเอง,พระนครศรีอยุธยาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=537
536บทความสถานการณ์โรคเอดส์และชุมชนบนพื้นที่สูง : ชาวเขาเผ่าอีก้อ ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงรายศตวรรษ สถิตย์เพียรศิริเนื้อหาสาระเกี่ยวกับสถานการณ์โรคเอดส์และชุมชนบนพื้นที่สูง ชาวเขาเผ่าอีก้อ ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย โดยผลการวิจัยพบว่าในหมู่บ้านที่ห่างจากเขตเมืองยังคงมีลักษณะทางวัฒนธรรมในกรอบของพฤติกรรมและความสัมพันธ์ทางเพศคงเดิม เช่น ทดสอบการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน นิยมการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย การมีภรรยาหลายคน ต่างก็เอื้อต่อการแพร่ระบาดของโรคเอดส์
ในขณะที่หมู่บ้านที่ตั้งใกล้เขตเมือง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ทำให้ชาวบ้านได้รับการศึกษา ตระหนักถึงความสำคัญของการคบเพศตรงข้ามมากขึ้น รวมทั้งได้รับข่าวสารและรู้จักวิธีป้องกันตนจากโรคมากขึ้นด้วย นอกจากที่ตั้งหมู่บ้านและวัฒนธรรมแล้ว ความสำนึกร่วมของชุมชนและขบวนการผิดกฎหมาย (ยาเสพติด, ขอทาน, จัดหาหญิงบริการ) มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์โรคเอดส์ รูปแบบที่สำคัญของการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ คือ การใช้หน่วยประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ทำหน้าที่ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ผ่านสื่อต่างๆ โดยเน้นด้านการป้องกัน และการให้ความช่วยเหลือในรูปผู้ให้คำปรึกษาภายในชุมชนอีก้อ,โรคเอดส์,การแพร่ระบาด,การแก้ไขปัญหา,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=536
535วิทยานิพนธ์การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของชาวไทยที่พูดภาษาลาว กวยและเขมร : ศึกษาเฉพาะกรณีบ้านเกาะแก้ว อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์สุนทร สุรวาทกุลงานวิจัยนี้ศึกษาเรื่อง รูปแบบและปัจจัยที่ทำให้เกิดการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณี วิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยที่พูดภาษาลาว ภาษากวย และภาษาเขมร ที่บ้านเกาะแก้ว อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ทั้งนี้ การผสมกลมกลืนดังกล่าวเกิดจากปัจจัยหลัก 2 ลักษณะคือ 1. การคงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่ออย่างเดิมขณะเดียวกันก็ยอมรับหรือไม่ขัดแย้งกับขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อของกลุ่มอื่น 2. มี การปรับขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อบางส่วนเข้าหากัน อันเนื่องมาจากคนไทยที่พูดภาษาลาว ภาษากวย และภาษาเขมรที่บ้านเกาะแก้วนั้นต่างมีการดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมชาวนาเหมือนกัน มีการแต่งงานระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ มีความคล้ายกันในเรื่องชาติพันธุ์และขนบธรรมเนียม ประเพณีความเชื่อ และ มีการผสมกลมกลืนทางภาษา ที่จากเดิมแต่ละกลุ่มมีภาษาใช้เป็นของตนเองแต่เมื่อเข้ารวมกลุ่มในสังคม ทุกกลุ่มจะใช้ภาษาลาวในการสื่อความหมายเป็นหลักลาว,กวย,เขมร,การผสมกลมกลืน,วัฒนธรรม,สุรินทร์ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=535
534วิทยานิพนธ์วิถีชีวิตของคนไทยเชื้อสายเวียดนามในเขตเทศบาลเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหารผล อัฐนาคคนไทยเชื้อสายเวียดนามในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดมุกดาหาร มีวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกับคนไทยโดยทั่วไป ทั้งสภาพชีวิตด้านการศึกษา ที่อยู่อาศัย อาหารการกิน ตลอดจนสภาพเศรษฐกิจ หากแต่ยังคงค่านิยมดั้งเดิมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวเวียดนามอยู่บ้าง อาทิ การให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัว เคารพผู้อาวุโส ระบบความเชื่อที่เชื่อในวิญญาณเหนือธรรมชาติ รวมทั้งนับถือศาสนาคริสต์และศาสนาพุทธ และประกอบพิธีกรรมอันเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากคนไทยทั่วไป ตลอดจนการแต่งกายเมื่อมีพิธีกรรมสำคัญ คนไทยเชื้อสายเวียดนามรุ่นเก่าจะแต่งกายตามแบบดั้งเดิม อันมีรูปแบบเฉพาะตัวของชาวเวียดนามเวียต,ญวน,วิถีชีวิต,มุกดาหารตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=534
533วิทยานิพนธ์เรือนพักอาศัยชาวไทย-เวียดนาม บ้านท่าแร่ สกลนครสุรัตน์ วรางค์รัตน์บ้านท่าแร่ตั้งชุมชนขึ้นเมื่อ พ.ศ.2427 โดยกลุ่มแคธอลิคชาวเวียดนาม ในระยะเวลาต่อมามีชาวเวียดนามจากเมืองต่างๆ อพยพเข้ามาอยู่และมีคนพื้นเมืองปะปนอยู่ด้วย ที่อยู่อาศัยในระยะแรกๆ จะเป็นกระท่อม ต่อมาเปลี่ยนเป็นอาคารเรือนไม้ชั้นเดียว เรือนเกย และเรือนร้านค้าสองชั้น กลุ่มพ่อค้าเป็นกลุ่มแรกที่เริ่มสร้างอาคารอิฐ เนื่องมาจากมีความจำเป็นต้องปลูกอาคารเพื่อวางสินค้าจำหน่าย ความมั่นคงทางฐานะของกลุ่มพ่อค้าเนื่องมาจากการประกอบธุรกิจหลายชนิด เช่น การนำกองฟืนไปรับจ้างขนฟืนที่บ่อตะกั่ว ประเทศลาว การซื้อขายข้าว หนังวัว ปลาร้า อาคารก่ออิฐเป็นจุดเด่นของหมู่บ้าน นอกจากรูปทรงจะเป็นอาคารแบบฝรั่งเศสแล้ว ยังตกแต่งอาคารด้วยศิลปะเวียดนาม เช่น วงโค้งเหนือกรอบประตูเป็นลายเรียงอิฐลายปูนปั้นประดับประตูเข้าอาคาร ภายในอาคารสร้างแท่นพระเพื่อใช้สวดมนต์หรือทำพิธีกรรมต่างๆ ความศรัทธาในศาสนาทำให้นำปริศนาธรรม และเรื่องราวของนักบุญในศาสนามาประดิษฐ์เป็นภาพประดับตามแท่นบูชา จะเห็นได้ว่ารูปแบบอาคารก่ออิฐได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสโดยผ่านช่างเวียดนามที่ได้รับความรู้จากช่างฝรั่งเศสเป็นสำคัญ นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่สอนศาสนาคริสต์เป็นผู้สนับสนุนแนะนำ จึงทำให้อาคารพักอาศัยดังกล่าวกลายเป็นเอกลักษณ์ของบ้านท่าแร่ (หน้า 105-106)เวียต,ญวน,สถาปัตยกรรม,สกลนครตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=533
531รายงานการวิจัยผ้าชาวโส้ ศึกษากรณีชาวโส้ อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร และอำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนครทรงคุณ จันทจร, พิสิฎฐ์ บุญไชย และแสงเพชร สุพรพัฒนาการการทอผ้าของโส้แบ่งเป็น 4 ยุคด้วยกัน คือ ยุคโบราณที่โส้ยังไม่รู้จักการทอผ้า ยังคงทำมาหากินอยู่บนภูเขาในบริเวณเมืองภูวานากระแด้งในประเทศลาว โดยนำเอาผลผลิตทางการเกษตรมาแลกเสื้อผ้าจากชาวลาว และภูไทย ชายโส้ยุคนี้นุ่งผ้าเตี่ยวปิดเฉพาะอวัยวะเพศ ส่วนหญิงนุ่งผ้าซิ่น เสื้อแขนกระบอกผ่าอก ยุคที่สองคือยุคแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการทอผ้า เมื่อประมาณ 50-100 ปีที่ผ่านมาโส้ได้เรียนรู้การทอผ้ากับชนกลุ่มอื่นที่เข้าไปติดต่อค้าขาย ทำให้โส้สามารถปลูกฝ้ายและทอผ้าได้เอง ยุคที่สามเป็นยุคพัฒนาการทอผ้าในระยะ 30-50 ปี นับจากปัจจุบันผ้าโส้มีการพัฒนาลวดลายของผ้าชนิดต่างๆ อย่างเต็มที่ และนิยมผ้าที่ผลิตขึ้นเอง ยุคสุดท้ายคือยุคปัจุบัน การทอผ้าของโส้ได้เปลี่ยนไป มักซื้อผ้ามาใช้แทนการทอใช้เอง ในส่วนของเครื่องมือทอผ้านั้นยังคงยึดถือแบบอย่างมาจากสมัยเริ่มแรกของการทอผ้า สำหรับลวดลายของผ้าต่างๆ โส้นำจินตนาการมาสร้างเป็นลวดลายต่างๆ ปัจจัยที่มีผลต่อลวดลายผ้าของโส้คือ ลายที่ได้จากธรรมชาติ ลายที่ได้จากอิทธิพลของศาสนา ลายที่ได้จากรูปแบบทางเรขาคณิต และลายที่ได้จากการผสมผสานกัน ความเชื่อในการใช้ผ้ามีสองลักษณะ คือ 1.การใช้ผ้าในชีวิตประจำวัน อาทิ เครื่องแต่งกายของชาย เช่น ผ้าโสร่ง กางเกงขาก๊วย เครื่องแต่งกายของหญิง เช่น ผิ่น ผ้าเบี่ยง นอกจากนี้ยังมีผ้าทำหมอน ผ้าห่ม 2.การใช้ผ้าในพิธีกรรม แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ 1.การใช้ทางพุทธศาสนา เช่น ผ้าในพิธีบวชนาค 2.ผ้าที่ใช้ในพิธีกรรมเกี่ยวกับผี เช่น ผ้าในงานศพ ผ้าในพิธีเยา สภาพปัญหาการทอผ้าของโส้ในปัจจุบัน คือ การที่หนุ่มสาวหันหลังให้กับการทอผ้าเพราะต้องเข้ามาขายแรงงานในเขตเมือง การแต่งตัวแบบดั้งเดิมของโส้ก็เริ่มหดหายไปด้วย ในส่วนของโส้ที่ยังคงมีฝีมือในการทอผ้าได้ประสบกับปัญหาทางด้านคุณภาพของผ้าที่ยังด้อยเมื่อเทียบกับผ้าของกลุ่มอื่น อาจเพราะโส้ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ขาดเงินทุนในการผลิต ทำให้ผ้าของโส้ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดค้าผ้า (หน้า ข-ค)โส้ โซร ซี,ผ้า,การแต่งกาย,หัตถกรรม, มุกดาหาร,สกลนครตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=531
530เอกสารวิชาการวิถีเย้าจันทบูรณ์ สุทธิ, สมเกียรติ จำลอง และ ทวิช จตุวรพฤกษวิถีชีวิตของเย้าที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ได้รับอิทธิพลทางสังคมและวัฒนธรรมจากจีน สืบทอดกันมายาวนานก่อนที่จะอพยพเข้าสู่ไทย รูปแบบที่ยังคงยึดถือปฏิบัติกันอยู่ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นการใช้แซ่สกุล การแบ่งกลุ่มเครือญาติมีคติความเชื่อที่แตกต่างของแต่ละกลุ่มเป็นตัวกำหนด แม้แต่การลำดับวันเดือนปีซึ่งมีความสัมพันธ์กับการประกอบพิธีกรรมสำคัญ ๆ ที่ได้รับมาจากจีน การใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรพื้นบ้าน ไปจนถึงระบบการเกษตรและการบริหารแรงงานซึ่งได้พัฒนาปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย การสืบทอดวัฒนธรรมการประดิษฐ์เครื่องดนตรีไว้ใช้กับงานพิธีกรรมตามคติความเชื่อที่ถือปฏิบัติสืบทอดกันมา สิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ อันเกิดจากการผสานกลมกลืนทางวัฒนธรรมจีนและวัฒนธรรมชนเผ่าหล่อหลอมกลมกลืนจนกลายเป็นวิถีชีวิตของเย้าในปัจจุบันเย้า,เครือญาติ,กลุ่มตระกูล,การนับเวลา,การเกษตร,ดนตรี,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2532ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=530
529หนังสือมุสลิมมัสยิดต้นสนกับบรรพชนสามยุคสมัย : ประวัติชาวมัสยิดต้นสน บทวิเคราะห์ความเป็นมา 400 ปี เคียงคู่เอกราชไทยคณะกรรมการจัดงานเสวนาประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของมัสยิดต้นสนเป็นประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างมุสลิมกับมัสยิดต้นสนซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชน ตลอดจนความเป็นมาและบทบาทของมุสลิมในสยามตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเรื่อยลงมายังกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาททางด้านการบริการปกครองที่ บรรพบุรุษมุสลิมหลายท่านได้ฝากผลงานไว้ เช่น เจ้ากระยาจักรีศรีองครักษ์ (หมุดหรือแขก) พระยาราชวังสัน (ฉิม) พระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) เป็นต้น และยังคงสืบเชื้อสายมาจนกระทั่งปัจจุบัน เรื่องราวของมัสยิดต้นสนยังมีความผูกพันอยู่กับประวัติศาสตร์กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ในฐานะตัวแทนของกลุ่มคนมุสลิม อีกทั้งยังทำให้ภาพของประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาดังกล่าวสมบูรณ์ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันอย่างผสมกลมกลืนของคนหลายเชื้อชาติในบริเวณที่เรียกว่า บางกอกมุสลิม,ประวัติชุมชน,มัสยิดต้นสน,ภาคกลางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=529
528วิทยานิพนธ์กระบวนการถ่ายทอดความรู้ของชาวไทลื้อเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลด้วยสมุนไพรองอาจ พรมไชยกระบวนการถ่ายทอดความรู้ของไทลื้อเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลด้วยสมุนไพรเป็นการถ่ายทอดความรู้จากบรรพบุรุษและมีการถ่ายทอดความรู้ในลักษณะการกล่อมเกลาทางสังคมโดยครอบครัวเครือญาติและเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ยังมีการเรียนรู้จากผู้รู้ เช่น พระ ผู้อาวุโสและหมอพื้นบ้าน
การสืบทอดความรู้ด้านการรักษาพยาบาลด้วยสมุนไพรและไสยศาสตร์ที่มีการสืบทอดถึงปัจจุบัน ส่วนมากจะสืบทอดกันในครอบครัวที่มีบรรพบุรุษเป็นหมอพื้นบ้าน ส่วนด้านการยอมรับการรักษาพยาบาลด้วยยาสมุนไพรของประชาชนในชนบท ยังให้การยอมรับและศรัทธา ส่วนมากผู้ใหญ่ยังมีความเชื่อและยังนิยมใช้กันอยู่เนื่องจากความเชื่อที่ได้รับการสืบทอดบอกเล่าให้ปฏิบัติสืบต่อกันมา
อีกประการหนึ่งคือ ยาสมุนไพรราคาถูกและสมุนไพรบางชนิดก็ไม่ต้องหาซื้อ สามารถหาได้จากในชุมชนที่ปลูกพืชพันธุ์ต่างๆ ไว้ ยาสมุนไพรบางชนิดก็เป็นเครื่องปรุงอาหารในวิถีชีวิตประจำวันของชาวชนบท ส่วนเด็กและเยาวชน ให้การยอมรับการใช้ยาสมุนไพรน้อยกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากคนกลุ่มนี้ได้เรียนรู้การรักษาพยาบาลจากสื่อต่างๆ และจากสาธารณสุข ทำให้รู้จักการรักษาสุขภาพอนามัยและการรักษาพยาบาลด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ มากกว่าวิธีแพทย์แผนโบราณ ปัจจุบันพบว่า การรักษาพยาบาลด้วยการแพทย์แผนโบราณยังมีอยู่ในประชาชนทุกกลุ่มควบคู่ไปกับการรักษาพยาบาลด้วยแพทย์แผนปัจจุบันไทลื้อ,การถ่ายทอดความรู้,การรักษาพยาบาล,สมุนไพร,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=528
527วิทยานิพนธ์ความสัมพันธ์ระหว่างการทำกิจกรรมทางสังคมและการใช้พื้นที่ในชุมชนของชาวไตบ้านเมืองปอน จ.แม่ฮ่องสอนคณิชยา รอดเรืองศรีการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการทำกิจกรรมทางสังคมและการใช้พื้นที่ในชุมชนของไตบ้านเมืองปอน จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อใช้เป็นแนวทางจัดระเบียบพื้นที่ที่สอดคล้องกับสภาพชุมชน การศึกษาแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ 1) ศึกษาลักษณะชุมชนด้านภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม รูปแบบการตั้งถิ่นฐานและวิวัฒนาการชุมชน เพื่อหาอิทธิพลที่มีผลต่อการตัดสินใจแสดงพฤติกรรมหรือการทำกิจกรรมทางสังคมของคนไตในชุมชน 2) ศึกษารูปแบบการทำกิจกรรมทางสังคมและการใช้พื้นที่ของคนไตในชุมชนว่ามีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใดบ้าง จากการศึกษาพบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชุมชนมีวิวัฒนาการในด้านต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องและส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการตั้งถิ่นฐานและองค์ประกอบโครงสร้างทางกายภาพ ตลอดจนมีผลไปถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำกิจกรรมทางสังคมและการใช้พื้นที่ของคนไตในชุมชน ได้แก่ ปัจจัยด้านการคมนาคมขนส่งและการสื่อสาร ปัจจัยด้านเศรษฐกิจสังคม ปัจจัยด้านวัฒนธรรม และปัจจัยด้านประชากร นอกจากนี้อายุ เพศ สถานภาพ การศึกษา และอาชีพของคนในชุมชนเองก็มีผลต่อรูปแบบการทำกิจกรรมทางสังคมและการใช้พื้นที่เช่นกัน กิจกรรมที่ทำในชุมชนแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ กิจกรรมที่เกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อ และกิจกรรมทั่วไป โดยใช้พื้นที่เพื่อทำกิจกรรมดังกล่าว 4 บริเวณคือ พื้นที่ในบ้าน ละแวกบ้าน ในชุมชน และนอกชุมชน การทำกิจกรรมเกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อมีแนวโน้มลดลงอย่างเห็นได้ชัดในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ขณะที่การทำกิจกรรมทั่วไปเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงชีวิตและรสนิยมของแต่ละคน แนวทางการจัดระเบียบพื้นที่มี 2 ด้าน คือ ด้านกายภาพ เน้นการควบคุมการขยายตัวและการใช้พื้นที่ให้สอดคล้องกับลักษณะทางวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมชุมชน และด้านสังคมและวัฒนธรรมเน้นการส่งเสริมจิตสำนึกในวัฒนธรรมท้องถิ่นของคนในชุมชน เพื่อให้เห็นคุณค่าอันจะนำไปสู่การอนุรักษ์และปรับใช้ให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตชุมชนปัจจุบัน (ดูหน้าบทคัดย่อ)ไทใหญ่,เงี้ยว,ฉาน,ชุมชน,การใช้พื้นที่,กิจกรรมทางสังคม,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=527
526วิทยานิพนธ์กลองหลวงล้านนา : ความสัมพันธ์ระหว่างวิถีชีวิตและชาติพันธุ์รณชิต แม้นมาลัยบทบาทของกลองหลวงในปัจจุบันมีทั้งบทบาทในการบรรเลงและประสมวง บทบาทในการบูชาและการสื่อสาร บทบาทในการแข่งขัน รวมทั้งบทบาทในการแสดงออกถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ในปัจจุบัน กลองหลวงได้กลายเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวล้านนาเชื้อสายยองบริเวณลุ่มแม่น้ำปิงในจังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ ผู้ศึกษายังกล่าวถึงสถานภาพของกลองหลวง ว่าเป็นทั้งเครื่องดนตรีและเครื่องมือในการแข่งขันยอง,วัฒนธรรม,ดนตรี,การละเล่น,ล้านนาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=526
525วิทยานิพนธ์การฟ้อนผู้ไทยในเรณูนครพจน์มาลย์ สมรรคบุตรการฟ้อนผู้ไทยในเรณูนคร มีพัฒนาการและกระบวนการฟ้อนจากกิริยาของมนุษย์ สัตว์และการเคลื่อนไหวของพืช การพัฒนาสามารถแบ่งได้ 5 ขั้นตอนคือ 1.การฟ้อนผู้ไทยในอดีตกาล ได้แก่ การฟ้อนในพิธีเหยาเพื่อรักษาโรคโดยผู้หญิง การฟ้อนเล่น กินเหล้า การฟ้อนลงข่วง และการฟ้อนเลาะตูบ ซึ่งเป็นการฟ้อนในประเพณีบุญบั้งไฟในงานบุญเดือนหกโดยผู้ชาย 2.นำท่านิยมในอดีตมาปรับปรุงเป็นท่านิยม 5 ท่า นำผู้หญิงมาฟ้อนคู่ผู้ชาย จัดแสดงหน้าพระที่นั่ง เมื่อ พ.ศ. 2498 3.เริ่มท่าฟ้อนเป็น 9 ท่า จัดกระบวนท่าฟ้อนเป็น 3 ช่วง 4.เพิ่มท่าฟ้อนเป็น 12 ท่า และ 5.เพิ่มท่าฟ้อนเป็น 16 ท่า ผนวกด้วยท่ามวยยวน ท่าฟ้อนของผู้ชายเข้มแข็ง ทะมัดทะแมง ท่าฟ้อนของผู้หญิงนุ่มนวล ลักษณะเฉพาะของการฟ้อนผู้ไทพบว่า - มีการใช้เท้า ขา ลำตัว มือและแขน การใช้เท้ามี 5 แบบ คือ การเปิดปลายเท้าตอนยืน การลงส้นเท้าตอนเดิน การแตะปลายเท้าเฉพาะหญิง การเปิดส้นเท้าหลัง การวางเท้าเต็มฝ่าเท้าซึ่งมีลักษณะพิเศษคือการก้าวกระโดดสั้นๆ ให้เท้าทั้งสองลอยอยู่ในอากาศ ก่อนเปลี่ยนน้ำหนักจากเท้าหนึ่งไปสู่อีกเท้าหนึ่ง - การใช้ขามี 5 แบบคือ ยกขาไปด้านข้าง การยกขามาด้านหน้า การยกขาไปด้านหลัง การนั่งเหยียดขาข้างเดียวไปด้านหลัง การก้าวไขว้ขา - การใช้ลำตัวมี 3 แบบคือ ลำตัวตรง ลำตัวโน้มมาหน้าทำมุม 45 องศากับแนวตั้งและลำตัวโน้มต่ำเกือบขนานกับพื้น การใช้มือมี 4 แบบคือ การจีบที่นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ไม่ติดกัน การตั้งวง การม้วนมือและการกำมือหลวมๆ - การใช้แขนมี 4 แบบคือ การเหยียดแขนตึงหงายท้องแขน การงอแขนเป็นวงระดับไหล่ การหักศอกคว่ำขึ้นตั้งฉาก การงอแขนแบบหักข้อศอกหงายตั้งฉากผู้ไท,การฟ้อน,เรณูนคร,นครพนมตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนครพนม ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=525
524วิทยานิพนธ์การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเรื่อง ชีวิตของชาวยองสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนพรหมจักรสังวร อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูนกุหลาบ กันทะรัญการรับรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยการเขียนสะท้อนความคิดของนักเรียนในเรื่อง ลำแต้อาหารยอง นักเรียนเขียนได้ระดับดี ทั้งด้านความรู้ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินค่าคิดเป็นร้อยละ 100 ร้อยละ 99.44, 91.66, 80.56, 77.78 และร้อยละ77.78 ตามลำดับ
เรื่องแต่งย่องผ้ายองลาย นักเรียนเขียนได้ระดับดี ทั้งด้านความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินค่า คิดเป็นร้อยละ 97.22, 91.67, 86.11, 77.78, 80.56และร้อยละ 77.78 ตามลำดับ
เรื่องหลากหลายยากลางบ้าน นักเรียนเขียนได้ระดับดี ทั้งด้านความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินค่า คิดเป็นร้อยละ 83.34, 80.56, 80.56, 69.44, 75.00และร้อยละ 72.22 ตามลำดับ
เรื่องย้อนตำนานบ้านคนยอง นักเรียนเขียนได้ระดับดี ทั้งด้านความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินค่า คิดเป็นร้อยละ 88.89, 77.78, 75.00, 72.22, 69.44 และร้อยละ 69.44 ตามลำดับ
การจัดการเรียนการสอนเรื่องชีวิตยองสำหรับนักเรียนโรงเรียนพรหมจักรสังวร เพื่อการศึกษารับรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่นของนักเรียน จัดได้ว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ดังนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น จึงควรมีการพัฒนากิจกรรมที่ส่งเสริมการคิดในระดับสูงให้กับนักเรียนเพื่อให้นักเรียนสามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่าในการเรียนรู้ของนักเรียนต่อไปยอง,การเรียน,การสอน,ลำพูนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=524
523วิทยานิพนธ์การใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรในบางบริเวณของป่าชุมชนทุ่งยาว ตำบลศรีบัวบาน อำเภอเมือง จังหวัดลำพูนพวงผกา สุทธิกูลการศึกษาพันธุ์ไม้ที่ชาวบ้านในบางบริเวณของป่าชุมชนทุ่งยาว ตำบลศรีบัวบาน อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน สำรวจพบพืชที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพร 38 ชนิด จัดอยู่ใน 22 วงศ์ 32 สกุล จัดจำแนกยาสมุนไพรตามสรรพคุณเป็น 5 กลุ่มใหญ่คือ ยาใช้ภายนอก 8 ชนิดเกี่ยวกับทางเดินอาหารและอวัยวะภายใน 14 ชนิด แก้ไข้และแก้ปวดเมื่อย 8 ชนิด เครื่องสำอาง 4 ชนิดและอื่นๆ อีก 4 ชนิด ตัวอย่างพืชสมุนไพรที่น่าสนใจ เช่น ผักลิดไม้ (Oroxylum indicum Vent.) ใช้ส่วนเปลือกลำต้น ขูดใส่เกลือ นำมะนาวที่ฝานแล้วมาจิ้มกินแก้ไข้มาลาเรีย หญ้าดูดเน่า (Sida rhombifolia Linn.) ใช้ใบขยี้พอกบนแผลที่เป็นหนองหรือพอกบนสิวที่อักเสบ ทำให้แผลและหัวสิวแห้ง เหมิดกี (Memecylon Pleberjum Kurz.) นำน้ำยางที่เกิดจากการนำส่วนลำต้นมาเผาแล้วเอาแผ่นไม้มาอังไอไว้ เรียกส่วนน้ำยางว่า "จีไม้" นำมาถูฟัน ทำให้ฟันแข็งแรงไม่หลุดร่วงง่าย เป็นต้นยอง,พืชสมุนไพร,ป่าชุมชน,ลำพูนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=523
522รายงานการวิจัยการศึกษารูปแบบลวดลายผ้าเช็ดไทลื้อในเขตจังหวัดเชียงรายและจังหวัดพะเยาแก้วพรรณกัลยา กัลยาณมิตรผ้าเช็ดของไทลื้อสามารถจำแนกได้เป็น 3 อย่างคือ ผ้าเช็ดหลวง ผ้าเช็ดธรรมดาและผ้าเช็ดน้อย จำแนกตามขนาดและประโยชน์ใช้สอย โดยทั่วไปจะไม่มีขนาด ลวดลาย และสัดส่วนที่แน่นอน แต่พอสรุปได้ว่า ผ้าเช็ดจะมีลาย 2 ข้างที่เหมือนกัน โดยที่ตรงกลางจะเว้นว่างหรืออาจจะใส่ลายเล็กน้อยเพื่อให้รู้ว่าต้องทอลายเดิมกลับไปอีกด้านหนึ่ง โดยจะมีการแบ่งช่องลายไม่เท่ากันแล้วแต่ขนาดของลายดอกที่มาตกแต่ง โดยเห็นความสวยงามเป็นหลัก ผ้าเช็ดเป็นผ้าที่ใช้ในพิธีกรรมเป็นส่วนมาก ไม่นิยมใช้ในชีวิตประจำวัน แต่เดิมผู้ชายไทลื้อจะใช้พาดบ่าเวลาไปงานบุญที่วัด ปัจจุบันจะทำเป็นครัวทานและกลายมาเป็นของที่ระลึกใช้เป็นของตกแต่ง รองภาชนะต่าง ๆ แต่ได้ดัดแปลงมาเป็นผ้าพาดไหล่ทั้งหญิงและชาย ซึ่งเป็นที่นิยมมากโดยเฉพาะการทำลวดลายให้เข้ากับผ้าซิ่น ปัจจุบันการใช้ผ้าพาดไหล่ลักษณะคล้ายสไบนั้น เริ่มจากที่ผู้ชายใช้พาดบ่าไปวัด ต่อมามิได้ใช้เฉพาะไปวัด ดังนั้นประโยชน์ในการเช็ดก็น้อยลงกลายเป็นเพียงของตกแต่งเท่านั้น ต่อมามีการทำเป็นลวดลายต่าง ๆ ที่ไม่เป็นตามความเชื่อและผู้หญิงเริ่มนำมาพาดบ่าด้วยโดยนำสีที่เข้ากับผ้าซิ่นและมีการทอให้มีลวดลายคล้ายผ้าซิ่น โดยไม่มีแบบแผนของผ้าเช็ดเดิม ส่วนลวดลายต่างๆ ก็มีการดัดแปลงเติมลวดลายตกแต่งมากขึ้นและมีการนำลายประยุกต์มาใส่มากขึ้นลื้อ,ทอผ้า,ผ้าเช็ด,พะเยา,เชียงรายตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=522
521รายงานการวิจัยการศึกษาศิลปหัตถกรรมไทยโซ่ง จังหวัดนครปฐมธิดา ชมภูนิชเป็นการศึกษารูปแบบงานหัตถกรรมที่มีลักษณะเฉพาะของไทยโซ่ง ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนครปฐม โดยมีการวิเคราะห์อ้างอิงไปถึงลักษณะสภาพแวดล้อม และเหตุผลในการใช้งานในชีวิตประจำวันตลอดจนการใช้งานในพิธีกรรมของไทยโซ่ง โดยมีการแทรกความเชื่อและรูปแบบการดำเนินชีวิตของไทยโซ่งในจังหวัดนครปฐมในรูปแบบของลักษณะการใช้งานหัตถกรรมลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,หัตถกรรม,นครปฐม,ภาคกลางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=521
520รายงานการวิจัยการคงอยู่และการปรับเปลี่ยนทางสังคม และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไท: กรณีศึกษาหมู่บ้านยอง ตำบลบวกค้าง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่รัตนาพร เศรษฐกุลเป็นการศึกษาเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา ความเชื่อ การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา ความเป็นอยู่ ของยอง ในพื้นที่ ต.บวกค้าง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ศึกษาถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดการคงอยู่ และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมประเพณีความเป็นอยู่ ของยอง สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม มี 2 อย่าง ด้วยกันคือ ระบบการศึกษาแบบใหม่ที่มีส่วนทำให้เอกลักษณ์ในท้องถิ่นเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยรัฐบาลจะเน้นที่วัฒนธรรมของชาติ และภาษาประจำชาติเป็นหลัก แทนการศึกษาเดิมที่เรียนที่วัด กับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เช่น ด้านอุตสาหกรรม ในหมู่บ้านแต่เดิมเป็นแบบสังคมเกษตรกรรมก็มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับด้านการท่องเที่ยวที่ขยายตัว และมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายมากขึ้นยอง,ประวัติการตั้งถิ่นฐาน,การเปลี่ยนแปลง,วัฒนธรรม,สภาตำบล,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=520
519วิทยานิพนธ์Peasantry and Modernization : A Study of The Phuan in Central Thailandสนิท สมัครการการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจจากระบบการผลิตเพื่อเลี้ยงชีพเป็นหลัก ไปสู่ระบบการผลิตเพื่อขาย ทำให้ชาวนาในสังคมที่ปราศจากระบบชนชั้นที่ตายตัว และไม่มีรากฐานทางวัฒนธรรมที่เข้มแข้งจำเป็นต้องปรับตัวไปตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป พวนหลายต่อหลายคนของชุมชนบ้านเซ่า หรือแม้กระทั่งในชุมชนบางกะพี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอาชีพจากการทำเกษตรกรรมมาเป็นการค้าขาย ข้าราชการ แรงงานที่มีฝีมือ รวมทั้งนักการเมือง โดยเหตุที่ต้องเปลี่ยนอาชีพเนื่องจากพวกเขาหันมาชื่นชอบวิถีชีวิตแนวใหม่ หรือไม่ก็ถูกแรงบีบคั้นทางเศรษฐกิจให้ต้องเปลี่ยน เพื่อยกตนเองไปสู่สถานะทางสังคมที่ดีกว่า และการมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น (หน้า 237) อย่างไรก็ตาม กระบวนการคล้อยตามไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในลักษณะที่มุ่งตรงไปสู่พฤติกรรมและค่านิยมแบบตะวันตกอย่างตรงไปตรงมาเสียทีเดียว เพราะอิทธิพลของกลุ่มสามารถทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน และดูดซับระบบคุณค่า รวมทั้งพฤติกรรมซึ่งกันและกัน ก่อนที่จะเกิดการยอมรับระบบคุณค่าในเชิงตะวันตก หรือในแบบทันสมัย นอกจากนั้น พฤติกรรมแบบทันสมัยอาจมีอยู่แล้วในสังคมดั้งเดิม ดังนั้นจึงไม่เป็นการถูกต้องที่จะสรุปว่าระบบคุณค่าแบบทันสมัยหรือแบบตะวันตก แปลกแยกจากระบบคุณค่าดั้งเดิม ด้วยเหตุนี้เอง ภาวะความทันสมัยของประเทศจึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปในกระบวนการดูดซับของชนกลุ่มน้อยในลักษณะที่ละทิ้งระบบคุณค่าดั้งเดิมที่มีอยู่ แต่มันเป็นกระบวนการซึ่งสามารถหลอมรวมเข้ากันได้เป็นอย่างดี ที่จะทำให้ผู้คนทั้งหลายได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น และอย่างเพียงพอต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายอันมากับความทันสมัย (หน้า 2 ของบทคัดย่อ)พวน ไทยพวน ไทพวน,ชาวนา,การปรับตัว,ความทันสมัย,ระบบตลาด,ภาคกลางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2515ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=519
518อื่นๆปราสาทผ้าขาวไทลื้อในเขตอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยานริศ ศรีสว่างในดินแดนล้านนาบริเวณตอนเหนือของประเทศไทยมีกลุ่มชนหลากหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน ผสมผสานวัฒนธรรมประเพณีจนเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น มีทั้งการรับอิทธิพลจากภายนอกและการคลี่คลายที่เกิดจากปัจจัยภายในทำให้เกิดความหลากหลาย ในด้านศิลปวัฒนธรรม งานศิลปกรรมที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละกลุ่ม เกิดจากความเชื่อศรัทธาในสิ่งที่ตนนับถือ โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นผลบุญต่อตนเองในภายภาคหน้าและกุศลต่อผู้ล่วงลับ งานที่เกิดขึ้นด้วยจิตใจ ไม่คิดถึงมูลค่า ให้ความรู้สึกของจิตใจเป็นตัวกำหนด ปราสาทผ้าขาวไทลื้อเป็นหนึ่งในงานศิลปกรรมที่เกิดขึ้นจากความศรัทธาต่อความเชื่อ สร้างขึ้นเพื่อความสมบูรณ์ในภพภูมิโลกหน้า อาจจะเป็นทั้งเครื่องแสดงฐานะหรือเครื่องแสดงการสั่งสมบุญบารมี โดยผ่านทางประเพณีพิธีกรรมในพระพุทธศาสนา รูปแบบของปราสาทผ้าขาวไทลื้อมีความโดดเด่นทางด้านวัสดุ ฝีมือ การประดับตกแต่งซึ่งมีความหลากหลาย ลวดลายบางส่วนเป็นลวดลายดั้งเดิมในท้องถิ่น บางส่วนก็รับอิทธิพลลวดลายศิลปะจากต่างถิ่น ด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม ทำให้ปราสาทผ้าขาวหมดหน้าที่ในการรับใช้ความเชื่อในสังคมของไทลื้อไปโดยปริยาย จากการศึกษาปราสาทผ้าขาวไทลื้อในเขตอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยาแสดงให้เห็นถึงความผูกพัน ความคิด ความเชื่อ ตลอดจนงานช่างของไทลื้อที่มีต่อปราสาทผ้าขาวด้วยการแสดงออกทางศิลปกรรม เกิดเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นควรค่าแก่การสืบสานและอนุรักษ์ลื้อ,ปราสาทผ้าขาว,พะเยาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=518
517อื่นๆแบบแผนการผลิตงานหัตถกรรมผ้าทอไทลื้อ กรณีศึกษาอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยาจารุวรรณ วนาลัยเจริญจิตปัจจัยที่ส่งผลให้การรวมกลุ่มทอผ้าไทลื้อประสบความสำเร็จ และเกิดความเป็นชุมชนได้คือ ลักษณะการเอื้ออาทรต่อกันในสังคมชนบท ความผูกพันเป็นพลังทางสังคม รวมทั้งเกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ในการจัดการ การบริหาร เพราะทุกคนมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกัน งานทอผ้าไทลื้อ ซึ่งมีลักษณะความชำนาญและวัฒนธรรมท้องถิ่นสามารถเป็นอาชีพทางเลือกทางหนึ่งที่เหมาะสม และสอดคล้องกับชุมชนหมู่บ้าน ซึ่งสามารถสร้างรายได้ ในขณะเดียวกันก็เป็นการส่งเสริมทักษะความชำนาญดั้งเดิมของชุมชนให้เข้มแข็งขึ้น ทำให้ผู้ผลิตมีส่วนร่วมในการผลิต มีอำนาจต่อรองมากขึ้น สามารถพัฒนาและส่งเสริมให้เป็นอาชีพที่สร้างรายได้ที่ถาวรในอนาคตต่อไปลื้อ,หัตถกรรม,ผ้าทอ,พะเยาตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=517
516วิทยานิพนธ์บทบาทของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรต่อการยอมรับนวกรรมในการทำนาดำของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในเชียงใหม่ชัยฤกษ์ ไตลังคะผลการวิจัยพบว่า ความถี่ในการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรกับชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงมีผลต่อการยอมรับนวกรรมการทำข้าวนาดำ การสื่อสารระหว่างบุคคล มีบทบาทสำคัญในการทำให้ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงยอมรับนวกรรมการทำนาดำ เพื่อนบ้านใกล้ชิดและผู้อาวุโสในหมู่บ้านมีบทบาทน้อยมากในการยอมรับนวกรรมการทำนาดำเมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร สื่อบุคคลที่เป็นผู้นำหมู่บ้านมีอิทธิพลต่อชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในเรื่องเกี่ยวกับการสื่อสารติดต่อกับบุคคลภายนอก หรือกิจกรรมภายนอกหมู่บ้าน แต่ในเรื่องการตัดสินใจยอมรับหรือไม่ยอมรับนวกรรมนั้น เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคลที่หัวหน้าครัวเรือนจะตัดสินใจร่วมกับครอบครัวของตนเป็นสำคัญ โดยอาศัยความพร้อม ความเหมาะสมและความเป็นไปได้เป็นเครื่องกำหนด ดังนั้นบทบาทของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรจะมีผลต่อการยอมรับนวกรรมทำข้าวนาดำ เฉพาะบุคคลที่เป็นผู้นำหมู่บ้านซึ่งเป็นผู้ที่มีการติดต่อสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ระบบตัวต่อตัว (Interpersonal Communication) เป็นประจำเท่านั้นปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),เกษตรกรรม,นาดำ,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2526ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=516
515วิทยานิพนธ์โครงสร้างลวดลายผ้าทอกะเหรี่ยง อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานีสุนทร เกตุอินทร์การทอผ้ากับกะเหรี่ยงเป็นของคู่กัน แม้ว่าปัจจุบันจะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการแต่งกาย แต่กะเหรี่ยงส่วนใหญ่ยังคงรักษาวัฒนธรรมการทอผ้า โดยใช้เครื่องทอผ้าแบบเข็มขัดคาดอยู่ด้านหลัง การทอผ้าของกะเหรี่ยงไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใด ส่วนใหญ่จะมีโครงสร้างลวดลายการทอผ้าที่เหมือนกัน อุปกรณ์ที่ใช้ในการทอผ้ากะเหรี่ยง อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ได้แก่ กี่เอว สำหรับลักษณะโครงสร้างลวดลาย เทคนิคการผลิตและการจัดหมวดหมู่ผ้าทอ สรุปได้ว่า ลักษณะโครงสร้างหลักของผ้าทอมี 2 แบบคือ การทอแบบธรรมดา ซึ่งเป็นการทอผ้าเป็นผืนนำไปตัดเย็บเป็นชุดของเด็กหญิงกะเหรี่ยง แบบที่สองคือการทอแบบลวดลาย ผ้าที่กะเหรี่ยงนิยมทอใช้ส่วนใหญ่จะมีลวดลายประกอบ ซึ่งนำมาตัดเย็บเป็นของใช้และเครื่องนุ่งห่มต่างๆ โดยแต่ละประเภท มีลักษณะการทอที่ไม่เหมือนกัน เราสามารถสังเกตได้ว่าผู้ทอ กำลังทอผ้าเพื่อนำไปใช้ประโยชน์อะไร โดยพิจารณาจากลักษณะของลวดลาย สีและขนาดของผ้าที่ทอปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ผ้าทอ,ลวดลาย,อุทัยธานีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดอุทัยธานี ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=515
514วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงสภาพการผลิตข้าวไร่ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง บ้านแม่ลานคำ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่สิริสิน สายเกิดปัจจุบันเกษตรบ้านแม่ลานคำมีลักษณะผสมผสาน มีการปลูกพืชอาหารในไร่ข้าวหมุนเวียน สวนผลไม้และข้าวนาดำ มีรอบระยะเวลาพักตัวของไร่หมุนเวียนลดลงจากเดิม 8-12 ปีเหลือเพียง 2-3 ปี การปลูกพืชเชิงเดี่ยวและผลไม้ ซึ่งนำเข้ามาเผยแพร่ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชน โดยมุ่งหวังให้ชุมชนลดพื้นที่การทำไร่ข้าวหมุนเวียนลงและลดการบุกเบิกพื้นที่ผืนใหม่ ส่งผลให้ผลผลิตข้าวไร่ไม่เพียงพอต่อการบริโภค การผลิตข้าวไร่มีปัญหาผลผลิตไม่เพียงพอต่อการบริโภคในครัวเรือน เนื่องจากพื้นที่ทำกินถูกเวนคืนโดยกรมป่าไม้เพราะพื้นที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติออบขานและการรับพืชเชิงเดี่ยวและไม้ผลเข้ามาปลูกในชุมชน ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพการผลิตข้าวไร่ของชุมชนบ้านแม่ลานคำคือ สภาพความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ลดลงและสภาพดินฟ้าอากาศที่เปลี่ยนไป ปริมาณน้ำและพื้นที่ทำกินลดลงเนื่องจากนโยบายคืนพื้นที่ทำกินแก่อุทยานแห่งชาติ เพราะพื้นที่หมู่บ้านอยู่ในเขตเตรียมประกาศเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ นอกจากนี้ยังมีปัญหาแรงงานในชุมชนไม่เพียงพอ กะเหรี่ยงบ้านแม่ลานคำได้ทำการปรับตัวและแก้ไขปัญหาสภาพการผลิตข้าวไร่ที่ชุมชนประสบอยู่ โดยการปลูกพืชเชิงเดี่ยวและไม้ผลเพื่อทดแทนการปลูกข้าวไร่ การควบคุมและการจัดการแรงงานตลอดจนการสร้างกฎระเบียบภายในชุมชนปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ,ข้าวไร่,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=514
513วิทยานิพนธ์การมีส่วนร่วมของชาวไทยภูเขาเผ่ากระเหรี่ยงในการปรับปรุงคุณภาพน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคที่ได้จากน้ำประปาภูเขาภาวดี กลับฉิ่งระดับการมีส่วนร่วมของคนไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยงในการปรับปรุงคุณภาพน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคที่ได้จากน้ำประปาภูเขามีระดับปานกลาง (ร้อยละ 56) ระดับความรู้หลังการนิเทศของคนไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยงในการปรับปรุงคุณภาพน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคที่ได้จากน้ำประปาภูเขามีระดับสูง (ร้อยละ 92.4) และพบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ของการมีส่วนร่วมได้แก่ การได้รับข้อมูลข่าวสาร มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 รายได้ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ระดับการศึกษาและความรู้เรื่องน้ำสะอาด ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งน้ำ ความรู้เรื่องสารเคมีและความรู้เรื่องคุณภาพน้ำ ไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สำหรับผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ำ เมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์คุณภาพน้ำบริโภคในชนบทของคณะกรรมการบริหาร โครงการจัดให้มีน้ำสะอาดในชนบททั่วราชอาณาจักร กระทรวงมหาดไทย 2531 พบว่า อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),น้ำ,ประปาภูเขา,ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=513
512วิทยานิพนธ์Ban Hong Social Structure and Economy of a Pwo Karen Village in Northern ThailandHamilton, James W.วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีเนื้อหาครอบคลุมรายละเอียดทุกด้านที่เกี่ยวกับกะเหรี่ยงที่บ้านโฮ่ง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ทั้งประวัติความเป็นมา วิถีชีวิต ประเพณี เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม การแต่งกาย ภาษา และปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเอกลักษณ์ดังกล่าวโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ระบบเศรษฐกิจ,โครงสร้างสังคม,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2508ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=512
511วิทยานิพนธ์ชุมชนกะเหรี่ยง : วิถีชีวิตและทิศทางการพัฒนา กรณีศึกษาบ้านแม่ยาง หมู่ที่ 2 ตำบลหัวเมือง อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปางสุรินทร์ภรณ์ ศรีอินทร์การศึกษาเรื่องชุมชนกะเหรี่ยง วิถีชีวิตและทิศทางการพัฒนา กรณีศึกษาบ้านแม่ยาง หมู่ที่ 2 ตำบลหัวเมือง อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ ของชุมชน ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาและทิศทาง การพัฒนาในอนาคต โดยพบว่า ชุมชนบ้านแม่ยาง เพิ่งเป็นชุมชนที่จัดตั้งขึ้นใหม่ประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา มีประชากรทั้งหมด 26 ครัวเรือน จำนวน 117 คน ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว ชีวิตความเป็นอยู่ยังคงพึ่งพาธรรมชาติเป็นหลัก รวมทั้งการทำการเกษตรที่ถือเป็นอาชีพหลัก โดยทำนาแบบขั้นบันไดและทำไร่หมุนเวียน ชาวบ้านส่วนใหญ่พูดภาษาไทยเหนือได้ มีศูนย์การ ศึกษาเพื่อชุมชน มีสถานีอนามัย 3 แห่ง การนับถือศาสนาของชาวบ้านมีทั้งนับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ โดยควบคู่ไปกับการนับถือผี สภาพการพัฒนาของชุมชนมีการเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ -ด้านการเมืองการปกครอง ในอดีตผู้นำ คือ ผู้นำทางศาสนาหรือฮีโข่ ในปัจจุบันผู้นำมาจากการเลือกตั้งคือ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านให้ความร่วมมือทางการเมืองมากขึ้น -ด้านสังคมและวัฒนธรรม ปัจจุบันวิถีชีวิตของชาวบ้านเปลี่ยนไป มีการติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้นชุมชนมีความเป็นเมืองมากขึ้น -ด้านเศรษฐกิจ ปัจจุบันความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติลดลง การเก็บของป่า ล่าสัตว์อย่างในอดีตจึงทำได้ยาก ชาวบ้านจึงทำไร่ทำนาเป็นอาชีพหลัก และมีซื้อสินค้าจากภายนอกเพิ่มมากขึ้น สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาแบ่งเป็น 2 อย่างคือ 1. ปัจจัยภายใน ที่ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา ได้แก่ ความสามัคคี ประเพณีที่มีส่วนช่วยในการอนุรักษ์ธรรมชาติ การมีส่วนร่วมทางการเมือง ส่วนปัจจัยภายในที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ได้แก่ การไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงจากบุคคลภายนอก ความรู้ความเข้าใจในการใช้ภาษาไทย 2. ปัจจัยภายนอก ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่รับผิดชอบในพื้นที่ ตลอดจนสิ่งแวดล้อมต่างๆ องค์กรที่รับผิดชอบได้แก่ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนอำเภอเมืองปาน อบต. เจ้าหน้าที่พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ศูนย์คาทอลิก อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ทัศนคติของเจ้าหน้าที่ที่มีต่อชุมชนบ้านแม่ยาง ซึ่งเห็นว่า ชาวบ้านไม่ค่อยให้ความร่วมมือในกิจกรรมต่างๆ ของหน่วยงาน เส้นทางการคมนาคมไม่สะดวก ชาวบ้านยังมีความรู้ความเข้าใจในสังคมภายนอกไม่ดีพอปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),วิถีชีวิต,การพัฒนา,ลำปางตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=511
510วิทยานิพนธ์แบบแผนชีวิตชุมชนที่มีผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์ของสตรีกะเหรี่ยงที่กิ่งอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรีเทวี สวรรยาธิปัติศึกษาเกี่ยวกับทัศนคติเกี่ยวกับการมีลูกของสตรีกะเหรี่ยง โดยในการวิจัยได้ศึกษาด้านเศรษฐกิจ ความเชื่อ อัตราการเกิด การรอดชีวิตของลูกของกลุ่มตัวอย่างการศึกษาของหัวหน้าครอบครัวและภรรยา โดยแยกตามระดับการศึกษา ฐานะความเป็นอยู่ อาชีพ เป็นต้น ว่ามีความคิดเห็นต่อการวางแผนครอบครัว และการมีลูก รวมทั้งทัศนคติ เรื่องการแต่งงาน และการดำเนินชีวิตโดยไม่แต่งงานโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),สตรี,ภาวะเจริญพันธุ์,ราชบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2525ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=510
509วิทยานิพนธ์การเปรียบเทียบการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของเกษตรกรชาวเขาเผ่าม้งและเผ่ากะเหรี่ยงในเขตศูนย์พัฒนา โครงการหลวงอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ธเนศ ณุวงษ์ศรี (ว่าที่ร้อยตรี)ศึกษาการอนุรักษ์ป่าของเกษตรกรม้งและกะเหรี่ยง โดยพบว่าการอนุรักษ์ป่าของเกษตรกรม้ง และกะเหรี่ยงมีความแตกต่างกัน และเหมือนกันในบางส่วน เช่น กะเหรี่ยงทำงานอนุรักษ์มากกว่าม้ง อาทิ การป้องกันไฟป่า การรักษาป่า และทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกันคือ ม้งจะปลูกพืชระบบเชิงเดี่ยว ส่วนกะเหรี่ยงจะปลูกพืชหมุนเวียนด้วย สำหรับปัญหาที่พบส่วนใหญ่คือม้งจะมีปัญหาเรื่องการตัดไม้ทำลายป่า ส่วนกะเหรี่ยงพบปัญหาเรื่องไฟป่า และต้องการให้ทางการจัดสรรที่ดินทำกินให้มากขึ้นม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,ป่าไม้,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=509
508วิทยานิพนธ์กระบวนการอยู่ร่วมกับป่าของชุมชนกะเหรี่ยง:ศึกษาเฉพาะกรณี หมู่บ้านป่าแป๋ ตำบลป่าพลู อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูนวรุตม์ ศิริกิมผู้วิจัยได้มองกระบวนการอยู่ร่วมกับป่าของชาวป่าแป๋ เป็น 2 มิติ คือ มิติของนามธรรม และมิติของรูปธรรม กระบวนการในมิตินามธรรมเป็นเรื่องของวิธีคิดเป็นหลัก แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรกเป็นเรื่องของความคิดความเชื่อของชาวป่าแป๋ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเรื่องผี และขวัญ แต่ไม่ใช่เลือนหายไป แต่มีการประยุกต์ เชื่อมโยงความรู้จากภายนอกมากขึ้นกว่าความรู้ดั้งเดิมของชุมชน ทำให้เกิดการผสมระหว่างความรู้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสนา และส่วนที่สองเป็นวิธีคิดความรู้เกี่ยวกับป่าและการดูแลรักษาป่า ชาวป่าแป๋มีความคิดต่อป่าว่าเป็นแหล่งน้ำ ต้นน้ำที่อยู่อาศัยของสัตว์ เป็นที่พักพิงจึงต้องมีการอนุรักษ์ไว้ เพราะถ้าไม่มีป่าก็ไม่มีน้ำ มิติที่เป็นรูปธรรม คือการนำเอามิติที่เป็นนามธรรมข้างต้นมาเปลี่ยนเป็นปรากฎการณ์ที่เห็นได้ในชุมชน โดยเห็นได้จากกฎของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนภายนอกเห็นว่าเขารักษาป่าไว้ได้ (หน้า 101-102)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),วิธีคิดเกี่ยวกับป่า,การปรับตัว,วรรณกรรม,ลำพูนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=508
507วิทยานิพนธ์แนวการตั้งถิ่นฐานของชุมชนบนพื้นที่สูงในบริบทของการจัดการเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์และสิ่งแวดล้อม : กรณีศึกษาชุมชนในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่นงลักษณ์ ดิษฐวงษ์ผลการศึกษาพบว่าระหว่างปี พ.ศ.2527-2536 มีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ป่า แสดงให้เห็นว่าชุมชนยังสามารถอยู่ร่วมกับป่า ได้ถ้ามีความเหมาะสมสอดคล้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (หน้า ง) เนื่องจากการตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ศึกษานั้นมีความสัมพันธ์กับปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ สภาพอากาศ ความอุดมสมบูรณ์ของดินและแหล่งน้ำเป็นสำคัญ และจากการศึกษาพบว่ามีจำนวนประชากรต่อพื้นที่มากกว่าที่ควรจะเป็นตามหลักของเกษตรพอเพียง ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการนำทฤษฎีใหม่มาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการชุมชน เช่น การควบคุมจำนวนประชากร ควบคุมการใช้ประโยชน์จากที่ดินในกิจกรรมต่างๆ ทั้งเพื่อการเกษตร การตั้งถิ่นฐานของชุมชน และการท่องเที่ยวให้มีความสอดคล้องกับสภาพทางธรรมชาติ รวมถึงส่งเสริมให้ประชากรมีความรู้เพื่อเป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพอื่นๆ นอกภาคการเกษตร และป้องกันเฝ้าระวังการบุกรุกพื้นที่ป่า เพื่อให้ชุมชนสามารถอยู่ร่วมกับป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ได้อย่างยั่งยืน (หน้า 107-108)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ม้ง,ยวน,การตั้งถิ่นฐาน,การใช้ที่ดิน,ป่าอนุรักษ์,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=507
506วิทยานิพนธ์การแสดงของกะเหรี่ยงคริสต์บ้านป่าเด็ง จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ.2545บุษบา รอดอ้นความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สภาพสังคมที่เปลี่ยนไปมีผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่ของกะเหรี่ยง โดยเฉพาะการติดต่อกับสังคมภายนอก ทำให้กะเหรี่ยงกำลังถูกกลืนไปกับวัฒนธรรมและความเจริญดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อศิลปะการรำของกะเหรี่ยงที่กระทำสืบต่อกันมายาวนาน ดังนั้นผู้วิจัยจึงตระหนักในคุณค่า เห็นความสำคัญและสนใจที่จะศึกษาถึงการรำของกะเหรี่ยง โดยวิเคราะห์ลักษณะท่าทางการเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายว่ามีรูปแบบและท่าทางอย่างไร (หน้า 2-4) จากการศึกษาเรื่องการรำของกะเหรี่ยง ทำให้ผู้วิจัยทราบว่าท่ารำในแต่ละชุดสามารถจำแนกได้ 2 ลักษณะ คือ ลักษณะท่ารำที่เลียนแบบมาจากธรรมชาติ ได้แก่ 1) กิริยาของคน และลักษณะท่าทางที่เลียนแบบมาจากวิถีการดำเนินชีวิตประจำวัน การแต่งกาย ลักษณะนิสัย ตลอดจนความเชื่อต่างๆ ดังจะเห็นได้จาก การรำตงเป็นกิจกรรมการพบปะสังสรรค์ รำกระทบไม้ไผ่แสดงถึงการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว รำตำข้าวแสดงถึงวิถีชีวิตด้วยการเหยียบครกกระเดื่องและการใช้มือช้อนข้าวในครก ตลอดจนการแสดงเพลงกล่อมลูกแสดงถึงการครองชีวิตคู่ของกะเหรี่ยง 2) ลักษณะท่าพื้นฐานในการรำ ได้แก่ การแบมือ เท้าสะเอว การก้าวเท้า การแตะเท้า การยกเท้า (หน้า 315) อย่างไรก็ดี ปัจจุบันไม่ปรากฏการแสดงเพลงกล่อมลูกแล้ว จึงขาดการถ่ายทอดลำดับขั้นตอนในการแสดง ผลการศึกษาเป็นเพียงการอนุมานข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ จึงไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าการแสดงเพลงกล่อมลูกนั้นใช้ท่าอะไรบ้าง ดังนั้นข้อมูลที่ได้จากการศึกษาน่าจะเป็นประโยชน์หากจะมีผู้ทำการฟื้นฟูการแสดงเพลงกล่อมลูกขึ้น (หน้า 295)โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ศาสนาคริสต์,การแสดง,เพชรบุรีตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=506
505วิทยานิพนธ์การกล่อมเกลาทางสังคมในด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงตุลวัตร พานิชเจริญกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมของชุมชนบ้านแม่หารมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติตัวองค์ความรู้ที่ชาวบ้านหรือบรรพบุรุษได้คิดค้นสืบต่อกันมานั้น มิได้ขาดออกจากความเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถอธิบายให้เห็นความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างแนบแน่น (หน้า 81-82) ชุมชนกะเหรี่ยงมีวิถีชีวิตและการผลิตแบบยังชีพ มีระบบความเชื่อที่สัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติ สามารถจำแนกได้เป็น 4 ระดับ ได้แก่ ในระดับจิตวิญญาณ ระดับชุมชน ระดับเครือญาติและระดับครัวเรือน ความเชื่อได้ถูกปลูกฝังลงในจิตวิญญาณของสมาชิกภายในชุมชนและมีการสืบทอดโดยมีแผนของการเรียนรู้ที่ต่างจากระบบการศึกษาสมัยใหม่ กล่าวคือ การเรียนรู้ของคนในชุมชนเกิดจากประสบการณ์ส่วนบุคคล ผ่านการปฏิบัติเพื่อลองผิดลองถูกแล้วนำมาแลกเปลี่ยนกันระหว่างกลุ่มหรือชุมชน เพื่อสรุปเป็นบทเรียนและถ่ายทอดไปยังคนรุ่นหลังสืบต่อไป ในระดับชุมชน วิธีในการเรียนรู้ที่มีความสำคัญในการก่อให้เกิดความตระหนักรู้และมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ธรรมชาติคือ การร่วมพิธีกรรมที่สำคัญต่อชุมชนส่วนรวม เช่น การเลี้ยงผีขุนห้วย การเลี้ยงผีเจ้าเมือง ในขณะเดียวกันกลไกของรัฐที่มีอำนาจอยู่ที่ส่วนกลาง ล้วนแต่เป็นปัจจัยและเงื่อนไขที่ทำให้ชุมชนมีการปรับเปลี่ยนระบบความคิดและมีการผลิตองค์ความรู้ใหม่ที่เหมาะสมขึ้น ซึ่งมีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกชุมชน ระบบความคิดและความเชื่อ องค์ความรู้และองค์กรในการจัดการของชุมชนใดชุมชนหนึ่งจะสามารถดำรงอยู่เพื่อรับใช้หรือแก้ไขปัญหาของชุมชนได้ จำเป็นต้องมีกระบวนการถ่ายทอดเรียนรู้และองค์กรชุมชนที่คอยทำหน้าที่ผสมผสานองค์ความรู้ทั้งภายในและภายนอกเพื่อให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ของชุมชนอย่างเหมาะสมและเกิดความสงบสุขท่ามกลางสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์สืบไปปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),สังคม,ทรัพยากรธรรมชาติ,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=505
504วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงระบบการทำเกษตรและผลกระทบที่มีต่อการดำรงชีวิตของชาวกะเหรี่ยงหมู่บ้านแม่ลองธันวดี ดอนวิเศษการศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบการทำการเกษตรและผลกระทบที่มีต่อการดำรงชีวิตของชาวกะเหรี่ยงหมู่บ้านแม่ลอง โดยพบว่า ระบบการทำไร่หมุนเวียนได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต ปัจจัยที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง คือ การถูกจำกัดพื้นที่ในการทำกินของชาวบ้าน ทำให้พื้นที่ไร่หมุนเวียนมีจำนวนลดลงแต่เดิมที่เคยมี 7-8 แปลง เหลือเพียง 3-4 แปลง ชาวบ้านใช้พื้นที่แปลงที่ 1 ปลูกข้าวไร่แบบเดิม โดยใช้แปลงที่ 2 ปลูกพืชเศรษฐกิจในรอบปีการผลิตและสลับหมุนเวียน ในการปลูกพืชแต่ละแปลงจะถูกพักนาน 3 ปี เกิดการเปลี่ยนระบบการผลิตเพื่อบริโภคอย่างเดียวไปเป็นเพื่อการค้าด้วย พืชเศรษฐกิจชนิดแรกที่ปลูก คือ ถั่วแดง ต่อมาชาวบ้านหันมาปลูกถั่วเหลือง กะหล่ำปลี และแครอท ตามลำดับ ทำให้ปัจจุบันกะหล่ำปลีและแครอทกลายเป็นพืชเศรษฐกิจ การลงทุนในการปลูกพืชทั้ง 2 ชนิดค่อนข้างสูงเนื่องจากต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ทำให้ต้องกู้เงินมาลงทุนอันส่งผลต่อการดำรงชีวิตของชาวบ้าน ทำให้จำนวนไร่หมุนเวียนลดลง ผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการบริโภคในครัวเรือน การคาดการณ์ในอนาคตชาวบ้านร่วมกันเห็นว่าสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองและครอบครัวคงจะดีกว่าปัจจุบัน เพราะจะปลูกพืชเศรษฐกิจให้มากขึ้นควบคู่กับการปลูกข้าวไร่ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),เกษตรกรรม,สังคมวัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=504
503วิทยานิพนธ์ทัศนคติของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อยอดิสรณ์ กองเพิ่มพูลจากการศึกษาความคิดเรื่องการอนุรักษ์สัตว์ป่าของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ปรากฎว่าประเด็นที่ ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงมีทัศนคติเห็นด้วยสูงสุดคือ กวางผาเป็นสัตว์สงวนที่ใกล้สูญพันธุ์ ควรช่วยกันดูแลรักษาให้อยู่คู่ป่าอมก๋อยตลอดไป การทดสอบสมมุติฐานพบว่า ทัศนคติมีความสัมพันธ์กับรายได้ของครัวเรือนในระดับต่ำ แต่มีความสัมพันธ์กับอายุกับจำนวนสมาชิกในครัวเรือนในระดับปานกลางและมีสัมพันธ์กับความสามารถในการอ่านหนังสือ การติดต่อกับโลกภายนอก และการได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการอนุรักษ์ในระดับสูง ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าที่สำคัญคือ ไฟป่าในฤดูแล้ง การถางป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอยเหนือต้นน้ำ การล่าสัตว์เพื่อจำหน่าย การลักลอบตัดไม้ ตลอดจนปัญหาระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐและราษฎรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ส่วนความต้องการในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าคือ ต้องการให้มีการจัดเวรยามเฝ้าระวังไฟป่าและทำแนวกันไฟ ต้องการให้มีการจัดสรรที่ดินทำกินให้เพียงพอ ต้องการเข้ารับการศึกษาอบรมความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สัตว์ป่า ต้องการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าที่รัดกุม และต้องการเข้าร่วมโครงการปลูกป่าและอนุรักษ์สัตว์ป่าเพื่อฟื้นฟูส่วนที่เสื่อมโทรมปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ทัศนคติ, การอนุรักษ์, เชียงใหม่, ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=503
502วิทยานิพนธ์ความสามารถในการดูแลตนเองและภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุชาวกะเหรี่ยงพุธเมษา หมื่นคำแสนจากการศึกษาความสามารถในการดูแลตนเอง ภาวะสุขภาพและความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการดูแลตนเองกับภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุกะเหรี่ยงในอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก พบว่าผู้สูงอายุกะเหรี่ยงยังคงสูบบุหรี่รวมถึงดื่มสุรานานๆ ครั้ง อาการป่วยที่พบบ่อยคือ ปวดข้อ รองลงมาคือ ปวดกล้ามเนื้อ เมื่อเจ็บป่วยส่วนใหญ่ไปรับบริการในสถานบริการสาธารณะสุขชุมชนหรือสถานีอนามัย โดยมีระยะทางจากบ้านถึงสถานบริการสาธารณสุขที่ไปรับบริการเฉลี่ย 2.73 กิโลเมตร ใช้เวลาเฉลี่ย 33.33 นาที ผู้สูงอายุกะเหรี่ยงมีความสามารถในการดูแลตนเองอยู่ในระดับสูง ผู้สูงอายุกะเหรี่ยงมีภาวะสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง ความสามารถในการดูแลตนเองของผู้สูงอายุกะเหรี่ยงมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับภาวะสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผลการวิจัยครั้งนี้ เป็นข้อมูลพื้นฐานที่สามารถนำไปกำหนดแนวทางในการวางแผนส่งเสริมให้ผู้สูงอายุกะเหรี่ยงมีภาวะสุขภาพดี โดยการพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเองของผู้สูงอายุได้ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),สุขภาพ,ผู้สูงอายุ,ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=502
501วิทยานิพนธ์อาชีพการทำเครื่องประดับเงินของชนเผ่ากะเหรี่ยงหมู่บ้านวัดพระบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูนมีพร ปริญญาพลหมู่บ้านวัดพระบาทห้วยต้ม เริ่มตั้งชุมชนครั้งแรกโดยมีกะเหรี่ยงที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาและครูบาชัยยะวงศาพัฒนาที่ออกเผยแพร่พุทธศาสนาไปยังที่ต่างๆ ได้ติดตามกับครูบาวงศาพัฒนาเพื่อมาทำบุญและเพื่อนับถือศาสนาพุทธและได้มีอาชีพทางการเกษตรเหมือนกับกะเหรี่ยงที่อื่น แต่ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2523 ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขากับหน่วยงานอื่นๆ ได้เข้ามาส่งเสริมอาชีพทำเครื่องประดับเงินจนเป็นอาชีพสำคัญอาชีพหนึ่งของชุมชน จากการศึกษากระบวนการทำเครื่องประดับเงิน พบว่า วัตถุดิบที่ใช้คือเม็ดเงิน โดยมีพ่อค้าคนกลางเป็นคนนำมาให้ พร้อมกับลวดลาย อุปกรณ์ในการทำเครื่องประดับเงิน จะแบ่งได้เป็นประเภทดังนี้ อุปกรณ์การทุบ อุปกรณ์การขัด อุปกรณ์การหลอม อุปกรณ์การรีด และอุปกรณ์สำหรับแกะลาย การออกแบบลวดลายพบว่า ชาวบ้านไม่ได้ออกแบบเอง พ่อค้าคนกลางที่นำเม็ดเงินมาส่ง จะออกแบบให้ ชาวบ้านจะเก็บลวดลายไว้เพื่อให้คนที่สนใจสั่งทำ ส่วนลวดลายเดิมของชาวกะเหรี่ยง สำหรับกำไรจะเป็นลายเกลียว ตุ้มหูเป็นลักษณะปลายบาน สร้อยสำหรับห้อยคอเดิมชาวกะเหรี่ยงจะใส่ลูกปัด ส่วนโครงการส่งเสริม พบว่า มีโครงการเดียวคือ เมื่อ พ.ศ. 2523 โดยการสนับสนุนของศูนย์พัฒนาชาวเขาจังหวัดลำพูน พัฒนาชุมชน องค์การยูนิเซฟและโครงการสงเคราะห์เด็กยากจน โดยมีสมาชิกในโครงการจำนวน 18 คน ปัจจุบันไม่มีโครงการส่งเสริมเพราะชาวบ้านมีการรวมกลุ่มกันเพื่อการบริหารกันเองปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),เครื่องประดับเงิน,ลำพูนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=501
500วิทยานิพนธ์การดำเนินงานของกิจกรรมกลุ่มยุวเกษตรกรชาวไทยพื้นราบและชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในจังหวัดแม่ฮ่องสอนจำรุณ ระวีคำสมาชิกยุวเกษตรกรไทยพื้นราบส่วนใหญ่เป็นเพศชายแต่สมาชิกยุวเกษตรกรชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง โดยอายุของยุวเกษตรกรทั้ง 2 กลุ่ม มีอายุระหว่าง 12-17 ปี ส่วนใหญ่มีระดับการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 3 ขณะที่ยุวเกษตรกรชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาชั้น ประถม 4-ประถม 6 โดยที่สถานภาพการสมรสของทั้ง 2 กลุ่ม สถานภาพโสดและมีอายุการเป็นสมาชิก 1-4 ปี ผลการวัดความรู้ด้านการเกษตรและความรู้ความเข้าใจการดำเนินงานของสมาชิกกลุ่มยุวเกษตรชาวไทยพื้นราบมีความรู้ร้อยละ 85.00 ส่วนยุวเกษตรกรชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงมีความรู้เพียงร้อยละ 76.00 ส่วนผลการศึกษาการฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับงานโครงการและงานกิจกรรมกลุ่มของสมาชิก พบว่าทั้ง 2 กลุ่มมีการฝึกปฏิบัติมาก คิดเป็นร้อยละ 77.00 และ 50.00 สำหรับยุวเกษตรกรชาวไทยพื้นราบและยุวเกษตรกรชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงตามลำดับ ผลการศึกษาในกลุ่มยุวเกษตรกรพบว่ากลุ่มยุวเกษตรกรชาวไทยพื้นราบมีอายุการจัดตั้งนานกว่า มีเงินทุนหมุนเวียนและได้รับรางวัลจากการประกวดกลุ่มมากกว่า ผลการศึกษาปัญหาและความต้องการที่พบคือ การขาดเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรและเคหกิจเกษตรขาดเงินทุนดำเนินการ การดำเนินโครงการไม่ต่อเนื่อง ส่วนผลการศึกษาความต้องการพบว่า ต้องการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมประชุมกลุ่มอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้งและของงบประมาณสนับสนุนจากรัฐเพื่อให้การดำเนินการของโครงการต่อเนื่องปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ยวน,เกษตรกร,เยาวชน,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=500
499รายงานการวิจัยการสาธารณสุขมูลฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงพัฒน์ สุจำนง และคณะงานนี้แสดงให้เห็นว่าในการพัฒนาสาธารณสุขมูลฐานได้เน้นให้ชาวบ้านหันมาใช้ส้วมมากขึ้น สำหรับแหล่งน้ำดื่มให้ถูกสุขลักษณะ ให้การสุขศึกษาแก่ชาวบ้านโดยเน้นกลุ่มเด็กและเยาวชน สนับสนุนให้มารดาฝากครรภ์กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและขจัดบริโภคนิสัยซึ่งมีผลต่อโภชนาการที่ไม่ดี ส่วนในเรื่องการส่งเสริมการเกษตร ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงส่วนใหญ่ยังพึ่งตนเองทางการเกษตรไม่ได้ ทางโครงการฯ จึงมุ่งส่งเสริมให้เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการเพื่อเลี้ยงตัวเอง แต่ไม่สามารถขยายผลไปสู่คนกลุ่มใหญ่เนื่องจากมีเงินทุนจำกัด ด้านการศึกษาและพัฒนาชุมชน เป็นการสนับสนุนการดำเนินการที่ มีอยู่แล้วในหมู่บ้าน แต่ในแง่ของการตื่นตัวด้านการศึกษามีค่อนข้างสูง แต่ปัจจัยเกื้อหนุนบางอย่างไม่เอื้ออำนวย เช่น ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว ในภาพรวมของโครงการฯ อาจประสบผลสำเร็จในบางด้าน เพราะยังมีอุปสรรคที่ไม่สามารถบรรลุผล ได้เนื่องจากข้อจำกัดในด้านผู้ปฏิบัติงานระดับกลางที่จะนำแนวทางของโครงการฯ ไปปฏิบัติให้เกิดผลปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),สาธารณสุข,คุณภาพชีวิต,การพัฒนา,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=499
498หนังสือประเพณีอั้งมีถ่องกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการเนื้อหาส่วนใหญ่เน้นประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวโยงกับวิถีชีวิตของกะเหรี่ยง ทั้งยังสะท้อนให้เห็นความเชื่อในการนับถือผี ความเชื่อเกี่ยวกับขวัญและโชคลางโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ข้าวห่อ,ผูกขวัญ,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=498
497วิทยานิพนธ์แบบแผนการดูแลสุขภาพตนเองด้วยวิธีการแพทย์พื้นบ้านของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง บ้านมอเกอร์ยาง อำเภอพบพระ จังหวัดตากทัศนีย์ ฉิมสุดเนื้อหาโดยรวมกล่าวถึงวิธีการรักษาตนเองและคนในครอบครัวของกะเหรี่ยงในหมู่บ้านมอเกอร์ยาง อ.พบพระ จ.ตาก โดยใช้วิธีการรักษาแบบการแพทย์พื้นบ้าน เช่น การใช้สมุนไพร เวทย์มนต์คาถา การทำคลอดด้วยหมอตำแย ซึ่งการรักษานั้นได้สะท้อนให้เห็นความเชื่อและวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การแพทย์พื้นบ้าน,สุขอนามัย,ตากตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทย2542ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=497
496อื่นๆชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงกับการทอผ้าศริญญา นาคราช, สุภัทรา รัตนคอนการทอผ้าของกะเหรี่ยงมี 2 ชนิดคือ การทอธรรมดาและการทอลวดลาย การทอผ้าของกะเหรี่ยงจะใช้ด้ายซึ่งทำจากใยฝ้ายเท่านั้น ผ้าที่ได้จากการทอแบบกะเหรี่ยงจะเป็นผ้าหน้าแคบ ดังนั้นเครื่องนุ่งห่มจึงมีลักษณะคงที่คือนำผ้าทั้งผืนเย็บประกอบกันโดยพยายามหลีกเลี่ยงการตัด สีที่ใช้ย้อมจะมี 2 ชนิด ได้แก่ สีวิทยาศาสตร์ และสีธรรมชาติซึ่งได้จากพันธุ์ไม้ต่างๆ เช่น เปลือกไม้สัก ยอดต้นสัก เปลือกปอแดง ขมิ้น ต้นคราม เป็นต้น การประดิษฐ์ลวดลายในผืนผ้าขณะทอมี 5 วิธีคือ ลายเส้นในเนื้อผ้า ลายสลับสี ลายจก ลายขิดและการทอลายโดยการแทรกวัสดุอื่นประกอบ นอกจากนี้ การประดับลวดลายบนลายผ้าสามารถบอกถึงสถานะทางสังคมของผู้สวมใส่ได้อีกด้วย เช่น เสื้อของหญิงในหมู่บ้านภูเหม็นบนที่แต่งงานแล้วจะมี 2 แบบ แบบแรกทอลายทั้งตัวและแบบที่ทอเป็นผ้าพื้นทั้งผืน มักจะมีพื้นเป็นสีดำหรือสีน้ำเงิน แล้วทอดอกหรือปักลวดลายด้วยด้ายหรือไหมพรมสีชมพูเข้มหรือสีแดงเป็นหลัก ส่วนซิ่นก็จะมี 2 แบบ คือ ลายขวางตลอดทั้งตัว ส่วนแบบที่สอง เป็นลายขวางและใช้ผ้าที่ทอจากที่ทอเข็มขัดคาดหลังสามชิ้นมาเย็บต่อกันเช่นกันแต่ต่างกันที่ส่วนหัวซิ่นจะทอเป็นผ้าพื้นแดงช่วงกว้างๆ เป็นต้น แต่ปัจจุบันเด็กส่วนใหญ่นิยมใส่เสื้อและกางเกงสำเร็จรูปที่หาซื้อได้จากพ่อค้าในตลาดปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การทอผ้า,ภาคเหนือตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดตาก ประเทศไทยภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=496
495อื่นๆการศึกษาเรื่องการสักลายบนร่างกายของชนเผ่ากะเหรี่ยงในเขตอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่อาดัม อินดีกะเหรี่ยงในสมัยก่อนมีความนิยมในการสักลายทั้งเพศชายและเพศหญิง วัฒนธรรมการสักลายนี้มีการกระจายอยู่ทั่วไปในอาณาเขตล้านนาทั้งชาวกะเหรี่ยง คนเมือง พม่าและไทใหญ่ ซึ่งมีความเชื่อเกี่ยวกับการสักที่คล้ายกัน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็น ว่ามีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ ความนิยมสักลายในอดีตนั้นสะท้อนให้เห็นถึงภาพในอดีตที่ผู้ชายต้อง มีความเข้มแข็ง อดทน กล้าหาญ ความดีงามและคาถาอาคมเพื่อป้องกันตนเองเฉกเช่นนักรบ เพราะในอดีตมีการสู้รบระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ และเนื่องจากการพยาบาลในอดีตไม่พัฒนาเท่าปัจจุบันจึงมีการสักข่ามเขี้ยวหรือคาถากันสัตว์มีพิษเพื่อความปลอดภัยในชีวิต นอกจากนี้ผู้ชายกะเหรี่ยงยังเป็นที่หมายตาของผู้หญิงเสมือนหนึ่งเป็นผู้มีวิชาอาคม อดทน กล้าหาญและเป็น ที่ยอมรับของสังคมตามค่านิยมในอดีตปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การสักลาย,เชียงใหม่ตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=495
494อื่นๆการศึกษารูปแบบเครื่องแต่งกายกะเหรี่ยงโปและกะเหรี่ยงสะกอในเขต อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนนันทวัน อินทร์จันทร์เครื่องแต่งกายกะเหรี่ยงมีความเป็นเอกลักษณ์ของตน สามารถบ่งบอกถึงกลุ่มสายชาติพันธุ์กะเหรี่ยงด้วยกัน โดยเฉพาะการ ใช้ผ้าทอแบบคาดหลัง (Back Strap Loom) ผู้หญิงจะมีบทบาทในการทอผ้ามาก เสื้อผ้าของกะเหรี่ยงไม่ว่ากลุ่มใด จะมีโครง สร้างพื้นฐานเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย การตัดเย็บเสื้อผ้าของกะเหรี่ยงเป็นการตัดเย็บแบบง่ายๆ คือการเย็บเสื้อ และชุดกระโปรงของหญิงกะเหรี่ยง นำผ้าที่ได้จากการทอผ้าแบบคาดหลังซึ่งเป็นผ้าหน้าแคบ จึงต้องนำผ้าที่ได้มาพับครึ่งเย็บต่อกัน โดยเว้นหัวเว้นแขนทั้ง 2 ข้างไว้โดยไม่มีส่วนโค้งส่วนเว้า ส่วนผ้าซิ่นจะนำผ้ามาเย็บ ต่อกันประมาณ 2-3 ชิ้นขึ้นอยู่กับลวดลาย และขนาดตัวของผู้สวมใส่ หญิงสาวกะเหรี่ยงที่แต่งงานแล้วกับหญิงที่ยังไม่แต่งงานจะมีการแต่งกายที่มีลักษณะเฉพาะที่ต่างกัน โดยเฉพาะการประดับตกแต่งลวดลายบนเสื้อผ้า ดังเช่น หญิงกะเหรี่ยงสะกอที่ยังไม่แต่งงานจะสวมชุดกระโปรงสีขาว ส่วนหญิง กะเหรี่ยงโปว์ที่แต่งงานแล้วจะเปลี่ยนมาใส่เสื้อและซิ่น ซึ่งนิยมใส่สีแดงและสีชมพูปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),เครื่องแต่งกาย,แม่ฮ่องสอนตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=494
493บทความSocio-Cultural Change Among Upland Peoples of Thailand Lua and Karen-Two Modes of AdaptationKunstadter, John S.ลัวะและกะเหรี่ยงมีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ สังคม ในประเทศไทยในแนวทางที่แตกต่างกัน สำหรับลัวะพบว่าการปรับตัวกลายเป็นไทยเป็นเรื่องง่ายกว่ากะเหรี่ยง และเมื่อระบบเศรษฐกิจของลัวะตกต่ำมีลัวะจำนวนมากอพยพเข้าสู่พื้นที่ราบเพื่อกลายเป็นแรงงานและกลายเป็นไทย กะเหรี่ยงประสบความสำเร็จในการปรับตัวทางเศรษฐกิจมากกว่าลัวะ โครงสร้างทางสังคมกะเหรี่ยงและสถานที่ตั้งทำให้เกิดการดำรงอัตลักษณ์เฉพาะของกะเหรี่ยงให้คงอยู่ แต่ในขณะเดียวก็เป็นโครงสร้างที่ยอมให้กะเหรี่ยงประสบความสำเร็จในระบบเศรษฐกิจแบบตลาดของประเทศไทย (หน้า 10)ลเวือะ,ปกาเกอะญอ,การปรับตัว,การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ,สังคม,วัฒนธรรม,ภาคเหนือ,ประเทศไทยตำบลแขวงตลิ่งชัน อำเภอเขตตลิ่งชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2511ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=493
492บทความFertility decline among the Karen and Hmong, hill tribe minorities in Northern Thailand.Gray, Rossarin; Podhisita , Chai; Vapattanawong, Patama and Varangrat, Anchaleeอัตราเจริญเติบโตของประชากรในประเทศไทยในปัจจุบันอัตราการเกิดลดลงน้อยกว่าอัตราการตายในปี ค.ศ. 2000 (National Statistical Office (NSO) 2003) ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราการเจริญเติบโตลดลงคือการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจและสังคมและการยอมรับใช้การวางแผนครอบครัวเพิ่มมากขึ้น การมีอำนาจสูงสุดของวัฒนธรรมเดียวในประเทศไทยเป็นทิศทางสำคัญในการจัดการสร้างแนวคิดใหม่ได้ง่ายขึ้น (Knodel, Chamratrithrirong และ Debavalaya 1987) (หน้า 1) สำหรับอัตราการเจริญเติบโตของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและกลุ่มชาติพันธุ์ม้งซึ่งอาศัยบนพื้นที่สูงทางภาคเหนือของไทย จากข้อมูลประชากรในปี ค.ศ.1990 และ ค.ศ. 2000 ในช่วงระยะเวลา 10 ปีมี อัตราการเจริญเติบโตประชากรทั้งสองกลุ่มชาติพันธุ์ลดลง อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นของระดับการพัฒนาเศรษฐกิจแสะสังคมของทั้งสองกลุ่มไม่สอดคล้องกับการลดลงของอัตรา การเจริญเติบโต กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจะมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมช้ากว่ากลุ่มชาติพันธุ์ม้งแต่ อัตราการเจริญเติบโตลดลงมากกว่า ในขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์ม้งเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับสังคมไทยมากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงแต่ไม่ได้หมายความว่าจะยอมรับแนวคิดและนโยบายของไทยในเรื่องของการวางแผนครอบครัวและการคุมกำเนิด จากข้อมูลพบว่าการเปลี่ยนแปลงการศึกษา งานที่ทำ และระดับฐานะที่ดีขึ้นมีนัยต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราการเจริญเติบโต ม้งที่อาศัยในเมืองมีลูกมากกว่าม้งที่อาศัยในชนบท ข้อมูลนี้ไม่น่าประหลาดใจเนื่องจากพบว่าม้งนิยมมีลูกมากถ้าพวกเขาสามารถเลี้ยงดูได้และรวมถึงม้งมีแนวคิดเกี่ยวกับความต้องการมีลูกชายค่อนข้างมากซึ่งมีผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของประชากรในกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง (หน้า 24)ม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,ภาวะเจริญพันธุ์,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2548ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=492
491วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการใช้บริการฝากครรภ์และการใช้บริการคลอดของมารดาไทยมุสลิม กรณีศึกษาอำเภอยะหา จังหวัดยะลาวรรณา บุรีปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการใช้บริการฝากครรภ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ สตรีที่มีการศึกษาสายศาสนาในระดับต้น มีอาชีพงานบ้าน มีความเชื่อตามวัฒนธรรมท้องถิ่นด้านการฝากครรภ์และการคลอดต่ำ มีภาวะความเจ็บป่วยก่อนตั้งครรภ์ สามีและตนเองมีอำนาจในการตัดสินใจการฝากครรภ์ มีโอกาสที่จะใช้บริการฝากครรภ์กับบุคคลสาธารณสุขมากกว่าสตรีที่ไม่ได้ศึกษาสายศาสนา มีอาชีพรับจ้าง ค้าขายและธุรกิจส่วนตัว ความเชื่อตามวัฒนธรรมท้องถิ่นด้านการฝากครรภ์และการคลอดสูง และสามี พ่อแม่สามี พ่อแม่ของตนและอื่น ๆ มีอำนาจในการตัดสินใจการฝากครรภ์ โดยภาวะความเจ็บป่วยก่อนตั้งครรภ์จะใช้บริการฝากครรภ์น้อยว่าสตรีที่ไม่มีภาวะความเจ็บป่วยก่อนตั้งครรภ์ ส่วนปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการใช้บริการคลอดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ สตรีที่มีการศึกษาสายสามัญระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มีการฝากครรภ์ครบ 4 ครั้งตามเกณฑ์ ไม่มีค่าใช้จ่ายในการคลอด มีความรู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการคลอดสูง มีแรงจูงใจด้านการฝากครรภ์และการคลอดสูง มีภาวะผิดปกติระหว่างคลอด มีลักษณะครอบครัวเดี่ยว มีการสนับสนุนจากสามี พ่อแม่ของตน พ่อแม่สามีและญาติด้านการแนะนำคลอด มีโอกาสที่จะใช้บริการคลอดกับบุคลากรสาธารณะสุขมากกว่าสตรีที่ฝากครรภ์ไม่ครบ 4 ครั้งตามเกณฑ์ มีค่าใช้จ่ายในการคลอด มีความรู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการคลอดต่ำ มีแรงจูงใจด้านการฝากครรภ์และการคลอดต่ำ มีภาวะปกติระหว่างคลอด ได้รับการสนับสนุนแนะนำด้านการคลอดจากบุคคลอื่น ๆ โดยสตรีที่มีการศึกษาสายสามัญระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจะใช้บริการฝากครรภ์น้อยว่าสตรีที่มีลักษณะครอบครัวขยายออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,สตรี,การตั้งครรภ์,การคลอด,ยะลาตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดยะลา ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=491
490วิทยานิพนธ์บทบาทของมัสยิดในจังหวัดสตูลฮานีฟะห์ หยีราเหมบทบาทของมัสยิดในจังหวัดสตูล แยกได้ออกเป็นด้านต่างๆ ดังนี้ คือ เน้นการให้ความรู้ทางศาสนา นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางในการประกอบศาสนกิจ ในเรื่องการเมืองการปกครอง ได้ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานราชการในท้องถิ่นเพื่อร่วมกันระดมความคิดในการแก้ปัญหาทางสังคมสงเคราะห์ ในเรื่องกระบวนการยุติธรรม มัสยิดโดยอิหม่ามและผู้นำท้องถิ่นจะทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยประนีประนอมข้อพิพาทต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีบทบาทด้านส่งเสริมศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีและทำหน้าที่บริการการเงินในลักษณะสหกรณ์ และจัดหารายได้เพียงพอที่จะจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือทางด้านการศึกษาแก่เยาวชนออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,มัสยิด,สตูลตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสตูล ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=490
489วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเรียนต่อในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนประถมศึกษาขยายโอกาสของเยาวชนไทยมุสลิมในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ทัศนีย์ พรหมไพจิตรวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนประถมศึกษาขยายโอกาสสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ของเยาวชนไทยมุสลิมในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้(ยะลา ปัตตานี นราธิวาสและสตูล) ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนประถมศึกษาขยายโอกาส ได้แก่ ปัจจัยด้านประชากร ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านสังคม ปัจจัยด้านจิตวิทยา และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านประชากร พบว่า เพศชายมีความสัมพันธ์กับการเรียนต่อในทางบวก ผู้ขาดโอกาสทางการศึกษาที่เป็นเพศชายมีแนวโน้มที่จะยอมรับโอกาสมากกว่าเพศหญิง อายุมีความสัมพันธ์ในทางลบกับการเรียนต่อคือกลุ่มเยาวชนที่มีอายุน้อยมีแนวโน้มจะเรียนต่อมากกว่าผู้ที่อายุมาก ลำดับของการเป็นบุตรและจำนวนสมาชิกในครัวเรือนไม่มีความสัมพันธ์กับการเรียนต่อ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ พบว่า ผู้ปกครองที่มีรายได้ต่ำและผู้ปกครองที่ประกอบอาชีพกรรมกรและผู้ปฏิบัติงานในกระบวนการผลิต มีแนวโน้มจะส่งบุตรเรียนต่อ ขนาดของที่ดินทำกินไม่มีความสัมพันธ์กับการเรียนต่อ เยาวชนที่ผู้ปกครองมีผลผลิตที่คิดออกมาเป็นตัวเงินต่ำมีแนวโน้มจะเรียนต่อ ปัจจัยด้านสังคม พบว่า สถานภาพสมรสของผู้ปกครอง ระดับการศึกษาและการสนับสนุนผู้นำในชุมชน ไม่มีความสัมพันธ์กับการเรียนต่อ การสื่อด้วยภาษาไทยของผู้ปกครองมีความสัมพันธ์ในทางลบกับการเรียนต่อของเยาวชน ปัจจัยด้านจิตวิทยา พบว่า ผลการเรียนต่อไม่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มการเรียนต่อ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ไม่มีความสัมพันธ์กับการเรียนต่อ เจตคติต่อการเรียนต่อระดับวิทยาลัย เป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลโดยตรงกับการเรียนต่อระดับวิทยาลัย การคล้อยตามกลุ่มเพื่อนมีความสัมพันธ์กับการเรียนต่อ ความคาดหวังของผู้ปกครองที่ต้องการให้บุตรประกอบอาชีพเกษตรกรรม อาชีพการค้า ผู้ใช้วิชาชีพ อาชีพกรรมกรและผู้ปฏิบัติงานในกระบวนการผลิต มีแนวโน้มไม่ส่งบุตรเรียนต่อในโรงเรียนประถมศึกษาขยายโอกาส ค่านิยมทางการศึกษาของผู้ปกครองมีความสัมพันธ์กับการเรียนต่อ ส่วนความคิดเห็นของผู้ปกครองเกี่ยวกับหลักสูตรและกิจกรรมมีความสัมพันธ์ในทางลบ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม พบว่า การรู้ข่าวสารการศึกษาของผู้ปกครองมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการเรียนต่อ การแนะแนวครู ไม่มีความสัมพันธ์กับการเรียนต่อ ความสะดวกในการเดินทางจากบ้านมาโรงเรียนของบุตร มีความสัมพันธ์ในทางลบกับการเรียนต่อ แม้ว่าการเดินทางของจากบ้านมาโรงเรียนของบุตรไม่สะดวกก็มีแนวโน้มว่าบุตรจะเรียนต่อออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,การเรียน,ประถมศึกษา,เยาวชน,ชายแดน,ภาคใต้ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสตูล ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=489
488วิทยานิพนธ์การศึกษาเปรียบเทียบคำสอนและทรรศนะเรื่องการสิ้นสุดของโลกในพระพุทธศาสนาและศาสนาอิสลาม: ศึกษากรณีชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมในกรุงเทพมหานครรักใจ สุพรรณโกมุทการศึกษาเปรียบเทียบเรื่องการสิ้นสุดของโลกในประพุทธศาสนาและศาสนาอิสลาม โดยศึกษาประเด็นดังกล่าวจากกลุ่มนักวิชาการศาสนาและนักศึกษามหาวิทยาลัยรัฐในชมรมชาวพุทธและอิสลาม ในเขตกรุงเทพฯ พบว่าแนวคิดเรื่องดังกล่าวแตกต่างกันเป็นส่วนใหญ่ เช่น เรื่องการกำเนิดโลกและสิ้นสุดของโลก โดยในทางพุทธศาสนาไม่เชื่อในเรื่องการสร้างและการกำหนดความเป็นไปของพระเจ้า แต่ในทางกลับกันศาสนาอิสลามมีความเชื่อเช่นนั้น นอกจากนี้ ความเชื่อเรื่องการสิ้นโลกยังเป็นหลักศรัทธาข้อหนึ่งในอัลกุรอาน ดังนั้น มุสลิมทุกคนจึงเชื่อในหลักคำสอนดังกล่าว หรือเรื่องของจุดมุ่งหมาย โดยในทางพุทธมุ่งให้พิจารณาเรื่องความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และอนัตตา เพื่อเป็นการพัฒนาจิตให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง สำหรับทางอิสลามแล้วจุดมุ่งหมายอยู่ที่การยอมรับในเอกภาพของพระเจ้าทำให้เกิดศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และยึดมั่นปฏิบัติตามแนวทางคำสอนเป็นการกระตุ้นให้ทำความดีเพื่อผลแห่งความสุขในสวรรค์ แต่ทั้งนี้ 2 ศาสนาต่างก็มีทรรศนะเรื่องการสิ้นโลกคล้ายกัน คือ การมองโลกนี้สำคัญในฐานะที่เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ และสามารถพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมทั้งในระดับที่เกื้อกูลชีวิตให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข และสามารถพัฒนาไปสู่ระดับที่เป็นความสุขนิรันดร์ ส่วนผลการศึกษาในทรรศนะของศาสนิกชน พบว่า ทรรศนะของนักวิชาการพุทธจะมีความสอดคล้องกับหลักคำสอนในศาสนาของตนมากกว่านักศึกษาชมรมชาวพุทธ ส่วนนักวิชาการอิสลามและนักศึกษาชมรมมุสลิมมีทรรศนะ ที่สอดคล้องกับหลักคำสอนในศาสนาของตนมากกว่านักวิชาการและนักศึกษาชาวพุทธมุสลิม,ความเชื่อ,ศาสนา,อิสลาม,พุทธ,กรุงเทพตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=488
487วิทยานิพนธ์การรับรู้ความคาดหวัง ความพึงพอใจ และการยอมรับของชาวมุสลิม ในเขตหนองจอก ต่อบทบาทในการพัฒนาชุมชนของอิหม่ามกุสุมา กูใหญ่การวิจัยมุ่งศึกษาความพึงพอใจ ความคาดหวังของชาวมุสลิมที่สร้างบ้านเรือนรอบๆ มัสยิด ในแขวงต่างๆ แยกตามระดับการศึกษา ฐานะ อาชีพ ว่าคาดหวังพึงพอใจต่อบทบาทความเป็นผู้นำของอิหม่าม ผู้นำทางศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนในด้านต่างๆ ของเขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร ซึ่งมุสลิมอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่มุสลิม,ผู้นำศาสนา,การยอมรับ,การพัฒนาชุมชน,กรุงเทพฯ,ภาคกลางตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=487
486วิทยานิพนธ์วิถีชีวิตชาวไทยมุสลิมชุมชนหนองจอกรัชนี ไผ่แก้วไทยมุสลิมชุมชนหนองจอกมีความสำนึกว่าตนเป็นมุสลิมอย่างแท้จริง มีความศรัทธาในศาสนาอิสลามและรับอิสลามเป็นวิถีในการดำเนินชีวิต ศาสนาอิสลามจึงมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของคนในชุมชน ผู้นำทางศาสนาเป็นผู้ที่มีบทบาทในสังคม โดยครอบครัว โรงเรียนสอนศาสนา และมัสยิดเป็นสถาบันที่สำคัญในการปลูกฝังความศรัทธาและส่งเสริมเยาวชนให้มีจริยธรรมอิสลาม และค่านิยมตามแบบฉบับของบรรพบุรุษในอดีต ยังผลให้เยาวชนเติบโตมาโดยมีความเป็นมุสลิมภายใต้วัฒนธรรมอิสลาม ปฏิบัติตนตามแบบแผนเดียวกัน รวมทั้งในด้านความศรัทธาต่อพระเจ้า อันเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใหญ่ในชุมชนต้องปลูกฝังแก่สมาชิกในครอบครัวของตน การใช้ภาษาอาหรับในพิธีกรรมทางศาสนาและการใช้คำภาษามลายูปะปนกับภาษาไทยในการสื่อสารของผู้อาวุโสบางคน เป็นวัฒนธรรมทางภาษาที่คนในชุมชนถ่ายทอดแก่คนรุ่นใหม่สืบต่อมา ปัจจุบันค่านิยมบางประการเปลี่ยนแปลงไป เนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ ประกอบกับการพัฒนาจากภาครัฐบาลในด้านการคมนาคมและเศรษฐกิจ ทำให้คนในชุมชนต้องติดต่อกับคนภายนอกมากขึ้น ทำให้ชุมชนได้รับอิทธิพลของการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมจากภายนอกและทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมอิสลามกับวัฒนธรรมภายนอก (หน้า 4-5)มุสลิม,วิถีชีวิต,ศาสนา,พิธีกรรม,กรุงเทพฯตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=486
485วิทยานิพนธ์ค่านิยมในการเลือกคู่สมรสชายไทยมุสลิมในชุมชนมัสยิดมหานาควิทวัส ช้างศรการศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาลักษณะและค่านิยมในการเลือกคู่สมรสนับรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในการเลือกคู่สมรสระหว่างอดีตกับปัจจุบันของชายไทยมุสลิมในชุมชนมัสยิดมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย จังหวัดกรุงเทพมหานคร ผลการศึกษาพบว่า ในภาพรวมชายไทยมุสลิมจะเลือกคู่สมรสด้วยตนเองมากกว่าผู้ใหญ่จัดหาให้ โดยจะเลือกคู่สมรสที่มีความคล้ายคลึงกับตนเองในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ศาสนา อายุ ระดับการศึกษา รายได้ ตำแหน่งทางสังคม และรสนิยม การเลือกคู่สมรสระหว่างอดีตกับปัจจุบันในภาพรวมมีความเปลี่ยนแปลงไม่เด่นชัด แต่พอจะกล่าวได้ว่า ชายไทยมุสลิมที่จะเลือกคู่สมรสในปัจจุบันจะให้ความสำคัญต่อ ความรัก ความใกล้ชิด และรูปร่างหน้าตาที่ดีของคู่สมรสมากกว่าชายไทยมุสลิมที่เลือกคู่สมรสในอดีต การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดระหว่างอดีตกับปัจจุบันคือ บทบาทและอิทธิพลของผู้ใหญ่และครอบครัวต่อการตัดสินใจเลือกคู่สมรสในปัจจุบันมีลดน้อยลงกว่าในอดีต (หน้า ง)มุสลิม,การเลือกคู่สมรส,กรุงเทพฯตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=485
484วิทยานิพนธ์การสะท้อนภาพของเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับชาวมุสลิม ในหนังสือพิมพ์ไทยธีระยุทธ ลาติฟีผู้วิจัยได้สรุปสาระสำคัญของงานศึกษาครั้งนี้ได้ 4 ประเด็นด้วยกันคือ 1. หนังสือพิมพ์ไทยมีลักษณะการนำเสนอเนื้อหาของเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับมุสลิมในรูปแบบของข่าวเป็นหลัก โดยปรากฏในหน้าต่างประเทศมากกว่าหน้าอื่น ๆ และส่วนใหญ่ให้ความสำคัญไม่มากนัก โดยมักนำเสนอเป็นหัวข่าวธรรมดา และหัวข่าวรองหน้าใน ประเภทของเนื้อหาที่ถูกนำเสนอมีมากที่สุด คือ ประเภทสังคม-ความไม่สงบภายในสังคม-อาชญากรรม-วินาศกรรม สงคราม ความเคลื่อนไหวทางทหาร การเมืองระหว่างประเทศ และการเมืองในประเทศ นอกจากนี้เมื่อพิจารณาเนื้อหาในเชิงบวก - ลบ พบว่าเนื้อหาในเชิงลบถูกนำเสนอมากกว่า จะนำเสนอเนื้อหาของเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับมุสลิมที่มีองค์ประกอบคุณค่าข่าวในด้านความเด่น ความขัดแย้ง ลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน และเร้าอารมณ์ความรู้สึกค่อนข้างมาก สำหรับสถานที่เกิดเหตุการณ์ในเนื้อหา มักเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลางมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ 2. หนังสือพิมพ์ไทยมีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลประเภทอื่น ๆ โดยเฉพาะบุคคลที่ไม่ใช่มุสลิม และสำนักข่าวในโลกตะวันตก มากกว่าที่เป็นบุคคลมุสลิม และสื่อสารมวลชนของมุสลิม 3. หนังสือพิมพ์ไทยมีความโน้มเอียงในการนำเสนอเนื้อหาที่เป็นไปในทางลบมากกว่าเนื้อหาในทางบวกในเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับมุสลิม 4. ภาพลักษณ์ของมุสลิมที่ถูกนำเสนอในหนังสือพิมพ์ไทยโดยมากเป็นภาพลักษณ์ในด้านลบ ได้แก่ 1) กลุ่มภาพลักษณ์โจรก่อการร้าย ก่อวินาศกรรม มุสลิมหัวรุนแรง 2) กลุ่มภาพลักษณ์การจลาจล ม็อบ ประท้วง 3) กลุ่มภาพลักษณ์การฝ่าฝืน ไม่ให้ความร่วมมือ ละเมิดข้อตกลงสัญญา 4) กลุ่มภาพลักษณ์การทดลอง สั่งสม ซ่องสุมอาวุธร้ายแรง 5) กลุ่มภาพลักษณ์การประสบวิกฤติเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง กล่าวได้ว่า การนำเสนอเนื้อหาของเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับมุสลิมที่หนังสือพิมพ์ไทยเป็นผู้ทำหน้าที่กลั่นกรอง เลือกเฟ้นนำเสนอในลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าว เท่ากับเป็นการสร้างความเป็นจริงของเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับมุสลิมขึ้นมาใหม่ และเมื่อเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับมุสลิมถูกนำเสนอสู่การรับรู้ของผู้รับสาร ในที่สุด การเรียนรู้ของผู้รับสารเกี่ยวกับมุสลิมจากการนำเสนอของหนังสือพิมพ์ก็อาจไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ได้มุสลิม,หนังสือพิมพ์,ประเทศไทยตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=484
483วิทยานิพนธ์การจัดระเบียบทางเศรษฐกิจของชุมชนชาวประมงมุสลิม : บ้านแสนสุข จังหวัดสงขลาภรณี หิรัญวรชาติงานวิจัยชิ้นนี้มีข้อสมมติฐานถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจของชุมชนชาวประมงมุสลิมบ้านแสนสุข 5 ประการ คือ (1) การขยายตัวของอำนาจและกลไกรัฐ (2) การขยายตัวของเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ (3) สภาพนิเวศน์วิทยาของชุมชน (4) การเพิ่มขึ้นของประชากร (5) ความเชื่อทางศาสนาอิสลาม ผลจากการวิจัยทำให้ทราบว่าชุมชนแห่งนี้มีการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ (หน้า 231) เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ถูกผนวกเข้ากับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมากขึ้น และสูญเสียระบบการพึ่งตนเอง ระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมที่เป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพโดยยึดหลักศีลธรรม เปลี่ยนไปเป็นระบบการผลิตเพื่อการค้า แลกเปลี่ยนกับเงินตรา ส่งผลให้เกิดอาชีพที่หลากหลายมากขึ้น และเกิดการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น จนเกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยา และการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของชาวประมงที่ต้องปรับตัวด้วยการหันไปประกอบอาชีพในภาคการเกษตรในฤดูมรสุม บางครอบครัวก็ต้องกลายเป็นผู้ขายแรงงาน นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความต้องการพื้นที่เพื่อการผลิตและการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยมากขึ้น ทำให้ที่ดินถูกแบ่งออกเป็นผืนเล็ก ๆ (หน้า 234-238) อย่างไรก็ดี ค่านิยมซึ่งมีพื้นฐานมาจากความเชื่อทางศาสนาอิสลามที่เน้นคุณธรรมในจิตใจ เน้นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แทนที่จะแสวงหาผลกำไรจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั้น ได้ช่วยชะลอไม่ให้ระบบเศรษฐกิจของชุมชนที่มีความสัมพันธ์กับกลไกของตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสังคมภายนอก (หน้า 241)มุสลิม,ประมง,เศรษฐกิจ,วัฒนธรรม,สงขลาตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสงขลา ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=483
482วิทยานิพนธ์ศึกษาประเพณีทำบุญเดือนสิบของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย ในอำเภอตุมปัต รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซียสุธานี เพ็ชรทองประเพณีทำบุญเดือนสิบของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย ในอำเภอตุมปัต รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย จัดขึ้นในวันแรม 1 ค่ำ และแรม 15 ค่ำ เดือนสิบทางจันทรคติ เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติพี่น้อง ที่ล่วงลับไปแล้ว และคนที่มีบาปทั้งหลายที่ตกนรก ที่เรียกว่า เปรต จะถูกปล่อยขึ้นมาจากนรกให้มาพบลูกหลานและญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์ในวันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบ และจะถูกเรียกกลับไปสู่นรกดังเดิมในวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ โดยทำพิธีกันในวัด ขั้นตอนการปฏิบัติในพิธีทำบุญเดือนสิบ ได้แก่ พิธีสระเปรต เปรียบเสมือนการชำระล้างร่างกายให้กับบรรพบุรุษ การตั้งเปรต ด้วยการเตรียมหฺมฺรับ (สำรับ) ถวายพระสงฆ์ บรรพบุรุษที่ล่วงลับ และวิญญาณที่ไม่มีญาติ และชิงเปรต ด้วยการแย่งอาหารที่ตั้งเปรต ถือเป็นบุญกุศลและสิริมงคลประเพณีทำบุญเดือนสิบยังสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมด้านอาหาร วัฒนธรรมด้านสังคมสัมพันธ์ วัฒนธรรมด้านความเชื่อ และวัฒนธรรมด้านศิลปกรรม (หน้า 43, 52-62, 90-92)คนไทย,ประเพณี,วัฒนธรรม,มาเลเซียตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสงขลา ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=482
481วิทยานิพนธ์คำเรียกญาติของชาวไทยมุสลิมที่มีเชื้อสายต่างกันในกรุงเทพมหานครวราภรณ์ ติระการศึกษาเรื่องคำเรียกญาติของคนไทยมุสลิมที่มีเชื้อสายต่างกันในกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์คำเรียกญาติพื้นฐานและไม่พื้นฐานของไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ เชื้อสายจาม-เขมร และเชื้อสายเปอร์เซีย และเพื่อชี้ให้เห็นลักษณะสำคัญทางวัฒนธรรมที่สะท้อนจากความหมายคำเรียกญาติดังกล่าว โดยพบว่าคำเรียกญาติที่ใช้โดยไทยมุสลิมทั้ง 3 เชื้อสายมีมิติแห่งความแตกต่างที่ใช้แยกคำเรียกญาติพื้นฐานไม่เท่ากัน กล่าวคือ มุสลิมเชื้อสายมาเลย์มีมิติแห่งความแตกต่าง 5 ประการ ได้แก่ รุ่นอายุ สายเลือด อายุ เพศ และการให้เกียรติ ในขณะที่มุสลิมเชื้อสายจาม-เขมรมี 6 ประการโดยมีมิติเรื่องฝ่ายพ่อ/แม่เพิ่มขึ้นมา ส่วนมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียมี 5 ประการ เหมือนคำเรียกญาติพื้นฐานของภาษาไทย ได้แก่ รุ่นอายุ สายเลือด อายุ เพศ และฝ่ายพ่อ/แม่ สำหรับคำเรียกญาติไม่พื้นฐานของไทยมุสลิมทั้ง 3 เชื้อสายมีมิติแห่งความแตกต่างเหมือนกัน 8 ประการ ได้แก่ รุ่นอายุ สายเลือด อายุ เพศ ฝ่ายพ่อ/แม่ เพศของผู้พูด คำรื่นหู และการแต่งงานใหม่ จากการตีความระบบคำเรียกญาติของไทยมุสลิมในแง่ความสัมพันธ์กับลักษณะทางวัฒนธรรมพบว่า คำเรียกญาติของไทยมุสลิมสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของระบบอาวุโสหรือความแตกต่างทางอายุ และเน้นฝ่ายพ่อหรือเพศชายเป็นสำคัญ ในประเด็นสุดท้ายนี้เริ่มลดความสำคัญลงและกำลังจะกลายเป็นไม่เน้นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยเฉพาะ นอกจากนี้พบว่าวัฒนธรรมด้านต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกับวัฒนธรรมไทย เช่น ในด้านการแต่งงาน การแต่งกาย การตั้งชื่อ บทบาทระหว่างชายและหญิง เป็นต้น ซึ่งสรุปได้ว่าไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ยังคงรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนไว้มากที่สุด รองลงมาเป็นมุสลิมเชื้อสายจาม-เขมร และมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ได้น้อยที่สุดมุสลิม,คำเรียกญาติ,การเปลี่ยนแปลง,วัฒนธรรม,ภาษา,กรุงเทพฯตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=481
480วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำรงอยู่ของผดุงครรภ์โบราณชาวมุสลิมในงานอนามัยแม่และเด็ก : กรณีศึกษาหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน จังหวัดระนองขวัญชัย เกิดบางบอนศึกษาบทบาทผดุงครรภ์โบราณหรือหมอตำแย ที่มีบทบาทอย่างมากในการทำคลอดแก่สตรีมุสลิมในชุมชน บ้านดงกุ้ง หมู่ 1-2 ต.ดอนตูม อ.ดอนบุรี จ.ระนอง ซึ่งมีมุสลิมอาศัยอยู่กว่าร้อยละ 95 ว่าเหตุใดสตรีวัยเจริญพันธุ์มุสลิมจึงมีความเชื่อถือการทำคลอด และการดูแลหลังคลอดของผดุงครรภ์โบราณมากกว่าไปทำคลอดที่โรงพยาบาล แม้ว่าจะมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยกว่า และเหตุใดจึงมีความนิยมไปทำคลอดกับผดุงครรภ์โบราณสูงถึงกว่าร้อยละ 80 ขณะที่บ้านเมืองเจริญมากขึ้น แต่ก็ไม่ทำให้ความเชื่อถือดังกล่าวเสื่อมคลายลงมุสลิม,ผู้หญิง,ผดุงครรภ์,อนามัย,ระนอง,ภาคใต้ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดระนอง ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=480
479ปริญญานิพนธ์ความไว้วางใจทางการเมืองของ เยาวชนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้จิรวุฒิ อนุสรณ์นรการศึกษาความไว้วางใจทางการเมืองของเยาวชนไทยมุสลิม ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยศึกษาจากเยาวชนไทยมุสลิมของโรงเรียน 2 แห่งจำนวน 240 คน ว่าเยาวชนที่มีหลักสูตรการศึกษา เพศ ระดับการศึกษา อาชีพของบิดา และตำแหน่งทางศาสนาของบิดาที่ต่างกัน ระดับการศึกษาของบิดาที่ต่างกัน จะมีผลต่อระดับความไว้วางใจทางการเมืองของเยาวชนไทยมุสลิมหรือไม่ ซึ่งจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า มีค่าเฉลี่ยในระดับปานกลางออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิม,มลายูมุสลิม,เยาวชน,การเมือง,การศึกษา,อาชีพ,ชายแดนภาคใต้ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดระนอง ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=479
478รายงานการวิจัยนโยบายการปกครองของรัฐบาลไทยต่อชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้(พ.ศ.2475-2516)ปิยนาถ บุนนาคปัญหาการปกครองมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 - พ.ศ. 2516 มีปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่ พลังอำนาจทางประวัติศาสตร์ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม การศึกษา เศรษฐกิจ และที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ซึ่งส่งผลให้มุสลิมเกิดความแปลกแยกกับรัฐบาลไทย ประกอบกับมีกลุ่มบุคคลที่พยายามแทรกแซงโดยอาศัยชาวบ้านเป็นเครื่องมือในการแบ่งแยกดินแดนและก่อความไม่สงบต่างๆ รัฐบาลแต่ละสมัยก็ได้ตระหนักถึงปัญหาและดำเนินการแก้ปัญหามาโดยตลอด จึงแบ่งนโยบายของรัฐออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะแรกภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองถึงสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามช่วงแรก(พ.ศ.2475-2487) ระยะที่สองสมัยรัฐบาลพลเรือน(พ.ศ.2487-2491) ระยะที่สามสมัยรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงครามช่วงที่สอง(พ.ศ.2491-2500) ระยะที่สี่ภายหลังการรัฐประหาร พ.ศ.2500 ถึงวิกฤตการณ์ทางการเมือง พ.ศ.2516
อย่างไรก็ดี ภาพรวมด้านนโยบายของรัฐที่ผ่านมามีลักษณะต้องการผสมผสานกลมกลืนมุสลิมให้มีสำนึกในการเป็นพลเมืองไทย ขณะเดียวกันก็มีลักษณะประนีประนอมและสนับสนุนความเป็นลักษณะเฉพาะในด้านศาสนา สังคม และวัฒนธรรมของประชาคมมุสลิมแบบบูรณาการที่มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ ถึงกระนั้นก็ดี ปัญหาการปกครองคนไทยมุสลิมก็ยังคงสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นมิได้อยู่ที่นโยบายของรัฐเท่านั้น ยังมีข้าราชการผู้นำนโยบายไปปฏิบัติในพื้นที่ที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินนโยบาย ดังนั้นรัฐจึงควรจัดให้มีการประเมินผลการนำนโยบายไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ คนไทยมุสลิมยังจะต้องให้ความร่วมมือที่จะประนีประนอมความภักดีทางศาสนาและหน้าที่ในฐานะพลเมืองของประเทศเข้าด้วยกัน ทั้งนี้เพื่อการปรับปรุงที่มีประสิทธิผลยิ่งขึ้น (หน้า 228-238)มุสลิม,การปกครอง,จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัด ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=478
477วิทยานิพนธ์สถานภาพภายหลังการแต่งงานของสตรีเผ่าม้ง กรณีศึกษาบ้านทับเบิก ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ธงชัย ศรีเมืองงานศึกษาชิ้นนี้เป็นการศึกษาสถานภาพภายหลังการแต่งงานของสตรีเผ่าม้ง กรณีศึกษาบ้านทับเบิก ต.วังบาล อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ มีวัตถุประสงค์ศึกษาถึงลักษณะสถานภาพภายหลังการแต่งงานของสตรีเผ่าม้ง ลักษณะการเปลี่ยนแปลงสถานภาพภายหลังการแต่งงานรวมถึงปัจจัยหรือเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงสถานภาพภายหลังการแต่งงาน พบว่า สถานภาพภายหลังการแต่งงานของสตรีม้งมีหลายสถานภาพ คือ ในฐานะลูกสะใภ้ ในฐานะภรรยา และในฐานะการเป็นมารดา สตรีที่อยู่ในฐานะดังกล่าวมีสถานภาพและบทบาทที่อยู่ในวงจำกัดและเป็นรองบุรุษ เป็นลักษณะผู้ตามที่ดี ได้รับสิทธิในการนับถือผีบรรพบุรุษของสามี และอยู่อาศัยร่วมกับญาติในครอบครัวฝ่ายสามี ส่วนสิทธิและอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับกิจกรรมในครอบครัวพบว่า มีสิทธิและอำนาจที่จำกัดและมีความแตกต่างตามรูปแบบครอบครัว คือ ในครอบครัวขยาย การตัดสินใจขึ้นอยู่กับบิดาและมารดาของสามี ส่วนหน้าที่ของสตรีพบว่า เป็นแรงงานสำคัญในครอบครัวและการปรนนิบัติรับใช้สามี ตลอดจนญาติฝ่ายของสามี ในขณะที่รูปแบบครอบครัวเดี่ยวพบว่า อำนาจและสิทธิในการตัดสินใจในครอบครัว สามีเป็นผู้ตัดสินใจที่มีอำนาจเด็ดขาด แม้ว่าสตรีจะมีสิทธิในการออกความเห็น ส่วนปัจจัยที่ทำให้สตรีมีสถานภาพเป็นรองผู้ชาย พบว่า มากจากปัจจัยค่านิยมเรื่องระบบชายเป็นใหญ่ ผนวกกับเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่เน้นเรื่องเงินตรา งานของผู้ชายจึงถูกให้คุณค่าและความสำคัญ ในขณะที่งานของผู้หญิงในการดูแลครอบครัวและเลี้ยงบุตรมีคุณค่าน้อยลงม้ง,สังคมวัฒนธรรม,การแต่งงาน,สถานภาพทางสังคม,เพชรบูรณ์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเพชรบูรณ์ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=477
476วิทยานิพนธ์การศึกษามาตรการป้องกันปัญหายาเสพติดในชุมชนชาวเขา ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนชาวเขาเผ่าม้ง ตำบลเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์นภดล ศักดิ์เจริญชัยกุลจากการศึกษาพบว่าผู้เสพยาเสพติดม้งมีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดี ด้านปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการป้องกันปัญหายาเสพติดในชุมชนชาวเขา ปัญหาด้านเจ้าหน้าที่ ได้แก่ เจ้าหน้าที่บางคนมีส่วนรู้เห็นการซื้อขายยาเสพติดในชุมชน ส่วนทางด้านกฎหมายได้แก่ การลงโทษผู้ค้ายาเสพติดน้อยเกินไป ส่วนด้านงบประมาณ ได้แก่ การจัดสรรงบประมาณไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ ทางด้านผู้ค้ายาเสพติด ได้แก่ มีผู้ค้ายาเสพติดในชุมชนจำนวนมาก ด้านประชาชนได้แก่ ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับยาเสพติดน้อย และด้านสิ่งแวดล้อมไม่ดี เจ้าหน้าที่ขาดความชำนาญทางภูมิศาสตร์ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องบางส่วนมีการรับสินบนและบางส่วนเป็นผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ มีการใช้ยาเสพติด ด้านประเพณีวัฒนธรรมและเป็นยารักษาโรค ยาเสพติดมีรายได้สูงกว่าการประกอบอาชีพอื่นๆ และผู้นำชุมชนไม่ให้ความสนใจปัญหายาเสพติด ตลอดจนเจ้าหน้าที่ไม่ได้รับความร่วมมือในการป้องกันยาเสพติดจากประชาชน
ส่วนด้านมาตรการในการดำเนินการป้องกันปัญหายาเสพติดในชุมชน ด้านมาตรการการศึกษา ได้แก่ การส่งเสริมครอบครัวให้รู้จักดูแลเอาใจใส่สมาชิกในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ ด้านมาตรการบริการสนเทศและเผยแพร่ข่าวสารได้แก่ การออกเสียงตามสายทางหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน ด้านมาตรการทางเลือกได้แก่ การฝึกฝนอาชีพในหมู่บ้าน ด้านมาตรการสอดแทรกได้แก่ การให้การสงเคราะห์แก่ผู้ติดยาเสพติดที่เข้ารับการบำบัดรักษา ด้านมาตรการใช้นวัตกรรมได้แก่ การใช้สุนัขสงครามแก่ผู้ติดยาเสพติดในชุมชน ด้านกฎหมาย การปราบปรามพ่อค้ายาเสพติดในชุมชน การออกหมายเลขธนบัตร การใช้ระบบผู้อาวุโสตักเตือน การฝึกฝนอาชีพ การให้ความรู้ความเข้าใจด้านยาเสพติด การเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อและทัศนคติในด้านประเพณีและวัฒนธรรมเกี่ยวกับยาเสพติด ตลอดจนถึงการบำบัดรักษาม้ง,ยาเสพติด,การป้องกัน,ชุมชนชาวเขา,เพชรบูรณ์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเพชรบูรณ์ ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=476
475วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมของเกษตรกรเผ่าม้งในเขตศูนย์พัฒนาโครงการหลวงอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่สมพันธุ์ พาโสวังจากการศึกษาพบว่า เกษตรกรมีอายุโดยเฉลี่ย 32.07 ปี หากพิจารณาในแง่ของการนับถือศาสนา จะเห็นว่า เกษตรกรได้หันไปนับถือศาสนาคริสต์มากขึ้น ในด้านการศึกษา เด็กในวัยเรียนมีโอกาสเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในชั้นมัธยมศึกษาจำนวนเด็กชายได้เข้าเรียน ร้อยละ 100 ส่วนเด็กหญิงยังมีผู้ไม่เข้าเรียนร้อยละ 3.10 ซึ่งลดลงจากปี พ.ศ. 2539 ที่มี ผู้ไม่ได้เข้าเรียนถึงร้อยละ 5.90 ส่วนเกษตรกรที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษา (ไม่มีการเปลี่ยนแปลง) ในเรื่องของการควบคุมประชากรพบว่า เกษตรกรมีอัตราการเกิดลดลงจากร้อยละ 3.59 ในปี พ.ศ.2539 เป็นร้อยละ 2.85 ในปี พ.ศ.2544 ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.26 ในปี พ.ศ. 2539 เป็นร้อยละ 0.52 ในปี พ.ศ. 2544 เรื่องของการย้ายถิ่นฐาน เกษตรกรไม่มีการย้ายถิ่นฐาน ในขณะที่ ปี พ.ศ. 2539 มีการย้ายถิ่นฐานออกร้อยละ 1.53 จำนวนสมาชิกโดยเฉลี่ย 7.05 คน ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม การถือครองที่ทำกินเฉลี่ยต่อครอบครัวลดลงจาก 7.30 ไร่ในปี พ.ศ. 2541 เป็น 7.19 ไร่แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเอกสารสิทธิ์การถือครองที่ดิน ระบบการปลูกพืชส่วนใหญ่เป็นการปลูกพืชเชิงเดี่ยว นอกจากนี้ยังพบว่าเกษตรกรมีรายได้และมีความเป็นอยู่ดีขึ้น การผลิตทางการเกษตรของเกษตรกรยังประสบปัญหาต่างๆ เช่น ขาดความรู้ ขาดแคลนเงินทุน ราคาผลผลิตตกต่ำ ขาดตลาดรับซื้อผลผลิต เป็นต้น นอกจากนี้เกษตรกรยังมีความขัดแย้งกับหน่วยงานอุทยานแห่งชาติและชาวเมืองพื้นราบเกี่ยวกับด้านการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำ ป่าไม้และดินอีกด้วย เกษตรกรมีความต้องการสนับสนุนด้านการประกอบอาชีพ ไม้ดอกและพืชผักพันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพ ต้านทานต่อโรคและแมลงสูงม้ง,เศรษฐกิจ,เกษตรกร,โครงการหลวง,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=475
474วิทยานิพนธ์พฤติกรรมอนามัยของชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง บ้านหนองหอยเก่า ตำบลแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ : ความรู้และการปฏิบัติตนเกี่ยวกับการป้องกันโรคเอดส์สุทธยา ผะอบเหล็กชาวไทยภูเขาเผ่าม้งมีความรู้ในเรื่องโรคเอดส์อยู่ในระดับต่ำและมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์สูง เพศชายสถานภาพคู่มีความรู้มากกว่ากลุ่มอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่นที่ 0.05 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ความรู้ในด้านความหมายอยู่ในเกณฑ์ดี ความรู้ด้านความรุนแรงและการติดต่อ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีระดับความรู้อยู่ในเกณฑ์น้อย ความรู้ด้านอาการและอาการแสดง การป้องกันและการวินิจฉัยอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ วิทยุเป็นสื่อหรือแหล่งความรู้เรื่องโรคเอดส์มาสู่ชาวเขาเผ่าม้ง มากที่สุดและพบว่าภาษาเป็นอุปสรรคในการรับรู้ม้ง,โรคเอดส์,สุขอนามัย,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=474
473อื่นๆเครื่องแต่งกายชาวม้ง หมู่บ้านขุนกลาง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่นันทลี นวลอ่อนม้งในเมืองไทย แบ่งออกเป็น 2 พวก ตามลักษณะการใช้ภาษาและชื่อเรียกตัวเอง รวมทั้งการแต่งกาย ได้แก่ ม้งเขียวและม้งขาว เช่นเดียวกันกับบ้านม้งดอยปุย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ที่เป็นกลุ่มม้งเขียว ม้งเป็นพวกที่มีความรักและความต้องการอิสระ รักพวกพ้อง มีศิลปวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ รูปแบบเครื่องแต่งกายชาวเขาเผ่าม้งมีหลายรูปแบบ มีการเย็บปักประณีตและมีเทคนิคผสมผสานกับเครื่องประดับได้อย่างสวยงาม ปัจจุบันความเจริญได้เริ่มแผ่กระจายไปยังกลุ่มชาวเขาเผ่าม้งหรือแม้แต่เผ่าอื่นๆ ก็ตาม ทำให้วัฒนธรรมความเชื่อ ความรู้ต่างๆ ที่เคยสืบทอดกันมาเริ่มจะสูญหายม้ง,เครื่องแต่งกาย,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=473
472ปริญญานิพนธ์สภาพทั่วไปด้านเศรษฐกิจและสังคมของชาวไทยภูเขาบ้านดอนเย้า ต.ปอ อ.เชียงของ จ.เชียงรายสุชาติ พูลทวี, ร.ต.ท.ครอบคลุมเนื้อหา สภาพเศรษฐกิจ การเมือง สังคม จารีตประเพณี สุขภาพอนามัยและการศึกษา ตลอดจนปัญหาต่างๆ ของ
ชาวบ้านดอนเย้า ต.ปอ อ.เชียงของ จ.เชียงราย คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านเป็นม้ง ที่ต้องปรับตัวในด้านต่างๆ ทั้งสภาพความเป็น
อยู่เนื่องจากต้องทำการเกษตรในพื้นที่ ที่มีความทุรกันดาร การขาดการศึกษา ปัญหาสุขภาพอนามัยและความยากจนม้ง,สังคม,เศรษฐกิจ,ประเพณี,ความเป็นอยู่,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2528ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=472
471รายงานการวิจัยเมี่ยน หลากหลายชีวิตจากขุนเขาสู่เมืองประสิทธิ์ ลีปรีชา, ยรรยง ตระการธำรง และ วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์คณะผู้วิจัยได้สรุปว่า จากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นทางประชากรเท่าที่สามารถตามสัมภาษณ์คนเมี่ยนที่มาทำงานอยู่ในเชียงใหม่ได้จำนวนทั้งหมด 306 คน คาดว่าไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรเมี่ยนทั้งหมดส่วนใหญ่เป็นโสด อยู่ในวัยเรียนและวัยทำงาน นับถือความเชื่อดั้งเดิมมากกว่าศาสนาคริสต์ กว่าครึ่งหนึ่งของประประชากรประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว เช่น ขายน้ำเต้าหู้ ไก่ทอด ไอศกรีม ฯลฯ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่กับครอบครัวและยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสมาชิกในครัวเรือนและชุมชนต้นทางโดยมีการกลับไปเยี่ยมโดยเฉพาะในเทศกาลและพิธีกรรมสำคัญๆ รวมทั้งส่งเงินกลับไปช่วยเหลือพ่อแม่และญาติพี่น้องในหมู่บ้านนอกจากกลุ่มเครือญาติแล้วคนเมี่ยนที่อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองยังมีการรวมกลุ่มกันตามลักษณะอาชีพแห่งที่พักอาศัยเพื่อพบปะสังสรรค์ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันและออกบำเพ็ญประโยชน์แก่คนในชุมชนต้นทางเป็นครั้งคราว (หน้าจ) การอพยพเข้ามาสู่เมืองอย่างมากมายในช่วงสิบปีที่ผ่านมาเป็นผลจากระบบการศึกษาสมัยใหม่ที่มุ่งผลิตคนเข้าสู่ภาคบริการและอุตสาหกรรม นโยบายของรัฐที่บีบบังคับให้คนออกจากป่าภายหลังที่จบสิ้นการสู้รบกับคอมมิวนิสต์ และความตกต่ำของราคาพืชผลทางการเกษตรหลังวิกฤตเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ทุนทางสังคมหลายอย่างของคนเมี่ยนเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยเอื้อให้คนเมี่ยนสามารถปรับตัวเข้ากับอาชีพและวิถีชีวิตในเมืองได้เป็นอย่างดี (หน้า ฉ)เมี่ยน,การอพยพ,การปรับตัว,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=471
470รายงานการวิจัยเครื่องเงินเย้าหมู่บ้านปางควาย อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่สุปราณี เปียวิเศษเครื่องเงินเย้าสะท้อนถึงวิถีชีวิตของชนเผ่าเย้า แต่ละประเภทออกแบบให้มีความเหมาะสมกับการสวมใส่ในโอกาสต่างๆ อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อ และข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ลวดลายดังกล่าวล้วนได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติรอบๆ ตัว ทั้งนี้ในการออกแบบลวดลายยังขึ้นอยู่กับรูปแบบและรูปทรงของเครื่องเงินแต่ละประเภท รวมถึงค่านิยมและความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์ลวดลายของผู้ผลิต จนกระทั่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น โดยในการประดิษฐ์ลวดลายช่างจะใช้เทคนิคการตอกลวดลายเป็นหลัก และจะใช้เทคนิคการดุนเพื่อสร้างลวดลายให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังพบการใช้เทคนิคจากเครื่องมือสร้างลวดลายเลขาคณิตเป็นตัวเชื่อมลายอื่นๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งลักษณะเช่นนี้ยังคล้ายคลึงกับลวดลายที่พบบนผ้าปักเย้าอีกด้วย (หน้า 75-85)เย้า,เครื่องเงิน,เครื่องประดับ,เชียงใหม่,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=470
469บทความStability and Adaptation in a Socio-Economic-Religious System : The YaoKandre, Peterเอกสารฉบับนี้มีเนื้อหาแสดงถึง ความเป็นมา เอกลักษณ์เฉพาะทางภาษา ความเชื่อ วัฒนธรรม และการปรับตัวทางสังคม ของชาวเผ่าเย้าที่อาศัยอยู่ ณ อ.แม่จัน จังหวัดเชียงรายเย้า,การเปลี่ยนแปลง,เศรษฐกิจ,สังคม,ศาสนา,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2508ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=469
468วิทยานิพนธ์การเรียนรู้ของชาวมูเซอในการจัดการเกี่ยวกับความเสี่ยงของการพังทลายหน้าดินอุมัยวัชญ์ อารัธเพรียหลังจากที่มูเซอประสบปัญหาการพังทลายของหน้าดิน และปัญหาเรื่องผลผลิตการเพาะปลูกไม่ค่อยได้ผลและไม่เพียงพอต่อการบริโภค จึงมีการหาวิธีเพื่อแก้ปัญหาแต่ก็ยังปลูกพืชชนิดเดิม ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งก็หาวิธีป้องกันและแก้ไขโดยการเปลี่ยนจากพืชไร่เป็นพืชสวนและหลังจากที่มูเซอตะหนักรู้ถึงปัญหาจึงมีการร่วมมือกันภายในชุมชน เพื่ออนุรักษ์ป่าไม้โดยการปลูกป่าเพิ่มเติมในพื้นที่ที่ถูกทำลาย การเรียนรู้ในการจัดการปัญหาการชะล้างพังทลายหน้าดินของมูเซอ ดังเช่น การเรียนรู้โดยการขุดร่องน้ำเป็นขั้นบันได การเปลี่ยนจากทำไร่ข้าวมาทำนาแบบขั้นบันได หรือการนำไม้ยืนต้นประเภทไม้ผลมาปลูกแทนพืชไร่ที่เป็นพืชล้มลุก ซึ่งปัจจุบันถือได้ว่ามีการจัดการที่ดีและสามารถป้องกันการพังทลายของดินอย่างได้ผลลาหู่,ทรัพยากรธรรมชาติ,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=468
467รายงานการวิจัยการมีส่วนร่วมของเกษตรกรชาวเขาเผ่ามูเซอต่อการปลูกกาแฟอราบิก้าในระบบเกษตรป่าไม้พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์, จรีเมธ อังกสิทธิ์เกษตรกรชาวเขาเผ่ามูเซอผู้ร่วมปลูกกาแฟในระบบป่าไม้ ได้รับความรู้การปลูกพืชโดยเฉพาะกาแฟในระบบป่าไม้จากเจ้าหน้าที่ ส่งเสริม โดยมีความรู้ความเข้าใจว่าการทำเกษตรป่าไม้เชิงอนุรักษ์ สามารถอำนวยประโยชน์ต่อสภาพแวดล้อมที่ดี โดยเฉพาะ การรักษาความชุ่มชื้น องค์ประกอบของเกษตรป่าไม้ คือ การปลูกพืชเศรษฐกิจร่วมกับไม้ป่า สามารถได้ผลผลิตทางการเกษตรและผลผลิตจากไม้ป่าด้วย การปลูกกาแฟในระบบเกษตรป่าไม้นั้นส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรเป็นผู้แนะนำ และเกษตรกรชาวเขาเรียนรู้และมีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี การมีส่วนร่วมของเกษตรกรชาวเขาในการส่งเสริมการปลูกกาแฟอราบิก้าในระบบเกษตรป่าไม้ พบว่าเกษตรกรชาวเขายังมีส่วนร่วมน้อยในการคิด ตัดสินใจและการปฏิบัติ แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมก็ตาม ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเกษตรกรชาวเขายังขาดการกระตุ้นหรือขาดความกล้าในการแสดงความมีส่วนร่วม อันเป็นการสะท้อนถึงพื้นฐานของชีวิต ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณีและการพัฒนาการศึกษาของชาวเขาเป็นสำคัญลาหู่,การมีส่วนร่วม,เกษตรป่าไม้,ปลูกกาแฟ,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=467
466เอกสารวิชาการAgricultural Extension Strategy for HighlandPaiboon Suthasupa, Sanit Wongprasert, Yuthapong Kam-Udomรายงานดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อรายงานความก้าวหน้าของโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรแก่ชาวเขา เพื่อที่ชาวเขาเหล่านั้นจะได้มีอาชีพและเลิกปลูกฝิ่น โดยมีกิจกรรมหลายด้าน ทั้งการเผยแพร่ความรู้ด้านการเกษตร การมีส่วนร่วมของชาวบ้าน การดำเนินโครงการก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับชาวเขา อันได้แก่ ชาวบ้านมีความรู้ทางการเกษตรแผนใหม่เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นลาหู่,เทคโนโลยี,เกษตรกรรมตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2527ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=466
465หนังสือMvuh Hpa Mi Hpa : Creating Heaven, Creating EarthWalker, Anthony R. (ed.)หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหา 2 ภาค ภาคแรกเป็นการอธิบายประวัติความเป็นมา สังคม วัฒนธรรมของล่าหู่ ภาคที่สองเป็นเรื่องเล่าตำนานการสร้างสวรรค์และการสร้างโลกของกื่อชาซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดตามความเชื่อของล่าหู่ลาหู่,ตำนาน,เรื่องเล่า,จีนตอนใต้,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2538ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=465
464วิทยานิพนธ์ความสัมพันธ์ของมอญ พม่า และสุโขทัย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19-20พรพรรณ เลาหศิรินาถแม้ว่าในตำนานหรือนิยายปรัมปรา ได้กล่าวถึงความเป็นมาของชนชาติพม่าว่า มีมาตั้งแต่พุทธกาลก็ตาม นักประวัติศาสตร์ลงความเห็นกันว่า ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของพม่านั้น เริ่มต้นอย่างแท้จริงในสมัยพระเจ้าอโนรธา (Anawrahta พ.ศ. 1587-1620) ในพงศาวดารจีน ได้กล่าวถึงชนชาติพม่าว่า พม่าเป็นกลุ่มชนที่ได้อพยพมาจากตอนใต้ของจีนในพุทธศตวรรษที่ 2 หลังจากนั้นก็ตกอยู่ในอำนาจของพวกน่านเจ้า เมื่อได้รับอิสระจากน่านเจ้าแล้ว ก็ได้อพยพลงมาตามลุ่มแม่น้ำอิระวดี แล้วเข้ายึดภาคกลางของพม่า โดยได้ตั้งเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ ในภาคกลางของพม่า เรียกว่า อาณาจักรตัมบาดิปะ (Tambadipa) ในพุทธศตวรรษที่ 14 หลังจากสิ้นสุดของราชวงศ์ศรีเกษตรแล้ว พม่าก็ได้ตั้งเมืองพุกามขึ้นในกลางพุทธศตวรรษที่ 18 คือ ในระหว่างสมัยพระเจ้านรถิหปเต (Narathihapate พ.ศ.1797-1830) อาณาจักรพุกามเริ่มอ่อนแอลง ทั้งนี้ เพราะพระองค์ไม่ได้ใส่ใจในการปกครอง มองโกลได้พุกามเป็นเมืองขึ้นใน พ.ศ. 1827 อาณาจักรพุกามหลังจากนั้น ได้แตกแยกออกเป็นเมืองเล็กเมืองน้อย รวม 6 เมืองด้วยกัน และเมื่อพระเจ้าฟ้ารั่วหรือมะทะโก (Wareru พ.ศ. 1830-1844) ได้ครอบครองหัวเมืองมอญไว้ในอำนาจได้ทั้งหมด เมืองมอญจึงกลายเป็นเมืองที่เข้มแข็งที่สุด สำหรับความเป็นมาของมอญนั้น มอญทางภาคกลางของประเทศไทย คือ อาณาจักรทวาราวดี อาจจะมีศูนย์กลางอยู่ที่นครปฐม อู่ทอง หรือ ลพบุรีก็ได้ ปัจจุบันเชื่อกันว่า ศูนย์กลางเมืองทวาราวดี คือ แถบพระปะโทน นครปฐมเป็นศูนย์กลางอาณาจักรและศูนย์กลางทางพุทธศาสนา ทั้งประติมากรรมและสถาปัตยกรรม และอาณาจักรของมอญนี้คงมีความเจริญรุ่งเรืองมาก จึงปรากฏอิทธิพลของศิลปกรรมแบบทวารวดีมีอยู่ทุกภาคในไทย รวมทั้งในแถบพม่าตอนใต้ด้วย ในพงศาวดารพม่ากล่าวว่า มอญได้สร้างเมืองสะเทิมขึ้น ประมาณพุทธศตวรรษที่ 11 เมืองสะเทิมเป็นเมืองใหญ่ของพม่าตอนใต้ หลังจากได้รับเอาพุทธศาสนาจากอินเดียแล้ว เมืองมอญก็มีความเจริญมากขึ้น จนเป็นเหตุให้พระเจ้าอโนรธายกกองทัพมาตีเมืองสะเทิมในพุทธศตวรรษที่ 16 จนเมืองสะเทิมตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรพุกามในที่สุด นอกจากเสถียรภาพทางการปกครองของสุโขทัยจะไม่มั่นคงแล้ว ทางเศรษฐกิจก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยให้สุโขทัยมีเสถียรภาพในทุกๆ ด้านดีขึ้นได้ ทำให้สุโขทัยประสบปัญหาในการหาทางออกสู่ทะเล เมื่อเป็นเช่นนี้พ่อค้าไปมาระหว่างสุโขทัยกับตลาดภายนอกก็ลดลง ดังนั้น สุโขทัยจึงต้องหาเส้นทางออกสู่ทะเลใหม่ สำหรับเส้นทางการค้าระหว่างสุโขทัยกับเมาะตะมะเป็นเส้นทางที่ได้ใช้เป็นเส้นทางการค้ากันมาตั้งแต่โบราณและเมืองเมาะตะมะ มีอาณาเขตด้านหนึ่งติดทะเล พ่อขุนรามคำแหงคงเล็งเห็นผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่เมืองเมาะตะมะจะอำนวยให้กับสุโขทัย ดังนั้น พระองค์ได้แผ่ขยายอำนาจเข้าครอบครองเมืองมอญด้วยระบบการทูต คือ ให้ความสัมพันธ์ในฐานะเครือญาติ สำหรับความสัมพันธ์ทางด้านศาสนา ศิลปและวัฒนธรรมของมอญ พม่า และสุโขทัยนั้น ถ้าจะกล่าวอย่างกว้าง ๆ แล้ว อินเดียเป็นจุดรวมแห่งศาสนา ศิลป และวัฒนธรรมของมอญ พม่าและสุโขทัย เนื่องจากสุโขทัยมีความสัมพันธ์อันดีกับ มอญ พม่า ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และศาสนา ทั้งโดยตรงและทางอ้อม คือ มีความสัมพันธ์โดยทางตรงกับอาณาจักรมอญ และมีความสัมพันธ์โดยทางอ้อมกับพม่าโดยผ่านทางมอญ อิทธิพลทางด้านศิลปวัฒนธรรมและศาสนาก็ย่อมจะถ่ายทอดถึงกันได้ (หน้า 202-206)มอญ,พม่า,สุโขทัย,ความสัมพันธ์,ประวัติศาสตร์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2519ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=464
463รายงานการวิจัยวัฒนธรรมพื้นบ้านเกาะเกร็ดอาภา ศรีสงครามวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนมอญที่ผูกพันอยู่กับความเชื่อ ศาสนา และสะท้อนออกมาให้เห็นในขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา วรรณกรรม ศิลปหัตถกรรม และศิลปะการแสดงพื้นบ้าน ได้บอกเรื่องราวความเป็นมาและภูมิปัญญาที่สืบทอดมาเป็นเวลานานของคนมอญ อย่างไรก็ดี การพบปะสังสรรค์ทางวัฒนธรรมระหว่างสังคมมอญกับสังคมเมืองมีผลทำให้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนมอญเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต การปลูกฝังให้อนุชนรุ่นหลังตระหนักถึงคุณค่าในมรดกทางวัฒนธรรมดังกล่าวควบคู่กับการอนุรักษ์เป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้วัฒนธรรมมอญยังคงอยู่สืบไปมอญ,ความเชื่อ,ประเพณี,วิถีชีวิต,ภาษา,วรรณกรรม,การละเล่น,นนทบุรี,ภาคกลางตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=463
462บทความประวัติศาสตร์มอญยุคต้นสุดารา สุจฉายาไม่มีข้อมูลมอญ,ประวัติศาสตร์มอญตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย2527ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=462
461อื่นๆสถานภาพและบทบาทของเจ้าอง โต๋ที่มีผลต่อวิถีชีวิตชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคายจิราภรณ์ วีระชัยงานศึกษาชิ้นนี้ครอบคลุมปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมของคนไทยเชื้อสายเวียดนามอำเภอท่าบ่อ ตั้งแต่ประวัติศาสตร์การอพยพเข้าสู่ประเทศไทย การปรับตัวทางวัฒนธรรม การดำรงชีวิต การปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มต่างชาติพันธุ์ ที่สำคัญการสืบทอดความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์เกี่ยวกับความเชื่อในเจ้าอง โต๋ ที่เชื่อว่าเป็นเทพเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ การประกอบพิธีกรรมที่เหมาะสมถูกต้อง การเคารพบรรพบุรุษจะนำสิ่งดีงามมาสู่คนในครอบครัวของคนไทยเชื้อสายเวียดนาม อง โต๋ มีบทบาทต่อคนไทยเชื้อสายเวียดนามในด้านความเชื่อ พิธีกรรม ครอบครัวเครือญาติ ด้านการศึกษา ด้านการลดความเครียดในสังคม ด้านเศรษฐกิจ ด้านการรักษาโรค และบทบาทด้านการติดต่อสื่อสารเวียต,ญวน,คนไทยเชื้อสายเวียดนาม,ความเชื่อ,สัญลักษณ์,หนองคายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดหนองคาย ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=461
460รายงานการวิจัยวัฒนธรรมการบริโภคอาหารของชาวเวียดนามในเขตเทศบาลเมืองนครพนมนุชนงค์ อุเทศพรรัตนกุลงานวิจัยนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมการบริโภคอาหารของคนญวนในเขตเทศบาลเมืองนครพนม ซึ่งการบริโภคอาหารของคนญวนส่วนหนึ่งได้รับเอาวัฒนธรรมการบริโภคของคนไทยในท้องถิ่นมาผสมผสานกับการบริโภคอาหารในชีวิตประจำวันของคนญวนเอง เป็นการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของคนในสังคม แต่อย่างไรก็ดี การบริโภคอาหารของคนญวนในเทศบาลเมืองนครพนม ส่วนใหญ่ก็ยังคงรักษารูปแบบลักษณะการบริโภคอาหารตามประเพณี พิธีกรรมต่างๆ ของชนชาติไว้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นแบบแผนในการดำเนินชีวิตตามคติความเชื่อที่มีอยู่เดิม ทำให้การบริโภคอาหารของคนญวนยังคงมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ถึงแม้ว่าต้องมีการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ก็ตามเวียต,ญวน,เวียดนาม,ความเชื่อ,สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม,การบริโภค,นครพนมตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดนครพนม ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=460
459วิทยานิพนธ์การปรับเปลี่ยนพิธีกรรมการฟ้อนผีหมอของชาวโส้ อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหารชาติชัย ฉายมงคลเป็นการศึกษาพิธีกรรมการฟ้อนผีหมอและการปรับเปลี่ยนพิธีกรรมการฟ้อนผีหมอของโส้อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร โดยศึกษาจากเอกสารและภาคสนาม กลุ่มตัวอย่างคือหมอเหยาและผู้รู้ นำเสนอผลการศึกษาแบบพรรณนาวิเคราะห์ ปรากฎผลดังนี้ พิธีกรรมการฟ้อนผีหมอของโส้ อ.ดงหลวง ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เป็นพิธีกรรมที่ทำในเดือน 4 ของทุกๆ ปี ใช้เวลา 2 วันกับ 1 คืน เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีและเคารพต่อผีบรรพบุรุษ โส้เชื่อว่าหลังจากประกอบพิธีกรรมนี้แล้วจะทำให้โส้อยู่เย็นเป็นสุขพ้นจากอันตราย และยังเชื่อว่าเป็นการบูชาพญาแถนเพื่อให้ฝนตกตามฤดูกาลเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการทำเกษตรในปีนั้นๆ จากการศึกษายังพบว่าพิธีกรรมเปลี่ยนไปจากอดีต ดังนี้ การปรับเปลี่ยนพิธีกรรมด้านองค์ประกอบเพื่อความเหมาะสมและสะดวกในการจัดหา เช่น การเซ่นสรวงบูชามีการปรับเปลี่ยนวัสดุอุปกรณ์ในการเซ่นสรวง วัสดุอุปกรณ์ที่เคยผลิตเองก็จัดซื้อตามท้องตลาดตามท้องสมัยนิยม เช่น ดอกรักจากที่เคยเก็บจากหัวไร่ปลายนาก็เปลี่ยนมาใช้ดอกพลาสติกแทน เหล้าขาวจากอดีตก็เปลี่ยนเป็นน้ำอัดลมและเหล้าขาวบ้างตามโอกาส การปรับเปลี่ยนพิธีกรรมด้านขั้นตอน ยังคงเหมือนเดิม จะปรับเปลี่ยนเฉพาะองค์ประกอบด้านเครื่องแต่งกาย วัสดุอุปกรณ์ในการเซ่นสรวง การละเล่นพิธีกรรมในแต่ละขั้นตอน การปรับเปลี่ยนพิธีกรรมด้านความเชื่อ ยังคงคติความเชื่อเหมือนเดิม แม้จะปรับเปลี่ยนองค์ประกอบ ขั้นตอน วัสดุ แต่ก็ไม่ทำให้คติความเชื่อของโส้ต่อพิธีกรรมนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การปรับเปลี่ยนเพียงเพื่อความอยู่รอดของพิธีกรรมและการสืบทอดพิธีกรรมของโส้ อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร (ดูบทคัดย่อ)โส้ โซร ซี,การปรับเปลี่ยน,การฟ้อนผีหมอ,มุกดาหารตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=459
458รายงานการวิจัยการฟ้อนสะเอิงของชาวไทยกูยกนกวรรณ ระลึกงานวิจัยชิ้นนี้มุ่งศึกษาพิธีกรรมการฟ้อนสะเอิงของไทยกูย บ้านกระแซงใหญ่ ตำบลกระแซง อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อศึกษารูปแบบ สัญลักษณ์ความเชื่อ และบทบาทของพิธีกรรม โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพโดยเก็บข้อมูลในพื้นที่ชุมชน และสังเกตอย่างมีส่วนร่วมในพิธีกรรม ตลอดจนการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ผลการวิจัยพบว่า ไทยกูยบ้านกระแซงใหญ่มีจักรวาลความเชื่อแบบพราหมณ์ - พุทธ - ผี ความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษเป็นรากฐานความเชื่อที่นำไปสู่กระบวนการประกอบพิธีกรรม ความหมายทางวัฒนธรรมของพิธีกรรมฟ้อนสะเอิงจึงเป็นกระบวนการที่สืบเนื่องสัมพันธ์กันในบริบทของไทยกูย พิธีกรรมการฟ้อนสะเอิงเป็นพิธีกรรมที่ไทยกูยเข้าทรงผีฟ้าหรือผีสะเอิงเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยที่ไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน และเมื่อหายจากอาการเจ็บป่วยต้องทำการเข้าทรงเพื่อสักการะขอบคุณผีสะเอิง บทบาทของพิธีกรรมนั้น ผู้วิจัยพบว่ามีบทบาทที่สำคัญ 3 ประการต่อสังคมชาวไทยกูยคือ บทบาทในการควบคุมทางสังคม บทบาทในการสร้างความสัมพันธ์ของกลุ่มคนในสังคม และสร้างกำลังใจในการดำรงชีวิต (หน้า 1)กูย,ศิลปะ,การฟ้อน,ศรีสะเกษ,ภาคอีสานตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=458
457ปริญญานิพนธ์บทบาทเชิงเศรษฐกิจของสตรีชาติพันธุ์ไทย-กูย บ้านตรึม ตำบลตรึม อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์สมเกียรติ อินทอำภาเป็นการศึกษาบทบาทเชิงเศรษฐกิจของสตรีชาติพันธุ์ไทย-กูย บ้านตรึม อำเภอศีรขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสารและภาคสนามจากผู้รู้และสตรีวัยแรงงานจำนวน 100 ครอบครัว โดยผลการศึกษาพบว่า สตรีชาติพันธุ์ไทย-กูยมีบทบาทเชิงเศรษฐกิจแบบยังชีพ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผลิตเพื่อบริโภคของครอบครัวเป็นหลัก ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในครอบครัว สตรีมีบทบาทเชิงเศรษฐกิจแบบการค้าซึ่งเป็นกิจกรรมหรือการผลิตที่เน้นเพื่อเพิ่มรายได้ให้ครอบครัว ได้แก่ การทำนา การเลี้ยงสัตว์ คือ วัว ควาย และหมู การรับจ้างตัดอ้อย การทอผ้าไหม ขั้นตอนของกิจกรรมต่างๆ ที่ไม่ใช้แรงงานมาก สตรีจะเข้าไปมีบทบาทในการตัดสินใจ นอกจากนั้นประเพณีการแต่งงานของชาติพันธุ์ไทย-กูย ภายหลังการแต่งงานฝ่ายชายจะย้ายไปอยู่กับฝ่ายหญิง ทำให้สตรีมีอำนาจควบคุมปัจจัยการผลิต จึงมีผลต่อการมีบทบาทในการกำกับดูแลเศรษฐกิจของครอบครัว ผลการศึกษาทำให้ทราบถึงบทบาทสตรีเชิงเศรษฐกิจ สามารถนำไปพัฒนาและส่งเสริมอาชีพสตรีในแต่ละชุมชนให้มีความสำคัญต่อการหารายได้ให้ครอบครัวต่อไป (ดูบทคัดย่อ)กูย,เศรษฐกิจ,สตรี,สุรินทร์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=457
456วิทยานิพนธ์พิธีกรรมแซนเนียะตาของกลุ่มชาวไทยเขมร : ศึกษาเฉพาะกรณีหมู่บ้านกราม ตำบลไพร อำ เภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษระพีพรรณ คมใสการศึกษาพิธีกรรมแซนเนียะตาของกลุ่มคนไทยเขมร บ้านกราม ต.ไพร อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ เพื่อศึกษาสัญลักษณ์และความหมายที่ใช้ในพิธีกรรม และศึกษาหน้าที่รวมทั้งวิเคราะห์หน้าที่ของพิธีกรรมที่มีผลต่อการจัดระเบียบสังคมไทยเขมร วัตถุประสงค์ของพิธีกรรมดังกล่าว เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จในการเพาะปลูก เพื่อเป็นการเซ่นสรวงบูชาผีบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว และเพื่อแสดงถึงความกตัญญูที่มีต่อบรรพบุรุษ จากการศึกษาพบว่า สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันทำให้การเข้าร่วมพิธีกรรมของชาวบ้านมีวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน คือ ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเข้าร่วมพิธีกรรมด้วยความเชื่อที่มีสั่งสมมานาน และชาวบ้านอีกกลุ่มที่ต้องการเสี่ยงโชคจากการใช้หวยของมม็วด นอกจากนี้สัญลักษณ์ที่ปรากฏในพิธีกรรม มีความหมายที่แสดงให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ ส่วนหน้าที่ของพิธีแซนเนียะตาทำให้ผู้ที่อยู่ในหมู่บ้านและญาติมิตรได้มีโอกาสมาพบปะกัน ก่อให้เกิดความเป็นปึกแผ่นในสังคม และช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในหมู่บ้านที่นับถือ พิธีแซนเนียะตา จึงทำหน้าที่ในการจัดระเบียบสังคมภายในหมู่บ้านนั่นเองคะแมร์ลือ,ไทย-เขมร,สังคมวัฒนธรรม,พิธีกรรม,พิธีเซนเนียะตา,ศรีสะเกษตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=456
455วิทยานิพนธ์การผสมผสานวัฒนธรรมชาวไทย-ลาว และ ชาวไทย-เขมร ในพิธีมงก็วลจองได บ้านดมประไพ เจริงบุญงานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาการผสมผสานในพิธีมงก็วลจองไดของไทย-เขมร กับ พิธีบายศรีสู่ขวัญของไทย-ลาว ที่บ้านดม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ อันเกิดจากการรวมกลุ่มกันทางสังคม โดยมีคติความเชื่อ วิธีการปฏิบัติตน และการดำเนินชีวิตที่คล้ายกัน จุดมุ่งหมายของพิธีกรรมเพื่อการสร้างกำลังใจและความเป็นศิริมงคลในการดำเนินชีวิต ได้แก่ การเรียกขวัญในพิธีแต่งงาน พิธีบวชนาค พิธีขึ้นบ้านใหม่ พิธีสะเดาะเคราะห์คนเจ็บป่วย และพิธีสู่ขวัญคนธรรมดา (ในโอกาสแสดงความยินดีเรื่องหน้าที่การงาน)ไทย-ลาว ,ไทย-เขมร,คะแมร์ลือ,ความเชื่อ,พิธีกรรม,พิธีมงก็วลจองได,สุรินทร์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=455
454วิทยานิพนธ์การอพยพย้ายถิ่นของกลุ่มชนส่วยบ้านโพนทอง ตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. 2506 - 2537กรรณิการ์ สุขสวัสดิ์ผู้เขียนศึกษาและอธิบายปัจจัยที่มีผลต่อการอพยพของส่วยบ้านโพนทอง ตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ และวัฒนธรรมความเป็นอยู่ แบ่งช่วงเวลาเป็น 2 ช่วง คือ 1.ในช่วงปี พ.ศ. 2506-2521 จะเป็นส่วยที่อพยพมาจากอำเภอศีขรภูมิ อำเภอจอมพระ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ผู้เขียนได้กล่าวถึงลักษณะการอพยพ ของผู้อพยพกลุ่มแรกนี้ในเรื่องของระดับการศึกษา อาชีพ ทรัพย์สินดั้งเดิมก่อนอพยพ ทรัพย์สินที่นำมาระหว่างการอพยพ จำนวนสมาชิกในครอบครัวก่อนอพยพและที่อพยพมาพร้อมครอบครัว (หน้า 24-26) รูปแบบลักษณะการอพยพและพาหนะ ที่ใช้ในการอพยพ (หน้า 40-42) ในช่วงปี พ.ศ. 2521 ได้อพยพกลับไปภูมิลำเนาเดิมเนื่องจาก หนีภัยผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ 2. ช่วงเวลา พ.ศ. 2525-2537 ได้อพยพกลับมาบ้านโพนทองอีกครั้ง เนื่องจากภัยผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์สงบลง (หน้า 3) กองกำลัง สุรนารีส่วนแยกจังหวัดสุรินทร์เข้าเคลียร์พื้นที่และตั้งค่ายขึ้นที่บริเวณช่องจอมชายแดนกัมพูชา บ้านโพนทองจึงกลับ อยู่ในภาวะปกติ (หน้า 71) ผู้เขียนได้กล่าวถึงลักษณะการอพยพของผู้อพยพกลุ่มแรกนี้ในเรื่องของระดับการศึกษา อาชีพ ทรัพย์สินดั้งเดิมก่อนอพยพ ทรัพย์สินที่นำมาระหว่างการอพยพ จำนวนสมาชิกในครอบครัวก่อนอพยพและที่อพยพมาพร้อมครอบครัว (หน้า 71-73) การอพยพในช่วงนี้มีความสะดวกสบายมากขึ้น เนื่องจากมีเส้นทางคมนาคมผ่านถึงหมู่บ้าน ผู้เขียนได้กล่าวถึงรูปแบบลักษณะ การอพยพและพาหนะที่ใช้ในการอพยพ (หน้า 82-83)กูย กวย(ส่วย),การอพยพย้ายถิ่น,วัฒนธรรม,สุรินทร์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=454
453บทความAriadne's Thread and Indra's Net : Reflections on Ethnography, Ethnicity, Identity, Culture, and InteractionMoerman, Michaelผู้เขียนบทความนี้ทบทวนแนวความคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์วรรณา การธำรงชาติพันธุ์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรมและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งแต่ละส่วนต่างก็เป็นผลิตผลของกระบวนการที่ทาบเกี่ยวกัน(the ongoing product of intersecting processes) กระบวนการนี้เกิดขึ้นภายในเงื่อนไขสถานการณ์ที่เกิดเหตุการณ์ และเป็นเป้าหมายหรือความสำเร็จทางสังคม(social accomplishment) (น.96-97)ลื้อ,ชาติพันธุ์วรรณา,อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,วัฒนธรรม,ปฏิสัมพันธ์,เชียงคำ,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2536ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=453
452วิทยานิพนธ์พิธีกรรมกอร์เซาะกำป็อจของชาวไทยเขมรบ้านหนองกัว ตำบลเมืองที อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์สมัคร เจาะใจดีงานศึกษานี้เป็นการศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ และขั้นตอนพิธีกรรมกอร์เซาะกำป็อจ และศึกษาแนวความคิดความเชื่อของพิธีกรรมดังกล่าวของไทยเขมรบ้านหนองกัว ต.เมืองที อ.เมือง จ.สุรินทร์ พบว่า ไทยเขมรที่บ้านหนองกัวนี้มีวัฒนธรรมที่เป็นของกลุ่มตนเอง ยังคงปฏิบัติตามประเพณีและพิธีกรรมประจำชีวิตที่เกี่ยวกับการเกิด การโกนจุก การบวช การแต่งงงาน และการตายสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ โดยมีอาจารย์หรือกรูเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ แม้ว่าในปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตอย่างมาก แต่ไทยเขมรนี้ยังคงมีความเชื่อต่อประเพณีพิธีกรรมที่สำคัญไว้อย่างเหนียวแน่น
ในพิธีกรรมกอร์เซาะกำป็อจมีองค์ประกอบ ด้านบุคคล ได้แก่ อาจารย์ แม่กะแย พระสงฆ์ เด็กเซาะกำป็อจ (เด็กผมจุก) และผู้เข้าร่วมพิธีกรรม ด้านวัสดุสิ่งของ ได้แก่ เครื่องบูชา เครื่องสังเวย เครื่องสู่ขวัญ เครื่องแต่งตัวเด็กผมจุก และเครื่องมือโกนจุก ด้านเวลาจะใช้เวลา 2 วัน โดยจะจัดเฉพาะในระหว่างเดือนยี่ถึงเดือน 4 เท่านั้น ด้านสถานที่ ได้แก่ ปะรำพิธี เรียนตีวดา และเรียนกอร์เซาะกำป็อจ (ร้านโกนจุก) การจัดพิธีกรรมกอร์เซาะกำป็อจระหว่างช่วงกำเนิดหมู่บ้านในช่วง พ.ศ. 2445-2475 และช่วง พ.ศ 2476-ปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ ส่วนใหญ่เป็นในรายละเอียดปลีกย่อย เช่น ค่ายกครู ค่าตอบแทนอาจารย์ แม่กะแย ที่เพิ่มมากกว่าเดิม หรือวัสดุสิ่งของที่ใช้ในพิธีจะเป็นของที่หาซื้อได้จากร้านค้าในตลาดเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในสังคมชนบทและภายนอกสังคมชนบท และด้านการใช้ภาษาในระยะหลังนี้จะใช้ภาษาไทยภาคกลาง แทรกเข้ามาในพิธีกรรมตามความเหมาะสม จากเดิมที่จะใช้ภาษาบาลีและภาษาไทยเขมรเท่านั้น
แนวความคิดความเชื่อของพิธีกรรมกอร์เซาะกำป็อจ ในด้านองค์ประกอบและขั้นตอนการประกอบพิธีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เกิดจากการผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธและพราหมณ์ อันเป็นแนวความคิดความเชื่อพื้นฐานในลักษณะพื้นบ้าน ที่ไทยเขมร บ้านหนองกัวสร้างสมมาจากบรรพบุรุษอย่างไม่เปลี่ยนแปลง นับเป็นความเชื่อของพิธีกรรมเกี่ยวกับเด็กซึ่งพ่อแม่ให้ความสำคัญมาก อันถือเป็นสิริมงคลต่อการเปลี่ยนสถานภาพจากวัยเด็กเข้าสู่วัยหนุ่มสาวของไทยเขมรเขมร,สังคมวัฒนธรรม,พิธีกรรม,สุรินทร์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=452
451รายงานการวิจัยวัฒนธรรมชาวไทโย้ยบ้านอากาศ อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนครลัดดา พนัสนอกวัฒนธรรมทางด้านคติธรรมของไทโย้ย มีการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษโดยมีบิดา มารดาเป็นผู้อบรม วัฒนธรรมทางด้านเนติธรรม มีการปฏิบัติตามจารีตประเพณี มีความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น การนับถือผี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องขวัญและยึดระบบอาวุโส เมื่อเกิดการขัดแย้งกันผู้อาวุโสจะเป็นที่พึ่ง วัฒนธรรมทางวัตถุธรรม ไทโย้ยสร้างเรือนอยู่เองโดยมีญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านช่วย ลักษณะทางสถาปัตยกรรมปัจจุบันยังเป็นแบบดั้งเดิมมาก การปลูกเรือนนิยมหันหน้าเรือนออกสู่ถนน วัฒนธรรมทางสหธรรม ไทโย้ยยึดมั่นในระบบผัวเดียวเมียเดียว ไม่นิยมจดทะเบียนเนื่องจากไม่เห็นความสำคัญ บิดามารดามีหน้าที่เลี้ยงดูและสั่งสอนบุตรธิดา การแต่งงานสามารถแต่งกับคนในกลุ่มหรือนอกกลุ่มก็ได้ไม่มีการห้าม ไทโย้ยมีเจ้าโคตรของแต่ละตระกูลเป็นผู้ควบคุมพฤติกรรมของคนในกลุ่มของตน ส่วนในด้านการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมพบว่า วัฒนธรรมหลักของประเทศได้เข้าไปมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมดั้งเดิมมากขึ้น ตามแนวคิดทฤษฎีการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม เช่น การเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากนโยบายของรัฐเพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นของคนในชาติโดยการจัดการศึกษาแก่เยาวชนในท้องถิ่นผู้ย้อย ย้อย ลาวย้อย ไทย้อย โย่ย,สังคม,วัฒนธรรม,สกลนครตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=451
450หนังสือภูมิปัญญานิเวศวิทยาชนพื้นเมือง: ศึกษากรณีชุมชนกะเหรี่ยงในป่าทุ่งใหญ่นเรศวรปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรีหนังสือเล่มนี้ เป็นงานศึกษาเกี่ยวกับความรู้ทางนิเวศวิทยา การนิยามและมโนทัศน์ที่มีต่อธรรมชาติของชุมชนกะเหรี่ยง ในสองหมู่บ้าน คือ หมู่บ้านเกริงบอ ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก และหมู่บ้านจะแก ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งทั้งสองหมู่บ้านตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร โดยพิจารณาบทบาทของความรู้ทางนิเวศวิทยาของชุมชนที่มีต่อระบบการผลิตเพื่อการยังชีพ ตลอดจนระบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เสถียรภาพของระบบการจัดการในทางนิเวศวิทยาและความเกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบทางสังคมของชุมชน นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาถึงเงื่อนไขและปัจจัยที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านความรู้อีกด้วย งานศึกษาเสนอว่า ความรู้ทางนิเวศวิทยาที่มีความสำคัญมากที่สุด คือ ระบบความรู้ที่เกี่ยวกับการผลิตภายใต้ระบบเกษตรกรรมแบบไร่หมุนเวียน อันเป็นระบบความรู้ที่มีคุณลักษณะหลากหลาย ซับซ้อน ซึ่งรวมเอาความรู้เกี่ยวกับป่า ความรู้เกี่ยวกับภูมิอากาศ ความรู้เกี่ยวกับพืช ความรู้เกี่ยวกับสัตว์ และความรู้เกี่ยวกับสิ่งคุ้มครองธรรมชาติ เข้าด้วยกัน สิ่งสำคัญอันเป็นรากฐานของความรู้คือ มโนทัศน์ที่มีเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาของกะเหรี่ยง ซึ่งได้จัดวางสรรพสิ่งที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อาณาจักรเดียวกัน และมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน มนุษย์มีตำแหน่งแห่งที่ในจักรวาลเพียงเป็นส่วนหนึ่งของระบบธรรมชาติใหญ่เท่านั้น ธรรมชาติล้วนมีสิ่งอันคุ้มครองธรรมชาติ ดังนั้น มนุษย์จึงไม่อาจครอบครองหรือเป็นเจ้าของธรรมชาติได้ ทำได้เพียงการขอใช้ ด้วยวิถีทางแห่งการเคารพต่อธรรมชาติ นอกจากนี้สำหรับมนุษย์แล้ว วิถีการดำรงชีวิตภายใต้วัฒนธรรมแห่งการมีศีลธรรมเท่านั้น จึงจะสามารถรักษาสมดุลยภาพของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติไว้ได้ ความรู้และมโนทัศน์ดังกล่าวมีผลทำให้การใช้ทรัพยากรของกะเหรี่ยงเป็นไปอย่างยั่งยืน หนังสือยังได้ชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของรัฐ และโครงการพัฒนาที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในหมู่บ้านกะเหรี่ยง ด้วยการใช้อำนาจ และการครอบงำจากรัฐด้วยกลไกของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยม การบังคับให้เปลี่ยนแปลงด้วยระบบโรงเรียน และการเก็บภาษีที่ดินของรัฐ โครงการเหล่านี้ปราศจากความเข้าใจในวัฒนธรรมชาวบ้าน ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางความคิด และมโนทัศน์ของชุมชนที่มีต่อธรรมชาติ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ อันจะส่งผลต่อเนื่องถึงระบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในที่สุดโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ภูมิปัญญาชาวบ้าน,นิเวศวิทยา,ทุ่งใหญ่นเรศวร,ภาคตะวันตกตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=450
449วิทยานิพนธ์พิธีกรรมและความเชื่อในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมของชาวลัวะ บ้านเต๋ยกลาง ในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา จังหวัดน่านทวี ประทีปแสงลัวะเชื่อว่าเจ้าหลวงภูคาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองและทำการเกษตรให้ได้ผลดีมีพิธีบวงสรวงเล็กจะจัดทุก 3 ปี ใช้หมูในการเซ่นไหว้ พิธีใหญ่จัดทุก 7 ปีใช้ควาย ในการเซ่นไหว้ ซึ่งคนทั้งหมู่บ้านจะร่วมมือร่วมใจกัน นอกจากนี้ ยังมีการนับถือผี อื่นๆ อีก เช่น ผีป่า ผีไร่ ผีนางไม้ ผีเรือน ผีบรรพบุรุษ ผีเจ้าที่ ฯ ซึ่งผีเหล่านี้จะคอยให้ทั้งคุณและโทษแก่ลัวะ หมอผีจะเป็นคนบอกว่าจะใช้อะไรในการเซ่นไหว้ ในรอบปีจะมีการเลี้ยงผีตามพิธีกรรม 9 ครั้ง ได้แก่ พิธีโสลด พิธีเขี่ยเหล้า ลัวะจะทำไร่แบบหมุนเวียน ในรอบปีการผลิตเกือบทุกขั้นตอนล้วนมีความเชื่อในรูปแบบของศาสนาแฝงอยู่ (หน้า 77)ลัวะ, พิธีกรรม, ความเชื่อ, เกษตรกรรม, ดอยภูคา, น่านตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=449
448วิทยานิพนธ์แนวทางการอนุรักษ์หมู่บ้านมอญพระประแดง: กรณีศึกษาหมู่บ้านทรงคนองสรัญญา ชูชาติไทยแนวทางที่เหมาะสมในการอนุรักษ์หมู่บ้านทรงคนองที่เหมาะสม คือ การอนุรักษ์ให้เป็นที่อยู่อาศัยของคนมอญต่อไป โดยการเสนอแนวทางการอนุรักษ์ด้วยการส่งเสริมด้านคุณค่าและความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของหมู่บ้าน รวมถึงการเชื่อมโยงหมู่บ้านกับสถานที่สำคัญในอำเภอ พร้อมทั้งปรับปรุงทางกายภาพของชุมชน การควบคุมการก่อสร้างอาคาร การปรับเปลี่ยนรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและการพัฒนาด้านระบบสาธารณูปโภคต่างๆ อย่างเหมาะสมมอญ,สถาปัตยกรรม,การอนุรักษ์,พระประแดง,สมุทรปราการตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=448
447รายงานการวิจัยบทบาททางสังคมและเศรษฐกิจของสตรีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (สะกอ)วิไลพร ชะมะผลินแม้ว่าสังคมกะเหรี่ยงจะเป็นสังคมที่สืบเชื้อสายทางมารดา ในครัวเรือนภรรยาจะยกย่องว่าสามีเป็นหัวหน้าครอบครัว ผู้หญิงเป็นหลักในบ้าน รับผิดชอบงานบ้าน โดยมีสมาชิกในครัวเรือน มาช่วยแบ่งเบาภาระ เช่น ลูกสาวหรือลูกชาย และฝ่ายชายจะเป็นผู้ที่ออกไปทำงานนอกบ้านเช่น รับจ้างหรือออกไปติดต่อกับคนพื้นเมือง จึงทำให้ผู้ชายมีโอกาสในการพัฒนาตนเองและสามารถพูดภาษาไทยทางเหนือได้มากกว่าหญิง รวมทั้งเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่า บทบาททางประเพณีของหญิงกะเหรี่ยง นับตั้งแต่การเลือกคู่ การแต่งงาน เปิดโอกาสให้หญิงเท่าเทียมกับชาย ชายจะต้องมาอยู่บ้านของฝ่ายหญิงหลังจากแต่งงานแล้ว งานพิธีจัดขึ้นที่บ้านฝ่ายหญิงและอาจต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายมากกว่าชาย การเลือกแต่งงานกับคนในสังคมเดียวกัน เป็นการเปิดโอกาสให้หญิงที่สามีตายแล้วมีโอกาสได้แต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่หญิงที่หย่าร้างหรือแยกกันอยู่จะไม่ค่อยมีโอกาสได้แต่งงานใหม่ ในทางศาสนา ผู้หญิงได้ให้ผู้ชายเป็นผู้จัดทำพิธีมาแต่โบราณ สตรีกะเหรี่ยงจะอยู่กับบ้านทำงานบ้านไม่มีเวลาไปร่วมพิธี ทำให้หญิงกะเหรี่ยงในปัจจุบันไม่มีบทบาทในงานพิธีศาสนาเท่าที่ควร แต่จะมีบทบาทในการเตรียมของใช้ในงานพิธี เด็กในหมู่บ้านได้รับการสนับสนุนให้เรียนมากขึ้นทั้งในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน โรงเรียนในหมู่บ้านมีการเปิดสอนถึงระดับประถมศึกษา 4 ทำให้เด็กที่ต้องการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นต้องเข้าไปเรียนในเมืองและเกิดปัญหาการปรับตัวไม่ได้ ส่วนเด็กหญิงจะมีโอกาศน้อยกว่าเด็กชายเนื่องจากค่าใช้ที่สูงและ ความปลอดภัย นอกจากนี้สตรียังมีบทบาททางเศรษฐกิจ เช่น ช่วยทำไร่ข้าว และในบางครัวเรือนหญิงกะเหรี่ยงใช้เวลาในการทำงานมากกว่าชายหัวหน้าครัวเรือน รวมถึงการใช้เวลาว่างออกไปรับจ้างเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวอีกด้วยกะเหรี่ยงสะกอ,บทบาทสตรี,สังคม,เศรษฐกิจ,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2522ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=447
446หนังสือไทยดำรำพันม. ศรีบูรพาข้อมูลในหนังสือเล่มนี้ได้มาจากหลักฐานที่เป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ของกลุ่มชนต่างๆ และจากคำบอกเล่าของไทยดำซึ่งได้มาจากการสัมภาษณ์ รวมไปจนถึงขนบธรรมเนียมประเพณีความเชื่อของไทยดำในที่ต่างๆ ถือได้ว่าเป็นหนังสือเล่มแรกๆ ที่รวมเรื่องราวเกี่ยวกับไทยดำไทยดำ,การตั้งถิ่นฐาน,ประวัติศาสตร์,ประเทศไทยตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2522ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=446
445วิทยานิพนธ์ชนเผ่าผู้ไทยกับการมีบทบาททางการเมืองบนเทือกเขาภูพาน ระหว่างปี พ.ศ. 2488 - 2523ปียะมาศ อรรคอำนวยชนเผ่าผู้ไทยที่อพยพเข้ามาอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณแนวเทือกเขาภูพานกระจายอยู่ใน 6 อำเภอของจังหวัด ซึ่งมีสภาพที่เหมาะสมต่อการประกอบอาชีพ ทำให้มีผู้ไทยอยู่เป็นจำนวนมาก และมีบทบาททางการเมืองมากขึ้นเป็นลำดับ โดยภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เกิดขบวนการเสรีไทยในภาคอีสาน รวมทั้งในจังหวัดกาฬสินธุ์ จึงทำให้ผู้ไทยเริ่มมีบทบาททางการเมือง รวมถึงในช่วงปี พ.ศ. 2495-2500 ที่คอมมิวนิสต์ขยายอำนาจมาในชนบท ผู้ไทยก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมเป็นสมาชิกจำนวนมากเช่นกันผู้ไท,ประวัติศาสตร์,การเมืองการปกครอง,กาฬสินธุ์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=445
444วิทยานิพนธ์ความเชื่อผีปู่ตาของชาวบ้านหนองตื่น ตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคามศิริรักษ์ จรัณยานนท์ความเชื่อผีปู่ตาของชาวบ้านหนองตื่น ตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เป็นความเชื่อที่ส่งผลต่อสภาพสังคมและวิถีชีวิตของชาวบ้านเป็นอย่างมาก ชาวบ้านมีความเชื่อถือเกรงกลัวต่อผีปู่ตาซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษอย่างเข้มข้น พิธีกรรมเลี้ยงผีมีขึ้นในทุกเดือนเจียง (เดือนยี่) และเดือนหกทุกปี เพื่อเป็นการบอกกล่าวก่อนที่จะทำนา เพื่อให้ผีปู่ตาบันดาลความอุดมสมบูรณ์มาให้ และเลี้ยงหลังจากเก็บผลผลิต เพื่อบอกผีปู่ตาถึงผลผลิตที่ได้ หรือเลี้ยงผีปู่ตาเมื่อมีการผิดผีทุกครั้ง ผีปู่ตาเป็นที่พึ่งทางใจของชาวบ้านหนองตื่น ชาวบ้านจะบ๋า (บนบาน) และขอความคุ้มครองจากผีปู่ตาเป็นจำนวนมาก ผีปู่ตาจะคอยให้ความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาและเรื่องทุกข์ร้อน การประกอบพิธีกรรมเลี้ยงเซ่นไหว้ผีปู่ตาจึงเป็นการแสดงความกตัญญูที่ชาวบ้านมีต่อผีปู่ตา สร้างความร่วมมือร่วมใจ ความสามัคคี จ้ำผู้เป็นตัวแทนผีปู่ตายังเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยเรื่องขัดแย้งช่วยสร้างเอกภาพให้กับชุมชน นอกจากนี้ ความเชื่อผีปู่ตายังสามารถช่วยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศน์โดยเฉพาะบริเวณดอนปู่ตา (หน้า 4,21,22,44,80, 82)ผีปู่ตา,ความเชื่อ,มหาสารคามตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดมหาสารคาม ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=444
443วิทยานิพนธ์การผลิตหัตถกรรมไม้ไผ่ของชาวผู้ไทบ้านหนองห้าง ตำบลหนองห้าง อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ศิริพร บุณยะกาญจนการผลิตหัตถกรรมไม้ไผ่ของผู้ไท สืบทอดวิธีจากบรรพบุรุษเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายและใช้สอยในครัวเรือน รายได้จากการจำหน่ายขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิตและแรงงานที่ใช้ในการผลิต ผู้ผลิตกระเป๋าลายขิด จะมีรายได้มากกว่าหัตถกรรมประเภทอื่น เนื่องจากผลิตยากและต้องใช้เวลานาน ผลจากการประกอบอาชีพหัตถกรรมในด้านเศรษฐกิจ ทำให้ผู้ผลิตมีรายได้เสริมหลังจากการทำนา ลดภาระหนี้สินและไม่มีการอพยพไปต่างถิ่น จากรายได้ที่สูงขึ้นเป็นผลทำให้คุณภาพชีวิตความเป็นอยู่และโอกาสทางการศึกษาของบุตรหลานสูงขึ้น ด้านสังคม ชาวบ้านได้รับยกย่องฐานะทางสังคมสูงขึ้น เป็นปัจจัยที่สร้างความสามัคคีและมีส่วนร่วมในการพัฒนาหมู่บ้าน มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้นและทำให้ความสัมพันธ์ทางครอบครัวและเครือญาติไปในทางที่ดี เพราะคนในครอบครัวทุกคนมีส่วนร่วมช่วยกันในการผลิตหัตถกรรมไม้ไผ่ทำให้ครอบครัวมีความอบอุ่น รักใคร่ปรองดองกัน การผลิตหัตถกรรมไม้ไผ่ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพราะเป็นวัสดุในท้องถิ่นและย่อยสลายง่าย แต่จากการผลิตหัตถกรรมมีผลกระทบต่อสุขภาพด้านสายตาและการปวดเมื่อยตามร่างกายผู้ไท,หัตถกรรม,ไม้ไผ่,กาฬสินธุ์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=443
442บทความPwo Indigenous Karen Religious DenominationsAnderson, Kirsten Ewersศาสนา ความเชื่อเป็นระบบความคิดที่มีความสำคัญในสังคมต่าง ๆ รวมทั้งในสังคมกะเหรี่ยง ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณตะเข็บพรมแดนพม่า-ไทย ที่ความเชื่อทางศาสนาเกิดจากการผสมผสานระหว่างความเชื่อดั้งเดิมกับความเชื่อในพุทธศาสนาที่รับเข้ามาจากการเติบโตของพุทธศาสนาในพม่า มอญ และไทย ความเชื่อของกะเหรี่ยงจึงมีรูปแบบการผสมผสานและมีส่วนสำคัญต่อการกำหนดอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ศาสนาของกะเหรี่ยงมี 2 สำนัก คือ "lu baung" และ "wi maung" โดยต่างมีผู้นำทางศาสนาของตน ความแตกต่างระหว่างทั้งสองนิกายคือ "lu baung" จะผูกข้อมือ แต่ "wi maung" จะไม่ผูกข้อมือแต่จะดื่มน้ำสุกในพิธีกรรม โดยผู้นำทางศาสนานั้นจะมีบทบาททางการปกครอง เพราะศาสนามีข้อห้าม มีศีล 5 สำหรับผู้ยึดมั่น ดังนั้นผู้นำทางศาสนาจึงมีบทบาทในการควบคุมทางสังคมด้วยเช่นกัน ครอบครัวและการยังชีพก็เป็นสถาบันที่ศาสนาความเชื่อเข้าไปกำหนดกรอบเช่นกัน กะเหรี่ยงจะยึดความสำคัญทางฝ่ายแม่และตั้งถิ่นฐานทางฝ่ายแม่เช่นกัน ซึ่งจะสัมพันธ์กับการยังชีพแบบเพาะปลูกหมุนเวียนที่ต้องใช้แรงงาน แต่ทั้งนี้การยึดโยงทางสายฝ่ายแม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนได้ เช่นเมื่อผู้ชายแต่งงานต้องเปลี่ยนมานับถือนิกายของฝ่ายหญิงและครอบครัว การปรับเปลี่ยนทางศาสนาของกะเหรี่ยงจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้ากะเหรี่ยงไม่มีอิสระภาพในการปกครอง การยังชีพที่อิสระ หรือถูกครอบงำจากอำนาจที่เหนือกว่า ดังนั้น การแสดงออกทางศาสนา พิธีกรรม การมีหมู่บ้าน มีผู้นำ และการมีเสาหลักเมือง จึงไม่ใช่เพียงแค่สัญลักษณ์ของการมีอำนาจครอบครองพื้นที่นั้น ๆ ของสายตระกูล เช่น กรณีหลักเมืองของไทย แต่มันเกี่ยวข้องกับความเป็นเอกภาพของการรวมกลุ่ม ในสถานที่ที่หนึ่ง ในช่วงเวลาขณะหนึ่ง โดยอัตลักษณ์ของความเป็นกลุ่ม ความเป็นชนกะเหรี่ยงนั้น จะปรากฎจะถูกยืนยันในช่วงเวลางานพิธีกรรม Khoung s'raung ของทุกปี (หน้า 260)โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู กะเหรี่ยง ,ศาสนา,ความเชื่อ,การรวมกลุ่มทางชาติพันธุ์,ภาคตะวันตกตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2524ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=442
441บทความThe Zonal Approach to Agricultural Development in North Thailand.Walker, Anthony R. and Jaafar, Syed Jamalพรรณนาถึงการดำเนินการตามแผนพัฒนาเป็นเขตพื้นที่ ที่รัฐบาลนำมาใช้พัฒนาหมู่บ้านชาติพันธุ์บนที่สูงในภาคเหนือของไทย (The Highland Zonal Development Plan) เพื่อเปลี่ยนวิถีการผลิตแบบดั้งเดิมที่ทำไร่เลื่อนลอยตัดต้นไม้แล้วเผาและการปลูกฝิ่น ให้หันมาทำการเพาะปลูกโดยใช้ระบบชลประทาน และปลูกป่าขึ้นใหม่ (หลังจากตัดต้นไม้ไปแล้ว) เพื่อให้เกิดป่าถาวรที่สามารถเก็บผลผลิตจากป่ามาใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งให้ความรู้ทั้งด้านการศึกษา การแพทย์ สาธารณสุข ปศุสัตว์ การเพาะปลูก การบริหารจัดการ ฯลฯ ซึ่งเป็นแผนพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานทางความคิดแนวใหม่ คือประชากรบนเขาต้องได้ รับการฝึกสอน (taught) ไม่ใช่ด้วยการบีบบังคับ (forced) และยังต้องมีการสาธิตภาคปฏิบัติของวิธีการใหม่ ๆ ให้เห็นเป็นรูปธรรมอีกด้วยม้ง,ลาหู่ ลาฮู, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง, ลีซู,ชาติพันธุ์,แผนพัฒนา,การทำเกษตรกรรม,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2518ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=441
440บทความThe Lisu Village of Mae Pun Naweh : Some ImpressionsRashid, Mohd. Razhaผู้เขียนพรรณนาถึงวิถีชีวิตและสภาพแวดล้อมทางกายภาพของหมู่บ้านลีซอ (Lisu) บ้าน Mae Pun Naweh อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงใหม่ หมู่บ้าน Mae Pun Naweh ประกอบด้วยกลุ่มบ้าน 3 กลุ่ม (hamlet) แต่ละกลุ่มบ้านตั้งอยู่บนเนินเขาแต่ละเนิน รายละเอียดโครงสร้างบ้านมีหลากหลาย แต่โดยทั่วไปผังบ้านค่อนข้างมาตรฐานเดียวกัน กลุ่มบ้านตรงกลางเป็นกลุ่มบ้านที่สำคัญที่สุด มีแท่นบูชาของ Apa mo เป็นศูนย์กลางพิธีกรรมของหมู่บ้าน หมู่บ้านไม่มีหัวหน้า แต่มีหัวหน้าหมอผี (spirit doctor) เป็นผู้อาวุโสของหมู่บ้าน ลีซอบ้าน Mae Pun Naweh ที่ผู้เขียนได้พบเห็นมีความเป็นมิตรและมีอัธยาศัยดีลีซอ, วิถีชีวิต, สภาพแวดล้อมทางกายภาพ, ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2518ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=440
439บทความThe Lisu People : An IntroductionRashid, Mohd. Razha and Walker, Pauline H.มีเนื้อหาครอบคลุม วัฒนธรรม ความเชื่อ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ของชาติพันธุ์ลีซอ (Lisu) ในภาพรวมโดยเน้นที่ชุมชนลีซอในภาคเหนือของประเทศไทย ลีซอเรียกตัวเองว่า "ลีซู" (Lisu) มี 3 กลุ่มย่อย คือ ลีซอขาว (White Lisu - Pai) Flowery Lisu หรือ Hua และลีซอดำ ภาษาลีซอเป็นภาษาในกลุ่มภาษา Tibeto-Burman บ้านลีซอมี 2 แบบ สร้างบนเสาเหมือนลาหู่ หรือสร้างบนพื้นเหมือนบ้าน คนจีน ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณสันเขาที่ความสูง 5,000 ฟุตหรือมากกว่าเหนือระดับน้ำทะเล ลีซอทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา (slash-and-burn) การเกษตรหลักคือการเพาะปลูกข้าวไร่เพื่อการบริโภค และปลูกฝิ่นเพื่อเป็นรายได้ ครอบครัวลีซอโดยปกติประกอบด้วยครอบครัวเดี่ยว สืบตระกูลทางพ่อ ชุมชนลีซอไม่มีโครงสร้างระบบการเมืองรวมทั้งหัวหน้าหมู่บ้านและสภาผู้อาวุโส ลีซอเป็นผู้ยึดถือความเสมอภาค ไม่มีการปกครองตามระดับชั้น ลีซอมีความเชื่อเรื่องวิญญาณหรือผี รวมทั้งผีบรรพบุรุษตามอิทธิพลจีนด้วยลีซู, ประวัติ, วัฒนธรรม, ความเชื่อ, เศรษฐกิจ, สังคม, การเมือง, ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2518ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=439
438บทความ1. The Lahu People : An Introduction. (111-126) 2. Ban Luang : A Lahu Nyi Village. (127-137) 3. Sheh - kaw Shi - nyi : A Lahu Nyi Agricultural Festival. (139-148) 4. The Lahu Na (Black Lahu) Christian Community at Huai Tadt : Some Notes. (149-155)Walker, Anthony R.มีเนื้อหาครอบคลุมวัฒนธรรม ความเชื่อ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ของชาติพันธุ์ลาหู่ในภาพรวม โดยเน้นที่ลาหู่แดง (Lahu Nyi) และพรรณนาถึงสภาพหมู่บ้านและวิถีชีวิตของลาหู่แดง (Lahu Nyi) บ้านหลวง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย และ ลาหู่ดำ (Lahu Na) Ban Huai Tadt จังหวัดเชียงใหม่ โดยเน้นพิธีกรรมสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรของลาหู่แดงบ้านหลวง และโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจของบ้าน Huai Tadtลาหู่,ประวัติ,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,เศรษฐกิจ,สังคม- การเมือง,วิถีการผลิต,นโยบายของรัฐ,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2518ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=438
437บทความTaikeisyuzokunoMikio, Moriความเชื่อเรื่องเสาหลักเมืองและเทวดาเมืองหรือผีเมืองที่เชื่อมโยงระหว่างกลุ่มชาติพันธ์ไท-ลาว เลยมาถึงชนชาติไทยในภาคกลางของประเทศไทยในปัจจุบัน หลักเมืองนอกจากจะทำหน้าที่ด้านความอุดมสมบูรณ์แล้ว ยังมีนัยในเรื่องของอำนาจและการควบคุมสังคม เมื่อพุทธศาสนาเข้ามาความเชื่อดังกล่าวในแต่ละแห่งจึงมีการดัดแปลงให้พุทธเหนือผี อย่างไรก็ตามหน้าที่ของหลักเมืองไม่ว่าจะเป็นพุทธหรือผีก็ยังคงแฝงเรื่องอำนาจและความอุดมสมบูรณ์อยู่นั่นเองไท-ลาว,หลักเมือง,พัฒนาการ,บทบาท,อำนาจ,เทวดาประจำหลักเมือง,ประเทศลาว,ประเทศไทย,ภาคกลาง,ภาคอีสานตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2535ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=437
436เอกสารวิชาการEvidence for Early Fertility Transition Among the Hmong in Northern ThailandPodhisita, Chai; Kunstadter, Peter and Kunstadter, Sally Lenninftonสถิติเดิมชี้ว่าม้งนิยมการมีลูกมาก ผู้หญิงม้งให้กำเนิดลูกประมาณ 7 คน มีอัตรารอดชีวิตประมาณ 6 คน (หน้า 13) การที่นิยมมีลูกมากในชาวม้งเป็นที่เข้าใจได้ว่ามาจากเงื่อนไขทางเศรษฐกิจสังคม เนื่องจากเศรษฐกิจของครอบครัวม้งขึ้นอยู่กับการเกษตรแบบทำไร่เลื่อนลอยใช้เทคโนโลยีพื้น ๆ จึงต้องการแรงงานมนุษย์จำนวนมาก ดังนั้น ยิ่งมีคนทำงานมากเท่าไรก็เท่ากับมีความร่ำรวยมากขึ้นเท่านั้น (หน้า 14) จากการศึกษาข้อมูลพบหลักฐานว่า มีการเปลี่ยนแปลงการเจริญพันธุ์จากเดิมที่นิยมมีลูกจำนวนมาก มาเป็นครอบครัวที่รู้จักการใช้วิธีคุมกำเนิดมากขึ้น รู้จักวิธีคุมกำเนิดแบบต่าง ๆ มากขึ้น มีเหตุผลที่หันมาใช้วิธีคุมกำเนิดเนื่องจากเศรษฐกิจเปลี่ยนไปความต้องการลูก (แรงงาน) น้อยลงและค่าใช้จ่ายสำหรับเลี้ยงดูเด็กแพงขึ้น หญิงม้งใช้การคุมกำเนิดเพื่อลดการตั้งท้องและเว้นช่วงการเลี้ยงดูลูก (หน้า 23) ในการศึกษาส่วนหนึ่ง ชุมชนม้งในเชียงใหม่ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ก) หมู่บ้านแบบดั่งเดิมมีลักษณะคือเข้าถึงที่ทำการเกษตรได้ดีพอสมควร ข) หมู่บ้านที่เปลี่ยนแปลงไปที่พื้นที่การเกษตรมีคุณภาพต่ำและมีการจำกัดการเข้าถึงพื้นที่การเกษตร ค) ชุมชนเมือง(หน้า 27) จากการสำรวจพบว่าบางส่วนของผู้หญิงชุมชนทุกแบบมีการวางแผนการคุมกำเนิด โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากหมู่บ้านดั่งเดิม (20.6%) ไปสู่หมู่บ้านที่เปลี่ยนแปลง (29.3%) ไปสู่ชุมชนเมือง (84.2%) (หน้า 27) สรุปได้ว่าถึงแม้ปัจจุบันการเจริญพันธุ์ในม้งจะยังมีจำนวนสูงแต่ก็ได้มีหลักฐานความเปลี่ยนแปลงให้เห็นว่าอัตราการมีลูกของม้งจะลดต่ำลง คำถามคืออะไรเป็นเหตุให้ม้งมีการเปลี่ยนแปลงการมีลูก คำตอบจากการศึกษาอย่างน้อยเหตุผลสำคัญที่กำลังค่อยๆ ส่งผลมี 2 ข้อ คือ ข้อที่ 1. ในช่วงสิบปีที่ผ่านมามีอัตราการเพิ่มประชากรชาวเขาอย่างสม่ำเสมอทำให้รัฐบาลจำกัดการยังชีพและพืชเศรษฐกิจ (หน้า 29) 2. อีกเหตุหนึ่งคือความพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมในชาวเขา (หน้า 30)ม้ง,ภาวะเจริญพันธุ์,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2532ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=436
435บทความEthnic Identity and Sociocultural Change Among Sgaw Karen in Northern ThailandIijima, Shigeruผู้เขียนบรรยายการเปลี่ยนแปลงสังคมวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงสกอร์ มาจากการเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิต จากการทำไร่ข้าวบนที่สูง (swidden cultivation) มาเป็นทำนา (wet-rice)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),เอกลักษณ์ชาติพันธุ์,สังคมวัฒนธรรม,วิถีการผลิต,การเปลี่ยนแปลง,แม่ฮ่องสอนตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2522ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=435
434รายงานการวิจัยSocio-Economic Roles of The Akha Womenไม่ระบุผู้หญิงอาข่ามีหลายสถานะทางสังคม ตั้งแต่สถานะของเด็กหญิง ซึ่งเป็นลูกสาว เป็นแรงงานคนหนึ่งของครอบครัว สถานะของผู้หญิง ซึ่งเป็นภรรยา เป็นลูกสะใภ้ เป็นแม่ หญิงอาข่ามีหน้าที่สั่งสอนลูกหลาน ค้าขาย ดูแลบ้าน และเป็นแรงงานสำคัญของ ครอบครัว หญิงที่เป็นภรรยาของหัวหน้าครอบครัวมีหน้าที่ต้องดูแลครัวเรือนทั้งหมด มีหน้าที่เก็บเงินและใช้จ่ายเพื่อทั้งครอบครัว ส่วนใหญ่ฝ่ายชายจะเป็นผู้ทำหน้าที่ทางพิธีกรรมต่างๆ เช่นเซ่นผีบรรพบุรุษ และออกความคิดเห็นในการประชุมประจำหมู่บ้าน แต่หญิงบางคนได้รับสถานะพิเศษที่ได้รับการยกย่องเทียบเท่าผู้ชายเรียกว่า "ya yeh ma"อาข่า,สังคมเศรษฐกิจ,ผู้หญิง,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2513ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=434
433บทความThe Karen Nationalist Movement in the Independence Period of Burma: The Politics of “a Separate State”Kazuto, Ikedaภายใต้การปกครองของอังกฤษซึ่งให้สิทธิพิเศษแก่ชนชาติกะเหรี่ยงอย่างมากมาย รวมถึงการรับประกันสิทธิของกะเหรี่ยงใน การปกครองตนเองภายหลังการให้เอกราช แต่เมื่อได้รับเอกราชพม่านำโดย AFPFL ซึ่งประสบปัญหาความแตกแยกภายใน ก็ ไม่ได้ให้เอกราชกับกะเหรี่ยงตามแนวคิดเรื่องรัฐแบ่งแยก ทำให้กะเหรี่ยงไม่พอใจและลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิของตน อย่างไรก็ ตามกะเหรี่ยงเป็นเชื้อชาติขนาดใหญ่มีแหล่งที่อยู่และสายพันธุ์มากมาย อีกทั้งผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายก็แตกต่างกัน กะเหรี่ยงเองจึงมีการแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะ KNU และ KYO ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีจุดหมายและวิธีการต่อสู้ที่แตกต่างกันไปปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),คะยาห์ กะเรนนี บเว(กะเหรี่ยง), ขบวนการ,องค์กรทางการเมือง,การต่อสู้เพื่อสิทธิในการปกครองตนเอง,ประเทศพม่าตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2543ภาษาญี่ปุ่นhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=433
432บทความการอพยพข้ามพรมแดนและการตั้งชุมชนของชาวจีนยูนนานในภาคเหนือของประเทศไทยWang Liulanชุมชนคนจีนยูนนานที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมีการตั้งถิ่นฐานหลายแห่ง มีความหลากหลายของชุมชน ไม่ว่าจะเป็น ชุมชนทหารล้วนหรือชุมชนที่ผสมระหว่างทหารกับชาวบ้าน การอพยพเข้ามานั้นเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น สงคราม ปัญหาจากทหารก๊กมินตั๋ง เป็นต้นจีนมุสลิม จีนยูนนาน(จีนฮ่อ),ชุมชน,การอพยพ,ภาคเหนือ,ประเทศไทยตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2547ภาษาญี่ปุ่นhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=432
431บทความTaikeisyuzokuno “Kuninihashira” Shisaiwo Megustute-Taikeibunkarikaino-ShikakuMikio, Moriพิธีกรรม ความเชื่อและความหมายเกี่ยวกับหลักเมืองของชาติพันธุ์ไทดำ รวมถึงความเชื่อเกี่ยวกับผีที่เชื่อมโยงสอดคล้อง กับโครงสร้างทางการเมืองของไทดำลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ความหมาย,พิธีกรรมเสาหลักเมือง,เอเชียอาคเนย์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2532ภาษาญี่ปุ่นhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=431
430บทความประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยของชาวกะเหรี่ยงในประเทศพม่า (2)Ohno, Toruประวัติศาสตร์การต่อสู้และความขัดแย้งภายในของกองกำลังกะเหรี่ยง KNDO ตั้งแต่ปี 1950 จนกระทั่งพ่ายแพ้ต่อกองกำลังของทหารพม่าปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การต่อสู้เพื่อการปลดปล่อย,ประเทศพม่าตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดไม่ระบุ ประเทศไทย2513ภาษาญี่ปุ่นhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=430
429หนังสือเอกสารทางประวัติศาสตร์และสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทDang Nghiem Van (ดั่งเงียมหว่าน และคณะ)มีเนื้อหาเน้นในด้านประวัติศาสตร์ของกลุ่มไทดำในเวียดนาม โดยอาศัยข้อมูลจาก "ความโตเมือง" ซึ่งเป็นวรรณกรรมจารีตในท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังอธิบายถึงจารีตประเพณีท้องถิ่นที่เรียกว่า "ฮีตบ้านคองเมือง" และระบบการปกครองของไทดำ พร้อมตัวอย่างจารีตประเพณีของเมืองหม้วยไทดำ,ตำนาน,ประวัติศาสตร์,จารีตประเพณี,เดียนเบียน,เวียดนามตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดDien Bien ประเทศเวียดนาม2540ภาษาเวียดนามhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=429
428หนังสือคนไทในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามCam Trong (เกิ่มจ่อง)เนื้อหากล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์ไทในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ครอบคลุมประเด็นทางประวัติศาสตร์ ระบบการปกครองแบบจารีต ศาสนาและความเชื่อ ศิลปะและวรรณกรรม การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมในช่วงสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสและสมัยอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์จนถึงปี ค.ศ. 1975ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ประวัติศาสตร์,สังคม,วัฒนธรรม,เวียดนามตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดDien Bien ประเทศเวียดนาม2521ภาษาเวียดนามhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=428
427หนังสือChuong Han : Su Thi Thai (ฟานดังเหญิด และเหงวียนหง็อคต๋วนเอกสารเล่มนี้เป็นการรวมบทวิเคราะห์วรรณกรรมเจืองหานซึ่งปรากฏแพร่หลายในกลุ่มชาติพันธุ์ "ไท" ที่อาศัยอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม โดยพยายามรวบรวมสำนวนของวรรณกรรมเจืองหานที่ได้รับการบันทึกด้วยอักษรไทโบราณหลายสำนวนมาทำการวิเคราะห์ในเชิงคุณค่าทางวรรณกรรมท้องถิ่น และภาพสะท้อนทางประวัติศาสตร์สังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ "ไท" ในเวียดนาม นอกจากนี้ยังพยายามที่จะเสนอบทวิเคราะห์เปรียบเทียบกับนักวิชาการชาติอื่น ๆ ที่เคยทำการวิเคราะห์วรรณกรรมเรื่องนี้ เช่น นักวิชาการจากตะวันตก และ ลาวไทดำ,วรรณกรรมท้องถิ่น,เวียดนามตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดDien Bien ประเทศไทย2546ภาษาเวียดนามhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=427
426หนังสือวัฒนธรรมม้งTran Huu Son (เจิ่นหือว์เซิน)เนื้อหาหลักกล่าวถึงประเด็นทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ที่ตั้งถิ่นฐานในจังหวัดหล่าวกาย ภาคเหนือของประเทศเวียดนาม โดยแสดงลักษณะวัฒนธรรมจารีตตามแบบประเพณีดั้งเดิม วัฒนธรรมทางความเชื่อ ภาษา วรรณกรรม ศิลปะ การแต่งกาย ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกับชนกลุ่มต่างๆ และปัญหาทาง วัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้ให้ข้อมูลแวดล้อม ที่เป็นพื้นฐานทางด้าน ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในเวียดนามด้วยม้ง,วัฒนธรรม,หล่าวกาย,เวียดนามตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดLao Cai ประเทศเวียดนาม2539ภาษาเวียดนามhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=426
425บทความThe Election of a Yao HeadmanJaafar, Syed Jamalบทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้ององค์กรการเมืองในหมู่บ้านเย้าบ้าน Khun Haeng อำเภองาว จังหวัดลำปางโดยเน้นกระบวนการเลือกตั้งผู้นำหรือหัวหน้าหมู่บ้านตามวิธีการที่เป็นทางการซึ่งจัดโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ จากการสังเกตการณ์การเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านเย้าบ้าน Khun Haeng ผู้เขียนพบว่า สิ่งสำคัญของการเลือกผู้ใหญ่บ้านนี้ คือการปะทะกันระหว่างแนวคิดตามจารีตเกี่ยวกับการสืบทายาทผู้นำ และความต้องการของกฎหมายไทยซึ่งเป็นโลกสมัยใหม่ เย้ายังคงต้องการการสืบทอดตำแหน่งผู้นำผ่านทายาทต่อไป ผู้เขียนมองว่าอาจเกิดการปะทะกันระหว่างสองฝ่ายในอนาคตที่บ้าน Khun Haengเย้า,องค์กรการเมือง,นโยบายรัฐ,ลำปางตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2518ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=425
424บทความThe Yao People : An Introduction, The Yao Village of Khun Haeng, A Yao Bridge Ceremony, The Yao Naming System, A Legendary History of the Origin of the Yao PeopleTan Chee Bengมีเนื้อหาครอบคลุม วัฒนธรรม ความเชื่อ สังคม - เศรษฐกิจ - การเมือง โดยเน้นที่ความเชื่อทางศาสนา พิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีสร้างสะพาน ตำนานความเป็นมาของชาติพันธุ์ และระบบการตั้งชื่อของเย้า - เย้าเชื่อว่าโลกของวิญญาณและโลกที่มนุษย์อยู่มีปฏิสัมพันธ์กัน ในโลกของวิญญาณมีเทพผู้ปกครอง อยู่ 18 องค์ ผู้ปกครองโลกแห่งวิญญาณเป็นผู้ควบคุมดูแลการมีชีวิตอยู่และการตายของมนุษย์ จึงต้องเซ่นไหว้เพื่อชีวิตที่ดีหลังตาย เย้ายังเซ่นไหว้บรรพบุรุษ และเจ้าที่ เพื่อความสุขสมบูรณ์ของครอบครัวและปัดเป่าผีร้ายที่จะทำให้โชคร้ายและเจ็บป่วย - พิธีสร้างสะพาน เป็นพิธีกรรมสำคัญใช้บำบัดรักษาอาการป่วย ด้วยการเรียกขวัญของผู้ป่วย หรือเป็นพิธีกรรมสืบชะตายืดอายุให้ยืนยาว หรือทำให้โชคดีโดยขอให้หมอผี ทำพิธีขับไล่ผีร้ายและเชิญชวนผีดี ๆ เข้ามา - ระบบการตั้งชื่อของเย้า ชื่อผู้ชาย จะมีทั้งชื่อตอนเด็ก ชื่อเล่น ชื่อผู้ใหญ่ และชื่อแห่งวิญญาณ อายุ 6 ขวบจะตั้งชื่อผู้ใหญ่ อายุมากกว่า 12 ปีจะมีชื่อแห่งวิญญาณ ชื่อแห่งวิญญาณเป็นชื่อพิเศษศักดิ์สิทธิ์และสำคัญที่สุด ... หญิงเย้าจะไม่มีชื่อทางวิญญาณ หญิงเย้าไม่มีชื่อเฉพาะของตัวเอง อักษรตัวแรกเป็นชื่อสกุล ตัวที่สองบอกเพศ ตัวที่สามบอกลำดับการเกิด ตัวที่สี่เป็นตัวสุดท้ายของชื่อผู้ใหญ่ของพ่อ การตั้งชื่อผู้ชายและผู้หญิงแสดงถึงฐานะที่แตกต่างกันระหว่างชายและหญิง ชื่อผู้ชายสำคัญกว่าชื่อผู้หญิง เพราะการสืบทายาทผ่านทางฝ่ายชายและชื่อของลูก ๆ ต้องเอามาจากชื่อของพ่อ - ตำนานความเป็นมาของชาติพันธุ์เย้า จากบันทึกเกี่ยวกับตำนานกำเนิดของเย้าบอกว่า เย้าเกิดจากหมามังกร (dragon dog) ที่ชื่อ Pieun Hu โดย Pieun Hu รับอาสาพระจักรพรรดิ์ไปปราบศัตรูสำเร็จ จึงได้แต่งงานกับนางกำนัลของจักรพรรดิ์ และมีลูกด้วยกัน 12 คน ซึ่งเป็นที่มาของ 12 วงศ์ตระกูลเย้า ตำนานกำเนิดของเย้าจะเปลี่ยนแปลงไปตามท้องถิ่น แต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษสุนัขเย้า,ประวัติ,วัฒนธรรม,โครงสร้างสังคม,การเมือง,วิถีการผลิต,นโยบายของรัฐ,ลำปางตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2518ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=424
423รายงานการวิจัยLahu Narratives of Inferiority: Christantity and Minortiy in Ethnic Power Relations.Nishimoto, Yoichiการศึกษาวิจัยครั้งนี้สนใจเรื่องเล่าของลาหู่คริสต์ที่สะท้อนในการมองกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเองว่าเป็นชนชั้นต่ำ โดยมองผ่านแนวคิดและเรื่องเล่าของลาหู่เกี่ยวกับความรู้ "Cu yi" และการมีดินแดนของลาหู่ ซึ่งค่อนข้างมีบทบาทสำคัญต่อความรู้สึกและแนวคิดของลาหู่คริสต์เกี่ยวกับอดีต ปัจจุบันและความคาดหวังในอนาคต ในกรณีเรื่องเล่าของลาหู่ที่มีความรู้สึกในเชิงลบกับกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเองถูกผลิตขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์ทางสังคม จิตสำนึกทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นชน กลุ่มใหญ่และเป็นผู้ปกครอง เรื่องเล่ามีหลายรูปแบบและบางเรื่องเล่าเป็นการยืนยันความรู้สึกของประสบการณ์ทางสังคมของผู้คน และจิตสำนึกทางชาติพันธุ์ ดังที่ลาหู่รู้สึกต่อการอยู่อาศัยในดินแดนของกลุ่มชาติพันธุ์อื่น แนวคิดของการต้องการมีดินแดนของตนเอง และวาทกรรมอื่นๆ แสดงสัญญะจากเรื่องราวที่เป็นจริงในสังคม โบสถ์คริสเตียนเป็นสถาบันที่นำคุณค่า มาตรฐาน สังคมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เข้ามาสู่ลาหู่คริสต์และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตไปสู่แนวทางของระบบเศรษฐกิจในสังคมสมัยใหม่ และแนวคิดของกลุ่มลาหู่คริสต์ได้เข้าไปผสมผสานกับแนวคิดดั้งเดิมเข้ากันจนยากที่จะแยกออกได้ว่าแนวคิดใดเป็นแนวคิดดั้งเดิมและแนวคิดใดเป็นแนวคิดใหม่จากศาสนาคริสต์ แต่อย่างไรก็ตามแนวทางในการพัฒนาตามโครงการต่างๆ ของโบสถ์คริสเตียนก็ได้ส่งผลให้เกิดการลดทอนคุณค่าของแนวคิดแบบดั้งเดิม และเกิดการผลิตใหม่ของแนวคิดเกิดขึ้น เรื่องเล่าจึงไม่ใช่เรื่องที่พูดกันไปเท่านั้นแต่มีความหมายที่ซับซ้อนเกี่ยวกับความรู้สึกของผู้คน ซึ่งเกิดขึ้นผ่านประสบการณ์ และจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์ของแต่และกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 170-175)ลาหู่,ลาหู่คริสต์,เรื่องเล่า,ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=423
422บทความWho are they/we the Karen?- negotiating ethnic imagery between self and other.Hayami, Yokoวาทกรรมของการกล่าวถึง ชนกลุ่มน้อยบนพื้นที่สูงเป็น คนอื่น (Others) เกิดขึ้นมานานกว่า 200 ปี ภายใต้สถานการณ์ทาง การเมืองจากอาณาจักร และรัฐประเทศสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของกลุ่มชนบนพื้นที่สูง "Hill tribes" ส่งผลการเปลี่ยนแปลงนัยยะในการทำความเข้าใจวัฒนธรรมชนบนพื้นที่สูง ทั้งจากการที่กลุ่มชาติพันธุ์อื่นได้ให้คำจัดกัดความสร้าง วาทกรรม หลากหลายให้เกิดขึ้นและจากแนวทางซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง "Others" เข้ามามีส่วนร่วมในวาทกรรมเหล่านี้ (หน้า 1) จากกรณีกะเหรี่ยง หมู่บ้าน M ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ รัฐได้โฆษณาและสนับสนุนโครงการท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศและการเข้ามาส่วนร่วมของชุมชน "การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ" แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คนในชุมชนมากนัก มีเพียงชาวบ้านไม่ถึงครึ่งที่เข้าร่วมกับกิจกรรมนี้ กลุ่มคนที่ไม่ยอมรับเนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการสนับสนุนสิ่งที่รัฐพยายามโฆษณา แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธการให้ความร่วมมือกับผู้ประสานงานที่เป็นคนในหมู่บ้าน สำหรับกลุ่มผู้ที่ยอมรับใช้โครงการนี้เป็นการนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับความเป็นกะเหรี่ยงที่หลุดออกจากภาพของการเป็นชาวเขา "rustic hill tribes" ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่รัฐพยายามโฆษณา จากวาทกรรมเกี่ยวกับความเป็นกะเหรี่ยงที่ถูกจำกัดความโดยคนอื่นมากว่าร้อยปี เช่น กะเหรี่ยงเป็นผู้รักสงบ รักช้าง รักธรรมชาติ และอาศัยอยู่ในป่า ฯลฯ ได้ถูกนำมาใช้และนำเสนอภาพโดยกลุ่มกะเหรี่ยงเองภายใต้สถานการณ์การจัดโครงการท่องเที่ยงเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศ "Eco Tourism" ที่เกิดจากการสนับสนุนของภาครัฐ แนวทางในการเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนวัฒนธรรมและเข้าไปมีส่วนร่วมในกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ วาทกรรมนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทย แม้ว่าจะเป็นจุดมุ่งหมายจากรัฐแต่ได้แสดงนัยถึงเสียงและแนวคิดของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มน้อยได้ถูกรับรู้และแพร่ขยายมากขึ้น ดังที่ Hinton กล่าวถึง รูปแบบที่กลุ่มชาติพันธุ์จะนิยามตนเองได้ขยายไกลไปจากเหตุผลทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม (หน้า 18-19)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ภาพลักษณ์ทางชาติพันธุ์,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2548ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=422
421วิทยานิพนธ์ผลกระทบของโครงการพัฒนาดอยตุงต่อสภาพทางเศรษฐกิจสังคมและรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินของจีนฮ่อสมพร ภูรีศรีศักดิ์จากผลการวิจัยสรุปได้ในหลายประเด็น ได้แก่ ประชากรและการตั้งถิ่นฐาน ขนาดของครอบครัวจีนฮ่อมีจำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 7.28 คนต่อครอบครัว ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 14-54 ปี เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง ส่วนจำนวนแรงงานในครัวเรือนมีประมาณ 5.7 คนต่อครอบครัว สำหรับการตั้งถิ่นฐาน โดยมากอพยพมาจากมณฑลยูนนานของจีนก่อนปี พ.ศ.2510 นอกจากนั้น จีนฮ่อส่วนมากไม่มีการศึกษา ส่วนผู้ที่มีการศึกษามักอยู่ในระดับประถมศึกษา สภาพทางเศรษฐกิจและสังคม เกษตรกรรมเป็นอาชีพที่จีนฮ่อนิยมทำกัน รองลงมา คือ รับจ้าง ส่วนอาชีพเสริม จีนฮ่อประกอบอาชีพรับจ้างมากที่สุด เกษตรกรรมเป็นอันดับรองลงมา สำหรับรายได้ทั้งในและนอกการเกษตรของครอบครัวในแต่ละปีประมาณ 35,022.77 บาทต่อครอบครัว ส่วนรายจ่ายโดยเฉลี่ย 30,513.32 บาทต่อครอบครัว แบ่งเป็นด้านการเกษตร บริโภคในครัวเรือน และด้านประเพณีวัฒนธรรม ทางด้านสุขภาพอนามัยพบว่าจีนฮ่อมีสุขภาพที่ดีเป็นส่วนมาก อีกทั้งในหลายครอบครัวยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอีกด้วย รูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดิน ส่วนใหญ่จีนฮ่อใช้ที่ดินในการปลูกพืชไร่มากกว่าไม้ผล โดยพื้นที่ทำกินเฉลี่ยต่อครอบครัวประมาณ 3.82 ไร่ ด้านการใช้เทคโนโลยีการเกษตรยังไม่ปรากฏมากนัก ในส่วนของการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่ามีการนำไม้มาทำฟืนหุงต้มและทำรั้วกันมาก ผลกระทบจากโครงการพัฒนาดอยตุง มีผลต่อจีนฮ่อในหลาย ๆ ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้านทรัพยากรดิน น้ำ และป่าไม้ ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ผลจากการพัฒนาด้านการท่องเที่ยว และในด้านวัฒนธรรม ในส่วนของรายได้ในครัวเรือนพบว่าพื้นที่ถือครอง จำนวนแรงงานในครัวเรือน กิจกรรมกลุ่ม อาชีพรอง และชนิดพืชที่ปลูก มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของรายได้ในครัวเรือน และความเปลี่ยนแปลงของรายได้ในครัวเรือนขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ประโยชน์ในที่ดินของจีนฮ่อ (หน้า 71-73)จีนมุสลิม จีนยูนนาน(จีนฮ่อ),การใช้ทรัพยากร,การพัฒนา,ที่ดิน,ดอยตุง,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=421
420วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิตด้านการเกษตรของชุมชนกระเหรี่ยงเฉลิมศักดิ์ ขัตติยะในอดีตกะเหรี่ยงบ้านแม่ยางมีความผูกพันกับธรรมชาติ มีความเป็นอยู่แบบง่ายๆ การผลิตทางการเกษตรเน้นเพื่อการบริโภคในครัวเรือน มีการแลกเปลี่ยนผลผลิตกันระหว่างเพื่อนบ้านและเครือญาติ ต่อมาเมื่อนายทุนได้นำเอาพืชเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ สตอเบอรี่เข้ามาในชุมชน ทำให้ระบบการผลิตของชุมชนเปลี่ยนจากการผลิตเพื่อการบริโภคเป็นการผลิตเพื่อการค้า มีการนำเอาเทคโนโลยีทางการเกษตรเข้ามาใช้ในการผลิต ส่งผลต่อกระบวนการผลิตของชุมชนในด้านวิถีการผลิต ระบบความสัมพันธ์ ความเชื่อ ค่านิยม และวิถีชีวิต ระบบเงินตรากลายเป็นปัจจัยสำคัญในการแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ เพื่อให้ได้สิ่งของที่ตนต้องการ และยังเป็นการบ่งชี้ถึงสถานภาพทางเศรษฐกิจของตนเองอีกด้วย การเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิตของกะเหรี่ยง ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพนิเวศวิทยาของหมู่บ้าน การเรียนรู้โดยการปฏิบัติในระบบการผลิตของกะเหรี่ยงซึ่งได้รับการถ่ายทอดความรู้จากนายทุน ส่วนปัจจัยภายนอก มีตลาดรองรับผลผลิต มีการประกันราคาผลผลิต ได้รับการสนับสนุนเงินทุนสำหรับการผลิตทั้งจากหน่วยงานรัฐและเอกชนตลอดจนการคมนาคมมีความสะดวกมากขึ้น ในการขนส่งผลผลิตสู่ตลาด ผลจากการเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิต ทำให้ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่ยางห้ามีการเปลี่ยนแปลงในด้านความสัมพันธ์ทางสังคม จากความสัมพันธ์ที่เคยมีการช่วยเหลือกันในการผลิตเปลี่ยนมาเป็นการผลิตที่ต่างคนต่างทำการผลิต ความผูกพัน ความไว้วางใจทางเครือญาติและเพื่อนบ้านลดน้อยลง วิถีที่เรียบง่ายเปลี่ยนมาสู่ชีวิตที่รีบเร่ง ไม่มีเวลาไปมาหาสู่กันเหมือนในอดีตปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, วิถีการผลิต, การเกษตร, เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=420
419วิทยานิพนธ์พฤติกรรมการออมและความต้องการธนาคารอิสลามของครัวเรือนไทยมุสลิมใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยวิทยา ประดุกาการออมของครัวเรือนไทยมุสลิมในปัจจุบันมี 3 แบบคือ เก็บเงินไว้เอง นำไปฝากไว้กับผู้ที่ตนไว้ใจและพึ่งพาระบบธนาคารพาณิชย์ เพราะตามหลักของศาสนาอิสลาม ดอกเบี้ยถือเป็นสิ่งต้องห้าม จึงทำให้ไทยมุสลิมไม่ใช้บริการของธนาคารพาณิชย์ ทั่วไปถ้าไม่จำเป็น ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้มีความต้องการธนาคารที่ปลอดดอกเบี้ย ซึ่งได้แก่ธนาคารอิสลาม จากแบบ สอบถามพบว่าความต้องการธนาคารอิสลามของกลุ่มตัวอย่างใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้พบว่า มีความต้องการอยู่ในระดับปานกลางถึงมากที่สุดและความต้องการบางข้อมีความแตกต่างกันในระหว่าง 5 จังหวัดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และการวิเคราะห์ความต้องการตามตัวแปรอิสระพบว่า ความต้องการจำแนกตามเพศ อายุ อาชีพ การศึกษา รายได้และรายจ่ายของครัวเรือนเฉลี่ยต่อปี จากการศึกษาในเรื่องนี้มีข้อเสนอแนะว่า ควรมีการจัดตั้งธนาคารอิสลามในประเทศไทยเพื่อให้คนไทยมุสลิม ได้ดำเนินการในด้านเศรษฐกิจได้ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวมออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ไทยมุสลิม,พฤติกรรม,ธนาคารอิสลาม,จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=419
418อื่นๆทัศนคติของหัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อโครงการพัฒนาเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทยสรัญญา โชติรัตน์การศึกษาเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อทราบถึงระดับทัศนคติของหัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอต่อโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย 2) เพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อทัศนคติของหัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอต่อโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย โดยได้สำรวจกลุ่มตัวอย่างจากหัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอในห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 367 คน ผลการศึกษาพบว่า<br />
<br />
(1) หัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอมีทัศนคติต่อโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอยู่ในระดับปานกลาง<br />
<br />
(2) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อทัศนคติของหัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอที่มีต่อโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย ได้แก่ กรมที่สังกัด กระทรวงที่สังกัด ของหัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอและด้านการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย ส่วนตัวแปรด้านอื่นๆ ไม่มีความสัมพันธ์ต่อทัศนคติของหัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ ณ ระดับนัยยะสำคัญทางสถิติที่ 0.05ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ข้าราชการระดับอำเภอ,ทัศนคติ,โครงการพัฒนา,เศรษฐกิจสามฝ่าย,อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย,จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=418
417วิทยานิพนธ์การวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยงานหัตถกรรมชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง : ศึกษากรณีทอผ้า ณ หมู่บ้านพระบาทห้วยต้ม จังหวัดลำพูนมาลี ศรีศฤงคารจากปัญหาของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงหมู่บ้านพระบาทห้วยต้มคือ ปัญหาความยากจน มีรายได้ครัวเรือนต่ำ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพได้ตระหนักและเล็งเห็นปัญหานี้จึงหาแนวทางที่จะทำให้ชาวบ้านมีรายได้สูงขึ้นภายในกรอบวิถีการดำรงชีวิตของเขาที่เป็นอยู่ สถาบันฯ จึงใช้งานผลิตภัณฑ์ทอผ้าด้วยมือที่เรียกว่า "ผ้าซิ่นเปลือกไม้" ซึ่งสถาบันฯ ได้ช่วยเหลือในด้านวัตถุดิบและการตลาด วัตถุประสงค์หลักของการศึกษานี้เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของสินค้าหัตถกรรมดังกล่าวในการยกระดับรายได้ครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงหมู่บ้านพระบาทห้วยต้ม โดยเน้นปัญหาการผลิต การตลาด และผลตอบแทนของชาวเขาผู้ผลิต ผลการศึกษาพบว่าในระยะแรกของการส่งเสริมการผลิต ชาวเขาผู้ผลิตได้ผลตอบแทนอยู่ในระดับสูง ต่อมาเมื่อสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพถอนตัวไป ความต้องการผลิตภัณฑ์ก็ลดต่ำลงไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับกำลังการผลิตที่สามารถ ผลิตได้ ทำให้รายได้ครัวเรือนต่อเดือนของชาวเขาจากการทอผ้าลดลงด้วย สาเหตุของการลดลงในความต้องการซื้อเพราะว่า ขาดผู้ทำหน้าที่การตลาดและส่งเสริมการตลาด ปัญหาคุณภาพสินค้าตกต่ำ ปัญหาการออกแบบไม่ตรงกับรสนิยมผู้บริโภค รวมทั้งปัญหาการแข่งขันจากสินค้าคู่แข่งขัน โครงสร้างอุตสาหกรรมทอผ้าของหมู่บ้านไม่สอดคล้องกับหลักการผลิตในเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้โครงสร้างการกำหนดราคาของผลิตภัณฑ์ ผู้ผลิตเป็นผู้เสียเปรียบ ราคาส่วนใหญ่จะถูกกำหนดโดยพ่อค้าคนกลางในเมือง การแก้ปัญหาที่เป็นข้อเสนอแนะทางนโยบายเพื่อช่วยเหลือชาวเขาจึงควรที่จะจูงใจให้การสนับสนุนองค์การเอกชนที่มีความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ในการผลิต การตลาด และการจัดการทางด้านนี้เข้ามาลงทุนผลิตผ้าทอกะเหรี่ยงโดยอาศัยแรงงานจากชาวเขาในหมู่บ้านปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),หัตถกรรมทอผ้า,ส่งเสริมการผลิต,การตลาด,ลำพูนตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=417
416รายงานการวิจัยEthnicity and Fertility in ThailandPrasithrathsint, Suchartทั้ง 4 กลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมีความแตกต่างในเรื่องของอัตราการเกิด การคุมกำเนิด และการวางแผนครอบครัว และในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มีความแตกต่างในด้านของสังคมและวัฒนธรรม ค่านิยมซึ่งเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออัตราการเกิด และพฤติกรรมการคุมกำเนิดด้วยเช่นกัน การวางแผนโครงการต่างๆ ควรจะต้องคำนึงและให้ความระมัดระวังต่อปัจจัยทางด้านสังคมและวัฒนธรรมในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่า กลุ่มคนไทยมีอัตราการเกิดในระดับต่ำที่สุด และในกลุ่มไทยมุสลิมทางภาคใต้ยังคงมีอัตราการเกิดสูง ด้วยเหตุนี้จึงควรมีการลดอัตราการเกิดในกลุ่มคนเหล่านี้ แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนไทยเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศจึงยังต้องให้ความสำคัญในการลดอัตราการเกิดของประชากรในกลุ่ มนี้เช่นเดียวกัน แนวทางในการลดอัตราการเกิดโดยการเผยแพร่การวางแผนครอบครัวให้กลุ่มประชากรทุกคน โดยเฉพาะในเรื่องของการคุมกำเนิด ในกลุ่มคนจีนอัตราการเกิดมีอิทธิพลกับการศึกษาของภรรยาและอายุที่เริ่มแต่งงานจึงควรมีแนวทางในการปรับปรุงการศึกษาของผู้หญิงจีนซึ่งจะช่วยลดอัตราการเกิดและส่งผลให้อายุที่แต่งงานนานออกไป อีกปัจจัยหนึ่งคือค่านิยมเรื่องเพศ เนื่องจากกลุ่มคนจีนนิยมมีลูกชายมากกว่าลูกสาว จึงควรมีการสนับสนุนการศึกษาเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดขนาดครอบครัวคนจีนได้ ในกลุ่มไทยมุสลิมควรมีความสนใจต่อความรู้สึกทางชาติพันธุ์ และการคุมกำเนิดขัดต่อหลักศาสนา ควรมีการให้การศึกษาในกลุ่มผู้นำศาสนาและกลุ่มที่มีครอบครัวขนาดใหญ่ เพื่อความร่วมมือในการวางแผนครอบครัว กระบวนการเหล่านี้ต้องใช้เวลาและความอดทนเพื่อสร้างความเข้าใจในเรื่องของการวางแผนครอบครัวในอนาคต (หน้า 236-238)มุสลิม,จีน,ไทย,อัตราการเกิดของประชากร,ประเทศไทยตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2528ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=416
415บทความContradictions in Learning how to be Thai: A Case Study of a Young Hmong Woman.Pilar, Tracyงานวิจัยชิ้นนี้มาจากการออกภาคสนามเป็นเวลา 3 เดือนในหมู่บ้านม้ง ทางภาคเหนือของประเทศไทย ในช่วงปี ค.ศ. 1998 วิกฤติการณ์ในขณะนั้น เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลไทยกับหมู่บ้าน "กา" (Ga) หัวหน้าครูอนุบาลม้งมีบทบาทสำคัญในวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้น และเมื่อผู้วิจัยออกจากหมู่บ้านปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข แต่ผู้วิจัยมีความเชื่อว่าการวิเคราะห์สถานการณ์ขึ้นอยู่กับบทบาทของ "กา" (Ga) ในวิกฤติการณ์นี้แสดงให้เห็นทิศทางของการศึกษาได้สร้างอัตลักษณ์ใหม่ของบุคคลในสังคม และถูกตีความในรูปแบบที่คลุมเครือและขัดแย้งกัน ผู้วิจัยเสนอว่า จากกรณีของ "กา" (Ga) อาจจะไม่ได้เป็นการประสบความสำเร็จสูงสุดของการเปลี่ยนผ่าน แต่สิ่งที่นักวิจัยเชื่อคือ ประสบการณ์ของ "กา" (Ga) แสดงแนวโน้มเกี่ยวกับการศึกษา ประวัติศาสตร์ และการเมือง อาจจะส่งผลกระทบต่อการผลิตและการแพร่กระจายความหมายทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นส่วนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน นอกเหนือไปกว่านั้น การเปลี่ยนอัตลักษณ์ของสมาชิกในกลุ่มอาจจะสร้างความแตกต่างของตำแหน่งในสังคมของพวกเขาและความหมายทางวัฒนธรรมโดยรอบ สร้างความเป็นไปได้สำหรับการสร้างความขัดแย้งในสังคมและวัฒนธรรมและมีความเป็นไปได้ที่วัฒนธรรมจะถูกสร้างใหม่ "Reproduced" ภายหลังการเสนอข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ทางภาคเหนือของประเทศไทยและข้อโต้แย้งในการผลิตแนวคิดใหม่ทางสังคม "Social Reproduction Theory" ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับการพิจารณาในสาขาวิชามานุษยวิทยาและโดยเฉพาะ มานุษยวิทยาการศึกษา "Educational Anthropology" งานวิจัยชิ้นนี้จะเสนอวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมการวิเคราะห์ (หน้า 1)ม้ง,การเรียนรู้,ผู้หญิง,อัตลักษณ์,ความขัดแย้ง,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=415
414เอกสารวิชาการองค์ความรู้ชนเผ่าม้ง : การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายกลุ่มเครือข่ายสิ่งแวดล้อมศึกษาประวัติความเป็นมาของชนชาติม้งรวมถึงความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติม้ง,ความเป็นอยู่,ประเพณี,ประเทศไทยตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัด ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=414
413บทความนโยบายประสมประสานชาวมาเลย์มุสลิมในประเทศไทยสมัยรัตนโกสินทร์สุรินทร์ พิศสุวรรณความยึดมั่นผูกพันที่มาเลย์มุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยมีต่อขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา และวัฒนธรรม ตลอดจนศาสนาของตนนั้น เป็นอุปสรรคต่อนโยบายประสมประสานประชาชนเผ่าพันธุ์ต่างๆ ตั้งแต่การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา นโยบายประสมประสานมักจะถูกกำหนดขึ้นโดยคำนึงถึงความปลอดภัยมั่นคงของชาติเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นพระราชบัญญัติอุปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม พ.ศ. 2488 หรือพระราชบัญญัติประกาศใช้กฎหมายครอบครัวและ
มรดกฝ่ายอิสลาม พ.ศ. 2489 ต่างถูกกำหนดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่เข้าใจปัญหาและภูมิหลังทางสังคมของคนมาเลย์
มุสลิมอย่างลึกซึ้งดีพอ ความพยายามที่จะ "อุปถัมภ์" จึงกลับกลายเป็นการเข้าไป "ก้าวก่าย" และ "ควบคุม" กิจการทาง
ศาสนาไป ซึ่งเป็นการสร้างความบาดหมางใจกันขึ้น แทนที่จะสร้างความสามัคคีกลับนำไปสู่ปัญหาอื่นที่ตามมาอย่างไม่มี
ที่สิ้นสุด
ในปัจจุบันนี้หน่วยงานของรัฐหลายหน่วยต่างพยายามเข้าไปมีบทบาทแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับมาเลย์มุสลิม
การกำหนดให้มีหลักสูตรสอนศาสนาอิสลามในโรงเรียนของรัฐบาล การเข้าไปช่วยเหลือและ "อุปถัมภ์" สถาบันศึกษาปอเนาะ ตลอดจนนโยบายรีบเร่งสอนภาษาไทยให้แก่เยาวชนมาเลย์มุสลิม เหล่านี้ต่างเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ล่อแหลมต่อการเข้าใจ
ผิด เห็นเป็นเรื่องก้าวก่ายของรัฐต่อกิจการภายในสังคมของเขา ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความแตกแยกมากกว่าความเป็นอันหนึ่งอันเ
ดียวกันดังที่ผู้กำหนดนโยบายคาดหวัง (หน้า 20-21)มาเลย์มุสลิม,นโยบายประสมประสาน,รัตนโกสินทร์,จังหวัดชายแดนภาคใต้,ประเทศไทยตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัด ประเทศไทย2525ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=413
412บทความTelevision and Socio-political Change in the Muslim Community in Southern Thailand.Takashi, Hashimotoในปี ค.ศ. 1983 พบว่ามาเลย์-มุสลิมนิยมดูรายการจากมาเลเซีย ไม่ใช่รายการท้องถิ่นจากหาดใหญ่ ในช่วงเวลานี้ไม่มีข้อสงสัยเรื่องอัตลักษณ์ของกลุ่มมาเลย์-มุสลิม แต่ใน ปี ค.ศ. 1990 สถานการณ์เปลี่ยนไป ผู้คนนิยมชมรายการโทรทัศน์ไทย ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองจากรัฐบาลไทย ระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลกระทบอย่างมากต่อโครงสร้างทางสังคมและการเมืองของชุมชนมาเลย์-มุสลิมทางภาคใต้ (หน้า 89) จากการติดตั้งไฟฟ้าและการติดตั้งโทรทัศน์ ในพื้นที่ภาคใต้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในด้านของการขยายและการรับรู้ข่าวสารของมุสลิม ทั้งนี้ มิใช่การเปลี่ยนแปลง เฉพาะในวิถีชีวิตประจำวันเท่านั้นแต่รวมถึงการเปลี่ยนแปลงแนวคิดทางการเมือง และสังคมของมาเลย์-มุสลิมทางภาคใต้ (หน้า 93)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,สื่อโทรทัศน์,การเมือง,สังคม,จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัด ประเทศไทย2536ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=412
411บทความRed Lahu Village Society And Introductory Survey.Walker, Anthony R.ลาหู่เป็นชนกลุ่มน้อยแต่พวกเขามีลักษณะทางวัฒนธรรมร่วมกัน และพยายามที่จะให้กลุ่มสังคมภายนอกยอมรับ แต่อย่างไรก็ตาม ลาหู่มีโครงสร้างทางสังคมและการเมืองเฉพาะ ในกลุ่มหมู่บ้านซึ่งดำรงวิถีชีวิตด้วยการทำไร่หมุนเวียน 2 หมู่บ้านลาหู่ที่ผู้วิจัยทำการการศึกษา ไม่สามารถทำความเข้าใจสังคมและวัฒนธรรมของหมู่บ้านได้โดยไม่ศึกษาสภาพสังคมและวัฒนธรรมไทย เช่นเดียวกันกับกลุ่มลาหู่ที่อยู่ในประเทศพม่าก็ไม่สามารถแยกออกจากความสัมพันธ์ที่มีต่อสังคมรัฐฉาน แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มสังคมลาหู่ไม่ใช่สังคมชนเผ่า (Tribe) แต่เป็นสังคมเกษตรกรรมบนพื้นที่สูง ระบบเศรษฐกิจและสังคมมีความสัมพันธ์กับกลุ่มคนภายนอกทั้ง ไทย ไทใหญ่ (Shan) จีนฮ่อ และ ลาว (หน้า 50-51)ลาหู่,ลาหู่แดง,โครงสร้างสังคม,เชียงใหม่,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัด ประเทศไทย2510ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=411
410บทความHill and Valley populations in Northwestern Thailand.Kunstadler, Peterกลุ่มคนบนพื้นที่สูงและพื้นที่ราบมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทั้งในเรื่องระบบเศรษฐกิจ สังคม และศาสนา มีการรับและแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นจากการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่อย่างไรก็ตาม แต่ละกลุ่มต่างมีอัตลักษณ์ทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง แต่ก็ไม่สามารถแยกพื้นที่ทั้งสองออกจากกันได้ โครงสร้างทางการเมืองการปกครองของรัฐไทย ภายใต้กระบวนการเป็นสมัยใหม่ได้พยายามเข้ามาควบคุมและเปลี่ยนแปลงสภาพทางสังคมและวัฒนธรรมบนพื้นที่สูงให้กลายเป็นไทยส่งผลให้เกิดปัญหาความขัดแย้งของกลุ่มคนทั้งสองพื้นที่รวมถึงเกิดการเปลี่ยนทางสังคมและวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่เกิดขึ้น (หน้า 69-85)ไต คนไต ไตโหลง ไตหลวง ไตใหญ่,ลัวะ,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,ปะโอ,คนบนพื้นที่สูง,คนพื้นที่ราบ,ความสัมพันธ์,แม่ฮ่องสอนตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2510ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=410
409บทความAkha Village Structure.Kickert, Robert W.หมู่บ้านอาข่าในประเทศไทยเป็นสังคมเกษตรกรรมไร่หมุนเวียนและเคลื่อนย้ายอยู่เสมอ หัวหน้าครอบครัวเป็นชายและนับญาติฝ่ายบิดา เมื่อแต่งงานบุตรชายจะสร้างบ้านในบริเวณใกล้เคียงกับบ้านของบิดา คนกลางอาจจะแยกออกไป การเป็นสมาชิกในครอบครัวคือการร่วมกันในการทำพิธีกรรมร่วมกัน เมื่อแต่งงานผู้ชายสามารถมีภรรยาได้มากกว่า 1 คนแต่ต้องได้รับการยินยอมจากภรรยา การหย่าร้างเป็นไปได้ง่ายภายหลังการหย่าร้างจะนิยมแต่งงานใหม่ ในหมู่บ้านจะมีหัวหน้าหมู่บ้าน ผู้นำทางศาสนาและผู้อาวุโสสำหรับดูแลหมู่บ้านให้สงบเรียบร้อยอาข่า,โครงสร้าง,สังคม,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2510ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=409
408รายงานการวิจัยแนวโน้มด้านสังคมเกี่ยวกับชุมชนบนพื้นที่สูงในทศวรรษหน้าประจวบ คำบุญรัตน์, อนุรักษ์ ปัญญานุวัฒน์ และ เคน แคมป์ผู้วิจัยมุ่งศึกษาถึงแนวโน้มด้านสังคมของชุมชนบนพื้นที่สูงในทศวรรษหน้า โดยผู้วิจัยได้อาศัยข้อมูลพื้นฐานจากการสำรวจภาคสนามทั้งภาพรวม และกรณีศึกษาในระดับหมู่บ้าน ประกอบกับผลการศึกษาเอกสารในระดับนโยบาย แผนแม่บท แผนเฉพาะกิจเชิงยุทธวิธีตลอดจนผลการประเมินโครงการพัฒนาบนพื้นที่สูง ผลการศึกษาเกี่ยวกับเครือข่ายลุ่มน้ำ เครือข่ายป่าชุมชน และเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรบนพื้นที่สูงมาเป็นข้อมูลสำคัญในการประยุกต์วิธีการวิจัยเชิงพยากรณ์แบบ Ethnographic Future Research (EFR) โดยการอภิปรายกลุ่มย่อยของผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำงานด้านการพัฒนาชาวเขาและชนกลุ่มน้อย ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข เศรษฐกิจ มานุษยวิทยาและสังคมวิทยา การทหาร และความมั่นคงภายในของรัฐ นักวิชาการและนักวิจัยชาติพันธุ์วิทยา และผู้นำชาวเขาในภาคเหนือ ซึ่งการอภิปรายกลุ่มดำเนินการ 2 ระดับ คือ ระดับนโยบาย และปฏิบัติการโดยเปรียบเทียบข้อมูลพื้นฐานในอดีตกับปัจจุบันเกี่ยวกับชาวเขาและชนกลุ่มน้อย ด้านเศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง สิ่งแวดล้อม และสังคมที่ครอบคลุมทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข สังคมสงเคราะห์และการพัฒนาชุมชน แล้วนำข้อมูลนั้นมาพิจารณาคาดคะเนตามหลักวิชาการ และประสบการณ์ เพื่อหาแนวโน้มในอนาคต (หน้า116) ซึ่งได้ผลการศึกษาดังนี้ คือ รัฐบาลเล็งเห็นว่าชาวเขาและชนกลุ่มน้อยบนพื้นที่สูงยังมีปัญหาในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาการปลูกพืชเสพติดบนพื้นที่สูง เนื่องจากมีแนวโน้มว่าจำนวนผู้ติดยาเสพติดในรูปแบบต่าง ๆ จะเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับมียาเสพติดชนิดใหม่แพร่หลาย เช่น เฮโรอีน มอร์ฟิน ยาม้า กาว ทินเนอร์ และอื่น ๆ โดยมีผู้เสพในกลุ่มวัยแรงงาน และวัยรุ่นเพิ่มมากขึ้น (หน้า 117-118 ) อีกทั้งรัฐต้องการให้ชุมชนบนพื้นที่สูงมีความเป็นอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย สอดคล้องกับระบบการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพราะรัฐกำลังดำเนินการมุ่งเน้นการต่อสู้กับภาวการณ์ทำลายทรัพยากรธรรมชาติบนพื้นที่สูง โดยรัฐยังคงเชื่อ ว่าชาวเขาและชนกลุ่มน้อยเป็นกลุ่มหลักที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งที่มีข้อมูลจำนวนมากแสดงว่าผู้มีบทบาทในการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ คือ บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ชาวเขา และนอกจากนั้นรัฐยังต้องการแก้ปัญหาการตั้งถิ่นฐานของชาวเขาให้ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ก็เพื่อแก้ปัญหาด้านความมั่นคงของชาติ ส่วนในด้านเศรษฐกิจและสังคม ชาวเขาและชนกลุ่มน้อยก็ยังคงประสบปัญหาความยากจน ปัญหาด้านสาธารณสุข การขาดแคลนที่ทำกิน การอพยพแรงงาน ฯลฯ (หน้า 117-126) งานวิจัยได้เสนอว่าในอนาคตรัฐยังคงมีการกำหนดระบบงานแก้ไขปัญหาของชาวเขาในด้านต่าง ๆ ดังกล่าว แต่อาจจะเป็นไปในแนวทางลักษณะเดิมที่เคยปฏิบัติมาแล้ว และอาจดำเนินไปในอัตราช้า อีกทั้งยังอาจไม่สอดคล้องกับสภาพความต้องการและปัญหาหลักของชาวเขา และชนกลุ่มน้อย ในแต่ละพื้นที่และกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 126) ทั้งนี้เนื่องจากในแทบทุกหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือชาวเขามักมีบทบาทเป็น "ผู้ให้" และ "ผู้กำกับการดำเนินงาน" เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการโดยที่ชาวเขามีบทบาทน้อยมากในการเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผน และการตัดสินใจ (หน้า 118)ขมุ กำมุ ตะมอย,ไต คนไต ไตโหลง ไตหลวง ไตใหญ่,จีนยูนนาน จีนมุสลิม,เมี่ยน อิวเมี่ยน,ลาหู่ ลาฮู,ปะโอ,โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู กะเหรี่ยง,คะยาห์ กะเรนนี บเว,คะยัน กะจ๊าง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,ชาวเขา,ชนกลุ่มน้อย,การสำรวจทางประชากร,การศึกษา,สาธารณสุข,ประเทศไทยตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=408
407รายงานการวิจัยIslam and Violence: a case study of violent events in the four southern provinces, Thailand, 1976-1981Chaiwat Satha-Anandปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ได้แก่ ความขัดแย้งต่างๆ ระหว่างมุสลิมในพื้นที่กับหน่วยงานราชการและประชากรในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ซึ่งรวมทั้งภาษาและศาสนาและประวัติศาสตร์ ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความเชื่อทางศาสนาอิสลามที่สอนให้ "ลงมือปฎิบัติและต่อสู้" เพื่อความถูกต้อง แต่การต่อสู้ดังกล่าวอาจถูกตีความออกมาได้หลายรูปแบบตามแต่ละบุคคล และผู้ก่อการนำความเชื่อแบบที่ตนตีความ มาใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกปั่นมุสลิมอื่นๆ ให้เข้าเป็นพวกและก่อความรุนแรงต่างๆ ดังกล่าว (40-43)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ปัญหาความรุนแรง,ศาสนาอิสลาม,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2529ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=407
406หนังสือสารัตถคดี เหนือแคว้นแดนสยามปราณี ศิริธรเนื้อหาของงานเขียนเล่มนี้เป็นการกล่าวถึงประวัติศาสตร์ และความเป็นมาของคนไตยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และกล่าวถึงชนชาติ หรือกลุ่มชนที่มีความเกี่ยวข้องกับคนไตยที่ค่อนข้างละเอียด โดยเฉพาะพม่าชนชาติที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของคนไตยมากที่สุดไต,ไท,ประวัติศาสตร์,วัฒนธรรม,รัฐฉานตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดShan State ประเทศพม่า2528ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=406
405วิทยานิพนธ์ความพึงพอใจในงานของบุคลากรในองค์กรพัฒนาเอกชนที่ช่วยเหลือชาวเขาเพ็ญศรี จันทร์อินทร์บุคลากรในองค์กรพัฒนาเอกชนที่ช่วยเหลือชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงในจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุระหว่าง 31-40 ปี สมรสแล้ว จบการศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรี มีระยะเวลาการทำงาน 1-10 ปี มีเงินเดือนอยู่ระหว่าง 5,001-10,000 บาท เป็นฝ่ายปฏิบัติการในพื้นที่และปฏิบัติงานกับองค์กรพัฒนาเอกชนประเภทองค์กรศาสนา บุคลากรในองค์กรพัฒนาเอกชนที่ช่วยเหลือชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงในจังหวัดเชียงใหม่มีความพึงพอใจต่องานในระดับมากต่อปัจจัยด้านลักษณะงาน สภาพแวดล้อมใน การทำงาน ความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน การบังคับบัญชา สวัสดิการ เงินเดือน ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและมีความพึงพอใจในงานในระดับน้อยต่อปัจจัยด้านนโยบายและการบริหารงานขององค์กร ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ในภาพรวมแล้วบุคลากรในองค์กรพัฒนาเอกชนที่ช่วยเหลือชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงในจังหวัดเชียงใหม่มีความพึงพอใจในงานในระดับมาก ลำดับความสำคัญของปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจในงานของบุคลากรในองค์กรพัฒนาเอกชนที่ช่วยเหลือชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงในจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญต่อปัจจัยเงินเดือนเป็นลำดับแรก ต่อมาคือ ปัจจัยสวัสดิการและปัจจัยสภาพแวดล้อมในการทำงาน ตามลำดับ จากผลการวิจัยข้างต้นแสดงให้เห็นว่า บุคลากรในองค์กรพัฒนาเอกชนที่ช่วยเหลือชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงในจังหวัดเชียงใหม่ มีความพึงพอใจต่อปัจจัยด้านต่างๆ ในระดับมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจัยด้านเงินเดือนที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในงานของบุคลากร ดังนั้น ผู้บริหารจึงควรมีการส่งเสริมและสนับสนุนปัจจัยเหล่านี้ เพื่อให้บุคลากรเกิดความพึงพอใจในงานและก่อให้เกิดผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานที่ดียิ่งขึ้นปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),องค์กรพัฒนาเอกชน,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=405
404วิทยานิพนธ์ความรู้ของชาวไทยมุสลิมต่อเครื่องหมายฮาลาล ศึกษากรณีชาวไทยมุสลิมในเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานครธวัช ยะภากลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง โดยมีอายุระหว่าง 16-25 ปีมากที่สุด จบการศึกษาปริญญาตรี มีรายได้ ต่ำกว่า 6,000 บาทต่อเดือนและมีสถานภาพโสด จากการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษามีความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่อิสลาม อนุญาตอุปโภค-บริโภคในชีวิตประจำวัน รู้จักสิ่งที่เป็นนายีสต์ตามหลักอิสลาม รู้จักวิธีการเชือด (ทำให้ตาย) แต่จะมีความรู้เกี่ยวกับสารเคมีที่ใช้ในการประกอบสินค้าอุปโภค-บริโภคน้อย ในเรื่องเกี่ยวกับการรับรู้เครื่องหมายฮาลาล พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ศึกษารู้จักเครื่องหมายฮาลาล และรู้ว่าหน่วยงานใดสามารถออกเครื่องหมายรับรองเครื่องหมายฮาลาล ในเรื่องปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรู้ของไทยมุสลิมต่อเครื่องหมายฮาลาล พบว่า เพศไม่มีความสัมพันธ์กับความรู้ของไทยมุสลิมต่อเครื่องหมายฮาลาล แต่อายุ ระดับการศึกษา รายได้ สถานภาพและอาชีพ มีความ สัมพันธ์กับความรู้ของไทยมุสลิมต่อเครื่องหมายฮาลาล ปัจจุบันไทยมุสลิมซึ่งเป็นวัยรุ่น อยู่ระหว่างการศึกษา ยังไม่เห็นความสำคัญหรือไม่มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องหมายฮาลาล เพราะมัวแต่สนใจเรื่องอื่นๆ ไม่สนใจเกี่ยวกับศาสนาหรืออาจสนใจแต่น้อยไทยมุสลิม,ฮาลาล,กรุงเทพมหานครตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=404
403วิทยานิพนธ์การป้องกันตนเองจากอาชญากรรมของชุมชนชาวไทยมุสลิมในกรุงเทพมหานครศุภสิทธิ์ ธนเดชภักดีไทยมุสลิมมีการป้องกันตนเองจากอาชญากรรมในบ้านพักอาศัย เรียงตามลำดับคือ การไม่เปิดประตูรับรับบุคคลภายนอกทันที่ก่อนแน่ใจ การล็อคยานพาหนะเมื่อจอดอยู่หน้าบ้าน การให้ความสนใจเมื่อพบเหตุร้ายหรือคนร้ายในบ้านคนอื่น การสำรวจประตู-หน้าต่าง ก่อนนอน การสอบถามก่อนเปิดประตูรับคนภายนอก การเปิดไฟในบ้านบางดวงในเวลากลางคืน การสังเกตว่า มีใครติดตามมาหรือไม่ก่อนเข้าบ้านและการมีอาวุธสำหรับป้องกันคนร้ายไว้ประจำบ้าน ไทยมุสลิมมีการป้องกันตนเองจากอาชญากรรมในชุมชน มีวิธีการเรียงตามลำดับ คือ ควรมีคณะกรรมการป้องกันอาชญากรรมในชุมชน การติดตั้งสัญญาณเตือนภัยและยามรักษาการณ์ประจำชุมชน การร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ การติดตั้งไฟตามถนนเป็นระยะๆ การรวมกลุ่มทำกิจกรรมป้องกันอาชญากรรม การใช้ความเคารพนับถือและแรงยึดเหนี่ยวทางศาสนาในการป้องกันอาชญากรรม ไทยมุสลิมส่วนใหญ่ยังไม่ได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กิจกรรมสาธารณะที่เข้าร่วมเป็นการชมนิทรรศการเกี่ยวกับการป้องกันอาชญากรรมเท่านั้นไทยมุสลิม,อาชญากรรม,กรุงเทพมหานครตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=403
402วิทยานิพนธ์เปรียบเทียบการแยกตัวเป็นอิสระของติมอร์ตะวันออกกับการเรียกร้องแบ่งแยกรัฐปัตตานีอภิชาติ นพเมืองการวิจัยนี้เป็นการศึกษาปัจจัยด้านต่างๆ และแนวทางการดำเนินการที่นำไปสู่ความสำเร็จของติมอร์ตะวันออกในการแยกตัวจากประเทศอินโดนีเซีย และนำมาเปรียบเทียบกับปัจจัยด้านต่างๆ ของกลุ่มโจรก่อการร้าย เพื่อแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย พบว่า จากมูลเหตุและปัจจัยทั้ง 7 ประการได้แก่ พลังอำนาจทางประวัติศาสตร์ สภาพภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง สังคมจิตวิทยา การสนับสนุนจากภายในและการสนับสนุนจากภายนอก ต่างมีผลต่อการก่อให้เกิดความ ต้องการดังกล่าวเพื่ออิสรภาพ แต่ระดับความรุนแรงแตกต่างกัน เนื่องจากสภาพภายในและแรงสนับสนุนจากภายนอก เมื่อเปรียบเทียบนโยบายและแนวทางการดำเนินการทางการเมืองการปกครอง ระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซียกับรัฐบาลไทย เพื่อการ แก้ปัญหาการแบ่งแยกดินแดนในติมอร์ตะวันออกและในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย นโยบายและการดำเนินการของรัฐบาลไทยประสบผลสำเร็จ สามารถลดระดับความรุนแรงจากขบวนการที่มีผลคุกคามต่อความมั่นคงประเทศเป็นเพียงกลุ่ม โจรก่อการร้าย ที่เคลื่อนไหวเพื่อก่อความไม่สงบในพื้นที่อิทธิพลของตนเองเท่านั้น (หน้า 62)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,การแบ่งแยกดินแดน,ติมอร์ตะวันออก,ปัตตานีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2549ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=402
401วิทยานิพนธ์ศึกษาการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างชาวไทยพุทธกับชาวไทยมุสลิมบ้านนาทับ ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาอาดีช วารีกูลผู้วิจัยได้นำแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม และการผสมผสานทางวัฒนธรรมมาเป็นแนวทางในการวิจัย แล้วรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์คนในชุมชนบ้านนาทับ ทั้งที่เป็นไทยพุทธและไทยมุสลิม และนำเสนอความรู้ความเข้าในลักษณะการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างไทยพุทธกับไทยมุสลิม บ้านนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา รวมถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม ซึ่งผลจากการศึกษาสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอยู่ของชุมชนสองกลุ่มที่มีพื้นฐานทางวัฒนธรรมต่างกัน แต่สามารถดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมและชุมชนเดียวกัน โดยการประยุกต์วัฒนธรรมให้เกิดการผสมผสานร่วมกัน ส่งผลให้กลุ่มคนมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน ดำรงชีวิตร่วมกันอย่างสันติสุข ยอมรับเกียรติ ศักดิ์ศรี และคุณค่าต่อกันและกัน นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความเข้าใจถึงวัฒนธรรมของกลุ่มดังกล่าวได้อย่างถูกต้องไทยพุทธ,ไทยมุสลิม,การผสมผสาน,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,ประเพณี,สงขลาตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสงขลา ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=401
400วิทยานิพนธ์การสำรวจเรื่องการได้มา การบันทึก และการถ่ายทอดความรู้เรื่องเครื่องปั้นดินเผาหม้อน้ำสลักลายวิจิตรมอญเกาะเกร็ดของช่างปั้นชาวมอญเกาะเกร็ดอภิชาต งามนิยมผลการวิจัยพบว่า แหล่งความรู้เรื่องเครื่องปั้นดินเผาหม้อน้ำสลักลายวิจิตรมอญเกาะเกร็ด ของช่างปั้นมอญเกาะเกร็ดมาจากบรรพบุรุษ อาจารย์ในโรงปั้น อาจารย์ในโรงเรียนสอนปั้น และช่างปั้นด้วยกัน ส่วนด้านการบันทึกความรู้ ช่างปั้นมอญใช้วิธีการ จดจำเป็นส่วนใหญ่ และบางคนมีการจดบันทึกเป็นเอกสาร ส่วนการถ่ายทอดความรู้ของช่างปั้นใช้วิธีบอกให้ปฏิบัติตาม สาธิต และประเมินผลชิ้นงาน (หน้า ก)มอญ,ภูมิปัญญาท้องถิ่น,เครื่องปั้นดินเผา,นนทบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=400
399วิทยานิพนธ์ทัศนคติของเกษตรกรชาวเขาที่มีต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ : กรณีศึกษา ดอยภูคา อำเภอปัว จังหวัดน่านพัชรินทร์ ยาระนะศึกษาทัศนคติของชาวเขาที่มีต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้ ในพื้นที่ดอยภูคา จังหวัดน่าน โดยการใช้แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการศึกษา ผลการศึกษาพบว่าเกษตรชาวเขาที่มีทัศนคติต่ออาชีพเกษตรกรรม และมีความสนใจต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีและงานศึกษาได้เสนอแนวทางในการพัฒนาพื้นที่ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมพลังเพื่อการปฏิบัติงานในการพัฒนาส่งเสริม ให้เกษตรกรทำการเกษตรเชิงอนุรักษ์หรือวนเกษตรเพื่อการอยู่ร่วมกัน และพึ่งพาอาศัยป่าไม้โดยไม่สร้างปัญหาการบุกรุกทำลายป่าสามารถทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและทำให้การอนุรักษ์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นชาวเขา,ลัวะ,การอนุรักษ์ป่า,เกษตรกร,น่านตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=399
398หนังสือสารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ : ละว้าณัฏฐวี ทศรฐ และ สุริยา รัตนกุลจากรายงานการศึกษาซึ่งผู้วิจัยได้ถ่ายทอดข้อมูลภาคสนาม สะท้อนให้เห็นถึงรายละเอียดของวิถีชีวิตละว้าถ่ายทอดผ่านแง่มุมต่างๆ ที่ดำรงสืบเนื่องสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นชาติพันธุ์ละว้า ทั้งยังคงผูกโยงอยู่กับความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรม แบบสังคมชนเผ่า ซึ่งพบว่ามีการรับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตภายนอกเข้าไปผสานกลืนลเวือะ,วัฒนธรรม,การตั้งถิ่นฐาน,พิธีกรรม,สุขภาพอนามัย,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=398
397หนังสือสารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ : ลาฮูโสฬส ศิริไสย์เนื้อหาส่วนใหญ่ครอบคลุมประเด็นต่างๆ ที่สะท้อนถึงความเป็นชาติพันธุ์ของลาฮู ทั้งในด้านคติความเชื่อ ตำนาน ขนบประเพณี พิธีกรรม ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ บทบาทของผู้นำทางศาสนาในฐานะนักปกครอง ซึ่งมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตตลอดถึงกระบวนการ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมลาฮูแบบเดิม เมื่อชุมชนลาฮูถูกครอบงำด้วยกระแส "ความทันสมัย" จากปรัชญาวัตถุนิยมบริโภคลาหู่,ประวัติศาสตร์,วิถีชีวิต,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=397
396รายงานการวิจัยบ้านลีซอประเสริฐ ชัยพิกุสิตเนื้อหาส่วนใหญ่เน้นในส่วนของลักษณะการตั้งบ้านเรือน และสิ่งปลูกสร้างอันเกี่ยวโยงผูกพันอยู่กับความเชื่อ-ประเพณี-พิธีกรรม กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตลีซอลีซู, การตั้งถิ่นฐาน, ที่อยู่อาศั ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2526ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=396
395หนังสือมูเซอสมัย สุทธิธรรมเนื้อหาเน้นศึกษาถึงลักษณะพิเศษของชนเผ่ามูเซอในส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบ ความเชื่อ วิถีชีวิตอันสะท้อนผ่านประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ ตำนาน สภาพสังคม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี พิธีกรรม ภาษา สถาปัตยกรรมและการแต่งกายลาหู่,มูเซอ,ประวัติศาสตร์,วัฒนธรรม,อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=395
394บทความผู้ไทพิเชฐ สายพันธ์ การอธิบายความหมายและวิพากษ์กรอบแนวคิดที่ครอบงำ วาทกรรมในส่วนของชีวิตและความตายของผู้ไท รวมถึงการอธิบายความหมาย "ตัวตนของผู้ไท"ผู้ไท ภูไท,ผี,ชีวิต,ความตาย,โครงสร้างหน้าที่,พุทธ,วาทกรรม,ตัวตน,มายาคติ,สกลนครตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=394
393บทความดาระอั้ง: คนชายขอบสองแผ่นดินสกุณี ณัฐพูลวัฒน์จากบทความ ผู้วิจัยเน้นศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ดาระอั้งหรือปะหล่องในสถานภาพการเป็นคนชายขอบสองแผ่นดิน ประวัติความ เป็นมา การอพยพหนีสงครามจากพม่าเข้ามาสู่ประเทศไทย และแง่มุมต่าง ๆ อาทิ พิธีกรรม ตำนานและความหมายของบท เพลงประจำเผ่า จากการวิจัยเอกสารวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง และการวิจัยภาคสนามดาระอั้ง,ประชากร,ภาษา,การตั้งถิ่นฐาน,วัฒนธรรม,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=393
392บทความมอญบ้านบางขันหมาก จังหวัดลพบุรีพรรณน์พจน์ ปานทองคำภาษามอญตำบลบางขันหมากเป็นภาษาน้ำเสียง ลักษณะน้ำเสียงเป็นลักษณะเด่นที่ทำให้ทั้งเสียงสระและพยัญชนะมีมาก กว่าภาษาตระกูลอื่น มีเสียงสระเดี่ยวถึง 2 ชุด ไม่มีเสียงวรรณยุกต์ เนื่องจากความสูงต่ำของเสียงไม่เป็นตัวการที่ทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนแปลง โครงสร้างพยางค์ในตำบลบางขันหมากมีพยางค์โดดและพยางค์รอง พยางค์หลักเป็นโครงสร้าง ใหญ่ ลักษณะการประกอบเสียงเป็นพยางค์มีพยางค์ปิดและพยางค์เปิดเช่นเดียวกับภาษาอื่น ๆ ธรรมชาติของคนมอญไม่ นิยมพูดเสียงกลางระดับ เสียงแต่ละพยางค์ไม่สม่ำเสมอกันมีลักษณะการเน้นหรือลงน้ำหนักไม่เท่ากัน การศึกษานี้มีข้อสังเกตเพิ่มเติม 3 ประการได้แก่ - ภาษามอญตำบลบางขันหมากมีลักษณะเด่นที่น้ำเสียง ทำให้หน่วยเสียงมาก ทำให้คำ ที่ใช้ในภาษาได้เพียงพอ - ภาษามอญไม่มีเสียงวรรณยุกต์ แต่มีคำใช้มากพอเพื่อทดแทนเสียงวรรณยุกต์โดยลักษณะน้ำเสียง - แม้ว่า ภาษามอญจะต่างตระกูลจากภาษา ไทย แต่มีส่วนคล้ายกันในเรื่องการเรียงคำเข้าในประโยคทั้งนี้อาจเนื่องจากเป็น ภาษาตระกูลคำโดดเหมือนกันโครงสร้างใหญ่ของประโยคจึงเป็นแบบประธานกริยา กรรมมอญ,ภาษา,ลพบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดลพบุรี ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=392
391บทความประเพณีของชาวไทยพวนสมพร ศรีพึ่งไทยพวนนับถือและยึดมั่นในพุทธศาสนาและมีขนบธรรมเนียมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนมาแต่โบราณ ประเพณีโดยมากเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ประเพณีต่างๆ ในปัจจุบันโดยมากยังคงยึดถือ บางประเพณีก็ได้ยกเลิกไปแล้ว บางประเพณีก็ทำแบบไม่ต่อเนื่องและบางประเพณีมีปฏิบัติกันเพียงบางจังหวัดเท่านั้นพวน ไทยพวน ไทพวน,ประเพณี,ลพบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดลพบุรี ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=391
390บทความกลุ่มชาติพันธุ์ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจารุวรรณ พุ่มพฤกษ์กลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดลพบุรี หากแบ่งแยกตามถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมสามารถจำแนกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่ประเทศลาวและกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่รามัญประเทศซึ่งอยู่ตอนใต้ของประเทศพม่า อาชีพของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันคือ การทำนา ทำสวนและเลี้ยงสัตว์ ทำเครื่องจักสานและทอผ้า (แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์จะมีรูปแบบ กรรมวิธีที่ต่างกัน) ส่วนการทำอิฐมีเฉพาะคนมอญเท่านั้น ในส่วนของประเพณี แต่ละชาติพันธุ์จะมีเอกลักษณ์ของตน โดยมากจะเป็นประเพณีตามความเชื่อทางศาสนาและความเชื่อของแต่ละกลุ่มชนพวน ไทยพวน ไทพวน,มอญ,ลาวแง้ว, ไทเบิ้ง,กลุ่มชาติพันธุ์,ประวัติศาสตร์,ประเพณี,ความเชื่อ,ลพบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดลพบุรี ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=390
389บทความความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับชาวไทยพวนวิเชียร วงศ์วิเศษ"พวน" เป็นชื่อเรียกของคนไทยสาขาหนึ่งซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่เมืองพวน แขวงเมืองเชียงขวาง ในประเทศลาว เหตุที่เรียกเมืองพวน มีข้อสันนิษฐานว่าตั้งอยู่ใกล้ภูเขาที่ชื่อว่า ภูพวน จึงเรียกคนที่ตั้งถิ่นฐานในเมืองนี้ว่า "พวน" นับถือพุทธศาสนา ภาษาของไทยพวน ใช้ภาษาไทยแท้ เสียงวรรณยุกต์ใกล้เคียงกับภาษาภาคกลางมากกว่าเสียงของชาวภาคอีสาน สมัยกรุงธนบุรีเมื่อประเทศลาวรวมอาณาจักรกับประเทศไทยจนถึงรัชกาลที่ 3 พลเมืองทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง รวมทั้งไทยพวน ได้ถูกกวาดต้อนมาทาง ฝั่งขวาของแม่น้ำโขงและได้กระจัดกระจายไปทั้งภาคอีสานและภาคกลางของประเทศพวน ไทพวน ไทยพวน,ประวัติความเป็นมา,ประเทศไทย,ประเทศลาวตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดลพบุรี ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=389
388บทความการเปลี่ยนแปลงลักษณะและความหมายของคำในภาษาพวนอุทัยวรรณ ตันหยงภาษาพวนเป็นภาษาหนึ่งในเจ็ดกลุ่มใหญ่ ได้สืบทอดมาจากยูนนาน-เชียงแสน มีผู้พูดกระจายทั่วไปทั้งในประเทศไทย ลาว พม่า เวียดนาม มาเลเซีย อินเดียและบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน การเปลี่ยนแปลงลักษณะและความหมายของคำในภาษาพวนที่สำคัญได้แก่ มีหน่วยเสียงพยัญชนะต้นเพิ่มมากขึ้น มีเสียงพยัญชนะควบกล้ำ เกิดการเปลี่ยนแปลงพยัญชนะท้าย (เสียงสะกด) ซึ่งแต่เดิมเป็นภาษาที่เป็นสระเสียงสั้นและมีเสียง (?) เป็นพยางค์ที่ประสมด้วยสระเสียงยาวและเสียง "ก"(k) ในบางคำจะเปลี่ยนเป็นเสียง "ช" (kh) โดยเฉพาะคำที่ออกเสียงตรงกับภาษาไทย ผู้ใช้ภาษาที่มีวัยต่างกันเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้การใช้ภาษาแตกต่างกันโดยอัตราการนำศัพท์อื่นมาใช้ร่วมกับคำศัพท์เดิมในปริมาณที่มากกว่าการใช้ศัพท์เดิม ศัพท์บางคำได้เลิกใช้แล้ว โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าภาษาทุกภาษาเป็นสิ่งมีชีวิตและเป็นธรรมชาติที่จะต้องเปลี่ยนแปลงเสมอทั้งนี้อาจมีสาเหตุหรือปัจจัยจากบริบททางสังคม ไม่ว่าจะเป็นสภาพที่ตั้งของชุมชน การประกอบอาชีพและค่านิยมที่ไม่ต้องการแตกต่างจากชนกลุ่มใหญ่ของสังคม เป็นต้นพวน ไทยพวน ไทพวน,ภาษา,ลพบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดลพบุรี ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=388
387บทความลาวโซ่งกับความเชื่อในพิธีศพโกศล แย้มกาญจนวัฒน์เน้นศึกษาถึงความเชื่อในการปฏิบัติ ในพิธีศพของคนลาวโซ่ง ที่ยังคงยึดถือกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,พิธีศพ,ราชบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=387
386บทความมอญบ้านบางขันหมาก จังหวัดลพบุรีภูธร ภูมะธนมอญบ้านบางขันหมาก จังหวัดลพบุรีมีมอญอาศัยอยู่ประมาณ 5,600 คน ปัจจุบันยังมีประเพณีและวัฒนธรรมบางประการที่ต่างจากชุมชนคนไทย โดยเฉพาะภาษาพูด ความเชื่อในเรื่องวิญญาณบรรพบุรุษและประเพณีเกี่ยวกับการทำมาหากิน ในส่วนของการแต่งกาย ที่อยู่อาศัย ปัจจุบันมีลักษณะไม่ต่างจากคนไทยในชนบท การเข้ามาอาศัยที่บ้านบางขันหมากของมอญ เข้าใจว่าอพยพมาจากชุมชนมอญอื่นในภาคกลางโดยมีแม่น้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกทำเลที่ตั้งหมู่บ้านมอญ,การอพยพ,การตั้งถิ่นฐาน,ลพบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดลพบุรี ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=386
385บทความกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวไทใหญ่ชายแดนไทยพม่า กรณีศึกษา หมู่บ้านเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่วันดี สันติวุฒิเมธีความเป็นชาติพันธุ์ของไทใหญ่เปียงหลวงเป็นสำนึกที่ถูกสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไทใหญ่บ้านเปียงหลวงเป็นผู้เลือก
อัตลักษณ์ต่าง ๆ ได้แก่ การหยิบยกบุคคลและเหตุการณ์ที่สร้างจิตสำนึกที่สร้างความเป็นชาติ การสืบทอดอัตลักษณ์
ทางภาษาและวัฒนธรรมไต การผลิตสื่อทางการเมืองในรูปของบทเพลง และสิ่งพิมพ์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง ใน
ขณะเดียวกันก็มี อัตลักษณ์ที่ถูกทำให้พร่ามัว ได้แก่ การสัก การผลิตอัตลักษณ์ของไทใหญ่บ้านเปียงหลวงเป็น
การขีดเส้นพรมแดนทางชาติพันธุ์ของตนให้ชัดเจน เพื่อแสดงออกถึงสำนึกที่มีต่อชาติพันธุ์ตนเอง และต่อต้านนโยบาย
"ทำให้เป็นพม่า" ไทใหญ่ บ้านเปียงหลวงได้เลือกอัตลักษณ์มากมายขึ้นมาใช้จำแนกตนเองออกจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น
(หน้า 206)ไทใหญ่,อัตลักษณ์,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=385
384วิทยานิพนธ์การปรับตัวเชิงวัฒนธรรมระหว่างการเข้าพักรักษาในโรงพยาบาลของผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิมวรรณฤดี ชินช่วยแรงการศึกษาครั้งนี้ถือเป็นกรณีทางวัฒนธรรมศึกษา ที่เกิดขึ้นในสังคมขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลายของกลุ่มคน ซึ่งแต่ละกลุ่ม มีวัฒนธรรมเฉพาะที่ตอบสนองการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน บางครั้งวัฒนธรรมบางอย่างก็อาจไม่สอดคล้องกัน ดังนั้น เมื่อเป็นความจำเป็น มนุษย์จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปรับตัวระหว่างวัฒนธรรมได้ ผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิมมีการปรับตัวเชิงวัฒนธรรม ทุกด้านอยู่ในระดับปานกลาง มีการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมในด้านการตรวจวินิจฉัยโรคดีกว่าด้านอื่นๆ นอกจากนั้น ยังพบว่า ลักษณะทางประชากรรวมทั้งประสบการณ์ความเจ็บป่วยมีผลต่อการปรับตัวในระหว่างการเข้าพักรักษาในโรงพยาบาลของผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิม โดยมีปัจจัยที่สามารถพยากรณ์การปรับตัวได้ดีคือ อายุ จำนวนปีที่ศึกษาสายสามัญ สถานภาพสมรส ความสามารถในการใช้ภาษาไทย การพักรักษาในแผนกศัลยกรรมโรคและอาการเจ็บป่วยในครั้งนี้ และจำนวนครั้งที่เคยเข้าพักรักษาในโรงพยาบาลรอบปีที่ผ่านมา โดยสามารถร่วมกันอธิบายความผันแปรการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมได้ร้อยละ 37.33 โดยผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิมที่มีอายุน้อย ผ่านการศึกษาสายสามัญ สถานภาพโสดหรือคู่และสามารถใช้ภาษาไทยได้ดีจะมีแนวโน้มที่จะมีการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมได้ดีกว่ากลุ่มผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิมสูงอายุ ไม่ได้ผ่านการศึกษาสายสามัญ มีสถานภาพการหย่าร้างและไม่สามรถใช้ภาษาไทยได้เลย ส่วนปัจจัยทางด้านการศึกษาสายศาสนา จำนวนบุตร อาชีพและภูมิลำเนาในปัจจุบัน ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ไม่สามรถสรุปความสัมพันธ์ได้ชัดเจนนัก การศึกษาครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นว่าความเชื่อบางประการ ของวัฒนธรรมท้องถิ่น อาจเป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวในระหว่างการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลแม้จะมิใช่ข้อกำหนดของศาสนาโดยตรง ดังนั้น การพิจารณาวัฒนธรรมเฉพาะท้องถิ่นร่วมกับวัฒนธรรมอิสลาม จึงอาจมีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบบริการในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยมุสลิมให้ดียิ่งขึ้นต่อไปได้ไทยมุสลิม,วัฒนธรรม,การรักษาพยาบาล,การปรับตัว,ปัตตานีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=384
383วิทยานิพนธ์วงปี่ไม้แมน : ดนตรีในพิธีเสนของชาวลาวโซ่ง ในอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรีอัมรินทร์ แรงเพ็ชรวงปี่ไม้แมน เป็นดนตรีใช้บรรเลงประกอบพิธีเสน ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทเป่าเท่านั้น ในขณะที่บรรเลงมีการขับบทสวดของหมอมดควบคู่ไปด้วย วงปี่ไม้แมนถูกใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารกับผีในพิธีเสน พิธีดังกล่าวมีบทบาทหน้าที่ในการตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางด้านความมั่นคงทางจิตใจ เป็นเครื่องมือในการปลูกฝังจริยธรรม ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและระดับสังคม เป็นสัญลักษณ์ในการแสดงชนชั้นทางสังคม ก่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคมโซ่งภายใต้การนับถือผีเดียวกัน ปัจจุบันพิธีเสนและวงปี่ไม้แมนเริ่มลดบทบาทลง เนื่องจากการรับเอาวัฒนธรรมและค่านิยมแบบสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันมากขึ้น ประกอบกับวงปี่ไม้แมนเป็นดนตรีสำหรับประกอบพิธีกรรมเท่านั้น ในเวลาปกติจะนำมาใช้มิได้ นักดนตรีต้องมีสถานภาพพิเศษคือ "หมอมด" ดังนั้น จึงเป็นข้อจำกัดของการสืบทอด ภาวะการณ์ดังกล่าวอาจทำให้วงปี่ไม้แมนสูญหายไปจากสังคมของลาวโซ่งได้ในอนาคตลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ดนตรี,พิธีเสนเรือน,เพชรบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=383
382วิทยานิพนธ์รำมอญเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรีบุญศิริ นิยมทัศน์รำมอญ 12 เพลง ตำบลเกาะเกร็ด เป็นการรำของชนเชื้อสายมอญซึ่งอพยพมาจากมอญในสมัยกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ นิยมรำในพิธีกรรม ประเพณีเพื่อบูชาบรรพบุรุษ ในการรำไม่จำกัดอายุและจำนวนของผู้รำ โครงสร้างท่ารำมีการใช้ศีรษะ ลำตัว มือและแขน การใช้เท้าและการใช้ศีรษะ 3 แบบคือเอียงขวา เอียงซ้ายและหน้าตรง การใช้ลำตัวมี 2 แบบคือลำตัวตรง ลำตัวโน้มเอียงข้างเดียว การใช้มือมี 4 แบบคือ มือแบ มือจีบแบบไทย มือตั้งวงแบบโดยใช้นิ้ว การตั้งวงมี 5 แบบคือ วงกลาง วงหน้า วงล่าง วงพิเศษและวงบัวบาน การใช้เท้ามี 6 แบบคือ ก้าวเท้า กระทุ้งเท้า ตบเท้า แตะเท้า ย่ำเท้าและเขยิบเท้า รูปแบบของการรำจะรำท่าเดียวประจำ แต่ละเพลงมีชื่อท่ารำประจำเพลงโดยไม่มีการขับร้อง ใช้วงปี่พาทย์มอญบรรเลงทั้ง 12 เพลง ก่อนเริ่มและเมื่อรำจบเพลงจะต้องนั่งกราบ เพื่อเป็นการคาราวะ การเคลื่อนที่ของท่ารำมอญอยู่ในท่า 50-75 เซนติเมตร การแต่งกายจะใช้ชุดประจำชาติมอญ ใช้สไบตามโอกาสของงาน ใช้ผู้แสดง 4-12 คนขึ้นไป จัดแสดงในตอนบ่ายหรือตอนค่ำใช้เวลารำไม่เกิน 1 ชั่วโมง สถานที่สำหรับรำเป็นลานกว้างหน้าบริเวณที่จัดงานมอญ,รำมอญ,เกาะเกร็ด,นนทบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=382
381รายงานการวิจัยวิถีชีวิตของชาวไทญ้อในอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วศิริกมล สายสร้อยผู้วิจัยได้ศึกษาวิถีชีวิตของไทญ้อ ตำบลคลองน้ำใส อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ศึกษาข้อมูลทั้งจากทางเอกสาร และออกภาคสนามเก็บข้อมูล ไทญ้อ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ไท-ลาว อพยพมาจากเวียงจันทร์และท่าอุเทน เข้ามาอยู่ในประเทศกัมพูชา มีปัญหาเรื่องดินแดนจึงอพยพมาอยู่ตามแนวชายแดนไทย วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อและรูปแบบการดำรงชีวิต คล้ายกับไท-ลาวทั่วไป ต่างกันที่สำเนียงในการออกเสียง พูดภาษาญ้อ ไม่มีภาษาเขียน เป็นครอบครัวขยาย มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ประกอบอาชีพเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์และทอผ้า เพื่อยังชีพ ยกเว้นพืชไร่ แต่งกายตามกาลเทศะ โอกาส เพศและวัย ทานข้าวเจ้าเป็นหลัก นับถือศาสนาพุทธแต่ยังมีพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการไหว้ผี ปัจจุบันสร้างบ้านแบบครึ่งตึกครึ่งไม้ มุงด้วยหลังคากระเบื้อง มีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทันสมัยมากขึ้น มีการวางแผนครอบครัวทำให้ขนาดของครอบครัวเล็กลง ในตำบลคลองน้ำใสมี 5 โรงเรียน เด็ก ๆ เรียนต่อในระดับมัธยมมากขึ้น มีสถานีสาธารณสุขตำบล ระบบน้ำประปาและน้ำบาดาลใช้แทนน้ำจากคลองญ้อ ย้อ ญ่อ โย้,ไทญ้อ,วิถีชีวิต,สระแก้วตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสระแก้ว ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=381
380หนังสือภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นชาวลาวโซ่ง บ้านดอนมะเกลือ ตำบลดอนมะเกลือ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีมานิตา เขื่อนขันธ์โซ่งในอำเภออู่ทองมีทั้งสิ้น 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลบ้านดอน ตำบลดอนมะเกลือ และตำบลสระยายโสม โดยอพยพมาจากจังหวัดเพชรบุรีเมื่อประมาณ 100 กว่าปีที่ผ่านมา ปัจจุบัน ยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนไว้ได้อย่างดี แต่มีวัฒนธรรมบางประการที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมใหม่ได้อย่างราบรื่น ลักษณะการแต่งกาย ทรงผม รูปแบบการสร้างเรือนเริ่มสูญหายมาก แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยคือความเชื่อเรื่องผี การนับถือผีบรรพบุรุษ อันเป็นจุดรวมช่วยควบคุมรักษาความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในสังคมกลุ่มชนของตนให้ปฏิบัติในสิ่งเดียวกัน และก่อให้เกิดความสำนึกร่วมกันเป็นชุมชนเดียวกัน ในอนาคตประเพณีและวัฒนธรรมของโซ่งคงจะคลี่คลายกลายลง และอาจถูกวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลทำให้เปลี่ยนแปลง เพราะหนุ่มสาวโซ่งปัจจุบันได้หันความสนใจเปิดรับวัฒนธรรมของสังคมภายนอกไปปฏิบัติเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตบ้างแล้วลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ภาษา,วัฒนธรรม,สุพรรณบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสุพรรณบุรี ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=380
379หนังสือโลกทัศน์ของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย : ความเชื่อเรื่องผีของไทยโซ่งเรณู เหมือนจันทร์เชยปัจจัยหนึ่งที่สามารถดำรงเอกลักษณ์ของโซ่งไว้ได้คือ ความผสมกลมกลืนระหว่างความเชื่อดั้งเดิมเรื่องผี พุทธศาสนาและพราหมณ์เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีข้อโต้แย้งและไม่ขัดต่อหลักปฏิบัติ ส่วนการนับถือศาสนาคริสต์นั้นมีข้อห้าม คือต้องเลิกการนับถือผีทำให้ไทยโซ่งนับถือน้อย สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงโลกทัศน์ที่เริ่มเปลี่ยนไปจากของเดิม มีการยอม รับสิ่งใหม่ที่เห็นว่าดี โดยมิได้ทำให้ความเชื่อและพิธีกรรมในการนับถือผีเสียหายหรือลดบทบาทลง ไทยโซ่งได้เลือกสรร ปรับปรุงและพัฒนาให้เหมาะสมกับภาวะปัจจุบันลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ความเชื่อ,พิธีกรรม,นครปฐมตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=379
378วิทยานิพนธ์การสืบทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับระบบการทำไร่หมุนเวียนของชุมชนเผ่ากะเหรี่ยงประเสริฐ ตระการศุภกรขั้นตอนการทำไร่หมุนเวียน แต่ละขั้นมีภูมิปัญญาเชิงอนุรักษ์และเทคโนโลยีพื้นบ้านเกื้อหนุนอยู่ก่อให้เกิดระบบพึ่งพาระหว่างคนและธรรมชาติอย่างสมดุล ในการปะทะสังสรรค์กับวัฒนธรรมจากภายนอกและฟื้นฟูวัฒนธรรมของตนมาใช้อย่างเหมาะสม สร้างคนรุ่นใหม่ให้เป็นคนสองวัฒนธรรม หลังจากมีการกระตุ้นให้รื้อฟื้นวัฒนธรรมของทั้ง 3 หมู่บ้านและมีการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น ส่วนที่ยังคงแตกต่างกันคือ หมู่บ้านขุนวินอาศัยรูปแบบเดิมเป็นหลักพึ่งตนเองสูง ทำไร่หมุนเวียนเกือบทุกครอบครัว มีความสัมพันธ์แบบเครือญาติ เชื่อในคุณค่าของธรรมชาติส่วนอีกสองหมู่บ้านใช้รูปแบบที่ผสมผสานระหว่างเก่าและใหม่ มีความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน แต่คนสูงวัยยังเชื่อในคุณค่าของธรรมชาติอยู่ หมู่บ้านห้วยหอยมีการทำไร่หมุนเวียนอยู่บ้างแต่ไม่เต็มรูปแบบ หมู่บ้านทุ่งหลวงเกือบไม่ทำไร่หมุนเวียนเลย ซึ่งความต่างของทั้ง 3 หมู่บ้านอธิบายได้จาก 3 ปัจจัยคือ การคมนาคม การรับเกษตรแผนใหม่และความเชื่อทางศาสนา ปัจจัยที่ทำให้เกิดความยั่งยืนของการสืบทอดคือ องค์ความรู้ที่ใช้ระบบความเชื่อที่มีร่วมกันระหว่างชนเผ่า การสืบทอดที่มีประสิทธิภาพ โครงสร้างความสัมพันธ์ทั้งในระบบครอบครัว เครือญาติและชุมชน การเสริมแรงทางด้านความคิดจากนักพัฒนาและนักวิชาการควรจะเปิดเป็นเวทีสำหรับวัฒนธรรมต่างๆ ได้มาปฏิสัมพันธ์กัน รัฐควรตระหนักในศักยภาพของชุมชนบนที่ราบสูงในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและศึกษาเชิงทดลองเพื่อขยายผลเพื่อให้นโยบายการรักษาป่าของรัฐมีความยั่งยืน รัฐพึงปรับปรุงการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นเพื่อสร้างคนสองวัฒนธรรม สื่อมวลชนต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการทำไร่หมุนเวียนเพื่อเสนอภาพลักษณ์ของการทำเกษตรของชุมชนบนที่ราบสูงอย่างถูกต้องตามข้อเท็จจริงปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การสืบทอดความรู้,ไร่หมุนเวียน,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=378
377รายงานการวิจัยการสำรวจภาวะทางสังคมและเศรษฐกิจของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง บ้านพระบาทห้วยต้ม ต.นาทราย อ.ลี้ จ.ลำพูนจันทบูรณ์ สุทธิ, สุทธิพงษ์ โพธิสว่าง และ สมศักดิ์ พัวพันธุ์การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานทางด้านสังคมและเศรษฐกิจของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงบ้านพระบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน โดยผ่านการเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามเกี่ยวกับประชากรและเศรษฐกิจในช่วงเดือน ธันวาคม 2521 - มกราคม 2522 ผลจากการศึกษาพบว่า ภาวะทางสังคม บ้านพระบาทห้วยต้ม แม้ว่าการปกครองจะขึ้นตรงกับทางราชการแต่ก็ยังมีผู้นำชุมชนที่ถือเอาระบบอาวุโสอยู่ด้วย ทั้งนี้ชุมชนกะเหรี่ยงแห่งนี้ถือว่ามีความผูกพันกับศาสนาพุทธ เพราะความศรัทธาในตัวครูบาวงศ์ ที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาชุมชนเป็นอย่างมากทั้งในด้านการศึกษา การประกอบอาชีพ รวมทั้งเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยควบคุมความเป็นระเบียบภายในชุมชนโดยยึดถือหลักของศาสนา และจากการจัดตั้งโรงเรียนของคนในหมู่บ้านและความช่วยเหลือของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ทำให้คนในหมู่บ้านเรียนรู้ภาษาไทยสามารถอ่านออกเขียนได้มากขึ้น ภาวะทางเศรษฐกิจ - การเกษตรถือเป็นอาชีพหลักของกะเหรี่ยง โดยเป็นการทำไร่ข้าวและทำนาดำ แม้ว่ารายได้รวมต่อปีจะได้ไม่มากเท่ากับการรับจ้าง ซึ่งบางคนยึดเอาเป็นอาชีพหลัก หรือบางคนก็รับจ้างเป็นอาชีพเสริม แต่ทั้งนี้เกือบทุกครัวเรือนยังมีการปลูกพืชผักสวนครัวและไม้ผล เพื่อบริโภคในครัวเรือนเป็นสำคัญอีกด้วย จากที่กะเหรี่ยงในบ้านพระบาทห้วยต้มเป็นพวกมังสวิรัติ จึงไม่มีการเลี้ยงสัตว์เพื่อบริโภคหรือแม้แต่ไว้ขาย จะมีเพียงเลี้ยงวัว ควายและช้างไว้ใช้งานเท่านั้น ในรอบปี 2521 หน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาได้เข้าไปช่วยการพัฒนาในด้านต่างๆ แก่กะเหรี่ยงทั้งการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ เช่น การเพิ่มผลผลิต การปลูกพืชบำรุงดิน การปรับปรุงพันธุ์พืช การพัฒนาแหล่งน้ำ การจัดตั้งธนาคารข้าว เป็นต้น นอกจากนี้ยังส่งเสริมการพัฒนาด้านสังคม ผ่านการพัฒนาด้านการศึกษา การฝึกอบรมวิชาชีพ การสร้างผู้นำชุมชน การจัดตั้งคณะกรรมการหมู่บ้าน ควบคู่กับการพัฒนาด้านอนามัย ซึ่งการพัฒนาทางด้านสังคมและเศรษฐกิจที่ดำเนินการโดยหน่วยนั้น ได้จัดลำดับความสำคัญก่อนหลังการพัฒนา โดยยึดหลักความต้องการและปัญหาของชุมชนเป็นหลักปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),วิถีชีวิต,สังคม,เศรษฐกิจ,ลำพูนตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2522ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=377
376วิทยานิพนธ์ศึกษานิทานชาวบ้านของชาวไทยมุสลิมในอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาจำรัส พรุเพชรแก้วงานชิ้นนี้เกี่ยวกับการศึกษาจริยธรรมที่ปรากฏในนิทานชาวบ้านของไทยมุสลิมใน อ.จะนะ จ.สงขลา ได้สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิต ทางด้านจริยธรรมของชาวบ้านทั้งสำหรับต่อตนเอง ได้แก่ ความรอบรู้ ความอดทน ความมีจิตสำนึก ความมีเหตุผล และความอุตสาหะ และจริยธรรมสำหรับปฏิบัติต่อผู้อื่น ได้แก่ ความซื่อสัตย์ ความมีมนุษยสัมพันธ์ ความเสียสละ ความรับผิดชอบ โดยนิทาน 116 เรื่องที่ได้รวบรวมนั้นถูกจัดแบ่งตามประเภท ดังนี้ นิทานอธิบาย (รวม 3 ประเภทย่อย 60 เรื่อง ได้แก่ นิทานภูมินาม นิทานเกี่ยวกับธรรมชาติ และนิทานเค้าเรื่องจริง) และนิทานประโลมโลก (รวม 2 ประเภทย่อย 77 เรื่อง ได้แก่ นิทานเกี่ยวกับส่งเหนือธรรมชาติ และนิทานเลียนแบบวิถีชีวิต) นอกจากนั้นนิทานต่างๆ ยังเกี่ยวข้องกับประเด็นต่างๆ ทั้งในด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ ด้านการศึกษา ด้านการประกอบอาชีพ ด้านการปกครอง ด้านประเพณี และด้านการคมนาคม ซึ่งในทุกประเด็นดังกล่าวต่างสะท้อนออกมาในนิทานที่ถือว่าสอดคล้องกับวิถีชีวิตของไทยมุสลิมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งนิทานเหล่านี้ยังเป็นเครื่องมือในการกำหนดและควบคุมพฤติกรรมของชาวบ้าน ผ่านการเล่าและปลูกฝังตั้งแต่เด็ก เพื่อให้เด็กได้รู้หน้าที่ของตนเอง และรู้จักกฎระเบียบในการอยู่ร่วมกันของสังคมมุสลิม ความเชื่อ นิทานชาวบ้าน สงขลาตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสงขลา ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=376
375ปริญญานิพนธ์การศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการด้านการศึกษานอกโรงเรียนของชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยงในจังหวัดกาญจนบุรีจินตนา สังวรณ์การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาสภาพและความต้องการทีเกี่ยวกับการศึกษานอกโรงเรียนรวมทั้งความคิดเห็นของประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติงานในชุมชนกะเหรี่ยงในเขต 4 หมู่บ้านของ จ.กาญจนบุรี ผลการศึกษาพบว่า สภาพของหมู่บ้านเป้าหมายใน 4 หมู่บ้านมีครัวเรือนทั้งหมด 187 ครัวเรือน ด้านที่ดินทำกินทุกครัวเรือนไม่มีสิทธิ์เอกสารสิทธิ์ในที่ดิน เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนฯและพื้นที่อนุรักษ์ฯ และยังไม่มีไฟฟ้าใช้ สภาพบ้านเรือนโดยมากไม่ค่อยคงทน และสร้างด้วยวัสดุธรรมชาติ เช่น มุงหลัง คาด้วยหญ้าคา อาชีพหลักนั้นคือการทำไร่ข้าว เพื่อบริโภคเป็นหลัก ทั้งนี้ยังมีพืชเสริมจำพวกพืชไร่ระยะสั้น ด้านสาธารณสุขจะมีการจัดกองทุนยาและเวชภัณฑ์หมู่บ้าน และมีหน่วยงานของตำรวจตระเวนชายแดนชุดพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาเข้ามาช่วยเหลือด้านการศึกษา กะเหรี่ยงส่วนใหญ่จะจบในระดับ ป.4 แต่ก็มีบางส่วนที่เรียนไม่จบ ส่วนกิจกรรมการฝึกอบรมนอกโรงเรียนได้แก่ เรื่องด้านความมั่นคงของชาติ ด้านอาชีพ ด้านศึกษา และด้านสุขภาพ ทั้งนี้สรุปปัญหา ที่สำคัญของทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ 1.ปัญหาน้ำเพื่อการเกษตร 2.ปัญหาผลผลิตจากการทำไร่ 3.ปัญหาสุขภาพและอนามัย 4.ปัญหาสุขลักษณะในหมู่บ้าน 5.ปัญหาขาดการให้บริการความรู้ของรัฐ 6.ปัญหาเรื่องระดับการศึกษาของประชาชน สำหรับข้อเสนอแนะแนวคิดในการจัดการศึกษา ใน 7 ประเด็น คือ 1.การพัฒนาความรู้พื้นฐาน 2.การพัฒนาด้านข่าวสารข้อมูล 3.การพัฒนาด้านอาชีพ 4.ช่วงเวลาในการจัดกิจกรรมทางการศึกษานอกโรงเรียน 5.การพัฒนาด้านเทคโนโลยี 6.การพัฒนาองค์กรท้องถิ่น 7.การพัฒนาระบบการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การศึกษานอกโรงเรียน,กาญจนบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=375
374บทความNorth Thailand : Hill and Valley, Hillmen and Lowlanders.Walker, Anthony R.เนื้อหาครอบคลุม วิถีการผลิตด้านเกษตรกรรม วัฒนธรรม ความเชื่อ โครงสร้างสังคม - การเมือง ของคนบนที่สูง (hill people) และคนพื้นราบ (valley) ภาคเหนือของไทย บนพื้นที่สูงทางเหนือของไทยเป็นที่อยู่ของชุมชนหมู่บ้านจำนวนมากของชาติพันธุ์ที่มีอัตลักษณ์แตกต่างกัน ไม่ได้แยกออกเป็นเขต ๆ ที่อยู่กันเฉพาะชาติพันธุ์ บ้านเกษตรกรภาคเหนือ จะสร้างบ้านบนเสา ทำนาดำ ปลูกผัก ยาสูบ ถั่วลิสง เลี้ยงสัตว์และค้าขาย ชาวเหนือสืบทอดตระกูลทางแม่ (matriclans) นับถือผีและศาสนาพุทธ เป็นส่วนใหญ่ คนบนที่สูงส่วนใหญ่จะแบ่งแยกตัวเองตามกลุ่มวัฒนธรรมย่อยเฉพาะ สร้างบ้านด้วยไม้และไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคาหรือใบจาก บางกลุ่มสร้างบ้านแบบมีเสายกใต้ถุนสูงตามแบบคนพื้นราบ ทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา ปลูกข้าวไร่ ข้าวโพด ฝิ่น และพืชเสริม เช่น ผัก ยาสูบ เป็นต้น หาของป่า และเลี้ยงสัตว์ องค์กรสังคมมีความหลากหลายเป็นไปตามอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ ชุมชนบนเขาส่วนใหญ่นับถือผี มีบ้างที่นับถือศาสนาพุทธหรือศาสนาคริสต์ม้ง, เมี่ยน, ลีซู, ลาหู่, ลเวือะ, ลัวะ,ขมุ,ชาวเขา,คนพื้นราบ,ประวัติ,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,วิถีการผลิต,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2518ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=374
373บทความMeo Death CustomsTan Chee Bengมีเนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องการตาย พิธีกรรมและความเชื่อเรื่องการฝังศพของม้ง โดยเน้นที่พิธีของม้งดอก และการจัดพิธีศพของม้งบ้าน Pa Khia อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ม้งมีความเชื่อว่า ขวัญ (spiritual essence) หรือวิญญาณ (soul) จะแยกออกเป็น 3 ดวง ดวงหนึ่งอยู่ในแดนของผู้ตายหรือสวรรค์ อีกดวงอยู่ข้าง ๆ หลุมฝังศพ ส่วนอีกดวงไปเกิดใหม่ ฉะนั้น การที่วิญญาณของผู้ตายได้รับการชี้ทางที่ถูกต้องไปสู่ดินแดนของคนตาย และได้รับการปกป้องจากวิญญาณร้ายเป็นเรื่องสำคัญม้ง,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,พิธีศพ,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2518ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=373
372บทความTwo Blue Meo Communities in North ThailandWalker, Anthony R.มีเนื้อหาเน้นสภาวะเศรษฐกิจ - สังคมของม้งรวมทั้งนโยบายพัฒนาของรัฐบาล โดยเน้นการศึกษาที่บ้านผาปู่จอม ดอยเชียงดาว แม่แตง และบ้าน Pa Khia อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ม้งบ้านผาปู่จอม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตตามจารีตในสถานการณ์ที่ขาดแคลนปัจจัยการผลิต ทำให้ผลผลิตในพืชผลลดต่ำลง และผลจากการขาดแคลนพื้นที่ป่าทำให้การทำไร่ข้าวและฝิ่นไม่ได้ผล ก่อความยากจนเรื้อรัง ส่งผลให้ม้งที่เคยรักอิสระ ต้องไปเป็นแรงงานในไร่ชา ในปี ค.ศ.1970 รัฐบาลใช้หมู่บ้านผาปู่จอมเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้านนำร่อง 5 ปี "โครงการพัฒนาเฉพาะพื้นที่" แต่เวลายังสั้นเกินกว่าจะประเมินผลได้ บ้าน Pa Khia มีความอุดมสมบูรณ์กว่า มีข้าวเป็นอาหารหลัก มีฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจ มีมันฝรั่งเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับสองรองจากฝิ่น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่มีที่ดินป่าให้เคลื่อนย้ายได้อีก ม้งบ้าน Pa Khia ได้พัฒนาการปลูกพืชหมุนเวียนในไร่ โดยเพาะปลูก 1 ปี แล้วปล่อยให้ไร่ว่าง 4 หรือ 5 ปีเพื่อปลูกฝิ่น และปล่อยที่ดินให้ว่างอีก 6 - 8 ปีเพื่อปลูกข้าว แต่วงจรนี้ก็ไม่ได้ถือปฏิบัติเสมอไป ส่งผลให้ป่าไม่สามารถเกิดขึ้นมาใหม่ได้ในผืนดินที่ปล่อยว่างเพื่อการฟื้นฟู ผู้เขียนให้ความเห็นว่า เทคนิคการทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผาตามจารีตของม้งไม่ว่าจะมีการปรับปรุงอย่างไร ก็จะไม่สามารถรับมือกับแรงกดดันของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นในขณะที่พื้นดินที่อุดมสมบูรณ์มีน้อยลง การเปลี่ยนแปลงเทคนิคการเกษตรจำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสร้างและสถาบันทางสังคมด้วยม้ง, ประวัติ, เศรษฐกิจ, สังคม, นโยบายพัฒนาของรัฐ, เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2518ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=372
371บทความThe Meo People : An IntroductionJaafar, Syed Jamalมีเนื้อหาครอบคลุม วิถีการผลิตด้านเกษตรกรรม วัฒนธรรม ความเชื่อ องค์กรสังคม - การเมือง และนโยบายของรัฐบาลต่อชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ม้งบนเขาม้ง,ประวัติ,วัฒนธรรม,โครงสร้างสังคม,การเมือง,วิถีการผลิต,นโยบายของรัฐ,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2518ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=371
370บทความCentral Government and Tribal” Minorities: Thailand and West Malaysia ComparedTan Chee Bengมีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลกลางของทั้งประเทศไทยและมาเลเซียที่นำไปใช้กับชนกลุ่มน้อยที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ และยังได้เปรียบเทียบนโยบายของทั้งสองประเทศ โดยมุ่งเน้นไปที่นโยบายที่ใช้กับชนกลุ่มน้อยชาวเขาทางภาค เหนือของไทย และชนกลุ่มน้อย Orang Asli ทางตะวันตกของมาเลเซีย ทั้งในประเทศไทยและในมาเลเซีย เริ่มแรกที่มีความสนใจต่อ "ชาติพันธุ์" (tribal) ที่เป็นชนกลุ่มน้อย ไม่ใช่เพื่อเหตุผลทางมนุษยชน (humanitarian) แต่เป็นการตอบสนองแรงกดดันทางการเมือง และในทั้งสองประเทศมีความพยายามให้ชนกลุ่มน้อย "ชาติพันธุ์" มีการตั้งถิ่นฐานใหม่ตามที่รัฐจัดให้ ในประเทศไทยการพยายามย้ายถิ่นฐานชาวเขาให้อยู่ในนิคมไม่ประสบผลสำเร็จ รัฐบาลจึงหันมาใช้นโยบายทำให้ชุมชนชาวเขาในแหล่งที่อยู่เดิมบนเขาเกิดเสถียรภาพ โดยมีโครงการพัฒนาเคลื่อนที่เข้าไปดำเนินการด้านต่าง ๆ ในหมู่บ้าน เช่น การศึกษา สุขภาพ การเกษตร และการเมือง เป็นต้น นโยบายของรัฐบาลไม่ใช่การกลืนกลาย แต่เป็นการบูรณาการ คือชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยจะรักษาขนบประเพณีและศาสนาของตนไว้ได้นานเท่าที่ยังจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และปฏิบัติตามกฏหมายของประเทศ ส่วนมาเลเซีย ในระยะเริ่มแรกประสบความล้มเหลว แต่ภายหลังด้วยการวางแผนปฏิบัติอย่างระมัดระวัง การให้ Orang Asli ย้ายถิ่นฐานค่อนข้างประสบความสำเร็จในบางพื้นที่ ส่วน Orang Asli ที่อยู่ในป่า รัฐส่งคนเข้าไปในป่าให้การช่วยเหลือเป็นพิเศษในเรื่องของยารักษาโรค การศึกษา การพัฒนาชนบท ฯลฯ ทำให้รัฐบาลสามารถชนะใจได้รับความจงรักภักดีจาก Orang Asli อีกทั้งมาเลเซียมีการจัดตั้งองค์กร Department of Orang Asli Affairs เพื่อบริหารจัดการเกี่ยวกับ Orang Asli โดยเฉพาะตั้งแต่ต้น ๆ (ซึ่งต่างจากไทย) และให้การยอมรับขนบประเพณีของ Orang Asli ว่าจะต้องได้รับการเคารพ หากพวกเขาเคารพขนบประเพณีของชุมชนชาติพันธุ์อื่น ๆ ในประเทศชนกลุ่มน้อย,นโยบายรัฐ,ไทย,มาเลเซียตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2518ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=370
369บทความThe Akha of Huai San : A NoteWalker, Pauline H.พรรณนาถึงสภาพแวดล้อมทางกายภาพและชีวิตประจำวันของอาข่า (Akha) บ้าน Huai San จังหวัดเชียงราย ทางเข้าหมู่บ้านมีประตูหมู่บ้านเป็นประตูพิธีกรรม บ้านยกใต้ถุนสูง ชีวิตประจำวันเวลาส่วนใหญ่จะทำงานในไร่ อาข่าปลูกข้าวไร่เป็นหลัก ไม่ปลูกฝิ่น ได้รับเลือกเข้าร่วมโครงการพัฒนาบนที่สูงของรัฐบาลอาข่า,สภาพแวดล้อม,วิถีชีวิต,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2518ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=369
368บทความThe Akha People : An IntroductionJaafar, Syed Jamal and Walker, Anthony R.มีเนื้อหาครอบคลุม วัฒนธรรม ความเชื่อ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ของชาติพันธุ์อาข่าในภาคเหนือของไทย โดยเน้นเรื่องโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรม - ความเชื่อของอาข่า บรรพบุรุษของอาข่าในพม่า ลาว และไทย มาจากยูนนานของจีน อาข่านิยมตั้งบ้านเรือนบนสันเขาอยู่สูง 1,200 เมตรหรือมากกว่า ทำการเกษตรแบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา ปลูกข้าวไร่เป็นพืชยังชีพหลัก และพืชเสริม เช่น ข้าวโพด อ้อย งา ถั่วลิสง ยาสูบ และผักชนิดต่าง ๆ ปลูกฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก สังคมอาข่า แบ่งเป็นตระกูล ๆ ที่สืบตระกูลทางพ่อ ชายที่สูงอายุที่สุดเป็นหัวหน้าครัวเรือน ในระดับหมู่บ้านมีหัวหน้าหมู่บ้าน และบางครั้งอาจมีผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้านจำนวนหนึ่ง ปกครองดูแล หัวหน้าหมู่บ้านอาจจะสืบทอดตำแหน่งสู่ทายาทหรือได้รับเลือกมาโดยคณะผู้อาวุโสของหมู่บ้าน อาข่านับถือผี หมู่บ้าน จะมีสถานที่และสิ่งปลูกสร้างศักดิ์สิทธิ์ เช่น ประตูหมู่บ้าน สุสานฝังศพ ชิงช้าพิธี แหล่งน้ำ และแท่นบูชาเจ้าที่ (spirit of the locality) เป็นต้น พิธีกรรมของหมู่บ้าน จะนำโดยนักบวชของหมู่บ้าน (village priest หรือ dzon ma) นักบวชของหมู่บ้านเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในหมู่บ้านอาข่า,ประวัติ,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,เศรษฐกิจ,สังคม,การเมือง,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2518ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=368
367บทความ1. The Pwo Karen village of Dong Luang : Some Notes and Impressions (97-100) 2. Karen Swiddening Techniques (101-107)Rashid, Mohd. Razhaมีเนื้อหาครอบคลุม วิถีการผลิตด้านเกษตรกรรมของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (Karen) เช่น วิธีการทำไร่และอนูรักษ์ดิน โดยมีวงจรการปล่อยให้ที่ดินว่างเว้นจากการเพาะปลูกเพื่อการฟื้นฟู สิทธิครอบครองและการจัดการที่ดินเพื่อการเพาะปลูกของคนในชุมชน เทคนิคการทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา (swidden) และวงจรการเพาะปลูกประจำปี เป็นต้น โดยผู้เขียนเน้นที่กะเหรี่ยงโปว์ (Pwo) และกะเหรี่ยงสะกอ (Sgaw) เป็นส่วนใหญ่ ผู้เขียนมีข้อสรุปว่า กะเหรี่ยงได้ปฏิบัติด้วยวิธีการต่างๆ มาอย่างยาวนานเพื่อให้การเพาะปลูกแบบตัดต้นไม้แล้วเผามีความยั่งยืน แต่การเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ ที่ดินลดน้อยลง คุกคามระบบเศรษฐกิจตามจารีตของกะเหรี่ยง บีบบังคับให้กะเหรี่ยงต้องยกเลิกหลักปฏิบัติในเรื่องการบำรุงรักษาผืนดิน และวงจรการปล่อยให้ที่ดินว่างเว้นจากการเพาะปลูกเพื่อการฟื้นฟูถูกทำให้สั้นลง เพื่อจะได้มีที่ดินใช้ในการเพาะปลูกมากขึ้น ซึ่งในระยะยาวจะไปลดประสิทธิผลของที่ดิน ฉะนั้น จึงต้องมีการค้นหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ชุมชน,วิถีการผลิต,แม่ฮ่องสอนตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2518ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=367
366บทความThe Karen People : An IntroductionRashid, Mohd. Razha and Walker, Pauline H.มีเนื้อหาครอบคลุม ประวัติความเป็นมา วัฒนธรรม องค์กรสังคม-การเมือง เศรษฐกิจ และศาสนา - ความเชื่อ ของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโดยรวม กะเหรี่ยงเรียกตัวเองว่า "Pga K' Ngaw" มีความหมายว่า "มนุษย์" พูดตระกูลภาษา Sino-Tibetan linguistic ซึ่งรวมทั้งภาษา จีนและภาษาธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) ในกลุ่มภาษา Karenic มี 4 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ สะกอ โปว์ ปะโอ และ กะยา กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บนภูเขาเป็นชาวไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา ส่วนกะเหรี่ยงพื้นราบ จะปลูกข้าวนาลุ่ม และปลูกพืชเศรษฐกิจ ตามปกติหมู่บ้านอยู่บนพื้นฐานครอบครัวขยายทางฝ่ายตระกูลแม่ สืบตระกูลทางฝ่ายแม่ ผู้นำในหมู่บ้านกะเหรี่ยง อาจมีหัวหน้าหนึ่งคนและผู้นำศาสนาหนึ่งคนหรือมากกว่า หรือตัวหัวหน้าเองอาจเป็นผู้นำศาสนาของชุมชนด้วย และโดยพื้นฐานแล้ว กะเหรี่ยงจะเหมือนกับชาวเขาอื่น ๆ คือเป็นพวกนับถือผี (animist)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ประวัติ,วัฒนธรรม,เศรษฐกิจ,องค์กรสังคม,การเมือง,ศาสนา,ความเชื่อ,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2518ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=366
365บทความบทเพลงของกะเหรี่ยงโป -รายงานผลการวิจัยภาคสนามทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของไทยUchida, Rurikoกะเหรี่ยงโปว์ที่หมู่บ้านห้วยหละ อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน ประกอบอาชีพทำนาทำไร่ ถือลัทธินับถือผี (Animism) ควบคู่กับการรับเอาศาสนาพุทธเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันด้วย สำหรับกะเหรี่ยงโปว์ เพลงคือเครื่องมือในการถ่ายทอดบทกวีใช้ขับร้องเพื่อความรื่นเริง และเพื่อประกอบในพิธีกรรม หรือเพื่อให้สอดคล้องกับกิจกรรมต่างๆ เช่น ทอผ้า ทำนา พิธีศพ เป็นต้น ดังนั้นเนื้อร้องจึงมีความสำคัญกว่าทำนอง โดยมักจะแต่งเนื้อร้องขึ้นสดๆ แล้วนำไปใส่ในทำนองที่มีอยู่แล้วแต่เดิม ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่ร้องโต้ตอบกันระหว่างชายหญิง มักมีจังหวะที่ไม่แน่นอนตายตัว (Free Rhythm)ไม่มีการเน้นน้ำหนักเสียง (accent) ประกอบด้วย 3 หรือ 4 ตัวโน้ต อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน วิทยุได้เข้ามาสู่หมู่บ้านนี้ ทำให้กะเหรี่ยงรู้จักเพลงพื้นบ้านและเพลงป๊อปของไทยด้วยโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),บทเพลง,ลำพูนตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2521ภาษาญี่ปุ่นhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=365
364วิทยานิพนธ์วัฒนธรรมทางการเมืองของชาวเขาเผ่าม้งในหมู่บ้านมณีพฤกษ์ จังหวัดน่านโชคชัย สินศุภรัตน์ชาวเขาเผ่าม้งในหมู่บ้านมณีพฤกษ์ ตำบลงอบ จังหวัดน่าน มีวัฒนธรรมการเมืองแบบผสมระหว่างแบบคับแคบและแบบไพร่ฟ้า
อีกทั้งยึดมั่นกับรูปแบบการปกครองและขนบประเพณีดั้งเดิม ซึ่งมีการยอมรับอำนาจรัฐ มีทัศนคติไปในทางที่ดีต่อการเมืองการปกครองไทย แต่มีความเข้าใจทางการเมืองและพฤติกรรมที่มีส่วนร่วมทางการเมืองต่ำม้ง,การเมือง,การปกครอง,น่านตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=364
363วิทยานิพนธ์รูปแบบการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของชุมชนชาวเขาพิทยา พิณสารผู้วิจัยศึกษารูปแบบการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของชุมชนชาวเขา 3 ด้าน คือ การแต่งกายมีการเปลี่ยนแปลงแต่งกายแบบคนพื้นราบเนื่องจากการผสานของวัฒนธรรมภายนอก การสร้างบ้านเรือนเป็นการเปลี่ยนแปลงภายนอกโดยใช้วัสดุแตกต่างไปจากเดิมโดยคนมีฐานะดีจะมีแนวโน้มปลูกบ้านแบบคนพื้นราบ และการบริโภคมีลักษณะผสมผสานจากอาหารจากภายนอก เนื่องจากประชากรในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นและมีการติดต่อกับภายนอกมากขึ้นลาหู่,มูเซอแดง,วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=363
362วิทยานิพนธ์ศึกษาประวัติคริสต์จักรลาหู่แบ๊บติสท์ในประเทศไทยปฏิพัทธ์ พัฒนะกายาเป็นการศึกษาประวัติคริสตจักรลาหู่แบ๊บติสท์ในประเทศไทยในช่วงปี ค.ศ. 1970-1990 แบ่งการศึกษาเป็น 3 บทคือ 1. เบื้องหลังความเป็นมาของชนเผ่าลาหู่ ซึ่งมีบรรพบุรุษดั้งเดิมมาจากประเทศจีน แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ ลาหู่นะ (มูเซอดำ) และ ลาหู่ซี (มูเซอเหลือง) และศาสนาดั้งเดิมที่เชื่อในภูตผี วิญญาณและพระผู้เป็นเจ้า 2. การอพยพเข้าสู่ประเทศไทย และการเข้าเป็นสมาชิกของคณะกระเหรี่ยงแบ๊บติสท์ในประเทศไทยจนถึงการก่อตั้งและการดำเนินงานของคริสตจักรลาหู่แบ๊บติสท์ในประเทศไทย 3. ข้อสังเกตจากการศึกษาประวัติศาสตร์คริสตจักรลาหู่ โดยศึกษาและวิเคราะห์ถึงมูลเหตุพื้นฐานการกลับใจเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ ได้แก่ คำพยากรณ์ ศาสนาดั้งเดิมและการกลับใจตามผู้นำ อิทธิพลต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อคริสตจักรลาหู่ ได้แก่ อิทธิพลจากศาสนาดั้งเดิม ข้อห้ามของคนโบราณ หลักศาสนศาสตร์ที่ไม่ถูกต้อง ความเป็นชนเผ่าที่มีหลายกลุ่ม ปัญหาความ ยากจน และงานด้านต่างๆ ของคริสตจักรลาหู่ลาหู่,ศาสนาคริสต์,แบ๊บติสท์,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=362
361วิทยานิพนธ์ความต้องการข่าวสาร เพื่อปรับปรุงวิถีชีวิตของชุมชนมูเซอแดง : กรณีศึกษา บ้านปางตอง ตำบลนาปู่ป้อม จังหวัดแม่ฮ่องสอนพัชรินทร์ ประสนธิ์ผู้วิจัยศึกษาขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมของชุมชนมูเซอแดง และผลการศึกษาการรับรู้ข้อมูลข่าวสารในชุมชน ได้แก่ แหล่งที่มา ความเข้าใจ ความน่าเชื่อถือ และตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการข่าวสาร คือ อายุ ระดับฐานะ ระดับการพูดภาษาไทย การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ การได้ฟังวิทยุ และการเดินทางเข้าเมือง และพบว่าในเพศที่ต่างกันจะมีความต้องการข่าวสารต่างกันลาหู่,มูเซอแดง,ข่าวสาร,วีถีชีวิต,แม่ฮ่องสอนตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=361
360วิทยานิพนธ์ปฎิสัมพันธ์ระหว่างมลายูมุสลิมและจีนในย่านสายกลาง จังหวัดยะลาแพร ศิริศักดิ์ดำเกิงจากการศึกษาปฎิสัมพันธ์ระหว่างมลายูมุสลิมและจีนในย่านสายกลาง เขตเทศบาลนครยะลาซึ่งทั้ง 2 กลุ่มจะพบปะสังสรรค์กันในพื้นที่ธุรกิจหรือย่านตลาด พบว่าทั้ง 2 กลุ่มมีกระบวนการให้ความหมายและสร้างตัวตนของกลุ่มเพื่อจำแนกกลุ่มของตนจากอีก กลุ่มอย่างชัดเจนโดยมีค่านิยมร่วมกันและมีกลไกปรับตัวและลดความขัดแย้งในการอาศัยร่วมกันโดยมลายูได้ปรับอัตตลักษณ์ ของคนในการอยู่ร่วมกับจีนออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มลายูมุสลิม,จีน,การปฏิสัมพันธ์,ยะลาตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดยะลา ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=360
359รายงานการวิจัยวงจรศัพท์ในวัฒนธรรมการทอผ้าของชนกลุ่มไทยพวนสุพัตรา จิรนันทนาภรณ์การศึกษาวงจรศัพท์ในวัฒนธรรมการทอผ้าของไทยพวน ในพื้นที่ 2 หมู่บ้านได้แก่ ไทยพวนบ้านป่าแดง จังหวัดพิจิตรและไทยพวนบ้านหาดเสี้ยว จังหวัดสุโขทัย ไทยพวนบ้านป่าแดงเป็นไทยพวนที่อพยพมาจากอำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี การทอผ้าจะเป็นการทอผ้าไหม ได้แก่ ไหมมัดหมี่สามกษัตริย์ ไหมมัดหมี่ทั้งตัว ไหมหมี่เบี่ยง เป็นต้น ไทยพวนบ้านหาดเสี้ยว จังหวัดสุโขทัย เป็นไทยพวนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อำเภอศรีสัชนาลัยเป็นเวลาประมาณ 150 ปีมาแล้ว การทอผ้าเป็นการทอผ้าแบบโบราณเรียกว่า ผ้าซิ่นตีนจก การศึกษาวงจรศัพท์การทอผ้าของไทยพวนทั้งสองหมู่บ้าน ได้ศึกษาศัพท์ที่ใช้ในการทอผ้าที่สัมพันธ์กับเทคนิควิธีการทอ ลวดลายการทอ เครื่องมือและวัสดุการทอ ประเพณี พิธีกรรมและความเชื่อจากวัฒนธรรมการทอ จากการศึกษาได้วงคำศัพท์ทั้งสิ้น 400 คำ ซึ่งนำมาเสนอในรูปภาพประกอบคำศัพท์และการจัดหมวดคำศัพท์ตามชนิดของคำเป็นหมวดคำนาม คำลักษณะนามและคำกิริยาพวน ไทยพวน ไทพวน,วัฒนธรรมการทอผ้า,คำศัพท์,พิจิตร,สุโขทัยตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดยะลา ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=359
358รายงานการวิจัยผู้ไทพิเชฐ สายพันธ์, นฤพนธ์ ด้วงวิเศษความหมายของการฟ้อนรำได้เปลี่ยนแปลงมาตลอด ขึ้นอยู่กับชีวิตทางสังคมและวิธีคิดของผู้คนในช่วงเวลาต่างๆ การฟ้อนรำผู้ไทที่ปรากฏในปัจจุบัน ได้ผ่านการจัดระเบียบปรุงแต่งและประดิษฐ์มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนต่างฐานะเข้ามาเชื่อมโยงกันในลักษณะที่หลากหลาย เช่น เกิดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟ้อนกับครูฝึก เกิดการพึ่งพาอาศัยกันในกลุ่มผู้ฟ้อนรำ เป็นต้น การฟ้อนรำจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนคุณค่าที่สังคมปรารถนาชื่นชม ขณะเดียวกันก็ได้วิพากษ์วิจารณ์และปฏิเสธคุณค่าบางประการ นอกจากนั้นยังเป็นเครื่องชี้นำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับความสัมพันธ์ของคนกลุ่มต่างๆ ฉะนั้นการฟ้อนรำในสังคมเรณูนครจึงเป็นการเปิดเผยให้เห็นพลวัตรที่ต่อเนื่อง พร้อมกับการแสดงภาพชีวิตของผู้คนคล้ายกับละครที่เล่าเรื่องราวที่ราบรื่นและขัดแย้งสลับกันผู้ไท,ฟ้อนรำ,พิธีกรรมการแสดง,การเปลี่ยนแปลงทางสังคม,นครพนมตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดนครพนม ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=358
357รายงานการวิจัยสื่อประเพณีดั้งเดิมของชาวเขาเผ่าลีซอประเสริฐ ชัยพิกุสิต, ทวิช จตุวรพฤกษ์สื่อประเพณีดั้งเดิมของชาวเขาเผ่าลีซอ เป็นเรื่องราวของการสื่อสารหรือการถ่ายทอดข่าวสารในชีวิตประจำวัน โดยรูปแบบตามประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษ เนื้อหากล่าวถึงวิธีการและรูปแบบการสื่อในเรื่องความเชื่อ การเกษตร สุขภาพอนามัย บุคคลที่มีอำนาจในการสื่อสาร นิทาน ดนตรี และเพลงของลีซอ การสื่อสารโดยทั่วไปใช้การพูดจา ยกเว้นดนตรีและเพลง ส่วนการสื่อระหว่างบุคคลและระหว่างกลุ่มคนมีพิธีกรรมตามประเพณีเป็นองค์ประกอบหลักในการสื่อสาร การสื่อสารแบบดั้งเดิมตามประเพณีของลีซอยังคงใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน หากมีการใช้สื่อใหม่ๆ เข้าไปพัฒนาโดยใช้วิธีการและรูปแบบการสื่อสารที่เหมาะสมสอดคล้องกับสื่อดั้งเดิมของชาวเขา จะทำให้เกิดประโยชน์ต่องานพัฒนาในระดับหมู่บ้าน (หน้า (3))ลีซู,สื่อประเพณี,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดนครพนม ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=357
356รายงานการวิจัยวัฒนธรรมของไทยโซ่งดำ (ลาวโซ่ง) ในจังหวัดพิษณุโลกและพิจิตรสมคิด ศรีสิงห์งานวิจัยวัฒนธรรมของไทยโซ่งดำหรือลาวโซ่งในเขตจังหวัดพิษณุโลกและพิจิตร มุ่งศึกษาประวัติความเป็นมาขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมและปัจจุบัน และวิเคราะห์การปฏิบัติทางวัฒนธรรม ด้านความเชื่อ ประเพณีต่างๆ ผลการศึกษาพบว่า ไทยโซ่งดำ (ลาวโซ่ง) มีถิ่นฐานเดิมอยู่แถบลุ่มน้ำดำ แคว้นตังเกี๋ย ประเทศเวียดนาม ซึ่งเดิมเป็นดินแดนของไทย สมัยต้นรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 1-3) ฝรั่งเศสได้เข้ามารุกรานปกครอง จึงมีการอพยพครอบครัวไทยโซ่งดำมาอยู่อาศัยแถบภาคกลางหลายครั้ง ในบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี ระยะต่อมา คนไทยโซ่งดำ ได้ขยายถิ่นฐานออกไปในท้องที่ต่างๆ บางส่วนเข้ามาอยู่ในเขตจังหวัดพิษณุโลกและพิจิตร ประเพณีไทยโซ่งดำมีรากฐานมาจากความเชื่อธรรมชาติและวิญญาณ โดยนับถือ "แถน" เป็นเทพสูงสุดสามารถบันดาลให้เกิดความเป็นไปต่างๆ และเคารพวิญญาณของบรรพบุรุษคุ้มครองคนในตระกูล การเซ่นไหว้แถนและบรรพบุรุษยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน ส่วนวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ในธรรมชาติมีการเคารพบูชาน้อยลง และบางอย่างได้เลิกไปแล้ว สภาพความเป็นอยู่ของไทยโซ่งในพิษณุโลกและพิจิตรปัจจุบัน ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในชนบทห่างไกลสังคม เดิมอยู่ริมน้ำยมซึ่งมีสภาพขาดแคลนน้ำและสาธารณูปโภค มีการประกอบอาชีพเกษตรกรรม และมีฐานะยากจน และเกิดปัญหาด้านสุขภาพอนามัย ส่วนการปฏิบัติในประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิม ยังมีความเชื่อเรื่องผี-ขวัญ มีการไหว้ผีฟ้า "แถน" และผีบรรพบุรุษเป็นประจำทุกครอบครัว ส่วนความเชื่ออื่นๆ มีการปฏิบัติน้อยมาก ประเพณีที่ปฏิบัติเป็นประจำคือ ทำเสนเรือน และ เสนปาดดง ที่มีการปฏิบัติบางครั้งคือ การกินดอง หรือการแต่งงานแบบโซ่ง และ "ปาแห่" หรือการทำโลงศพแบบโซ่ง หมู่บ้านที่ยังมีการปฏิบัติประเพณีแบบไทยโซ่งดำมากที่สุดคือบ้านหนองขานาง (บางระกำ) บ้านหนองหัวปลวก (โพธิ์ประทับช้าง) และบ้านสระบระเพ็ด (สามง่าม) (หน้า บทคัดย่อ)ลาวโซ่ง, ความเป็นมา,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,ประเพณี,ความเป็นอยู่,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดนครพนม ประเทศไทย2521ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=356
355บทความบ้านอีก้ออุไรวรรณ แสงศรอธิบายถึงประวัติความเป็นมา ความเชื่อและประเพณีต่างๆ ของอีก้อในประเทศไทยอีก้อ,วัฒนธรรม,ประเทศไทยตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัด ประเทศไทย2526ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=355
354วิทยานิพนธ์กระบวนการถ่ายทอดศิลปะการปักผ้าของชาวเขาเผ่าเย้า บ้านห้วยแม่ซ้าย จังหวัดเชียงรายวรวิทย์ องค์ครุฑรักษาในสังคมเย้าที่มีการเลี้ยงดูแบ่งแยกตามเพศนั้น หญิงสาวเย้าทุกคนจะต้องได้รับการถ่ายทอดความรู้ด้านการปักผ้าจากมารดา รวมถึงลักษณะเฉพาะกลุ่ม เช่น เรื่องความขยัน ที่หญิงสาวเย้าถ้ามีเวลาว่าง จะต้องนำผ้าขึ้นมาปักอยู่ตลอดเวลา รวมถึงคติ ในการเลือกคู่ครองของชายหนุ่ม ที่ให้ความสำคัญแก่หญิงสาวที่ขยันปักผ้า ทำให้การปักผ้าของเย้านั้นยังสามารถดำรงอยู่ได้ภายใต้ภาวะความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเย้า,การปักผ้า,การถ่ายทอด,ประวัติความเป็นมา,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=354
353วิทยานิพนธ์กระบวนการสื่อสารกับการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของชาวเขา ศึกษาเฉพาะกรณี หมู่บ้านหนองเต่า ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่เยาวลักษณ์ ชีพสุมลกระบวนการสื่อสารเป็นกระบวนการสำคัญ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวเขา ซึ่งเกิดจากการที่ได้ปะทะสังสรรค์กับวัฒนธรรมเมือง ไม่ว่าจะเป็นสื่อบุคคล สื่อมวลชน วิทยุ โทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ทั้งหลาย ย่อมทำให้รูปแบบวัฒนธรรมเดิมของชาวเขามีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการผสมผสานวัฒนธรรมเมืองและวัฒนธรรมเดิมเข้าด้วยกัน ขณะเดียวกันชาวเขามิได้ปฏิเสธวัฒนธรรมเมืองและมิได้รับวัฒนธรรมเมืองมาทั้งหมด แต่จะรับและปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพสังคม และค่านิยมเดิมที่ตนนับถือ จะมีเพียงวัฒนธรรมบางเรื่องเท่านั้นที่เกิดการครอบงำจากวัฒนธรรมเมือง เช่น ระบบการปกครองโดยผู้ใหญ่บ้านแทนการปกครองโดยผู้นำหมู่บ้านหรือ "ฮีโข่" ในแบบเดิม เป็นต้นปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การสื่อสาร,การเปลี่ยนแปลง,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=353
352รายงานการวิจัยรายงานบทบาททางสังคมและเศรษฐกิจของสตรีชาวเขาเผ่าอีก้อละเอียด ชอบธรรมสังคมอีก้อ ยกย่องสตรีเพราะถือว่าสตรีคือผู้ให้กำเนิดผู้สืบเผ่าพันธุ์ อีก้อถือว่าความสัมพันธ์ทางเพศเป็นเรื่องอิสระเสรี ขึ้นอยู่
กับความสมัครใจรักใคร่ของเจ้าตัวเป็นใหญ่ บทบาททางสังคมและเศรษฐกิจของสตรีชาวเขาเผ่าอีก้อ ในแต่ละช่วงวัยและสถานภาพทางสังคมมีบทบาทที่ต่างกัน ซึ่งสามารถจำแนกเป็น 5 สถานภาพได้แก่ สถานภาพของเด็กหญิงอีก้อ สถานภาพ
ของสตรีสาวเผ่าอีก้อ สถานภาพของสตรีหม้ายหรือสตรีที่หย่าร้าง สถานภาพของการเป็นลูกสะใภ้และสถานภาพของสตรีที่
เป็นภรรยาของหัวหน้าครัวเรือน เหตุที่แต่ละสถานภาพมีบทบาททางสังคมและเศรษฐกิจที่ต่างกัน ผลโดยมากเกิดจากปัจจัย
ทางด้านวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ วุฒิภาวะและสถานภาพทางสังคมของบุคคลที่ต่างกันอีก้อ,สังคม,เศรษฐกิจ,ผู้หญิง,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัด ประเทศไทย2523ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=352
351รายงานการวิจัยชีวิตลาวโซ่ง : เมื่อวันวานฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ และ วรานันท์ วรวิศว์ลาวโซ่งที่หนองเลา อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี นับถือผีและพุทธศาสนา มีประเพณี พิธีกรรม และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ได้แก่ พิธีเสนเรือน พิธีซ่อนขวัญ พิธีเรียกขวัญ หรือเสนแถนผีฟ้า พิธีเสนหัวเขา หรือเสนเป่าปี่ หรือเสนผีขึ้นเสือ พิธีทำศพและเผาศพ พิธีปาดตง นอกจากนี้ ในเรื่องของระบบความสัมพันธ์ทางเครือญาติเกี่ยวเนื่องอยู่กับการนับถือผี ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "สิ่ง" และ "ก๊อ" มีการรวมกลุ่มในชุมชน เช่น กลุ่มแลกเปลี่ยนแรงงานในการทำนา กลุ่มฟันไม้ กลุ่มจับสัตว์น้ำจืด กลุ่มย้อมสีย้อมผ้า กลุ่มใช้น้ำจากคลองชลประทาน กลุ่มสมาชิกสงเคราะห์ฌาปนกิจศพ กลุ่มเกษตรกร (ธกส.) นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ในด้านแรงงานคือ การวาน การจ้างงาน การเอาแฮง จอยล้าลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,วิถีชีวิต,เพชรบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=351
350รายงานการวิจัยดนตรี : วิถีชีวิตชาวไทยพวน แขวงเชียงขวาง ประเทศลาวโพไช สุนนะลาดในอดีตดนตรีมีความสัมพันธ์กับประเพณีพิธีกรรมต่าง ๆ ของไทพวน เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างการทำมาหากินของไทพวนกับดนตรี คือ ดนตรีมีไว้เพียงเพื่อรับใช้ในงานบุญประเพณี พิธีกรรมที่เป็นสังคม วัฒนธรรมท้องถิ่นเท่านั้น ไม่ได้มีไว้สำหรับการประกอบการทางธุรกิจ แต่การเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้น จากการรับดนตรีจากภายนอกเข้ามาพวน ไทยพวน ไทพวน,วิถีชีวิต,ดนตรี,เชียงขวาง,ลาวตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดXiangkhoang ประเทศลาว2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=350
349วิทยานิพนธ์อิ่นก๋อน : ประเพณีการละเล่นของลาวโซ่ง : เขาย้อย เพชรบุรีพรพิมล ชันแสงการละเล่นอิ่นก๋อนเมื่อครั้งอดีตทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการในระดับปัจเจกบุคคลของลาวโซ่ง ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยน ไป ทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการด้านสังคมมากขึ้น แต่ก็ยังคงแฝงความต้องการของปัจเจกบุคคลอยู่ เช่น ในรูปแบบ ของนันทนาการที่กำหนดขึ้นเป็นงานประจำปี เพื่อส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยว แต่มีส่วนทำให้ลาวโซ่งได้มีจิตสำนึกชาติพันธุ์ร่วมกันลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,อิ่นก๋อน,การละเล่น,เพชรบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=349
348วิทยานิพนธ์พิธีเสนตั้งบั้ง : กรณีศึกษาดนตรีและพิธีกรรมของลาวโซ่งหมู่บ้านเกาะแรด จังหวัดนครปฐมสานิตย์ รัศมีพิธีเสนตั้งบั้งเป็นพิธีเซ่นไหว้ครูของหมอเสน นิยมทำในช่วงเดือน 4 เดือน 6 และเดือน 12 ทำได้เฉพาะบ้านที่มีพ่อหรือปู่เป็นผู้มีเวทมนต์สามารถรักษาไข้ ด้วยเวทย์มนต์ได้ เครื่องดนตรีที่ใช้ในพิธีเสนตั้งบั้งที่พบมีด้วยกันอยู่ 2 ส่วนคือเครื่องดำเนินทำนอง ได้แก่ปี่ เสนสั้นและปี่เสนยาว เครื่องทำจังหวะได้แก่ กระบอกไม้ไผ่สำหรับกระทุ้ง แผ่นกระดานและโอ่ง บทเพลงที่ใช้ในพิธีเสนตั้งบั้งของลาวโซ่งหมู่บ้านเกาะแรดมีทั้งหมด 3 เพลงได้แก่ เพลงไหว้ครู เป็นเพลงแรกที่ต้องบรรเลงและร้องก่อนเพื่อบูชาครูและเป็นการบอกกล่าวอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีบ้านผีเรือนและครูบาอาจารย์เพื่อให้มาเข้าร่วมพิธี ซึ่งมีลักษณะคล้ายบทสวดมนต์ เพลงพื้น เป็นเพลงที่มีวัตถุประสงค์ของการจัดพิธีและบอกกล่าวผีต่างๆ ให้มารับของเซ่นไหว้ เป็นเพลงที่ตัดมาจากเพลงไหว้ครูตอนหนึ่งนำมาร้องบรรเลงซ้ำหลาย ๆ เที่ยว เพลงเซิ้ง เป็นเพลงจังหวะสนุกสนานสลับกับเพลงพื้นเพื่อให้เกิดบรรยากาศที่ดี ลักษณะของเพลงจะบรรเลงปี่เสนคลอไปกับเสียงร้องของหมอพิธีลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,พิธีเสนตั้งบั้ง,นครปฐมตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=348
347วิทยานิพนธ์ความคิดทางปรัชญาในภาษิตม้งยุทธพงษ์ สืบศักดิ์วงศ์การศึกษาความคิดทางปรัชญาในภาษิตม้งมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาแนวคิดทางอภิปรัชญาและจริยศาสตร์ของม้ง โดยศึกษาจากตัวบทภาษิตและการแปลความหมายจากการสัมภาษณ์ผู้รู้ม้ง จากนั้นจึงสังเกตปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมม้งแล้วนำมาเชื่อมโยงกับความหมายในภาษิตแล้วนำมาวิเคราะห์ความคิดทางปรัชญา ผลการศึกษาพบว่า ม้งมีแนวคิดทางด้านอภิปรัชญาว่า โลกประกอบด้วยลักษณะ 2 ส่วนที่ปฏิสัมพันธ์กันคือ ส่วนที่เป็น "รูปธรรม" ซึ่งแสดงผลให้เราได้เห็นผ่านประสาทสัมผัส เช่น ร่างกายมนุษย์และสัตว์ ต้นพืช โลก ดวงดาว สสารและพลังงานต่างๆ เป็นต้น เมื่อมองในลักษณะองค์รวมก็คือ ระบบโลกและจักรวาลทั้งหมดที่เราได้รับรู้เฉพาะแต่ด้านกายภาพเท่านั้นซึ่งม้งเรียกว่า " โลกมนุษย์" อีกส่วนคือส่วน "นามธรรม" ซึ่งม้งถือว่าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส เช่น ขวัญหรือวิญญาณ และ ผี เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ได้ปรากฎอยู่ใน "โลกแห่งผี" และสัมพันธ์กับมนุษย์และสรรพสิ่งบนโลกมนุษย์ ในเรื่องชีวิตโดยเฉพาะชีวิตมนุษย์ ชีวิตมีส่วนประกอบทั้งส่วนที่เป็นรูปธรรมได้แก่ ส่วนร่างกาย และส่วนที่เป็นนามธรรม ได้แก่ ขวัญหรือวิญญาณ ใจ และชีวิต เป็นต้น ทั้งสามส่วนนี้เมื่อมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ล้วนมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ม้งถือว่าขวัญหรือวิญญาณเป็นส่วนสำคัญที่สุด เพราะเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดชีวิตและร่างกาย เมื่อตายไปขวัญหรือวิญญาณจะถูกกำหนดภาคออกเป็นสาม ภาคหนึ่งไปสิงสถิตที่หลุมศพ อีกภาคหนึ่งสถิตที่ "ดินแดนแห่งผีบรรพบุรุษ" อีกภาคหนึ่งไปเวียนว่ายตายเกิด อย่างไม่มี ที่สิ้นสุด อันแสดงแนวคิดเรื่องวัฎจักรทางกฎแห่งกรรม ม้งยังมีแนวคิดอีกว่าไม่เพียงแต่มีขวัญหรือวิญญาณปรากฎอยู่ในร่างกายมนุษย์และสัตว์เท่านั้น แต่ยังมีที่สิงสถิตอยู่ในธรรมชาติเช่น ป่า ก้อนหิน ผืนดิน และแม่น้ำ ซึ่งม้งเรียกว่าผีป่า และที่สิงสถิตอยู่ในบ้านเรียกว่าผีบ้าน โดยผีเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในโลกแห่ง ผีซึ่งเป็นโลกทางฝ่ายนามธรรมล้วนๆ ผีมีตั้งแต่ในระดับชั้นเทพเจ้า จนถึงผีในระดับชั้นสามัญซึ่งก็คือผีป่าและผีบ้านที่สัมพันธ์กับมนุษย์เป็นประจำ ม้งมักมองสรรพสิ่งในลักษณะคู่กัน เช่น พ่อกับแม่ ฟ้ากับดิน มืดสว่าง โลกมนุษย์โลกแห่งผี เป็นต้น โดยไม่นิยมมองโลกแบบ ลดทอน เช่น การเริ่มต้นจากเอกภพ จักรวาล โลก มนุษย์ จนถึงหน่วยย่อยที่สุดคือปฐมธาตุ ดังนั้นม้งจึงไม่ได้ให้ความสำคัญแก่การแสวงหา "ปฐมเหตุ" ซึ่งการมองโลกแบบนี้สอดคล้องกับปรัชญาจีนเรื่อง หยิน หยาง ส่วนแนวคิดด้านจริยศาสตร์ ม้งสร้างข้อปฏิบัติหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องด้วยมนุษย์กับมนุษย์และมนุษย์กับผีซึ่งสืบเนื่องมาจากแนวคิดด้านอภิปรัชญา สังเกตได้จากกฎทางศีลธรรมและหลักจริยธรรมบางข้อที่สัมพันธ์อยู่กับผี เช่น ข้อห้ามในการพาผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานมาร่วมหลับนอนในบ้านฝ่ายชายซึ่งถือว่าผิดผี ผิดจารีต และผิดศีลธรรม ผู้ฝ่าฝืนต้องถูกลงโทษ การเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษถือได้ว่าเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความกตัญญูของบุตรหลานที่มีต่อบรรพชน แนวคิดความกตัญญู การเคารพ ผู้อาวุโสถือเป็นหลักการสำคัญ แนวคิดทางด้านจริยศาสตร์และอภิปรัชญาในทัศนะของม้งจึงเป็นทัศนะการมองโลกแบบองค์รวมครอบคลุมและเกี่ยวเนื่องด้วยทั้งส่วนรูปธรรมและนามธรรม (หน้า ง-จ)ม้ง,ความคิด,ปรัชญา,ภาษิตตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2526ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=347
346ปริญญานิพนธ์คุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาที่พึงปรารถนาในทัศนะของชุมชนไทยพุทธและไทยมุสลิมในจังหวัดยะลาวินิจ มะลิสุวรรณวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียนที่พึงปรารถนาในทัศนะของชุมชนไทยพุทธและไทยมุสลิมในจังหวัดยะลา ผลการศึกษาพบว่า ชุมชนไทยพุทธและไทยมุสลิมมีความต้องการในเรื่องคุณสมบัติส่วนตัว บุคลิกภาพ และความ สามารถของผู้บริหารโรงเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญที่ระดับ .01 ผลการวิเคราะห์รายข้อแสดงให้เห็นว่ามีคุณลักษณะหลายประการที่ชุมชนทั้ง 2 ต้องการมากในระดับสูง ได้แก่ การทำงานคล่องแคล่วว่องไว สุขภาพอนามัยดี กิริยามารยาทดี เข้ากับประชาชนได้ทุกชั้น ความมีเหตุผล ควบคุมอารมณ์ได้ดี ความรับผิดชอบ รักงาน ความซื่อสัตย์ยุติธรรม เข้าใจการใช้หลักสูตร คู่มือครูและแบบเรียนอย่างดี มีความคิดริเริ่ม มีไหวพริบดีและพูดภาษาพื้นเมืองได้ นอกจากนี้ ผลการทดสอบความต้อง การของประชาชน คณะกรรมการศึกษาและครูทั้งชุมชนไทยพุทธและไทยมุสลิมต่างต้องการในเรื่องคุณสมบัติส่วนตัว บุคลิกภาพ และความสามารถของผู้บริหารโรงเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญที่ระดับ .01ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ไทยพุทธ,ไทยมุสลิม,คุณลักษณะผู้บริหารโรงเรียน,ยะลาตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดยะลา ประเทศไทย2523ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=346
345วิทยานิพนธ์การปรับตัวของปกากะญอในการจัดการทรัพยากรตามแบบประเพณีภายใต้บริบทกฎหมายของรัฐศิริชัย พันธุ์เจริญการศึกษาวิจัยนี้มุ่งจะค้นหาคำตอบให้กับกระบวนการปรับตัวในการจัดการทรัพยากรตามแบบประเพณีภายใต้บริบทกฎหมายของรัฐที่มีความเกี่ยวพันกับระบบกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิในการใช้ทรัพยากรของชุมชน โดยมีกรอบแนวคิดในการศึกษาและวิเคราะห์ 2 ประการ คือ แนวความคิดในการควบคุมและจัดการทรัพยากรของชุมชนท้องถิ่น และแนวคิดเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์และสิทธิ ผลการศึกษาพบว่า สภาพสังคมจารีตประเพณีและความเชื่อของเผ่าพันธุ์เป็นกลไกขับเคลื่อนวิถีปฏิบัติจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีก รุ่นหนึ่งสืบทอดต่อกันมา สิ่งเหล่านี้เป็นบรรทัดฐานในการควบคุมสังคมของชุมชนให้ดำเนินไปอย่างปกติสุข ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงรอบด้าน ในส่วนของอำนาจรัฐที่พยายามผลักดันสอดแทรกเข้าสู่ชุมชน ชุมชนปกากะญอตอบสนองโดยปรับตัวภายในชุมชน ทั้งทางด้านโครงสร้างชุมชนและพลวัตทางวัฒนธรรม เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์และการจัดการอย่างยั่งยืนที่เป็นแนวเดียวกับนโยบายของรัฐ สำหรับระบบกรรมสิทธิ์และสิทธิพบว่า มาตรฐานทางกฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบันเป็นเพียงการเน้นกรรมสิทธิ์ของรัฐและกรรมสิทธิ์ของเอกชนตามระบบทุนและกระแสโลก มาตรการกฎหมายดังกล่าวทำให้สิทธิของชุมชนที่ถือปฏิบัติสืบทอดมายาวนานถูกลิดรอน ก่อให้เกิดความขัดแย้งและการเผชิญหน้ากัน (หน้า ง-จ)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การจัดการทรัพยากร,รัฐ,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=345
344วิทยานิพนธ์ความรู้และการรักษาพยาบาลพื้นบ้านของชาวลีซู : มิติทางวัฒนธรรมของการจัดการทรัพยากรชีวภาพวิเชียร อันประเสริฐงานวิจัยชิ้นนี้ใช้แนวคิดสองประการ คือ แนวคิดว่าด้วยวิธีคิดเรื่องการรักษาพยาบาลพื้นบ้านและแนวคิดเรื่องการปรับตัวเพื่อทำความเข้าใจการจัดการทรัพยากรชีวภาพในมิติทางวัฒนธรรมผ่านกระบวนการกลายเป็นหมอยา ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการกลายเป็นหมอยาพื้นบ้านเกิดขึ้นภายใต้องค์ประกอบสามประการคือ 1. องค์ความรู้ในการรักษาพยาบาลพื้นบ้าน 5 ชุด (ความรู้ในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ, ลักษณะพืชและส่วนของพืชที่นำมาเป็นยา, ความรู้เกี่ยวกับวิธีการใช้พืชเพื่อเป็นยา, ความรู้เรื่องระบบนิเวศของพืช และ ความรู้เรื่องระบบคุณค่า กฎเกณฑ์ และอำนาจ) 2. การเป็นหมอยาพื้นบ้านต้องอาศัยความรู้จากการปฏิบัติจริง 3. ต้องได้รับการยอมรับจากชุมชน เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงที่นำผลกระทบมาสู่ชุมชน หมอยาพื้นบ้านได้ประยุกต์ตีความความเชื่อเดิมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย การปรับตัวพบว่ามี 3 ระดับคือ ระดับการจัดการ ระดับวัฒนธรรม และ ระดับวิธีคิด ซึ่งการปรับตัวทั้ง 3 ระดับ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ การปรับตัวที่ยังคงยอมรับอำนาจของชุมชนและการปรับตัวที่หลุดออกจากอำนาจของชุมชน การปรับตัวของหมอยาพื้นบ้านแสดงถึงแนวคิดที่ซับซ้อนในเรื่องความรู้และสิทธิที่มิได้ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว เช่นเดียวกับการจัดการทรัพยากรชีวภาพที่ไม่อาจแบ่งออกเป็นระบบกรรมสิทธิ์แบบใดแบบหนึ่งอย่างเป็นเอกเทศ หากแต่ต้องคำนึงถึงมิติทางวัฒนธรรมของชุมชนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย (หน้า จ - ฉ)ลีซู,ความรู้, การรักษาพยาบาลพื้นบ้าน, มิติทางวัฒนธรรม, การจัดการทรัพยากรชีวภาพ, แม่ฮ่องสอนตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=344
343ปริญญานิพนธ์วัฒนธรรมชาวบ้านกุรุคุ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนมบุญช่วย เทอำรุงการวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาวัฒนธรรมและการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของชาวบ้านกุรุคุ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ผลการวิจัยพบว่า (1) วัฒนธรรมของชาวบ้านกุรุคุ ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กะเลิงในระบบเครือญาติและครอบครัวอาวุโสหรือเจ้าโคตรของตระกูลจะเป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุด จะเป็นผู้ตัดสินใจปัญหาสำคัญ ผู้ที่เป็นเขยของตระกูลจะมีลำดับที่ต่ำสุดของตระกูล สภาพเศรษฐกิจของชาวบ้านขึ้นอยู่กับการทำเกษตรกรรม นอกจากนั้นยังมีการไปรับจ้างเป็นกรรมกรก่อสร้างในตัวจังหวัด ร้านค้าในหมู่บ้านจะรับสินค้าจากภายนอกเข้ามาจำหน่ายในหมู่บ้าน มีการนับถือศาสนาพุทธ เชื่อโชคลางตามพิธีพราหมณ์ นับถือผีบรรพบุรุษ ผีมเหสักข์ของหมู่บ้านคือ เจ้าปู่แท่นคำเหลือง มีการทำพิธีในเดือน 4 ก่อนการปักดำและเดือน 11 ก่อนการเก็บเกี่ยว มีหมอเหยาทำพิธีให้กับผู้ป่วยในการรักษาโรค ภาษาที่ใช้ในหมู่บ้านคือภาษากะเลิง (2) การผสมกลมกลืนทางวัมนธรรม ชาวบ้านกุรุคุมีการติดต่อกับกลุ่มต่างชาติพันธุ์อื่นโดยการแต่งงาน ในปัจจุบันจะเห็นได้ชัดเจนกว่าในอดีต ผู้ที่เข้ามาอยู่บ้านกุรุคุโดยการแต่งงานจะรับและปฏิบัติกิจกรรมความเชื่อไม่ขัดแย้งกับกะเลิงบ้านกุรุคุ กิจกรรมที่ชาวบ้านมีส่วนร่วมทุกครัวเรือนคือการเลี้ยงเจ้าปู่แท่นคำเหลืองในเดือน 4 และเดือน 11 โดยเสียเงินครัวเรือนละ 2 บาท ภาษาพูดที่ใช้ในครอบครัวที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ต่างกันจะใช้ภาษาตามชาติพันธุ์เดิม ในรุ่นลูกจะใช้ภาษากะเลิงติดต่อในครอบครัวและกับคนในหมู่บ้านกะเลิง,การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม,นครพนมตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดนครพนม ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=343
342ปริญญานิพนธ์การศึกษาองค์ประกอบในการศึกษาต่อและไม่ศึกษาต่อของนักเรียนไทยมุสลิมชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 ในจังหวัดยะลาพล แสงสว่างวัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้เพื่อศึกษาองค์ประกอบในการศึกษาต่อและไม่ศึกษาต่อของนักเรียนไทยมุสลิมชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 ในจังหวัดยะลา การวิจัยปรากฎผลดังนี้ องค์ประกอบที่มีผลให้นักเรียนชั้นประถมปีที่ 7 ศึกษาต่อจัดตามอันดับความสำคัญจากมากไปหาน้อย คือ ด้านส่วนตัว ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านครอบครัว และด้านศาสนา และประเพณี องค์ประกอบที่มีผลต่อการที่นักเรียนไม่ศึกษาต่อจัดตามลำดับความสำคัญมีดังนี้คือ ด้านศาสนาและประเพณี ด้านครอบครัว ด้านส่วนตัว และด้านสิ่งแวดล้อมออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม นักเรียนชั้นประถมปีที่ 7 การศึกษาต่อ องค์ประกอบ ยะลาตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดยะลา ประเทศไทย2521ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=342
341วิทยานิพนธ์บทเพลงกล่อมเด็กของชาวไทยเขมร บ้านตาหยวก ตำบลทุ่งหลวง อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ดอรชร ทองสตาการศึกษาวิจัยบทเพลงกล่อมเด็กของไทยเขมร บ้านตาหยวก ตำบลทุ่งหลวง อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ได้ทำการศึกษารูปแบบและการใช้ถ้อยคำของเพลงกล่อมเด็ก และศึกษาภาพสะท้อนที่ปรากฏในบทเพลงกล่อมเด็ก ในด้านของรูปแบบและการใช้ถ้อยคำ พบว่าฉันทลักษณ์ในบทกล่อมเด็กไม่มีแบบแผนแน่นอน ฉันทลักษณ์โดยทั่วไปคล้ายเพลงพื้นเมืองจังหวัดสุรินทร์และประเทศกัมพูชา การใช้ถ้อยคำ จะใช้ถ้อยคำพื้นฐานในชีวิตประจำวัน มีการใช้คำซ้ำ คำซ้อน คำนามนัย คำเลียนเสียงธรรมชาติ คำบอกลักษณะสิ่งของ สำนวนเปรียบเทียบและคำยืม เนื้อหาของเพลง มีทั้งการปลอบประโลม การขู่ และการวางเงื่อนไขให้รางวัลเด็ก สำหรับภาพสะท้อนมีทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ด้านรูปธรรม กล่าวถึงสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวกับสังคมเกษตรกรรม อาชีพทำนา เลี้ยงสัตว์ ธรรมชาติ และบทบาทสตรี ในด้านนามธรรม สะท้อนให้เห็นความรักที่มีต่อลูก การสั่งสอนอบรม ความเชื่อของไทยเขมร ค่านิยมในการดำเนินชีวิต คุณธรรมเรื่องความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การพึ่งพาอาศัย ประเพณีและพันธุกรรม (บทคัดย่อ)คะแมร์ลือ,ไทยเขมร, บทเพลงกล่อมเด็ก, ร้อยเอ็ดตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดร้อยเอ็ด ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=341
340วิทยานิพนธ์การฟ้อนรำของชาวไทยเขมรในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์เครือจิต ศรีบุญนาคการศึกษาเรื่องการฟ้อนรำของคนไทยเขมร ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ได้ศึกษาการฟ้อนรำที่เป็นแบบแผนดั้งเดิมในด้านกำเนิดการฟ้อนรำที่คิดประดิษฐ์ขึ้นโดยคนในท้องถิ่น จากพื้นฐานความเชื่อในเรื่องผีและความศรัทธาในพุทธศาสนา และเกิดจากการเลียนแบบธรรมชาติ ประเภทของการฟ้อนรำแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ การฟ้อนรำในงานนักขัตฤกษ์ และในงานประเพณี และองค์ประกอบการฟ้อนรำที่มีผู้รำทั้งหญิงและชาย แต่งกายแบบพื้นเมืองสุรินทร์ เครื่องดนตรีประกอบด้วยกลองกันตรึม ปี่ ซอ ตะโพน ฉิ่ง กรับ โหม่ง บรรเลงเพลงกันตรึมมีเนื้อร้องและทำนองเขมร ท่าทางฟ้อนรำแยกเป็นการฟ้อนรำแม่บทหรือแบบดั้งเดิม และ ท่าฟ้อนรำอิสระ คือ ท่าที่คิดประดิษฐ์ขึ้นมาจากกิริยาท่าทางของคนและสัตว์ ตลอดจนธรรมชาติที่อยู่ใกล้ตัว การฟ้อนรำมีความสัมพันธ์กับโครงสร้างทางสังคมด้านความเชื่อและพิธีกรรม ความศรัทธาในพุทธศาสนา และการรักษาคนป่วยจากโรคที่ทราบสาเหตุ และมีบทบาทต่อชุมชน ในการสร้างความบันเทิง ความสามัคคี บทเพลงและท่าทางเป็นเครื่องสื่อสารข่าวคราว ความรู้สึกนึกคิดให้รับรู้ซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ด้านประเพณี ใช้แสดงในงานประจำปีของจังหวัด ดึงดูดนักท่องเที่ยว ส่งผลทางด้านเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง (บทคัดย่อ )คะแมร์ลือ,เขมร,ฟ้อนรำ,สุรินทร์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=340
339วิทยานิพนธ์การปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยของชาวลัวะในภาคเหนือของประเทศไทยชาญชัย จิรวรรธนกิจการเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครองของลัวะบ้านเมืองก๊ะในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่ามีการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมหรือการกลืนกลายทางวัฒนธรรม (acculturation) ระหว่างวัฒนธรรมลัวะกับล้านนาไทย กล่าวคือ ทั้งสองฝ่ายเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับวัฒนธรรมโดยไม่รู้ตัว ไม่มีการบังคับ หรือไม่มีข้อกำหนดใด ๆ แน่ชัด โดยจะมีลักษณะเป็นการเรียนรู้จากจิตใต้สำนึก ทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามปรับตัวเข้าหากัน หรือทำตนให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมนั้น ระยะต่อมาจึงเกิดการผสมกลมกลืนกันขึ้น เช่น ลัวะบ้านเมืองก๊ะได้พัฒนารูปแบบการเกษตรแบบไร่เลื่อนลอย เป็นการทำนาแบบขั้นบันไดตามแบบอย่างชาวไทยล้านนา ส่วนชาวไทยล้านนาก็ได้รับความเชื่อเรื่องการปลูกบ้านจากลัวะ ได้แก่ การปลูกบ้านต้องลงเสามงคล (เสาเอก) ก่อน และมีการทำหลังคาจั่ว มีไม้ไขว้ เรียกว่า "กาแล" เป็นต้น (หน้า 156, 172-173)ลเวือะ,เศรษฐกิจ,สังคม,การเมืองการปกครอง,การปรับตัว,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2529https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=339
338วิทยานิพนธ์ทะแยมอญ : วัฒนธรรมการดนตรีของชาวมอญชุมชนวัดบางกระดี่ชโลมใจ กลั่นรอดจากผลการวิจัยพบว่า ทะแยมอญเป็นการละเล่นของมอญที่มีการด้นกลอนเป็นคำร้องประกอบดนตรีซึ่งมี 2 รูปแบบคือ รูปแบบโบราณ และรูปแบบใหม่ ในด้านองค์ประกอบพบว่าบทร้องที่เป็นภาษามอญโบราณ และคำบาลีทำให้จำกัดผู้ชมอยู่ในกลุ่มมอญผู้สูงอายุเท่านั้น ส่วนมอญหนุ่มสาวไม่ให้ความสนใจเนื่องจากไม่เข้าใจภาษาในบทร้อง จำนวนผู้แสดงลดน้อยลง เพราะขาดการสืบทอดทำให้เพลงเก่าจำนวนหนึ่งต้องสูญไป อีกทั้งในปัจจุบัน การละเล่นทะแยมอญได้กลายมาเป็นการแสดงที่มีผู้จ้างวาน มีการประยุกต์เพลงสมัยใหม่เข้าไปใช้ร้อง มีทั้งเนื้อร้องที่เป็นภาษามอญ และภาษาไทย ส่วนดนตรีที่ใช้บรรเลงเรียกว่า "โกรจยาม" นั้น เป็นการบรรเลงคลอไปกับเสียงของคนร้อง เสียงของดนตรีมีลักษณะทุ้มต่ำ เพลงมีลักษณะเป็นทำนองสั้นๆ มีการซ้ำทำนองในขณะที่เนื้อร้องเปลี่ยนไป สำหรับด้านความสัมพันธ์กับดนตรีไทยนั้นพบว่า โกรจยามมีพื้นฐานการผสมวง และการบรรเลงคล้ายเครื่องสายไทย มีการนำทำนองเพลงไทยบางเพลงไปใช้ อีกทั้งในด้านเครื่องดนตรียังมีการพัฒนารูปร่างลักษณะของ "จยาม" ให้มีลักษณะเหมือนจะเข้ของไทย สำหรับทะแยมอญแล้วนั้น ผู้วิจัยได้เสนอว่า ทะแยมอญถือว่ามีบทบาทต่อชุมชนบางกระดี่ร่วมด้วย โดยทำหน้าที่ให้ความบันเทิงและขัดเกลาทางสังคม จากเนื้อร้องที่แฝงไว้ด้วยการอบรมสั่งสอนศีลธรรมจรรยาขนบประเพณี และการเกี้ยวพาราสีของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทะแยมอญยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจน อีกทั้งยังไม่ได้รับการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งอาจมีผลต่อการสูญสิ้นของวัฒนธรรมการดนตรีมอญด้านเครื่องสายแหล่งสุดท้ายของมอญในประเทศไทยก็เป็นได้ (หน้า 241 - 247)มอญ,ทะแยมอญ,การดนตรี,วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,บางกระดี่,กรุงเทพมหานครตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=338
337วิทยานิพนธ์รูปแบบการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของชุมชนมอญบ้านบางกระดี่ กรุงเทพมหานครจริยาพร รัศมีแพทย์จากผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการตั้งถิ่นฐานของชุมชนมอญบ้านบางกระดี่เป็นแบบกลุ่ม ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น บริเวณแม่น้ำ ทำให้คนในชุมชนต้องเดินทางไปยังที่ทำกินและดูแลผลผลิตได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่มีผลต่อจิตใจคือ ทำให้คนในชุมชนมีความใกล้ชิดและอบอุ่น สำหรับการขยายตัวของชุมชนไปตามเส้นทางคมนาคมทางน้ำในอดีตนั้น เป็นเพราะน้ำมีความสำคัญต่อชีวิตตามแนวคิดของ Fairchild อย่างไรก็ตาม วัดถือเป็นศูนย์กลางในการทำกิจกรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะในทางศาสนา การตั้งบ้านเรือนใกล้กับวัดย่อมสะดวกในการเดินทางไปร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่วัด
เมื่อมีถนน การเปลี่ยนวิธีเดินทางทำให้เกิดการขยายตัวของบ้านเรือนไปตามแนวถนน นอกจากสะดวกแล้วยังสามารถทำการค้าได้ด้วย ด้วยข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ที่ทิศตะวันตกติดกับคลองมหาชัย ส่วนด้านตะวันออกมีคลองบางกระดี่ ทำให้บ้านเรือนยังคงเกาะกลุ่มกันอยู่ ไม่สามารถขยายตัวไปตามแนวยาวได้ ทำให้บ้านเรือนค่อนข้างหนาแน่น พื้นที่ว่างน้อย อีกทั้งการปลูกเรือนใหม่ยังสอดคล้องกับเรือนเก่าที่เป็นเรือนไม้ เกิดเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเรือนบริเวณนี้ที่ส่วนมากเป็นบ้านไม้ขนาดย่อม ไม่มีบริเวณบ้าน และปลูกใกล้ๆ กัน
นอกจากนี้ การตั้งถิ่นฐานของชุมชนแห่งนี้ยังเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตและความสัมพันธ์ทางสังคม สอดคล้องกับการศึกษาของ ดักกลาส ฟราเซอร์ ซึ่งมอญที่นี่ยังได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีรอบหมู่บ้านอีกด้วย ในส่วนของลักษณะบ้านเรือน ส่วนมากตั้งอยู่ติดริมน้ำ แต่ไม่พบความสัมพันธ์เรื่องการวางตัวของบ้านและน้ำ ทิศทางการวางตัวของบ้านขึ้นอยู่กับทิศทางการวางเสาเอกของเรือน สอดคล้องกับงานวิจัยเรื่องเรือนพื้นถิ่นไทย-มอญ และตรงกับการศึกษาเรื่องชุมชนมอญพระประแดงที่พบว่าการวางตัวบ้านของที่นี่ส่วนมากจะวางตัวตามตะวัน นอกจากสาเหตุทางความเชื่อแล้ว ยังมีเหตุจากสังคมของคนในชุมชนที่จะไม่ปลูกบ้านแทงพ่อแม่ ทำให้พบว่าบ้านบางหลังไม่ปลูกตามตะวัน อีกทั้งการขยายเรือนต่อจากเรือนเดิมมาจากข้อจำกัดทางที่ดินของครอบครัวและจากความเชื่อข้างต้น หากครอบครัวใดมีที่ดินเหลือ ก็จะปลูกบ้านใหม่บนที่ดินเดิมในชุมชนเมื่อลูกหลานออกเรือน แต่หากที่ดินที่เหลือต้องปลูกขัดกับความเชื่อ ก็จะต้องขยายเรือนออกไปจากเรือนเดิมแทน (หน้า 232-233)มอญ,การตั้งถิ่นฐาน,บางกระดี่,กรุงเทพมหานครตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=337
336ร่างรายงานผลการวิจัยการไปเยือนภาคอีสานของข้าพเจ้าถนอม กิตติขจร, พลเอกการเดินทางเยือนภาคอีสาน ของนายกรัฐมนตรีถนอม กิตติขจร และคณะที่ประกอบด้วยตัวแทนจากกระทรวง ทบวงกรมต่างๆ ได้เดินทางไปเยี่ยมประชาชนในภาคอีสาน ทุกจังหวัด เพื่อรับฟังปัญหา และช่วยเหลือประชาชน การแก้ปัญหาเฉพาะ นายกฯ จะสั่งกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหรือฝากกับตัวแทน ที่เกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวให้ช่วยแก้ปัญหา แต่ข้อร้องเรียนหรือความช่วยเหลือที่ต้องใช้ขั้นตอนในการพิจารณามาก ก็จะนำมาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป จุดหมายของการเดินทางของนายกฯ และคณะก็เพื่อต้องการดูปัญหาของประชาชนด้วยตัวเอง เพื่อขจัดความยากจน และ พัฒนาความเป็นอยู่ การศึกษา สุขภาพอนามัย ของประชาชนชาวอีสาน ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นคนอีสาน,ความเป็นอยู่,ประเทศไทยตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดตราด ประเทศไทย2501ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=336
335อื่นๆชีวิตครอบครัวชาวกะเหรี่ยง (สะกอว์) : กรณีศึกษาชาวบ้านซอโอ ตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ จังหวัดตากวันดี สันติวุฒิเมธีเน้นการศึกษาเรื่องชีวิต ครอบครัว สังคม และการแต่งงานของ กะเหรี่ยงสะกอว์ ที่แสดงให้เห็นถึงเรื่องความสัมพันธ์ด้านเชื้อชาติ และความเชื่อเรื่องการเลือกคู่ครอง ตลอดจนชีวิตหลังการสมรสที่สะท้อนมุมมองเรื่องบทบาท ชาย หญิง ในการดำรงชีวิตคู่ ที่เกี่ยวข้องกับ ความเชื่อ การศึกษา เศรษฐกิจ ศิลปวัฒนธรรม และจารีตประเพณีท้องถิ่น ว่าใครมีหน้าที่อย่างไรในครอบครัวปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ครอบครัว,การแต่งงาน,ชีวิตหลังการสมรส,ตากตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดตาก ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=335
334บทความThe Karens: Their Origin and Early MovementsSaw Hanson Tadawกะเหรี่ยงเป็นที่รู้จักของชาวยุโรปในราวคริสต์ศตวรรษที่ 18 และถูกเรียกในชื่อต่าง ๆ ส่วนคำว่า "กะเหรี่ยง" นั้นมาจากภาษาพม่าว่า "Kayin" ซึ่งมีผู้สันนิษฐานถึงที่มาของศัพท์หลากหลายแนว ส่วนหนึ่งที่บทความนี้ได้ให้ความสนใจคือ ภาษาของกะเหรี่ยงซึ่งเป็นภาษาที่มีลักษณะใกล้เคียงกับภาษาจีน เพราะภาษา กะเหรี่ยงมีเสียงวรรณยุกต์ แต่ด้านการเรียงคำมีความแตกต่างจากภาษาจีน นอกจากนี้ลักษณะทางภาษาเป็นส่วนสำคัญ ที่ใช้ในการสันนิษฐานถึงทิศทางการอพยพ รวมถึงช่วงเวลาของการอพยพก่อนหรือหลังชนเผ่าอื่นอีกด้วย กะเหรี่ยงมีเรื่อง ราวคล้ายคลึงกับในพระคัมภีร์ไบเบิล แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร หรืออาจจะเกิดจากการพ้องกัน โดยบังเอิญก็ได้ อย่างไรก็ดี แม้ว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกความเป็นมาของชนเผ่ากะเหรี่ยงไม่ได้ถูกบันทึกไว้ แต่จากนิทาน มุขปาฐะที่เล่าถึงการอพยพจากบ้านเกิด ที่อยู่ทางเหนือลงมาทางใต้นั้นทำให้สันนิษฐานได้ว่า ต้นกำเนิดเดิมของกะเหรี่ยง นั้นอยู่ทางเหนือ แล้วเคลื่อนที่ลงมาสู่ประเทศพม่า ผ่านรัฐฉานและกระจายตัวไปทางทิศใต้และทิศตะวันตก กะเหรี่ยงแบ่งได้ 3 กลุ่มย่อย คือ กะเหรี่ยงสะกอ กะเหรี่ยงโปว์ และ กะเหรี่ยงบะไค (บางเอกสารใช้คำว่า บเว : ผู้สังเคราะห์) ซึ่งจากข้อสันนิษฐานของผู้เขียน เชื่อว่า กะเหรี่ยงโปว์น่าจะเป็นกลุ่มแรกที่อพยพเข้ามาก่อน ตามด้วย กะเหรี่ยงสะกอ ส่วน กะเหรี่ยงบะไคนั้นเป็นกลุ่มสุดท้ายโดยพิจารณาจากการตั้งถิ่นฐานและการกระจายตัวในเขตต่างๆ ทั้งในประเทศพม่าและไทยปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ประวัติความเป็นมา,การตั้งถิ่นฐาน,ประเทศพม่าตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดตาก ประเทศไทย2505ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=334
333วิทยานิพนธ์ชีวิต พิธีกรรมและอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของคนมอญในเมืองไทย กรณีศึกษาในเขต อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรีอะระโท โอชิมาการศึกษาครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาการธำรงชาติพันธุ์มอญที่หมู่ 4, หมู่ 5, และส่วนหนึ่งของหมู่ 3 ที่ ต.บ้านมน (ชื่อสมมุติ) อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี โดยพิจารณาการแสดงออกและการเรียนรู้เอกลักษณ์ชาติพันธุ์มอญ และพรมแดนชาติพันธุ์มอญในชีวิตประจำวันและพิธีกรรมต่าง ๆ ของมอญ โดยที่ผู้เขียนนั้นตั้งใจมองความสัมพันธ์ระหว่างการธำรงชาติพันธุ์กับพิธีกรรมโดยใช้ทฤษฎีการธำรงชาติพันธุ์และทฤษฎีวิเคราะห์พิธีกรรม อันประกอบด้วยปัจจัยหลัก 3 ประการคือ กลุ่ม, ประวัติ, และอัตลักษณ์ พบว่าคนมอญในชุมชนบ้านมนมีเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ที่ซับซ้อนอยู่ 2 ระดับคือระดับที่เป็นคนไทยและระดับที่เป็นคนมอญควบคู่กันไปคือเป็นคนมอญที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย แต่ยังคงใช้สัญลักษณ์บางประการที่แสดงตนถึงความเป็นคนมอญตามกาลเทศะ คือ การแต่งกายและการใช้ภาษา มีพิธีกรรมนับถือผีหรือขะหลกหั่ยสืบต่อทางสายเลือดหรือการทำบุญร่วมกัน 9 วันในวันเข้าพรรษาและออกพรรษาเพื่อรวบรวมกลุ่มชาติพันธุ์มอญในแต่ละตำบลเข้าด้วยกัน (บทคัดย่อ1-2)มอญ,พิธีกรรม,เอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์,ราชบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2536https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=333
332วิทยานิพนธ์เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชาวมอญ : ศึกษากรณีหมู่บ้านเจดีย์ทอง ตำบลคลองควาย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานีพัลลภ สุริยกุล ณ อยุธยา, ร.ต.อ.การศึกษานี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและประเพณีมอญและปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงและการธำรงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวบ้านในหมู่บ้านเจดีย์ทอง ต.คลอง อ.สามโคก จ.ปทุมธานีมอญ,เอกลักษณ์,การเปลี่ยนแปลง,วัฒนธรรม,ปทุมธานีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดปทุมธานี ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=332
331บทความภูมิปัญญาในการดูแลครรภ์ของชาวอาข่ามิติทางสุขภาพหรือความอยู่รอดยิ่งยง เทาประเสริฐ, ผศ.ดร.พฤติกรรมการดูแลครรภ์ของอาข่าเป็นภูมิปัญญาที่ได้รับการสืบทอดมาทางวัฒนธรรม แม้ว่าพฤติกรรมการดูแลครรภ์เหล่านี้อาจ ดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่ในเชิงเป้าหมายก็สามารถเทียบเคียงหรือเข้าใจได้ ซึ่งจุดนี้น่าจะเป็นประเด็นสำคัญของการพัฒนาแบบผสมผสาน ที่มีลักษณะเฉพาะและเหมาะสมกับท้องถิ่น โดยนำมิติทางวัฒนธรรมท้องถิ่นมาเป็นรากฐานพิจารณาร่วมกับมิติทางวิทยาศาสตร์ เพื่อแสวงหารูปแบบการพัฒนาที่เหมาะสมกับท้องถิ่น ซึ่งอาจช่วยย่นระยะเวลาของการเรียนรู้ด้านสุขภาพ โดยเฉพาะการพัฒนาด้านสุขภาพแบบพึ่งตนเองอาข่า,ภูมิปัญญา,สุขภาพ,การดูแลครรภ์,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=331
330บทความกะเหรี่ยง สวยกระบังสุลักษณ์ โกฎสิทธิ์การที่กะเหรี่ยงทั้ง 2 ศาสนา นับถือศาสนาที่แตกต่างกันส่งผลถึงแนวทางความเป็นอยู่การดำรงชีวิตในรูปแบบใหม่ ถึงแม้ว่ากะเหรี่ยงทั้ง 2 หมู่บ้านจะมีแนวทางการนับถือศาสนาคนละแบบแต่ลักษณะการติดต่อหรือขอความช่วยเหลือในด้านศาสนาหรือการบำเพ็ญประโยชน์แก่ส่วนรวมหมู่บ้านทั้ง 2 ก็ช่วยเหลือกันเป็นอย่างดีไม่มีความขัดแย้ง แตกแยก แนวความคิดแต่อย่างไรทั้ง 2 ศาสนา ในอดีตและปัจจุบันเป็นตัวบทบาทที่ทำให้สังคมกะเหรี่ยงสวยกระบังได้พัฒนาจากการเป็นคนกลุ่มน้อยเป็นข้าทาสกลับกลายมาเป็นคนกลุ่มหนึ่งในสังคมเชียงใหม่ และลูกหลานของคนเหล่านั้นกลายเป็นบุคคลที่ช่วยส่งเสริมนำความเจริญมาสู่ประเทศชาติอย่างมากมาย (หน้า11)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ประวัติศาสตร์,ล้านนา,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2526ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=330
329ปริญญานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์เขมรรัตนา กิ่งแก้วเป็นการมุ่งเน้นศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์เขมร ในอดีตสภาพเศรษฐกิจเป็นแบบยังชีพไม่ซับซ้อนเหมือนปัจจุบัน และเมื่อสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันของชาวบ้านเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมของบ้านท่าม่วง การอพยพแรงงานชั่วคราว การยอมรับแบบแผนการใช้ชีวิตแบบวัฒนธรรมสังคมเมือง ความสำคัญทางครอบครัวลดน้อยลงเขมร,การเปลี่ยนแปลง,เศรษฐกิจ,สังคม,วัฒนธรรม,บุรีรัมย์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=329
328บทความA Community Forestry Program for Sam Li village, Phrao District, Chiang Mai Province, Thailand.Baldwin, Peter and Tig, Cavitการทำไร่หมุนเวียนเป็นปัญหาหลักที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเกิดจากกลุ่มคนชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงมีวิถีชีวิตในการทำไร่แบบหมุนเวียนมาช้านาน การเพิ่มพื้นที่ในการทำไร่ และการบุกรุกป่ามีมากขึ้น หมู่บ้านแม่บุญหลวงเป็นอีกหนึ่งหมู่บ้านที่อยู่ในโครงการ "Wieng Pha" เพื่อการพัฒนาบนพื้นที่สูง โครงการในพระราชดำริ พยายามที่จะให้ชาวบ้านตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งและเปลี่ยนแปลงการเพาะปลูก เป็นการปลูกพืชเศรษฐกิจและผลไม้เมืองหนาวแทนการทำไร่หมุนเวียนและการปลูกฝิ่น อย่างไรก็ตาม ยังพบปัญหาในหลายด้านที่ต้องแก้ไขไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจในด้านเทคโนโลยีการเกษตร การปรับปรุงคุณภาพชีวิต การศึกษาของคนในหมู่บ้านให้ดีขึ้น โครงการ "Wieng Pha" จึงเป็นไปเพื่อพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้าน (หน้า vi)ลาหู่,โครงการเวียงป่า,วิถีการผลิต,การเปลี่ยนแปลง,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2532ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=328
327วิทยานิพนธ์ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีผลต่อการทำเกษตรแบบอนุรักษ์ของเกษตรกรม้งและกะเหรี่ยงบริเวณลุ่มน้ำย่อยห้วยแม่แอบ จังหวัดเชียงใหม่สุวจี แตงอ่อนเผ่าพันธุ์ของเกษตรกรที่แตกต่างกันมีผลต่อการทำเกษตรแบบอนุรักษ์ - โดยการไถพรวนดินแบบอนุรักษ์ เกษตรกรกะเหรี่ยงมีการทำการเกษตรแบบอนุรักษ์โดยการไถพรวนดินแบบอนุรักษ์มากกว่าเกษตรกรม้ง - โดยการปลูกพืชหมุนเวียน เกษตรกรกะเหรี่ยงทำการเกษตรแบบอนุรักษ์โดยการปลูกพืชหมุนเวียนมากกว่าเกษตรกรม้ง - โดยการปลูกพืชแบบผสมผสาน/แบบวนเกษตร เกษตรกรเผ่ากะเหรี่ยงทำการเกษตรแบบอนุรักษ์โดยการปลูกพืชแบบผสมผสาน/แบบวนเกษตรมากกว่าเกษตรเผ่าม้ง - โดยการปลูกพืชคลุมดิน เกษตรกรม้งมีการทำการเกษตรแบบอนุรักษ์โดยการปลูกพืชคลุมดินมากกว่าเกษตรกรกะเหรี่ยง - โดยการปลูกพืชตามแนวระดับ เกษตรกรเผ่ากะเหรี่ยงมีการทำเกษตรแบบอนุรักษ์โดยการปลูกพืชตามแนวระดับมากกว่าเกษตรกรเผ่าม้ง - โดยการทำขั้นบันได เกษตรเผ่ากะเหรี่ยงมีการทำเกษตรแบบอนุรักษ์โดยการทำขั้นบันไดมากกว่าเกษตรเผ่าม้ง - โดยการทำทางน้ำไหลและทางน้ำออก เกษตรกรเผ่ากะเหรี่ยงมีการทำเกษตรแบบอนุรักษ์โดยการทำทางน้ำไหลและทางน้ำออกมากกว่าเกษตรกรเผ่าม้ง - โดยการคลุมดิน โดยเกษตรกรเผ่ากะเหรี่ยงมีการทำเกษตรแบบอนุรักษ์โดยการคลุมดินมากกว่าเกษตรกรเผ่าม้ง การทำการเกษตรแบบอนุรักษ์ - โดยการปลูกพืชสลับเป็นแถบของเกษตรกรเผ่าม้งหรือกะเหรี่ยงไม่มีความแตกต่างกัน - โดยการทำคูรับน้ำ/คูเบนน้ำของเกษตรเผ่าม้งหรือเผ่ากะเหรี่ยงไม่มีความแตกต่างกัน (หน้า 106-114)ม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การเกษตรแบบอนุรักษ์,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=327
326รายงานการวิจัยสิ่งทอในพระพุทธศาสนาของกลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่ง (Textile in Buddhism of Lao Khrang Culture)สิทธิชัย สมานชาติสิ่งทอในพระพุทธศาสนาของกลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งในศาสนสถานและชุมชนจาก 8 หมู่บ้าน พบว่า มีรูปแบบสีสันและลวดลายของสิ่งทอใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องนุ่งห่มหรือสิ่งทอในพระพุทธศาสนา โดยนิยมใช้สีวรรณะร้อนเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีแดงที่ย้อมมาจากครั่ง รูปแบบและลวดลายของสิ่งทอก็คล้ายคลึงกัน จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า กลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งทั้ง 8 หมู่บ้าน น่าจะอพยพมาจากถิ่นฐานเดียวกัน หรือใกล้เคียง โดยอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศฝนช่วงเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน (หน้า 1)ลาวครั่ง,สิ่งทอ,อุทัยธานี,ชัยนาท,สุพรรณบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2540https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=326
325วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเข้ามีส่วนร่วมของชาวเขาในการพัฒนา กรณีศึกษา : หมู่บ้านชาวเขาชนะเลิศการประกวดหมู่บ้านพัฒนาตัวอย่างของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จังหวัดเชียงใหม่ ประจำปี พ.ศ. 2527ธวัช เบญจาทิกุลปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาหมู่บ้านของชาวเขาเผ่ามูเซอแดง ณ หมู่บ้านโป่งจ๊อก 1. ชาวเขาที่มีอายุมาก (46 ปีขึ้นไป) จะเข้ามามีส่วนร่วมมากกว่าชาวเขาที่มีอายุน้อย (15-45 ปี) 2. ชาวเขาที่มีฐานะดีจะเข้ามีส่วนร่วมในระดับที่มากกว่าชาวเขาที่มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดี 3. ชาวเขาที่เป็นผู้นำหมู่บ้านจะเข้ามีส่วนร่วมในระดับที่มากกว่าชาวเขาที่เป็นชาวบ้านธรรมดา 4. ชาวเขาที่ใช้ภาษาท้องถิ่นภาคเหนือ (คำเมือง) ได้ดี จะเข้ามีส่วนร่วมในระดับที่มากกว่าชาวเขาที่ใช้ภาษาท้องถิ่นภาคเหนือ (คำเมือง) ไม่ได้ดี 5. ชาวเขาที่นับถือศาสนาพุทธจะเข้ามีส่วนร่วมในระดับที่มากกว่าชาวเขาที่นับถือศาสนาคริสต์ 6. การได้เห็นตัวอย่างการพัฒนาดีเด่นจากหมู่บ้านอื่น มีผลในเชิงบวกต่อระดับการมีส่วนร่วมของชาวเขาในการพัฒนา (หน้า 83-88) มูเซอส่วนใหญ่ในหมู่บ้านโป่งจ๊อกมีส่วนในการร่วมมือกันพัฒนาหมู่บ้าน เพื่อให้หมู่บ้านตนชนะการประกวดหมู่บ้านพัฒนาตัวอย่าง โดยได้มีส่วนช่วยกันแก้ปัญหาทั้งทางด้านสุขภาพพลานามัย ยาเสพติด ฯลฯ ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะชาวบ้านมีโอกาสเดินทางไปดูหมู่บ้านพัฒนาตัวอย่าง เพื่อจะได้รับการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ จากรัฐบาล (หน้า 90-102)ลาหู่,ลาหู่แดง,การพัฒนา,การมีส่วนร่วม,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=325
324รายงานการวิจัยข้อห้ามข้อนิยมของชาวเขาเผ่าลีซอประเสริฐ ชัยพิกุสิตการศึกษามีจุดมุ่งหมายเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงในพฤติกรรมทางสังคมด้านข้อห้ามและข้อนิยมของชาวเขาเผ่าลีซอ ที่ได้ยึดถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษและยังคงปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อประโยชน์สำหรับหน่วยงานและผู้สนใจ (หน้า คำนำ)ลีซู,ข้อห้าม,ข้อนิยม,ประเพณี,พฤติกรรมทางสังคม,แม่ฮ่องสอน,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2520ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=324
323วิทยานิพนธ์การศึกษาความสัมพันธ์ของระบบเครือญาติกับการปรับตัวทางการเมืองในหมู่ชาวลีซอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ปิยนาถ แสนศักดิ์การเปลี่ยนแปลงภายในสังคมลีซอเขาค้อ หมู่บ้านเพชรดำ ได้รับแรงกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกสังคม การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัตถุ ทำให้เกิดการยอมรับได้ง่าย แต่การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองการปกครองกลับเกิดปฏิกิริยายาต่อต้าน เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับแนวความคิดซึ่งเป็นนามธรรม (หน้า ฆ)ลีซู,ระบบเครือญาติ,การปรับตัว,เพชรบูรณ์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเพชรบูรณ์ ประเทศไทย2532ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=323
322วิทยานิพนธ์The social and Economic Organization of Two White Meo Communities in Northern ThailandBinney, George A.การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ศึกษาการจัดระเบียบเศรษฐกิจ-สังคมและวิเคราะห์โครงสร้าง เนื้อหาของระบบการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผา (swidden agricultural system) หรือการเพาะปลูกเลื่อนลอย ในชุมชนม้งขาว 2 แห่งที่ภาคเหนือของประเทศไทย ผู้เขียนศึกษาลักษณะภูมิประเทศและประชากรเพื่อวิเคราะห์รูปแบบเฉพาะของระบบการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผาซึ่งอาจจะเห็นได้ภายในบริบทสังคมและสิ่งแวดล้อมของชุมชน การปลูกพืชเพื่อให้ได้อาหารมากที่สุดเป็นตัวกำหนดการจัดการการเพาะปลูก การปรับปรุงเทคโนโลยี องค์ประกอบของสิ่งแวดล้อม และความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆที่คนในชุมชนกำหนดแสดงถึงความรู้ในความซับซ้อนของกระบวนการนิเวศชาติพันธุ์ (the sophistication of the ethnoecological) ผู้เขียนพบว่าม้งขาวยังคงรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกันทางสังคมไว้ได้ (social solidality) แม้ว่าจะได้รับความกดดันจากวัฒนธรรมกระแสหลักของคนพื้นราบ คุณค่าเชิงการเมืองของม้งขาวขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ในถิ่นที่อยู่ หน่วยพื้นฐานของโครงสร้างทางการเมืองคือ ครัวเรือนและหมู่บ้าน ระบบสายตระกูลและการจัดระเบียบความสัมพันธ์ทางเครือญาติของม้งเข้ามาแทนที่การขาดการรวมตัวกันทางการเมืองโดยหล่อหลอมม้งขาวเข้าเป็นเครือข่ายของการพึ่งพากัน สมาชิกแต่ละครัวเรือนจะเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆในชุมชน 2 ลักษณะคือ โดยการสืบสายเลือดหรือตระกูล และโดยการแต่งงาน ผู้เขียนเห็นว่า ในภาษาม้งมีคำที่แสดงความคิดการจัดระเบียบความสัมพันธ์ ได้แก่ คำ "yim"- กลุ่มครัวเรือนเชิงพื้นที่ "cuab"- กลุ่มสายตระกูลหน่วยที่เล็กที่สุด ซึ่งประกอบด้วยญาติโดยสายเลือดและญาติโดยการแต่งงานที่อยู่ภายใต้อำนาจของหัวหน้าครัวเรือนเดียวกัน "kwvtij"- กลุ่มของลูกหลานที่สืบสายเลือดข้างบิดา และคำว่า "xeem" ซึ่งมีความหมายหลายนัย หมายถึงกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดของคนที่สืบสายเลือดข้างผู้ชาย ขณะเดียวกันก็ยังมีความหมายเหมือนกับ "cuab" ด้วยอีกนัยหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่กลุ่มที่มีลักษณะพิเศษเป็นหนึ่งเดียว (an entirely unique group) เหมือนกับกลุ่ม/หน่วยเล็กในระบบของกลุ่ม (a system of groups) อย่างไรก็ดี สายตระกูล (lineages) ไม่ได้เป็นกลุ่มท้องถิ่นที่ร่วมมือกันเสมอไป แม้ว่าสายตระกูลจะเกี่ยวข้องมีความสัมพันธ์กับหน่วย/กลุ่มเชิงอาณาเขต (territorial units) อยู่บ่อยๆ ก็ตาม สมาชิกของสายตระกูลหนึ่งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งหนึ่งจะมองตนเองว่าเป็นกลุ่มที่ร่วมถิ่นเดียวร่วมกันหรือกลุ่มบ้านเดียวกัน และก็มีอยู่บ่อยๆว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์เป็นญาติข้างบิดา ซึ่งกำหนดแบบแผนการตั้งถิ่นฐานในชุมชน ที่ดินรอบๆ ชุมชนถือเป็น "liag ia" - ที่ดินและพื้นที่ที่เป็นของสายตระกูลในชุมชน สิทธิการเพาะปลูกบนที่ดินมีความสำคัญต่อม้งขาว ขณะที่คุณค่าที่สนับสนุนสิทธิในการเพาะปลูกก็เป็นหลักการพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจ - สังคมม้ง หลักการเบื้องต้นคือ การรักษาสิทธิการเพาะปลูกบนที่ดินเพื่อสนับสนุนความต้องการของสายตระกูลตนเอง ขณะที่การรักษาตำแหน่ง (position) ของตนในกลุ่มญาติร่วมสายเลือดจะทำให้ได้รับความช่วยเหลือจากญาติๆ ในกรณีที่เกิดข้อขัดแย้งเกี่ยวกับสิทธิการเพาะปลูก สิ่งนี้เป็นผลของการพยายามรักษาสมดุลระหว่างการมีที่ดินเพื่อการเพาะปลูกกับการอาศัยในชุมชน การแต่งงานเป็นเครื่องมือที่ม้งขาวใช้สร้างข้อผูกมัดระหว่างสายตระกูล ม้งขาวห้ามมิให้สมาชิกในตระกูลเดียวกันแต่งงานกัน ค่าสินสอดเจ้าสาวจะสร้างข้อผูกมัดทางสังคมระหว่างบุคคลต่างๆ และกำหนด/ควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างกันของคนเหล่านั้นจนกระทั่งความสัมพันธ์นั้นผสมกลมกลืนเข้าไปในระบบเครือญาติ ณ จุดนั้น กลุ่มทางสังคมจะจำแนกกลุ่มตนเองด้วยการมีบรรพบุรุษร่วมกัน มีผลประโยชน์ทรัพย์สินร่วมกัน ภรรยาและเด็กๆ และสิทธิในเขตแดนร่วมกัน รวมทั้งสิทธิในทรัพยากรที่ดินอันเกี่ยวข้องกับความร่ำรวยของครัวเรือน (น. i-xv - abstract)ม้ง,แม้วขาว,โครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจ,ครอบครัวและเครือญาติ,ระบบการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผา,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2511ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=322
321รายงานการวิจัยรายงาน การสำรวจความต้องการทางเศรษฐกิจและสังคมในอาณาบริเวณที่ปลูกฝิ่นของประเทศไทยคณะสำรวจสหประชาชาติคณะสำรวจสหประชาชาติได้รับการขอร้องให้ทำการพิจารณาตรวจสอบและรายงานเรื่องเศรษฐกิจและสังคม ของประชากรชาวเขาในทางตอนเหนือของประเทศไทย โดยขอให้พิจารณาในเรื่องการหาพืชอื่นมาทดแทนการปลูกและการผลิตฝิ่นเป็นพิเศษได้ดำเนินงานสำรวจทั้งในพระนครและในบริเวณที่ชาวเขาอาศัย รัฐบาลไทยโดยผ่านทางกระทรวง กรม และคณะกรรมการต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องได้ให้ความสนับสนุนทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ รายงานนี้รวมเอาเรื่องราวอย่างย่อเกี่ยวกับการสังคมและการเศรษฐกิจของชาวเขา สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติของอาณาบริเวณที่ชาวเขาอาศัยอยู่ ตลอดจนลักษณะของทรัพยากรที่มีอยู่ในบริเวณนั้น อภิปรายบทบาทของการผลิตฝิ่นที่มีต่อการเศรษฐกิจของชาวเขา วิเคราะห์การสำรวจต่าง ๆ ที่ทำมาแล้วในอดีต และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการสำรวจของรัฐบาลในปี พ.ศ. 2508-2509
ได้กล่าวถึงประวัติของการปลูกฝิ่น การผลิตฝิ่น การลักลอบค้าฝิ่น การเสพติดยาเสพติดให้โทษและเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้
กล่าวถึงกิจกรรมต่าง ๆ ของรัฐบาลในด้านนิติบัญญัติและบริหาร รวมทั้งงานของคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและงานของ
กรมประชาสงเคราะห์ ตำรวจภูธรชายแดนและศูนย์วิจัยชาวเขา อภิปรายสถานการณ์ในปัจจุบันค่อนข้างละเอียด และ
พิจารณาเปรียบเทียบความร้ายแรงของสถานการณ์ ข้อเสนอแนะแบ่งออกเป็นเรื่องใหญ่ ๆ คือ การเกษตร การป่าไม้ และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง การลักลอบค้าฝิ่น และการติดยาเสพติดให้โทษ การบริหารในเรื่องการเกษตรและป่าไม้ได้เสนอข้อยุติใน
แง่ทางเศรษฐกิจว่าไม่มีพืชชนิดใดหรือกิจกรรมใดเพียงอย่างเดียวที่จะสามารถทดแทนฝิ่นได้ในระยะสั้น นอกจากพืชอื่น ๆ หลายอย่าง แนะนำพืชสองสามอย่างที่มีน้ำหนักเบา มีปริมาตรไม่ใหญ่และมีราคาสูงเพื่อให้ทำการศึกษาพิจารณา เช่น เมล็ดพันธุ์ผัก ไพเรธรัม และชา เน้นถึงความจำเป็นของการวิจัย การส่งเสริม การสาธิต และชี้ให้เห็นว่ามีทางที่จะจัดหางานให้แก่
ชาวเขาทำได้โดยการทำเยื่อไม้จากต้นสนและไม้อื่นๆ และโดยการปลูกต้นไม้พันธุ์พื้นเมืองและพันธุ์ต่างประเทศบางอย่างเพื่อ
ใช้ผลิตเยื่อไม้ แม้ว่าภายใต้สถานการณ์บางอย่าง การทำไร่เลื่อนลอยจะก่อให้เกิดปัญหาในการอนุรักษ์ดิน ในรายงานแนะนำให้ความพยายามปรับปรุงวิธีการแบบนี้เพื่อให้ทำการเพาะปลูกในที่ ๆ ดีกว่าได้เป็นเวลานานกว่า แทนที่จะพยายามสนับสนุนการตั้งหลักแหล่งอย่างถาวรก่อนที่จะถึงเวลาอันสมควรในเรื่องฝิ่น การลักลอบค้าฝิ่นและการติดยาเสพติดให้โทษ
และเสนอแนะให้รัฐบาลกระชับการปราบปรามให้เข้มแข็งขึ้น ขั้นตอนต่าง ๆ ในการค่อย ๆ กำจัดการปลูกฝิ่นรวมทั้งปัญหาการให้เงินอุดหนุน การร่วมมืออย่างใกล้ชิดกว่าเดิมกับประเทศเพื่อนบ้าน อุปกรณ์ต่าง ๆ ในการบำบัดการเสพติดฝิ่นของพวกชาวเขา และการเข้าเป็นสมาชิกสามัญในคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษ สหประชาชาติมีการอภิปรายเรื่องรูปแบบของการบริหารที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิมอย่างละเอียด ความจำเป็นที่สำคัญคือ ต้องมีการประสานงานกันในงานต่าง ๆ ที่หน่วยงานหลายแห่งปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันนี้ และยังแนะนำว่าให้จัดตั้งสำนักงานหรือกรม ๆ หนึ่งมาเพื่อให้ทำหน้าที่งานพัฒนาที่สำคัญๆ และให้ขอที่ปรึกษาหรือผู้ประสานงานจากองค์การสหประชาชาติมาช่วยปฏิบัติงานด้วย (หน้า ก-ข)ชาวเขา,การปลูกฝิ่น,ความต้องการทางเศรษฐกิจและสังคม,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัด ประเทศไทย2510ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=321
320รายงานการวิจัยอิสลาม : พัฒนาการของชุมชนมุสลิม : ศึกษาบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลา พ.ศ.2442-2542เอี่ยม ทองดีการศึกษาอิสลามกับพัฒนาการของชุมชนมุสลิมในบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลา ผู้วิจัยได้แบ่งพัฒนาการของชุมชนมุสลิมออกเป็น 2 ช่วงใหญ่ คือ ช่วงก่อนร้อยปีที่ผ่านมา (ก่อน พ.ศ. 2442) และช่วงร้อยปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2442 - 2542) ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็นอีก 3 ช่วงย่อยคือ ยุคการศึกษาอิสลามในสถาบันครอบครัว (พ.ศ. 2442 - 2487) ยุคการศึกษาอิสลามในโรงเรียนปอเนาะ (พ.ศ. 2488 - 2516) ยุคการศึกษาอิสลามในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา (พ.ศ. 2517 - 2542) พัฒนาการของชุมชนมุสลิมในพื้นที่ที่ศึกษาขึ้นอยู่กับการศึกษาและการเผยแพร่อิสลามเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะศาสนาอิสลามได้เข้ามาเป็นโครงสร้างหลักส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่ปลูกฝังพฤติกรรมต่างๆ แก่สังคมในพื้นที่นี้มาแต่โบราณ เป็นสื่อกลางประสานเชื่อมโยงผู้คนในสังคม มีคุณธรรม จริยธรรม มนุษยธรรมและหลักธรรมต่างๆ เป็นเป้าหมายของชีวิต มีแบบแผนพฤติกรรมรายละเอียดที่แตกต่างกัน พัฒนาการเรื่องต่างๆ ทางศาสนาจึงเป็นพลังที่ผลักดันให้สังคมเกิดความเป็นระเบียบวินัย มีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเป็นการเพิ่มพลังชีวิตนำไปสู่สันติของท้องถิ่น ยุคก่อนร้อยปีที่ผ่านมา / ยุคไร้สถาบันการศึกษา (ยุคการศึกษาแบบดั้งเดิม) หรือยุคสาดดาด ช่วงเวลาตั้งแต่อดีต/โบราณมาจนถึงปี พ.ศ. 2442 เป็นชุมชนที่เน้นการปฏิบัติอิสลามตามประเพณีที่สืบต่อกันมา มากกว่าการเรียนรู้ทางหลักอิสลาม เป็นยุคที่มีผู้ปฏิบัติมากกว่าผู้รู้ศาสนา ลักษณะด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรในยุคนี้โดยทั่วไปเน้นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอยู่ในชุมชนหรือในท้องถิ่นตามธรรมชาติ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางสังคมและวัฒนธรรมก็จำกัดในแวดวงจำกัดและเน้นความสัมพันธ์ทางเครือญาติ (สายโลหิตและการเกี่ยวดอง) ตามแบบแผนทางสังคมและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ระบบอุปถัมภ์ การผลิต การแจกจ่าย การบริโภคแลกเปลี่ยนผลผลิต จะวนเวียนอยู่ในกรอบความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นหลัก ยุคการศึกษาอิสลามในสถาบันครอบครัว (พ.ศ. 2442 - 2487) เป็นยุคที่การจัดการศึกษาศาสนาเกิดขึ้นในครอบครัว เริ่มมีผู้รู้ ผู้เข้าใจและผู้นำทางศาสนาอิสลาม ที่เข้าใจในหลักปฏิบัติมากขึ้น การเรียน การเผยแพร่อิสลามสู่ชุมชนมากขึ้น ชุมชนมุสลิมยังคงพัฒนาการแบบค่อยเป็นค่อยไป บทบาทความสำคัญของกลุ่มที่อยู่ในระบบอุปถัมภ์มาสู่สถาบันครอบครัวมากขึ้น สถาบันครอบครัวมีความเข้มแข็งขึ้น มีบทบาทต่อส่วนรวมมากขึ้น ยุคการศึกษาอิสลามในโรงเรียนปอเนาะ (พ.ศ. 2488 - 2516) เป็นยุคที่การเรียนการสอนศาสนาในครอบครัวได้พัฒนาขึ้นเป็นโรงเรียนที่เรียกว่า ปอเนาะ โรงเรียนเป็นกรรมสิทธิ์ของโต๊ะครูหรือกลุ่มบุคคลหรือมัสยิด ลักษณะทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรในยุคนี้ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางสังคม เรื่องเครือญาติเริ่มลดหย่อนความเข้มข้นลง สำนึกในความเป็นมุสลิมมีความชัดเจนขึ้น ประเพณีปฏิบัติเดิมๆ ที่ผิดพลาดได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง ระบบอุปถัมภ์ยังคงมีอยู่ แต่อาศัยปัจจัยอื่นๆ เกี่ยวข้องด้วยเช่น ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ ทางการเมืองการปกครอง การผลิตเป็นไปเพื่อการขาย ชุมชนสัมพันธ์กับการตลาดโดยตรง ยุคการศึกษาอิสลามในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา (พ.ศ. 2517 - 2542) เป็นช่วงเวลาการพัฒนาเปลี่ยนแปลงยกระดับการศึกษาโรงเรียนปอเนาะให้เปิดสอนวิชาศาสนาควบคู่กับวิชาสามัญ ชุมชนให้ความสำคัญกับการศึกษาอิสลามอย่างชัดเจน ลักษณะทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรในยุคนี้ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางสังคมและวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับส่วนต่างๆ ภายในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น ความสัมพันธ์ทางสังคมเรื่องเครือญาติที่ต่างศาสนามีวงจำกัดเฉพาะญาติสนิทและอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงมากขึ้น สำนึกความเป็นมุสลิมมีโครงสร้างเป็นระบบจากชุมชนสู่ท้องถิ่น สู่ประเทศ สู่ภูมิภาคและสู่ความเป็นสากล ระบบอุปถัมภ์ได้พัฒนาการขึ้นให้สอดคล้องกับพัฒนาการเรื่องความสัมพันธ์ทางสังคม มีปัจจัยอื่นเป็นองค์ประกอบ เช่น ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง การผลิต การบริโภคและการแลกเปลี่ยนผลผลิตเน้นการผลิตที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรม การค้า การบริการมุสลิม พัฒนาการ ชุมชนมุสลิม ลุ่มทะเลสาบสงขลา ภาคใต้ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัด ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=320
319รายงานการวิจัยการศึกษาเปรียบเทียบการตั้งถิ่นฐานและสถาปัตยกรรมของชนกลุ่มน้อยเผ่าอาข่าระหว่างแขวงหลวงน้ำทาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและจังหวัดเชียงรายประเทศไทยคาราเต้ สินชัยวอระวงศ์เป็นการศึกษาการเปรียบเทียบการตั้งถิ่นฐานและสถาปัตยกรรมของชนเผ่าอาข่า ที่แขวงหลวงน้ำทาประเทศลาว กับอาข่าในจังหวัดเชียงรายของประเทศ ซึ่งในงานศึกษากล่าวถึงรูปแบบการตั้งถิ่นฐานวิถีการดำเนินชีวิต ทั้งด้านจารีตประเพณี รูปแบบทางสังคมและการปกครอง ทั้งนี้ ยังได้เปรียบเทียบ รูปแบบสถาปัตยกรรมการสร้างบ้านของอาข่าทั้งสองแห่ง ซึ่งรูปแบบสถาปัตยกรรมการสร้างบ้านของอาข่าแขวงหลวงน้ำทายังคงรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเดิมอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ส่วนรูปแบบการสร้างบ้านของหมู่บ้านแสนใจใหม่และบ้านอาโยะอนามัย บ้านเรือนส่วนใหญ่ไม่เป็นรูปแบบอาข่าเต็ม 100 % มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเป็นแบบสมัยใหม่ เปลี่ยนรูปทรง และสาเหตุที่ทำให้เปลี่ยนรูปทรง ก็เพราะว่าหาวัสดุอย่างเดิมไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งคือสร้างบ้านอยู่อย่างถาวรแล้วไม่ย้ายไปอยู่ที่อื่นอีกแล้ว จากการเปรียบเทียบการตั้งถิ่นฐานของหมู่บ้านทั้งสองแห่ง จะเห็นได้ถึงความแตกต่างของการตั้งถิ่นฐาน ซึ่งแต่ละแห่งก็จะมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันออกไป (หน้า 2, 6-31, 35, 36, 46, 57, 58, 68, 69, 76-108)อาข่า,สถาปัตยกรรม,การตั้งถิ่นฐาน,หลวงน้ำทา,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=319
318รายงานการวิจัยลัวะในล้านนาคณะวิชามนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครูเชียงใหม่รายงานของผู้เขียนมีใจความสำคัญที่มุ่งศึกษาค้นคว้าในเรื่องวิถีการดำเนินชีวิตของลัวะในล้านนา ระหว่างนักวิชาการที่มีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของลัวะในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาของลัวะ ชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อและประเพณี เศรษฐกิจ ถิ่นที่อยู่อาศัยในพื้นที่ต่าง ๆ รวมไปถึงลักษณะบ้านเรือน โครงสร้างทางสังคมที่สืบเชื้อสายทางฝ่ายมารดา นับถือผีบรรพบุรุษทางฝ่ายมารดา และการปกครองก็ยังเน้นให้เห็นถึงการนับถือผู้นำทางเครือญาติของตน ทั้งนี้เพื่อนำความรู้ในเรื่องที่ศึกษามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันของนักวิชาการ และจะได้รวบรวมเผยแพร่ข้อมูลจากเอกสารจากเรื่องลัวะในล้านนานี้ ให้กับผู้ที่สนใจที่จะศึกษาต่อไป (หน้า 1-10)ลเวือะ,เศรษฐกิจ,สังคม,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,เชียงใหม่,แม่ฮ่องสอนตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=318
317รายงานการวิจัยลักษณะสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นตัวกำหนดโครงสร้างประชากร ชาวเขาเผ่ามูเซอสนิท วงค์ประเสริฐเป็นการศึกษาตัวกำหนดโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม ที่มีต่อการเพิ่มจำนวนประชากร ที่เน้นให้เห็นถึงตัวกำหนดทางนิเวศน์วิทยา ที่มีผลต่อวิถีการดำเนินชีวิตของชาวเขาเผ่ามูเซอ โดยแสดงให้เห็นถึงการรักษาประเพณีดั้งเดิมของเผ่าตนเองอย่างเคร่งครัด ยึดมั่นในระบบครอบครัว แบบผัวเดียวเมียเดียว และทำให้รู้ถึงหลักความเชื่อทางศาสนา อย่างการนับถือผี ที่ยังมีการนับถือกันอย่างเคร่งครัดไม่มีเปลี่ยนแปลง รวมไปถึงการอพยพเคลื่อนย้ายจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งที่ยังเป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณี ผู้หญิงมูเซอสามารถตัดสินใจในเรื่องการวางแผนครอบครัว โดยได้รับการยินยอมจากสามีของตน จากการศึกษายังเน้นให้เห็นความแตกต่างของมูเซอพื้นราบที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากสภาพทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ติดกับชาวไทยพื้นราบ ทำให้รับเอาวัฒนธรรมของชาวพื้นราบได้โดยง่ายกว่ามูเซอที่อยู่บนภูเขาสูง (หน้า 1, 8,10, 51, 52)ลาหู่,สังคม,สิ่งแวดล้อม,วิถีชีวิต,โครงสร้างประชากร,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2520https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=317
316รายงานการวิจัยการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำรงชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยง : กรณีศึกษาหมู่บ้านในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ขวัญชีวัน บัวแดงเป็นการศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต ของกะเหรี่ยง ว่ามีวิถีการดำรงชีวิตเป็นอย่างไร เพราะปัจจุบันวิถีการดำเนินชีวิตได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางภายนอก ที่ส่วนใหญ่จะสร้างบ้านเรือนกันอย่างถาวร หลังคามุง กระเบื้อง ตัวบ้านทำด้วยไม้ ในหมู่บ้านก็มีไฟฟ้าใช้ ทั้งนี้ยังเน้นให้เห็นถึงลักษณะการผลิตทางด้านการเกษตรกรรม ที่ปลูกข้าวเพื่อการบริโภคมากกว่าการขาย มีการหารายได้จากนอกภาคเกษตรกรรม คือ การออกไปรับจ้างขายแรงงานเพื่อนำเงินมา จุนเจือครอบครัว รวมไปถึงภาวะการมีหนี้สินของชาวบ้าน ที่สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการในการใช้จ่าย เพื่อการครองชีพ มากขึ้น (หน้า 4, 7, 33-37, 70-73)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),วิถีชีวิต,การเปลี่ยนแปลง,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=316
315รายงานการวิจัยสังคม - เศรษฐกิจการเกษตรของชาวเขาเผ่ามูเซอ ( ดำ)สนิท วงศ์ประเสริฐเป็นการศึกษาถึงสภาพทางสังคมของมูเซอและเศรษฐกิจ การผลิตทางการเกษตร ซึ่งสิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนดวิถีการดำรงชีวิตของชาวเขาเผ่ามูเซอ ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมทางศาสนาที่เกี่ยวกับการเกษตรกรรมทั้งสิ้น และค่านิยมในชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสังคม และศาสนาที่ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่า ทั้งนี้ ยังได้ศึกษาถึง ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์นานาชนิด และได้ศึกษาถึงผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญ อย่างพืชหลัก ก็คือ ข้าว ข้าวโพด และฝิ่น รวมถึงศึกษาถึงหลักการบริโภคอีกด้วย (หน้า 106 -107)ลาหู่,สังคม,เศรษฐกิจ,การเกษตรกรรม,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2522https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=315
314บทความDefending Community, Strengthening Civil Society : A Muslim Minority's Contribution to Thai Civil SocietyChaiwat Satha-Anandโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะประสบความสำเร็จได้ยากหากขาดการสนับสนุนจากประชาชน การต่อสู้ของชุมชนบ้านครัวเป็นการเน้นย้ำว่าสังคมไทยไม่ใช่สังคมเดี่ยว ชมกลุ่มน้อยก็มีสิทธิ์มีเสียงในสังคมเช่นเดียวกัน โครงการพัฒนาใดที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากคนในสังคมก็จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบ นอกจากนี้ การยืนหยัดต่อสู้ของคนในชุมชนมากว่าสิบปีก็เป็นการยืนยันว่า civil society ในสังคมไทยมีความเข้มแข็งขึ้น (หน้า 100-101)มุสลิม,ระบบประชาสังคม,ชุมชนบ้านครัว,กรุงเทพมหานครตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2544ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=314
313วิทยานิพนธ์สังคมชาวมุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือวิชาญ ชูช่วยเนื้อหาครอบคลุมประวัติการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยของมุสลิมสายต่าง ๆ โดยเน้นมุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อธิบายกระบวนการปรับตัวและบทบาทของมุสลิมในภูมิภาคนี้ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และ การเมืองมุสลิม,ประวัติศาสตร์,สังคม,วัฒนธรรม,บทบาททางเศรษฐกิจ,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2533ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=313
312รายงานการวิจัยกรณีศึกษา:สภาพ และ ปัญหาทางการศึกษาของชาวกะเหรี่ยงเผ่าสะกอ บ้านผาแตก ตำบลสบเปิง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่พชรวรรณ จันทรางศุผู้เขียน ได้ศึกษา เรื่องปัญหาทางการศึกษาทั้งในระบบโรงเรียน และการเรียนนอกระบบของกะเหรี่ยงเผ่าสะกอที่ทางรัฐบาลมุ่ง ให้การศึกษากับชาวบ้านโดยให้ให้เกิดความรู้สึก รักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ การวิจัยได้สัมภาษณ์ ชาวบ้าน และ เจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่โดยการสังเกตสภาพความเป็นอยู่ตลอดจนความเชื่อของชาวบ้าน และ สังเกตการเรียน ของนักเรียน ในโรงเรียนบ้านผาแตก ซึ่งเป็นสถานที่มีนักเรียนกะเหรี่ยงและคนไทยพื้นราบเข้ามาเล่าเรียนปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),,ปัญหาการศึกษา,เชียงใหม่ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=312
311รายงานการวิจัยวิถีครอบครัวและชุมชนชาติพันธุ์ไทยแสก บ้านบะหว้า ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนมสมศักดิ์ ศรีสันติสุข, ปรีชา ชัยปัญหาวิถีครอบครัวของบ้านบะหว้าไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนัก กล่าวคือ เดิมมีครอบครัวแบบขยายตั้งแต่ 2 ครอบครัวขึ้นไปมาอยู่กับ ปู่ย่า ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นครอบครัวเดี่ยวตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ๆ ครอบครัวของปู่ย่า การสืบสายตระกูลทางฝ่ายชายลูกชายคนสุดท้ายจะได้รับมรดกและเลี้ยงดูพ่อแม่ ญาติพี่น้องจะมีความสัมพันธ์กันอย่างมาก บทบาทของพ่อจะมีหน้าที่อบรมสั่งสอนลูกชาย ส่วนแม่จะอบรมสั่งสอนลูกหญิง ในอดีตสมาชิก ภายในครอบครัวสามารถหาอาหารจากแหล่งหากินรอบ ๆ ชุมชน แต่ปัจจุบันปริมาณอาหารจากแหล่งธรรมชาติเริ่มลดลง อาหารการกินโดยมากได้มาจากตลาด สภาพบ้านเรือนได้เปลี่ยนแปลงในด้านวัสดุก่อสร้างตลอดจนรูปแบบการใช้สอยที่แตกต่างกันออกไป จากเรือนเดิมที่มีใต้ถุนไว้เลี้ยงสัตว์กลายเป็นเรือน 2 ชั้น ไทยแสกชอบความสะอาด เครื่องนุ่งห่มเคยปลูกฝ้ายและทอ เย็บตัดเอง แต่ปัจจุบันเสื้อผ้าโดยมากจะซื้อสำเร็จรูป นอกจากนี้มีการรักษาโรคโดยแพทย์แผนปัจจุบันควบคู่กับการรักษาจากแพทย์พื้นบ้าน ไทยแสกบ้านบะหว้าสามารถปรับตัวในกระแสโลกาภิวัตน์เป็นอย่างดี สามารถรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีโดยเฉพาะพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดและสามารถจัดการสภาพแวดล้อมของชุมชนในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนมีกระบวนการร่วมกันของความเป็นชาติพันธุ์ภายในชุมชน กลุ่มสังคม และกระบวนการที่พัฒนาไปสู่ความทันสมัยในกระแสโลกาภิวัตน์ แต่ก็ดำรงรักษาและความสำนึกในเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ไทยแสกบ้านบะหว้าได้อย่างเหมาะสมแสก,วิถีครอบครัว,ชุมชน,พิธีกรรม,นครพนมตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดนครพนม ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=311
310หนังสือหนังสือนำชม พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง ประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมมอญ เตลง เมง รามัญ รามัญ เมง เตลง มอญไม่ปรากฏชัดเจนคนมอญสังกัดรัฐมอญในประเทศพม่า อพยพเข้าสู่ประเทศไทยเป็นระลอกๆ โดยมีการอพยพครั้งใหญ่ 9 คราว จำแนกเป็นสมัยอยุธยา 6 คราว สมัยกรุงธนบุรี 1 คราวและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 2 คราว ในช่วงต้นมีฐานะเป็นชนกลุ่มน้อยแต่ก็มีความเป็นอยู่ทัดเทียมกับคนไทย ปัจจุบัน เป็นชนชาติที่ "สิ้นแผ่นดิน แต่ไม่สิ้นชาติ" ความเป็นมอญและคนมอญยังซ้อนทับอยู่กับการเป็น ผู้คนกลุ่มหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งในรัฐใหญ่ โดยเฉพาะประเทศพม่านั้นยังอยู่ในเขตแดนของรัฐและบ้านเมืองของชาวพยู การที่มอญนับถือผีและเคร่งครัดในพระพุทธศาสนาทำให้มอญอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจในการทำงานให้ชุมชนและวัด ทำให้วัฒนธรรมเดิมยังดำรงอยู่ได้ และยังมีพลังในการรักษาชุมชนท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมมอญ,ประวัติศาสตร์,สังคม,วัฒนธรรม,ราชบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=310
309บทความปี่พาทย์-มอญรำ ความอลังการแห่งคีต-นาฏกรรมที่เรืองรุ่งและดำรงอยู่ในจิตวิญญาณของความเป็นมอญไพโรจน์ บุญผูกวงปี่พาทย์มอญและรำมอญใช้บรรเลงหรือรำเฉพาะงานศพเท่านั้น แต่ในความจริงแล้วสามารถบรรเลงได้ทั้งงานมงคลและงานอวมงคล ปัจจุบันวงปี่พาทย์มอญเหลืออยู่เพียงไม่กี่คณะและลดความนิยมลงเนื่องด้วยกระแสโลกาภิวัตน์ที่เปลี่ยนทิศทางของวัฒนธรรมไทยให้เบ่งบานในรูปแบบตะวันตกมากขึ้น ส่งผลให้ปี่พาทย์มอญเปลี่ยนแปลงเช่นกันมอญปี่,พาทย์-มอญรำ,นาฏศิลป์, ความนิยม,นนทบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=309
308หนังสือด่านเจดีย์สามองค์จำลอง ทองดีโอกาสที่จะได้สัมผัสกับคนมอญและแผ่นดินมอญแทบจะไม่มีเพราะสหภาพพม่าได้กำหนดให้เมืองมอญเป็นเมืองปิดแต่จะรับรู้เพียงข่าวคราวจากพระสงฆ์มอญ แนวคิดที่จะแยกมอญออกมาจากการปกครองของพม่ามีโอกาสน้อยมาก เพราะมอญขาดผู้นำขาดการพัฒนาและฟื้นฟูชนชาติ แต่ที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ภาษามอญจนทุกวันนี้ได้เพราะพระสงฆ์มอญและวัดมอญยังพึ่งพิงได้ ปัญหาที่เกิดจากการกดขี่ข่มเหงและการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่ผ่านมานั้นเป็นผลของระบอบการปกครองของพม่าที่มีมาทั้งในอดีตและปัจจุบัน (หน้า 14) ดร.นาย ปัน ละ เสนอข้อคิดเห็นว่า น่าจะมีการรื้อฟื้นเส้นทางรถไฟระหว่างกรุงเทพฯ กับย่างกุ้งได้โดยอาศัยเส้นทางรถไฟสายมรณะโดยขอความร่วมมือจากญี่ปุ่นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศและด้านเศรษฐกิจ การยึดเมืองมอญคืนจากพม่า น่าจะเป็นการยึดพื้นที่ทางเศรษฐกิจในแผ่นดินมอญมากกว่า คนมอญคงจะได้เมืองคืนโดยเหตุผลทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและการศึกษามากกว่าที่จะจับอาวุธขึ้นมาทำสงครามในยุคของการแข่งขันทางเศรษฐกิจการค้าและเทคโนโลยี มอญคงไม่สูญชาติและเผ่าพันธุ์ ตราบเท่าที่ยังมีความเชื่อในพระพุทธศาสนา (หน้า 42)มอญ,อพยพ,ด่านเจดีย์สามองค์,ประวัติศาสตร์,กาญจนบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=308
307วิทยานิพนธ์การปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์และวิธีการดำรงรักษาอัตลักษณ์สำคัญของชาวมอญอำเภอพระประแดงเกศสิรินทร์ แพทองสิ่งบ่งชี้ความเป็นมอญคือประเพณีต่าง ๆ รวมทั้งภาษาและการแต่งกาย ลักษณะนิสัยเด่นคือยึดหลักของพุทธศาสนาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต มอญโดยมากจะอยู่กันแบบพึ่งพากัน ความสัมพันธ์ของครอบครัวจะเป็นแบบครอบครัวขยายโดยยึดผู้ใหญ่เป็นแกนหลัก มีการปกครองแบบประชาธิปไตย อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ปัจจุบัน มอญพระประแดงพูดภาษามอญได้น้อยลง การแต่งกายเป็นแบบปัจจุบัน จะแต่งกายแบบมอญเฉพาะเทศกาลสงกรานต์ ลักษณะของอาหารที่ต่างจากคนไทย คือ ลักษณะอาหารจะเป็นเมือก ๆ และมีรสเปรี้ยว สภาพบ้านเรือนปัจจุบันโดยมากจะเป็นแบบทรงไทยแต่เริ่มมีน้อยลง ด้านการละเล่น ดนตรี นาฏศิลป์ที่เป็นเอกลักษณ์ของมอญเริ่มหาชมได้ยาก ด้านภูมิปัญญาชาวบ้านเรื่องการรักษาโรคปัจจุบันไม่ปรากฏให้เห็นแล้ว ส่วนการนับถือผีเริ่มน้อยลงโดยมากนับถือพระพุทธศาสนา อัตลักษณ์ด้านประเพณีถือได้ว่าเข้มแข็งมากที่สุดโดยเฉพาะประเพณีทางศาสนาซึ่งเป็นอัตลักษณ์เดียวที่ไม่มีการปรับเปลี่ยนมอญ,อัตลักษณ์,การปรับเปลี่ยน,การรักษา,สมุทรปราการตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=307
306ปริญญานิพนธ์การศึกษาความต้องการของผู้นำชุมชนชาวไทยมุสลิมที่มีต่อโรงเรียนประถมศึกษาในชุมชนชาวไทยมุสลิม ในเขตกรุงเทพมหานครวิรัช ลังประเสริฐรายละเอียดเกี่ยวกับผู้นำชุมชนไทยมุสลิมพบว่า ร้อยละ 67.27 มีความรู้อยู่ในระดับ ประถม 4 อายุเฉลี่ยของผู้นำชุมชนมีอายุเฉลี่ย 56 ปี ส่วนความต้องการของผู้นำชุมชนไทยมุสลิมที่มีต่อโรงเรียนประถมศึกษาพบว่า โรงเรียนที่อยู่ในชุมชนไทยมุสลิมควรได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดกิจกรรมของนักเรียนที่เกี่ยวกับศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมของชุมชนมุสลิมเพราะเป็นกิจกรรมที่พัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักเรียนด้านคุณธรรมและความประพฤติ นอกจากนี้ สิ่งที่ ไม่ควรปฏิบัติสำหรับนักเรียนไทยมุสลิมคือการเข้าพิธีกรรมทางพุทธศาสนา ผลการวิจัยยังพบอีกว่า ผู้นำชุมชนไทยมุสลิมที่มีความต่างในวัยวุฒิและคุณวุฒิมีความต้องการแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05มุสลิม,ผู้นำชุมชน,โรงเรียนประถมศึกษาที่ต้องการ,กรุงเทพมหานครตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=306
305วิทยานิพนธ์ความสำนึกในชาติพันธุ์ของลาวพวนปิยะพร วามะสิงห์คนพวนในอำเภอปากพลีมีเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ที่ซับซ้อนอยู่ 2 ระดับคือ ระดับที่เป็นคนไทยและระดับที่เป็นคนพวนควบคู่กันไป ความสำนึกในชาติพันธุ์ของลาวพวนจะมีผลต่อสังคมโดยการเกิดการรวมตัวของลาวพวนในท้องถิ่นและต่างถิ่น อันก่อให้เกิดการช่วยเหลือระหว่างลาวพวนด้วยกันมากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลต่อสังคมส่วนรวมโดยก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างลาวพวนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐอีกด้วยพวน ไทยพวน ไทพวน,ความสำนึกในชาติพันธุ์,นครนายกตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดนครนายก ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=305
304บทความคติชาวบ้านประยุกต์ในงานพัฒนาชุมชน ศึกษาเฉพาะกรณีไทยรามัญ ตำบลคลองตาคตและตำบลดอนกระเบื้อง อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรีสานิตย์ บุญชูประเพณีที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการดำเนินชีวิตของไทยรามัญ ตำบลดอนกระเบื้องและตำบลคลองตาคต ยังคงปฏิบัติตามแบบแผนประเพณีและความเชื่อที่มีมาแต่อดีตซึ่งโดยมากมีความสัมพันธ์กับผี การละเล่นโดยมากนิยมเล่นในวันสงกรานต์เพื่อให้ ความสนุกสนานรื่นเริง การละเล่นบางอย่างเป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้มีโอกาสเกี้ยวพาราสี เช่น การเล่นลูกช่วง การละเล่นบางอย่างยังมีความเชื่อเรื่องผีเป็นพื้นฐาน เช่น การเล่นผีควาย ผีกระด้ง ผีลิง ผีมด และผีกะลา เป็นต้น ส่วนนิทานพื้นบ้าน เป็นเรื่องที่เล่าต่อกันมาโดยมากจะแฝงด้วยความเชื่อข้อคิดและหลักธรรมคำสอน จากการศึกษาคติชาวบ้านทำให้ทราบถึงลักษณะทางครอบครัวซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทคือ แบ่งตามสมาชิก แบ่งตามลักษณะการอยู่อาศัยของคู่สมรส แบ่งตามลักษณะความเป็นใหญ่ในครอบครัวและแบ่งตามความสัมพันธ์ทางสายโลหิต ลักษณะเศรษฐกิจเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่และวิถีในการดำเนินชีวิต โดยมีเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ ในด้านการศึกษา มอญตำบลดอนกระเบื้องและตำบลคลองตาคยึดมั่นและศรัทธาในพุทธศาสนาควบคู่กับการนับถือผี มีการถ่ายทอดความรู้โดยอาศัยสถาบันครอบครัวเป็นสื่อกลาง เช่น ความรู้ในการประกอบอาชีพหรือการปฏิบัติตนในสังคม โดยมีพระเป็นผู้อบรมเทศนาให้ประพฤติตามหลักธรรมทางพุทธศาสนามอญ,ไทยรามัญ,คติชาวบ้าน,ราชบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดราชบุรี ประเทศไทยภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=304
303รายงานการวิจัยกลุ่มชาติพันธุ์ : วัฒนธรรมและประเพณี จังหวัดนครสวรรค์เสรี ซาเหลา, สุทธิภาษ ภูเมืองปาน, วิรัตน์ วงศ์รอด และ อุทัยวรรณ ใจเอื้อกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในจังหวัดนครสวรรค์ต่างก็มีภูมิหลังและลักษณะทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป บางกลุ่มก็ตั้ง ถิ่นฐานเฉพาะในเมืองหรือชนบท แต่บางกลุ่มอาศัยทั้งในเมืองและในชนบท ในเรื่องอาชีพจะมีลักษณะผสมผสานปะปนกัน ไป เช่น ไทยทรงดำ ไทยพวน ไทยมอญและไทยอีสานมีทั้ง ที่ทำนา ทำไร่ ค้าขายและรับราชการ แต่ไทยจีนมีอาชีพค้าขายเป็นหลักอย่างเห็นได้ชัด ส่วนในเรื่องของความเชื่อและประเพณี โดยมากเกี่ยวกับวัฏจักรชีวิต คือ เกิด แต่งงาน แก่ เจ็บและตาย แต่ต่างก็มีสาระสำคัญที่ไม่เหมือนกัน สำหรับการใช้ภาษาและการแต่งกายแม้จะยังคงรักษาของดั้งเดิมของชาติพันธุ์ไว้ แต่ต่าง ก็ได้รับอิทธิพลจากภาษาและวัฒนธรรมภาคกลางอย่างทั่วถึง ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากของเดิมลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,เวียต,พวน, กลุ่มชาติพันธุ์,วัฒนธรรม,ประเพณี,นครสวรรค์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดนครสวรรค์ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=303
302รายงานการวิจัยวิถีครอบครัวและชุมชนชาติพันธุ์ไทยส่วย บ้านดงกระทิง ตำบลบ้านด่าน อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์สมมาตร์ ผลเกิดในอดีตส่วยบ้านดงกระทิงยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีทางความเชื่ออย่างเคร่งครัดจนเกิดเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม แต่ปัจจุบันความสำนึกในการที่จะรักษาชาติพันธุ์กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤติ เป็นผลสืบเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงของสังคมโดยรวมเข้ามาพร้อมกับนโยบายการพัฒนาประเทศของภาครัฐและการแข่งขัน เพื่อเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของภาคเอกชน เป็นผลให้กูยต้องเผชิญกับการกลืนทางวัฒนธรรม แปรสภาพเป็นสังคมที่ไร้เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ในภาพรวมสำหรับการปรับตัวเข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ในกระแสโลกาภิวัตน์ของส่วยบ้านดงกระทิง สามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดีแม้จะส่งผลกระทบต่อวิถีการดำรงชีวิตในบางส่วนเปลี่ยนแปลงบ้าง ก็เป็นการปรับเพื่อความดำรงอยู่บนพื้นฐานที่สามารถสืบค้นต้นตอความเป็นมาของประเพณีและพิธีกรรมเหล่านั้นได้กูย กวย(ส่วย),วิถีครอบครัว,ชุมชน,บุรีรัมย์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=302
301วิทยานิพนธ์การศึกษามานุษยวิทยาวัฒนธรรมของชุมชนลาวเวียง กรณีศึกษา หมู่บ้านหาดสองแคว ตำบลหาดสองแคว อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์กิตติภัต นันท์ธนะวานิชวัฒนธรรมชุมชนลาวเวียง หมู่บ้านหาดสองแคว ตำบลหาดสองแคว อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ ระบบเศรษฐกิจของชุมชนมีการเปลี่ยนจากการผลิตเพื่อยังชีพสู่ระบบการผลิตเพื่อขาย มีวิถีชีวิตวัฒนธรรมทางการผลิตที่ผูกพันอยู่กับการทำนาเพาะปลูกข้าวเป็นอาชีพหลัก ระบบครอบครัวและเครือญาติภายในชุมชนมีพัฒนาการจากระบบ ครอบครัวขยายมาสู่ระบบครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น เป็นผลสืบเนื่องจากการเพิ่มของประชากรและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ทางเครือญาติแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ เครือญาติโดยสายโลหิตและเครือญาติโดยการสมรส ชุมชนมีระบบความเชื่อทางพุทธศาสนาผสมผสานกับความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ
ระบบเสียงภาษาลาวเวียง ประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะต้นเดี่ยว 20 หน่วยเสียง สามารถปรากฏเป็นพยัญชนะท้ายคำได้ 9 หน่วยเสียงและมีพยัญชนะควบกล้ำ 2 หน่วยเสียง หน่วยเสียงสระ 21 หน่วยเสียง หน่วยเสียงวรรณยุกต์มีการแตกตัวเป็นสามและมีจำนวนหน่วยเสียง 5 หน่วยเสียง ลักษณะโครงสร้างพยางค์สามารถแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ โครงสร้างพยางค์เดี่ยว โครงสร้างสองพยางค์และโครงสร้างหลายพยางค์
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของชุมชนลาวเวียง หมู่บ้านหาดสองแควมี 2 ลักษณะได้แก่ ปัจจัยภายนอก เช่น การเข้ามาของเส้นทางคมนาคมขนส่ง ไฟฟ้า การแนะนำแผนทางการผลิตในรูปแบบใหม่โดยเจ้าหน้าที่และหน่วยงานภาครัฐตลอดจนการเผยแพร่เทคโนโลยีสมัยใหม่ในกระบวนการผลิต ปัจจัยภายใน ได้แก่ อัตราการขยายตัวของประชากรและคุณภาพของพื้นที่ทำกินมีความอุดมสมบูรณ์ลดลงลาวเวียง,ภาษา,มานุษยวิทยาวัฒนธรรม,อุตรดิตถ์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดอุตรดิตถ์ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=301
300รายงานการวิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของชาวลาวเวียงและลาวพวนในอำเภอพนมสารคามและอำเภอสนามชัยเขต ฉะเชิงเทราเพ็ญศรี ดุ๊ก และ นารี สาริกะภูติพวนและชาวเวียงจันทน์ อพยพเข้ามาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีหลักฐานว่าคนอพยพรุ่นแรกเป็นลาวพวนที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นผู้นำเข้ามาในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สมัยพระบาทสมเด็จนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการกวาดต้อนลาวและเขมรเข้ามาเป็นเชลยศึกและกำหนดพื้นที่เป็นหลักแหล่ง ในเขตอำเภอพนมสารคามและอำเภอสนามชัยเขต ซึ่งมีสถานะเป็นไพร่ ทาสและเลกลาว อยู่ภายใต้การปกครองระดับต้นของลาวด้วยกัน ผู้ปกครองเหล่านี้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์และเบี้ยหวัดเช่นเดียวกับขุนนางไทย เลกลาวมีโอกาสเลื่อนจากไพร่เป็นนาย เปลี่ยนมูลนายหรือย้ายที่อยู่ได้ตามความเห็นชอบของทางการ ชุมชนลาวได้รับการยกฐานะเป็นเมืองพนมสารคามและเมืองสนามชัยเขต มีเจ้าเมืองเป็นคนลาวและปกครองแบบแผนดาญาสี่ เช่นเดียวกับหัวเมืองลาวตะวันออก ต้องทำส่วยและเลี้ยงโคหลวงโดยแยกทำส่วยต่างหากจากเลกเมืองฉะเชิงเทรา ส่วยที่สำคัญได้แก่ ส่วยทองคำ ส่วยเร่ว ส่วยหมากพอกและไม้รางปืนและส่วยโคพวน ไทยพวน ไทพวน,ลาวเวียง,ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น,ฉะเชิงเทราตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดฉะเชิงเทรา ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=300
299วิทยานิพนธ์การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของโซ่กับวัฒนธรรมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ศึกษาเฉพาะกรณีโซ่ ตำบลกุสุมาลย์และตำบลโพธิ์ไพศาล อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนครขบวน พลตรีพื้นฐานของการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของโซ่กับวัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา ฐานะทางเศรษฐกิจ การเข้าร่วมกิจกรรมของสังคมและการติดต่อกับคนภายนอก โซ่ครึ่งหนึ่งสามารถพูดภาษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ดี เวลาออกจากบ้านจะพูดภาษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาษากลางมากกว่าภาษาโซ่ คนโซ่ 4 ใน 5 เห็นว่าคู่สมรสไปอยู่บ้านของฝ่ายใด ให้เป็นไปตามความสมัครใจของทั้ง 2 ฝ่าย ความเชื่อในผีวงศ์มีเพียง 1 ใน 3 ที่ไม่นิยมเลี้ยงผีวงศ์ประจำปีและไม่นิยมตามหมอเยาเพื่อรักษาคนป่วย คนโซ่ครึ่งหนึ่งนิยมบวชในพุทธศาสนาและตักบาตรเป็นประจำ ผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของโซ่กับวัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบว่า 2 ใน 10 ผสมกลมกลืนมาก 1 ใน 10 ยังผสมกลมกลืนน้อย และ 7 ใน 10ผสมกลมกลืนอยู่ในระดับปานกลาง เพศหญิงมีแนวโน้มที่จะผสมกลมกลืนมากกว่าเพศชาย ผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงจะผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมมากกว่าผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมของสังคมและติดต่อกับคนนอกชุมชนมาก จะผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมมากกว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมของสังคมและติดต่อกับคนนอกชุมชนน้อย ส่วนอายุและระดับการศึกษาไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมโส้ โซร ซี,การผสมกลมกลืน,วัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ,สกลนครตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2527ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=299
298วิทยานิพนธ์ศึกษาการเปลี่ยนแปลงในวิถีการผลิตและระบบความสัมพันธ์ทางสังคมในมิติหญิงชายของชุมชนกะเหรี่ยง : ศึกษาเฉพาะกรณีบ้านทิพุเย หมู่ที่ 3 ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรีวัลย์ลิกา สรรเสริญชูโชติวิถีการผลิตดั้งเดิมของสังคมกะเหรี่ยงที่วางอยู่บนพื้นฐานของการผลิตเพื่อยังชีพ ภายใต้วิธีคิดแบบองค์รวมที่นำมโนทัศน์ที่มีต่อธรรมชาติ ความเชื่อเรื่องผีและจริยธรรมแบบพุทธมาผสมผสานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนในการดำเนินชีวิต และระบบความสัมพันธ์ทางสังคมโดยมิได้แยกจากกัน มีความสอดคล้องและเอื้อให้เกิดความยั่งยืนของสังคมมนุษย์และธรรมชาติ ซึ่งอยู่ร่วม ในระบบนิเวศเดียวกันภายใต้บริบทของความสัมพันธ์เชิงอำนาจทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง บนพื้นฐานของความพอเพียง แบ่งปันไม่ละโมบ ไม่สะสม ย่อมเอื้อให้เกิดความเกื้อกูล เสมอภาคและเท่าเทียมกันทั้งในแง่ชนชั้นทางสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างเพศ ความเปลี่ยนแปลงของชุมชนกะเหรี่ยงเกิดจากปัจจัยหลักจากภายนอก 2 ประการได้แก่ 1. กลไกการพัฒนาของรัฐ การใช้กฎหมายในการควบคุมและจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจของชุมชน ด้วยนโยบายการพัฒนาชาวเขาแบบกลืนกลาย และดึงให้ชุมชนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมโยอาศัยเครื่องมือในการพัฒนาต่างๆ 2. การเชื่อมต่อของชุมชนกะเหรี่ยงกับเมืองและระบบกลไกตลาดทุนนิยม โดยผ่านถนนและสื่อต่าง ๆ การแต่งงานกับคนนอกพื้นที่ การเข้ามาซื้อที่ดินในชุมชนของนายทุน การอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของคนภายนอกชุมชนและแรงงานต่างด้าว เป็นต้นโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),วิถีการผลิต,ความสัมพันธ์ทางสังคม,กาญจนบุรีตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=298
297รายงานการวิจัยข้อมูลและพัฒนาการทางสังคม การปรับตัวต่อปัญหาเบื้องต้นที่เกี่ยวกับการดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่และการผลิตของชาวกูยที่บ้านตากลาง อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์นพวรรณ สิริเวชกุลกูยเป็นชนชาติที่อพยพมาจากตอนใต้ของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เข้ามาในประเทศไทยแถบตอนล่างของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นชาติพันธุ์ที่มีชื่อเสียงด้านการเลี้ยงช้างโดยเฉพาะ ในจังหวัดสุรินทร์ กูยบ้านตากลาง ซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่งที่อพยพเข้ามาในเขตจังหวัดสุรินทร์ตั้งแต่ยุคปลายของกรุงศรีอยุธยาจนถึง สมัยกรุงธนบุรี มีพัฒนาการทางสังคมอย่างต่อเนื่องและเมื่อทางราชการประกาศห้ามล่าสัตว์ซึ่งรวมถึงช้างป่าด้วย ผลกระทบคือระบบความเชื่อและประเพณีการโพนช้างของกูยที่อดีตเป็นเครื่องบ่งบอกความสามารถและการเลื่อนตำแหน่ง แต่ในปัจจุบันต้อง นำช้างออกมาเร่ร่อนในเขตกรุงเทพฯ เนื่องจากพื้นที่ป่าสาธารณะในหมู่บ้านเป็นป่าปลูกพืชเศรษฐกิจของนายทุน เป็นผลให้เกิดปัญหาลูกโซ่ตามมา กูยมิได้เห็นว่าช้างเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงแต่ช้างแทบเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตซึ่งความผูกพันดังกล่าวสามารถแบ่งออกเป็น 3 สถานะคือ ช้างเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ผูกพันในฐานะที่ช้างเป็นทรัพย์สินและผูกพันต่อช้างในฐานะที่เป็นสมาชิกในครอบครัวกูย,ระบบการผลิต,พัฒนาการทางสังคม,การปรับตัว,สุรินทร์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=297
296วิทยานิพนธ์เปรียบเทียบพิธีกรรมการแต่งงานของกลุ่มชาติพันธุ์กูย และเขมร บ้านโพนทองกับบ้านโจรก ตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์นิรัญ สุขสวัสดิ์พิธีการแต่งงานของทั้ง 2 กลุ่มชาติพันธุ์ เป็นพิธีที่มีพื้นฐานมาจากความเชื่อขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีที่บรรพบุรุษได้ ยึดถือและปฏิบัติมา โดยเชื่อว่าจะทำให้เกิดสิริมงคลแก่ชีวิตในการครองเรือน พิธีการแต่งงานของทั้ง 2 กลุ่มชาติพันธุ์มีลักษณะ โครงสร้างที่คล้ายคลึงกัน ดังนี้ ก่อนประกอบพิธีกรรม จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันคือ มีการเลือกคู่ครองตามความพึงพอใจของ ตนโดยมีเครือญาติเข้ามีส่วนร่วมในการตัดสิน กลุ่มชาติพันธุ์เขมรถือว่าการทาบทามสู่ขอเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุด การหมั้นจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันทั้งในด้านองค์ประกอบและขั้นตอนระหว่างประกอบพิธีกรรม ได้แก่ การแต่งงาน ทั้งสองชาติพันธุ์จะมี ความเชื่อในเรื่องฤกษ์ยาม สถานที่ วัสดุอุปกรณ์และขั้นตอนของพิธีกรรมคล้ายคลึงกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันเด่นชัดคือกลุ่ม ชาติพันธุ์กูยจะนำเคียวเกี่ยวข้าว ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์เขมรจะนำเต้าปูนและมีดยับหมากเข้ามาเป็นอุปกรณ์สำคัญในการประกอบพิธีกรรมและมีพิธีกรรมบางส่วนที่แตกต่างกันในเรื่องของลำดับขั้นตอน หลังประกอบพิธีการแต่งงาน กลุ่มชาติพันธุ์กูยจะให้ ความสำคัญเช่นเดียวกับพิธีอื่นๆ เพราะให้ความเคารพนับถือต่อญาติทั้งสองฝ่ายโดยเท่าเทียมกัน ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์เขมรจะ ไม่ให้ความสำคัญต่อพิธีมากนักเพราะถือว่าส่วนสำคัญของพิธีได้สิ้นสุดลงแล้วกูย,คะแมร์ลือ,พิธีกรรม,การแต่งงาน,สุรินทร์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=296
295วิทยานิพนธ์บทบาทหน้าที่ต่อชุมชนและวิถีชีวิตในพิธีแก็ลมอของชาวกูย บ้านสำโรงทาบ ในด้านระบบความเชื่อที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำความเข้าใจสภาพสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนที่ทำการศึกษาอิศราพร จันทร์ทองบทบาทของพิธีแก็ลมอแบ่งได้เป็น 2 ระดับคือระดับปัจเจกบุคคลและระดับชุมชน และสามารถแบ่งการประกอบพิธีกรรมออกเป็น 2 ลักษณะคือ ความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมจะประกอบไปด้วยสมาชิกกลุ่มผีมอด้วยกันเท่านั้นและความสนุกสนานรื่นเริงเป็นการร่วมกันทั้งหมดโดยอาศัยแคนเป็นเครื่องดนตรีหลัก ในพิธีแก็ลมอยังมีการตีความระบบสัญลักษณ์ที่หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของชุมชนที่สัมพันธ์กับวิถีชีวิตในด้านการประกอบอาชีพ ถึงแม้วัฒนธรรมเมืองจะมีบทบาทต่อคนรุ่นใหม่แต่ พิธีแก็ลมอยังคงบทบาทสำคัญต่อระบบความเชื่อของกลุ่มชนอย่างสืบเนื่องเห็นได้จากการการประกอบพิธีกรรมที่ปรากฏอยู่ จึงเสมือนภาพสะท้อนที่ต่อเนื่องตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันกูย,พิธีแก็ลมอ,ความเชื่อ,สุรินทร์ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=295
294วิทยานิพนธ์มูเซอดำมูเซอเหลือง การรักษาเอกลักษณ์และพรมแดนชาติพันธุ์อธิตา สุนทโรทกมูเซอดำและมูเซอเหลืองที่บ้านบาหลา มีเส้นทางการอพยพที่ต่างกันก่อนที่จะมาอาศัยอยู่ร่วมกัน เป็นผลให้ทั้งสองกลุ่มชนไม่ค่อยมีความผูกพันกันมากนัก นอกจากนั้นยังมีความต่างด้านศาสนา ค่านิยม พิธีกรรม มาตรฐานทางศีลธรรม เป็นผลให้กลุ่มคนทั้งสองมีการแบ่งพรมแดนทางชาติพันธุ์ลาหู่,มูเซอดำ,มูเซอเหลือง,การรักษาเอกลักษณ์,พรมแดนชาติพันธุ์,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=294
293รายงานการวิจัยปัญหาการศึกษาของชาวเขาเผ่ามูเซอในบริเวณดอยมูเซอ จังหวัดตากศุภชัย สถีรศิลปินมูเซอหมู่บ้านอุมยอมให้ความสนใจและมองเห็นประโยชน์ของการศึกษาอยู่บ้าง แต่อ้างว่า เหตุที่ไม่ส่งบุตรหลานไปเรียนนอก หมู่บ้าน เป็นเพราะโรงเรียนอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน ถ้าส่งบุตรหลานไปเรียนนอกหมู่บ้านทำให้ขาดผู้ดูแลบ้านพักในระหว่างที่ผู้ปกครองออกไปทำงานในไร่ เป็นต้น มูเซอให้ความสนใจที่จะเรียนหนังสืออยู่ในหมู่บ้านมากกว่าที่จะไปเรียนนอกหมู่บ้าน จึงมีการสร้างโรงเรียนในหมู่บ้าน แต่เหตุที่โรงเรียนในหมู่บ้านต้องทิ้งร้าง เป็นเพราะขาดแคลนครูที่มีความสามารถ และครูมิได้มาสอนเป็นประจำในหมู่บ้าน เพราะหมู่บ้านอยู่ในเขตอันตรายจากภัยผู้ก่อการร้าย เจ้าหน้าที่พยายามที่จะชักจูงให้เด็กนักเรียนมาเรียนที่โรงเรียนบ้านมูเซอที่ตั้งอยู่นอกหมู่บ้านโดยผ่านทางผู้นำหมู่บ้านแต่ก็ยังไม่เป็นผล ผู้วิจัยจึงได้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาทางการศึกษา โดยเจ้าหน้าที่ควรสร้างความศรัทธาให้เกิดกับมูเซอโดยใช้เวลาคลุกคลีในหมู่บ้านให้มากขึ้นและปฏิบัติงานร่วมกันตามโครงการต่าง ๆ และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการสอนหนังสือ นอกจากนั้น การศึกษาชุมชนโดยเรียนรู้ขนบธรรมเนียมและความเชื่อ เพื่อหาลู่ทางการส่งเสริมให้สอดคล้องกับความเชื่อและสร้างความศรัทธาต่อกัน ควรเห็นความสำคัญของการศึกษาภาษามูเซอบ้างเพื่อประโยชน์ในแง่การเข้าถึงและการยอมรับต่อกัน ที่สำคัญคือปัญหาในเรื่องการเป็นหนี้สิน ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะอาจเป็นให้ความเชื่อถือในตัวบุคคลหมดไปได้ (หน้า 39-41)ลาหู่,มูเซอ,การศึกษา,ตากตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดตาก ประเทศไทย2527ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=293
292บทความHousehold and Marriage in a Thai Highland SocietyLee, Gary Yiaบทความนี้กล่าวถึงสภาพทั่วไปของการตั้งถิ่นฐานของม้งว่า ปลูกบ้านตามบริเวณเชิงเขาหรือไหล่เขา โดยหันหน้าบ้านออกไปทางไหล่เขา ในบ้านมีแต่ของใช้ที่จำเป็น การปลูกบ้านของม้งได้รับอิทธิพลจากลักษณะภูมิประเทศและข้อกำหนดทางวัฒนธรรมและศาสนา ม้งมีการแต่งงานแบบออกนอกตระกูลและ การแต่งงานจะเกิดขึ้นหลังจากการเกี้ยวพาราสีระยะหนึ่ง การแต่งงานโดยการจับคู่ยังคงมีอยู่ แต่ปัจจุบันพ่อแม่จะคำนึงถึงความรู้สึกของบุตรมากขึ้น หนุ่มม้งยังไม่สามารถจ่ายเงินค่าสินสอดและค่าใช้จ่ายในการแต่งงานได้ แม้แต่คนที่แต่งงานแล้วหลายปีก็ยังไม่อาจจัดพิธีแต่งงานที่เป็นทางการได้ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีเงิน การแต่งงานครั้งแรกส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างอายุ 16-18 ปี โดยทั่วไปสามีอายุมากกว่าภรรยา ลักษณะครัวเรือนของม้งแบบครอบครัวเดี่ยวมีมากกว่าแบบอื่น แม้ว่าจะมีครอบครัวขยายปรากฏอยู่มากก็ตาม จำนวนสมาชิกต่อครัวเรือนโดยเฉลี่ย 8.4 คน จำนวนสมาชิกต่อครอบครัวโดยเฉลี่ย 6 คน แม้ว่าจะมีภรรยาหลายคน แต่ขนาดครอบครัวและครัวเรือนม้งก็ไม่ได้ต่างจากสังคมอื่นมาก (จากสรุป น. 9)ม้ง,การแต่งงาน,ครัวเรือน,ภาคเหนือตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดตาก ประเทศไทย2531ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=292
291หนังสือThe HmongCooper, Robert; Tapp, Nicholas; Lee, Gary Yia and Schwoer-Kohl, Gretel.หนังสือเล่มนี้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของม้งแบบดั้งเดิม เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นทั่วไป โดยบทแรกกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของม้งคร่าว ๆ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน บทที่สอง ถึง บทที่สี่ และบทที่หก กล่าวถึงโครงสร้างทางสังคม ได้แก่ ครอบครัว ครัวเรือน ตระกูล หมู่บ้าน และการแต่งงาน บทที่ห้ากล่าวถึงอัตลักษณ์ม้ง 3 กลุ่มย่อย บทที่เจ็ด เป็นเรื่องลักษณะเศรษฐกิจทั่วไป บทที่แปดกล่าวถึงดนตรี บทที่เก้ากล่าวถึงหัตถกรรม ส่วนบทที่สิบถึงบทที่สิบสี่ เป็นเรื่องความเชื่อและพิธีกรรมม้ง,วัฒนธรรม,วิถีชีวิต,ความเชื่อ,พิธีกรรม,ประเทศไทยตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดตาก ประเทศไทย2534ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=291
290ปริญญานิพนธ์ชีวิตและความสัมพันธ์ของจีนฮ่อ กับ ลีซอ หมู่บ้านหัวแม่คำ ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงรายธนู ดีเทศน์ศึกษาถึงความสอดคล้องและกลมกลืนในการดำรงชีวิต ของลีซอ ที่เป็นชาวบ้านส่วนใหญ่ กับ ฮ่อ หรือ จีนฮ่อ ในหมู่บ้านหัวแม่คำ ต.ป่าซาง อ.แม่จัน จ.เชียงราย ซึ่งมีความสัมพันธ์ในการดำรงชีวิต ตลอดจนจารีตประเพณี และวัฒนธรรมต่างๆ และการปกครองในหมู่บ้าน ที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข โดยมีจุดเชื่อมหลักคือการทำการค้าที่ฮ่อมีบทบาทสำคัญ และ การจ้างแรงงานอันเป็นการพึ่งพาอาศัยกันของคนเชื้อชาติต่างๆ ในหมู่บ้าน เช่น ลีซอ ฮ่อ มูเซอร์ และอีก้อลีซู,จีนยูนนาน จีนมุสลิม(จีนฮ่อ),วิถีชีวิต,วัฒนธรรม,ความสัมพันธ์,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2518ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=290
289รายงานการวิจัยภูมิปัญญาพื้นบ้านในการทำเกษตรยั่งยืนบนที่สูงของชาวอาข่า อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงรายพงษ์ทร ชยาตุลชาตการทำเกษตรยั่งยืน ซึ่งเป็นการทำการเกษตรเลี้ยงชีพในครัวเรือนของอาข่า ในเขต อ.แม่สรวย จ.เชียงราย การเพาะปลูกตลอดจนการเลี้ยงสัตว์ จะเน้นความหลากหลายทำให้อาข่ามีอยู่มีกินในครอบครัวเพื่อเหลือผลผลิตก็จะแบ่งบันให้กับเพื่อนบ้านและนำส่วนที่เหลือไปขายเพื่อนำรายได้มาเลี้ยงครอบครัว การทำการเกษตรเน้นการพึ่งพาตนเอง แต่มีแนวโน้มในอนาคตว่า จะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ เนื่องจาก ไม่ได้รับความสนใจจากลูกหลาน นอกจากนี้ ชาวบ้านส่วนมาก ก็อาศัยอยู่ในเขตป่าสงวน
จึงไม่อาจขยายพื้นที่เพาะปลูก นอกจากนี้ ยังขาดการส่งเสริมจากหน่วยงานภาครัฐอาข่า,เกษตรกรรมยั่งยืน,ประเพณี,ความเชื่อ,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=289
288รายงานการวิจัยความเชื่อพื้นบ้านของชาวลีซูกับการจัดการป่า : กรณีศึกษาบ้านดอยช้าง จังหวัดเชียงรายสมบัติ นุชนิยมลีซูบ้านดอยช้างมีความเชื่อและพิธีกรรมสอดคล้องกับการดูแลรักษาป่าและธรรมชาติ เช่น ความเชื่อ เรื่องผีและเทพเจ้า เชื่อว่าสรรพสิ่งในโลกมี หวู่ซา เป็นเจ้าของ มีเทพเจ้าต่าง ๆ เป็นผู้ดูแลรักษาทรัพยากรดิน น้ำ ป่า อากาศ และสัตว์ป่า ความเชื่อเกี่ยวกับป่าหวงห้าม อีกทั้งยังมีพิธีกรรมเพื่อเซ่นไหว้ บวงสรวงเทพเจ้าต่าง ๆ ขอให้ท่านช่วยดลบันดาลความสุข และความคุ้มครองปลอดภัยแก่ชุมชนและคนในหมู่บ้าน ประกอบกับการร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐในการจัดทำเขตป่าอนุรักษ์ ป่าไม้ใช้สอย ป่าชุมชน แนวป้องกันไฟป่า และการปลูกป่า (หน้า 47-57)ลีซู,ความเชื่อ,พิธีกรรม,การจัดการป่า,เชียงรายตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=288
287รายงานการวิจัยการสืบทอดวัฒนธรรมการจัดการทรัพยากรป่าไม้ในชุมชนไทลื้อ : กรณีศึกษาตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่านณัชชภัทร พานิชการสืบทอดวัฒนธรรมการจัดการทรัพยากรป่าไม้ในชุมชนไทลื้อบ้านงอบ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวัฒนธรรมพื้นฐานของชุมชน กระบวนการเรียนรู้ และการสืบทอดวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลต่อระบบความคิด และแบบแผนในการจัดการทรัพยากรป่าไม้ของไทลื้อ ไทลื้อให้ความสำคัญกับระบบวัฒนธรรมชุมชน ใช้กระบวนการทางวัฒนธรรมยึดเหนี่ยวและหล่อหลอมจิตใจของคนในชุมชนให้ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างบรรพบุรุษ จนมีจุดยืนเป็นอัตตลักษณ์ของชุมชน โดยเฉพาะด้านการจัดการทรัพยากรป่าไม้ ไทลื้อได้ใช้ระบบวัฒนธรรมในการปลูกฝังให้ชนรุ่นหลังตระหนัก และเห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ ไม่มุ่งทำลายเพียงอย่างเดียว เช่น พิธีการสืบชะตาป่า พิธีการบวชต้นไม้ ความเชื่อเกี่ยวกับการฟันไร่ และความเชื่อกี่ยวกับการตัดไม้ เป็นต้น (หน้า 77-80)ลื้อ,ชุมชน,การสืบทอด,วัฒนธรรม,ระบบความคิด,การจัดการทรัพยากรป่าไม้,น่านตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=287
286รายงานการวิจัยมอญ : บทบาทด้านสังคม วัฒนธรรม ความเป็นมาและความเปลี่ยนแปลงในรอบ 200 ปีของกรุงรัตนโกสินทร์สุจริตลักษณ์ ดีผดุง, วิจิตร เกิดวิสิษฐ์, สุเอ็ด คชเสนีย์ และ อรรถจินดา ดีผดุงมอญถูกบีบคั้นทางด้านการเมือง การปกครองทำให้ต้องอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งในประเทศไทย มอญเป็นพวกที่มีความสัมพันธ์อันดีกับคนไทยที่อยู่มาแต่ดั้งเดิม ทั้งนี้เป็นเพราะมอญเป็นกลุ่มคนที่รักสงบ และสร้างสมอารยธรรมความเจริญต่างๆ
ไว้มากมาย ทั้งทางด้านวัฒนธรรม ศาสนา และการค้า ทำให้สามารถอยู่กับคนไทยได้ง่าย และพวกเขาก็ยังคงสืบทอด
มรดกทางวัฒนธรรมของชนชาติตนไว้อย่างดียิ่งมอญ,ประวัติศาสตร์,ความเปลี่ยนแปลง,รัตนโกสินทร์,ภาคกลางตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัด ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=286
285วิทยานิพนธ์ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาวจีนกับชุมชนชาวมุสลิมในจังหวัดปัตตานี : กรณีศึกษาสุสานลิ้มกอเหนี่ยวนันทิยา พิมลศิริผลความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนจีนกับชุมชนมุสลิมในปัตตานี เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานแล้ว ทั้งนี้สืบเนื่องจากการที่ปัตตานีเป็น
เมืองสำคัญในประวัติศาสตร์ และที่ตั้งของอาณาจักรลังกาสุกะที่มีความเจริญทางการค้าเป็นอย่างมาก มีการติดต่อค้าขาย
กับชาวอาหรับ เปอร์เซีย อินเดีย จีน และชาวต่างประเทศอื่น ๆ อีกทั้งปัตตานียังมีสภาพภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมกับการค้า
สำคัญนี้ จึงเกิดชุมชนต่าง ๆ หลายชุมชนขึ้นในปัตตานี เมื่อมีการอยู่ร่วมกันของคนหลายชุมชนจึงเกิดความสัมพันธ์ขึ้น
คนจีนและคนมาเลย์มุสลิมเป็นชนสองกลุ่มที่มีจำนวนมากในปัตตานี และสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างค่อนข้างสันติ ปราศจาก
การกระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวและเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกัน แม้ว่าคนมาเลย์มุสลิมจะนับถือ
ศาสนาอิสลามซึ่งแตกต่างจากความคิดความเชื่อของคนจีน แต่มาเลย์มุสลิมก็ไม่ได้นำความแตกต่างมาเป็นสิ่งกีดขวางความสัมพันธ์ของคนทั้งสองกลุ่ม นอกจากนั้นการที่คนจีนมีความสามารถทางการค้าจึงเข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจของปัตตานี
ทำให้ปัตตานีมีความเจริญมากขึ้น (หน้า บทนำ, 169-173)มุสลิม,คนจีน,ความสัมพันธ์,สุสานลิ้มกอเหนี่ยว,ปัตตานีตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=285
284วิทยานิพนธ์บทบาทของชาวมุสลิมในภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2325-2453รัชนี สาดเปรมมุสลิมเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีศาสนา ภาษา ขนบธรรมเนียม และประเพณีแตกต่างจากชนกลุ่มอื่นของประเทศไทย มุสลิมเข้า มาติดต่อกับไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย และเข้ามามีบทบาทอย่างกว้างขวางในสมัยอยุธยา ธนบุรี จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ด้านสังคมมุสลิมเป็นคนไทยพวกหนึ่งที่นับถือและปฏิบัติตนตามหลักศาสนาอิสลาม ด้านเศรษฐกิจมุสลิมเป็นที่รู้จักในฐานะพ่อค้า นักเดินเรือ ซึ่งปรากฏหลักฐานมาโดยตลอดว่าตำแหน่งพระยาจุฬาราชมนตรีที่ทำหน้าที่ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาตินั้น เป็นข้าราชการมุสลิมซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงบทบาทของมุสลิมในด้านเศรษฐกิจของ บทบาทของมุสลิมเป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้นใน ด้านการเมือง เพราะปรากฏว่าเคยมีมุสลิมรับราชการเป็นถึงสมุหนายกอัครมหาเสนาบดีในสมัยอยุธยา เป็นการบ่งบ่งบอกว่ามุสลิมเคยเข้ามาบริหารประเทศในตำแหน่งสูงเทียบเท่านายกรัฐมนตรีในสมัยปัจจุบัน นอกกจากนี้ ยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองต่าง ๆ ซึ่งมีความสำคัญทางจุดยุทธศาสตร์ ดังนั้น บทบาทของมุสลิมจึงน่าสนใจมากไม่แพ้ชนกลุ่มน้อย อื่น ๆ เพราะบทบาททุก ๆ ด้านเกิดขึ้นมาเป็นเวลายาวนานติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน (หน้า บทนำ, 1-2)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ไทยมุสลิม,บทบาทด้านเศรษฐกิจ,รัตนโกสินทร์,ภาคกลาง,ภาคใต้ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2521ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=284
283วิทยานิพนธ์นโยบายการศึกษาของรัฐบาลต่อชาวไทยเชื้อสายมลายูในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้อรรณพ เนียมคงปอเนาะถือเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้ในด้านต่าง ๆ ของคนที่นับถือศาสนาอิสลาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนา การเมือง การปกครอง กฎหมาย คุณค่าทางสังคม ประเพณี และภาษา ปอเนาะจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งของมุสลิมในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และก็เป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการพยายามกลมกลืนวัฒนธรรมของรัฐ รัฐมีนโยบายให้มีการศึกษาภาคบังคับให้แก่เด็กไทยเชื้อสาย มลายูอย่างทั่วถึงพร้อมเพื่อพยายามยกเลิกปอเนาะไปด้วยการเปลี่ยนปอเนาะให้เป็นโรงเรียนราษฎร์ที่เน้นการสอนศาสนาอิสลามก่อให้เกิดผลกระทบขึ้นในหมู่สังคมคนไทยเชื้อสายมลายู ซึ่งมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยกับรัฐ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย และฝ่ายที่เป็นกลางไม่แสดงท่าทีชัดเจนว่าอยู่ฝ่ายไหน ในที่สุดฝ่ายเห็นด้วยกับรัฐและฝ่ายที่ไม่แสดงท่าทีได้ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยได้ออกมาต่อต้านอย่างรุนแรงในรูปการเข้าร่วมกับขบวนการต่อต้าน โดยอ้างว่าการเปลี่ยนแปลงปอเนาะเป็นการทำลายวัฒนธรรมของคนไทยเชื้อสาย มลายู การก่อการรุนแรงเพื่อต่อสู้กับอำนาจรัฐและการปราบปรามเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงปี พ.ศ. 2510 เป็นต้นมา การใช้ความรุนแรงเข้าไปยุติปัญหาของมุสลิมในสี่จังหวัดภาคใต้ ทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว เกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิต เกิดความหวาดระแวง ระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับคนไทยเชื้อสายมลายู รวมทั้งคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธด้วย สถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบไปถึงสภาพเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง โดยส่วนรวมในสี่จังหวัดภาคใต้ และภาพพจน์ของประเทศไทยด้วย (หน้า บทคัดย่อ)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,นโยบายรัฐ,การศึกษา,ปอเนาะ,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=283
282วิทยานิพนธ์นโยบายของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ พ.ศ. 2444-2489นงลักษณ์ ชูภารกิจงานชิ้นนี้เป็นการศึกษาค้นคว้านโยบายของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะช่วง พ.ศ. 2444-2489 ซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่รัฐบาลได้เข้าไปจัดการเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้อย่างจริงจัง และมีระเบียบแบบแผนที่แน่นอน นโยบายเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ ในช่วงเวลาดังกล่าวจะช่วยอธิบายเงื่อนไขที่เป็นตัวกำหนดนโยบายเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย การดำเนินงานของรัฐ ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานตลอดจนวิธีการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ในปัจจุบัน (หน้า บทนำ, 136-141)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,กฎหมาย,ระบบศาล,ประวัติศาสตร์,นโยบายรัฐ,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=282
281วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวทางสังคมของชาวเขาเผ่าเย้าบ้านผาเดื่อ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงรายสุจิรา ประยูรพิทักษ์งานชิ้นนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมต่างๆ เช่น ภาษา การแต่งกาย การดำรงชีวิต การช่วยเหลือกันของคนในชุมชน ของเย้าบ้านผาเดื่อที่ต้องมีการปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับชนเผ่าอื่นในหมู่บ้านตลอดจนการปรับตัวเมื่อติดต่อกับคนต่างถิ่นไม่ว่าจะเป็นคนไทยพื้นราบหรือชาวเขาเผ่าอื่นที่เข้ามามีส่วนสำคัญต่อการดำรงชีวิตของเย้าเย้า,การเปลี่ยนแปลง,การปรับตัว,วัฒนธรรม,วิถีชีวิต,เชียงรายตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2520ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=281
280วิทยานิพนธ์วัฒนธรรมชุมชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงเอกชัย เครืออินต๊ะเน้นศึกษาถึงปัจจัยทางสังคมทั้งภายในและภายนอก เช่น วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความเป็นมา ประเพณีและวัฒนธรรม การศึกษา และปัจจัยสิ่งแวดล้อม ถิ่นที่อยู่อาศัย ที่มีผลต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชุมชนกะเหรี่ยง อ.แม่เมาะ จ.ลำปางกะเหรี่ยง,วัฒนธรรมชุมชน,การอนุรักษ์,ทรัพยากรป่าไม้,ลำปางตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=280
279วิทยานิพนธ์ปัญหาการดำเนินนโยบายรวมพวกชนกลุ่มน้อยในจังหวัดเชียงรายธีระพงค์ อินทนามงานชิ้นนี้ศึกษาถึงสภาพปัญหาในการดำเนินนโยบายรวมพวกชนกลุ่มน้อยเพื่อที่ศึกษาถึงแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสมที่จะนำมาปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาการรวมพวกชนกลุ่มน้อยในจังหวัดเชียงราย จากการศึกษาพบว่าชนกลุ่มน้อยส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะรับเอาวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของคนพื้นราบไปปฏิบัติ เห็นได้จากการปกครองชุมชนและหมู่บ้านที่ผู้ใหญ่บ้านมา จากการรับเลือกตั้ง ด้านสังคมวัฒนธรรมมีการแต่งกายเหมือนกับคนพื้นราบเป็นต้น ทั้งนี้ทำให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมและเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน โดยชนกลุ่มน้อยส่วนใหญ่ได้คลายความเหนียวแน่นทางวัฒนธรรมดั้งเดิมลงไปบ้างแล้วแต่จะมีเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้นที่ยังยึดมั่นในวัฒนธรรมดั้งเดิมอยู่ การดำเนินนโยบายรวมพวกชนกลุ่มน้อยเป็นวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุด เพราะแนวทางแก้ไขปัญหาเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างชนกลุ่มน้อยกับชนพื้นราบได้เป็นอย่างดี จะอย่างไรก็ตามการดำเนินนโยบายรวมพวกชนกลุ่มน้อยในจังหวัดเชียงรายถือว่าประสบความสำเร็จมากพอสมควร ถึงแม้จะมีบางปัญหาที่คอยเป็นอุปสรรคต่อการรวมพวก ปัญหานั้นก็คือ ปัญหายาเสพติด ปัญหาการอพยพถิ่นฐาน ปัญหาพิสูจน์สถานะบุคคลบนพื้นที่สูงเป็นต้น หากปัญหาดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไข อาจส่งผลกระทบต่อสังคมส่วนรวมได้ (หน้า 75-78, 99-101)จีนยูนนาน, ลื้อ, ไต, ชาวเขา,ปัญหาการรวมพวก,เชียงรายตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=279
278วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ภายในชุมชน อันเนื่องมาจากโครงการอพยพชาวเขา : กรณีศึกษาบ้านวังใหม่ อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปางสมชัย แก้วทองผู้เขียนมุ่งศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมภายในชุมชนอันเนื่องมาจากโครงการอพยพชาวเขา ในประเด็นเรื่องปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในชุมชน ที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมในชุมชนชนบ้านวังใหม่ หลังจากที่อพยพมาอยู่ในพื้นที่ปัจจุบันนี้ ซึ่งมีปัจจัยหลายด้านที่ทำให้ชาวเขาอพยพกลุ่มนี้ประสบกับปัญหาหลายอย่าง เช่น ขาดที่ทำกินเพราะพื้นที่อพยพเป็นดินลูกรังไม่สามารถเพาะปลูกพืชได้ ฉะนั้น รายได้หลักจึงมาจากการไปรับจ้างขายแรงงานเพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในครอบครัว เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกล้วนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของชาวเขาอพยพกลุ่มนี้ (หน้า 50-58, 62-68)เมี่ยน,ลีซู,ลเวือะ,ชาวเขา,การเปลี่ยนแปลง,วิถีชีวิต,โครงการอพยพชาวเขา,ลำปางตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=278
277วิทยานิพนธ์คริสตศาสนากับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชาวมูเซอแดง : การศึกษาเปรียบเทียบเฉพาะกรณีระหว่าง หมู่บ้านยาป่าแหน กับหมู่บ้านแสนคำลือ ในกิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอนพิมุข ชาญธนวัฒน์งานชิ้นนี้มีเนื้อหาครอบคลุมประเด็นการศึกษา ประวัติศาสตร์ของชนชาติมูเซอแดง สังคม วัฒนธรรม รวมทั้งระบบความเชื่อทางศาสนา และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของมูเซอแดง โดยเปรียบเทียบเฉพาะกรณี หมู่บ้านมูเซอแดงสองแห่งอยู่ในเขตพื้นที่กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน คือหมู่บ้านยาป่าแหน และหมู่บ้านแสนคำลือลาหู่,มูเซอแดง,คริสตศาสนา,การเปลี่ยนแปลง,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,แม่ฮ่องสอนตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=277
276รายงานการวิจัยลักษณะของชุมชนที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของศูนย์ปรับปรุงลุ่มน้ำปิงและหน่วยงานปรับปรุงต้นน้ำปิงสมพงษ์ ชีวสันต์งานชิ้นนี้ศึกษาถึงความเป็นอยู่ของชุมชนต่าง ๆ ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเกษตร การศึกษา วัฒนธรรม ศาสนา ตลอดจนวิถีชีวิตของชาวไทยพื้นราบ และชาวเขาที่กระจายกันอยู่ในพื้นที่ของศูนย์ปรับปรุงลุ่มน้ำปิงที่ครอบคลุมหลายอำเภอ ในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำความรู้ไปศึกษาเพื่อกำหนดนโยบายในการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวและช่วยเหลือชาวบ้านในอนาคตม้ง, อ่าข่า,ลีซู,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),จีนยูนนาน, ชาวเขา, ลุ่มน้ำปิง เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2532ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=276
275วิทยานิพนธ์การเรียนรู้และการขัดเกลาทางสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์บรู : มุมมองทางสังคม-วัฒนธรรมและบทบาทหญิงชายชนาธิป บุณยเกตุงานวิจัยกล่าวถึง ที่มาของกลุ่มชาติพันธุ์ วิถีการดำเนินชีวิตซึ่งส่งผลต่อด้านสังคมวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ระหว่างวิถีชีวิตของบรูกับความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีและพิธีกรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการเรียนรู้และการขัดเกลาทางสังคมของหญิงชายชาติพันธุ์บรู รวมทั้งการเปิดโอกาสทางการศึกษาทำให้เปิดโลกทัศน์ของบรูมากขึ้นบรู,การเรียนรู้,การขัดเกลา,สังคม,วัฒนธรรม,อุบลราชธานีตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=275
274วิทยานิพนธ์เงื่อนไขทางวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลต่อการยอมรับสิ่งใหม่ของชาวเขาเผ่าอีก้อ : ศึกษาเฉพาะกรณีหมู่บ้านแสนเจริญใหม่ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงรายเวชชวุฒิ บุญชูวิทย์สิ่งสำคัญที่มีผลต่อการยอมรับหรือไม่ยอมรับสิ่งใหม่ของอีก้อ คือ ทางด้านทัศนะคติของอีก้อเอง ที่มีวัฒนธรรมบางอย่าง เช่น ความคิด ข้อห้าม ความเชื่อ ข้อนิยม ซึ่งได้ครอบคลุมในหลายๆ ประเด็น คือ ทางด้านสภาพแวดล้อมภายในชุมชน การจัดระเบียบทางสังคม ระบบเศรษฐกิจ ศาสนา พิธีกรรมและความเชื่อ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นตัวแปรสำคัญ และมีความละเอียดอ่อนมาก ซึ่งเป็นตัวกำหนดในการเปลี่ยนแปลงหรือยอมรับกับสิ่งใหม่ ๆ และมีข้อสังเกตว่าการที่อีก้อจะยอมรับสิ่งใหม่ ๆ นั้น สิ่งเหล่านั้นต้องทำแล้วคุ้มค่า ไม่ใช้เวลาในการทำนาน และไม่ขัดกับวัฒนธรรมของตนที่มีอยู่อีก้อ,การยอมรับสิ่งใหม่,เงื่อนไข,วัฒนธรรม,เชียงรายตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2532ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=274
273วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของชาวกะเหรี่ยงในกิจกรรมของศูนย์การศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขา จังหวัดลำพูนคำรน ศรีคำไทยตามข้อสมมติฐาน เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของกะเหรี่ยงในกิจกรรมของศูนย์การศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขา ปรากฎว่า 1. กะเหรี่ยงเพศชายจะมีระดับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมมากกว่าเพศหญิงในระดับสูงมาก 2. กะเหรี่ยงที่มีอายุมากจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมไม่ต่างไปจากกะเหรี่ยงที่มีอายุน้อย 3. กะเหรี่ยงที่มีบ้านอยู่ไม่ไกลจาก ศูนย์ฯ มากนัก จะมีส่วนร่วมในกิจกรรม มากกว่ากะเหรี่ยงที่มีบ้านอยู่ไกลจากศูนย์ ในระดับที่ค่อนข้างสูง 4. กะเหรี่ยงที่มีความรู้ความเข้าใจในงานของศูนย์ฯ จะมีส่วนร่วมในกิจกรรม มากกว่าผู้ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในงานของศูนย์ ในระดับสูงมาก 5. กะเหรี่ยงที่มีการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์มาก จะมีส่วนร่วมในกิจกรรม มากกว่ากะเหรี่ยงที่มีการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์น้อย (หน้า 47-55) กล่าวโดยสรุปได้ว่า กะเหรี่ยงที่มีส่วนร่วมกับกิจกรรมของศูนย์การศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขา ได้แก่ กะเหรี่ยงเพศชาย, กะเหรี่ยงที่มีบ้านอยู่ใกล้กับศูนย์การศึกษาฯ และกะเหรี่ยงที่มีความรู้ความเข้าใจในกิจกรรมของศูนย์การศึกษา (หน้า 60-61)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),กิจกรรม,ศูนย์การศึกษา,ชุมชน,การมีส่วนร่วม,ลำพูนตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2534ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=273
272รายงานการวิจัยA Minority Enters The Nation State : A Case Study of a Hmong Community in Vientiane Province, LaosOvesen, Janม้งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในมณฑลยูนนาน ทางตอนใต้ของประเทศจีน ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ม้งหลายกลุ่มได้อพยพลงใต้ ด้วยปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ปัจจุบันม้งกลายเป็นชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่บนพื้นที่สูง ทางภาคเหนือของไทย ภาคเหนือของลาว และภาคเหนือของเวียดนาม งานวิจัยชิ้นนี้ได้เสนอข้อมูลชาติพันธุ์วรรณาของกลุ่มม้ง 2 หมู่บ้าน คือ Ban Vanghau และ Ban Phoukhaokhouay ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ราบสูง "Phoukhaokhouay" ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ราบสูงนี้อพยพมาจากพื้นที่อำเภอต่างๆ ในจังหวัดเวียงจันทร์ โดยม้งเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ตั้งแต่ปี ค.ศ.1950 เป็นต้นมา และได้เปลี่ยนแปลงวิถีการดำรงชีวิตจากการทำไร่หมุนเวียนมาเป็นการทำนาดำเพิ่มมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อระบบเศษรษฐกิจ และสังคมของชุมชน โดยปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรัฐควรรับรู้เพื่อวางแผนการพัฒนาเนื่องจากจะมีการจัดสร้างโครงการเขื่อนและโรงไฟฟ้า ผู้เขียนได้แสดงแนวความคิดเห็นของต่อรัฐบาลในการเข้ามาจัดการแก้ไขปัญหาและผลกระทบที่อาจจะเกิดต่อชุมชน รวมถึงวางแผนการพัฒนาต่อไปในอนาคตม้ง,เศรษฐกิจ,สังคม,ความเชื่อ,เวียงจันทน์,ประเทศลาวตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดVientiane ประเทศลาว2538ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=272
271รายงานการวิจัยวิเคราะห์ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลไทยกับมุสลิมในประเทศไทย : กรณีศึกษากลุ่มมุสลิมในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้อิมรอน มะลูลีมมุสลิมในสี่จังหวัดภาคใต้ มีความแตกต่างจากมุสลิมในภาคอื่นของไทย ในด้านชาติกำเนิด การตั้งหลักแหล่ง ความเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติศาสนา ข้อเท็จจริงที่ว่า มุสลิมส่วนใหญ่ที่นี่ไม่ได้เป็นเหมือนคนไทยโดยทั่วไป แต่เป็นคนมลายูที่นับถือศาสนาอิสลามและมีประเพณีมลายูที่มักถูกมองข้ามไป การมองข้ามความแตกต่างนี้ โดยเจตนาหวังว่าจะช่วยให้ประเทศชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงนำไปสู่ความเข้าใจผิด ทำให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์ทางโครงสร้างของสังคมในสี่จังหวัดภาคใต้แตกต่างจากภาคอื่น ๆ ก็คือ ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม พวกเขาไม่ชอบใช้ภาษาไทย แต่ใช้ภาษามาเลย์ในชีวิตประจำวัน อุปสรรคเรื่องภาษาก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างไทยมุสลิมกับผู้ไม่ใช้มุสลิม อุปสรรคทางด้านภาษา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี อุดมการณ์ และภาษาเหล่านั้นได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองกลุ่ม ตลอดจนระหว่างชาวบ้านที่เป็นมุสลิมกับ ข้าราชการที่เป็นไทยพุทธจึงมีปัญหากันอยู่บ่อย ๆ การเกิดปัญหาสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงมีอยู่ตลอดมา การปฏิบัติการของกลุ่มก่อการร้ายจะรุนแรงมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับมาตรการตอบโต้ของฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เมื่อใดที่เจ้าหน้าที่เพิ่มมาตรการป้องกันปราบปรามอย่างเข้มแข็ง หรือมาตรการเชิงรุก ปฏิบัติการของฝ่ายก่อการร้ายก็จะเบาบางลง หัวหน้าระดับนำก็จะหลบหนีการจับกุมเข้าไปพักพิงอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน แต่เมื่อใดเจ้าหน้าที่บ้านเมืองหย่อนยาน ปฏิบัติการของฝ่ายก่อการร้ายก็จะรุนแรงขึ้นมาอีก (หน้า 197)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ความขัดแย้ง,รัฐบาลไทย,ชายแดนภาคใต้ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดVientiane ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=271
270วิทยานิพนธ์พัฒนาการของกลุ่มอิสลามนิยมในมาเลเซียตะวันออก ระหว่าง ค.ศ. 1900 -1957สมมาตร เพ็ญสูตรเมื่ออังกฤษเข้ามาปกครองมาเลเซียมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และสังคมในมาเลเซียอย่างมาก ได้ส่งผลกระทบมายังรัฐนอกสหพันธ์รวมทั้งกลันตันและตรังกานูด้วย การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ การอพยพเข้ามาของแรงงานต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนและอินเดียที่เข้ามาเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการทำกิจกรรมเหมืองแร่และการทำสวนยางพาราอันเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญของคนมาเลย์ ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมนี้ทำให้คนจีนและอินเดียสามารถก้าวเข้าสู่วิถีชีวิตแบบชนชั้นกลางได้ในเวลาไม่นานนัก ขณะที่คนมาเลย์ยังคงพอใจที่จะดำรงชีพอยู่กับระบบเศรษฐกิจที่ล้าหลังและเป็นกลุ่มที่ยากจนที่สุด ในที่สุดคนมาเลย์ต้องกลายเป็นกลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจในระดับล่าง ความแตกต่างในฐานะทางเศรษฐกิจระหว่างคนมาเลย์กับคนต่างชาติโดยเฉพาะคนจีน ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งทางด้านเชื้อชาติ และได้ขยายตัวมากขึ้นเมื่อชาวจีนและอินเดียได้อพยพเข้ามามากขึ้น และต้องการตั้งหลักแหล่างถาวรในมลายู รวมทั้งการเรียกร้องความเท่าเทียมกันกับคนมาเลย์ ในฐานะทางสังคมและทางการเมือง ทำให้คนมาเลย์ใช้พลังทางศาสนาและวัฒนธรรมเข้าต่อต้าน โดยเฉพาะชาวจีนที่เข้ามามีอิทธิพลในรัฐของตน ลักษณะการเคร่งทางศาสนาในรูปแบบ "อิสลามนิยม" ได้กลายเป็นตัวอย่างของมาเลย์มุสลิมในรัฐอื่น ๆ เช่นกัน (หน้า บทคัดย่อ)มุสลิม พัฒนาการของอิสลาม มาเลเซียตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดVientiane ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=270
269วิทยานิพนธ์ความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทลื้อ ตำบลลวงเหนือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ.2460-2540 : ศึกษาผ่านลักษณะและเครือข่ายความสัมพันธ์ของผู้นำที่เป็นทางการณริสสร ธีรทีปการเปลี่ยนแปลงของสังคมชาวนากลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ ในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าแต่อดีต และตั้งอยู่ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว ความเข้าใจนี้อาจช่วยให้มองเห็นลักษณะเฉพาะทางสังคม และวัฒนธรรมของไทลื้อใน หมู่บ้านดังกล่าว ซึ่งในปัจจุบันกำลังรื้อฟื้น "ความเป็นลื้อ" การศึกษาวิจัยชุมชนบ้านลวงเหนือ ทำให้พบว่าในประเทศไทยสถานภาพของชุมชนไทลื้อในหลายจังหวัดของภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่แสดงความเป็นไทลื้อ คือ ชาวบ้านไทลื้อจะภาคภูมิใจในความเป็นลื้อเป็นอย่างมาก และชาวบ้านต่างชุมชนเองก็ยอมรับในความเป็นลื้อ และชื่นชมในความขยันขันแข็งของคนเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่าตัวแทนผู้นำของชุมชนบ้านลวงเหนือยังมักได้รับความไว้วางใจให้เป็นกำนันตำบลหรือผู้นำสูงสุดของตำบลมาโดยตลอด นอกจากนี้ผลการวิจัยยังสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของหมู่บ้านอื่น ๆ ในภาคเหนือตอนบนที่ล้วนแต่ได้รับผลกระทบจากการขยายอำนาจรัฐและระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในช่วงเวลา 80 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจัยสำคัญ 2 ประการได้แก่ ปัจจัยภายนอกอันได้แก่การบีบคั้นจากรัฐไทยที่บีบคั้นชุมชนด้วยการเก็บภาษีที่เป็นตัวสร้างความเดือดร้อนแก่ชุมชนและชานาในภาคเหนืออย่างมาก เนื่องจากชุมชนมีพื้นฐานระบบเศรษฐกิจแบบพอยังชีพ ส่วนปัจจัยภายในพบว่าพื้นที่เพื่อการเกษตรของชุมชนมีอยู่อย่างจำกัดเริ่มไม่พอเพียงต่อจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น อาจกล่าวได้ว่าสภาพของชุมชนในตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันค่อนข้างขาดความมั่นคง จากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของชุมชน (หน้า 13, 175-180)ลื้อ,เครือข่ายความสัมพันธ์,ผู้นำ,ความเปลี่ยนแปลง,สังคม,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=269
268วิทยานิพนธ์ความหลากหลายทางพืชอาหารและการใช้ประโยชน์ของชาวลัวะในจังหวัดน่านอังคณา มหายศนันท์ความหลากหลายทางพืชอาหารของลัวะ หมู่บ้านเต๋ยกลาง บนอุทยานแห่งชาติดอยภูคา จังหวัดน่าน เป็นความหลากหลายของพืชอาหารที่ได้มาจากป่า พืชที่ได้จากการเพาะปลูกทั้งในไร่หมุนเวียน และในสวนครัว โดยเป็นผลเนื่องมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้ ปัจจัยทางด้านกายภาพ ชีวภาพ สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ซึ่งมีผลต่อความเป็นอยู่ รวมถึงการนำมาบริโภค การอนุรักษ์ป่า เพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของพืชอาหาร ดังนั้น ลัวะ บ้านเต๋ยกลาง บนอุทยานแห่งชาติดอยภูคานั้นนิยมหาพืชอาหารเพื่อการบริโภคทั้งจากในป่า ในไร่หมุนเวียน และในสวนครัว ซึ่งไร่หมุนเวียนเปรียบเสมือนคลังอาหารของลัวะ แต่พืชอาหารที่นำมาบริโภคนั้นจะได้มาจากป่าเป็นส่วนใหญ่ ลัวะ ในปัจจุบันมีการทำการเกษตรแบบทำไร่หมุนเวียน มีรอบของการหมุนเวียน ประมาณ 8-10 ปี ในอนาคตอาจจะเหลือเพียง 2-3 ปี เพราะที่ดินหายาก และประชากรเพิ่มขึ้น โดยจะเริ่มต้นถางและเผา จากนั้นจึงปล่อยให้ที่ดินว่างเปล่าเพื่อให้มีการฟื้นตัวตามธรรมชาติ แล้วจึงกลับมาปลูกพืชอีกครั้งหนึ่ง การผลิตแบบไร่หมุนเวียนของลัวะ หมู่บ้านเต๋ยกลางนั้นเป็นการฟื้นฟูทางธรรมชาติ และเป็นการผลิตเพื่อเลี้ยงชีวิต พออยู่พอกิน เคารพธรรมชาติ เป็นการดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่สะสม ไม่โลภ และไม่ก่อให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ (หน้า 53-54)ลัวะ,ความหลากหลายของพืชอาหาร,การใช้ประโยชน์,น่านตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=268
267รายงานการวิจัยการศึกษากลุ่มคนจีนอพยพ (กองพล93) ในเขตชายแดนภาคเหนือของประเทศไทย : การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองกฤษณา เจริญวงศ์กลุ่มคนจีนอพยพอดีตทหารจีนคณะชาติที่ตกค้างอยู่ในประเทศไทยบริเวณภาคเหนือของ 3 จังหวัด ซึ่งไม่ยอมกลับประเทศไต้หวัน ภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในจีนตั้งแต่ พ.ศ.2492 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางการเมือง และเหตุผลส่วนตัวเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนดังกล่าวได้ถูกถือว่าเป็นผู้อพยพ โดยถือว่ามีสถานภาพเป็นชนกลุ่มน้อย กลุ่มหนึ่งในประเทศไทย ทั้งนี้จะเห็นว่าระยะเวลาการอยู่อาศัยที่ผ่านมาเป็นเวลาถึง 30 ปีแล้ว คนกลุ่มนี้ยังยืนหยัดที่จะอยู่ในประเทศไทย ไม่ต้องการอพยพออกไปที่อื่น อีกทั้งยังพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดการยอมรับจากสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่ โดยพยายามยอมรับข้อตกลง หรือข้อแลกเปลี่ยนทางกฎหมายอย่างถูกต้องในแต่ละช่วงสมัย ทั้งนี้ก็เพื่อหวังจะได้รับการ ยอมรับจากคนไทยและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทางรัฐบาลไทยที่ยื่นข้อเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนกับการจะได้รับสัญชาติเหมือน เช่นคนไทยทั่ว ๆ ไป (หน้า 77-79)จีนยูนนาน,อพยพ,กองพล 93,การเปลี่ยนแปลง,เศรษฐกิจ,การเมือง,ชายแดนภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ประเทศไทย2533ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=267
266รายงานการวิจัยA Community Forestry Program For The Lisu Settlement Ban Tung Ku Village, Prao District Chiang Mai Province, ThailandSinghasakares, Sittechai; Simbolon, Kuppin and Martin, Ricky Aliskyงานชิ้นนี้ศึกษาการตั้งถิ่นฐานของลีซอที่หมู่บ้าน บ้านทุ่งกู่ (Ban Tung Ku) อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงจากชุมชน ที่อยู่ไม่เป็นหลักเเหล่งมาเป็นหมู่บ้านถาวรกว่า 20 ปีเเล้ว พบว่าชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาต่ำกว่ามาตรฐาน ความยากจน ทำให้ต้องพยายามดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอดด้วยการเกษตรกรรม แม้จะต้องรุกล้ำพื้นที่ป่าก็ตามลีซอ,ปัญหาความยากจน,การตั้งถิ่นฐาน,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2531ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=266
265รายงานการวิจัยไทยกับโลกมุสลิม : ศึกษาเฉพาะกรณีชาวไทยมุสลิมจรัญ มะลูลีม, กิติมา อมรทัต, พรพิมล ตรีโชติงานชิ้นนี้ศึกษาความสัมพันธ์ของมุสลิมในประเทศไทยกับประเทศมุสลิมต่าง ๆ ในโลก ว่ามีประเทศใดและมีความสัมพันธ์ในรูปแบบใดบ้าง (หน้า บทคัดย่อ) และเสนอว่าองค์กรมุสลิมในประเทศไทยเกือบทุกองค์กรล้วนมีจุดมุ่งหมายไปในทางเดียวกัน คือ การยกระดับความเป็นอยู่ของมุสลิมในประเทศด้วยการให้การศึกษา อบรม และต่อสู้เพื่อสิทธิอันถูกต้องชอบธรรมที่มุสลิมควรจะได้รับ ในเวลาเดียวกันก็คำนึงถึงความเดือดร้อนของมุสลิมในต่างประเทศด้วย เพราะมุสลิมมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งในคำสอนของศาสนาอิสลามที่ว่ามุสลิมทุกคนเป็นพี่น้องกัน แต่ทั้งนี้ศาสนาอิสลามก็สอนเช่นเดียวกันว่าให้อยู่กับศาสนาอื่นอย่างปรองดองกันตราบใดที่ไม่มีการทำลายหรือรุกรานทางศาสนามุสลิม,องค์กรในประเทศไทย,ความสัมพันธ์ต่างประเทศ,ประเทศไทยตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=265
264รายงานการวิจัยเรือนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้เขต รัตนจรณะ, เต็มดวง เศวตจินดา,ระวีวรรณ ชอุ่มพฤกษ์, กุศล นาคะชาตรายงานวิจัยฉบับนี้ได้ศึกษาถึงวิถีการดำรงชีวิต รูปแบบความเป็นอยู่ของไทยมุสลิม และรวบรวมข้อมูลทางด้านการก่อสร้าง องค์ประกอบด้านสถาปัตยกรรมพื้นบ้านที่เป็นเอกลักษณ์ของเรือนไทย รวมไปถึงการลงมือก่อสร้าง และประเพณีที่เกี่ยวกับการสร้างเรือนไทยของมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้มีการศึกษาเฉพาะกรณีที่หมู่บ้านกรือเซะ ตำบลตันหยงลูโละอำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี และพบว่าเรือนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงคติความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีตลอดจนวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของไทยมุสลิมในพื้นที่ดังกล่าว นอกจากนั้น ด้วยกระแสของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรม ส่งผลอย่างสำคัญต่อแบบแผนในการดำเนินชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งรวมไปถึงเรือนที่พักอาศัยด้วย ดังจะเห็นได้ว่ามีการรื้อเรือนเดิม และสร้างใหม่ด้วยรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป (หน้า บทนำ)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,สถาปัตยกรรมพื้นบ้าน,ที่พักอาศัย,คติความเชื่อ,ปัตตานีตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=264
263หนังสือความเข้าใจเบื้องต้น เรื่อง ศาสนาอิสลามและชาวไทยมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้โมหัมมัด อับดุลกาเดร์ความเชื่อในทางศาสนานั้นมีอิทธิพลต่อมนุษย์ในทางสังคมอย่างมาก ฉะนั้น ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ต่างก็ให้สิทธิแก่บุคคลที่จะนับถือศาสนาใด ๆ ได้ตามแต่ศรัทธา การพัฒนาต่าง ๆ นั้น ต้องไม่ทำลายความเชื่อถือหรือขนบธรรมเนียมของสังคม หากแต่พยายามศึกษาปรับวิธีการพัฒนาให้เข้ากับลักษณะของสังคม และใช้พลังของความเชื่อถือขนบธรรมเนียม ทัศนคติ ค่านิยมที่มีอยู่แล้วในสังคมเป็นอุปกรณ์ผลักดันงานพัฒนาในด้านต่างๆ ต่อไป (หน้า 105)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ศาสนาอิสลาม,ระบบการศึกษา,ขนบธรรมเนียม,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=263
262รายงานการวิจัยปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเจ็บป่วยและการตายของเด็กและทารกในกลุ่มชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในภาคเหนือของไทยพัฒน์ สุจำนงค์, สมพงษ์ ชีวสันต์ และ ชูศักดิ์ วิทยาภัคงานชิ้นนี้ศึกษาปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการเจ็บป่วยและการตายของเด็กและทารก โดยพิจารณาใน 2 ลักษณะ คือ 1. ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเจ็บป่วยและตายของเด็กและทารกกะเหรี่ยงโดยตรง ได้แก่ การประพฤติปฏิบัติทางด้านสุขภาพอนามัยของแม่บ้านและสมาชิกในครัวเรือน สภาวะทางโภชนาการของเด็กและการได้รับภูมิคุ้มกันโรค 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อ "ปัจจัยเสี่ยง" อาจกล่าวได้ว่า เป็นปัจจัยที่ส่งผลโดยอ้อมต่อการเจ็บป่วยและการตายของเด็กและทารกกะเหรี่ยง ปัจจัยเหล่านี้ได้แก่ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ความเชื่อ ทัศนคติ และพฤติกรรม ตลอดจนการเข้าถึงและการได้รับบริการทางด้านสาธารณสุข (หน้า 3)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ปัจจัยเสี่ยง,การเจ็บป่วยและตาย,เด็กและทารก,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=262
261รายงานการวิจัยการศึกษาหมู่บ้านไทลื้อในจังหวัดลำปางประชัน รักพงษ์ และคณะไทลื้อ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่สำคัญกลุ่มหนึ่ง พูดภาษาตระกูลไท อาศัยอยู่ในเขตสิบสองปันนา ทางตอนใต้มณฑลยูนานของจีน บางส่วนอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของลาว และทางตะวันออกของรัฐฉานของพม่า ต่อมาได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ ในล้านนา ปัจจุบันกระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ในภาคเหนือของประเทศไทย ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน เชียงราย และพะเยา ทั้งนี้เพราะเหตุผลทางการเมืองระหว่างรัฐล้านนากับสิบสองปันนาในอดีต ต่อมามีไทลื้อบางส่วนอพยพเข้ามาเพิ่มเติมภายหลัง ไทลื้อ มีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมใกล้เคียงกับคนไทยในภาคเหนือ แต่ก็มีประเพณีวัฒนธรรม ตลอดจนวิถีการดำรงชีวิตบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์ ในการศึกษาวิจัยหมู่บ้านไทลื้อในจังหวัดลำปาง เป็นการศึกษาลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมของไทลื้อที่ตำบลกล้วยแพะ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาและการตั้งถิ่นฐาน ชีวิตความเป็นอยู่ ประเพณีและความเชื่อ เอกลักษณ์ ทางภาษา ลักษณะทางสังคม ได้แก่ ระบบครอบครัว เครือญาติ การแต่งงาน ศาสนา การศึกษา สภาพเศรษฐกิจของหมู่บ้าน อาชีพ ความสัมพันธ์ภายในชุมชน ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนไทลื้อกับชุมชนอื่น จากการศึกษา พบว่า ไทลื้อมีประเพณีและวัฒนธรรมส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับชาวพื้นเมืองโดยทั่วไป เช่น วัฒนธรรมการบริโภคข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก นับถือพุทธศาสนา แต่อย่างไรก็ตาม มีประเพณีและพิธีกรรมบางอย่างที่ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มของชาติพันธุ์ โดยเฉพาะด้านภาษาพูด ยังใช้สำเนียงภาษาไทลื้อ ประเพณีการแต่งกาย พิธีกรรมการเลี้ยงผีประจำหมู่บ้าน สิ่งที่น่าสนใจ ได้แก่ ไทลื้อมีความขยันขันแข็ง มานะอดทน มัธยัสถ์ อดออม เพื่อสร้างฐานะให้มั่นคง ปัจจุบันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากสังคมเกษตรกรรม มาเป็นสังคมที่มีการผสมผสานเกษตรกรรมเข้ากับการลงทุนค้าขายและรับจ้าง ซึ่งจะพัฒนาระบบทุนนิยมระดับหมู่บ้านไปเป็นทุนนิยมระดับท้องถิ่นต่อไปในอนาคต (หน้า ข)ลื้อ,สังคม,วัฒนธรรม,ลำปางตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดลำปาง ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=261
260รายงานการวิจัยการศึกษาสภาพปัญหาที่สัมพันธ์กับการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในหมู่บ้านชาวเขาพื้นที่เขตฯ น้ำลาง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอนสารภี ศิลารายงานนี้ ได้ทำการสำรวจและวิเคราะห์ปัญหาของหมู่บ้านชาวเขา ในโครงการส่งเสริมให้ชุมชนชาวเขามีส่วนร่วมในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ พื้นที่เขตฯ น้ำล่าง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 4 หมู่บ้าน คือ บ้านวนาหลวง ต.ถ้ำลอด, บ้านหนองตอง ต.สบป่อง, บ้านยะป่าแหน ต.ปางมะผ้า, บ้านผาแดง ต.ปางมะผ้า ประชากรประกอบด้วย ชาวเขาเผ่ามูเซอแดง 3 หมู่บ้าน และลีซอ 1 หมู่บ้าน จำนวน 242 หลังคาเรือน 1,230 คน วิธีการที่ใช้ในการสำรวจและศึกษาปัญหา เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนทุกขั้นตอน โดยเริ่มจากการหาอาสาสมัครจากทั้ง 4 หมู่บ้าน อบรมการสำรวจ ประมวลผล และตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันกับชุมชน เพื่อเป็นพื้นฐาน ในการดำเนินโครงการต่อไป ผลการสำรวจและศึกษาปัญหา พบว่า ทั้ง 4 หมู่บ้าน มีสภาพปัญหาที่สัมพันธ์กับการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ดังนี้ คือ 1. สถานการณ์เกี่ยวกับผู้รับเชื้อในชุมชน แม้ว่าจากการสำรวจจะไม่พบว่ามีผู้ป่วยเอดส์ในทั้ง 4 หมู่บ้านก็ตาม แต่ผลจากการ สุ่มตรวจเลือดผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง จำนวน 20 ราย จากหน่วยงานที่รับผิดชอบในพื้นที่ ผู้ที่มีเลือดบวก HIV ถึง 19 ราย 2. ปัญหายาเสพติดเป็นปรากฏการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เนื่องจากในพื้นที่มีผู้ติดยาเสพติดถึงร้อยละ 14.07 ของประชากรวัยแรงงาน และเป็นผู้ติดเฮโรอีนถึงร้อยละ 51.54 ส่วนผู้ติดส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุพฤติกรรมการเสพมีทั้งฉีดและสูบ แหล่งค้าขายหาได้ง่ายในพื้นที่ โดยมีผู้มีอิทธิพลจากภายนอกสนับสนุนกิจการนี้ 3. ปัญหาการค้าประเวณี ปรากฏการณ์ที่พบ คือ มีการค้าประเวณีในพื้นที่ทั้งในและนอกชุมชน โดยเฉพาะที่บ้านนาหลวง มีทั้งการประกอบการแบบเปิดเผยถึง 12 ราย และการประกอบการแบบแอบแฝงอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนั้นโดยวัฒนธรรมที่เอื้ออำนวยและปัจจัยเสริมอื่น ๆ ยังเป็นช่องทางให้หญิงสาวในพื้นที่ มีโอกาสถูกชักจูงเข้าสู่อาชีพการค้าประเวณีเพิ่มขึ้น ด้วยกลุ่มผู้ใช้บริการมีทั้งชายในพื้นที่และต่างถิ่น รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ พฤติกรรมการให้บริการพบว่า หญิงเหล่านั้นมีการคุมกำเนิดด้วยวิธีฉีดและฝังยาคุมกำเนิด เพื่อป้องกันการมีลูกเท่านั้น และไม่สนใจว่าผู้ใช้บริการจะป้องกันตัวเองจากโรคที่เกิดจากเพศสัมพันธ์หรือไม่ก็ตาม ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้เอื้อต่อการแพร่ระบาดของ โรคเอดส์เป็นอย่างยิ่ง 4.การอพยพแรงงานเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 4 หมู่บ้าน กลุ่มผู้ออกไปทำงานนอกชุมชน มีทั้งหญิง-ชายวัยแรงงาน ส่วนใหญ่จะไม่มีการศึกษาหรือได้รับการศึกษาต่ำ สถานที่ที่ออกไปทำงานส่วนใหญ่คือ จังหวัดเชียงใหม่ ประเภทงานเป็นแรงงานไร้ฝีมือ สาเหตุของการอพยพแรงงานมีผลเนื่องมาจากปัญหาการใช้พื้นที่ระบบการผลิตเปลี่ยนไป และวัฒนธรรมบริโภคนิยม การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ของกลุ่มผู้ใช้อพยพแรงงานเหล่านี้เอง มีโอกาสเสี่ยงต่อการรับเชื้อ HIV เข้าสู่ชุมชน และเผยแพร่ (แพร่ระบาด) ออกไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ 5. การรับรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ของชุมชน พบว่า 4 หมู่บ้าน ยังมีการรับรู้เรื่องเอดส์ที่แตกต่างกัน แม้ว่าจะได้รับการประชาสัมพันธ์ในความรู้เรื่องนี้แล้วระดับหนึ่งก็ตาม แต่ข้อจำกัดเรื่องการรับรู้ภาษาไทย และการประชาสัมพันธ์ที่ไม่ต่อเนื่อง ทำให้ชาวบ้านใกล้ชุมชนเมือง รับรู้เรื่องเอดส์มากกว่ากลุ่มที่อยู่ไกลชุมชนเมือง ขณะเดียวกันเมื่อตรวจสอบพฤติกรรมกลับพบว่า กลุ่มที่มีโอกาสรู้เรื่องเอดส์มาก กลับมีพฤติกรรมด้านเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงต่อการรับเชื้อ HIV มากกว่ากลุ่มที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเอดส์ ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องมาจากชุมชนยังไม่ตระหนักว่าเอดส์คือปัญหานั่นเอง แนวทางแก้ไขได้มุ่งสู่ประเด็นปัญหาดังกล่าว โดยได้พิจารณาร่วมกับชุมชน และได้ข้อเสนอ ดังนี้ 1. การแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่มีความจำเป็น ต้องใช้อำนาจรัฐเข้าจัดการกับกลุ่มผู้ค้า เนื่องจากองค์กรชุมชน ไม่สามารถต้านทานอิทธิพลและความพยายามในการขยายเครือข่ายของกลุ่มผู้ค้าได้ 2. ในส่วนของผู้ติดยาเสพติด ในประสบการณ์ที่ผ่านมา มีการบำบัดหลายครั้งทั้งในและนอกชุมชน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ชาวบ้านกลับไปเสพอีกเกือบทั้งหมด ชุมชนเสนอว่า ต่อไปไม่ต้องช่วยเรื่องการบำบัด แต่ให้ผู้ติดยาเสพติดไปบำบัดเอง จ่ายเงินเอง ชุมชนจะช่วยกันดูแลครอบครัวให้ ถ้ามีความตั้งใจจริงก็ทำได้ 3. กรณีการสร้างกฎเกณฑ์ เพื่อจัดการกับปัญหายาเสพติดของบ้านวนาหลวง ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม แต่ในทางปฏิบัติ ผู้นำยังไม่กล้าลงโทษผู้ละเมิดกฎ เนื่องจากเกรงอิทธิพลจากภายนอก สมควรให้มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าร่วมดำเนินการ เพื่อเป็นการปราบปรามระดับหนึ่งร่วมกับชุมชน 4. ปัญหาการค้าประเวณี จะลดจำนวนลงเรื่อยๆ หากไม่มีกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้นมา เพราะผู้ประกอบการมีอายุมากขึ้น การป้องกันกลุ่มใหม่ไม่ให้เกิดขึ้นสามารถกระทำได้โดยจัดกิจกรรมดึงกลุ่มสตรีออกมาจากกลุ่มผู้ค้าประเวณี นอกจากนั้นการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ค้าประเวณี ตระหนักถึงความเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอดส์ มีความจำเป็นต้องดำเนินการควบคู่ไปด้วยอย่างต่อเนื่อง ประเภทของกิจกรรม ควรเน้นการฝึกอาชีพที่หลากหลาย เพื่อเตรียมรับสถานการณ์การอพยพแรงงานด้วย 5.ลักษณะการฝึกอาชีพแก่สตรีในชุมชนไม่ควรจำกัดเพียงการฝึกอบรมในพื้นที่ ควรสนับสนุนให้กลุ่มสตรีมีโอกาสเข้ารับการฝึกอบรมอาชีพจากนอกชุมชน เพื่อจะได้เรียนรู้การปรับตัวที่เหมาะสมกับสังคมภายนอกควบคู่กันไปด้วย 6. ในภาวะที่สถานการณ์ในชุมชนวนาหลวงเต็มไปด้วยปัญหายาเสพติด และการค้าประเวณี มีผลให้เด็กได้ซึมซับสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม สมควรให้เด็กในหมู่บ้านมีโอกาสได้รับสิ่งแวดล้อมที่ดี เข้ารับการศึกษาระบบเรียนประจำ จากโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ หรือสถานศึกษาภายนอกชุมชน (เพราะเด็กกลุ่มนี้หากอยู่ในชุมชนก็ไม่มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดภูมิความรู้ในการดำรงชีวิตที่ดีงามอยู่แล้ว) จนกว่าสถานการณ์ปัญหาในชุมชนจะคลี่คลาย ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา แต่ก็มีความจำเป็นต้องทำ 7. การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เรื่องเอดส์นั้น กล่าวได้ว่าชาวบ้านวนาหลวงและหนองตอง รับรู้อย่างดีแต่ยังไม่เกิดความตระหนัก จึงทำให้การปฏิบัติเพื่อการป้องกันไม่เกิดขึ้น ส่วนบ้านผาแดงและยะป่าแหนนั้น การรับรู้ยังน้อย เนื่องจากชาวบ้านฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นต้องระดมการให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง และติดตามพฤติกรรมควบคู่ไปด้วยโดยใช้วิธีสร้างเครือข่ายอาสาสมัครในชุมชน ที่มีคุณสมบัติเขียน อ่าน ฟัง และพูดภาษาไทยได้ดี เป็นแนวร่วม (หน้า ก - ค)ลาหู่,มูเซอ,ลีซู,โรคเอดส์,ปัญหายาเสพติด,โสเภณี,แม่ฮ่องสอนตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=260
259รายงานการวิจัยการศึกษาระดับความต้องการและสุขภาพจิตของชาวไทยภูเขาเผ่าม้งกับชาวไทยชนบทในจังหวัดเชียงใหม่พิสมัย วิบูลย์สวัสดิ์, กรรณิการ์ ภู่ประเสริฐ, ศิริพรรณ ธนสินงานชิ้นนี้ทำการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างทางสุขภาพจิตระหว่างชาวไทยชนบท และชาวไทยภูเขาในจังหวัดเชียงใหม่ โดยศึกษาถึงความต้องการของบุคคลตามทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการตามแนวคิดของมาสโลว์ และสภาวะสุขภาพทางกายว่ามีส่วนสัมพันธ์กับสุขภาพจิต การศึกษาครั้งนี้ศึกษาการรับรู้ของบุคคลต่อคุณภาพชีวิตในด้านต่าง ๆ และประเมินความรู้สึกของบุคคลด้วยวิธีการใช้รูปภาพหน้าคนที่แสดงความรู้สึกตั้งแต่มีความสุขจนถึงไม่มีความสุข สำหรับสุขภาพทางกายและระดับความต้องการของบุคคลนั้น ผู้วิจัยใช้แบบสัมภาษณ์ประเมินสภาวะสุขภาพทางกายและระดับความต้องการ 4 ลำดับขั้น คือ ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย ความต้องการความรักและเข้าพวกพ้อง ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียง ความต้องการความประจักษ์จริงแห่งตน ในการสัมภาษณ์ได้สอบถามกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง 207 คน และชาวไทยในเขตชนบท 207 คน อายุระหว่าง 16-65 ปี ผลการศึกษาวิจัยสรุปได้ว่า ระดับความต้องการขั้นต่าง ๆ ของบุคคลมีส่วนสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตหรือสุขภาพจิตมากกว่าสุขภาพทางกาย การวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณแสดงว่า ความต้องการทั้ง 4 ระดับนี้ ใช้เป็นตัวแปรพยากรณ์ความพึงพอใจในชีวิตด้านต่างๆ ได้ ความต้องการความรักและเข้าพวกพ้อง เป็นตัวแปรที่มีความสามารถในการพยากรณ์สูงสุด รองลงมาคือความต้องการความมั่นคงปลอดภัย และความต้องการประจักษ์จริงแห่งตน จากการวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทาง พบว่ากลุ่มชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ไม่ว่าจะได้คะแนนสูงหรือคะแนนต่ำ เกี่ยวกับความต้องการความรักและเข้าพวกพ้อง ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียง แสดงความรู้สึกไม่ค่อยพึงพอใจต่อคุณภาพชีวิตด้านต่างๆ แตกต่างจากกลุ่มชาวไทยในชนบทอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยที่เป็นปัญหาหลักที่พบได้แก่ ความไม่พึงพอใจในสภาพเศรษฐกิจ นั่นคือ กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มยังไม่สบายใจ และไม่ค่อยมีความสุขนักกับเรื่องมาตรฐานค่าครองชีพ รายได้และสภาพที่พักอาศัย สำหรับกลุ่มตัวอย่างเพศชายและเพศหญิงมีการรับรู้คุณภาพชีวิตไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่กลุ่มผู้สูงอายุจะปรับตัวได้ดีกว่า และแสดงความรู้สึกพึงพอใจในชีวิตด้านต่าง ๆ สูงกว่าผู้อยู่ในวัยหนุ่มสาว ผลการวิจัยเสนอให้มีการส่งเสริมยกระดับคุณภาพชีวิตบางด้านในกลยุทธ์การพัฒนาชนบท (หน้า ข)ม้ง,ยวน คนเมือง,สุขภาพจิต,เปรียบเทียบ,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=259
258วิทยานิพนธ์การผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมของชุมชนไทลื้อวันดี สมรัตน์การวิจัยเรื่อง การผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมของชุมชนไทลื้อ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาวัฒนธรรมด้านความเชื่อ ค่านิยม วิถีชีวิต ความสัมพันธ์ และกลไกที่คนไทลื้อใช้ในการผลิตซ้ำ ด้านความเชื่อ ค่านิยม วิถีชีวิตและความสัมพันธ์ ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ พระสงฆ์ หัวหน้าครอบครัว ผู้นำหมู่บ้าน ผู้อาวุโส ครู กลุ่มองค์กรในชุมชน การสังเกตกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ ค่านิยม วิถีชีวิตและความสัมพันธ์ที่มีอยู่ในชุมชน ข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบความถูกต้อง ความสมบูรณ์ของข้อมูล การจำแนกข้อมูลเป็นหมวดหมู่ตามวัตถุประสงค์ แล้วนำเสนอโดยการบรรยาย และสรุปเชิงวิเคราะห์ผลการศึกษาวิจัย สรุปได้ดังนี้ ไทลื้อมีความเชื่อ ค่านิยม วิถีชีวิตความสัมพันธ์แบบดั้งเดิม มีการนับถือผีต่าง ๆ ได้แก่ ผีปู่ย่า ผีบ้าน เทวดาบ้าน เจ้าป่า พฤติกรรมที่แสดงออกต่อสิ่งดังกล่าว เช่น การกราบไหว้บูชาด้วยธูปเทียน ข้าวปลาอาหาร บนบานให้สิ่งเหล่านั้นช่วยดูแลคุ้มครอง ให้เกิดความสุข นอกจากนี้ไทลื้อยังมีความเชื่อในพุทธศาสนา โดยเฉพาะความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ทำให้คนในชุมชนมีการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ตนเองในภายหน้า เพราะเชื่อว่าชีวิตหลังความตายมีจริง ในวิถีประจำวันนอกจากความเชื่อเรื่องผีและศาสนาแล้ว ยังมีการเคารพผู้อาวุโสและหัวหน้าครอบครัวที่มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ชุมชนไทลื้อมีการผลิตซ้ำด้านค่านิยม 4 ด้าน ได้แก่ ค่านิยมการแต่งกายแบบไทลื้อในเวลามีงานประเพณีต่าง ๆ ค่านิยมในการใช้ภาษาไทลื้อในชีวิตประจำวัน ค่านิยมการบริโภคอาหารแบบดั้งเดิม ค่านิยมการจับกลุ่มพูดคุยกันยามว่าง ด้านความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวเป็นในการปฏิบัติ คนในชุมชนมีการนับถือกันเหมือนพี่น้อง จึงมีการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างกัน ชุมชนยังมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติในลักษณะพึ่งพา และความสัมพันธ์ในสิ่งเหนือธรรมชาติซึ่งต้องปฏิบัติตาม ใครฝ่าฝืน ล่วงละเมิดจะทำให้เกิดเรื่องร้ายในชีวิต กลไกทางสังคมคนไทลื้อในการผลิตนี้ ได้แก่ พระสงฆ์ ซึ่งผลิตซ้ำด้านความเชื่อ เรื่องกรรม บาปบุญ ครอบครัว ผู้นำที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ผู้อาวุโส ครู กลุ่มและองค์กร ศาสนาพุทธ ภาษา การแต่งกาย อาหาร ความสัมพันธ์และประเพณีต่าง ๆ ที่แสดงถึงความเป็นชุมชนลื้อลื้อ,การผลิตซ้ำ,ความเชื่อ,ค่านิยม,วิถีชีวิต,ความสัมพันธ์ในชุมชน,เชียงรายตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=258
257รายงานการวิจัยกระบวนการเรียนรู้และการปรับใช้มิติทางวัฒนธรรมของชุมชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์อารยะ ภูสาหัสภายใต้บริบทของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ที่มีความพยายามจะพัฒนาชนบทด้วยการผนวกเศรษฐกิจชาวบ้านให้เข้าสู่ระบบตลาด และการแย่งชิงทรัพยากรโดยการใช้อำนาจรัฐและพลังของระบบทุนนิยม ได้ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์พัฒนาและนำไปสู่วิกฤตวัฒนธรรมอันเนื่องมาจากการครอบงำทางความคิดแบบบริโภคนิยม จนทำให้ดูเสมือนหนึ่งว่าสังคมชนบทไทยกำลังจะล่มสลาย แต่ผลจากการวิจัยครั้งนี้พบว่า ชาวบ้านในสังคมล้านนา หรือ "ชุมชนบ้านทุ่งยาว" ซึ่งเป็นหมู่บ้านชนบทในย่านชานเมืองเชียงใหม่ ที่มีสภาพเสมือนหอพักหรือหมู่บ้านจัดสรรและมีชีวิตชุมชนเหลือน้อยลงไปทุกทีนั้น กลับมีกระบวนการในการเรียนรู้ ปรับตัวและปรับใช้มิติทางวัฒนธรรมชุมชน โดยการผลิตซ้ำ "ความเป็นชุมชน" ขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจรัฐ ระบบทุนนิยมและวัฒนธรรมการบริโภคนิยม ชุมชนบ้านทุ่งยาวได้จัดตั้ง "กลุ่มและองค์กรชุมชนท้องถิ่น" ขึ้นทั้งในระดับชุมชนและระดับเครือข่าย เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชุมชนและป้องกันแก้ไขปัญหาเอดส์และปัญหายาเสพติดในชุมชน จากสภาพเงื่อนไขที่รัฐเองไม่สามารถหยิบยื่นความช่วยเหลือและบริการเข้าสู่ชุมชนได้อย่างทั่วถึง มิหนำซ้ำบางขณะยังเป็นฝ่ายดึงดูดทรัพยากรออกไปจากชุมชน ขณะเดียวกันก็เป็นการรวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับระบบทุนนิยมและวัฒนธรรมบริโภคนิยมซึ่งเป็นปัญหาร่วมของชุมชนด้วย โดยพื้นฐานเบื้องหลังการรวมกลุ่ม คือความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเครือญาติและแบบอุปถัมภ์ รวมทั้งอาศัยเงื่อนไขจากภายในและนอกชุมชน ผสมผสานกับมิติทางวัฒนธรรมจากพลังทางความคิดเก่า-ใหม่ อันได้แก่ ความคิดเรื่องทำบุญในพุทธศาสนาแบบชาวบ้าน ความคิดแบบสวัสดิการสังคมและเรื่องมนุษยธรรม จากการผนึกกำลังของชุนชั้นต่าง ๆ ในชุมชนโดยเฉพาะปัญญาชนท้องถิ่น และการสนับสนุนช่วยเหลือจากองค์กรพัฒนาเอกชนรวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วน ได้เพิ่มศักยภาพของชาวบ้านในการแก้ไขปัญหาการผลิตทางเศรษฐกิจ และการป้องกันแก้ไขปัญหาเอดส์ และยาเสพติด เช่น การก่อตั้งสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ชมรมผู้เลี้ยงปลาและไก่ การทอดผ้าป่าเอดส์และการจัดตั้งกองทุนทุ่งยาวเกื้อกูล กลุ่มสันทรายรวมใจซึ่งสัมพันธ์เชื่อมโยงกัลป์เครือข่ายผู้ติดเชื้อระดับอำเภอ จังหวัดและประเทศ อันเป็นเสมือนการสร้าง "ต้นทุนทางชุมชน" ให้แก่ชุมชน โดยมีแนวทางชัดเจนปรากฏขึ้นสองทาง คือ ใช้การมีส่วนร่วมในการรวมกลุ่มโดยใช้แนวทางวัฒนธรรมชุมชน และใช้การมีส่วนร่วมสร้างเวทีการเรียนรู้ปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคม รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านกับรัฐ และระบบตลาด ซึ่งช่วยเปิดหรือทำให้เกิดพื้นที่ทางวัฒนธรรมของชุมชน ซึ่งบ่งบอกถึง "สิทธิของชุมชน" และอำนาจการตัดสินใจและจัดการ เพื่อปกป้องพิทักษ์ชีวิต ทรัพย์สินและทรัพยากรของชุมชน เพื่อกลุ่มชนชั้นผู้ด้อยโอกาสซึ่งได้แก่ผู้ติดเชื้อฯและชาวบ้านส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบและพัฒนาผิดทาง อย่างไรก็ตาม ขบวนการของชาวบ้านทุ่งยาว ยังอยู่ระหว่างการเรียนรู้ ปรับตัวต่อแรงกดดันทั้งจากภายในและภายนอกชุมชนอยู่ตลอดเวลา เพื่อส่งเสริมครอบครัว กลุ่มและชุมชนให้ร่วมกันพัฒนาในมิติใหม่ ในรูปการประสานเครือข่ายตามแนวทางของชาวบ้าน ซึ่งมิได้แยกส่วนในการแก้ไขปัญหาของชุมชน แต่มองปัญหาและแก้ไขแบบองค์รวม เชื่อมโยงกัน เพื่อพัฒนาจิตสำนึกเรื่องสิทธิและความรับผิชอบต่อสังคม เพื่อให้ชุมชนและกลุ่มเกิดความเชื่อมั่นในพลังของตนเองมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ข้อค้นอีกประการที่สำคัญ ก็คือ "ความเป็นชุมชน" มิได้จำกัดหรือยึดติดอยู่แค่ในขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของความเป็นหมู่บ้านเท่านั้น แต่อาจขยายไปได้อย่างกว้างขวาง หากผู้คนในสังคมมีอุดมการณ์หรือมีปัญหาร่วมกัน และตระหนักถึงสิทธิ บทบาทที่จะมีส่วนร่วมในการเข้าไปควบคุมและจัดการกับปัญหานั้น ทั้งในระดับครอบครัว กลุ่ม ชุมชนและเครือข่าย ท่ามกลางความสัมพันธ์กับสังคมภายนอกทั้งรัฐและระบบตลาดยวน คนเมือง ไทยวน,กระบวนการเรียนรู้,มิติทางวัฒนธรรม,การป้องกัน,การแก้ไข,โรคเอดส์,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=257
256รายงานการวิจัยการเจ็บป่วยและการตายในกลุ่มชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในอำเภอสะเมิง และอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่สมพงษ์ ชีวสันต์งานชิ้นนี้ศึกษาเกี่ยวกับวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม ของชนกะเหรี่ยงที่มีผลต่อการเจ็บป่วยและการตาย ในกลุ่มกะเหรี่ยงในอำเภอสะเมิงและอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การเจ็บป่วย,การตาย,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=256
255วิทยานิพนธ์กะเหรี่ยง : ระบบยุติธรรมของชนกลุ่มน้อย : ศึกษาเฉพาะกรณีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงบ้านแม่เหาะ ตำบลแม่เหาะ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนสุรีย์พร เสมอวงค์การศึกษานี้เป็นการวิเคราะห์ระบบยุติธรรมของกะเหรี่ยงบ้านแม่เหาะ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในอดีตนั้นสังคมของกะเหรี่ยงบ้านแม่เหาะเป็นแบบสังคมดั้งเดิม ผู้นำหมู่บ้านประกอบด้วยหัวหน้าหมู่บ้าน และผู้อาวุโสของหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ผู้อาวุโสจะคอยให้คำปรึกษา หัวหน้าหมู่บ้านโดยมากจะเป็นหมอผีประจำหมู่บ้านด้วย เป็นผู้นำทางพิธีกรรมต่าง ๆ กะเหรี่ยงบ้านแม่เหาะมีความเชื่อเกี่ยวกับผี พฤติกรรมต่าง ๆ จึงตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ผียอมรับได้ ความเชื่อเหล่านี้เป็นปทัสฐานของสังคมที่กำหนดพฤติกรรม เมื่อกะเหรี่ยงบ้านแม่เหาะได้มีการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยต่าง ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาในหมู่บ้าน ทั้งทางด้านการศึกษา ศาสนา เศรษฐกิจ การปกครอง การคมนาคม ทำให้ความเชื่อเกี่ยวกับผีลดน้อยลง และรัฐบาลไทยได้เข้าไปปกครอง มีการแต่งตั้งผู้นำหมู่บ้านจากราชการไทย กะเหรี่ยงบ้านแม่เหาะต้องทำตามกฎหมายไทย ทำให้ระบบยุติธรรมของกะเหรี่ยงบ้านแม่เหาะมีการผสมผสานระหว่างระบบยุติธรรมตามกฎหมายไทยและระบบยุติธรรมของกะเหรี่ยงบ้านแม่เหาะเองกะเหรี่ยง,ระบบยุติธรรม,แม่ฮ่องสอนตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=255
254รายงานการวิจัยกะเลิง : การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยสุรัตน์ วรางค์รัตน์กะเลิง บ้านกุดแฮด อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร ได้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ที่นี้เป็นเวลานานแล้ว เพื่อหาที่ทำกินที่อุดมสมบูรณ์ แต่เดิมกะเลิงหาของป่า ล่าสัตว์ในบริเวณเทือกเขาพูพาน เมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้นและทางการเข้มงวดกับการหาของป่า กะเลิงจึงหันมาทำไร่ ทำนา และปลูกมันสำปะหลัง เลี้ยงสัตว์ ไม่นิยมค้าขายและทำสวน กะเลิงมีความเชื่อในเรื่องภูตผีวิญญาณและพุทธศาสนาควบคู่กันไป แต่เดิมกะเลิงไม่นิยมแต่งงานกับชนกลุ่มอื่น แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป ชายหนุ่มในหมู่บ้านนิยมไปแต่งงานกับหญิงสาวในหมู่บ้านอื่น เช่นเดียวกันกับหญิงสาวกะเลิงที่นิยมแต่งงานกับผู้ชายหมู่บ้านอื่น กะเลิงมีวรรณกรรมหรือนิทานพื้นบ้านเป็นทำนองเรื่องของตนเอง เรื่องที่เล่ามักเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางเพศซึ่งกะเลิงเห็นเป็นเรื่องสนุกและเป็นธรรมชาติของมนุษย์ นอกจากนี้ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผี แต่เป็นผีที่ขบขัน ไม่น่ากลัว นิยมแต่งกลอนเพื่อขับขานในงานบุญที่วัดกะเลิง,สภาพความเป็นอยู่,ความเชื่อ,เศรษฐกิจ,สังคม,วัฒนธรรม,สกลนครตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=254
253รายงานการวิจัยกะเหรี่ยง : การศึกษาเฉพาะกลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KAREN NATIONAL UNION : KNU) ชนกลุ่มน้อยต่อต้านรัฐบาลพม่าตามแนวชายแดนไทย - พม่า กับความมั่นคงของประเทศไทยหาญ เพไทย, พลตรีประเทศพม่าประกอบด้วยชนกลุ่มน้อยจำนวนมาก เช่น มอญ อาระกัน คะฉิ่น ว้า มูเซอร์ คะยา กะเหรี่ยง ฯลฯ ภายหลังจากที่อังกฤษมอบเอกราชให้กับพม่าทำให้ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษต้องการเป็นรัฐอิสระ แต่รัฐบาลพม่าไม่ยอมจึงทำการกวาดล้างอย่างหนัก ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ก็ทำการต่อสู้ตลอดมา โดยเฉพาะกลุ่มกะเหรี่ยงมีการจัดตั้งรัฐบาลของตนเอง คือ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU : KAREN NATIONAL UNION) ยึดครองพื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำอิระวดีและภาคตะนาวศรีทั้งหมด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มกอทูเลตะวันตก และกลุ่มกอทูเลตะวันออก นอกจากนี้ยังรวมตัวกับชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ เป็น กะเหรี่ยง - มอญอิสระ, กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ, กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ กะเหรี่ยงมีภาษา วัฒนธรรม ประเพณี เป็นของตัวเอง มีการจัดระบบการศึกษา การจัดระบบการเมืองการปกครองและยังสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ โดยการพยามยามทำให้ประชาคมโลกยอมรับ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลพม่าเป็นอย่างมากจึงได้ทำการกวาดล้างอย่างรุนแรงโดยเฉพาะตามแนวชายแดนไทย - พม่า ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศไทย เช่น ปัญหาทางการเมืองและการทหารระหว่างไทยกับพม่ากะเหรี่ยง,การต่อต้านรัฐบาลพม่า,ความมั่นคง,แม่ฮ่องสอนตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=253
252วิทยานิพนธ์ปัญหานิยามความหมายของป่าและการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ : กรณีศึกษาชาวลาหู่สมบัติ บุญคำเยืองผู้เขียนเน้นประเด็นการศึกษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจในการจัดการควบคุมพื้นที่ป่า ระหว่างชนกลุ่มใหญ่และชนกลุ่มน้อยโดยใช้กรณีศึกษาลาหู่ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง การช่วงชิงอำนาจ การสร้างความจริงและการนิยามความหมายเหนือพื้นที่ป่า ว่ากลุ่มอำนาจเหล่านั้นสร้างความจริงและนิยามความหมายเหนือพื้นที่ป่าอย่างไร เพื่อวิเคราะห์ถึงบริบทและเงื่อนไขการปฏิบัติการ และการปรับเปลี่ยนการสร้างความจริงและการนิยามความหมายพื้นที่ของกลุ่มอำนาจเหล่านั้น ผู้เขียนมองว่าลักษณะความสัมพันธ์เชิงอำนาจนั้นชนกลุ่มที่มีกำลังจะเข้าครอบงำชนกลุ่มเล็กที่ไร้อำนาจต่อสู้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การใช้กำลังอาวุธและความได้เปรียบที่เหนือกว่า เข้ากดดันให้ชนกลุ่มเล็กปฏิบัติตามข้อกำหนดของตน โดยชนกลุ่มเล็กก็ไม่ได้นิ่งเฉยในทางตรงกันข้ามกับใช้วิธีการต่าง ๆ เข้าต่อสู้เพื่อปฏิเสธการยอมรับอำนาจนั้น ๆ เช่น การเคลื่อนย้ายถิ่นฐานหรือปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตบางประการ เพื่อให้สอดประสานกับอำนาจที่เหนือกว่าได้ ส่วนในประเด็นเทคนิคการสร้างตัวตนผ่านพิธีกรรมและการสร้างสัญลักษณ์ดังที่ลาหู่ทำเพื่อแสดงความเคารพต่อหงื่อซานั้น เป็นวิธีการธำรงอัตลักษณ์ของลาหู่ไว้ลาหู่ ,มูเซอ,ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ,การสร้างความจริง,การนิยามความหมาย,การสร้างอัตลักษณ์,การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ,เชียงรายตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=252
251รายงานการวิจัยชาวเขากับแถบหญ้ากรณีศึกษาอีก้อ บ้านห้วยป่าเคาะสนิท วงศ์ประเสริฐ, สารณีย์ ไทยานันท์การวิจัยนี้ผู้เขียนมุ่งเสนอประเด็นปัญหาที่เกิดโครงการพัฒนาโครงการต่าง ๆ โดยมองปัญหาในสามฝ่ายคือ ฝ่ายโครงการพัฒนาฝ่ายเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานและฝ่ายชาวบ้านที่เป็นเป้าหมายการพัฒนา โดยใช้กรณีศึกษาชาวเขาเผ่าอาข่าหรืออีก้อในหมู่บ้านห้วยป่าเคาะ ต.วาวิ อ.แม่สรวย จ. เชียงราย ผู้เขียนพบว่าในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ล้วนจบลงด้วยความล้มเหลว ในส่วนของโครงการแถบหญ้า ที่เริ่มดำเนินการระหว่างปี พ.ศ.2530-2532 เป็นโครงการอนุรักษ์ดินละน้ำ มีการส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกพืชหมุนเวียน มีการตั้งรางวัลให้แก่เกษตรกรเป็นเมล็ดพันธุ์พืชและเครื่องมือการเกษตรและเงินสด อีกทั้งยังมีการให้คำมั่นสัญญาว่าชาวบ้านที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับสัญชาติไทย และได้รับสิทธิในที่ดินที่ทำการเพาะปลูก ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับฝ่ายต่าง ๆ ได้แก่ 1. ฝ่ายผู้ริเริ่มโครงการ มีความสนใจเพียงแค่ข้อมูลพื้นฐานละเลยข้อมูลด้านสังคม ตลอดจนปัญหาและความขัดแย้งภายในชุมชน 2. ฝ่ายเจ้าหน้าที่ภาคสนามขาดการปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับชาวบ้าน พยายามเพียงเร่งงานให้เสร็จตามกำหนดเท่านั้น 3. ฝ่ายชาวบ้านที่เป็นกลุ่มเป้าหมายมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างมาก มีการรับค่านิยมใหม่ ๆจากภายนอกมีปัญหาและข้อขัดแย้งต่าง ๆ จากการศึกษาวิจัยดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงบทเรียนที่สำคัญแก่โครงการอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นว่า ควรมีการใส่ใจถึงข้อมูลที่เป็นนามธรรมและควรสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน เผยแพร่ข้อมูลแก่ชาวบ้าน ศึกษาว่าชุมชนต้องการอะไรจากการพัฒนา พยายามดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้โครงการสำเร็จลุล่วงโดยเกิดประโยชน์แก่ชุมชนเป้าหมายอย่างแท้จริงอาข่า,อีก้อ,การอนรัษ์,โครงการพัฒนา,เชียงรายตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=251
250วิทยานิพนธ์การถ่ายทอดภูมิปัญญาด้านนิเวศวิทยาของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ทัศนีย์ หิรัญวงษ์จุดมุ่งหมายการวิจัยของผู้เขียนคือ มุ่งศึกษาการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านนิเวศวิทยาของกะเหรี่ยงที่อยู่บนดอยอินทนนท์ โดยศึกษาสองหมู่บ้านคือ หมู่บ้านแม่กลางหลวง และหมู่บ้านอ่างกาน้อย โดยศึกษาครอบคลุมถึงบริบท ข้อจำกัด และสภาพปัญหาการถ่ายทอดความรู้ด้านนิเวศวิทยา รวมถึงศึกษาแนวทางการถ่ายทอดความรู้ที่เหมาะสม ผู้เขียนได้สรุปผลการศึกษาไว้ว่ารูปแบบการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านนิเวศวิทยาของกะเหรี่ยงมีสามรูปแบบคือ การถ่ายทอดโดยครอบครัว การถ่ายทอดโดยสังคมและการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมทางสังคม ในด้านอุปสรรคการถ่ายทอดภูมิปัญญาเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากการจัดการของภาครัฐและการรับค่านิยมใหม่ ๆ จากสังคมภายนอกเข้ามากะเหรี่ยงรุ่นใหม่ที่ไดรับการศึกษาสมัยใหม่มองว่าสิ่งที่คนรุ่นเก่าเชื่อและปฏิบัติเป็นสิ่งงมงายไร้เหตุผล ทำให้ภูมิปัญญาด้านนิเวศวิทยาของกะเหรี่ยงสูญหายไป ในประเด็นแนวทางการถ่ายทอดภูมิปัญญาด้านนิเวศวิทยาเป็นการถ่ายทอดที่อาศัยประสบการณ์การปฏิบัติจริงปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ภูมิปัญญาท้องถิ่น,การถ่ายทอด,นิเวศวิทยา,ดอยอินทนนท์,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=250
249รายงานการวิจัยบทบาทชายหญิงด้านอนามัยเจริญพันธุ์: กรณีศึกษาชุมชนม้งแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทยเสถียร ฉันทะการศึกษาของผู้เขียนที่มุ่งทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจของบทบาทชายหญิง กับการแสวงหาพฤติกรรมอนามัยการเจริญพันธุ์ ในประเด็นเกี่ยวกับกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมวัฒนธรรม ที่มีผลต่อการสร้างความต้องการทางเพศในสังคมของช่วงวัยต่าง ๆ รวมไปถึงการคาดหวังเพศของบุตร การแสวงหาพฤติกรรมด้านอนามัยการเจริญพันธุ์เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว อนามัยของแม่และเด็ก ภาวะการมีบุตรยาก การตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ การแท้ง เพศศึกษา พฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ความรุนแรงทางเพศ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของม้งจะเปลี่ยนไปอย่างไร ผู้ชายก็ยังเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจในทุกเรื่อง ถึงแม้ว่าปัจจุบันผู้หญิงจะมีบทบาทมากขึ้นมีอำนาจในการต่อรอง แต่เพศชายก็เป็นใหญ่กว่าเพศหญิงในสังคมของม้ง (หน้า 85-93 )ม้ง,บทบาทชายหญิง,อนามัย,เชียงรายตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=249
248วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม และการธำรงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ของชาวมอญ : ศีกษากรณีชุมชนมอญบ้านลัดเกร็ด ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีณัฐประวีณ ศรีทรัพย์เป็นการศึกษาถึงการเกิดและการเปลี่ยนแปลงและวัฒนธรรมที่มาจากสถานที่ตั้งติดกับชุมชนใกล้เขตเมืองหลวงเป็นปัจจัยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการศึกษา ด้านสาธารณูปโภคเน้นให้เห็นถึงการจัดการปกครอง ประกอบกับชุมชนบ้านลัดเกร็ดเป็นสังคมแบบเปิดทำให้พวกเขามีโอกาสในการอยู่ร่วมกันกับคนไทยในบริเวณใกล้เคียงไม่ว่าจะเป็นทางภาครัฐและเอกชนรวมไปถึงการปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจในด้านการผลิตแต่อีกส่วนหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปคือการนับถือศาสนาที่เป็นจุดให้คนไทยกับคนมอญปรับตัวเข้ากันได้โดยง่ายยอมรับวัฒนธรรมซึ่งกันและกันผู้วิจัยได้ใช้หลักการพิจารณาที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของพวกตนไว้ก็คือ ภาษา ศาสนา พิธีกรรมเพื่อคงความเป็นเอกลักษณ์การรวมกลุ่มกันเป็นปึกแผ่นเพื่อธำรงไว้ซึ่งความเป็นชนชาติมอญ ( หน้า 187-193, 195-196,199 )มอญ,วิถีชีวิต,ความเป็นอยู่,การเปลี่ยนแปลงของสังคม,วัฒนธรรม,นนทบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=248
247รายงานการวิจัยสภาพสังคมวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของชุมชนไทยเชื้อสายมอญลุ่มน้ำแม่กลอง จังหวัดราชบุรีบุบผา มีสุขการศึกษาเรื่องสภาพสังคมวัฒนธรรม ที่เปลี่ยนแปลงไปของขุมชนไทยเชื้อสายมอญ ลุ่มน้ำแม่กลอง จังหวัดราชบุรี ผู้เขียน ทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม ของชุมชนมอญ ในประเด็นที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันสาธารณสุขความเชื่อในด้านต่าง ๆ ล้วนเกิดความเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ รวมไปถึง สาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม วัฒนธรรมที่เกิดจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศ จะอย่างไรก็ตาม มอญยังคงยึดถือและปฏิบัติตามจารีตประเพณีทางสังคมและวัฒนธรรมแบบเดิมอยู่ตลอดมา ( หน้า 216-228 )มอญ,สภาพสังคม,วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง,ราชบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=247
246รายงานการวิจัยสิทธิในการจัดการที่ดินของชาวเขาการปรับตัวของกฎจารีตอาข่าภายใต้บริบทรัฐศตวรรษ สถิตย์เพียรศิริเป็นการศึกษาถึงลักษณะการใช้ที่ดินของชุมชนตามจารีตของกลุ่ม อู่โล้อาข่า เพื่อเน้นให้เห็นถึงการจัดการใช้ที่ดินการแบ่งสรรที่ดินเพื่อการเพาะปลูกที่มีการจัดการอย่างเป็นธรรมซึ่งแสดงให้เห็นถึงคติความเชื่อ อุดมการณ์ การจัดการและวิถีชีวิตของชุมชน และการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ของดิน เพื่อการกลับมาใช้ใหม่ในครั้งต่อไป สิทธิในที่ดินจึงเป็นสิทธิในการใช้ที่มีการถือครอง และมีการจัดการใหม่ทุกปีอย่างเป็นธรรมอาข่า,การใช้ที่ดิน,เชียงรายตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=246
245บทความความขัดแย้งระหว่างรัฐชาติกับชนชาติส่วนน้อยกะเหรี่ยง : มิติทางวัฒนธรรมสังศิต พิริยะรังสรรค์วิเคราะห์เหตุการณ์ที่กะเหรี่ยงกลุ่มหนึ่งเข้าโจมตีและต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่บ้านแม่จันทะ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2535 ว่าเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งถืออำนาจรัฐเป็นใหญ่ กระทำการโดยขัดแย้งกับความเชื่อและวัฒนธรรมดั้งเดิมของกะเหรี่ยง คือลัทธิฤาษี จนทำให้กะเหรี่ยงเกิดความเจ็บแค้น และทำให้เกิดการปะทะกัน ในลักษณะเดียวกับกบฎชาวนาที่เคยเกิดขึ้นในอดีตกะเหรี่ยง,สังคม,วัฒนธรรม,ลัทธิความเชื่อ,ความขัดแย้ง,รัฐ,ตากตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดตาก ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=245
244บทความการศึกษาประวัติศาสตร์กะเหรี่ยงราญ ฤนาทเนื้อหาหลักเน้นที่ประวัติศาสตร์และการศึกษาประวัติศาสตร์ของชนชาติกะเหรี่ยง ซึ่งยังคงคลุมเครือในช่วงต้น ขาดความต่อเนื่องชัดเจน และหยุดชะงักไปในปัจจุบันเพราะปัญหาความขัดแย้งกับรัฐบาลพม่าปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ประวัติศาสตร์,พม่าตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดตาก ประเทศไทย2523ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=244
243รายงานการวิจัยความสัมพันธ์ในด้านเศรษฐกิจและการตลาดระหว่างชาวเขาและประชากรพื้นราบในภาคเหนือบุญสวาท พฤกษิกานนท์ และคณะงานวิจัยชิ้นนี้มีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการตลาดระหว่างชาวเขากับชาวพื้นราบในหลายประเด็น ได้แก่ (1) สภาพหมู่บ้านของชาวเขาในหลายหมู่บ้านในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และลำพูน สภาพทั่วไปทางสังคมเศรษฐกิจของชาวเขาและชาวพื้นราบ ประเด็นย่อย ได้แก่ เผ่า เพศ ระดับอายุ การศึกษา สถานภาพการสมรส จำนวนสมาชิกในครอบครัว จำนวนสมาชิกในครัวเรือนที่ได้ทำงาน อาชีพหลักและอาชีพรอง รายได้ รายจ่ายของครอบครัว การนับถือศาสนา การทำกิจกรรมร่วมกันทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างชุมชน การรับรู้ข่าวสาร การมีเทคโนโลยีและอิทธิพลในการเลือกใช้เทคโนโลยี (2) ความสัมพันธ์ระหว่างชาวเขากับชาวพื้นราบในทางเศรษฐกิจและการตลาด ประเด็นย่อย ได้แก่ ความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ทางด้านการตลาด และแบบแผนการติดต่อสัมพันธ์และกระบวนการทางสังคมที่เกิดขึ้นระหว่างชาวเขากับชาวพื้นราบในเชิงเศรษฐกิจและการตลาด (3) บทบาทของรัฐต่อชาวเขาในด้านการตลาด (4) ทัศนคติและการปฏิบัติในด้านการเกษตรและการตลาดระหว่างชาวเขากับชาวพื้นราบ ประเด็นย่อยคือ ทัศนคติของชาวเขาและชาวพื้นราบที่มีต่อกัน ทัศนคติทางด้านการตลาดของชาวพื้นราบต่อชาวเขาที่มีผลกระทบต่อพฤติกรรมการตลาด การปฏิบัติของชาวพื้นราบในเชิงเศรษฐกิจและการตลาดที่มีผลกระทบต่อทัศนคติของชาวเขา และปัจจัยทางทัศนคติของชาวเขาที่มีต่อการปฏิบัติกับชาวพื้นราบในลักษณะต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการตลาดม้ง, เมี่ยน, ลาหู่,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ชาวเขา,ชาวพื้นราบ,เศรษฐกิจ,การตลาด,ความสัมพันธ์,ภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดตาก ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=243
242วิทยานิพนธ์วิถีชีวิตของชาวบ้านเวิน ตำบลโนนศรีงาม อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษมณีวรรณ บัวจูมงานชิ้นนี้ศึกษาวิถีการดำเนินชีวิตของชาวบ้านเวิน ตำบลโนนศรีงาม อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ ในด้านปัจจัยหลักของการดำเนินชีวิตได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ตลอดจนโครงสร้างทางสังคม บรรทัดฐาน ค่านิยม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ความเชื่อ ศาสนา และประเพณี พิธีกรรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้ทราบถึงวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชนที่ได้รับตกทอดมาจากบรรพบุรุษที่สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันกูย,บ้านเวิน,วิถีชีวิต,ศรีสะเกษตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=242
241รายงานการวิจัยบทบาทมุสลิมในปลายอยุธยา-ธนบุรี พ.ศ.2300-2325เพ็ญศรี กาญจโนมัย, นันทนา กปิลกาญจน์ผู้ศึกษามุ่งเน้นให้เห็นบทบาทของมุสลิมต่อประวัติศาสตร์ ทั้งทางการเมืองตั้งแต่สมัยสุโขทัย ตำแหน่งเสนาบดีการคลัง และการท่าเรือก็เป็นของชาวเปอร์เซีย สืบทอดมาจนถึงสมัยอยุธยาและสมัยธนบุรี ที่มุสลิมก็มีตำแหน่งทางราชการสูง ทั้งทหาร พลเรือน การทูต ตลอดจนเห็นบทบาทมุสลิมต่อ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมอื่น ๆ อย่างเช่น ภาษา การแต่งกาย เพลง การฟ้อนรำ เป็นต้น ศิลปและวัฒนธรรมของไทยหลายอย่างก็มีต้นกำเนิดมาจาก อิสลามอยู่มาก กลายเป็นวัฒนธรรมผสมผสานมาจนถึงทุกวันนี้มุสลิม,ประวัติศาสตร์,บทบาท,ปลายอยุธยา ธนบุรี,ประเทศไทยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย2521ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=241
240บทความNeo-Tribes and Traditional Tribes : Identity Construction and Interaction of Tourists and Highland People in a Village in Northern ThailandMckerron, Moragมีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่นิยมเดินป่า เพื่อไปดูชาวเขา โดยศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของนักท่องเที่ยวและกะเหรี่ยงสกอว์ ในขณะที่ชาวเขาต้องปรับตัวกับสภาพเเวดล้อมทางสังคม แต่นักท่องเที่ยวก็คาดหวังที่จะเห็นวิถีชีวิตดั้งเดิม ความเป็นประวัติศาสตร์ ดังนั้น จึงกลายเป็นการเติมความต้องการของทั้งสองฝ่าย คือ ชาวเขาก็จะได้รายได้จากการท่องเที่ยว ส่วนนักท่องเที่ยวก็อยากจะเห็นวิถีชีวิตของพวกเขา ซึ่งเป็นการได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย (หน้า 17-18)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การสร้างอัตลักษณ์,ปฏิสัมพันธ์,นักท่องเที่ยว,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=240
239บทความประเพณีพิธีกรรมชาวไทยใหญ่บ้านใหม่หมอกจ๋ามเรณู วิชาศิลป์เนื้อหาโดยรวมพูดถึงสภาพทั่วไป ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของชุมชน ตลอดจน ความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม ที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับธรรมชาติ และมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ ของชุมชนไตบ้านใหม่หมอกจ๋ามไทใหญ่,ความเชื่อ,พิธีกรรม,ประเพณี,บ้านใหม่หมอกจ๋าม,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=239
238บทความสังคมและวัฒนธรรมไทบ้านใหม่หมอกจ๋ามนงนุช จันทราภัย, เรณู วิชาศิลป์มีเนื้อหาครอบคลุมหลายประเด็นทั้งเรื่อง สภาพทั่วไป ประวัติความเป็นมา สภาพสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และวัฒนธรรมที่หลากหลาย การปรับตัวและลักษณะโครงสร้างของสังคมไท ตลอดจนความเชื่อประเพณี พิธีกรรม ในวงชีวิตของคนไทบ้านใหม่หมอกจ๋ามไท,สังคม,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,บ้านใหม่หมอกจ๋าม,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=238
237วิทยานิพนธ์การประเมินผลนโยบายวางแผนครอบครัว : กรณีศึกษาชนกลุ่มน้อย จังหวัด แม่ฮ่องสอนอรรถสิทธิ์ แสงจันทร์โดยสรุปผู้วิจัยมุ่งเน้นที่จะนำเสนอสภาพปัญหาการวางแผนครอบครัวโดยการสุ่มตัวอย่างเก็บข้อมูล จากชนกลุ่มน้อยและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ตลอดจนวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ และวัดระดับประสิทธิผลในการนำนโยบายการวางแผนครอบครัวไปปฏิบัติจริง (93)ม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ลีซู, ล่าหู่,ชนกลุ่มน้อย,การประเมิน,นโยบาย,การวางแผนครอบครัว,แม่ฮ่องสอนตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=237
236รายงานการวิจัยวัฒนธรรมมอญพระประแดง : กรณีศึกษาศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน การทำโลงมอญ พระประแดง สมุทรปราการสุพิศวง ธรรมพันทา และ กฤช เจริญน้ำทองคำมีเนื้อหาครอบคลุมความเป็นมาของมอญพระประแดง วัฒนธรรม ความเชื่อ และประเพณี ศิลปะพื้นบ้าน โดยเฉพาะการทำโลงศพมอญพระประแดง ซึ่งยังคงพบเห็นได้ในปัจจุบัน โดยมีพิธีกรรมต่างๆ เป็นสะพานเชื่อมโลกนี้กับโลกหน้า และระหว่างคนในชุมชน
หัตถกรรมพื้นบ้านการทำโลงมอญเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของมอญพระประแดง เพราะรูปทรงและลวดลายที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากโลงศพอื่น ปัจจุบัน การทำโลงมอญสกุลช่างปากลัด (โลงมอญน้ำจืด) ช่างผู้สืบทอดงานเหลือเพียงสองท่าน โลงมอญสกุลช่างปากลัดประกอบจากงานไม้และงานกระดาษเป็นหลัก ขั้นตอนเริ่มจากการทำตัวโลงและการตกแต่งทั้งตัวโลง ฝาโลง และการทำและตกแต่ง "ยอดครู" ใช้เวลาทำไม่น้อยกว่า 1-2 เดือน ใช้ลวดลายตกแต่งประมาณ 20-30 ลาย ตัวโลงเจาะช่องหน้าต่าง เรียกว่า ลายขุนแผนเปิดม่าน ส่วนที่สำคัญคือส่วน "ยอดครู" เพราะถือว่าเป็นที่อยู่ของครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการทำโลงมอญ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ช่างประยุกต์ใช้วิธีง่ายและประหยัดเวลาในการทำโลงมากขึ้น และคนมอญนิยมโลงมอญมากกว่าก่อนมอญ,ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน,การทำโลงมอญ,พระประแดง,สมุทรปราการตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=236
235รายงานการวิจัยประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างคริสตจักรไทลื้อเชียงรุ่ง สิบสองปันนา กับ คริสตจักรภาคเหนือในประเทศไทย อดีต - ปัจจุบันพรรณี อวนสกุล, รัตนาพร เศรษกุล, และ พงษ์ธาดา วุฒิการณ์งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาในหลายประเด็น ได้แก่ การเผยแพร่คริสต์ศาสนาในดินแดนล้านนาภาคเหนือของประเทศไทย การเผยแพร่คริสต์ศาสนาในสิบสองปันนา ความสัมพันธ์ระหว่างคริสตจักรเชียงรุ่งกับคริสตจักรภาคเหนือของประเทศไทยในฐานะที่เป็น คริสตจักรคนไทด้วยกัน และวิเคราะห์คริสต์ศาสนาในสิบสองปันนา โดยเน้นที่คริสต์ศาสนาในเมืองเชียงรุ่ง อย่างไรก็ตาม ผลจากการศึกษาพบว่า การก่อตั้งคริสตจักรเชียงรุ่งเป็นการขยายงานพันธกิจของคริสตจักรในภาคเหนือของประเทศไทย โดยการดำเนินงานของคณะมิชชันนารีกลุ่มเดียวกับที่ก่อตั้งคริสตจักรในภาคเหนือของประเทศไทย และภายใต้นโยบายการขยายงานเผยแพร่คริสต์ศาสนาในกลุ่มคนไทประเทศต่าง ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างคริสตจักรในภาคเหนือของประเทศไทยกับคริสตจักรเชียงรุ่ง มีลักษณะแบบคริสจักรพี่กับคริสตจักรน้อง โดยคริสตจักรเชียงรุ่งจะได้รับแบบแผนและความช่วยเหลือจากคริสตจักรในภาคเหนือของไทยทั้งในด้านการบริหาร บุคลากร รูปแบบการบริหารงาน ตลอดจนกิจกรรมบริการสังคม นอกจากนี้ ผู้ที่นับถือคริสต์ศาสนาในเชียงรุ่งส่วนใหญ่ ยังเป็นกลุ่มที่มีฐานะทางสังคมใกล้เคียงกับผู้ที่นับถือคริสต์ศาสนาในล้านนาด้วย ส่วนการบริหารงานปกครองคริสตจักรเชียงรุ่งนั้น อยู่ภายใต้การดูแลของมิชชันนารีในประเทศไทยมากกว่า เนื่องจากสะดวกในการติดต่อและเป็นไทด้วยกัน การเผยแพร่ศาสนาประสบความสำเร็จในกลุ่มคนชั้นล่างของสังคมเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ชนชั้นปกครองและไทลื้อสามัญไม่ให้ความสนใจต่อคริสต์ศาสนานัก และยังมองว่า ชุมชนคริสเตียนเป็นชุมชนของชนกลุ่มน้อย ที่มีจารีตประเพณีและวัฒนธรรมแตกต่างจากคนกลุ่มใหญ่ในสังคมด้วย (หน้า 10)ลื้อ,ประวัติศาสตร์,ความสัมพันธ์,คริสตจักร,เชียงรุ่ง,สิบสองปันนา,ภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=235
234วิทยานิพนธ์ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนต่อการรับรู้ในการจัดการไฟป่า : ศึกษากรณีชุมชนชาวมูเซอแดงสุริยา กาฬสินธุ์จากการศึกษาพบว่า การเกิดไฟป่าสัมพันธ์กับวัฒนธรรมชุมชนหลายอย่างที่ใช้ "ไฟ" เป็นเครื่องมือสำคัญ ได้แก่ วัฒนธรรมการตั้งถิ่นฐาน วัฒนธรรมการเกษตร และวัฒนธรรมการดำรงชีพบางอย่าง เช่น เก็บหาของป่าและล่าสัตว์ นอกจากนี้ ไฟป่ายังสัมพันธ์กับการรับรู้ของชุมชนที่สะท้อนออกมาจากโลกทัศน์ ความเชื่อ ซึ่งถือเป็นการอธิบายธรรมชาติให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม
จากการศึกษายังพบด้วยว่า ชาวชุมชนมีการจัดการไฟป่ามาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว โดยเฉพาะการเข้ามาขององค์กรพัฒนาเอกชน กฎหมายรัฐจึงทำให้ชุมชนมีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้เนื่องจากชุมชนเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ชาวชุมชนบางส่วนออกไปขายแรงงานในต่างถิ่น จึงทำให้ศักยภาพในการจัดการไฟป่าของชุมชนลดลง (หน้า ก - ข)มูเซอแดง,ชุมชน,การจัดการไฟป่า,เชียงรายตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=234
233วิทยานิพนธ์การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขาเผ่าลีซอ บ้านขุนแจ๋ ตำบลแม่แวน อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ประคอง ยอดหอมจากการศึกษาพบว่า วิธีการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของลีซอ บ้านขุนแจ๋ เริ่มจากการกำหนดให้เป็นป่าอนุรักษ์ของหมู่บ้าน โดยส่วนหนึ่งกำหนดให้เป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ด้วยการอาศัยประเพณีและความเชื่อเกี่ยวกับ "อาปาหมู่" หรือผีหลวงประจำหมู่บ้าน ส่วนที่สองมีการกำหนดให้เป็นป่าไม้ที่เป็นป่าต้นน้ำลำธารของหมู่บ้าน โดยอาศัยกฎระเบียบของหมู่บ้านมาบังคับใช้ และมีการแต่งตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านคอยดูแล ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของลีซอบ้านขุนแจ๋มี 2 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายใน คือ ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ และบทบาทของผู้นำชุมชน ส่วนปัจจัยภายนอก คือ การได้รับการสนับสนุนจากทั้งหน่วยงานราชการและเอกชนลีซู,การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=233
232บทความUpland-Lowland Relationship: The case of the S' kaw Karen of Central upland western Chiang Mai.Marlowe, David H.ความสัมพันธ์ระหว่างกะเหรี่ยงกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นมีประเด็นสำคัญคือ ไม่มีกลุ่มใดสามารถอยู่แยกโดดเดี่ยวต่างมีความสัมพันธ์ที่หลากหลายระหว่างกลุ่ม และแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ต่างเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเป็น ที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ด้วย เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและสภาพภูมิประเทศของพื้นที่ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงและเกิดปัญหาขึ้น จะส่งผลกระทบกับโครงสร้างทางสังคมของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 65)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),คนพื้นราบ,ความสัมพันธ์,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2510ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=232
231วิทยานิพนธ์Lahu Argiculture and SocietyWongsprasert, Sanitงานวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะโต้แย้งเกี่ยวกับแนวคิดว่าการทำไร่หมุนเวียนเป็นการทำลายป่าไม้ จากการศึกษาพบว่าวิธีการทำไร่หมุนเวียนของลาหู่เป็นการทำการเกษตรกรรมที่มีความซับซ้อน พัฒนาเพื่อใช้ที่ดินบนพื้นที่สูงให้ได้ผลผลิตในการปลูกข้าวที่ดีและส่งผลให้สังคมสามารถดำรงวิถีชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นอิสระไม่ต้องพึ่งพากลุ่มภายนอก และผลผลิตอื่น ๆ เช่น พริก ฝิ่น ยังสามารถใช้ในการขายหรือแลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่น ๆ ที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้วิธีการทำการเกษตรของลาหู่ไม่ได้มีผลต่อการทำลายป่าไม้ เนื่องจากมีการหมุนเวียนการใช้พื้นที่ใเป็นวิถีชีวิตที่ประสบความสำเร็จในการจัดการและอยู่ร่วมกับธรรมชาติ (หน้า 242)ลาหู่,ระบบสังคม,การทำไร่หมุนเวียน,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2517ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=231
230วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในมณฑลพายัพหลังการตัดเส้นทางรถไฟสายเหนือ พ.ศ. 2464-2484พูนพร พูลทาจักรศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในมณฑลพายัพหลังการตัดเส้นทางรถไฟสายเหนือ พบว่า เส้นทางรถไฟก่อให้เกิดความสะดวกในการติดต่อระหว่างมณฑลพายัพกับกรุงเทพฯ มีการส่งสินค้าสำเร็จรูปจากกรุงเทพฯ ทำให้การค้าทางเรือซบเซาลง และการค้าข้ามพรมแดนจึงค่อย ๆ ลดความสำคัญลง การค้าทำให้ล้านนาสัมพันธ์กับกรุงเทพฯ มากขึ้น พ่อค้าคนจีนสามารถเข้าไปขยายบทบาทควบคุมเครือข่ายการค้าในมณฑลพายัพได้มากกว่ากลุ่มอื่น ในด้านการผลิตสินค้า สินค้าจากมณฑลพายัพที่สำคัญคือข้าวเปลือก สุกร พืชผักต่างๆ และสินค้าหัตถกรรม เปลี่ยนจากพึ่งตนเองสู่เพื่อการค้าควบคู่กัน นอกจากนี้ยังทำให้เงินสกุลบาทเข้ามามีบทบาทแทนสกุลรูปี และส่งผลให้เกิดการขยายตัวของชุมชนเมือง เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างกว้างขวาง (หน้า บทคัดย่อ)การเปลี่ยนแปลง,เศรษฐกิจ,รถไฟ,มณฑลพายัพ,ภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=230
229วิทยานิพนธ์การเมืองของการเสนอภาพตัวแทนในการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมของชุมชนม้ง : กรณีศึกษาบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ดริญญา โตตระกูลงานวิจัยชิ้นนี้มีเนื้อหาครอบคลุมในหลายประเด็น ได้แก่ ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ การปรับตัวของม้งบ้านแม่สาใหม่ในพื้นที่อนุรักษ์ ทุนทางวัฒนธรรมของม้ง กระบวนการสร้างความเป็นม้ง อำนาจเชิงสัญลักษณ์และการสร้างอัตลักษณ์ความเป็นม้งภายใต้บริบทของการแย่งชิงอำนาจในการจัดการทรัพยากร โดยพุ่งเป้าไปที่การทำความเข้าใจภาพลักษณ์และตัวตนในรูปแบบใหม่ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง โดยเฉพาะต่อกระบวนการสร้างภาพลักษณ์ ที่มีรากฐานที่มาจากต้นทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ม้ง,อัตลักษณ์,การเมือง,ทรัพยากร,สิ่งแวดล้อม,การจัดการ,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=229
228บทความEmbodied Power of Prophets and Monks : Dynamics of Religion among karen in ThailandHayami, Yokoทำให้มองเห็นถึงความแตกต่างในการปฏิบัติพิธีกรรม อิทธิพลที่ผลักดันกะเหรี่ยงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่เจริญขึ้น ให้พวกเขาได้มีเครื่องยึดเหนี่ยวในจิตใจ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในภูมิประเทศที่แตกต่างกันสักเพียงใด แม้ในปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าภายนอก ทำให้การทำนุบำรุงศาสนาเป็นไปด้วยความยากลำบากปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),อำนาจ,ผู้ทำนาย,พระ,ศาสนา,แม่ฮ่องสอนตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2544ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=228
227บทความAgricultural Transformation and Highlander Choice: A Case Study of a Pwo Karen Community in Northwestern ThailandSamata, Runakoมีเนื้อหาครอบคลุมปัญหาเศรษฐกิจ ด้านหนี้สินทั้งกับรัฐบาล และนายทุน ที่กะเหรี่ยงได้กู้มา ปัญหาสิ่งแวดล้อม ของกะเหรี่ยงที่พยายามปรับเปลี่ยนวิถีการเกษตร โดยการใช้เทคโนโลยี และ สารเคมีโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การปรับเปลี่ยนการเกษตร,แม่ฮ่องสอนตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2546ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=227
226บทความEconomic Systems and Ethnic Relations in Northern Thailand.Dessaint, William Y. and Dessaint, Alain Y.บทความกล่าวถึงระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ทางภาคเหนือของประเทศไทย การที่แต่ละกลุ่มมีพื้นที่นิเวศเฉพาะ มีผลผลิตเฉพาะอย่าง จึงต้องพึ่งพิงผลผลิตจากกลุ่มอื่น ๆ ที่มีระบบนิเวศแตกต่างกันออกไป ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการพึ่งพิงทางการค้าระหว่างคนที่อยู่บนพื้นที่สูงและคนพื้นราบ แต่มีความสัมพันธ์ทางสังคมน้อย กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ยังคงรักษาวิถีชีวิตที่แตกต่างของตนเอาไว้ มีความเป็นอิสระทางวัฒนธรรม แต่พึ่งพิงทางเศรษฐกิจ โดยอาศัยการแลกเปลี่ยนผ่านคนกลาง ได้แก่ พ่อค้าเร่ คาราวาน และร้านค้า มากกว่าจะติดต่อค้าขายกับศูนย์กลางตลาดโดยตรง เมื่อฝิ่นซึ่งเป็นพืชเงินสดสำคัญของชนบนพื้นที่สูงถูกประกาศให้กลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ทรัพยากรที่ดินมีจำกัด นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างคนพื้นราบและคนบนพื้นที่สูง รัฐไทยพยายามกลืนกลายทางวัฒนธรรมด้วยวิธีต่าง ๆม้ง, เมี่ยน, ลาหู่, ลีซู, อ่าข่า,ยวน,จีนยูนนาน,ชาวเขา,ระบบเศรษฐกิจ,ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์,ภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2525ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=226
225ปริญญานิพนธ์การศึกษาเปรียบเทียบการยอมรับนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจสังคมชาวม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบกับบนภูเขา ในกิ่งอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงรายอดิศร ภู่สาระงานศึกษาชิ้นนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมเศรษฐกิจกับการยอมรับนวัตกรรม ของม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นราบกับบนภูเขา ในกิ่งอำเภอเวียงแก่น จ.เชียงราย โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มม้งสองกลุ่มเป็นจำนวน 300 ครัวเรือน พบว่า ม้งที่อยู่บนพื้นราบมีการยอมรับนวัตกรรมมากกว่าม้งที่อยู่บนภูเขา ในด้านการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร การรักษาพยาบาล การคุมกำเนิด รายได้ ขนาดพื้นที่ทำการเกษตร การนับถือศาสนา การก่อสร้างบ้าน อุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือนและการแต่งกาย
ดังนั้น ผลจากการยอมรับนวัตกรรมในด้านต่าง ๆ จึงส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจของม้งทั้งสองกลุ่มในระดับที่แตกต่างกันไป เช่น รายได้ของม้งพื้นราบสูงกว่าม้งบนภูเขา เนื่องจากมีการคมนาคมที่สะดวก พบเห็นวิธีการผลิตทางการเกษตรจากหมู่บ้านอื่น อีกทั้งถูกกระตุ้นให้เปลี่ยนวิถีการผลิตเป็นเพื่อการค้า ซึ่งม้งที่อยู่บนภูเขายังคงมีการเพาะปลูกแบบกึ่งยังชีพ เป็นต้น
ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมเศรษฐกิจของม้งแห่งนี้ คือ การยอมรับนวัตกรรมทางการเกษตร การศึกษา และการสาธารณสุข ซึ่งนอกจากจะทำให้ม้งมีรายได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ก็ส่งผลกระทบต่อระบบวัฒนธรรมด้วย ทั้งในด้านภาษา การแต่งกาย รูปแบบการก่อสร้าง ขนาดของครัวเรือนที่มีลักษณะเลียนแบบคนไทยพื้นราบ อีกทั้งยังส่งผลต่อระบบความเชื่อในการเชื่อถือโชคลางและศาสนาอีกด้วยม้ง,การยอมรับนวัตกรรม,การเปลี่ยนแปลง,เศรษฐกิจ สังคม,เชียงรายตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=225
224Ph.D. Dissertation"No Fish In the Sea" Thai Malay Tactics of Negotiation in a Time of ScarcityDorairajoo, Saroja Deviชาวประมงมุสลิมในภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งหากินด้วยเรือหาปลาลำเล็ก กำลังตกอยู่ในความลำบาก เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติในทะเลหมดไป สาเหตุมาจากนายทุนที่มีเรือลำใหญ่ มีเทคโนโลยีในการจับปลาได้ทีละมาก ๆ จนเกิดภาวะขาดแคลน ทั้งป่าชายเลนก็ถูกบุกรุกทำลาย เพื่อไปทำนากุ้งซึ่งส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมในทะเล ชาวประมงเล็ก ๆ จึงจับปลาได้น้อยหรือไม่ได้เมื่อออกทะเล โดยเฉพาะผู้ชายนายูซึ่งมีอาชีพเดียวคือหาปลาเลยไม่ค่อยออกทะเลกันเหมือนแต่ก่อน พวกเขาได้แต่ไปนั่งที่ร้านกาแฟพูดคุยกัน จนถูกเรียกว่า "คนขี้เกียจ" เมื่อประสบปัญหาเช่นนี้ทำให้บทบาทในครอบครัวของมุสลิมเปลี่ยนแปลงไป คนมุสลิมในภาคใต้เป็นคนที่มี 2 สัญชาติ ได้แก่ สัญชาติไทย และ สัญชาติมาเลเซีย จึงมีการใช้ข้อได้เปรียบนี้เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด ชาวประมงนายูใช้ความเป็นคนไทยเรียกร้องให้มีการช่วยเหลือเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ ผู้หญิงนายูซึ่งเป็นแม่ค้าขายปลาที่ผู้ชายในครอบครัวหามาได้ แม่ค้าเหล่านี้ใช้ความเป็นมุสลิมดึงดูดลูกค้าซึ่งต้องการซื้อปลาสด ๆ ที่ปลอดภัยจากสารฟอมาลิน ซึ่งเรือใหญ่ ๆ ใช้ในการเก็บรักษาปลาให้อยู่นานขึ้น ลูกค้าจะมองหาหญิงที่แต่งชุดมุสลิมซึ่งมีปลาสด ๆ ไร้สารพิษ ผู้ชายที่ยังไม่แต่งงานใช้ความเป็นคนไทยในการลักลอบเข้าไปทำงานตามร้าน "ต้มยำ" ในประเทศมาเลเซีย ร้านเช่นนี้กำลังเป็นที่นิยมเพราะขายอาหารไทยฮาลาล โดยมีต้มยำเป็นตัวนำ ร้านเหล่านี้ใช้พ่อครัวไทย (นายู) เพราะลูกค้าเชื่อว่าคนไทยเท่านั้นที่จะทำอาหารไทยได้ สุดท้ายหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานซึ่งตามปรกติจะไม่ออกไปนอกบ้าน แต่ในภาวะขาดแคลนเช่นนี้ หญิงสาวพากันไปทำงานซ่อมอวนเพื่อนำรายได้เข้าครอบครัวออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ประมง,การขาดแคลนทรัพยากร,การต่อรอง,ปัตตานีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2545ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=224
223วิทยานิพนธ์ภูมิปัญญาชาวบ้านในพิธีกรรมของชุมชนกะเหรี่ยงจักรพันธ์ เพียรพนัสสักจากการศึกษาพบว่ามีสาระที่ปรากฏในพิธีกรรม ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ 1. ลักษณะที่เป็นนามธรรม คือเป็นปรัชญาในการดำเนินชีวิต เรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในชุมชนที่ก่อตั้งมานานกว่าร้อยปีมีการสั่งสมภูมิปัญญา ความเชื่อ แสดงออกมาในรูปพิธีกรรม ซึ่งจะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการดำเนินชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนถึงตาย เช่น พิธีกรรมที่การเกิด การแต่งงาน และการตาย สาระที่สะท้อนในพิธีกรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชนเผ่าปกาเกอะญอ พิธีกรรมเหล่านี้สะท้อนความเชื่อที่ยอมรับต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ มีหน้าที่สั่งสอนให้คนดำรงวิถีชีวิตให้ถูกต้องสอนให้ซื่อสัตย์ สุจริต ในเรื่องการทำมาหากิน การเกษตร ศิลปดนตรีตามวิถีของปกาเกอะญอ (หน้า 85-89) 2. ลักษณะเป็นรูปธรรม เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำมาหากิน การเกษตร ศิลปกรรม สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับโลก สิ่งแวดล้อม สัตว์ พืช ธรรมชาติ หรือความสัมพันธ์ของคนในชุมชนกันเอง และระหว่างคนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ แสดงถึงภูมิปัญญาในการเรียนรู้และอยู่ร่วมกับธรรมชาติ แสดงออกมาในเรื่องการเกษตรคือการทำไร่หมุนเวียน อันเป็นวิถีการผลิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ การผลิต การทอผ้า และการทำเครื่องดนตรี (หน้า 89-92) ปกาเกอะญอมีการใช้ภูมิปัญญาแฝงอยู่ในรูปแบบต่างในชีวิตประจำวัน แบ่งได้เป็น 4 ลักษณะ คือ 1) การใช้ภูมิปัญญาโดยผ่านการตั้งกฎเกณฑ์ที่ตายตัว เช่น ประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดกันมา 2) การใช้ภูมิปัญญาเข้ามาจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การทำไร่หมุนเวียน การทำเหมืองฝาย 3) การมอบหมายหน้าที่ให้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวในชีวิตประจำวัน เช่น การมอบหน้าที่พืชให้เป็นยาสมุนไพร มอบหน้าที่รักษาความทรงจำของคนในชุมชนให้กับเจดีย์ และ 4) การใช้ภูมิปัญญาในทางพิธีกรรม เช่น การไหว้ผีฝาย และผีขุนน้ำ (หน้า 93)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ภูมิปัญญา,พิธีกรรม,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=223
222วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเยาวชนชาวเขาที่เข้ามาอยู่อาศัยในเมืองอิทธิพล เหมหงษ์การศึกษาการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเยาวชนชาวเขาที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมือง ได้ข้อสรุปว่าในช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมา กระแสวัฒนธรรมความเชื่อจากภายนอกชุมชนเข้ามาในรูปของ รัฐ ศาสนา การคมนาคม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เยาวชนจำนวนมากออกไปทำงานและเรียนข้างนอกชุมชน เยาวชนที่ออกมาอยู่ในเมืองมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบใหม่ ภายใต้บริบทที่เปลี่ยนไป มีเพื่อนใหม่ กติกาใหม่ ความเชื่อแบบใหม่ ภายใต้การควบคุมดูแลของครู บาทหลวง แทนญาติพี่น้อง หรือผู้อาวุโสในหมู่บ้าน ได้รับโอกาสการศึกษาสูงขึ้น มีงานทำ มีรายได้ของตัวเอง มีความพยายามพูดภาษาไทยให้คล่อง เรียนรู้มารยาทแบบไทย เพื่อให้หางานทำง่ายได้ขึ้น (หน้า ง-จ)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),เยาวชน,การเปลี่ยนแปลง,วิถีชีวิต,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=222
221วิทยานิพนธ์การยอมรับสิ่งใหม่ของชาวเขาเผ่าม้งในชุมชนพื้นราบ : ศึกษาเฉพาะกรณีหมู่บ้านสหกรณ์ห้วยมะนาว กิ่งอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ภาวนา ก้อนกลีบชาวเขาเผ่าม้งอพยพลงมาสร้างชุมชนใหม่ร่วมกับคนไทยพื้นราบ โดยหวังจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ต่อมาได้รับการจัดตั้งเป็นหมู่บ้านในโครงการศูนย์สมาชิกสหกรณ์ ชาวเขาเผ่าม้งบ้านใหม่ธารทองประมาณ ร้อยละ 80 มีความพร้อมและยอมรับสิ่งใหม่ ซึ่งมีความแตกต่างจากสังคมและวัฒนธรรมดั้งเดิม จนมีสภาพวิถีชีวิตคล้ายคนไทยพื้นราบ โดยวิธีการเรียนรู้และยอมรับสิ่งใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการเรียนรู้ด้วยตนเองจากการสังเกต จดจำและนำไปปฏิบัติ (หน้า ค)ม้ง,สังคม,วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=221
220รายงานการวิจัยศักยภาพในการรักษาป่าชุมชนของชนกลุ่มผู้ไทย โซ่ และกะเลิงสุรัตน์ วรางค์รัตน์สรุปสาระสำคัญ มีเนื้อหาอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน มนุษย์กับป่า การพัฒนาศักยภาพของชุมชนในการรักษาป่า ระบบคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรม ข้อบังคับและกฎระเบียบชุมชน ของกลุ่มกะเลิง บ้านบัว อ.กุดบาก จ.สกลนคร กลุ่มโซ่ บ้านโคกนาดี กิ่งอ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม กลุ่มผู้ไทย บ้านคำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหารผู้ไทย ,โส้ โซร ซี,กะเลิง,การรักษาป่า,มุกดาหาร,นครพนม,สกลนครตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=220
219วิทยานิพนธ์The Revival of the Tai Lue Scripts in Sipsong Panna, Yunnan Province.Isra, Yanatanไทลื้อเป็นกลุ่มย่อยในกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไท ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศจีน แต่ก็มีกลุ่มไทลื้อกลุ่มใหญ่ที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของไทย ทางเหนือของลาว และในรัฐฉานของพม่า สิบสองปันนามีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและมีลักษณะร่วมกับกลุ่มไทอื่น ๆ ในช่วงก่อนยุคสมัยใหม่ (Pre-modern period) ภายหลังจากกลายเป็นส่วนหนึ่งของจีนในช่วงปี ค.ศ.1950 ได้มีการอพยพของไทลื้อในสิบสองปันนาไปยังดินแดนของกลุ่มไทอื่น ๆ ทางตอนใต้ โดยเฉพาะ เมืองเชียงตุง และแม่สาย ในระหว่างปี ค.ศ.1950-1970 ปัจจุบันสิบสองปันนากลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว ด้วยเหตุนี้ส่งผลให้วัฒนธรรมไทลื้อถูกนำมาใช้ในธุรกิจการท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบดั้งเดิม ไทลื้อนับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาท เช่นเดียวกับกลุ่มไทอื่นๆ และใช้ตัวอักษรเหมือนกันแต่ภายหลังตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีน สถานการณ์ทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของกลุ่มคนไทลื้อให้ตกอยู่ในฐานะชนกลุ่มน้อย อักษรไทลื้อถูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้และไม่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรม ศาสนา สังคมและวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม อักษรใหม่ถูกใช้ในพื้นที่ทางสังคมต่าง ๆ เช่น โรงเรียน หนังสือพิมพ์ ป้ายประกาศ ในขณะที่ การใช้ตัวอักษรเก่าได้ลดน้อยลงพร้อมกับการเสื่อมของพุทธศาสนาในช่วงปลายปี ค.ศ.1950 พุทธศาสนาในสิบสองปันนาได้ถูกทำลายโดยรัฐบาลจีน ทำให้การเรียนอักษรเก่า หรือที่รู้จักในกลุ่มไท ว่าอักษรธรรม เกือบจะสิ้นสุด อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี ค.ศ.1980 ได้เริ่มมีการฟื้นฟูพุทธศาสนาและการกลับมาของการใช้อักษรเก่าอีกครั้งทั้งภายในพื้นที่ทางศาสนาและพื้นที่ทางสังคมอื่น ๆ เช่น การเรียนในโรงเรียนแพทย์แผนดั้งเดิม และป้ายประกาศตามพื้นที่สาธารณะในชุมชน โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มไทอื่น ๆ ทางตอนใต้ (เชียงตุง และทางภาคเหนือของไทย) ปัจจุบัน มีการใช้ตัวอักษรเก่าและใหม่ แต่อักษร 2 แบบถูกนำมาใช้แตกต่างกันในเรื่องของอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของไทลื้อในสิบสองปันนา อักษรเก่า คือสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์ของการเป็นกลุ่มคนไท อักษรใหม่คือ อัตลักษณ์ของการเป็นชนกลุ่มน้อยในจีน และเนื่องจากการติดต่อสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มไทอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น ทำให้ไทลื้อในสิบสองปันนามีความรู้สึกที่แปลกแยกและแตกต่างในการเป็นประชากรในสังคมจีน (หน้า 88-92)ไทลื้อ,อักษรธรรม,อัตลักษณ์,สิบสองปันนา,ยูนนานตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดYunnan ประเทศจีน2544ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=219
218บทความThe So and The PhuthaiSeidenfaden, Erikโส้ อพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงเข้ามาอาศัยอยู่ในบริเวณเทือกเขาภูพาน ประเทศไทย วิถีการดำรงชีวิตเป็นการล่าสัตว์ และการทำเกษตรกรรม และมีประเพณีการปฏิบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง โดยเฉพาะรูปแบบการแต่งงาน ที่จะมีการนำของฝากไปให้กับฝ่ายหญิงและจัดพิธีแต่งงานตามธรรมเนียมแบบดั้งเดิม<br />
<br />
สำหรับภูไทในดินแดนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย วิถีการดำรงชีวิตเป็นการล่าสัตว์ และการทำเกษตรกรรมเช่นเดียวกันกับโซ่ นับถือศาสนาพุทธ และนับถือผีบรรพบุรุษมีธรรมเนียมในการแต่งงานที่เป็นเอกลักษณ์ และมีพิธีต่อหลังจากการแต่งงานอีกหลายครั้งเพื่อเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ และแสดงความเคารพครอบครัวฝ่ายหญิง (หน้า 145-161)โส้ โซร ซี,ผู้ไท ภูไท,วิถีชีวิต,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดYunnan ประเทศไทย2486ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=218
217Ph.D. DissertationCosmology and The Cycle of Life: Hmong Views of Brith, Death and Gender in a Mountain Village in Northern Thailand.Symonds, Patricia Veronicaความเชื่อเรื่องการเกิดของม้งแตกต่างไปจากแนวคิดของตะวันตกที่เป็นเรื่องของกายภาพ และชีวภาพของร่างกาย แนวคิดเกี่ยวกับการเกิดในสังคมม้งเป็นเรื่องธรรมชาติและเป็นการเดินทางของจิตวิญญาณส่วนที่ 3 จากโลกมืดมาสู่โลกสว่าง ความเชื่อเรื่องของการไม่ส่งเสียงร้องในการคลอดบุตรเพื่อให้เด็กคลอดออกอย่างปลอดภัย ความสัมพันธ์ระหว่างมารดาผู้เป็นให้กำเนิด แต่บิดาเป็นผู้ให้ชีวิตคือ เรียกจิตวิญญาณส่วนที่ 3 เข้าร่างกายทารก และเด็กจะถูกเลี้ยงดูให้เติบโตในครอบครัวของบิดา โดยมีมารดาเป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือและสั่งสอนให้กลายเป็นม้งที่ดี สถานภาพของผู้หญิงม้งจึงเป็นผู้ตามและถูกคาดหวังให้ทำงานหนัก เป็นหญิงที่ดีและเป็นแม่ที่ดี เมื่อแต่งงานจะเปลี่ยนสายตระกูลจากของบิดาไปสู่สายตระกูลของสามีและอยู่จนตาย เมื่อตายวิญญาณจะออกจากร่าง ส่วนที่ 1 จะคอยดูแลครอบครัว ส่วนที่ 2 จะกลับไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษในโลกมืด และส่วนที่ 3 รอคอยเพื่อกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในสายตระกูลเดิม สิ่งเหล่านี้เป็นแนวคิดความเชื่อและวิถีการดำรงชีวิตของม้งที่มีพื้นฐานสังคมหลักอันเกิดจากสถาบันครอบครัว (หน้า 263-272)ม้ง,จักรวาลวิทยา,วัฎจักรชีวิต,เพศ (Gender),ภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดYunnan ประเทศไทย2534ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=217
216วิทยานิพนธ์สภาพทางเศรษฐกิจ สังคมและวิถีชีวิตของชาวไทยภูเขาเผ่าม้งที่มีผลต่อการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่วุฒิฉัตร ศรีพาเพลินการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานภาพทางเศรษฐกิจ และสังคมตลอดจนวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าม้ง ที่มีผลกระทบต่อความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ และหาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติกับตัวแปรอิสระต่าง ๆ คือ อายุ ระดับการศึกษา จำนวนสมาชิกในครัวเรือน สภาพทางเศรษฐกิจ ที่ดินทำกิน ที่กินถือครอง ความคาดหวังต่ออนาคตของบุตรหลานด้านการศึกษา เครื่องอำนวยความสะดวก และความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ดิน น้ำ ป่าไม้ และสารเคมี
ประชากรที่ศึกษา คือ ชาวเขาเผ่าม้งในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ทำการสุ่มตัวอย่างแบบ Simple Random Sampling ได้จำนวน 120 ตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาใช้แบบสอบถามและการสังเกตพฤติกรรม ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistic) และสถิติเชิงอ้างอิง (Inferrential Statistic) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม เช่น ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิความสัมพันธ์แบบสเพียร์แมนแร็งค์ (rs) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (r) เป็นต้น
ผลการวิจัยพบว่าจากกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มมาศึกษานั้น หัวหน้าครัวเรือนของชาวเขา เผ่าม้งส่วนใหญ่ร้อยละ 99.2 เป็นเพศชายมีอายุเฉลี่ย 40.45 ปี โดยร้อยละ 49.2 ไม่เคยเรียนและอ่านเขียนไม่ได้ มีจำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 7.35 คน และพบว่า ต้องการให้บุตรหลานเรียนจบสูงสุดระดับปริญญาตรี ร้อยละ 53.3 แต่มีฐานะยากจน ร้อยละ 45.0 มีทรัพย์สินในการประกอบอาชีพ เช่น เครื่องพ่นสารเคมี รถยนต์ปิคอัพ โดยไม่มีไฟฟ้าใช้ร้อยละ 83.3
วิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าม้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพการเกษตรพบว่าร้อยละ 50.8 มีที่ดินทำกิน โดยเฉลี่ยมีที่ดินทำกิน 19.79 ไร่ และร้อยละ 73.3 มีทีดินถือครอง โดยเฉลี่ยมีที่ดินถือครอง 5.79 ไร่ แต่ทั้งหมดมีที่ดินเป็นของตนเอง โดยร้อยละ 75.0 ได้มาจากการรับมรดกและ ร้อยละ 99.2 ได้มามากกว่า 5 ปี การทำการเกษตรส่วนใหญ่ ทั้งหมดจะใช้น้ำฝน มีการปลูกไม้ผลร้อยละ 44.2 และทำการขึ้นแปลงปลูกพืชตามความยาวของความลาดชัน ร้อยละ 90.0 ระยะเวลาในการปลูกพืช ร้อยละ 95.0 จะปลูกช่วงเดินพฤษภาคม ถึงสิงหาคม มีการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชเป็นส่วนใหญ่ ร้อยละ 79.7
ความรู้ส่วนใหญ่ร้อยละ 79.2 มีความรู้ด้านประโยชน์ของหญ้าแฝก ร้อยละ 93.3 รู้ประโยชน์ของป่าได้และรู้ว่าอาชีพการตัดต้นไม้ไปขายเป็นอาชีพผิดกฎหมาย ร้อยละ 90.8 รู้การใช้น้ำอย่างประหยัด ร้อยละ 95.8 รู้ว่าสารสะเดาและตะไคร้หอมไม่เป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อม
พฤติกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ พบว่าชาวเขาเผ่าม้งมีพฤติกรรมการอนุรักษ์ดิน ป่าไม้ น้ำ และการใช้สารเคมีอย่างถูกต้อง ในเกณฑ์น้อย ซึ่งมีผลทำให้ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม เมื่อทดสอบด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (r) พบว่า ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ดินมีความสัมพันธ์ในทางบวกกับพฤติกรรมการอนุรักษ์ดิน อายุ มีความสัมพันธ์ในทางลบกับพฤติกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ส่วนความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับพฤติกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับพฤติกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ความรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมี มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับพฤติกรรมการใช้สารเคมี และทดสอบด้วยสัมประสิทธิความสัมพันธ์แบบสเพียร์แมนแร็งค์ (rs) พบว่า ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการอนุรักษ์ดิน และการอนุรักษ์ป่าไม้ โดยมีความสัมพันธ์ในทางบวก
จากผลข้างต้น ผู้วิจัยจึงเสนอแนะให้รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดเฉพาะ ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรในที่สูง สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงใหม่ กรมส่งเสริมการเกษตรและมูลนิธิโครงการหลวง ควรให้ความสำคัญกับระบบการศึกษานอกโรงเรียน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านถนนและไฟฟ้า จัดทำโครงการฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม รณรงค์การอนุรักษ์ทรัพยากรดิน น้ำ ป่าไม้ และ การใช้สารเคมีให้ถูกต้อง (หน้า ง-ช)ม้ง,วิธีชีวิต,การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ,สิ่งแวดล้อม,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=216
215รายงานการวิจัยMae Cham Watershed Development Project, Phase II : Socio- Economic Baseline survey Report.Thani, Pichit and Rauechai, Venusงานชิ้นนี้เป็นการสำรวจขั้นพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจและสังคม (จำนวนประชากร การเกิด การตาย พื้นที่ทำกิน การเกษตรกรรม การศึกษา สาธารณสุข ระบบเศรษฐกิจ) โดยพิจารณาปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่และความต้องการของประชากรในพื้นที่ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และใช้รายงานการสำรวจครั้งนี้เป็นแนวทางในการพัฒนาในพื้นที่ทางภาคเหนือต่อไปลเวือะ,ม้ง,สภาพเศรษฐกิจสังคม,ชุมชน,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2527ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=215
214บทความRape : Perceptions and Processes of Hmong Customary LawCooper, Robertบทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการมองการบังคับขืนใจทางเพศในสังคมม้ง ที่กระทำผ่านกระบวนการแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งโดยใช้กฎหมายจารีตประเพณี ผู้เขียนสรุปว่า กฎหมายจารีตประเพณีของม้งจัดการปัญหาการบังคับขืนใจโดยใช้มาตรการป้องกันด้วยการขัดเกลาทางสังคม และโดยการสร้าง/สถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างผู้ทำร้ายกับผู้ถูกทำร้ายให้มาสู่รูปแบบที่ยอมรับกันทางสังคม คือ การแต่งงาน แต่ถ้าไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์นี้ได้ ผู้ถูกทำร้ายหรือผู้เสียหายก็จะได้รับค่าชดเชย และผู้ทำร้ายหรือทำผิดจะถูกลงโทษและถูกต่อต้านทางสังคม และบางครั้งอาจจะถูกเนรเทศ/กีดกันออกไป ซึ่งเป็นการขับออกจากการมีส่วนร่วมในสังคม ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งเสริมบรรทัดฐานและค่านิยมร่วมกันในการป้องกันการทำผิด (น.421)ม้ง,กฎหมาย,จารีตประเพณี,ข่มขืน,ชำเรา,ภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=214
213วิทยานิพนธ์การวิเคราะห์เศรษฐกิจของหมู่บ้านไทยลาว - เขมรเขตชายแดน กรณีของหมู่บ้านโซงชูเกียรติ เจริญผลดีหมุ่บ้านโซงเป็นหมู่บ้านที่มีคนเขมรเข้ามาบุกเบิกอาศัยอยู่ก่อน จากนั้นจึงมีคนไทยลาวอพยพเข้ามาเนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ ทางด้านวัฒนธรรมภาษาเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นความแตกต่างของเชื้อสาย และจะเห็นว่าชาวบ้านเชื้อสายเขมรมีความพยายามที่จะเรียนรู้ภาษาไทยลาวและภาษาไทยภาคกลางมาก ในขณะที่ชาวบ้านเชื้อสายไทยลาวแทบทั้งหมดพูดภาษาเขมรไม่ได้เลย ประเพณีการแต่งงานนั้นถ้าเกิดมีการแต่งงานระหว่างคนไทยลาวและคนเขมรจะนิยมจัดพิธีตามแบบเขมร ชาวบ้านนับถือศาสนาพุทธ และอาจจะมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เข้าผสมบ้าง ส่วนใหญ่จะมีในชาวบ้านเชื้อสายเขมร หน้าที่ในการหาเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวเป็นของสามีและเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจในครอบครัวด้วย ในหมู่บ้านมีโรงเรียนอยู่ 1 แห่งซึ่งสอนเป็นภาษาไทยภาคกลาง เปิดสอนในระดับ ชั้นประถม 1- 4 ซึ่งถ้าระดับสูงกว่านั้นจะต้องเข้าไปเรียนในเมือง แต่ชาวบ้านยังไม่เห็นความจำเป็น เนื่องจากมีชาวบ้าน ที่เคยไปเรียนและก็หางานทำไม่ได้ จึงต้องกลับมาอยู่บ้านตามเดิม จะเห็นว่าชาวบ้านเชื้อสายไทยลาว จะมีระดับการศึกษาและมีปริมาณที่สูงกว่าชาวบ้านเชื้อสายเขมร ในด้านสุขภาพยังมีความเชื่อเรื่องผีเข้ามาปะปนโดยเชื่อว่าความเจ็บป่วยเกิดมาจากอิทธพลของผี ได้แก่ ผีบ้านและผีเรือน แต่ในขณะเดียวกันก็มีการรักษาโดยใช้ยา ทางด้านเศรษฐกิจชาวบ้านอาศัยการเกษตรเพื่อยังชีพเป็นหลัก ที่ดินยังคงเป็นปัจจัยอันสำคัญในการผลิต เจ้าของที่ดินนิยมครอบครองที่ดินเพื่อเตรียมไว้เป็นมรดกแก่บุตรหลาน และเตรียมสำหรับขยายการผลิต นอกเหนือจากฤดูทำนา ยังมีงานฝีมือที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เช่น การทอผ้าไหม การจักสานเสื่อ ตระกร้า ทำเกวียน ทำเสื่อ ทอผ้าฝ้าย และสามารถสร้างรายได้เพิ่มอีกด้วย สำหรับความแตกต่างระหว่างคนไทยลาวและคนเขมรซึ่งประกอบอาชีพที่คล้ายคลึงกัน แต่ฐานะทางเศรษฐกิจของชาวบ้านเชื้อสายไทยลาวส่วนใหญ่เมื่อเทียบตามอัตราส่วนแล้วอยู่ในระดับดีกว่าคนเชื้อสายเขมร เนื่องมาจาก 1. ระดับการศึกษา ประสบการณ์จากโลกภายนอก และความกระตือรือร้นในการทำมาหากินของชาวบ้านเชื้อสายไทยลาวส่วนใหญ่มีมากกว่าชาวบ้านเชื้อสายเขมร ยังผลให้หลังคาเรือนไทยลาวถือครองที่ดิน ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ด้วยจำนวนเนื้อที่กว้างขวางกว่าหลังคาเรือนเขมร 2. แรงงานจริงที่มีเชื้อสายไทยลาวมีแนวโน้มที่จะได้รับการศึกษาสูงกว่าคนเชื้อสายเขมร 3. ชาวบ้านในหลังคาเรือนไทยลาวมีแนวโน้มที่จะจ่ายเงินเพื่อลงทุนในด้านการผลิต ทั้งด้านเครื่องมือและปัจจัยการผลิตอื่นมากกว่าหลังคาเรือนเขมร ทั้งนี้เนื่องมาจากชาวบ้านในหลังคาเรือนไทยลาวมีนิสัยกล้าเสี่ยงลงทุนมากกว่า 4. ผลผลิตข้าวต่อไร่ของชาวบ้านหลังคาเรือนไทยลาวมีปริมาณสูงกว่าหลังคาเรือนเขมร เนื่องจากประสิทธิภาพในการทำงาน และประสบการณ์ของหลังคาเรือนไทยลาวที่มีมากกว่าหลังคาเรือนเขมร การที่กลุ่มชนไทยลาวได้อพยพเข้ามาอยู่ปะปนกับกลุ่มชนเชื้อสายเขมร ช่วยก่อให้เกิดการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และการปรับแปลี่ยนทางวัฒนธรรม คือ 1. ชาวบ้านเชื้อสายเขมรที่เคยเป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ได้ขายที่ดินให้แก่พวกไทยลาว จนเหลือที่ดินในการครอบครองเฉลี่ยต่อหลังคาเรือนแล้ว เป็นจำนวนเนื้อที่น้อยกว่าหลังคาเรือนไทยลาว 2. ชาวบ้านเชื้อสายเขมรได้มีความกระตือรือร้นและขยันขันแข็ง เพื่อพยายามยกระดับสภาพความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายที่ต้องการจะเอาอย่างในการสร้างฐานะทางเศรษฐกิจ จากพวกไทยลาวที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว เกิดปัญหาการว่างงานหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว และจำนวนงานรับจ้างภายในหมู่บ้านมีน้อยเกินกว่าแรงงานที่ต้องการทำ ชาวบ้านไม่กล้าไปทำงานชั่วคราวตามในเมืองหรือถิ่นไกลๆ นอกจากนี้แรงงานจริงในหมู่บ้านยังขาดแคลนเงินทุน อาชีพและเทคนิคในการผลิตอันทันสมัยในการเกษตรทางด้านการตลาด ได้แก่ปัญหาเรื่องความยากลำบากในการคมนาคมขนส่งเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งสูงผู้ผลิตเสียเปรียบในการต่อรองราคาพืชผล จนผลตอบแทนไม่คุ้มกับที่ลงทุนลงไปซึ่งทำให้ชาวบ้านหมดกำลังใจที่จะทำการผลิตต่อไปเขมร,เศรษฐกิจชุมชน,อุบลราชธานีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย2513ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=213
212เอกสารวิชาการThai MuslimsMinistry of Foreign Affairประเทศไทยมีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามหรือที่เรียกว่า "มุสลิม" ประมาณ 2 ล้านคน โดยจะมีความหนาแน่นในบริเวณ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ซึ่งต่างก็ได้รับสิทธิและเสรีภาพภายใต้กฎหมายไทยไม่แตกต่างกับราษฎรในศาสนาอื่น ๆ ไทยมุสลิมอยู่ภายในพระบรมราชูปถัมป์ ซึ่งต่างก็ได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนไม่แตกต่างกับคนไทยโดยทั่วไป รวมทั้งรัฐบาลไทยที่ได้ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับมุสลิมอยู่หลายประการ ในด้านการเมืองคือเรื่องการเคลื่อนไหวของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนน้อยที่พยายามต่อต้านอำนาจรัฐและประกาศจัดตั้งรัฐอิสระในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งต้องการสร้างแนวร่วมไทยมุสลิมในพื้นที่เพื่อก่อการโดยใช้ความแตกต่างด้านศาสนา ขนบธรรมเนียมและประเพณีเป็นเครื่องมือ ส่วนในด้านเศรษฐกิจพบว่าไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทำการเกษตรเป็นหลัก ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ และราคาในท้องตลาด ประกอบกับความไม่มั่นคงปลอดภัยในการประกอบอาชีพท่ามกลางการก่อความไม่สงบของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ในด้านสังคมพบว่าไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความเข้าใจผิดในเรื่องศาสนาและปฏิเสธการศึกษาในระบบภาษาไทย นโยบายของรัฐบาลไทยจึงมุ่งเน้นที่จะแก้ปัญหาต่างๆ โดยที่ยังคงให้รักษาขนบธรรมเนียม ประเพณีและศาสนาไว้ พยายามหลีกเลี่ยงมาตรการที่สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้น โดยแบ่งเป็นนโยบายด้านศาสนา นโยบายด้านการศึกษา นโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ นโยบายด้านสังคม และนโยบายด้านการบริหารและปรับปรุงกฎหมายและระเบียบมุสลิม,นโยบาย,รัฐ,ชายแดนภาคใต้ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย2522ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=212
211Ph.D. DissertationIslamic Identity in Chiengmai City : A Historical and Structural Comparison of Two CommunitiesSoonthornpasuch, Suthepมุสลิมในจังหวัดเชียงใหม่ทั้งมุสลิมปากีสถานและมุสลิมยูนนานนิสเป็นกลุ่มที่มีแหล่งกำเนิด ประวัติศาสตร์การอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน กลุ่มมุสลิมยูนนานนิสและมุสลิมปากีสถานมักอ้างถึงบ้านเกิดที่ประเทศปากีสถานหรือบังคลาเทศและยูนนานว่าเป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและศาสนาที่ซึ่งพวกเขายึดมั่นในความเป็นอิสลาม (Islam assertion) และสมาชิกทางชาติพันธุ์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยหวนกลับยังบ้านเกิดเลย จังหวัดเชียงใหม่หรือประเทศไทยจึงเป็นสถานที่ที่พวกเขามีพันธะผูกพันกัน (หน้า 222) การธำรงรักษาชาติพันธุ์ของมุสลิมในจังหวัดเชียงใหม่เกิดจากความต้องการภายในระหว่างมุสลิมที่ต้องการประสบความสำเร็จและได้รับการยกย่องทางสังคมในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน (หน้า 221) แต่พวกเขาก็มีฐานะเป็นพลเมืองไทย จากสถานการณ์ปัจจุบัน ในอนาคตมุสลิมในจังหวัดเชียงใหม่จะหลอมรวม (integrated) กับสังคมไทยท้องถิ่นเหนือ ในการมีส่วนร่วมทางสังคมเมือง เศรษฐกิจ การเมืองแต่ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาสัญลักษณ์ของอัตตลักษณ์ชาติพันธุ์มุสลิมไว้ (หน้า 225)มุสลิมยูนนาน,ปากีสถาน,โครงสร้าง,ประวัติศาสตร์ชุมชน,อัตลักษณ์อิสลาม,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2520ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=211
210หนังสือลัวะเยียะไร่ ไทใส่นาศรีเลา เกษพรหมลัวะเยียะไร่ไทใส่นา เป็นคำพูดของคนโบราณที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของกลุ่มคนล้านนาในอดีต และการอยู่ร่วมกันระหว่างลัวะและคนไทอย่างสงบ โดยงานหลักคือการปลูกข้าวที่ผสมผสานความเชื่อพื้นบ้านและศาสนาไว้ด้วยกัน วิถีชีวิตของชาวล้านนาจึงมองอย่างแยกไม่ออกกับความเชื่อ ที่พึ่งพาและเคารพธรรมชาติตั้งแต่เริ่มกระบวนการผลิตจนกระทั่งถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิตและการใช้ประโยชน์จากข้าว รวมถึงการให้ความเคารพและระลึกถึงบุญคุณของสัตว์เช่นพิธีตอบแทนคุณควาย โดยทั้งลัวะและไทต่างมีกรรมวิธีการทำนาที่คล้ายคลึงกันจะแตกต่างกันแต่เพียงรายละเอียดของความเชื่อที่ผสมลงไป ซึ่งการทำนาของคนไทในอดีตกำลังจะสูญหายในปัจจุบัน ที่มีความเจริญของเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่มากขึ้นลเวือะ,เกษตรกรรม,ไร่,นา,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=210
209รายงานการวิจัยการศึกษาหาแนวทางเพื่อรณรงค์ให้สตรีรู้จักป้องกันตนเองจากโรคเอดส์ กรณีศึกษาเผ่าแม้วทรงวิทย์ เชื่อมสกุลม้งเป็นกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมความเชื่อของชนเผ่าเป็นกรอบของวิถีชีวิตที่สามารถโยงใยสังคมไว้ด้วยกัน ม้งเชื่อว่าผีบรรพบุรุษเป็นผู้ที่สามารถรู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ ดังนั้นจึงต้องมีการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษก่อนที่จะทำการนั้นๆก่อนเสมอ เช่นการแต่งงาน เป็นต้น
วัฒนธรรมเป็นเครื่องกำหนดระบบอำนาจของชายและหญิงในชุมชน โดยให้ความสำคัญต่อเพศชายมากกว่า เพศหญิงจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมีสามีและลูกชายเท่านั้น วัฒนธรรมการมีภรรยาได้หลายคนหรือการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงที่ไม่ใช่ภรรยายังสามารถทำได้โดยไม่ผิดต่อวัฒนธรรมของชนเผ่า หนุ่มสาวที่มีความพึงพอใจต่อกันสามารถมีเพศสัมพันธ์ก่อนสมรสได้ จะเห็นว่าม้งมีการแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยประมาณ 13-15 ปี ส่วนหญิงสาวที่ท้องก่อนแต่งงานจะต้องพิสูจน์หาพ่อของลูกให้ได้ถ้าไม่เช่นนั้น จะถูกสังคมประนามและแสดงความรังเกียจ สถานภาพของผู้หญิงจึงด้อยกว่าและมีอำนาจในการต่อรองกับผู้ชายน้อยมาก
ท่ามกลางสังคมบริโภคนิยม ที่มีการติดต่อระหว่างหมู่บ้านและสังคมภายนอก มีส่วนผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชนขึ้น เช่น การศึกษามีส่วนทำให้คนหนุ่มสาวออกจากชุมชน และทอดทิ้งวัฒนธรรมของตนเอง จึงมีโอกาสเสี่ยงสูงมากต่อการชักจูงไปเป็นหญิงบริการทางเพศ เนื่องจากการได้รับการฝึกฝนที่ไม่ดีพอ
ดังนั้นวัฒนธรรมทางเพศของม้งจึงมีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อ HIV แม้ว่าในรายงานยังไม่พบผู้ติดเชื้อก็ตามแต่ม้งควรได้รับความรู้ความเข้าใจต่อโรคเอดส์ เพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยการให้ความสำคัญต่อวัฒนธรรมและการมีส่วนร่วมของชุมชนม้ง,แนวคิดเรื่องเพศ,การป้องกัน,โรคเอดส์,น่านตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=209
208รายงานการวิจัยการศึกษาวิถีชีวิตมอญบางขุนเทียน "มอญบางกระดี่"สุภาพร มากแจ้งความสัมพันธ์ภายในชุมชนมอญบางกระดี่เป็นความสัมพันธ์ฉันเครือญาติ ในงานเทศกาลต่างๆ มักทำอาหารคาวหวานแบ่งปันเพื่อนบ้าน หรือนำไปทำบุญ ความสัมพันธ์ภายนอกชุมชนมีทั้งด้านการค้าขาย เพลงพื้นบ้าน นาฏศิลป์พื้นบ้าน และวงดนตรีพื้นบ้าน ชาวบางกระดี่ดำรงชีวิตตามขนบประเพณีมอญที่สืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ โดยมีคัมภีร์โลกสิทธิ และโลกสมมุติเป็นระเบียบแบบแผนในการประพฤติปฏิบัติ (หน้า 110) ประเพณีเกี่ยวกับชีวิตคนมอญ เช่น การโกนผมไฟ การแต่งงาน และการตาย การจัดงานศพเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก มีข้อห้าม และข้อปฏิบัติมากมาย (หน้า 68-75) พิธีกรรมต่าง ๆ ที่มอญจัดขึ้นตามความเชื่อในชุมชน ได้แก่ พิธีรับผีประจำตระกูล พิธีรำผี พิธีทรงเจ้า พิธีเซ่นสังเวยผีเรือน และพิธีทำบุญในงานเทศกาลทางศาสนาพุทธ (หน้า 98)
ปัจจุบันวิถีชีวิตมอญบางกระดี่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงไป พื้นที่เกษตรเปลี่ยนเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม มีการอพยพย้ายถิ่น มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม สิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์พึ่งพาอาศัยกันหมดไป มีการเปลี่ยนอาชีพจากการจับสัตว์น้ำ เย็บจาก ตัดฟืน ไปสู่อาชีพคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม ทำงานตามเวลาที่กำหนด ผู้คนในชุมชนมีเวลาพบปะกันน้อยลง ประเพณีและวัฒนธรรมลดความสำคัญลง สภาพชุมชนเริ่มอ่อนแอ เพราะไม่สอดคล้องกับสังคมอุตสาหกรรม (หน้า 10-11)มอญ,วัฒนธรรรม,ประเพณี,พิธีกรรม,ความเชื่อ,บางกระดี่,บางขุนเทียนตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=208
207วิทยานิพนธ์วัฒนธรรมสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยภูเขาเผ่าเย้า-ไทยสุทธิ จันทรวงษ์ระดับวัฒนธรรมสัมพันธ์ระหว่างคนไทยภูเขาเผ่าเย้า และคนไทยเป็นวัฒนธรรมในเชิงบวก โดยต่างฝ่ายต่างลดระดับอัตตนิยมวัฒนธรรม ไม่ค่อยถือเขาถือเรา และไม่มีความขัดแย้งในแนวโน้มที่สูงมากนัก มีแนวโน้มในการยอมรับสถานภาพซึ่งกันและกัน เพื่ออยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นอันหนึ่งใจเดียวกัน ปัจจัยที่มีผลต่อวัฒนธรรมสัมพันธ์ในเชิงบวก ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา การติดต่อสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน การเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชน และฐานะทางเศรษฐกิจ ปัจจัยส่วนใหญ่มีผลต่อวัฒนธรรมสัมพันธ์ในเชิงบวกระหว่างคนไทยภูเขาเผ่าเย้า และคนไทย ยกเว้นปัจจัยด้านฐานะทางเศรษฐกิจ ส่วนปัจจัยด้านการเข้าร่วมกิจกรรม ในชุมชนนั้นไม่มีผลต่อวัฒนธรรมสัมพันธ์ ในคนไทยภูเขาเผ่าเย้า (หน้า 78-84)เย้า,คนไทย,ความสัมพันธ์,วัฒนธรรม,พะเยาตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=207
206วิทยานิพนธ์ชนกลุ่มน้อยกับยาบ้า : ศึกษากรณี ชาวเขาเผ่าม้งบุตรี อุดมสิทธิพันธุ์ชาวเขาเผ่าม้งที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย มีปัจจัย 2 ประการ คือปัจจัยทางการเมือง ซึ่งแบ่งได้ 2 ระยะ คือระยะแรก อพยพหนีภัยสงครามจากประเทศจีน ประมาณ พุทธศักราช 2400 และระยะที่สอง อพยพลี้ภัยจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศลาวเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ในปีพุทธศักราช 2518 ปัจจัยที่สอง คือ ปัจจัยด้านสภาพสังคม การดำเนินนโยบายพัฒนา และสงเคราะห์ชาวเขาของทางราชการ ทำให้วิถีความเป็นอยู่ของชาวเปลี่ยนไป เนื่องจากชาวเขาเผ่าม้งต้องการเป็นคนไทย สามารถอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทยได้ จึงต้องการบัตรประชาชน อีกทั้งยังต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่มักถูกพ่อค้าชาวพื้นราบกดราคาพืชผลทางการเกษตร ประกอบกับต้องการมีรถยนต์ บ้านใหม่ ชีวิตหรูหรา ทำให้ต้องค้ายาบ้า ก่อให้เกิดผลกระทบความมั่นคงด้านการเมือง และความมั่นคงระหว่างประเทศ (หน้า 91-93)ม้ง,ยาบ้า,ชนกลุ่มน้อย,ประเทศไทยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัด ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=206
205บทความลัทธิผีเรือนของชุมชนกะเหรี่ยงที่กำลังเปลี่ยนแปลงเป็นแบบชาวไร่ชาวนาIijima, Shigeruเมื่อสังคมกะเหรี่ยงในที่ราบ ได้รับอิทธิพลจากสังคมภายนอกมากขึ้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาวะจากสังคมชนเผ่าที่โดดเดี่ยว ที่ทุกครอบครัวรักษาประเพณีพิธีกรรมสำคัญ เช่น พิธี Oxe ซึ่งเป็นพิธีเลี้ยงผีเรือน มาเป็นว่า บางครอบครัว หรือบางครัวเรือนทำพิธี "Chakasai" หรือ ในภาษากะเหรี่ยงเรียกว่า "che che" เพื่อทำให้กะเหรี่ยงหลุดพ้นจากความเชื่อเรื่องผีเรือน และตัดความสัมพันธ์กับผีเรือน หรือการนำหิ้งพระเข้ามาไว้บูชาในบ้าน ซึ่งแสดงอิทธิพลของพุทธศาสนาปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),พิธีกรรม,ผีเรือน,แม่ฮ่องสอนตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2510ภาษาญี่ปุ่นhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=205
204บทความประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยของชาวกะเหรี่ยงในประเทศพม่าOhno, Toruการต่อสู้เพื่อเอกราชและการปกครองตนเองของชนชาติกะเหรี่ยงต่อกองกำลังพม่าหลังจากพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ ความแตกแยกเป็นกลุ่ม ๆ ของกะเหรี่ยงทั้งในด้านหลักการและวิธีการต่อสู้ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ประวัติศาสตร์,การต่อสู้,พม่าตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2513ภาษาญี่ปุ่นhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=204
203วิทยานิพนธ์ผลกระทบของการศึกษานอกระบบโรงเรียนต่อการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาเผ่ามูเซอแดง : ศึกษาเปรียบเทียบกรณี บ้านป่ายางกับบ้านปางตอง จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรวัฒน์ อรัญภูมิการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของมูเซอแดง ระหว่างบ้านป่ายางและบ้านปางตองนั้นเป็นผลกระทบของการศึกษานอกระบบโรงเรียนที่ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนให้การส่งเสริมด้วยการอบรมให้ความรู้ การประชุมชี้แจง การพาไปศึกษานอกสถานที่ รวมทั้งการอบรมให้ความรู้แก่กลุ่มผู้นำดั้งเดิมของหมู่บ้าน ซึ่งกลุ่มผู้นำดั้งเดิมนับเป็นสถาบันแรกเริ่มที่มีการยอมรับและถ่ายทอดวัฒนธรรมใหม่ การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด ได้แก่ การเลิกปลูกฝิ่น ส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดอาชีพใหม่ เช่น ค้าขาย รับจ้าง และปลูกพืชทดแทนฝิ่นที่ต้องใช้ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ของมูเซอแดงบ้านป่ายาง ส่งผลถึงอุดมคติและพิธีกรรมที่เปลี่ยนไป และเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างกลุ่มที่นับถือศาสนาดั้งเดิมและศาสนาคริสต์ นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงในด้านอื่น ๆ เช่น การยอมรับผู้นำทางราชการ การรักษาด้วยการแพทย์สมัยใหม่ การติดต่อกับคนภายนอกหมู่บ้านมากขึ้น รับวัฒนธรรมใหม่ ๆ เข้ามา รวมทั้งวัฒนธรรมทางวัตถุในเรื่องของเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในด้านของการเปลี่ยนแปลง ผู้ศึกษาชี้ให้เห็นถึงการวางแผนร่วมกันระหว่างชาวบ้านและหน่วยงานทั้งของภาครัฐและเอกชน ในส่วนของหมู่บ้านปางตองมีการวางแผนร่วมกันทำให้ระบบสังคมและวัฒนธรรมของหมู่บ้านเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ และเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ส่วนหมู่บ้านป่ายางนั้นไม่มีการวางแผนร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชน ทำให้ระบบสังคมและวัฒนธรรมของหมู่บ้านเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนเกิดความขัดแย้งขึ้นในชุมชน โดยเฉพาะสถาบันทางศาสนาและสถาบันการปกครอง (บทคัดย่อ, 73, 98, 143)ลาหู่,มูเซอแดง,การศึกษานอกระบบ,การเปลี่ยนแปลง,วัฒนธรรม,แม่ฮ่องสอนตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=203
202บทความChanging Indigenous Health Care Practices of Akha Peopleมาลี สิทธิเกรียงไกรรูปแบบการรักษาแบบดั้งเดิมของอาข่า มีความสัมพันธ์กันระหว่างสาเหตุของการเจ็บป่วยกับวิธีในการรักษา สาเหตุของการเจ็บป่วยที่เกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติและความสมดุลของร่างกาย รูปแบบในการรักษามีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหมอผีผู้เชี่ยวชาญกับผู้ป่วย ในการยอมรับแนวคิดเกี่ยวกับการเกิดอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น แต่ในปัจจุบันผู้คนมีความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุของโรคแตกต่างไปจากเดิม จากการรับรู้ข้อมูลใหม่ ทำให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการรักษาจากดั้งเดิมไปสู่รูปแบบสมัยใหม่มากขึ้น และสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน (หน้า 10-11)อาข่า,การเปลี่ยนแปลง,การรักษาโรค,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=202
201บทความStrategies and Solving Drug Abuse Problem: Case Studies of Highland Community in Northern Thailandขวัญชีวัน บัวแดง, ปนัดดา บำรุงปัญหายาเสพติดในกลุ่มชุมชนบนพื้นที่สูงกลายเป็นปัญหาที่สำคัญ ในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาเฮโรอีนได้เข้าแทนที่การใช้ฝิ่น เฮโรอีนมีความแตกต่างไปจากการใช้ฝิ่น เนื่องจากการใช้ได้ขยายออกไป การติดยาเสพติดเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงาน ส่งผลกระทบและเป็นปัญหาต่อครอบครัวและชุมชน งานวิจัยครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้แนวทางการพัฒนาโครงการต่างๆ กลุ่มชุมชนที่อยู่ในพื้นที่การพัฒนามีความพยายามที่จะจัดการและแก้ปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้น แต่มีเพียงบางส่วนที่ประสบความสำเร็จและเป็นหมู่บ้านปลอดยาเสพติด แต่หมู่บ้านส่วนใหญ่ยังคงมีกลุ่มผู้ติดยาเสพติด แนวทางในการแก้ไขปัญหามีลักษณะเฉพาะในแต่ละหมู่บ้านและเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นหลากหลายด้านทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และเครือข่ายภายในแต่ละชุมชน (หน้า 1)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ลีซู,ปัญหายาเสพติด,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2539ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=201
200วิทยานิพนธ์การยอมรับวัฒนธรรมไทยของชาวข่ามุบรรณโศภิษฐ์ชาติชาย มีเกิดมูลการศึกษาเรื่องการยอมรับวัฒนธรรมไทยของข่ามุบรรณโศภิษฐ์ ได้ศึกษาวัฒนธรรมของข่ามุทั้งทางด้านสังคม ความเชื่อ เศรษฐกิจและการเมืองการปกครอง การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของข่ามุเกิดขึ้นเมื่อมีการอพยพโยกย้ายถิ่นลงมาสู่พื้นราบ ทำให้วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม และการเมืองการปกครองต้องเปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตชาวพื้นราบ ได้แก่ ทางเศรษฐกิจ ได้มีระบบการผลิตที่ซับซ้อน มีการรับพันธุ์ข้าวโพดพันธุ์สุวรรณ 1 เข้ามาเป็นพืชเศรษฐกิจ และผลิตเพื่อขายเป็นหลัก ทำให้มีการพึ่งพาตลาดของชุมชนคนไทยมากขึ้น ลักษณะทางสังคม ขนาดครอบครัวมีขนาดเล็กลง มีการใช้ภาษาไทยติดต่อกับคนนอกชุมชน สนับสนุนให้บุตรหลานเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียน ยอมรับศาสนาพุทธควบคู่ไปกับการนับถือผี มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในรายละเอียดของกิจกรรมในขนบธรรมเนียมประเพณี ส่วนการรวมกลุ่มทางสังคมยังคงเป็นการรวมกลุ่มแบบธรรมชาติตามแบบบรรพบุรุษ ส่วนลักษณะทางการเมืองการปกครอง มีการยอมรับรูปแบบการปกครองตามกฏหมายของรัฐ แต่ยังคงรักษาการปกครองแบบดั้งเดิมในลักษณะของสายตระกูล โดยมีจารีตประเพณีเป็นเครื่องมือในการปกครอง (หน้า 217-218)ขมุ,กำมุ,ข่ามุ,เศรษฐกิจ,สังคม,การเมือง,การเปลี่ยนแปลง,น่านตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=200
199บทความDrug Abuse Among Highlanders of Northern ThailandBamrung, Panadda (ปนัดดา บำรุง)ปัญหายาเสพติดในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นฝิ่น หรือ เฮโรอีนที่เกิดขึ้นในพื้นที่สูงในชุมชนทางภาคเหนือนั้น เป็นปัญหาที่มีความสัมพันธ์กับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลง ปัญหาที่เกิดมีความหลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละชุมชน แนวทางในการแก้ไขปัญหาที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน มีความสามารถในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและจัดการชุมชน รวมถึงการสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ ความเป็นตัวตนของชุมชนให้เกิดขึ้น (หน้า 8)ม้ง, เมี่ยน อิวเมี่ยน , ลีซู ,ลาหู่ ลาฮู,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,อาข่า,กลุ่มคนบนที่สูง,การใช้ยาเสพติด,ภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2540ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=199
198วิทยานิพนธ์พัฒนาการทางวัฒนธรรมด้านเศรษฐกิจของชาวเขาเผ่าม้งในชุมชนเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์วานุรัตน์ แสนยากุลม้งในชุมชนเข็กน้อยเป็นกลุ่มชาวเขายุคใหม่ที่มีความเจริญที่สุดในประเทศไทย เป็นเมืองหลวงของเผ่าม้ง ก่อกำเนิดจากเหตุการณ์สมรภูมิเลือดในปี พ.ศ. 2511-2525 มีผู้ก่อการร้ายพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยต่อต้านระบบการปกครองของรัฐบาล ม้งบางส่วนได้แสดงความจงรักภักดีต่อประเทศไทยเป็นทหารอาสาสมัครช่วยรบอยู่ในกองทัพร่วมกับทหารไทย ม้งมีความเชี่ยวชาญในการเข้าป่า รู้จักลักษณะทางภูมิประเทศทางภาคเหนือของประเทศไทยเป็นอย่างดี ม้งพักอยู่ในค่ายพักทหารเดียวกับกองร้อยที่ 31 ซึ่งอยู่ในบริเวณชุมชนเข็กน้อยในปัจจุบัน และในปี พ.ศ. 2524 รัฐบาลไทยได้รับชัยชนะในการสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ม้งในป่าพากันอพยพมาอยู่ในชุมชนเข็กน้อยเป็นจำนวนมาก ทำให้ชุมชนเข็กน้อยมีการขยายพื้นที่กว้างมากขึ้น ม้งมีพัฒนาการทางวัฒนธรรมด้านเศรษฐกิจเรื่อยมาตั้งแต่แรกเริ่มที่อพยพเข้ามาอยู่ในชุมชนเข็กน้อย ม้งอยู่ภายใต้การดูแลช่วยเหลือของทหารกับเจ้าหน้าที่กรมประชาสงเคราะห์ มีปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจของชุมชนเข็กน้อยที่มาจากการทำอาชีพเกษตรกรรม นโยบายของรัฐบาล การติดต่อกับคนพื้นราบ มีการเลียนแบบและการศึกษาม้ง,พัฒนาการ,ระบบเศรษฐกิจ,เพชรบูรณ์ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเพชรบูรณ์ ประเทศไทย2547ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=198
197บทความResistance Strategies of a Karen Leader in Northern ThailandBuadang, Kwanchewan (ขวัญชีวัน บัวแดง)บทบาทความสำคัญของผู้นำชุมชนกะเหรี่ยงและความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในชุมชน แนวทางที่ผู้นำชุมชนแสดงออกนั้นเป็นส่วนที่เกิดจากความต้องการในทิศทางเดียวกันของคนในชุมชน ซึ่งมีความสัมพันธ์ของกลุ่มอำนาจทั้งจากภายในและภายนอก การยอมรับรัฐมีแนวทางการปฎิบัติทั้งในการให้ความร่วมมือ การต่อรอง และความขัดแย้งที่เกิดขึ้น การเปลี่ยนปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน เป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดการจัดการชุมชนแบบใหม่ที่เกิดขึ้นภายใต้ความสัมพันธ์ของการปกครองจากรัฐและชุมชน (หน้า 11)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ผู้นำกะเหรี่ยง,กลยุทธ์,ต่อต้านรัฐ,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2540ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=197
196บทความModernization and the Construction of Hmong Kinship Identityประสิทธิ์ ลีปรีชาสังคมม้งเป็นสังคมแบบเครือญาติ ตามแบบแผนประเพณีดั้งเดิมความสัมพันธ์ทางเครือญาติเกี่ยวข้องทั้งในด้านระบบเศรษฐกิจ ศาสนา การเมืองและสังคม การเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ (Modernization) และการเป็นไทย ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเครือญาติของม้ง แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีรูปแบบความสัมพันธุ์อัตลักษณ์ทางเครือญาติ (Kinship Identity) ที่ยังคงอยู่ (หน้า 1)ม้ง,อัตลักษณ์,เครือญาติ,สังคมสมัยใหม่,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=196
195วิทยานิพนธ์ผลกระทบของการท่องเที่ยวต่อชุมชน : บ้านม้งดอยปุยสุนิสา ฉันท์รัตนโยธินชาวบ้านม้งดอยปุยเรียนรู้ที่จะนำลักษณะทางวัฒนธรรมของตนมาเปลี่ยนเป็นสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวในการบริโภควัฒนธรรมที่แปลกและแตกต่างจากตัวเอง มีการจัดฉากนำเสนอความจริงแท้เพื่อสร้างจุดดึงดูดการท่องเที่ยว และการขายสินค้าทางวัฒนธรรมเช่นเครื่องแต่งกาย งานหัตถกรรม ของที่ระลึก ซึ่งมีการโยงสินค้าให้เข้ากับเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของม้ง แต่การท่องเที่ยวส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมของม้งดอยปุย จากการเกษตรมาสู่การขายสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม เกิดปัญหาสังคม และเปลี่ยนแปลงบทบาทชายหญิง (หน้า (1))ม้ง,การท่องเที่ยว,ผลกระทบ,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=195
194บทความFrom the upland forest to the urban city : Akha identity in changing processBoonyasaranai, Panadda (ปนัดดา บุณยสาระนัย)กลุ่มผู้หญิงอาข่าในเมืองเชียงใหม่พยายามที่จะสร้างภาพลักษณ์ในทางบวกของอัตลักษณ์ของอาข่า (Akhazang) เพื่อให้พ้นจากการเข้าใจผิดของผู้คนภายนอกในสังคมไทย ทำให้กลุ่มผู้หญิงที่มีการศึกษาพยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ สังคมไทยรู้จักอาข่าในฐานะผู้ต่ำกว่า ด้อยกว่า และอยู่นอกสังคมไทย แต่ใช้ภาพลักษณ์ของอาข่าในด้านการท่องเที่ยว กลุ่มอาข่าที่อาศัยในเมืองไม่สามารถแยกตัวในเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ได้เหมือนกลุ่มที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูง เพราะว่าพวกเขามีปฎิสัมพันธ์กับสังคมเมืองหลากหลาย เป็นไปตามบริบทและอำนาจความสัมพันธ์เหล่านั้น อาข่าในเชียงใหม่ต้องต่อสู้กับหลากหลายปัญหา แม้กระนั้นก็ยังคงต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง จากความเข้าใจผิดในอัตลักษณ์ความเป็นตัวตนของพวกเขาจากกลุ่มคนภายนอก (หน้า 1)อาข่า,อัตลักษณ์,การเปลี่ยนแปลง,สังคมเมือง,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=194
193บทความEthnic Adaptation in Urban Chiang Mai.ปนัดดา บำรุงการพัฒนาไปสู่ความทันสมัยส่งผลให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมบริโภคนิยม สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสังคมบนพื้นที่สูงเช่นเดียวกัน การเพิ่มขึ้นของกลุ่มอพยพเข้าสู่เมืองเชียงใหม่สะท้อนให้เห็นถึงผลของการพัฒนาและปัญหาที่เกิดขึ้นบนพื้นที่สูง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาพื้นที่และปลูกพืชเศรษฐกิจซึ่งทำลายภูมิปัญญาดั้งเดิมของชุมชน และการสูญเสียการจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น ไม่สามารถดำรงชีวิตในแบบดั้งเดิม ส่งผลให้ต้องกลายเป็นแรงงานเข้ามาทำงานก่อให้เกิดปัญหาซับซ้อนทั้งยาเสพติด การค้าประเวณี และการติดเชื้อเอดส์ เมื่อเข้ามาอยู่สภาพสังคมแบบเมืองใหญ่ (หน้า 10)ม้ง,เมี่ยน อิวเมี่ยน,อาข่า,ลาหู่ ลาฮู,ลีซู,กลุ่มชาติพันธุ์,การปรับตัว,เมือง,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=193
192บทความPractices of Ancestor Spirit Cult among The Sgaw Karen in Mae Chamขวัญชีวัน บัวแดงการนับถือผีบรรพบุรุษ เป็นความเชื่อดั้งเดิมของกะเหรี่ยง ซึ่งมีอิทธิพลและสำคัญต่อวิถีชีวิตประจำวันของพวกเขา ในแต่ละครอบครัวจะต้องทำพิธีกรรมเลี้ยงผีและมีการสืบทอดในสายมารดา การเลิกนับถือความเชื่อดั้งเดิมเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1970-1980 ซึ่งอยู่ในช่วงที่มีกลุ่มผู้ติดฝิ่นเป็นจำนวนมาก ไม่สามารถสร้างสถาบันครอบครัวที่แข็งแรงและอยู่ร่วมกันไปทำให้การสืบทอดความเชื่อดั้งเดิมไม่สามารถกระทำได้ และในระยะเวลาต่อมาความเชื่อแบบดั้งเดิมได้เข้าไปผสมผสานอยู่ในการนับถือศาสนาใหม่ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธหรือศาสนาคริสต์ การกระทำพิธีกรรมมีการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับแนวคิดในศาสนาใหม่ที่นับถือ (หน้า 16-18)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การถือผี,พิธีกรรม,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=192
191บทความPattani in the 1980s : Academic Literature and Political StoriesChaiwat Satha-Anandเป็นการนำเสนอประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้กับรัฐไทย และคนไทยพุทธซึ่งปรากฏอยู่ในงานวิชาการหลายประเภท เช่น วิทยานิพนธ์ รายงานวิจัย และบทความที่มีมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งตีพิมพ์หรือเผยแพร่ในทศวรรษ 1980 (ดูรายละเอียดที่ Ethnicity)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,งานวรรณกรรม,ศาสนาอิสลาม,ความสัมพันธ์,รัฐไทย,จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2537ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=191
190บทความHmong Marriage Patterns in Thailand in Relation to Social ChangeKunstadler, Peterผู้เขียนศึกษาพฤติกรรมการแต่งงานและทัศนคติการแต่งงานแบบต่าง ๆ ของม้งในจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน น่าน เพชรบูรณ์และตาก โดยใช้การอธิบายเชิงปริมาณ (a quantitative description) เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็วส่งผลต่อแบบแผนการแต่งงานแบบดั้งเดิมของม้ง ผู้เขียนจึงเห็นว่าความแตกต่างของพฤติกรรมการแต่งงานและทัศนคติต่อการแต่งงานแบบต่างๆน่าจะสัมพันธ์กับความแตกต่างในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและความแตกต่างทางเศรษฐกิจสังคมภายในสังคมม้ง (น.375) ผู้เขียนพบว่าแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งอิทธิพลทางวัฒนธรรม แต่ม้งก็ยังคงรักษาแบบแผนการแต่งงานดั้งเดิมของตนอยู่ (น.394)ม้ง,การแต่งงาน,การเปลี่ยนแปลง,ภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=190
189บทความTaikeisyuzokuno “Kuninihashira” Shisaiwo Megustute-Taikeibunkarikaino-Shikaku (3)Mikio, Moriกล่าวถึงต้นกำเนิดของหลักเมืองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับศิวลึงค์หรือไม่ มีการยกเหตุผลทั้งที่สนับสนุนว่าหลักเมืองมาจากศิวลึงค์และเหตุผลโต้แย้งลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ต้นกำเนิด,หลักเมือง,ศิวลึงค์,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2535ภาษาญี่ปุ่นhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=189
188วิทยานิพนธ์Highlanders, Intervention and Adaptation : a Case Study of a Mong N'jua (Mong Ntsuab) Village of PattanaKesmanee, Chupinit (ชูพินิจ เกษมณี)งานชิ้นนี้เป็นการศึกษาชุมชนม้งน้ำเงินหรือเขียว (Mong N'jua) ในภาคเหนือของไทย ภาพลักษณ์ของม้งในฐานะผู้ปลูกฝิ่นและเพาะปลูกแบบโค่นเผายังคงเป็นประเด็นคำถามอยู่ การเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันอันประกอบด้วยการเจริญเติบโตของประชากร ปัญหาทรัพยากรที่ดิน และระบบการเพาะปลูกแบบดั้งเดิม ซึ่งถูกรวมเข้าไปไว้ในการพัฒนามีผลกระทบต่อชีวิตของม้ง มีนัยยะสำคัญยิ่ง เหตุที่เลือกศึกษาชุมชนบ้านพัฒนา ก็เนื่องจากตั้งอยู่ในระดับความสูงที่ต่ำในบริเวณภูเขาใกล้กับตัวเมืองจังหวัดน่าน บ้านพัฒนาถูกบูรณาการเข้าไปในโครงสร้างการบริหารพื้นราบ และได้ถูกรัฐบาลจัดตั้งถิ่นฐานใหม่เพื่อกำจัดฝิ่น บ้านพัฒนาอาจจะทำให้เห็นอนาคตของคนบนที่สูงในประเทศไทย ข้อค้นพบของการศึกษานี้เห็นว่า ม้งไม่ใช่พวกต่อต้านด้วยกำลัง และแสดงให้เห็นว่าม้งหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก ขบวนการผู้มีบุญไม่ใช่ลักษณะโครงสร้างของวัฒนธรรมม้งและเกิดขึ้นหลังจากได้มีการติดต่อกับคนภายนอกแล้ว การเผชิญหน้าที่นำไปสู่ความรุนแรงเป็นข้อยกเว้นมากกว่าเป็นกฎระเบียบของโครงสร้างสังคม เมื่อเผชิญกับการท้าทายที่ถูกแสดงโดยการติดต่ออย่างใกล้ชิดและยั่งยืนกับโลกของคนไทย ม้งบ้านพัฒนาก็ไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาต้องบูชายันต์อัตลักษณ์ของตนเอง แต่พวกเขาได้สร้างความพยายามอย่างระมัดระวังในการปรับตัวเข้ากับการคาดหวังของไทย พวกเขามองตนเองว่าเป็นทั้งม้งและพลเมืองไทย การเกี่ยวพันในกิจกรรมการพัฒนาได้สร้างความแตกต่างทางชาติพันธุ์จำนวนมาก ความแตกต่างทางภาษาศาสตร์ชาติพันธุ์ (the ethno-linguistic differences) ของคนบนที่สูงอันต่างจากคนพื้นราบถูกอ้างถึงบ่อยในการอธิบายการไม่บรรลุความสำเร็จในการพัฒนา อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ข้ออ้างนั้นเป็นทัศนคติ การขาดความเข้าใจทางวัฒนธรรมและการจัดระเบียบการบริหารที่อ่อนแอ วิธีการทำงานของราชการที่ตอบสนองความต้องการต่างประเทศ (การกำจัดฝิ่น) ไม่ค่อยพิจารณาความแตกต่างของกลุ่มและภูมิภาค ความเข้าใจผิดเกิดขึ้นบ่อยและระบบการดำเนินโครงการก็ไม่ยืดหยุ่น การดำเนินงานของรัฐบาลในพื้นที่สูงซึ่งกำหนดปัญหาจากการทำไร่เลื่อนลอย การปลูกฝิ่นและความมั่นคงของชาติอันเนื่องมาจากชนกลุ่มน้อย เป็นการกำหนดทิศทางผิด ลักษณะการใช้อำนาจของระบบราชการและโครงสร้างทางการเมืองควรได้รับการทบทวน กลยุทธ์การพัฒนาชนบทไม่ควรถูกกำหนดในสูญญากาศหรือแยกจากส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง การดำเนินงานพัฒนาประเทศในลักษณะองค์รวมจำเป็นต้องกำหนดภายใต้การตรวจสอบที่จริงจัง (จาก abstract)ม้งน้ำเงิน,การปรับตัว,การเพาะปลูก,น่านตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2534ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=188
187บทความEffects of the Thai Market on Karen Life.Hamilton, James W.งานชิ้นนี้ศึกษาผลกระทบของตลาดที่มีต่อชุมชนกะเหรี่ยง และชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนเทคโนโลยี การจัดองค์กรทางสังคม และอุดมการณ์ของชุมชนกะเหรี่ยงบ้าน Hong จ.เชียงใหม่นั้นเป็นผลมาจากการเกี่ยวข้องกับตลาดและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ จากเดิมที่ระบบเศรษฐกิจภายใน ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนความร่วมมือ แลกเปลี่ยนและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในสายตระกูลมารดามีความสำคัญกว่า กลายมาเป็นเศรษฐกิจภายนอก คือ การติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนกับผู้ที่ไม่ใช่เครือญาติ ไม่ใช่กะเหรี่ยงเริ่มมีบทบาทสำคัญมากโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ระบบเครือญาติ,โครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม,ระบบตลาด,ผลกระทบ,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2506ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=187
186บทความNTOO XEEB : Cultural Redefinition for Forest Conservation among the Hmong in ThailandLeepreecha, Prasit (ประสิทธิ์ ลีปรีชา)ศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมการไหว้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ - ntoo xeeb tree - ในบริบททางสังคมปัจจุบัน ซึ่งม้งบ้านแม่สาใหม่ได้นำความเชื่อดั้งเดิมมาขยายความหมาย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดูแลอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้รอบ ๆ ชุมชน โดยนำแนวคิดการอนุรักษ์ป่าและต้นไม้ของคนพื้นราบที่ใช้การบวชป่าหรือบวชต้นไม้ มาประยุกต์เข้ากับความเชื่อและพิธีกรรมดั้งเดิมของตนม้ง,ความเชื่อ,พิธีกรรม,ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์,การอนุรักษ์ป่าไม้,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2547ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=186
185รายงานการวิจัยมิติที่ซ่อนอยู่สำหรับเด็กที่อาศัยอยู่ในบ้านกวิน ว่องวิกย์การการศึกษามิติที่ซ่อนอยู่สำหรับเด็กที่อาศัยอยู่ในบ้านของงานวิจัยเล่มนี้ เป็นทฤษฎีที่ใช้เป็นแนวทางออกแบบบ้านของตัวเอง บ้านไม่จำเป็นต้องใหญ่โตหรูหรา เพราะนอกจากเป็นที่อยู่อาศัยแล้วยังเป็นมิติที่เอื้อต่อธรรมชาติของเด็ก และบ้านยังมีส่วนช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจสติปัญญาของเด็ก ให้เจริญเติบโตอย่างงดงาม และเรียกได้ว่า เป็นบ้านแห่งชีวิตสำหรับวัยที่เป็นก้าวแรกที่จะเติบโตเป็นมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจต่อไปปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),บ้าน,การเล่นของเด็ก,แม่ฮ่องสอนตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=185
184รายงานการวิจัยประเพณี ชาวไทยโซ่ง : หมู่บ้านเกาะแรตนุกูล ชมภูนิชมีเนื้อหาครอบคลุมชีวิตความเป็นอยู่ของไทยโซ่ง หมู่บ้านเกาะแรต ต.บางปลา อ.บางเลน จ.นครปฐม ตลอดจนเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อที่มีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของคนไทยเชื้อสายไทยโซ่งในด้านต่าง ๆลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ประวัติศาสตร์,ประเพณี,วิถีชีวิต,นครปฐมตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=184
183วิทยานิพนธ์การศึกษาเปรียบเทียบพัฒนาการทางภาษาพูดของเด็กไทยกลาง เด็กไทยเหนือ และเด็กไทยม้งที่มีอายุในช่วง 7-9 ปีชนันพร โอภาสพันธ์การศึกษาเกี่ยวกับการใช้ภาษาของคนไทยถิ่น เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาการใช้ภาษาไทยมาตรฐาน โดยมีการเปรียบเทียบพัฒนาการทางภาษาพูดด้านคำศัพท์และชนิดของประโยคของภาษาไทยถิ่นและภาษาไทยกลางระหว่างเด็กไทยเหนือ เด็กไทยม้งและเด็กไทยกลางม้ง,พัฒนาการทางภาษาพูด,เด็ก,ภาษาไทยมาตรฐาน,ภาษาถิ่น,ภาษาศาสตร์เชิงจิตวิทยา,ภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=183
182วิทยานิพนธ์การศึกษาแบบแผนในการสื่อสารของชาวไทยใหญ่ในหมู่บ้านแม่ลาน้อย ต.แม่ลาน้อย อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอนศุภลักษณ์ วิริยะสุมนงานชิ้นนี้มีสาระสำคัญ คือ การศึกษาแบบแผนในการสื่อสาร (patterns of Communication) และองค์ประกอบในการสื่อสารของไทยใหญ่ ทำให้เห็นแบบแผนในการสื่อสารในสถานการณ์แต่ละประเภทแตกต่างกันทั้งกฎเกณฑ์และรูปแบบ รวมทั้งลักษณะองค์ประกอบในการสื่อสาร การปฏิสัมพันธ์ภายในชุมชนภาษา (Speech Community) และการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม (Cross - cultural Communication) ของไทยใหญ่ไทยใหญ่,การสื่อสาร,ภาษา,แม่ฮ่องสอนตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2528ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=182
181บทความ'ประวัติการอพยพเคลื่อนย้ายของชาวไทพวนในประเทศไทย' และ 'ลักษณะทั่วไปของชาวไทยพวน ในเขตอำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี'ปรารถนา แซ่อึ้งไทพวนเดิมตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองพวนและเมืองเชียงขวางทางตอนเหนือของประเทศลาว ต่อมาถูก "กวาดต้อน" เข้าสู่ประเทศไทยในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และสมัยรัชกาลที่ 3 ไทพวนที่อยู่ในอำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากลาวพวน ซึ่งอพยพมาจากเวียงจันทน์เข้ามาอยู่ตั้งแต่สมัยเจ้าอนุวงศ์เป็นกบฏ ครั้งแรก ไทพวนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ที่ "บ้านเซ่า" จังหวัดลพบุรี และต่อมาในปี พ.ศ. 2482 "บ้านเซ่า" ก็ถูกเปลี่ยนเป็น "อำเภอบ้านหมี่" ไทพวนมีผิวขาวเหลืองและมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับลาวพวกอื่น ๆ มีความขยัน รักสงบ โอบอ้อมอารี และรักพวกพ้อง พูดภาษาตระกูลไต อยู่ร่วมกันเป็นสังคมเครือญาติ นับถือศาสนาพุทธ นิยมแต่งกายด้วยด้วย "ผ้ามัดหมี่" อยู่บ้านเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง พื้นกระดานเป็นไม่แผ่นใหญ่ ๆ หนาและแข็งแรง ใต้ถุนมีคอกวัว เมื่อขึ้นบันใดไปจะพบชานบ้านที่กว้างขวาง มีเรือนครัวอยู่ด้านในสุด ด้านตรงข้ามเรือนครัวทางขวาของบันไดมีเรือนเล็กหลังหนึ่ง ตัวเรือนใหญ่อยู่ด้านซ้ายมีโถงกว้างพวน,ประวัติศาสตร์,การอพยพ,บ้านหมี่,ลพบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดลพบุรี ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=181
180รายงานการวิจัยไทพวน : การศึกษาเชิงวิเคราะห์วิถีชีวิต พฤติกรรมการส่งเสริมจิต - พุทธพิสัย และปัญหาการใช้ภาษาดวงเดือน ศาสตรภัทร และคณะไทพวนในอำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก นับถือพุทธศาสนา และมีประเพณี พิธีกรรม และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ได้แก่ การสู่ขวัญ การผูกเสี่ยว งันเฮือนดี การอยู่กรรม การเกี้ยวพาราสี และความเชื่อด้านต่าง ๆ ประเพณีพิธีกรรมบางอย่างของไทพวนที่ยังคงอนุรักษ์อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ การทำบุญสร้างกุศลในโอกาสต่าง ๆ เช่น บุญกฐิน และการละเล่น เช่น โขนและหนัง เป็นต้น ส่วนประเพณีที่ไทพวนเลิกปฏิบัติแล้วแต่ยังปรากฏอยู่ในวรรณกรรมของไทพวน คือ พิธีอยู่กรรม การเกี้ยวพาราสี ประเพณีลงข่วง ประเพณีการสู่ขวัญควาย พิธีแห่นางแมว เป็นต้น นอกจากนี้งานวิจัยยังกล่าวถึง การฝึกจิต - พุทธพิสัยให้แก่เด็กนักเรียนอนุบาลชั้นปีที่ 1 และ 2 โดยใช้นิทานพื้นบ้านเป็นสื่อเชื่อมโยงให้เกิดพฤติกรรมแบบจิต - พุทธพิสัย และใช้คะแนนสอบของจิต - พุทธพิสัยก่อนทดลองเป็นตัวแปรร่วม และงานวิจัยยังกล่าวถึง การฝึกการออกเสียงภาษาไทยมาตรฐานให้แก่เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 ด้วยพวน ไทยพวน ไทพวน,วิถีชีวิต,การส่งเสริมจิต,พุทธพิสัย,การใช้ภาษา,วรรณกรรมท้องถิ่น,นครนายกตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนครนายก ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=180
179รายงานการวิจัยผ้าจกกับวิถีชีวิตชาวไทยวน : ศึกษาเฉพาะกรณีตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรีวรรณา วุฒฑะกุลการทอผ้าจก เป็นมรดกทางศิลปหัตถกรรมที่ไทยวน ตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี สืบทอดมาจากบรรพบุรุษชาวเมืองเชียงแสน อาณาจักรล้านนาไทย ซึ่งกรรมวิธีการทอผ้าด้วยจกต้องอาศัยความประณีต ละเอียดอ่อน และความอุตสาหะของผู้ทอ อันก่อให้เกิดลวดลายต่างๆ ที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ ฯลฯ ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยวนได้เป็นอย่างดี แต่ปัจจุบันเนื่องจากความเจริญทางวัตถุ ได้ทำให้กรรมวิธีและเทคนิคการทอผ้าจกกำลังจะสูญหายไป ดังนั้นลูกหลานของไทยวนที่เห็นความสำคัญของการทอผ้าจกจึงได้ร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมการทอผ้าจกไว้ให้คงอยู่สืบไปยวน คนเมือง ไทยวน,ผ้าจก,วิถีชีวิต,ราชบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=179
178วิทยานิพนธ์การศึกษาโครงสร้างสังคมของลาวโซ่งมยุรี วัดแก้วจากการศึกษาโครงสร้างสังคมลาวโซ่งในงานชิ้นนี้พบว่า พิธีกรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงไว้ซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันของชุมชน และพิธีกรรมแสดงออกถึงสถานภาพของบุคคลและของกลุ่มบุคคล โดยสถานภาพจะแตกต่างกันทางเพศ ไม่ใช่อายุ การศึกษาและอาชีพ ซึ่งผู้ชายจึงมีสถานภาพสูงกว่าผู้หญิง การจัดระเบียบสังคมในระดับครอบครัว ใช้ระบบเครือญาติเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง โดยมีแนวความคิดเรื่องผีเดียวกันเป็นสัญลักษณ์ร่วมกัน และการจัดลำดับเครือญาติเป็นแบบฝ่ายเดียว โดยถือฝ่ายพ่อเป็นสำคัญ สำหรับแนวความคิดของลาวโซ่งในเรื่องชุมชน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดินแดนแต่อยู่ที่ระบบเครือญาติ อันประกอบด้วยญาติทางสายโลหิต และญาติจากการแต่งงาน ได้แก่ สะใภ้ทั้งหลาย ซึ่งถือว่าเป็นญาติผีเดียวกัน นอกจากนี้ ชุมชนลาวโซ่งยังจัดลำดับชนชั้นทางสังคม โดยใช้วงศ์ตระกูลหรือครอบครัวเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง โดยแบ่งเป็นชนชั้น ผู้ท้าว และชนชั้นผู้น้อย ชุมชนลาวโซ่งมีลักษณะเป็นชุมชนเปิด เนื่องจากหนุ่มสาวโซ่งจาก 2 ชนชั้นนี้ สามารถแต่งงานกันได้ ส่งผลให้สถานภาพของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ โดยยึดถือชนชั้นทางฝ่ายสามีเป็นหลักลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,โครงสร้างสังคม,ระบบเครือญาติ,พิธีกรรม,เพชรบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2521ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=178
177บทความIslam and Civil Society in Thailand: The Role of NGOsPrapertchob, Preedaแม้มุสลิมจะถือว่าเป็นชนส่วนน้อยในประเทศไทย แต่ก็นับว่ามีบทบาทสำคัญในสังคม โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวต่างๆ เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ซึ่งทั้งสี่เหตุการณ์ที่ผู้เขียนได้ยกมานั้นเป็นการเคลื่อนไหวที่เหมือนกันอย่างหนึ่งก็คือ เป็นการเคลื่อนไหวของพลเรือนโดยที่ไม่มีอำนาจรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง และเหตุการณ์ทั้งสี่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการผลักดันให้เป็นผล แต่ด้วยความมุ่งมั่น ศรัทธา และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมุสลิม ทำให้วัตถุประสงค์ของเหตุการณ์ทั้งสี่ที่ผู้เขียนยกมาประสบความสำเร็จ (หน้า 113-116)มุสลิม,การเคลื่อนไหว,บทบาทองค์กรอิสระ,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย2544ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=177
176หนังสือยะวา-ชะวา ในบางกอก (The Javaness in Bangkok)กรรณิการ์ จุฑามาศ สุมาลีหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวของชาวยะวาในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นมุสลิมจากเกาะชะวาในประเทศอินโดนีเซียที่เข้ามาสู่เมืองไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2405 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงปี พ.ศ. 2488 อันเป็นปีที่อินโดนีเซียได้รับเอกราชจากฮอลันดา หนังสือแบ่งเป็น 6 บท คือ บทที่ 1 สาเหตุของการเดินทางเข้าสู่เมืองไทยของชาวยะวาในสมัยรัตนโกสินทร์ บทที่ 2 การเข้ามาเมืองไทยของชาวยะวาในสมัยรัตนโกสินทร์ บทที่ 3 วิถีการดำรงชีวิตของชาวยะวาในกรุงเทพมหานคร บทที่ 4 การซื้อขายที่ดินของชาวยะวา บทที่ 5 วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวยะวาในกรุงเทพมหานคร บทที่ 6 ชาวยะวากับการโอนสัญชาติเป็นไทย การศึกษาพบว่าสาเหตุทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ของชาวยะวาภายใต้การปกครองของฮอลันดา ทำให้ชาวยะวาเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในเมืองไทย ซึ่งถิ่นฐานของชาวยะวาในเมืองไทยนี้ยังคงดำรงอยู่จวบจนปัจจุบัน ชาวยะวาในเมืองไทยส่วนมากดำรงวิถีชีวิตโดยกระจายกันอยู่ทั่วไปในกรุงเทพมหานคร ต่อมาชาวยะวาบางส่วนที่ไม่ประสงค์จะตั้งหลักแหล่งอยู่ในเมืองไทยก็พากันเดินทางกลับมาตุภูมิ ส่วนผู้ที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ในเมืองไทยที่มีฐานะดีพอ ได้ซื้อที่ดินเป็นของตนเองและช่วยกันก่อตั้งมัสยิดขึ้นเพื่อประกอบศาสนกิจ การสร้างมัสยิดนี้ชี้ให้เห็นถึงความร่วมมือกันของชาวยะวา และความสัมพันธ์กับมุสลิมกลุ่มอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้มุ่งพิจารณาประเด็นด้านการศึกษาของชาวยะวาที่ต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปอันเนื่องมาจากพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ.2464 อีกด้วย การแต่งงานเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้เห็นความสำคัญของชาวยะวากับกลุ่มบุคคลอื่น ๆ ในสังคมไทย อนึ่งพระราชบัญญัติว่าด้วยกฎหมายขัดกัน พ.ศ.2481 และนโยบายรัฐนิยม พ.ศ.2482 ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีส่วนส่งผลให้ชาวยะวากลายเป็นคนไทยในเวลาต่อมา (หน้า 49-50)มุสลิม,การอพยพ,ประวัติศาสตร์,วิถีชีวิต,กรุงเทพมหานครตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=176
175วิทยานิพนธ์Buddhism, Christianity and the Ancestors.Buadang, Kwanchewan (ขวัญชีวัน บัวแดง)วิทยานิพนธ์เล่มนี้นำเสนอ การศึกษาด้านศาสนา ความเชื่อ และรูปแบบปฎิบัติดั้งเดิมของกลุ่มกะเหรี่ยง 5 หมู่บ้าน ในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มกะเหรี่ยงกับศาสนาคริสต์ ประวัติศาตร์การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ทั้งในประเทศไทยและประเทศพม่า และ ความสัมพันธ์ของกะเหรี่ยงกับศาสนาพุทธ กรณีครูบา และการเคลื่อนไหวของโครงการพระธรรมจาริกโดยเน้นประเด็นของการต่อรองความหมายทางศาสนาของกลุ่มกะเหรี่ยงในชุมชน (หน้า 25-26)กะเหรี่ยงสกอร์,ศาสนา,การถือผีบรรพบุรุษ,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=175
174วิทยานิพนธ์The Karen and The Khruba Khao Pi Movement : A Historical study of the response to the transformation in Northern Thailand.ขวัญชีวัน ศรีสวัสดิ์งานชิ้นนี้ศึกษาการนับถือครูบาขาวปี๋ของกลุ่มกะเหรี่ยง กระบวนการเคลื่อนไหวของครูบา และการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรมทางภาคเหนือของไทยปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),กระบวนการเคลื่อนไหวของครูบา,สังคม,วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2531ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=174
173บทความInter-Cultural Mediation in Southern ThailandTugby, Elise and Tugby, Donaldในภาคใต้ของประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่มีความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมกันเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านศาสนา ได้ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างวัฒนธรรมและเกิดการแบ่งกลุ่มออกจากกันอย่างชัดเจน โดยมีปัจจัยมาจากทั้งศาสนาและทางด้านหน่วยงานราชการออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายูไทยมุสลิม,ไทยพุทธ,ความแตกต่างทางวัฒนธรรม,ภาคใต้ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2516ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=173
172รายงานการวิจัยCare and Protection of Children Among Thai Muslim FamiliesJampaklay, Aree1. ศึกษาการดูแลและคุ้มครองเด็กในครอบครัวไทยมุสลิมในด้านโครงสร้างครอบครัว และการจัดการที่อยู่ของเด็ก 2. ศึกษาโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทยมุสลิม โดยเน้นด้านความแตกต่างทางเพศ สาเหตุที่ไม่ได้เรียน และการใช้ชีวิตหลังจากเรียนจบ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง<br />
3. ประเมินว่าภูมิหลังทางครอบครัวมีอิทธิพลต่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กหรือไม่<br />
4. สำรวจชีวิตของเด็กไทยมุสลิมหลังจากเรียนจบหรือออกจากโรงเรียน โดยเฉพาะด้านโอกาสทางอาชีพของทั้งเด็กชายและหญิง (หน้า 3) พบว่า เด็กส่วนใหญ่จะอยู่กับทั้งพ่อและแม่ แต่ในกรณีที่พ่อแม่แยกกันอยู่หรือหย่ากัน อำนาจการตัดสินใจว่าจะให้เด็กอยู่กับใครเป็นของพ่อแม่ (แม้ว่าเด็กอายุมากกว่า 7 ขวบจะสามารถตัดสินใจได้เอง) และส่วนใหญ่ผู้ที่เลี้ยงดูเด็กคือแม่ ด้านโอกาสทางการศึกษาพบว่าเด็กจำนวน 1 ใน 8 ไม่ได้เข้าโรงเรียน เด็กชนบทมีโอกาสเรียนน้อยกว่าเด็กในเมืองมาก และเด็กที่พ่อแม่แยกทางกันจะมีโอกาสเรียนหนังสือน้อยกว่าเด็กที่พ่อแม่อยู่ด้วยกัน ด้านโอกาสทางอาชีพ พบว่า เด็กชายมีโอกาสได้ทำงานมากกว่าเด็กหญิง เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่เมื่อไม่ได้เรียนต่อชั้นมัธยมก็จะอยู่กับบ้านโดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในชนบท เด็กผู้หญิงในเมืองมีโอกาสหางานทำมากกว่า แต่งานที่ได้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานที่เสี่ยงหรือเป็นงานที่ไม่อยากทำ (หน้า 57-58)<br />
<br />
ผลการศึกษาชี้ว่าเด็กชนบทควรได้รับการเอาใจใส่มากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านโอกาสทางการศึกษาและการจัดการเรื่องที่อยู่ ที่น่าสนใจก็คือไม่มีความแตกต่างกันระหว่างเพศในด้านโอกาสทางการศึกษา นอกจากนี้ผลการศึกษายังแสดงให้เห็นว่าครอบครัวมีผลในแง่บวกกับการศึกษาของเด็ก แต่รายจ่ายด้านการศึกษาและการสูญเสียรายได้จากการใช้เวลาไปเรียน รวมทั้งความเสี่ยงต่อการซึมซับวัฒนธรรม อาจจะเป็นปัจจัยที่จำกัดการศึกษาของเด็ก (หน้า II)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ครอบครัว,การดูแลเด็ก,ปัตตานีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2542ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=172
171บทความThe Monk, the Hmong, the Forest, the Cabbage, Fire and Water: Incongruities in Northern Thailand Opium Replacement.Renard, Ronald D.ในกลางทศวรรษ 1980 หมู่บ้านม้งที่ป่ากล้วย ได้กลายเป็นพื้นที่แห่งความขัดแย้งระหว่างม้งกับคนไทยพื้นราบ ซึ่งนำโดยพระภิกษุ โครงการพัฒนาพื้นที่สูงไทยนอรเวย์ และกรมป่าไม้ของรัฐบาลไทย ทั้งนี้เนื่องจากความพยายามในการเปลี่ยนวิถีชีวิตของม้งให้หันมาปลูกกะหล่ำปลีเป็นพืชเศรษฐกิจ เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น ซึ่งต้องใช้ระบบส่งน้ำ ปุ๋ย สารเคมี และยาฆ่าแมลง ทำให้คนพื้นราบ ซึ่งอยู่ปลายน้ำไม่พอใจ และโทษว่า ม้งเป็นต้นเหตุของการทำลายสิ่งแวดล้อม เผาป่า และก่อให้เกิดมลภาวะในน้ำ จึงร่วมกันประท้วงขับไล่ให้ม้งย้ายไป โดยมีพระพงษ์ศักดิ์เป็นแกนนำ มีการล้อมรั้วลวดหนามแบ่งกั้นม้งออกจากคนไทยพื้นราบ และประท้วงให้ย้ายม้งไป แต่เนื่องจากไม่มีพื้นที่อื่น ม้งจึงยังคงอยู่ต่อไปม้ง,เศรษฐกิจ,การเปลี่ยนแปลง,ความขัดแย้ง,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2537ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=171
170บทความWho are the Lue? Revisited Ethnic Identity in Lao, Thailand, and ChinaKeyes,Charles F."ลื้อ" ไม่ควรถูกมองว่าเป็นชื่อเรียกกลุ่มชนที่เสนอภาพตัวแทนของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของคนกลุ่มดังกล่าว การศึกษาลื้อในประเทศไทย ลาว และจีนชิ้นนี้ พยายามชี้ให้เห็นว่าความเป็นลื้อเป็นสิ่งที่ซับซ้อน ประกอบด้วยมิติทางประวัติศาสตร์ของกลุ่มชน มิติของปฏิสัมพันธ์ระหว่างชนลื้อและคนกลุ่มอื่น ๆ ในชุมชนใกล้เคียง มิติของอำนาจที่ถูกนิยาม จำแนก และจัดการทางวัฒนธรรมจากรัฐที่กลุ่มชนลื้อเป็นส่วนหนึ่งในปัจจุบัน และมิติของความเชื่อมโยงในทางชาติพันธุ์ข้ามพรมแดนรัฐ ที่ลื้อในประเทศหนึ่ง ๆ ให้ความหมายและสัมพันธ์กับลื้อหรือกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไทในที่อื่น ๆ รวมทั้งมิติของการฟื้นฟู นำกลับมาของอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์บางอย่างที่ถูกทำให้เลือนหาย กลืนกลาย หรือทำลายโดยรัฐ กระบวนการดังกล่าวเป็นเรื่องของการต่อรองระหว่างชนกลุ่มน้อยและรัฐผ่านปฏิบัติการทางวัฒนธรรมทั้งในระดับชุมชนและระดับข้ามรัฐลื้อ,สถานภาพ,อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,ลาว,ไทย,จีนตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2536ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=170
169วิทยานิพนธ์บทบาทสตรีชาวผู้ไทยในพิธีกรรมเหยา ตำบลป่าไร่ อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหารทิพย์สุภา พรรณสหพาณิชย์งานชิ้นนี้มีเนื้อหาครอบคลุมหลายประเด็น คือสภาพโดยรวมทั่วไป และบทบาทของสตรีผู้ไทยในพิธีกรรมเหยา ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางด้านการสาธารณสุขชุมชน โดยอาศัยความเชื่อดั้งเดิมของคนในชุมชนผู้ไทย,บทบาทสตรี,เหยา,มุกดาหารตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=169
168บทความKru - ze : A Theatre for Renegotiating Muslim IdentityChaiwat Satha-Anand, (ชัยวัฒน์ สถาอานันท์)รัฐบาลเข้าใจว่า เหตุการณ์ที่กรือเซะเกิดขึ้นบนพื้นฐานของการเมืองท้องถิ่นและอิทธิพลต่างชาติ ในความเป็นจริงการชุมนุมที่กรือเซะเกี่ยวข้องกับกระบวนการต่อรองทางอัตลักษณ์อันเป็นผลจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป การโฆษณาเพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปัตตานี ได้เปลี่ยนให้สุสานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว การทำให้คำสาปแช่งของกรือเซะกลายเป็นสินค้าสอดคล้องด้วยมัสยิดที่สร้างไม่เสร็จ เป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับสุสานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ความยากจนที่เกิดขึ้นกับมุสลิม ในขณะที่เศรษฐกิจของปัตตานีอยู่ในมือของครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน รวมทั้งอิทธิพลการฟื้นตัวของมุสลิมต่างชาติ เป็นผลต่อการยึดมั่นในอัตลักษณ์ เป็นผลให้เกิดการชุมนุมที่กรือเซะ พยายามเรียกร้องพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่กว้างขึ้นโดยใช้ความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนา (หน้า 214-215)มุสลิม,กรือเซะ,การต่อรองทางอัตลักษณ์,ปัตตานีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2536ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=168
167วิทยานิพนธ์ความสัมพันธ์ระหว่างอุกับวิถีชีวิตชาวผู้ไทยศิวพร เตโชงานนี้แสดงให้เห็นความสำคัญของ "อุ" ในชีวิตของผู้ไทย ซึ่งมีการประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก แต่ได้มีการผลิตอุไว้เพื่อจำหน่ายเป็นรายได้เสริม นอกจากที่ในชีวิตดั้งเดิมตามประเพณีแล้ว อุ เป็นสิ่งสำคัญในการเฉลิมฉลองหลังการเก็บเกี่ยว หรือเป็นของที่ใช้ประกอบในการทำพิธีกรรมสำคัญของ ผู้ไทยผู้ไทย,กรรมวิธีการผลิตอุ,วิถีชีวิต,นครพนมตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนครพนม ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=167
166วิทยานิพนธ์ชุมชนมุสลิมในตลาดชายแดนไทย-พม่า : สัมพันธภาพระหว่างพหุสังคม วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ และการธำรงชาติพันธุ์จักรพันธ์ ขัดชุ่มแสงผู้เขียนได้นำเสนอถึงภาพความเป็นพหุสังคมในการศึกษาครั้งนี้ไว้ 2 ระดับ คือ ระดับชุมชนมุสลิมและระดับชุมชนแม่สอดอันประกอบไปด้วยคนหลายชาติหลายศาสนา โดยชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้พหุสังคมดำรงอยู่ได้ว่า ได้แก่ การมีปฏิสัมพันธ์กันทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม และการมีค่านิยมบางอย่างร่วมกัน นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้กล่าวถึงวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นถึงแนวคิดที่ว่าการเป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็กเป็นเอกลักษณ์ของมุสลิม อีกทั้งยังได้กล่าวถึงเอกลักษณ์ทางกายภาพ และทางพิธีกรรม แนวปฏิบัติทางศาสนา และระบบสัญลักษณ์ของมุสลิมในเรื่องของการธำรงชาติพันธุ์ รวมทั้งได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพหุสังคม วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ และการธำรงชาติพันธุ์ของชุมชนมุสลิมในเมืองตลาดชายแดนไทย-พม่ามุสลิม,ตลาดชายแดนไทย-พม่า,วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ,พหุสังคม,การธำรงชาติพันธุ์,ตากตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดตาก ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=166
165บทความHmong in Thailand : Evidence and Explanation of ChangeKunstadter, Peter; Kunstadter, Sally Lennington and Ritnetikul, Prasitม้งในประเทศไทยที่ไม่ใช่ม้งอพยพมีประมาณ 90,000 คน ม้งเหล่านี้เป็นลูกหลานของม้งที่อพยพมาจากประเทศจีนผ่านลาว และเริ่มเข้ามาในไทยเมื่อ 100 ปีที่แล้ว หรือเป็นลูกหลานม้งที่อพยพเข้ามาทางประเทศพม่า เข้ามายังจังหวัดเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน ม้งปรับตัวเข้ากับสภาพเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ได้รวดเร็ว ม้งได้ขยายเข้าไปครอบครองพื้นที่สูงที่ยังไม่ถูกครอบครอง การเจริญเติบโตของประชากรที่รวดเร็วสัมพันธ์กับการขยายตัวทางพื้นที่ซึ่งเป็นเงื่อนไขจำเป็นสำหรับครัวเรือนขนาดใหญ่ นโยบายรัฐที่มุ่งกำจัดการปลูกฝิ่น จำกัดการตัดโค่นเผาป่า และควบคุมการย้ายถิ่นของประชากร ทำให้ระบบเศรษฐกิจม้งแบบดั้งเดิมหยุดชะงัก ขณะเดียวกันประชากรม้งจำนวนมากก็ได้ถูกย้ายถิ่นฐาน เนื่องจากนโยบายความมั่นคงของรัฐ การควบคุมของรัฐที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดเครือข่ายถนนบนที่สูง ซึ่งทำให้คนบนที่สูงเดินทางไปตลาดในที่ราบได้สะดวก การตอบสนองเศรษฐกิจของม้งต่อเงื่อนไขที่เปลี่ยนไปยังรวมไปถึงการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจโดยการใช้เทคนิคเพาะปลูกใหม่ ๆ ด้วย การเจริญพันธุ์ของม้งเริ่มลดลงเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาหลังจากประชากรไทยได้ลดลงมาแล้ว 20 ปี การลดการเจริญพันธุ์ลงอย่างรวดเร็วในชุมชนชนบทเกี่ยวข้องกับการรับรู้การลดโอกาสในการเพาะปลูก อันเป็นผลมาจากข้อกำหนดการได้ที่ดินใหม่ ขณะที่การเจริญพันธุ์ของประชากรม้งในเมืองลดลงเป็นผลมาจากต้นทุนการเลี้ยงดูบุตรสูง การตายของเด็กทารกลดลง ส่วนการเจริญพันธุ์ก็ยังคงสูงอยู่ ขณะที่ผู้หญิงใช้การดูแลสุขภาพและคลอดบุตรสมัยใหม่ และในช่วงที่อัตราการตายลดลงนี้การศึกษาของผู้หญิงก็ยังต่ำอยู่ ผู้ศึกษาเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจสังคมอย่างรวดเร็วในหมู่ม้งสัมพันธ์กับความเต็มใจในการยอมรับนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สิ่งนี้เห็นได้ในการยอมรับอย่างรวดเร็วของความหลากหลายของพืชชนิดใหม่และระบบการเพาะปลูก และเห็นได้ในการเปลี่ยนแปลงทางสังคมขั้นพื้นฐาน และเมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้หญิงม้งบางคนก็มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเอง โดยมีรายได้จาการค้าขายและการเพาะปลูกของตนเอง ความสำคัญของสภาวะทางเศรษฐกิจในการกำหนดพฤติกรรมม้งไม่เหมือนกับชาวเขากลุ่มอื่นในประเทศไทย มังมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้าสภาพเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนปลงโดยปรับเปลี่ยนแบบแผนพฤติกรรมดั้งเดิม ขณะที่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของตนไว้ (จาก abstract)ม้ง,ประชากร,เศรษฐกิจ,การเปลี่ยนแปลง,ภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดตาก ประเทศไทย2533ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=165
164บทความDemographic Variables in Mortality : Hmong in ThailandKunstadter, Peter; Kunstadter, Sally Lennington and Ritnetikul, Prasitทฤษฎีเดิม ๆ ไม่อาจอธิบายการลดการตายของเด็กทารกที่เกิดขึ้นในประชากรม้ง จาก 123/1000 ในกลางทศวรรษ 1960 เป็น 48 ในกลางทศวรรษ 1980 ประชากรม้งในภาคเหนือของไทยยังคงมีการเจริญพันธุ์สูงและใช้บริการสุขภาพสมัยใหม่ต่ำ ม้งส่วนมากอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนบทห่างไกลและเลี้ยงชีพด้วยการเพาะปลูกแบบใช้แรงงานตนเอง มีระดับการศึกษาต่ำโดยเฉพาะผู้หญิง ลักษณะครอบครัวเป็นครอบครัวขยายสืบสายตระกูลข้างบิดา ผู้หญิงมีสถานภาพต่ำ ลักษณะเหล่านี้ตรงข้ามกับประชากรไทย ซึ่งมีการตายลดลงอันเนื่องจากการวางแผนครอบครัวแพร่หลาย การเจริญพันธุ์ลดลงรวดเร็ว ใช้บริการด้านสุขภาพสมัยใหม่แพร่หลาย ระดับการศึกษาเพิ่มขึ้นรวดเร็วทั้งสองเพศ มีการพัฒนาเศรษฐกิจรวดเร็ว และมีลักษณะครอบครัวเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่ ข้อมูลของม้งแสดงแบบแผนการตายของทารกไปตามแนวทางการอธิบายของทฤษฎีเดิม ๆ คือ อัตราตายของทารกสูงในกลุ่มของการเกิดลำดับที่สูงและมารดาอายุสูงเมื่อคลอดบุตร หากแต่ไม่พบความสัมพันธ์นี้ในกลุ่มการเกิดลำดับแรกและกลุ่มที่มารดาอายุน้อยมาก (10-14 ปี) เมื่อคลอดบุตร ส่วนกลุ่มมารดารุ่นอายุหลังๆ (recent cohorts) กลับพบว่า การตายของเด็กทารกและทารกในครรภ์ได้ลดลงในทุกลำดับการเกิดและทุกกลุ่มอายุของมารดา สตรีม้งที่คลอดบุตรโดยใช้บริการทางการแพทย์สมัยใหม่มีน้อยมาก นอกจากนี้ ยังไม่พบความแตกต่างในระดับการตายสำหรับทารกเพศหญิงและเพศชาย หลักฐานทางชาติพันธุ์วรรณนาเสนอแนะว่า ม้งมีธรรมเนียมในการปกป้องดูแลสุขภาพของมารดาและทารกอย่างดีให้แก่มารดาทุกกลุ่มอายุเมื่อคลอดบุตรและทุกลำดับการเกิดของบุตรไม่มีการเลือก นอกจากนี้ ม้งยังยินดีรับสิ่งใหม่ ๆ ที่มีผลดีต่อสุขภาพของมารดาและเด็ก ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ม้งสามารถเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของเด็กและทารกได้สูงกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นม้ง,ประชากร,การตายของเด็กทารก,ทารกในครรภ์มารดา,ภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดตาก ประเทศไทย2533ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=164
163บทความHmong Demography : An Anthropological case studyKundstadter, Peter; Kunstadter, Sally L.; Podhisita, Chai and Litnetikul, Prasitม้งเป็นกลุ่มที่มีภาวะการเจริญพันธุ์สูง มีการเติบโตของประชากรรวดเร็ว ครัวเรือนมีขนาดใหญ่ โครงสร้างของประชากรส่วนใหญ่มีอายุน้อย และแต่งงานอายุน้อย ทำให้ม้งยังคงรักษาความคิดเกี่ยวกับครัวเรือนแบบขยายไว้ได้ ประเพณีและความเชื่อของม้งส่งเสริมให้มีการเจริญพันธุ์สูง อันได้แก่ ความต้องการบุตรเพื่อเป็นแรงงานในครัวเรือน และความปรารถนาบุตรชายเพื่อเลี้ยงดูยามแก่และสืบทอดพิธีกรรม อย่างไรก็ตาม การรับรู้ข้อกำหนดทรัพยากรที่ดินและสภาวะเศรษฐกิจในเมืองก็ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางประชากรของม้ง การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบแบบควบคุมในทางมานุษยวิทยา (the anthropological approach of controlled comparison) ทำให้จำแนกชุมชนม้งออกเป็นกลุ่มย่อยได้ 3 กลุ่ม สำหรับเปรียบเทียบและแสดงความแตกต่างที่สำคัญในพฤติกรรมประชากร ได้แก่ ระยะทางในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ระดับการศึกษาของผู้หญิงโดยทั่วไปต่ำ ผู้หญิงในชุมชนที่กำลังเปลี่ยนแปลงและในชุมชนเมืองต้องการบุตรน้อย แต่งงานช้าขึ้นและหันมาใช้วิธีการวางแผนครอบครัว (น.15) ผู้ศึกษาพบว่า ความชอบบุตรเพศชายซึ่งสัมพันธ์กับเศรษฐกิจครัวเรือนแบบดั้งเดิมและองค์ประกอบของครัวเรือนเริ่มเปลี่ยนไป ชุมชนส่วนมากเด็ก ๆ ยังถูกมองว่าเป็นทรัพย์สินทางสังคมเศรษฐกิจ ขณะที่ชุมชนในเมือง ต้นทุนการเลี้ยงดูบุตรและการรบกวนเวลาทำงานของแม่ในการเลี้ยงดูบุตรเป็นเหตุผลในการจำกัดจำนวนการมีบุตร และขณะเดียวกันชุมชนในชนบท ข้อกำหนดด้านทรัพยากรก็เป็นเหตุผลในการจำกัดขนาดครอบครัวด้วยเช่นกัน ดังนั้น พฤติกรรมและทัศนคติของม้งในด้านตัวแปรประชากร (เช่น การเข้าถึงแหล่งที่ดิน) จึงสัมพันธ์กับโอกาสทางเศรษฐกิจมากกว่าการบ่งชี้ของการพัฒนาเศรษฐกิจสังคม (เช่นการศึกษาของผู้หญิง) (น.15-16)ม้ง,ประชากร,ภาวะเจริญพันธุ์,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2532ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=163
162วิทยานิพนธ์ผลกระทบของโครงการพัฒนาจุดสุมเมืองหนองแฮดต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมชาวม้ง : ศึกษาเฉพาะกรณี หมู่บ้านแก่วปะตู เมืองหนองแฮด แขวงเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเวียงมาลา วางมัวงานชิ้นนี้เป็นการศึกษาผลกระทบของโครงการพัฒนาจุดสุม เมืองหนองแฮดที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของม้ง หมู่บ้านแก่วปะตู เมืองหนองแฮด แขวงเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยการสัมภาษณ์ม้งจำนวน 152 คน พบว่า หลังการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการส่งเสริมการเกษตรให้แก่ชาวบ้าน ก่อให้เกิดรายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้นและเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของหมู่บ้าน สภาพดังกล่าวนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานทุกด้านรวมไปถึงวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นด้วยโดยเฉพาะประเพณีฉุดเจ้าสาว พิธีกรรมต่าง ๆ การแต่งกาย และการก่อสร้างที่อยู่อาศัย รวมถึงด้านสาธารณสุข และการศึกษา เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้เกิดความสำเร็จตามโครงการในการลบล้างการปลูกฝิ่นและทำลายป่าไม้ของชาวเขาเผ่าต่างๆ โดยใช้วิธีอบรมให้ความรู้ ประชุมชี้แจง พาไปศึกษาดูงานนอกหมู่บ้าน และสถาบันการปกครองที่มีอยู่ในการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ สู่ชาวบ้าน นอกจากนี้ ผลจากการขัดเกลาทางสังคมจากสถาบันต่างๆ เช่น ครอบครัว กลุ่มเพื่อน กลุ่มอาชีพ และสื่อมวลชนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมกับสถาบันทางสังคม ดังนั้นเมื่อสถาบันหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงย่อมส่งผลกระทบต่อสถาบันอื่นๆ ตามไปด้วย โดยเฉพาะสถาบันเศรษฐกิจมีผลให้ประเพณีต่างๆ ของม้งเปลี่ยนแปลงจากเดิม เช่น วันฉลองเทศกาลปีใหม่เหลือเพียง 15 วัน เป็นต้น และการเปลี่ยนแปลงของสถาบันครอบครัวที่กลายมาเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น หรือแม้แต่การมีสิทธิ์ในการออกเสียงและการเงินของหญิงม้งมากขึ้นเช่นกันม้ง,ชีวิตความเป็นอยู่,สังคม,วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,เชียงขวาง,ประเทศลาวตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดXiangkhoang ประเทศลาว2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=162
161บทความKhuba Movements and the Karen in Northern Thailand : Negotiating Sacred Space and IdentityBuadang, Kwanchewan (ขวัญชีวัน บัวแดง)งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการอธิบายถึงการเข้าร่วมของกะเหรี่ยงและชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ทางภาคเหนือของประเทศไทยในกระบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนาหรือกระบวนการเคลื่อนไหวครูบา และการสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเครื่องหมายของการต่อต้านอำนาจส่วนกลาง ทั้งที่เป็นรัฐและองค์กรสงฆ์ กระบวนการเคลื่อนไหวครูบานี้ก็เพื่อการสร้างศาสนสถานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน โดยมีกะเหรี่ยงและชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาต่อตัวครูบาจนทำให้เกิดการขยายตัวของความเคลื่อนไหวดังกล่าว ซึ่งจัดประเภทอัตลักษณ์ของกะเหรี่ยงที่เข้าร่วมในกระบวนการนี้ได้ 3 ลักษณะ คือ 1.กะเหรี่ยงที่อยู่บริเวณชายขอบของความเคลื่อนไหว 2.กะเหรี่ยงที่อยู่ระหว่างขอบเขตกับศูนย์กลางความเคลื่อนไหว 3.กะเหรี่ยงที่อยู่ศูนย์กลางของความเคลื่อนไหว นอกจากนี้องค์ประกอบสำคัญในการเชื่อมโยงการสร้างศาสนสถานตามพื้นที่ต่าง ๆ มี 4 อย่าง ได้แก่ 1.คนเหล่านี้มีความเชื่อร่วมกันเกี่ยวกับดินแดนทางศาสนา จากการที่มีการผลิตซ้ำในตำนานต่างๆ และซากศาสนสถานที่ปรากฏ ซึ่งมีนัยของพื้นที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ยังคงต่อรองกันอยู่ในเรื่องเกี่ยวกับพิธีกรรมและการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน 2.ผู้เข้าร่วมและสานุศิษย์ต่างก็มีความเชื่อว่าการสร้างสังคมขึ้นมาใหม่นั้นจะต้องเกิดขึ้นจริงไม่ใช่เพียงแต่จินตนาการเท่านั้น อันเป็นสังคมที่มีเขตแดนและอัตลักษณ์ที่มีคนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งด้วย 3.กิจกรรมที่เกิดขึ้นทำให้เกิดสังคมที่เหมือนเป็นศูนย์ของความหลากหลายทางวัฒนธรรมและผู้คนที่ดี ไม่เห็นแก่ตัว และยอมสละตนเองเพื่อสังคมที่สงบสุข 4.แม้ในสังคมยุคสมัยใหม่ความเชื่อเกี่ยวกับต้นบุญหรือการทำบุญก็ยังคงแผ่เข้าไปในสังคมทุกชนชั้น เป็นความเชื่อที่ได้รับการอุปถัมภ์และการสนับสนุนพระป่าและครูบา โดยผู้คนที่มีการศึกษา มีถิ่นฐานในเมือง มีความร่ำรวยจากภาคธุรกิจรวมทั้งชาวเกษตรกรและชนกลุ่มน้อยด้วยปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ความเชื่อ,การเคลื่อนไหวทางศาสนา,การช่วงชิงพื้นที่,อัตลักษณ์,ภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดXiangkhoang ประเทศไทย2545ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=161
160รายงานการวิจัยปัจจัยบางประการที่มีผลต่อการยอมรับสิ่งใหม่ๆ ในการดำเนินการเกษตรที่ราบสูงของชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง จังหวัดเชียงใหม่พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์จากการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีผลให้ชาวไทยภูเขาเผ่าม้งยอมรับนวกรรมนั้นมีหลายปัจจัย เช่น จากบุคคลของรัฐได้แก่เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร ซึ่งเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการยอมรับสูงสุด รองลงไปได้แก่เพื่อนบ้าน ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลในการยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ ได้แก่ การฟังข่าวสารทางวิทยุและหนังสือพิมพ์ การพบปะกับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรและความถี่หรือจำนวนครั้งที่ติดต่อกับเจ้าหน้าที่เกษตร
เมื่อมีการศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยทางเศรษฐกิจ และสังคม และปัจจัยอื่นๆ กับการยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ในการดำเนินการเกษตรของชาวไทยภูเขาเผ่าม้งพบว่า ปัจจัยทางสังคมที่มีความสัมพันธ์ในทางที่แตกต่างในการยอมรับ ได้แก่ จำนวนสมาชิกในครัวเรือน หากมีสมาชิกมาก จะมีการยอมรับต่อสิ่งปฏิบัติใหม่ดีกว่าและเร็วกว่า ส่วนปัจจัยเกี่ยวกับอายุ ระดับการศึกษาและจำนวนแรงงานในการทำการเกษตรนั้นไม่มีความแตกต่างในการยอมรับสิ่งใหม่เลย ปัจจัยทางเศรษฐกิจ พบว่าปัจจัยเกี่ยวกับทุนในการทำการเกษตรของชาวไทยภูเขามีความสัมพันธ์กับการยอมรับแตกต่างกัน ได้แก่ ทุนในการทำการเกษตรเครดิตหรือความสามารถในการกู้ยืม เงินและภาวะหนี้สินของเกษตรกร ส่วนปัจจัยที่ไม่ได้แสดงถึงความสัมพันธ์ของการยอมรับที่แตกต่างกันได้แก่ การถือครองที่ดิน ภาวะรายได้ต่อปีของเกษตรกรเป็นต้น (หน้า 2-3 )ม้ง,การเกษตร,การยอมรับนวัตกรรม,ปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคม,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2525ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=160
159รายงานการวิจัยการศึกษาผ้าลายเขียนเทียน ในเขตหมู่บ้านม้งดอยปุย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ทัศนาวลัย คำนวนสินรายงานชิ้นนี้อธิบายขั้นตอนวิธีการทำผ้าลายเขียนเทียน และพรรณนาเกี่ยวกับการจำแนกลวดลายผ้าลายเขียนเทียนของม้งบ้านม้งดอยปุย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้พรรณนาลงสู่รายละเอียดของลวดลายที่พบ ประเภท รูปแบบ ความหมาย อายุ และขนาดของลวดลาย ลักษณะการใช้งาน เส้นใยผ้าที่ใช้ สีและขนาดของผ้าม้ง,ผ้าลายเขียนเทียน,ลวดลาย,การเปลี่ยนแปลง,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=159
158บทความSocial Science Research in Thailand: The case of Muslim MinorityMudmarn, Seniผู้เขียนได้เปรียบเทียบงาน 3 งานที่เขียนโดยมุสลิมและชี้ให้เห็นว่ามีประเด็นปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ดังนี้ 1) ประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ไม่ตรงกันของจังหวัดทางภาคใต้ของไทย โดยนักประวัติศาสตร์ไทยอ้างว่าพื้นที่บริเวณนั้นเป็นของไทยมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 แต่นักประวัติศาสตร์มาเลย์กลับอ้างว่าพื้นที่นั้นเป็นเอกเทศ และขึ้นกับไทยเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้คนในพื้นที่พยายามต่อต้านอำนาจการครอบงำของไทย 2) ความสับสนระหว่างความเป็นชาติพันธุ์กับความเป็นชาติ แม้ว่ามุสลิมทางภาคใต้จะยอมรับว่าตนเป็น "คนไทย" แต่ในแง่ชาติพันธุ์แล้ว วิถีชีวิตของคนเหล่านี้ ทั้งทางด้านภาษา ประเพณีและพฤติกรรมทางสังคมยังมีความเป็นชนเผ่าอยู่มาก 3) ความหวาดกลัวว่าการเข้ามาของวัฒนธรรมไทยจะทำให้วัฒนธรรมมาเลย์หายไปในที่สุด จึงทำให้มุสลิมพยายามทำทุกวิถีทางให้วัฒนธรรมของตนยังดำรงอยู่ต่อไป 4) ปัญหาความยากจนของมุสลิมในจังหวัดภาคใต้ 5) งานเขียนทั้งสามชิ้นเสนอว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทางภาคใต้มี 5 ประการคือ ด้านวัฒนธรรม ภาษา ศาสนา การศึกษา และความยากจน รัฐบาลควรยอมรับข้อแตกต่างเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นปัญหาเหล่านี้ก็จะมีอยู่ต่อไปออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มาเลย์มุสลิม,ประวัติศาสตร์,การธำรงชาติพันธุ์,ภาษา,ความยากจน,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2537ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=158
157บทความThailand : A Mosaic of Ethnic Tensions Under Controlฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ, ชัยวัฒน์ สถาอานันท์บทความนี้ได้ศึกษาการธำรงชาติพันธุ์ในสังคมไทยด้วยบริบททางประวัติศาสตร์ โดยเน้นศึกษากลุ่มชาติพันธุ์จีน มุสลิม และชาวเขา (หน้า 22) และศึกษาปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ผ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์ (หน้า 26) จะเห็นได้ว่ามีการพยายามผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มาตั้งแต่อดีต และกลุ่มที่เห็นได้ชัดในเรื่องของการผสมกลมกลืนมากที่สุด คือ คนจีน ที่มีการเปลี่ยนอัตลักษณ์และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมให้เป็นไทย (หน้า 23) สำหรับมุสลิม ยังคงมีความเชื่อมั่นและมั่นคงในเรื่องของศาสนาอิสลามซึ่งส่งผลต่อวิถีชีวิต การผสมกลมกลืนจึงกระทำผ่านการศึกษา ส่วนชาวเขานั้นรัฐได้เปลี่ยนความเชื่อผ่านทั้งทางศาสนาและการศึกษา รวมทั้งให้โอกาสในการประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นวิธีที่รัฐพยายามแก้ปัญหาทางชาติพันธุ์ด้วยวิธีที่แตกต่างกันให้เหมาะสมในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ทุกวิธีก็คือ การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมซึ่งได้รวมความหลากหลายให้คงอยู่ร่วมกันได้ (หน้า 27)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ชาวเขา,ชาวจีน,การธำรงชาติพันธุ์,นโยบายผสมกลมกลืน,ชนกลุ่มน้อย,รัฐไทยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2528ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=157
156วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนศาสนาของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (สะกอ) ในหมู่บ้านภาคเหนือของประเทศไทยเพียงจิต เทียนย้อยงานนี้เป็นการศึกษากะเหรี่ยงที่หมู่บ้านแม่โต๋ หมู่ที่ 2 ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (สะกอ) มีการนับถือศาสนาที่ต่างกัน มีทั้งนับถือศาสนาพุทธควบคู่กับการถือผี และนับถือศาสนาคริสต์ ปัจจัยที่ทำให้ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธคือปัจจัยทางด้านการเมือง ปัจจัยทางด้านสังคม - จิตใจ ในขณะที่ปัจจัยที่ทำให้ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ คือ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยทางด้านสังคม - จิตใจ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดภายหลังการเปลี่ยนศาสนาพบว่า การเปลี่ยนศาสนามีผลต่อการเปลี่ยนทางด้านความเชื่อ ประเพณีปฏิบัติ และวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง แต่เอกลักษณ์ที่ยังคงอยู่ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือ ความเป็นคนกะเหรี่ยงที่เรียกตนเองว่า "ปาเกอะญอ" ที่มีบรรพบุรุษร่วมกัน พวกเขาจะมีความรักความสามัคคีช่วยเหลือกันและกันปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การเปลี่ยนศาสนา,ประเพณี,สะเมิง,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=156
155วิทยานิพนธ์การสมรสภายในเครือญาติของชาวไทยมุสลิม อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี : การศึกษาวิจัยทางมานุษยวิทยากายภาพนพรัตน์ จันทร์ดีวิถีชีวิตของชุมชนบ้านท่าอิฐ มีปัจจัยหลายประการที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการสมรสในเครือญาติขึ้น ตั้งแต่สภาพภูมิประเทศที่อยู่อย่างอิสระ เป็นชุมชนมุสลิมในเขตเมืองหลวงและปริมณฑลซึ่งไม่ได้มีประชากรมากดังเช่นทางกลุ่มจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงไม่มีคู่สมรสให้เลือกมากนักนอกจากคนในชุมชนเอง อีกทั้งวัฒนธรรมอิสลามยังช่วยส่งเสริมให้ปลีกตัวออกจากสังคมรอบข้าง และให้แต่งงานกันเองในหมู่มุสลิมด้วนกัน และเมื่อชายมีภรรยาไดัถึง 4 คน จึงก่อให้เกิดครอบครัวขยายสืบทอดเชื้อสายกันออกไป เมื่อสมาชิกเพิ่มมากขึ้นต่างก็แยกย้ายไปมีครอบครัวของตน และเมื่อการสมรสเป็นไปในลักษณะสุ่มโอกาสที่สมาชิกบางคนจะสมรสกันเองโดยมีบรรพบุรุษร่วมกันจึงเกิดขึ้นได้ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าชุมชนไทยมุสลิมบ้านท่าอิฐยังคงธำรงชาติพันธุ์ของตนเองไว้ได้อย่างเคร่งครัด ทั้งเรื่องศาสนา ความเชื่อ วัฒนธรรม ตลอดจนการดำเนินชีวิตทุกอย่างให้ดำรงอยู่ท่ามกลางสังคมเมืองได้เป็นอย่างดี อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงบ้างในบางส่วนแต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย และจากปัจจัยเหล่านี้เองจึงส่งผลให้เกิดการสมรสภายในหมู่เครือญาติและวงค์วานเดียวกันขึ้น และมีแนวโน้มที่จะเกิดมากขึ้นต่อไปในอนาคต (หน้า 116,165-167)ไทยมุสลิม,มุสลิม,การสมรส,เครือญาติ,การวิเคราะห์เชิงกายภาพ,นนทบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=155
154วิทยานิพนธ์คุณภาพชีวิตของนักเรียนไทยมุสลิมในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม : กรณีศึกษาโรงเรียนมูลนิธิอาซิซสถาน อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานีศศิรัศมิ์ วชิรโชติงานชิ้นนี้ศึกษาการจัดหลักสูตรของโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนและพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ประเมินผลการจัดการหลักสูตรอิสลามศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย พุทธศักราช 2535 ของโรงเรียนในระดับปานกลาง รองลงมาอยู่ในระดับต่ำและสูงตามลำดับ ประเมินผลด้านคุณภาพชีวิตของนักเรียนทั้ง 10 ด้าน พบว่าส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตในระดับปานกลาง รองลงมาอยู่ในระดับสูงและต่ำตามลำดับ ด้านปัจจัยที่สัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของนักเรียนพบว่า เพศ ระดับการศึกษา ระดับคะแนนเรียนเฉลี่ยและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความพร้อมในการเลี้ยงดู ได้แก่ ระดับการศึกษาของผู้ปกครอง สถานที่ประกอบอาชีพของผู้ปกครอง และฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ปกครองนั้น ไม่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของนักเรียน แต่สำหรับการจัดหลักสูตรอิสลามศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย พ.ศ.2525 ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ การจัดการด้านวิชาการ การจัดระบบหรือสิ่งที่เอื้อต่อการเรียนการสอน และการจัดการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับชุมชนนั้นมีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของนักเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .000 ปัญหาในการนำหลักสูตรดังกล่าวมาใช้ของโรงเรียนมูลนิธิอาซิซสถาน มี 3 ด้าน คือ ปัญหาที่เกิดกับนักเรียน ได้แก่ ความยากจนและความเครียดที่เกิดจากการจัดตารางเรียนที่หนักเกินไป ปัญหาที่เกิดกับครูอาจารย์ ได้แก่ ไม่มีความชำนาญในการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ โรงเรียนขาดแคลนครูในสาขาดังกล่าว และปัญหาด้านอาคารสถานที่ซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดและขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนการสอนที่หาซื้อไม่ได้ตามท้องตลาด โดยภาพรวมแล้วกล่าวได้ว่าคุณภาพชีวิตของนักเรียนไทยมุสลิมในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามยังไม่มีคุณภาพดีเท่าที่ควรนัก เป็นเพียงการมีชีวิตอยู่ไปตามอัตตภาพของตน ซึ่งถ้าอยู่ในสังคมของเขาที่ไม่ฟุ่มเฟือยไม่สะสมและรู้จักพอเพียงตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลามแล้ว เด็กนักเรียนก็จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เมื่อเทียบกับสังคมภายนอกและด้านความเป็นพลเมืองไทยที่เท่าเทียมกัน พวกเขายังขาดการสนับสนุนด้านอุปกรณ์การเรียนการสอนและสิ่งต่าง ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา ที่จะไปสู่การแข่งขันหรือเทียบกับสังคมอื่น ๆ อีกมาก (หน้า 108-109)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,การเปลี่ยนแปลง,โรงเรียนปอเนาะ,โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม,หลักสูตรอิสลามศึกษา,ปัตตานีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=154
153บทความกะเหรี่ยง : ชีวิต จารีตประเพณี สิ่งแวดล้อมจันทบูรณ์ สุทธิกะเหรี่ยงเป็นเผ่าชนที่อาศัยอยู่กับป่ามาแต่ดั้งเดิม พวกเขามีความสัมพันธ์กับป่าและมีความสัมพันธ์กับป่าอย่างลึกซึ้งแนบแน่น หลักฐานดังกล่าวปรากฎให้เห็นในพิธีกรรมตามจารีตคติความเชื่อ ประเพณี การสร้างบ้าน ป่าชุมชน และการทำกิน การเกษตรแบบไร่หมุนเวียน (Cyclical Bush Fallow Cultivation) ของพวกเขาไม่ได้ทำให้ป่าไม้และความหลากทางชีวภาพสูญเสียไปสิ้นเชิงแต่เป็นการพักตัวชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น พวกเขามีส่วนร่วมในการการจัดการทรัพยากรโดยชุมชนและครัวเรือน ภายใต้กฎ ระเบียบ ข้อห้าม ข้อนิยมและจารีตประเพณีปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ประเพณี,สิ่งแวดล้อม,อุทัยธานีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดอุทัยธานี ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=153
152ปริญญานิพนธ์พิธีกรรมการเลี้ยงผีบรรพบุรุษของชาวผู้ไทยตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหารวิญญู ผลสวัสดิ์งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาองค์ประกอบและขั้นตอนของพิธีกรรมการเลี้ยงผีบรรพบุรุษของผู้ไทย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร เก็บข้อมูลโดยการอาศัยวิธีการสังเกตและการสัมภาษณ์ผู้รู้ เจ้าจ้ำ เทียม และผู้ไทยที่มาร่วมพิธีกรรมประจำปีจำนวน 63 คน ผลการศึกษาปรากฎว่า องค์ประกอบของพิธีกรรมการเลี้ยงผีบรรพบุรุษประจำปีมีบุคคลที่เข้าร่มพิธีกรรม ซึ่งประกอบด้วยเจ้าจ้ำ เทียม และผู้ไทยทั้ง ต.คำอะชี เจ้าจ้ำมีบทบาทสำคัญที่สุดในการประกอบพิธีกรรมเพราะเป็นประธานและเป็นสื่อกลางติดต่อระหว่างผู้ไทยกับผีบรรพบุรุษ สิ่งของที่ใช้จัดเลี้ยงประกอบด้วยเครื่องบูชา เครื่องสังเวย และภาชนะบรรจุเครื่องบูชา เครื่องสังเวยที่ผู้ไทยจัดหามาด้วยเงินบริจาคจะนำไปประกอบพิธีจัดเลี้ยงทั้งที่ศาลเจ้าปู่ดานตึง และที่บ้านเจ้าจ้ำ ในวันที่ 13 เมษายนของทุกปี ผู้ไทยมีความสัมพันธ์กับพิธีกรรมการเลี้ยงผีบรรพบุรุษอยู่ 3 พิธีกรรม คือ การเลี้ยงผีบรรพบุรุษประจำปี การบะ (การบน) และการคอบ (การแก้บน) ชาวบ้านยังมีความเชื่อว่าผีบรรพบุรุษ เรียกว่าผีเจ้าปู่ที่พวกตนได้อันเชิญมาจากเมืองวัง เป็นวิญญาณของเจ้านายชั้นสูงระดับกษัตริย์ของผู้ไทยในอดีต เจ้าปู่จะยังคอยคุ้มครองและยังบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล เพื่อความอุดมสมบูรณ์ทางเกษตรกรรม จึงมีการจัดพิธีกรรมการเลี้ยงผีบรรพบุรุษเป็นประจำทุกปี หากผู้ใดไม่เคารพบูชาหรือลบหลู่ เจ้าปู่จะลงโทษให้ผู้นั้นเจ็บป่วยหรือตายได้ คติความเชื่อเหล่านี้ผู้ไทยตำบลคำชะอียังคงยึดถือและปฏิบัติกันอยู่เป็นประจำจนถึงปัจจุบันผู้ไท,ความเชื่อ,พิธีกรรม,การเลี้ยงผีบรรพบุรุษ,มุกดาหารตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=152
151วิทยานิพนธ์วิถีการดำเนินชีวิตของชาวชนบทในกระแสโลกาภิวัฒน์ : ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนไทพวน ตำบลหินปัก อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรีเกรียงศักดิ์ อ่อนละมัยงานวิจัยชิ้นนี้มีเนื้อหาครอบคลุมในหลายประเด็น อธิบายความเป็นมา วิถีการดำเนินชีวิตในด้านต่าง ๆ เช่น ระบบเครือญาติ ความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม การละเล่น การแต่งกาย การสร้างบ้าน อาชีพ ฯลฯ ของพวนที่ดำรงอยู่ภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์ และอธิบายปัจจัยชี้วัดการยอมรับระยะความสัมพันธ์ทางสังคมของพวนกับคนต่างชาติ ซึ่งได้แก่ การเข้ามาอาศัยในหมู่บ้าน การมาปลูกบ้านใกล้ ๆ การคบหาเป็นเพื่อน การเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ การเป็นลูกเขยลูกสะใภ้ โดยแบ่งตามเชื้อชาติและศาสนา ด้วย (หน้า 42 - 43)พวน ไทยพวน ไทพวน,วิถีชีวิต,ชุมชน,โลกาภิวัตน์,วัฒนธรรม,ลพบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดลพบุรี ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=151
150หนังสือสารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกะยันสมทรง บุรุษพัฒน์ และ สรินยา คำเมืองเนื้อหาครอบคลุมหลายประเด็น อธิบาย ลักษณะทางชาติพันธุ์, ความเป็นมา, วิถีชีวิตวัฒนธรรม, อาชีพความเป็นอยู่, โครงสร้างทางสังคม, เอกลักษณ์ทางวัฒรธรรมด้านต่าง ๆ ของกะยันทั้งในประเทศพม่าและในประเทศไทย ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนคะยัน กะจ๊าง กะเหรี่ยงคอยาว ปาดอง ,วิถีชีวิต,วัฒนธรรม,ภาษา,พม่า,ไทยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=150
149ปริญญานิพนธ์การนับถือผีของชาวไทยดำบ้านนาป่าหนาด ต.เขาแก้ว อ.เชียงคาน จังหวัดเลยเพ็ญนิภา อินทรตระกูลการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาคติความเชื่อการนับถือผีของไทยดำ และความสัมพันธ์กับโครงสร้างทางสังคมในด้านต่าง ๆ ซึ่งไทยดำนี้มีคติความเชื่อเรื่องการนับถืออย่างแน่นแฟ้นและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ที่ถึงแม้ว่าจะมีการเข้ามาของวัฒนธรรมจากภายนอกก็เกิดผลกระทบกับความเชื่อดั้งเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งลักษณะของความเชื่อนั้นได้ครอบคลุมวิถีการดำเนินชีวิตโดยทั่วไปของไทยดำ ทั้งในด้านครอบครัวและเครือญาติ, ศาสนาพิธีกรรม, เศรษฐกิจ, การปกครอง, การศึกษาและสุขอนามัยลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,การนับถือผี,เลยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเลย ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=149
148วิทยานิพนธ์ภูมิปัญญาชาวบ้านและกระบวนการถ่ายทอด : การศึกษาพิธีเสนเรือนของชาวลาวโซ่ง จังหวัดพิษณุโลกสุกัญญา จันทะสูนเพื่อศึกษาภูมิปัญญาชาวบ้านและกระบวนการถ่ายทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นลาวโซ่ง ในด้านองค์ประกอบทางวัฒนธรรมโดยศึกษาจากพิธีกรรมต่าง ๆ ของลาวโซ่งการศึกษาครั้งนี้ใช้ระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพ โดยที่ผู้วิจัยเขาไปอาศัยอยู่ในชุมชนลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,พิธีเสนเรือน,พิษณุโลกตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดพิษณุโลก ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=148
147วิทยานิพนธ์ความสัมพันธ์ระหว่างเพลงกล่อมเด็กกับโลกทัศน์ของลาวพวน : กรณีศึกษา หมู่บ้านวัดกุฎีทอง จังหวัดสิงห์บุรีอุบลทิพย์ จันทรเนตรวิทยานิพนธ์นี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาโลกทัศน์ของชนชาติลาวพวนในหมู่บ้านวัดกุฎีทอง จังหวัดสิงห์บุรี จากการศึกษาพบว่า ความหมายในคำไทยและคำลาวในเพลงกล่อมเด็กสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกทัศน์ในด้านต่างๆ ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้จากการเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนของคำร้องในเพลง จากคำร้องในเพลงกล่อมเด็กพบว่า คำที่คนลาวพวนจำเป็นต้องใช้เพื่อสื่อการแสดงออกในวิถีชีวิตของคนไทยเป็นคำไทยส่วนใหญ่และปรากฏในบริบทที่อ้างสถานที่ การขอร้องขอห้าม และกิจวัตรประจำวัน ฯลฯ เมื่อเวลาผ่านไปคำไทยได้เข้ามาแทรกคำลาวและค่อยๆ มีบริบทที่เปลี่ยนไป คือมีคำไทยเข้ามามากขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 ลักษณะได้แก่ 1. ระหว่างหนุ่มสาวในบริบทของความรัก 2. ระหว่างสมาชิกในครอบครัวในบริบทของการเลี้ยงดูบุตร 3. ระหว่างสมาชิกในชุมชนในบริบทของความสัมพันธ์ประจำวัน 4. ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในบริบทการใช้ทรัพยากรพวน ไทยพวน ไทพวน,โลกทัศน์,เพลงกล่อมเด็ก,สิงห์บุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสิงห์บุรี ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=147
146หนังสือThe Study of Puan Community, Pho Si Village, Tambon Bang Pla Ma, Suphan BuriSotesiri, Rojพวนในหมู่บ้านโพธิ์ศรี ตำบลบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรีนั้นต่างจากพวนในเมืองพวนหรือเมืองเชียงของ ประเทศลาวซึ่งเป็นที่ดอน จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นพื้นที่ลุ่ม ทำให้พวนที่หมู่บ้านนี้ไม่สามารถจะรักษากิจกรรมที่มีมาแต่ปู่ย่าตายาย เช่น การทอผ้า ไว้ได้ แต่การทอผ้าก็ยังมีบทบาทสำคัญทางจิตใจของพวน และเมื่อต้องอยู่อย่างกระจัดกระจายในที่ต่าง ๆ ทำให้พวนต้องพยายามดิ้นรนด้วยการทำงานอย่างหนัก เศรษฐกิจเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตของพวน ความมั่งคั่งร่ำรวยกลายมาเป็นสิ่งสำคัญของพวน ฐานะทางการเงินกลายมาเป็นตัวแบ่งชนชั้นทางสังคมซึ่งต่างจากในอดีตที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่เป็นตัวแบ่ง และความทันสมัยที่เข้ามาในหมู่บ้านมากขึ้น ทำให้คนในหมู่บ้านเริ่มอยู่กันแบบตัวใครตัวมันมากขึ้น (หน้า 8-10)พวน,เศรษฐกิจ,สังคม,การเปลี่ยนแปลง,สุพรรณบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสุพรรณบุรี ประเทศไทย2525ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=146
145บทความThai Muslim adolescents' self, sexuality, and autonomyAnderson, Wandi Wibulswasdi and Anderson, Douglas D.จากผลการศึกษาพบว่าการมองตัวเองของวัยรุ่นทั้งชายและหญิงในเกาะนิภาไม่มีความแตกต่างกันมากนัก วัยรุ่นทั้งชายและหญิงในเกาะนิภาต้องการที่จะมีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่านี้โดยเฉพาะผู้หญิง การมองตนเองของวัยรุ่นในเกาะนิภาขึ้นอยู่กับช่วงอายุและลำดับอาวุโส (birth order) ด้วย ผู้ศึกษาได้แบ่งกลุ่มตัวอย่างตามช่วงอายุออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 10.0-13.9, 14.0-16.9, 17.0-19.9, 20.0-22.9 โดยพบว่าวัยรุ่นที่เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์คือช่วงอายุ 14.0-16.9 คิดว่าตนเองเหนือกว่าวัยรุ่นอีก 3 กลุ่มอายุ การเป็นลูกคนโต คนกลาง หรือคนเล็กก็มีผลต่อการมองตนเองของวัยรุ่น โดยพบว่าตนเองของลูกชายคนกลางจะมีแนวโน้มไปในเชิงลบมากที่สุด ลูกสาวคนโตและลูกชายคนเล็กจะมีแนวโน้มในลักษณะนี้น้อยที่สุด เหตุที่ผลออกมาในลักษณะนี้อาจเป็นเพราะความคาดหวังทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่าความคาดหวังทางสังคมที่แตกต่างกันซึ่งส่งผลให้เกิดการอบรมสั่งสอนที่แตกต่างกัน สามารถทำให้ลูกที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกันมีบุคลิกที่แตกต่างกันได้ ในด้านความเป็นผู้ใหญ่ พบว่าเด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่เร็ว เด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่ตามเกณฑ์ และเด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่ช้านั้นมีตนเองที่แตกต่างกันก็เฉพาะในช่วงเวลาปัจจุบันเท่านั้น ไม่ได้มีผลต่อเนื่องไปถึงตนเองในอนาคต วัยรุ่นที่โตเป็นผู้ใหญ่เร็วก็จะมีสิ่งที่เรียกว่า "พฤติกรรมวัยรุ่น" เร็วกว่าเด็กอีกสองกลุ่ม จากการวิเคราะห์จะเห็นว่าโครงสร้างตัวตนนั้น ได้รับผลกระทบจากองค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดคือ เพศ อายุ โครงสร้างครอบครัว พัฒนาการทางร่างกาย และภาพความเป็นผู้ใหญ่ที่วัยรุ่นแต่ละคนมองตนเอง (หน้า 382-390) ผลการวิจัยเรื่องการมองตนเอง (self-perception) ของวันรุ่นในเกาะนิภาเป็นหลักฐานว่าพัฒนาการของมนุษย์เป็นกระบวนการ ปฎิสัมพันธ์ (interplay) ที่ซับซ้อนขององค์ประกอบด้านร่างกาย จิตใจ และสังคมวัฒนธรรม และยังแสดงถึงพลวัตของการสร้างและการเปลี่ยนแปลงการมองตนเองของวัยรุ่นในเกาะนิภาอีกด้วย การสร้างภาพตนเองทั้งในแง่ร่างกายและจิตใจในเชิงทฤษฎี ทำให้เราเข้าใจและเห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างภาพตนเองกับปัจจัยอื่น ๆ ได้ชัดเจนขึ้น ลักษณะเพศของวัยรุ่นถูกแสดงออกทั้งทางร่างกาย สังคม และสัญลักษณ์ และยังแสดงให้เห็นว่าแม้ในวัฒนธรรมไทยมุสลิม ผู้ชายจะได้เปรียบในเรื่องเพศมากกว่าผู้หญิง แต่ผู้หญิงก็ไม่รู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้ชาย ในการวิจัยก่อนหน้านี้ยังแสดงให้เห็นด้วยว่าผู้หญิงก็เป็นเพศที่ชอบการแข่งขันพอ ๆ กับผู้ชาย วัยรุ่นไทยมุสลิมชอบการแข่งขันมากกว่าวัยรุ่นที่นับถือพุทธหรือวัยรุ่นไทยเชื้อสายจีน นอกจากนี้ ผู้หญิงในเกาะนิภามีอำนาจในการตัดสินใจอย่างมากทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และเป็นผู้ควบคุมการเงินภายในบ้าน มีความเป็นผู้นำสูง ทั้งชายและหญิงในเกาะนี้ต้องการตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเอง ดังนั้น อำนาจในการตัดสินใจเรื่องคู่ครองจึงเป็นของวัยรุ่นหนุ่มสาวมากขึ้นเป็นลำดับ (หน้า 391-392)มุสลิม,วัยรุ่น,การมองตนเอง,กระบี่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกระบี่ ประเทศไทย2529ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=145
144บทความChanging values in market trading: A Thai Muslim case studyPrachuabmoh, Chavivun (ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ)ค่านิยมทางเศรษฐกิจของชาวพาวิลเลี่ยนกำลังจะเปลี่ยนไป โดยที่มองการค้าว่าเป็นอาชีพที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจ และผู้ชายเริ่มให้ความสนใจการค้ามากขึ้นกว่าเดิมออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายูมุสลิม,วัฒนธรรมทางเศรษฐกิจ,การเปลี่ยนแปลง,ภาคใต้ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกระบี่ ประเทศไทย2528ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=144
143บทความRacialization and Citizenship in Thai Forest PoliticsVandergeest, Peterบทความชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะประยุกต์มโนทัศน์การสร้างความเป็นชนชาติ (racialization) ในการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์กับการเมืองเรื่องทรัพยากรป่าในประเทศไทย โดยอาศัยข้อมูลภาคสนามชุมชนมุสลิมในเขตป่าต้นน้ำ จังหวัดสตูล ประกอบกับข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง บทความชี้ว่า การสร้างความเป็นชนชาติต่างจากความเป็นชาติพันธุ์ในแง่ที่เป็นกระบวนการที่ความแตกต่างทางชาติพันธุ์ได้ถูกทำให้ดูเหมือนว่าเป็นธรรมชาติและมีแก่นสารหรือสารัตถะ ขณะเดียวกันก็มีลักษณะปิด เป็นเอกเทศและถูกโยงเข้ากับความเป็นชาติ โดยขณะที่กระบวนการสร้างความเป็นชนชาติในประเทศอาณานิคมตะวันตกในทวีปเอเชียมีลักษณะเป็นการผลิตหรือสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่แตกต่างหลากหลาย และได้รับการยอมรับทั้งโดยพฤตินัยและนิตินัย กระบวนการสร้างความเป็นชนชาติในประเทศไทย ซึ่งไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศตะวันตกอย่างเป็นทางการ เป็นการผลิตหรือสร้างความเป็นชนชาติไทยเพียงหนึ่งเดียว จากนั้นจึงดำเนินการผนวกรวมหรือกีดกันชนชาติอื่น ๆ เข้าหรือออกจากชนชาติไทยดังกล่าว ทั้งนี้ การสร้างความเป็นชนชาติในประเทศไทยเกิดขึ้นควบคู่กับการสร้างหรือผลิตพื้นที่ชนิดต่าง ๆ โดยกลุ่มคนที่ถูกผนวกหรือนับเป็นคนไทยนอกจากประกอบด้วยคนในเมือง ยังประกอบด้วยคนชนบทซึ่งอาศัยในที่ราบลุ่มและมีอาชีพทำนา ส่วนกลุ่มคนที่ถูกกีดกันหรือไม่ถูกนับเป็นคนไทยได้แก่ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ เช่น กะเหรี่ยง ม้ง ฯลฯ ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าพื้นที่สูง ปลูกข้าวไร่และเก็บของป่าล่าสัตว์ จึงไม่เพียงแต่ส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้อยู่รอบนอกขบวนการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัยและอยู่ชายขอบของวัฒนธรรมแห่งชาติหรือวัฒนธรรมไทย หากยังส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ถูกคิดและปฏิบัติในทางลบมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศสมัยที่คอมมิวนิสต์ขยายตัวในเขตป่าในประเทศไทย การเป็นแหล่งเพาะปลูกฝิ่นหลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายห้ามปลูกและเสพฝิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการตั้งถิ่นฐานและระบบการเพาะปลูกของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อระบบนิเวศต้นน้ำซึ่งมีความเปราะบางสูง ฉะนั้น เมื่อประกอบกับความที่ชาวเขาเหล่านี้ไม่ใช่คนไทย จึงชอบธรรมที่รัฐและคนไทยพื้นราบบางกลุ่มจะขับไล่กลุ่มชาติพันธุ์ที่สูงออกจากป่าที่พวกเขาอาศัยและทำกินมากว่าศตวรรษ เป็นการกีดกันสิทธิในการเข้าถึงและใช้ทรัพยากรท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ที่สูงพร้อม ๆ กับการกีดกันพวกเขาออกจากความเป็นคนไทย ในการเรียกร้องสิทธิในที่อยู่อาศัยและทำกินในเขตป่าของกลุ่มชาติพันธุ์ที่สูง นอกจากอาศัยคุณสมบัติของระบบการเพาะปลูกเช่นไร่หมุนเวียนว่าไม่ได้ส่งผลกระทบในแง่ลบ หากแต่เกื้อกูลต่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศในเขตป่า ขบวนการป่าชุมชนอาศัยการอ้างสิทธิการเป็นชนชาติไทย หรือประชากรไทยของกลุ่มชาติพันธุ์ที่สูงในการเข้าถึงสิทธิในการดูแลและใช้ประโยชน์ทรัพยากรท้องถิ่น เพราะร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชนฉบับประชาชนไม่ได้ระบุอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ อีกทั้ง ยังไม่ได้กีดกันกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่คนพื้นเมืองดั้งเดิมออกจากการเข้าถึงสิทธิดังกล่าว ฉะนั้นขบวนการป่าชุมชนจึงไม่ใช่ขบวนการคนพื้นเมือง หากแต่เป็นขบวนการของประชากรไทยที่เรียกร้องสิทธิพลเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 เพื่อตอบโต้กับวาทกรรมชาติพันธุ์ชาตินิยมซึ่งนิยามว่า ชาวเขาไม่ใช่คนไทย เป็นการให้ความหมายชาติไทยใหม่ในฐานะชุมชนพหุชาติพันธุ์ ซึ่งผนวกรวมกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มน้อยในที่สูง ซึ่งควรมีสิทธิพลเมืองเหมือนกับคนไทยอื่นๆ สถานการณ์เช่นนี้แตกต่างจากที่เกิดขึ้นในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ซึ่งอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์เป็นหัวใจของข้อถกเถียงประเด็นสิทธิการจัดการทรัพยากรของท้องถิ่น อย่างไรก็ดี ขบวนการป่าชุมชนให้ความสำคัญเฉพาะปัญหากรรมสิทธิ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเขาในภาคเหนือ และภาคตะวันตก ทว่าละเลยปัญหากรรมสิทธิ์ของกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมในเขตป่าในภาคใต้ซึ่งมีสภาพ เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมแตกต่างออกไป กล่าวคือ ชุมชนมุสลิมเหล่านี้อยู่ในระบบเศรษฐกิจกึ่งยังชีพกึ่งตลาด โดยนอกจากปลูกและแปรรูปยางพาราเพื่อขาย มุสลิมภาคใต้ยังเก็บหาของป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเพื่อยังชีพและขาย ฉะนั้น การที่กฎหมายป่าชุมชนจำกัดการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์จากป่าชุมชนอย่างเคร่งครัด จึงไม่ช่วยคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับหน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซึ่งดำรงอยู่ก่อนหน้า ประการสำคัญ ขณะที่พื้นที่ป่าภาคเหนือส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ระบอบกรรมสิทธิ์ร่วม และส่งผลให้ขบวนการป่าชุมชนไม่สนับสนุนการออกโฉนดที่ดินรายปัจเจก พื้นที่ป่าภาคใต้ส่วนใหญ่ถูกจัดสรรแจกจ่ายแก่ครัวเรือนต่างๆ อย่างไม่เป็นทางการ พิจารณาในแง่นี้ การออกโฉนดที่ดินรายปัจเจกพร้อมกับกฎเกณฑ์การใช้ประโยชน์จากป่าที่เหมาะสม จึงอาจเป็นมาตรการที่เหมาะกว่าสำหรับกรณีภาคใต้ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,สิทธิ,ทรัพยากรท้องถิ่น,ความเป็นพลเมือง,สตูลตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสตูล ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=143
142วิทยานิพนธ์คุณภาพชีวิตและการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติของชาวกะเหรี่ยง ในจังหวัดกาญจนบุรีและราชบุรี ภายใต้โครงการของกรมประชาสงเคราะห์นงกาญจน์ บูรณรักษ์งานวิจัยนี้ เป็นการศึกษาเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติกับระดับคุณภาพชีวิตของกะเหรี่ยงในจังหวัดกาญจนบุรีและราชบุรี ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับระดับคุณภาพชีวิตของกะเหรี่ยง รวมทั้งปัญหาและความต้องการในด้านการประกอบอาชีพการเกษตรและด้านสังคม โดยใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 160 ราย ผลการวิจัยพบว่า การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติมีความสัมพันธ์กับระดับคุณภาพชีวิตของกะเหรี่ยง ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ ได้แก่ จำนวนที่ดินทำกิน ระดับการศึกษา ความถี่ในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล และความถี่ในการรับข่าวสารด้านการเกษตรและการดำรงชีพ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับระดับคุณภาพชีวิต คือ จำนวนที่ดินทำกินและรายได้เฉลี่ยต่อปี ปัญหาและความต้องการที่สอดคล้องกัน คือ ปัญหาผลผลิตออกสู่ตลาดไม่ได้ เพราะเส้นทางคมนาคมไม่ดี และมีความต้องการปรับปรุงเส้นทางลำลองเข้าหมู่บ้าน ตลอดจนสาธารณูปโภค เช่น สะพาน บ่อน้ำ เป็นต้น แผนงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ควรมีแผนแม่บทที่แน่นอนในด้านการปฏิบัติงาน ก็ควรลดรูปจาหน่วยเคลื่อนที่เป็นเขตพื้นที่ พร้อมทั้งให้กะเหรี่ยงเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาด้วยโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),คุณภาพชีวิต,การมีส่วนร่วม,กาญจนบุรี,ราชบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=142
141รายงานการวิจัยคุณลักษณะทางสังคมของชาวไทยมุสลิม และการสนองตอบต่อรัฐบาลสุรพงษ์ โสธนะเสถียรรากฐานปัญหาที่สำคัญของไทยมุสลิมชายแดนภาคใต้ คือ ความหวาดหวั่นในการสูญเสียความบริสุทธิ์ของศาสนา อันเนื่องมาจากปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนมุสลิม ซึ่งทำให้เกิดกระบวนการในการป้องกันตนเอง เพื่อพิทักษ์ความบริสุทธิ์ของศาสนา ความศรัทธาและความเคร่งครัดต่อวิถีชีวิตในแบบวัฒนธรรมอิสลาม ดังนั้น การยอมรับโครงการพัฒนาต่าง ๆ ต้องไม่กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติในแนวทางของศาสนาอิสลามจนทำลายความเป็นมุสลิมที่ดี ในเรื่องการรับและการถ่ายทอดค่านิยมที่ทันสมัย หรือนโยบายของรัฐบาล จะสะดวกมากขึ้นเมื่อไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม แต่ถึงแม้ในบางเรื่องจะขัดต่อหลักการศาสนา ไทยมุสลิมก็ยังคงยอมรับหากอยู่ภายใต้การอธิบายด้วยเหตุผล ในเรื่องของกระบวนการถ่ายทอดคุณลักษณะสังคมที่ทันสมัยนั้น แสดงให้เห็นถึงการเปิดตัวเองและยอมรับความคิดใหม่ๆ จากโลกภายนอก ดังนั้น การตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลของมุสลิมจึงไม่มีอุปสรรคในการดำเนินการ เนื่องจากฝ่ายสมาชิกสภาตำบลพร้อมที่จะรับนโยบายไปปฏิบัติในทุกเรื่อง หากไม่ขัดต่อศาสนาออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มาเลย์,ลักษณะสังคม,การเมือง,มุสลิม,ภาคใต้ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=141
140วิทยานิพนธ์การแพทย์พื้นบ้านของไทยลื้อ : กรณีศึกษา บ้านท่าฟ้าเหนือ ตำบลสระ อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยาภรตี ถูกจิตรการแพทย์พื้นบ้านไทยลื้อเป็นการแพทย์แบบประสบการณ์ คนลื้อมีความเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ เป็นต้น ปัจจุบันความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น โดยมากเป็นความเจ็บป่วยที่เกิดจากการทำงาน แบบแผนการดูแลสุขภาพของไทยลื้อคือการดูแลกันภายในครอบครัว เช่น นอนพัก หยุดทำงาน หาซื้อยามากินตามอาการเจ็บป่วย ถ้าอาการป่วยรุนแรงขึ้นจะขอคำปรึกษาหรือรับการรักษาจากหมอพื้นบ้าน ซึ่งมีวิธีการรักษาคือ การเป่า การใช้ยาสมุนไพรและพิธีกรรม หมอที่ใช้วิธีการรักษาแบบเป่าจะเรียกว่า "หมอเป่า" ซึ่งแบ่งตามความชำนาญในการรักษาโรค หมอที่ใช้ยาสมุนไพรในการรักษาจะเรียกว่า "หมอยาเมือง" ส่วนผู้ที่ทำพิธีกรรมต่างๆ จะเรียกว่า "ข้าวจ้ำ" และ "อาจารย์" ปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงอยู่ของแพทย์พื้นบ้านคือความสะดวกในการไปรับการรักษา ความพึงพอใจต่อผลการรักษา ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาถูก ความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์และมีระบบวัฒนธรรมเดียวกัน การย้ายถิ่นฐานค่อนข้างน้อย เป็นผลให้สามารถดำรงเอกลักษณ์ของไทยลื้อไว้ได้ อย่างไรก็ตาม อนาคตการแพทย์พื้นบ้านไทยลื้ออาจจะสูญหายได้ถ้าขาดการสืบทอดลื้อ,การแพทย์พื้นบ้าน,พะเยาตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=140
139รายงานการวิจัยการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม ในชุมชนบ้านเยอ บ้านไทยดำ และบ้านไทยลาว : การศึกษาเปรียบเทียบเฉพาะกรณีสมศักดิ์ ศรีสันติสุข, สุวิทย์ ธีรศาศวัต, ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์, ดุษฎี กาฬอ่อนศรีการศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบประวัติศาสตร์ของชุมชน ลักษณะปัจจัย ละผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรมในชุมชนบ้านเยอ ไทยดำ และไทยลาว โดยใช้วิธีการวิจัยภาคสนามเก็บข้อมูลเป็นเวลา 1 ปี โดยใช้เทคนิควิธีการวิจัยทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ผลการวิจัยพบว่า การตั้งถิ่นฐานของทั้งสามชุมชนมีความคล้ายกัน แต่ประวัติศาสตร์ความเป็นมาและอายุแต่ละชุมชนนั้นแตกต่างกัน ลักษณะทางเศรษฐกิจทั้งสามชุมชนคล้ายกันในด้านอาชีพ การแลกเปลี่ยนแรงงาน และวิถีทางเศรษฐกิจซึ่งเปลี่ยนแปลงจากระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพมาเป็นระบบเศรษฐกิจแบบเงินสด ทางการเมือง รัฐเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชุมชน และชาวบ้านมีทัศนคติที่ดีต่อรัฐ ลักษณะเครือญาติและครอบครัวแต่ละชุมชนเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ และแตกต่างกันในเรื่องแบบแผนครอบครัว บทบาทของพ่อแม่ การแต่งงานและการแบ่งมรดก ซึ่งในบ้านไทเยอและบ้านไทยลาวนั้นมีความห่างเหินกันมากขึ้น โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ แต่บ้านไทยดำยังแน่นแฟ้นกันเหมือนในอดีต การศึกษานิยมเรียนต่อกันมากขึ้นกว่าในอดีต บทบาทของครูมีมากขึ้นกว่าในอดีต การสาธารณสุขนิยมการแพทย์แผนตะวันตกมากขึ้น ระบบความเชื่อและประเพณี เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ และแตกต่างไปตามแต่ละชุมชน กล่าวโดยสรุป อัตราการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในแต่ละชุมชนมีมากกว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมตามลำดับ โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือปัจจัยทางนิเวศวิทยา ปัจจัยด้านชาติพันธุ์ และปัจจัยด้านบุคลิกภาพ ปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจคล้ายคลึงกันทั้งสามชุมชนและเป็นอัตราที่เร็วกว่าด้านอื่น การเปรียบเทียบผลกระทบการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจคล้ายกันทั้งสามชุมชนคือ การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆด้านการเกษตร การมีหนี้สินมากขึ้นและทัศนคติต่อฐานะของชาวบ้านนั้นมีฐานะเดียวกัน ส่วนด้านการเมืองทั้งสามชุมชนคล้ายกันคือกล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้นและคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้น ด้านสังคมและวัฒนธรรมมีความคล้ายคลึงกันทั้งสามชุมชน คือ การมีสิ่งอำนวยความสะดวกในครัวเรือน การพัฒนาคุณภาพชีวิต ทัศนคติที่ดีต่อการพัฒนาท้องถิ่นและ เจ้าหน้าที่รัฐ การกลมกลืนทางวัฒนธรรมและปัญหาสังคมในชุมชน แต่สิ่งที่ไม่ได้รับผลกระทบได้แก่ การปฏิบัติในครัวเรือนในเรื่องศาสนาและเชื่อฟังผู้ที่มีอาวุโส แต่ก็แตกต่างกันไปในแต่ละชุมชน ดังนั้นผลกระทบทางของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ มีมากกว่าผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สังคมและวัฒนธรรมตามลำดับ (หน้า 2-5)เญอ,ลาวโซ่ง,คนอีสาน,การเปลี่ยนแปลง,เศรษฐกิจ,การเมือง,สังคม,วัฒนธรรม,ผลกระทบ,ตะวันออกเฉียงเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=139
138รายงานการวิจัยสถาบันครอบครัวของกลุ่มชาติพันธุ์ในกรุงเทพมหานคร : กรณีศึกษาครอบครัวไทยโซ่งงามพิศ สัตย์สงวนครอบครัวไทยโซ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวขยาย แต่จะมีขนาดเล็กกว่าในอดีต ในด้านจำนวนคู่ครองพบว่าทั้งหมดมีสามีหรือภรรยาเพียงคนเดียว ในด้านการสืบเชื้อสายนั้นฝ่ายชายยังคงมีความสำคัญอยู่มาก แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ในด้านที่อยู่อาศัยหลังการแต่งงานพบว่าส่วนมากจะอยู่กับญาติฝ่ายชาย ในเรื่องอำนาจของครอบครัวผู้ชายเป็นใหญ่กว่าภรรยา การสืบทอดมรดกยังใช้หลักการเดิมคือ ให้ลูกชายมากกว่าลูกสาว ลูกชายคนโตหรือคนเลี้ยงพ่อแม่จะได้มรดกมากที่สุด ในเรื่องการแต่งงานมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในรุ่นลูกหลาน เมื่อลูกหลานไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ หรือทำงานนอกชุมชนมักแต่งงานกับคนนอกกลุ่มไทยโซ่งมากขึ้น ในเรื่องการเลือกคู่ส่วนใหญ่เลือกคู่ครองเอง บางส่วนเป็นการแต่งงานแบบคลุมถุงชน สำหรับปัจจัยที่กำหนดพฤติกรรมของครอบครัวไทยโซ่งในปัจจุบันคือ ความเชื่อผีบรรพบุรุษเหมือนในอดีต ในด้านคำเรียกญาติพบว่าเด็กรุ่นใหม่นิยมใช้ภาษาไทยกลางมากกว่าไทยโซ่ง ในเรื่องการหน้าที่ของครอบครัวนั้นพบว่าหน้าที่สำคัญที่สุดคือ การเลี้ยงดูสมาชิกที่เป็นเด็กและคนชรา รองลงมาคือการให้สถานภาพทางสังคมและการให้ความอบอุ่นทางด้านจิตใจ การแบ่งงานทำตามเพศนั้นพบว่าสถานภาพของผู้ชายยังคงสูงอยู่ ญาติอาวุโสก็ยังมีบทบาทในครัวเรือนไทยโซ่งด้วยการช่วยดูแลบ้านและเป็นที่ปรึกษาในเรื่องประเพณีพิธีกรรมต่างๆ ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครอบครัวได้แก่ ความเจริญทางวัตถุเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้ความผูกพันระหว่างพี่น้องพ่อแม่กับลูกหลานเริ่มห่างเหินเพราะแยกย้ายไปอยู่นอกชุมชน ส่งผลให้เกิดการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ ศาสนา และพบคนนอกชุมชนมากขึ้น เด็กรุ่นใหม่ต้องการมีการศึกษาสูงขึ้น เพื่อจะได้ประกอบอาชีพที่ดี มีรายได้ดี ประเพณีการแต่งงานเริ่มผสมผสานโดยรับเอาประเพณีไทยและจีนมาไว้ด้วย ด้านการรักษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์พบว่าหาคนที่จะอ่านเขียนภาษาไทยโซ่งได้ยากมาก จะมีแต่คนสูงอายุเท่านั้นที่แต่งกายตามประเพณีไทยโซ่ง ส่วนหนุ่มสาวจะแต่งกายแบบโซ่งเฉพาะประเพณีที่สำคัญ นอกจากนั้นความคาดหวังต่อคนรุ่นใหม่มีน้อยลงเพราะเข้าใจสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมของคนรุ่นใหม่ ในด้านศาสนามีการผสมผสานความเชื่อทั้งของพุทธ พราหมณ์ และผี เข้าด้วยกัน ระบบการศึกษาและการแต่งงานกับคนไทย ทำให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมของไทยโซ่งมากขึ้น ซึ่งเด็กๆ ในโรงเรียนจะพูดอ่านภาษาไทยได้คล่องในเวลาเดียวกัน ใช้ภาษาโซ่งน้อยลง การแต่งงานกับคนไทยในกรุงเทพมหานครทำให้วัฒนธรรมไทยเข้าครอบงำวัฒนธรรมโซ่งมากขึ้นลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,โครงสร้างครอบครัว,นครปฐมตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=138
137วิทยานิพนธ์พหุลักษณ์ของสำนึกทางชาติพันธุ์ : ม้งภูสวยกับการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจและการเมืองมนตรา พงษ์นิลงานวิจัยนี้มีเนื้อหาครอบคลุมปรากฏการณ์ทางการเมืองและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในหมู่บ้านภูสวย จังหวัดเชียงใหม่ โดยมุ่งเน้นที่วิธีการปรับตัวในท่ามกลางผลกระทบทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการปกครอง อันเนื่องมาจากความสัมพันธ์กับกลุ่มอื่นๆ ทั้งภายในและภายนอกหมู่บ้าน ด้วยการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ และการปรับเปลี่ยนความหมายในเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมประเพณีของม้งบ้านภูสวย เพื่อพยายามรักษาอำนาจและ ผลประโยชน์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งให้มากที่สุด โดยสามารถธำรงเอกลักษณ์ในกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเอาไว้ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องสูญเสียสิทธิประโยชน์บางประการเพื่อลดภาวะกดดันจากการแทรกแซงจากการปกครองของรัฐม้ง,เอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์,สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม,การจัดการทางเศรษฐกิจการเมือง,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=137
136วิทยานิพนธ์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ชุมชนที่มีต่อความสัมพันธ์ทางสังคมของชนเผ่าม้ง : กรณีศึกษาบ้านดอยติ้ว ตำบลศรีภูมิ อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่านวิญญู อินน้อยศึกษาผลกระทบการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ชุมชนที่มีต่อความสัมพันธ์ทางสังคมของชนเผ่าม้ง : กรณีศึกษาบ้านดอยติ้ว ตำบลศรีภูมิ อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม การตามอารยธรรมตะวันตก การติดต่อสื่อสาร การเน้นบริโภคนิยม ทำให้เกิดการปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ วิถีชีวิต และความเป็นอยู่ในชุมชนม้งบ้านดอยติ้ว จากเดิมที่มีการผลิตแบบพอเพียง อาศัยพึ่งพากัน มีจารีตประเพณีวัฒนธรรมเป็นของตัวเองมาสู่การผลิตเพื่อขายและตอบสนองบริโภคนิยม และรับเอาวัฒนธรรมเมืองมาใช้แทนวัฒนธรรมดั้งเดิม ในอีกทางหนึ่งม้งบ้านดอยติ้วมีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้นจากสาธารณูปโภคไฟฟ้า ประปา โทรทัศน์ และการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกม้ง,ระบบนิเวศน์ชุมชน,ความสัมพันธ์ทางสังคม,การเปลี่ยนแปลง,น่านตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=136
135วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของชาวเขาเผ่าม้ง บ้านแม้วใหม่ อำเภอเมืองตาก จังหวัดตากพิทักษ์ สาเขตร์การศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของชาวเขาเผ่าม้ง บ้านแม้วใหม่ อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ซึ่งหมายถึงการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 22 มีนาคม 2535 โดยวิธีศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างและการสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม พบว่า สภาพชีวิตความเป็นอยู่ส่วนใหญ่มีการศึกษาน้อย แต่คนบางกลุ่มที่มีการศึกษาดีจะมีส่วนช่วยพัฒนาหมู่บ้านได้ ทางด้านการเมืองมีความตื่นตัวค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 22 มีนาคม 2535 ส่วนปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองคือ การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ของทางราชการ การโฆษณาหาเสียงของผู้สมัครและพรรคการเมือง การจัดแบ่งหมู่บ้านออกเป็นระบบคุ้ม สื่อมวลชน การเผยแพร่ประชาธิปไตยในทางปฏิบัติ ความเป็นผู้นำ และโครงการเผยแพร่ประชาธิปไตยระดับหมู่บ้าน (หน้า ข-ค)ม้ง,การเมืองการปกครอง,การมีส่วนร่วม,ตากตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดตาก ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=135
134วิทยานิพนธ์การจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน : กรณีศึกษาการจัดการไร่หมุนเวียนของชาวปกาเกอญอในจังหวัดเชียงใหม่เจษฎา โชติกิจภิวาทย์การศึกษาเรื่องการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน : กรณีศึกษาการจัดการไร่หมุนเวียนของปกาเกอะญอในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่าภายใต้ความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรระหว่างรัฐกับชุมชน ชุมชนได้มีการปรับตัวเพื่อสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากร 3 รูปแบบคือ 1) การทำไร่หมุนเวียนแบบพึ่งพาและไม่ยั่งยืน 2) การทำไร่แบบเปลี่ยนผ่านและไม่ยั่งยืน และ 3) การทำไร่หมุนเวียนแบบทางเลือกและยั่งยืน และการรวมตัวในระดับชุมชนและเครือข่าย เพื่อนำเสนอทางออกในระดับนโยบายปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การจัดการที่ดิน,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=134
133หนังสือปัญหาความขัดแย้งในสี่จังหวัดภาคใต้อารง สุทธาศาสน์ปัญหาสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน และเป็นปัญหาที่มีลักษณะเฉพาะอันเกิดจากการที่ประชาชนมีศาสนา วัฒนธรรม วิถีการดำรงชีวิตที่แตกต่าง รัฐบาลจึงมีการปกครองพิเศษเฉพาะสี่จังหวัดภาคใต้ การดำเนินนโยบายของรัฐบาล เช่น ส่งข้าราชการที่เป็นไทยพุทธจากภูมิภาคอื่นไปปกครอง หรือกีดกันไม่ให้มุสลิมรับราชการในสี่จังหวัดภาคใต้ทำให้ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลและประชาชนมีความแตกแยกกันมากยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดมาโดยตลอด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนมีความรังเกียจไทยมุสลิมและหาทางกลั่นแกล้ง เช่น โยนความผิดไปให้คนดี หรือไทยพุทธเองก็มีการกระทำที่แสดงถึงการดูถูกมุสลิม ทำให้ประชาชนมองว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจและพยายามกลืนวัฒนธรรมของไทยมุสลิมอยู่ตลอดเวลา ประชาชนมุสลิมจึงไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล ซึ่งเป็นชนวนก่อให้เกิดการประท้วงครั้งนี้ ก่อนเกิดเหตุการณ์การประท้วง ประชาชนมุสลิมมีความไม่พอใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลเท่านั้นแต่หลังจากเหตุการณ์ประท้วงผ่านไปการดำเนินงานของรัฐบาลก่อให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อประชาชน จนส่งผลกระทบถึงความสัมพันธ์มาถึงประชาชนไทยพุทธและไทยมุสลิม ซึ่งไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนแต่ก่อนออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ความขัดแย้ง,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2519ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=133
132วิทยานิพนธ์โลกทัศน์กลุ่มชาติพันธุ์โซ่: กรณีบ้านหนองยาง ตำบลขะโนดน้อย อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหารแสงเพชร สุพรโลกทัศน์ ทัศนะและแนวคิดที่โซ่ได้ยึดถือและปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่อดีตและส่งผลสู่สมาชิกปัจจุบัน จากการศึกษาโลกทัศน์ของโซ่ที่มีต่อมนุษย์และสังคม พบว่า<br />
<br />
โซ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในกลุ่มมอญ-เขมร ชอบอยู่ตามป่าทึบและภูเขา โซ่ยอมรับในอำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะเห็นว่าเป็นชนชั้นปกครอง ในการแต่งงานนิยมกันภายในกลุ่ม ให้ความสำคัญแก่บุตรชายมากกว่าหญิง เชื่อถือผู้นำของตนอย่างเคร่งครัด มีความภูมิใจในชาติกำเนิดและต้นตระกูลของโซ่เป็นอย่างมาก ยึดถือการทำบุญโดยไม่เบียดเบียนสัตว์ โซ่มีโลกทัศน์ที่เห็นว่า มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอันประกอบด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ และธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิตของโซ่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โซ่จะผูกพันอยู่กับป่าไม้และภูเขา เห็นคุณค่าของธรรมชาติ แต่ธรรมชาติเหล่านี้มีอำนาจเหนือมนุษย์ เช่น อำนาจของผีแถน ผีมเหสักข์ ผีประจำธรรมชาติ ในขณะเดียวกัน โซ่ก็เชื่อเรื่องของกรรมเวร ความดีความชั่ว โชคชะตาราศี การเข้าทรงผี การเหยา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผสมผสานกันระหว่างพุทธศาสนากับผี โลกทัศน์ของโซ่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านสังคม โซ่มีความผูกพันกันในกลุ่มเครือญาติและกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันมากกว่าบุคคลภายนอก ด้านเศรษฐกิจ โซ่ยังคงดำรงการผลิตแบบยังชีพ ไม่เชี่ยวชาญการผลิตเพื่อขาย และไม่ค่อยรับเทคโนโลยีในด้านต่างๆ ทั้งในด้านการศึกษาและการสาธารณสุข (หน้า 80-81)โส้ โซร ซี,ทัศนคติ,แนวคิด,ความเชื่อ,มุกดาหารตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2533ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=132
131วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงการผลิตจากเพื่อบริโภคไปสู่การผลิตเพื่อขาย ที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวขมุ : ศึกษาเฉพาะกรณีบ้านภูคำ ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่านพัฒน์รพ ขันธกาญจน์การศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงการผลิตจากเพื่อบริโภคไปสู่การผลิตเพื่อขายของชุมชนขมุบ้านภูคำ ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน พบว่า มีปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการผลิต ได้แก่ ปัจจัยภายนอก คือ อิทธิพลของระบบเศรษฐกิจการตลาดภายนอก และความก้าวหน้าทางคมนาคม ส่วนปัจจัยภายใน คือ ความกดดันทางด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน และสภาพนิเวศน์ที่เปลี่ยนแปลงไป ปัจจัยทั้งสองนี้มีส่วนผลักดันให้ขมุบ้านภูคำหาหนทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน โดยการนำพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่เข้ามาปลูกในชุมชน คือ ส้ม เนื่องจากรายได้จากการขายผลผลิตทำให้เกษตรกรสวนส้มมีฐานะทางเศรษฐกิจสูงขึ้น จึงมีแนวโน้มที่คนในชุมชนหันมาปลูกส้มเพิ่มขึ้น ผลการปลูกส้มนั้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการผลิตจากเดิมที่ผลิตเพื่อบริโภคไปสู่การผลิตเพื่อขาย ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชุมชน คือ เกษตรกรจำเป็นต้องผูกพันและขึ้นอยู่กับระบบตลาดมากขึ้น ระบบการใช้แรงงานเริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากการแลกเปลี่ยนแรงงานที่เรียกว่า "เอามื้อ " (เอาแรง) เริ่มลดลง เปลี่ยนมาเป็นระบบแรงงานแบบรับจ้าง มีการใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรที่ทันสมัย มีการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบถาวรควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบหมุนเวียน ส่วนในด้านระบบความเชื่อ ไม่พบความเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตอย่างในอดีต เพราะการผลิตที่เปลี่ยนไป นอกจากนั้น การผลิตเพื่อขายยังมีส่วนทำให้ผู้คนในชุมชนมีสัมพันธภาพที่ไม่ดีต่อกัน เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาเข้าร่วมในกิจกรรมชุมชน เกิดความไม่เข้าใจกันในหมู่สมาชิกของชุมชน อันมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมได้ในที่สุด (หน้า 143-144)ขมุ,วิถีชีวิต,เศรษฐกิจ,การเปลี่ยนแปลง,น่านตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2532ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=131
130รายงานการวิจัยสภาพสังคมวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปของชาวกะเหรี่ยง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรีโกศล มีคุณสภาพสังคมวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี มีความเปลี่ยนแปลงไปในทุกด้าน กล่าวคือ สถาบันครอบครัว ลดความสำคัญในการอบรมเลี้ยงดูเยาวชนลงไป ขณะที่คนหนุ่มสาวออกไปรับจ้างในเมืองมากขึ้น ส่วนสถาบันการศึกษามีบทบาทสำคัญมากขึ้น สถาบันด้านความเชื่อและประเพณีก็ลดความสำคัญต่อชุมชนลง คงปฏิบัติกันในลักษณะการอนุรักษ์ประเพณีเท่านั้น ความเปลี่ยนแปลงนั้นมาจากปัจจัยสำคัญด้านสภาพแวดล้อมทางกายภาพ จำนวนประชากร ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ และการพัฒนาไปสู่ความทันสมัย รวมถึงปัจจัยด้านอุดมการณ์ ความเชื่อ ซึ่งมีอิทธิพลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลง และนำไปสู่ผลกระทบกับชุมชนจนเกิดปัญหาสังคมขึ้นในที่สุดโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),สภาพสังคม,วัฒนธรรม,ความเปลี่ยนแปลง,ราชบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2535ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=130
129รายงานการวิจัยวิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรมประเพณีและประวัติศาสตร์ชุมชนกรณีไทย-พวน อำเภอบ้านผือฤดีมน ปรีดีสนิทไทพวนบ้านผือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาว ที่มีความสำนึกในเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของตนสูง ทั้งสำนึกในความเป็นพวน สำนึกในประวัติศาสตร์ชนชาติ ตลอดจนสำนึกในภาษาพวน วิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรมประเพณีของไทพวน อำเภอบ้านผือ มีฮีตคองเช่นเดียวกับชาติพันธุ์ไท-ลาวอื่น แต่มีข้อปฏิบัติและความเชื่อแตกต่างกันออกไป สังคมไทพวนบ้านผือเป็นสังคมที่นับถือผี มีพิธีกรรมความเชื่อที่ยังคงปฏิบัติสืบทอดกันมา แม้ปัจจุบันไทพวนเหล่านี้จะนับถือพุทธศาสนาแล้วก็ตามแต่ยังเป็นการนับถือผีคู่ไปกับนับถือพระ งานศึกษานี้มุ่งเน้นด้านประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อและความสำนึกในชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งมีความสำคัญและควรตระหนักถึงการรักษาวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่อย่างมั่นคงและแข็งแรงสืบไป (หน้า 71)พวน ไทพวน ไทยพวน,วิถีชีวิต,สังคม,วัฒนธรรม,ประวัติศาสตร์,ชุมชนท้องถิ่น,อุดรธานีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดอุดรธานี ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=129
128-ภูมิปัญญาพื้นบ้านในการจัดการทรัพยากรและการรักษาพยาบาลของม้งทรงวิทย์ เชื่อมสกุลงานวิจัยชิ้นนี้มีเนื้อหาครอบคลุมในหลายประเด็นเกี่ยวกับภูมิปัญญาในด้านต่าง ๆ ที่กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ใช้ในการจัดการทรัพยากรและการรักษาพยาบาลในชุมชนของตนเอง ได้แก่ ประวัติความเป็นมาโดยภาพรวมและเฉพาะบ้านขุนห้วยไคร้, การแบ่งกลุ่ม, ลักษณะการแต่ง, ภาษา, จำนวนประชากรและเครือญาติ, ลักษณะการตั้งถิ่นฐานและที่อยู่อาศัย, องค์กรและหน่วยงานในหมู่บ้าน, ศาสนาและความเชื่อ, อาชีพ, ทรัพยากร, การคมนาคมสื่อสาร, ความเชื่อและระบบการจัดการทรัพยากร, ระบบความเชื่อเกี่ยวกับความเจ็บป่วย, และการใช้สมุนไพรในระบบการรักษาพยาบาลพื้นบ้านม้ง,ภูมิปัญญาพื้นบ้าน,การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ,การรักษาความเจ็บป่วย,สมุนไพร,เชียงรายตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=128
127วิทยานิพนธ์ธุรกิจเอกชนไทยกับงานพัฒนาชนบท : การเปลี่ยนแปลงและผลกระทบในงานพัฒนาชาวเขาเผ่าม้ง จังหวัดเชียงรายอนุชา มติศิลป์ปัจจุบันการพัฒนาชนบทได้รับความสนใจจากทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมไทยเจริญทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีบริษัทของนักธุรกิจสนใจเข้าร่วมด้วย โดยมีองค์กรพัฒนาเอกชนคอยดูแลประสานงาน โดยเลือกพัฒนาหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย ซึ่งม้งเป็นชนเผ่าที่มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์และแบบแผนการดำเนินชีวิตของตนเอง ดังนั้น เมื่อมีการพัฒนาเข้ามา บางโครงการไม่อาจสำเร็จลุล่วงไปได้ ทั้งนี้เพราะ การวางแผนพัฒนาของบริษัทยังขาดข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมในระดับชุมชน ทำให้งานพัฒนาไม่สอดคล้องกับความต้องการและแบบแผนการดำเนินชีวิตของม้งม้ง,ความเป็นอยู่,ประเพณี,การพัฒนาชนบท,เชียงรายตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=127
126หนังสือประวัติของชาวม้ง (แม้ว)ยัง ม็อตแต็งประวัติของชน "เมี้ยว" ในประเทศจีน การแบ่งกลุ่มย่อย การแบ่งเขตภูมิศาสตร์ของเมี้ยว ม้งในประเทศเวียตนาม ประเทศลาวและประเทศไทยม้ง,ประวัติความเป็นมา,จีน,เวียดนาม,ลาว,ไทยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2520ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=126
125รายงานการวิจัยกระบวนการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ด้านเกษตรบนที่สูงอย่างยั่งยืน : กรณีศึกษาชุมชนม้งบ้านสันป่าเกี๊ยะ ตำแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่บัณฑูรย์ วาฤทธิ์ และคณะผู้เขียนได้ค้นพบว่าหลังจากมีการเข้าไปพัฒนาชุมชนบนพื้นที่สูงของรัฐ นับแต่การปลูกพืชทดแทนฝิ่น และการอนุรักษ์พื้นที่ เป็นต้นมา ทำให้ชุมชนได้รับความรู้ทั้งมาจากรัฐหรือภายนอกและสามารถผสมผสานกับภูมิปัญญาของตนเองแล้วสร้างความรู้ขึ้นด้วย การเรียนรู้ หยิบยืม และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือความรู้ใหม่จากรัฐก็ตาม โดยใช้ทุนทางสังคมวัฒนธรรมม้ง เป็นกระบวนการเรียนรู้และสืบทอดที่สำคัญในการปรับตัวและดำรงอยู่ของชีวิตวัฒนธรรมในภาวะที่กำลังเปลี่ยนแปลง
ด้วยเหตุนี้ ชุมชนสันป่าเกี๊ยะจึงมีการผสมผสานกันของความรู้ระหว่างความรู้สมัยใหม่และภูมิปัญญาชาวบ้าน เพื่อนำมาใช้ปกครองชุมชนและทำการเกษตรพร้อม ๆ กัน กล่าวคือ ด้วยเงื่อนไขที่ชุมชนสันป่าเกี๊ยะต้องสัมพันธ์กับรัฐ ทำให้มีกลุ่มผู้นำสองประเภท คือ ผู้นำที่มาจากความอาวุโสและเป็นผู้รู้จารีตประเพณี กับกลุ่มผู้นำ ทางการเมืองหรือผู้นำรุ่นใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชการอย่างเป็นทางการ ในทำนองเดียวกันระบบการเกษตรของชุมชนสันป่าเกี๊ยะก็ยังคงมีองค์ความรู้สองระบบอยู่ด้วยกัน คือ ระบบการเกษตรเพื่อยังชีพกับระบบการเกษตรเพื่อการค้าหรือมุ่งแสวงหารายได้ (ข.)ม้ง,การจัดการความรู้,การปรับตัว,ระบบเกษตรบนพื้นที่สูง,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=125
124รายงานการวิจัยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกที่ปรากฏในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาสรัตติยา สาและผู้คน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในปัจจุบันโดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่สืบทอดความเป็นทายาททางวัฒนธรรมมลายูที่อิงความเชื่ออันเนื่องด้วยลัทธิและศาสนาเป็นหลักสำคัญ โดยมีการผสมผลานระหว่างความเชื่อดั้งเดิมที่นับถืออำนาจของภูตผีและวิญญาณ กับหลักศาสนาฮินดู หรือ ศาสนาพุทธ และหรือ ศาสนาอิสลามตามลำดับ ผลที่ได้คือทำให้ลักษณะของความเป็นวัฒนธรรมมลายูแบบดั้งเดิมเกิดพลวัตเรื่อยมาในลักษณะการทับซ้อนด้วยระลอกคลื่นวัฒนธรรมอิงศาสนา และวัฒนธรรมต่างชาติอื่น ๆ จนเกิดเป็นอัตลักษณ์ซ่อนเร้นอยู่ในตัวศาสนิก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของไทยทั้งสองกลุ่มสำคัญในปัจจุบัน คือ มุสลิม และไทยพุทธ (หน้า 185)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,พุทธศาสนิกชน,ปฏิสัมพันธ์,จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=124
123เอกสารวิชาการวันเดือนปี ชาวเขา (ลัวะ และวัน เดือน ปี)จันทบูรณ์ สุทธิ, สมเกียรติ จำลองลัวะเป็นกลุ่มชนที่ถือกันว่าเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของบริเวณภาคเหนือของประเทศไทยมาก่อนที่คนเมืองจะเข้ามามีอิทธิพลเหนือพื้นที่แห่งนั้น ลัวะในปัจจุบันมีการผสมผสานกับคนเผ่าพันธุ์อื่นที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือ ทำให้เกิดกลุ่มชนที่เรียกตนเองว่า คนเมือง ในปัจจุบัน แม้ว่าลัวะจะเป็นกลุ่มชนดั้งเดิม แต่ก็ไม่มีการรับเอาอิทธิพลในการลำดับวันเดือนปีมาใช้เหมือนกับกลุ่มชนอื่น ๆ ในปัจจุบันการลำดับวันรอบสัปดาห์หรือรอบ 7 วัน ได้เข้ามามีบทบาทมากในชีวิตประจำวันของลัวะทั้งทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ การพัฒนารูปแบบต่าง ๆ ในชุมชนลัวะจึงต้องคำนึงถึงขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี คติความเชื่อต่าง ๆ ที่มีอยู่และต้องสอดคล้องกับช่วงเวลาวิกฤตด้านแรงงานของชุมชนจึงจะประสบผลสำเร็จลเวือะ,วันเดือนปี,วิถีชีวิต,ประเทศไทยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=123
122บทความการปรับตัวของชาวกูยในบริบทพหุวัฒนธรรมในเขตอีสานใต้วิลาศ โพธิสารเขตอีสานใต้เป็นดินแดนที่เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และมีการอพยพเคลื่อนย้ายใช้แม่น้ำเป็นเส้นทางคมนาคม ในพื้นที่อีสานใต้ใช้แม่น้ำชี และแม่น้ำมูลที่ไหลลงแม่น้ำโขงที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เกิดชุมชนอาศัยอยู่หนาแน่น เมื่อประมาณ 2,500 ปี ชุมชนก่อร่างจนเกิดอาณาจักรและมีความสัมพันธ์กับพื้นที่ภายนอก เช่น รับอารยธรรมอินเดียราวพุทธศตวรรษที่ 6 มีการปะทะสังสรรค์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มต่าง ๆ ทำให้พื้นที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรรม เป็นพหุวัฒนธรรมที่ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์กูย กลุ่มชาติพันธุ์เขมร กลุ่มชาติพันธุ์ลาว กลุ่มชาติพันธ์กูยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีกระบวนการปรับตัว ทางสังคมวัฒนธรรม กูยพูดภาษากูยต่อมามีการปรับตัวมาพูดภาษาลาวและเขมร ดำรงชีวิตด้วยการปลูกข้าว และมีการเลี้ยงไหม แต่การพัฒนาจากรัฐทำให้กูยเริ่มให้ความสำคัญกับการผลิตเพื่อขาย ใช้รถไถ ใส่ปุ๋ยเคมี นอกจากนี้กระบวนการปรับตัวก็ยังมีการผสมผสานระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น การแต่งงานระหว่างกลุ่มกูยกับคนเขมรหรือลาว แต่ทั้งนี้แม้ว่ากลุ่มชาติพันธุ์จะมีการปรับตัวปรับเปลี่ยนทางอัตลักษณ์ แต่ขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมก็ยังอยู่ กูยยังคงมีความเชื่อในศาลผีปะกำ มีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความเชื่อ ยังมีการจัดระเบียบสังคมที่ผ่านการสั่งสมมายาวนาน ควบคุมสังคมโดยผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งทำให้กลุ่มชาติพันธุ์กูยมีความโดดเด่นในกระบวนการปรับตัวในเขตอีสานใต้ เพราะกูยมีทุนทางวัฒนธรรม ทุนทางสังคม ที่เข้มแข็งที่เป็นรากฐานสำคัญในการปรับตัวกูย,การปรับตัว,อีสานใต้ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=122
121วิทยานิพนธ์ประเพณีเจี๊ยะสล่าของชาวกะโซ่บ้านพังแดง ตำบลพังแดง อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหารศุภลักษณ์ นิลทะราชประเพณีเจี๊ยะสล่า เป็นชื่อเรียกพิธีการแต่งงานของกะโซ่ที่บ้านพังแดง อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งผู้ศึกษาได้วิเคราะห์องค์ประกอบและขั้นตอนของงานเจี๊ยะสล่าซึ่งมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต สำหรับงานเจี๊ยะสล่าในปัจจุบันได้รับเอาวัฒนธรรมและประเพณีของสังคมใกล้เคียงดัดแปลงให้เหมาะสม มีขั้นตอน ได้แก่ การทาบทามโดยหมอสื่อ จัดหาหมอใช้เป็นตัวแทนเรียกค่าสินสอด จากนั้นเป็นการสู่ขอ ดูฤกษ์ยาม แล้วแต่ละฝ่ายจัดเตรียมงาน ในวันงาน มีการแห่ขันหมาก ปูที่นอน มีการมอบพาขวัญ นำคู่บ่าวสาวมาสู่พาขวัญ จากนั้นมอบค่าดอง หรือสินสอด มีการผูกแขนหมอสูตร เพื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาว จากนั้นหมอสูตรทำการสูตรขวัญบ่าวสาว ผูกแขนบ่าวสาว จ้ำขวัญหรือเสี่ยงทายบ่าวสาวด้วยกระดูกคางไก่ สั่งสอนคู่บ่าวสาว สมมาญาติฝ่ายชาย ล้างเท้าสะใภ้ และส่งตัวบ่าวสาว ขั้นตอนและองค์ประกอบในงานเจี๊ยะสล่า สะท้อนให้เห็นถึงคติความเชื่อทั้งในวัตถุสิ่งของ บุคคล เวลา สถานที่ และความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ (หน้า 154-162)โส้ โซร ซี,ประเพณีเจี๊ยะสล่า,มุกดาหารตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=121
120รายงานการวิจัยการศึกษารูปแบบการตั้งถิ่นฐาน ประชากร เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของลาวโซ่งจังหวัดนครปฐมนำพวัลย์ กิจรักษ์กุลให้รายละเอียดของพิธีกรรมต่างๆ ลักษณะวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของลาวโซ่งในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ในด้านประชากร เศรษฐกิจ ที่อยู่อาศัย และการสาธารณสุขของลาวโซ่งที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดนครปฐมลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,เศรษฐกิจ,การตั้งถิ่นฐาน,นครปฐมตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=120
119หนังสือสารคดีชีวิตของชนกลุ่มน้อยบนดอยสูง : กะเหรี่ยงสมัย สุทธิธรรมหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงความเป็นมาของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่จัดอยู่ในตระกูลทิเบต-พม่า แหล่งกำเนิดเดิมอยู่ในดินแดนทางตะวันออกของทิเบต และได้อพยพเข้ามาอยู่ในจีนประมาณสามพันกว่าปีมาแล้ว โดยตั้งเป็นอาณาจักรขึ้น ซึ่งชาวจีนเรียกพวกกะเหรี่ยงนี้ว่า พวกโจว ต่อมาได้ถูกชนชาติจีนรุกรานจนแตกกระจัดกระจายพ่ายหนีมาอยู่ลุ่มน้ำแยงซีเกียง แต่ก็ถูกขับไล่อีกจนต้องถอยร่นมาอยู่ตามลุ่มแม่น้ำโขง และมีมากที่สุดตามลุ่มน้ำสาละวินในพม่า ชนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่เข้ามาอาศัยอยู่ในแถบดอยสูงทางทิศตะวันตกของจังหวัดเชียงใหม่ เขตอำเภอแม่แจ่ม ดอยอินทนนท์ เป็นกะเหรี่ยงที่อพยพเข้ามาอยู่เกินกว่า ๒๐๐ ปีแล้ว พวกนี้เป็นพวกที่อพยพเคลื่อนย้ายมาจจากลุ่มน้ำสาละวินในพม่า เมื่อครั้งอดีต ส่วนกะเหรี่ยงที่ตั้งรกรากอยู่แถบอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นพวกที่อพยพเคลื่อนย้ายมาอยู่ใหม่ในช่วง ๑๐๐ ปี ที่ผ่านมานี้เอง (หน้า ๘-๑๓) การศึกษาพบว่าวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวกะเหรี่ยงนั้น เป็นวิถีชีวิตที่เคารพธรรมชาติ และสามารถมีชีวิตที่สมถะไม่เบียดเบียนธรรมชาติได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งบ้านเรือน การประกอบอาชีพ หรือแม้แต่ประเพณีความเชื่อ ก็เอื้อให้เกิดการเคารพซึ่งกันและกันในชุมชน ไม่นิยมใช้ความรุนแรง (หน้า ๒๑) เป็นชนเผ่าที่มีศิลปะอยู่ในวิถีชีวิตก็ว่าได้ สังเกตได้จากศิลปะการใช้สีสรรในการแต่งกาย และการทอผ้า และเป็นชนเผ่าที่นิยมชมชอบในการร้องรำทำเพลงอยู่เสมอ นอกจากนี้ผู้เขียนยังชี้ให้เห็นถึงความเป็นผู้มีอารยะในการใช้ชีวิตคู่ของชาวกะเหรี่ยง นั่นคือ การยึดประเพณีผัวเดียวเมียเดียวปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง ),ความเชื่อ,ข้อห้ามตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=119
118ปริญญานิพนธ์กะเหรี่ยงที่บ้านเลโคะ ตำบลแม่ยวม อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนเมืองพล เมฆเมืองทองเน้นการศึกษาเชิงชาติพันธุ์วรรณนาโดยบรรยายถึงประวัติความเป็นมา ลักษณะทางกายภาพของกะเหรี่ยง สภาพทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม รวมถึงการศึกษา ซึ่งกะเหรี่ยงที่หมู่บ้านเลโคะนี้พึ่งจะได้รับความช่วยเหลือเป็นครั้งแรก เพื่อทำความเข้าใจสภาพทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชน และยังทำให้ทราบถึงปัญหาต่างๆในหมู่บ้านแห่งนี้ โดยพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้น ได้แก่ ปัญหาด้านการเมือง อันมีสาเหตุมาจากความห่างไกลของพื้นที่เกินกว่าที่เจ้าหน้าที่จะดูแลได้ทั่วถึง นอกจากนี้กองกำลังที่ไม่เพียงพอจึงไม่สามารถอยู่ประจำการณ์ได้ ปัญหาด้านอนามัย พบว่า กะเหรี่ยงมีสุขภาพไม่แข็งแรง เจ็บป่วยบ่อยมีสาเหตุมาจากการกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ นอนในที่อากาศไม่บริสุทธิ์ ไม่รักษาความสะอาดและต้องเข้าป่า ออกไร่นาบ่อยครั้ง มักได้รับบาดแผลหรือแมลงสัตว์กัดต่อย ปัญหาด้านการทำมาหากิน พบว่า ที่ดินไม่พอทำกิน ส่งผลให้มีผลผลิตต่ำ ไม่พอแก่ความต้องการ นอกจากการทำนาทำไร่และรับจ้างที่เหมืองแร่แล้วก็ไม่มีอาชีพเสริมอื่น ๆ อีก เมื่อเสร็จจากงานประจำจึงเกิดปัญหาว่างงานปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),สังคมวัฒนธรรม,แม่ฮ่องสอนตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2518ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=118
117วิทยานิพนธ์กรือเซะ : ความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ ปรัมปรานิยายและพิธีกรรมชุตินธรา วัฒนกุลปรัมปรานิยายเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามสร้างความผูกพันกับท้องถิ่น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ดินแดนปัตตานี มาเลย์มุสลิมที่สิทธิเหนือกว่าในฐานะผู้ค้นพบปัตตานี ในขณะที่จีนและไทยต่างพยายามนำปรัมปรานิยายของตนมากล่าวอ้างสิทธิประโยชน์ทางสังคมเช่นเดียวกัน จึงเป็นเสมือนการถ่วงดุลย์อำนาจซึ่งกันและกัน อันนำไปสู่ดุลยภาพและสามารถรักษากฏระเบียบในสังคมไว้ได้ แต่ในกรณีไทยไม่ได้นำปรัมปรานิยายเข้ามาเรียกร้องสิทธิเพียงอย่างเดียว ยังมีการใช้กำลังทางทหารเข้าครอบครองปัตตานี อำนาจการปกครองของไทยมีส่วนช่วยให้ปรัมปรานิยายและการประกอบพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์จีนให้ยิ่งใหญ่ขึ้น แตกต่างไปจากเดิมที่เรื่องราวความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่มีอยู่เฉพาะในท้องถิ่นเท่านั้น ส่งผลให้โครงสร้างปรัมปรานิยายต้องแปรเปลี่ยนไป คือ เข้าไปทำลายพลังทางประวัติศาสตร์ของมาเลย์มุสลิมให้ถดถอย ด้วยการจัดการปกครองขึ้นใหม่ พยายามใช้วัฒนธรรมไทยเข้าครอบงำ ส่งเสริมประวัติศาสตร์จีนด้วยการท่องเที่ยวโดยหยิบยกเรื่องราวของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ทำให้พลังอำนาจของมาเลย์มุสลิมที่หลงเหลืออยู่คือ การต่อต้าน ยับยั้งอำนาจรัฐ เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ในกลุ่มของตน อันจะทำให้เกิดดุลยภาพในสังคมคืนสู่ดินแดนแห่งนี้อีกครั้ง (หน้า 146)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มาเลย์มุสลิม,ชาวจีน,ปรัมปรานิยาย,พิธีกรรม,กรือเซะ,ปัตตานีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=117
116บทความHmong Confucian Ethics and Constructions of the PastTapp, Nicholasงานชิ้นนี้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงจริยธรรมทางสังคมของม้งซึ่งสัมพัทธ์และผันแปรไปตามบริบทที่ซับซ้อน โดยเฉพาะบริบทการขยายตัวของเมืองและบริบทของท้องถิ่นยุคโลกาภิวัตน์ โดยชี้ให้เห็นว่าคุณค่าและหลักการทางศีลธรรมของม้งเป็นผลิตผลของสังคมและสัมพันธ์กับโครงสร้างสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่ธรรมชาติหรือหลักการที่มีอยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นสำนึกรู้ที่สร้างใหม่ทางประวัติศาสตร์ได้ ไม่ใช่พฤติกรรมความเคยชินที่ปฏิบัติกันมาอย่างไม่สำนึกอัตลักษณ์วัฒนธรรมม้งยืนยันคุณค่าทางศีลธรรมประเพณีที่ดำรงอยู่และปรับเปลี่ยนอย่างสัมพันธ์กับโครงสร้างทางสังคม (หน้า 108)ม้ง,จริยธรรมขงจื๊อ,ประวัติศาสตร์,การเปลี่ยนแปลงทางศีลธรรม,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=116
115บทความกลุ่มชาติพันธุ์ภูไท อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนครสพสันติ์ เพชรคำ"ภูไท" เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพมาจากสิบสองจุไท ดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง มายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ นครพนม มุกดาหาร และสกลนคร ส่วนคนภูไทที่ได้ทำการศึกษาในครั้งนี้ เป็นคนภูไท "กะป๋อง" ที่อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ที่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ของตนเองได้อย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี ความสัมพันธ์ทางเครือญาติที่นิยมแต่งงานกันภายในกลุ่ม ความกตัญญู ความเคารพในผู้อาวุโส และบรรพบุรุษอย่างสูง ประวัติความเป็นมาในการตั้งถิ่นฐาน และตอกย้ำด้วยความเชื่อในผีบรรพบุรุษ รวมทั้งการจัดงาน "ภูไทรำลึก" ก่อให้เกิดสำนึกของความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน เกิดระบบและโครงสร้างของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้มแข็ง อันเป็นเหตุให้ยังคงรักษาอัตลักษณ์ของคนภูไท "กะป๋อง" วาริชภูมิได้เป็นอย่างดี (หน้า 7, 24-25)ผู้ไท,วิถีชีวิต,อัตลักษณ์,สกลนครตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=115
114บทความศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของชุมชนผู้ไทบ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์สุรศักดิ์ พิมพ์เสนชุมชนผู้ไทบ้านโพนเป็นชุมชนที่ยังมีความเข้มแข็งทางด้านประเพณี วัฒนธรรม มีภาษาพูดที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง นับถือศาสนาพุทธมีการทำบุญตามจารีตประเพณี 12 เดือน ประเพณีสำคัญคือบุญบั้งไฟ มีงานศิลปหัตถกรรมการผลิตผ้าไหมแพรวาที่มีชื่อเสียงจนได้รับฉายาว่าผ้าไหมแพรวาเป็นราชินีไหมไทย ชื่อเสียงของผ้าไหมแพรวาทำให้ชาวบ้านโพนมีรายได้เพิ่มขึ้น ฐานะครอบครัวมั่นคง ถือเป็นจุดเริ่มแรกของการนำนักท่องเที่ยวเข้าสู่หมู่บ้าน นำเงินตราเข้าสู่หมู่บ้านและนำเรื่องราวของชุมชนออกสู่โลกภายนอกเป็นที่รู้จัก ดังนั้นชุมชนผู้ไทบ้านโพนจึงมีความพร้อมในด้านวัฒนธรรม อันเกิดจากการสั่งสมภูมิปัญญาของชาวบ้าน มีศักยภาพเพียงพอที่จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้ผู้ไท,ผ้าแพรวา,ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม,กาฬสินธุ์ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=114
113รายงานการวิจัยโครงการสำรวจวัฒนธรรมและประเพณีต่างๆ ของไทยใหญ่ในเขา อ.แม่สอด จ.ตากธีระ ภักดีผู้เขียนได้พยายามนำเสนอเกี่ยวกับประเพณีของไทยใหญ่ที่อยู่ในเขตอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยสัมภาษณ์จากผู้รู้ 5 ท่านและเข้าร่วมกิจกรรมในประเพณีต่างๆ ซึ่งมีประเพณีต่างๆ ที่จัดได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. ประเพณีเกี่ยวกับวงจร/วัฏจักรชีวิต เช่น ประเพณีการเกิด ประเพณีการสู่ขอ ประเพณีการแต่งงาน ประเพณีการครองเรือน 2. ประเพณีเกี่ยวกับความเชื่อต่าง ๆ เช่น ประเพณีการรักษาพยาบาล ประเพณีกั่นตอ ประเพณีการเข้าหว่า ประเพณีอุปปะตะก่า ประเพณีกวนข้าวหย่ากุ ประเพณีเผาศพเจ้าอาวาส ประเพณีการบวช ประเพณีรับซางจ่าน ประเพณีเนคป่านเซคาน ประเพณีใส่ข้าวพระพุทธ ประเพณีแห่กถิ่งไทยใหญ่,วัฒนธรรม,ประเพณี,ตากตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดตาก ประเทศไทย2528ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=113
112บทความขบถเงี้ยวเมืองแพร่เตช บุนนาคเนื้อหาของขบถเงี้ยวเมืองแพร่ ร.ศ.121 เป็นการนำเสนอข้อมูลทางประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของเมืองแพร่ ที่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งได้เกิดขบถและมีการตั้งคณะกรรมการไต่สวน ในการพิจารณาหาสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งผลของการไต่สวนส่อเค้าว่าเจ้านายเมืองแพร่ เจ้าเมืองลำปาง ราษฎรเมืองแพร่ เงี้ยวชาวเมือง กงสุลฝรั่งเศสและอังกฤษประจำเมืองน่านมีส่วนในการสมรู้ร่วมคิดเงี้ยว,ประวัติศาสตร์การเมือง,แพร่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดแพร่ ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=112
111รายงานการวิจัยวิวัฒนาการพิธีทำขวัญของคนไทวิไลวรรณ ขนิษฐานันท์พิธีเรียกขวัญของคนไทมีการปฏิบัติสืบเนื่องมาช้านาน มีการเปลี่ยนแปลงไปในหลายด้าน แต่ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงในสังคมโดยตรง
งานวิจัยนี้มีเนื้อหาครอบคลุมวิวัฒนาการของพิธีทำขวัญของกลุ่มคนไท ซึ่งรวมทั้งที่เป็นคนไทโบราณ คนไทในประเทศอินเดีย ประเทศพม่า และประเทศไทย ในองค์ประกอบของพิธีเรียกขวัญ 5 ประการ คือ คำเรียกขวัญ อุปกรณ์และสิ่งของที่ใช้ในการประกอบพิธี ผู้เรียกขวัญ เจ้าของขวัญ และผู้ร่วมพิธีขวัญ
โดยผู้เขียนเน้นศึกษาเฉพาะคำเรียกขวัญเท่านั้น (ส่วนองค์ประกอบอื่น ๆ ผู้เขียนกล่าวถึงเพียงเล็กน้อย) เนื่องจากสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดในพิธีทำขวัญคือ "คำเรียกขวัญ" คำเรียกขวัญ นับเป็นหัวใจสำคัญของพิธี การเปลี่ยนแปลงของจุดประสงค์ของการเรียกขวัญ ทำให้ชนิดของภาษาที่ใช้ในคำเรียกขวัญเปลี่ยนไปด้วย จากการเรียก กลายเป็นการพรรณนา การกล่าวถ้อยคำทั่วไป และวิวัฒนาการเป็นการกล่าวถ้อยคำเพื่อมุ่งมั่นให้มีผลต่อผู้ฟังในที่สุดคนไท,พิธีทำขวัญ,รัฐฉาน,รัฐอัสสัม,ประเทศไทยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดแพร่ ประเทศไทย2529https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=111
110รายงานการวิจัยการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของชาวไทลื้อ ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายราญ ฤนาท, ชุลีพร วิมุกตานนท์ไทลื้อบ้านไม้ลุงขน หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้อพยพเข้าสู่ประเทศไทยจากสิบสองปันนาในสาธารณรัฐประชาชนจีน และเมืองยองชายแดนพม่าเมื่อ 50 ปีมาแล้ว ซึ่งในช่วงแรกไทลื้อได้รับสัญชาติไทย แต่ต่อมาได้ถูกถอนสัญชาติในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ทำให้ไทลื้อได้รับความลำบาก เช่น ไม่สามารถเป็นเจ้าของที่ดิน และไม่สามารถเข้ารับราชการได้ เหล่านี้ทำให้พวกเขาถูกกีดกันออกไปจากการดำรงชีวิตแบบไทย ไทลื้อในแม่สายจึงได้แสดงความต้องการที่จะเป็นพลเมืองไทยอย่างเต็มที่ด้วยการผสมผสานทางวัฒนธรรมในหลาย ๆ ด้าน เพื่อจะได้มีส่วนร่วมอย่างสมบูรณ์ในสังคมไทยลื้อ,วัฒนธรรม,การผสมผสาน,การเปลี่ยนแปลง,การปรับตัว,เชียงรายตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=110
109วิทยานิพนธ์การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของพวนกับวัฒนธรรมไทย ศึกษากรณีชาวพวน ในตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัยประจักษ์ เข็มมุกด์การศึกษาถึงวัฒนธรรมดั้งเดิมของพวนและวัฒนธรรมของพวนที่ถูกผสมกลมกลืนโดยวัฒนธรรมไทย ตลอดจนความคิดเห็นของพวนที่มีต่อวัฒนธรรมที่ถูกผสมกลมกลืน และปัจจัยบางประการที่ช่วยให้การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของพวนได้ดีขึ้น วิ ธีการศึกษาผู้วิจัยได้กระทำโดยการสัมภาษณ์ด้วยตนเองทั้งหมด จำนวนประชากรที่ศึกษาจำนวน 255 คน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 5,000 คน ในตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ส่วนผลการวิจัยพบว่า การศึกษาสูงถูกผสมกลมกลืนได้ง่ายกว่าผู้มีการศึกษาต่ำ ผู้ที่พูดภาษาไทยได้ดีจะถูกผสมกลมกลืนได้ง่ายกว่าผู้ที่พูดภาษาไทยไม่ค่อยดี ผู้ที่ยึดมั่นในประเพณีมากถูกผสมกลมกลืนได้น้อยกว่าผู้ที่ยึดมั่นในประเพณีน้อย ส่วนปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการถูกผสมกลมกลืนได้ง่ายขึ้น ได้แก่ การอ่านหนังสือพิมพ์ การฟังวิทยุ การมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมภายนอกพวน ไทยพวน ไทพวน,การผสมกลมกลืน,วัฒนธรรม,หาดเสี้ยว,สุโขทัยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสุโขทัย ประเทศไทย2521ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=109
108หนังสือการเล่นคอนของลาวโซ่งที่บางกุ้งสมทรง บุรุษพัฒน์มีเนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่ประวัติความเป็นมา ความเป็นอยู่ในทุกๆ ด้านของลาวโซ่ง โดยได้พรรณนาเรื่องเครื่องแต่งกายได้ละเอียดเป็นพิเศษ แต่จุดสำคัญของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่การบรรยายถึงการเล่นคอนของลาวโซ่ง และได้วิเคราะห์ถึงบทบาทและหน้าที่ของการละเล่นคอนที่มีผลสะท้อนต่อสังคมลาวโซ่งลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,การเล่นคอน,ศิลปวัฒนธรรม,สุพรรณบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสุพรรณบุรี ประเทศไทย2524ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=108
107บทความการประท้วง การบวชต้นไม้ : การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของชุมชนชาวฉานTannenbaum, Nicolaจากบริบทประวัติศาสตร์การเมืองของไทย ที่มีเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีการนองเลือดหลายต่อหลายครั้ง การเรียกร้องต่อสู้ดังกล่าวแพร่หลายลงสู่ระดับรากหญ้า ทำให้ประชาธิปไตยเบ่งบานมากขึ้น เมื่อวิธีคิดประชาธิปไตยเติบโตในพื้นที่ชนบทหรือในกลุ่มชนกลุ่มน้อย นำมาซึ่งการเรียกร้อง การแสดงออกทางการเมือง เช่น การประท้วง การบวชต้นไม้ ซึ่งเป็นพิธีกรรมทางการเมืองที่มีผลนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของชุมชน การประท้วงเรียกร้องทำให้ชาวบ้านเข้าถึงอำนาจรัฐมากขึ้น เข้าถึงสิทธิความเป็นพลเมืองมากขึ้น ในขณะเดียวกันการบวชต้นไม้กลายเป็นพิธีกรรมที่แสดงตัวตน การเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นไทย เป็นพุทธ เป็นชุมชนในรัฐชาติไทยผ่านการบวชต้นไม้ถวายแก่ในหลวงไทใหญ่,ฉาน,การประท้วง,การเมือง,การจัดการทรัพยากร,แม่ฮ่องสอนตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2543ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=107
106วิทยานิพนธ์ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของกะเหรี่ยงกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น : ภาพสะท้อนวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงRenard, Ronald D.แผ่นดินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นดินแดนที่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์มากมาย การอยู่ร่วมกันในดินแดนผืนเดียวกันนำมาซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างกันทั้งดีและไม่ดี กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงก็เช่นกัน พวกเขาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่มีความสำคัญในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประวัติความเป็นมาของกะเหรี่ยงนั้นยังไม่สามารถกล่าวได้อย่างชัดเจนเพราะพวกเขาไม่มีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร มีเพียงการบอกเล่ากันเท่านั้น พวกเขาเชื่อว่าพวกเขานั้นถูกเอาเปรียบจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่กว่าเสมอ ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์นั้น คือ กลุ่มคนไท พวกไทเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่ตามแผ่นดินใหญ่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ของทั้งสองกลุ่มบอกเล่าความสัมพันธ์ทั้งเป็นมิตรและแย่งชิง ไม่ว่าอย่างไรกะเหรี่ยงก็มักจะสูญเสียและถูกกลืนอยู่เสมอ เรื่องราวของกะเหรี่ยงปรากฎอยู่ในหลักฐานของทั้งพม่า ฉาน มอญ และไทย หลักฐานต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงการต้องอยู่ใต้อำนาจของกะเหรี่ยง พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ทำหน้าที่สอดส่องดูแลพรมแดนไทยมาตั้งแต่สมัยอดีต มีฐานะเฉกเช่นไพร่พลไทย ส่งส่วยแก่รัฐมาตลอด ดังนั้นน่าจะเป็นตัวผลักดันให้กะเหรี่ยงเข้ามามีบทบาทในสังคมไทย พวกเขาเป็นแหล่งสินค้าป่าที่สำคัญ เป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญ ความสำคัญดังกล่าวทำให้พวกเขากลายมาเป็นคนไทยได้ไม่ยากหนัก ขณะเดียวกันความสำคัญนั้นก็ทำให้พม่าและอังกฤษต้องการกะเหรี่ยงเช่นกัน กะเหรี่ยงจึงเป็นกลุ่มชาติพันธ์ที่ถูกโอบล้อมด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ที่จงใจจะครอบครอง กะเหรี่ยงที่กลายเป็นไทยทั้งคนไทยภาคกลางหรือคนไทยล้านนานั้น ต่างได้รับการปฏิบัติจากคนที่ราบไทยที่ต่างกัน คนไทยที่ราบล้านนาพยายามที่จะครอบครองและหาประโยชน์จากกะเหรี่ยง ขณะที่คนไทยที่ราบภาคกลางให้บทบาทหน้าที่แก่กะเหรี่ยงเพื่อช่วยเหลือประเทศ นโยบายจากกษัตรย์ผู้ปกครคองประเทศก็ย่อมผลต่อความสำคัญของกะเหรี่ยง เช่น ในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้นพระองค์ให้ความสำคัญแก่กะเหรี่ยงจนดูเหมือนว่า พวกเขากำลังจะได้รับสิทธิความเป็นพลเมืองที่สมบูรณ์เช่นเดียวกับคนไทยอย่างแท้จริง แต่เมื่อขึ้นรัชสมัยรัชกาลที่ 6 การเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์นำมาซึ่งการลดบทบาทความสำคัญของกะเหรี่ยงและบีบให้พวกเขาต้องสูญเสียความเป็นกะเหรี่ยง จนสุดท้ายถูกกลืนเป็นคนไทย แม้ว่าจะเป็นคนไทยแต่พวกเขาก็ยังถูกทอดทิ้ง และไม่ได้รับสิทธิแห่งความเป็นพลเมืองอยู่ดีไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบันปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ประวัติศาสตร์,ความสัมพันธ์,ภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย2523ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=106
105วิทยานิพนธ์Kinship and Identity among Hmong in ThailandLeepreecha, Prasit (ประสิทธิ์ ลีปรีชา)การบ่งบอกเครือญาติในประเทศไทย ได้ถูกกำหนดขึ้นใหม่โดยนโยบายการกลืนกลายและการบูรณาการของรัฐ การเผยแพร่ศาสนาพุทธและคริสต์ แม้การบ่งบอกเครือญาติจะเปลี่ยนไป แต่ทว่าก็ยังคงเป็นศูนย์กลางในการรักษาอัตลักษณ์ของม้ง ขณะที่ม้งปรับเข้ากับวัฒนธรรมไทยอันเป็นกระแสหลักและปรับตัวเข้ากับปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจสังคมสมัยใหม่ ม้งก็ได้ใช้บริบทสมัยใหม่เหล่านี้สร้างความเข้มแข็งให้กับเครือญาติและอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของตน ในการศึกษานี้ ผู้ศึกษาตรวจสอบระบบเครือญาติและวิธีสืบทอดระบบเครือญาติจากกิจกรรมประจำวัน ได้แก่ การกำหนดการจำแนกเครือญาติใหม่โดยระบบจดทะเบียนและการศึกษาของรัฐ วัฒนธรรมไทย และการเผยแพร่ศาสนาพุทธและคริสต์ รวมทั้งวิธีรวมเครือญาติของตนเข้ากับความรู้และวิทยาการสมัยใหม่เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่อัตลักษณ์ของตน (จาก Abstract)ม้ง,เครือญาติ,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=105
104บทความMigrants, Runaways and Opium Growers: Origins of the Hmong in Laos and Siam in the Nineteenth and Early Twentieth CenturiesCulas, Christianจากหลักฐานที่มีอยู่ม้งที่เข้ามาในทางตอนเหนือของไทย ได้อพยพมาจากลาวบริเวณเชียงของและหลวงพระบาง ในตอนปลาย คริสตวรรษที่ 19 และม้งในบริเวณดังกล่าวได้อพยพมาจากทางตอนใต้ของจีน ในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นอันเนื่องมาจากการสู้รบ การถูกรุกราน สภาวะข้าวยากหมากแพง และการเกิดโรคระบาดม้ง,การอพยพ,การตั้งถิ่นฐาน,เศรษฐกิจและการเมือง,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=104
103วิทยานิพนธ์เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าม้งบ้านห้วยน้ำไซ อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลกปรารถนา มงคลธวัชมีเนื้อหาครอบคลุมหลายประเด็น อธิบายความเป็นมา วิถีชีวิต ความเชื่อและประเพณี เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ของม้งบ้านห้วยน้ำไซ อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก โดยเน้นที่ปัจจัยภายในและภายนอกที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมม้ง,เอกลักษณ์,วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,พิษณุโลกตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดพิษณุโลก ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=103
102รายงานการวิจัยการใช้สมุนไพรของชาวม้ง บ้านป่าเกี๊ยะ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่วราภรณ์ ปัณณวลี,ศิริวรรณ สุทธจิตต์,อุไรวรรณ แสงศร, เจมส์ แฟรงกลิน แมกซ์เวลมีเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้สมุนไพรในการบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยหรืออาการผิดปกติของม้งบ้านป่าเกี๊ยะ ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ โดยอธิบายถึงจำนวนพืชสมุนไพรที่ใช้ วิธีการใช้ ใช้รักษาอาการป่วยประเภทใด และเปรียบเทียบกับการใช้สมุนไพรในตำราสมุนไพรไทยม้ง,สมุนไพร,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2533ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=102
101รายงานการวิจัยไทย้อกันทรวิชัยทวี ถาวโร และ จำนง กิติสกลผลการวิจัยพบว่า ในอำเภอกันทรวิชัยจังหวัดมหาสารคาม มีกลุ่มชาติพันธุ์ไทย้อที่ยังใช้ชีวิตตามวัฒนธรรมไทยย้อ อยู่ 7 ชุมชน คือ บ้านท่าขอนยางและบ้านวังหว้า ตำบลท่าขอนยาง บ้านหนองขอน บ้านส้มปล่อยและบ้านโนน ตำบลคันธารราษฎร์ บ้านน้ำใส ตำบลขามเฒ่าพัฒนาและบ้านดอนก้านตง ตำบลนาสีนวน ทั้ง 7 ชุมชน มีจำนวนครัวเรือนรวม 1,029 ครัวเรือน มีประชากรรวม 4,709 คน ปัจจัยสี่ในการครองชีพของไทย้อ เดิมทีมีเอกลักษณ์ของตนเอง ทั้งในเรื่องที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม อาหารการกินและการบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ แต่ได้ปรับเปลี่ยนตามกาลเวลา สถานการณ์และภาวะแวดล้อมผสมกลมกลืนไปกับวัฒนธรรมอีสานและวัฒนธรรมไทยสากล บริบทของชีวิตของไทยย้อ เป็นไปอย่างเรียบง่ายตามแบบสังคมเกษตรกรรม ทำนาเป็นอาชีพหลัก อาชีพเสริม ได้แก่ ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และรับจ้าง อาชีพรับราชการและค้าขายมีน้อยมาก ฐานะความเป็นอยู่พอมีพอกิน แต่ถ้าพิจารณารายได้ที่เป็นตัวเงินจัดว่าส่วนใหญ่ค่อนข้างยากจน ไทย้อมีหนี้สินแทบทุกครอบครัว ขนบประเพณีของไทย้อสอดคล้องกับฮีตสิบสองคลองสิบสี่ของสังคมอีสาน แม้รายละเอียดในการปฏิบัติก็แตกต่างกันไม่มาก พิธีกรรมส่วนมากผูกพันกับความเชื่อเรื่องผี ไทย้อนับถือผีหลายประเภทและเคร่งครัดต่อผีปู่ตาหรือผีบรรพบุรุษมาก ในรอบปีมีประเพณีเลี้ยงผีหลายครั้ง แต่ไทย้อก็เลื่อมใสศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง งานเทศกาลหรืองานประเพณีต่าง ๆ ผูกพันกับวัดและพระสงฆ์อย่างแนบแน่น ตั้งตนอยู่ในศีลธรรมอันดี วันสำคัญทางพุทธศาสนาไทย้อต่างรู้สึกแจ่มใสที่ได้เข้าวัดทำบุญ ครอบครัวของไทย้อเป็นครอบครัวระบบผัวเดียวเมียเดียว และเป็นครอบครัวขยาย นับถือความอาวุโส ผู้สูงอายุเป็นปูชนียบุคคลของลูกหลานและชุมชน การพัฒนาคุณภาพชีวิตของไทย้อมีทั้งด้านกายภาพและคุณภาพ มีพัฒนาการเกี่ยวกับเรื่องปัจจัยในการครองชีพ การสาธารณสุขมูลฐาน การศึกษาและการรับรู้ข่าวสารบ้านเมือง เป็นการพัฒนาในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าสังคมไทยย้อส่วนใหญ่เป็นสังคมชนบท แต่ไทย้อรุ่นใหม่มีค่านิยมตามอย่างสังคมเมือง โดยเฉพาะด้านวัตถุนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นิยมใช้เครื่องบริภัณฑ์สมัยใหม่ในครัวเรือนกันเป็นอย่างมาก ซึ่งสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจของครอบครัว ทำให้เกิดหนี้สินตามมา เรื่องที่น่าภาคภูมิใจสำหรับไทย้อนอกจากขนบประเพณีต่าง ๆ แล้วก็คือการมีภาษาของตนเอง ภาษาย้อเป็นวัฒนธรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทย้อญ้อ ย้อ ญ่อ โย้,วิถีชีวิต,กันทรวิชัย,มหาสารคามตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดมหาสารคาม ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=101
100รายงานการวิจัยการศึกษาของชาวไทยใหญ่ จีนฮ่อ ลัวะ และ กะเหรี่ยง : การศึกษาเฉพาะกรณีบ้านไม้ลุงขน บ้านถ้ำ บ้านกองลอย และบ้านผาแตกชนิตา รักษ์พลเมือง และคณะบุตรหลานกลุ่มผู้พลัดถิ่นไทยใหญ่และจีนฮ่ออพยพ ได้รับการผ่อนผันให้เข้าศึกษาในโรงเรียนภายในหมู่บ้าน ซึ่งโดยหลักการแล้วทางโรงเรียนจะไม่ออกใบรับรองให้ การเข้าเรียนของกลุ่มนี้จึงไม่เป็นการบังคับ ดังนั้นจึงมีบุตรหลานของกลุ่มผู้อพยพพลัดถิ่นอีกหลายคนที่ไม่ได้เข้าโรงเรียน แต่เมื่อได้เข้าโรงเรียนแล้วบางโรงเรียนจะให้เรียนร่วมกับนักเรียนไทยภายใต้หลักสูตร การเรียนการสอนและหลักเกณฑ์การประเมินผลการศึกษาเดียวกัน โอกาสในการศึกษาต่อของกลุ่มผู้อพยพพลัดถิ่นเหล่านี้มีน้อย แต่เมื่อเปรียบเทียบกัน จะพบว่าจีนฮ่อมีโอกาสได้รับสัญชาติไทยมากกว่า จึงทำให้มีโอกาสในการศึกษาสูงกว่าด้วย นอกจากจะศึกษาหาความรู้จากโรงเรียนทางการของไทย เด็กไทยใหญ่และจีนฮ่อยังได้เรียนรู้จากครอบครัว พระสงฆ์ และผู้นำชุมชนในหมู่บ้านด้วย สำหรับกลุ่มชาวเขาเผ่าลัวะ และกะเหรี่ยงนั้นได้รับสัญชาติไทย จึงมีหน้าที่ส่งบุตรหลานเข้ารับการศึกษาภาคบังคับในโรงเรียน หลักสูตรที่ใช้ในโรงเรียนภายในหมู่บ้านทั้งสองนี้ ไม่ได้ใช้หลักสูตรพิเศษสำหรับชาวเขา แต่ใช้หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 เช่นเดียวกับโรงเรียนรัฐบาลอื่น ๆ ดังนั้นทางโรงเรียนจึงต้องปรับเนื้อหาให้เข้ากับสภาพท้องถิ่น ส่วนความรู้ที่ลัวะและกะเหรี่ยงได้รับนอกโรงเรียนนั้นเป็นการเรียนรู้จากครอบครัวเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการสอนพูดและการนับถือผีตามความเชื่อของกลุ่ม ปัญหาการศึกษาที่มีร่วมกันได้แก่ ปัญหาการเรียนโดยใช้ภาษาอันเป็นภาษาที่เด็กเหล่านี้ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน ปัญหาครูส่วนใหญ่ไม่ได้รับการอบรมก่อนและหลังการปฏิบัติงานในโรงเรียน และปัญหาความสอดคล้องของเนื้อหาหลักสูตรกับสภาพท้องถิ่น สำหรับกลุ่มผู้อพยพพลัดถิ่นนั้น มีปัญหาทางการศึกษาในโรงเรียนมากนับตั้งแต่แนวปฏิบัติในการรับเข้าเรียนที่ไม่แน่นอน จนถึงการที่ไม่ได้รับใบรับรองเมื่อจบการศึกษาอันเป็นการตัดโอกาสในการศึกษาต่อและการประกอบอาชีพปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง, ไต คนไต ไตโหลง ไตหลวง ไตใหญ่, จีนยูนนาน จีนมุสลิม,การศึกษา,เชียงรายตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=100
99รายงานการวิจัยวันเดือนปี ชาวเขา (กะเหรี่ยงโปว์ และวัน เดือน ปี : กรณีจังหวัดอุทัยธานี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี)สมเกียรติ จำลอง, จันทบูรณ์ สุทธิกะเหรี่ยงกลุ่มย่อยโปว์ในเขตพื้นที่ทั้งสามจังหวัดคือ อุทัยธานี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี ได้รับเอาวัฒนธรรมจากมอญในเรื่องตัวอักษรและอักขระวิธีมาประยุกต์ใช้เป็นภาษาเขียนของตน รับเอาพุทธศาสนามาเป็นอีกด้านหนึ่งของความเชื่อ รวมทั้งระบบการลำดับวัน เดือน ปี หรือการใช้ปฏิทินเข้ามาใช้ในวัฒนธรรมของตน โดยนับรอบวันแบบ 7 วันเป็น 1 รอบ และนิยมเรียกชื่อวันทั้ง 7 เป็นภาษามอญมากกว่าภาษาของตนเอง มีการนับวันแบบจันทรคติซึ่งเป็นอิทธิพลจากพุทธศาสนาที่กะเกรี่ยงนับถือ มีการเรียกชื่อเดือนตามเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนนั้นๆ การนับปีจะใช้ระบบนักษัตรที่มีสัตว์เป็นสัญลักษณ์ตามระบบของจีนมาใช้ กะเหรี่ยงมีกิจกรรมทางสังคมและทางเศรษฐกิจเกือบตลอดทั้งปี ซึ่งจะเห็นได้จากการใช้แรงงานในรอบปีเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 10 เดือนและวันหยุดตามจารีตประเพณีในรอบปี การมีวัน เดือน ปีของกะเหรี่ยงโปว์จึงเอื้อประโยชน์ในการนำโครงการต่าง ๆ เข้าไปพัฒนา เพื่อจะได้เลือกช่วงเวลาให้สอดคล้องกับวันหยุดและก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทุก ๆ ฝ่ายโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง) ,วันเดือนปี,วิถีชีวิต,ความเชื่อ,พิธีกรรม,อุทัยธานี,กาญจนบุรี,สุพรรณบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=99
98วิทยานิพนธ์ประเพณีพิธีกรรมการเข้าทรงพ่อพญาสี่เขี้ยวของชาวไทยยวนบ้านสีคิ้ว ตำบลสีคิ้ว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมาสุดาพร หงษ์นครไทยยวนสีคิ้วเป็นกลุ่มไทยยวนกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลักฐานการอพยพเคลื่อนย้ายนั้นไม่ปรากฏ มีเพียงคำบอกเล่าจากร่างทรงพ่อพญาสี่เขี้ยวเท่านั้น พ่อพญาสี่เขี้ยวมีฐานะเป็นเสื้อบ้านเสื้อเมือง ผีบรรพบุรุษที่ไทยยวนสีคิ้วเคารพนับถือร่วมกัน พิธีกรรมการเข้าทรงของพ่อพญาสี่เขี้ยวเป็นการผสมผสานระหว่างความเชื่อในเรื่องผีบรรพบุรุษกับพุทธศาสนา พิธีกรรมดังกล่าวมีความสัมพันธ์อย่างยิ่งต่อวิถีชีวิตไทยยวนสีคิ้ว พิธีกรรมที่หน้าที่และบทบาทในสังคมไทยยวนสีคิ้ว เช่นการควบคุมคนในสังคมให้ประพฤติดี อยู่ในกรอบศีลธรรม ควบคุมคนผ่านพ่อพญาสี่เขี้ยวในฐานะเสื้อบ้านเสื้อเมืองที่ปกครองลูกบ้านหลานเมืองอย่างพ่อปกครองลูก ในขณะเดียวกันความเชื่อดังกล่าวยังเป็นเครื่องยึดโยงคนในสังคมไทยยวนสีคิ้วให้เกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นกลุ่มชาติพันธ์ที่มีรากทางประวัติศาสตร์เช่นกัน ด้วยความสำคัญหลายประการของพ่อพญาสี่เขี้ยว ไทยยวนสีคิ้วจึงจัดงานเลี้ยงพ่อพญาสี่เขี้ยวขึ้นทุกปีช่วงวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 6 มีการเซ่นสังเวย การเฉลิมฉลองและการแสดงมากมายที่บ่งบอกความเป็นไทยยวนสีคิ้ว เช่น การฟ้อนรำ ฟ้อนดาบ ด้วยเหตุนี้การเข้าทรงพ่อผีพญาสี่เขี้ยวซึ่งเป็นพิธีกรรมทางความเชื่อจึงมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของไทยยวนสีคิ้วสืบมาจนกระทั่งปัจจุบันยวน ตนเมือง ไทยวน ,พิธีกรรมเข้าทรง,พ่อผีพญาสี่เขี้ยว,บ้านสีคิ้ว,นครราชสีมาตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=98
97วิทยานิพนธ์Islam and Malay Nationalism : A case study of the Malay-Muslims of Southern Thailand.สุรินทร์ พิศสุวรรณผู้เขียนวิทยานิพนธ์นำเสนอบทบาทมาเลย์-มุสลิมทางภาคใต้ของประเทศไทย ใช้ศาสนาอิสลามเพื่อความเป็นอิสระทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม และการปกครองตนเอง นโยบายการปกครองของรัฐไทยต่อมาเลย์-มุสลิม และผลที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวโดยใช้ความรุนแรง การก่อจลาจล และการเปลี่ยนมาให้ความสนใจทางศาสนาและดำเนินตามกฏข้อบังคับอย่างเคร่งครัด รวมถึงการให้ความสนับสนุนในการดำเนินการจากต่างประเทศทั้งต่อรัฐไทยและมาเลย์-มุสลิมออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มาเลย์-มุสลิม,ศาสนาอิสลาม,การเคลื่อนไหวทางการเมือง,ประเทศไทยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย2528ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=97
96วิทยานิพนธ์พลวัตรชุมชนล้านนาในการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพกฤษฎา บุญชัยชุมชนบ้านน้ำจำมีการจัดการทรัพยากรชีวภาพอย่างหลากหลาย การพัฒนาระบบการผลิต องค์ความรู้การคัดเลือกพันธุ์พืชเขตร้อน แลกเปลี่ยนกระจาย ความรู้เรื่องบริโภคอาหารพื้นบ้าน การใช้ประโยชน์บนฐานของความเชื่อเรื่อง "ผี" ครอบคลุมมิติจิตวิญญาณ ตั้งแต่ พ.ศ.2500 เป็นต้นมา ชุมชนได้ผลกระทบ 3 ประการ ประการแรก นโยบายสัมปทานไม้ของรัฐ ที่จูงใจให้ชาวบ้านละเมิดกฎเกณฑ์ชุมชน ประการที่ 2 การส่งเสริมพืชพาณิชย์ซึ่งเป็นแบบแผนการผลิตใหม่ ประการสุดท้าย การกำหนดสิทธิของรัฐในลักษณะกรรมสิทธิ์รัฐและกรรมสิทธิ์ปัจเจกได้มาลดทอนสิทธิการใช้ประโยชน์ "หน้าหมู่" (common property) สร้างความไม่มั่นใจแก่ชาวบ้านในการทำมาหากิน อำนาจในการรักษาและกีดกันคนภายนอกของชุมชนลดลง เงื่อนไขเหล่านี้เป็นแรงกดดันให้ชาวบ้านต้องปรับตัวไปในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ทำสวน ปลูกพืชผัก รับจ้างทั้งนอกและในชุมชน ลดรอบไร่หมุนเวียนและการปลูกพาณิชย์ รูปแบบหลังพบว่ามีความเสี่ยงสูงที่สุด เพราะในขณะที่กลไกราคาทำงานเต็มที่ ชาวบ้านไม่ได้เป็นเจ้าของผลผลิตตนเอง กลับเข้าสู่วัฎจักรหนี้ อย่างไรก็ดี โครงสร้างทางสังคมของชุมชนเองก็ยังสามารถเกาะตัวเพื่อปรึกษา หารือสรุปบทเรียนในระดับชุมชน และยกระดับสู่เครือข่ายเพื่อหาทางเลือกในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน และชุมชนมีความมั่นคงในชีวิต ซึ่ง "กลุ่มฮักเมืองน่าน" ได้เข้ามามีบทบาทหนุนช่วยชุมชน (หน้า 113, 124-125, 134-140) อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยยังได้ใช้กรอบประชากร ซึ่งไม่ได้เป็นเหตุและผลต่อกันเพียงประการเดียว พบว่าแรงกดดันภายนอกเรื่องนโยบายรัฐ การประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่มาก่อนปัจจัยประชากรเพิ่มขึ้น และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชาวบ้านเกิดความมั่นใจเรื่องสิทธิ นอกจากนี้ ไม่ได้มีหลักฐานมารองรับหรืออ้างอิงปรากฎในงานวิจัย เช่น ประชากรในพื้นที่ศึกษาเพิ่มจริง แต่ไม่มีตัวเลขยืนยันการเบิกที่มากกว่า 5 ไร่จากการถือครองเดิมของแต่ละครัวเรือน (หน้า 136-137, 192 )ยวน คนเมือง ไทยวน,ความหลากหลายทางชีวภาพ,ภูมิปัญญา,การปรับตัว,น่านตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=96
95รายงานการวิจัยอิทธิพลของคติความเชื่อทางสังคมและวัฒนธรรมต่อพัฒนาการของรัฐไท : กรณีศึกษาไทดำ ลื้อ และยวนรัตนาพร เศรษฐกุลศึกษาพัฒนาการของรัฐไทโดยเฉพาะกรณียวนในภาคเหนือของประเทศไทย ลื้อในสิบสองปันนา ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และไทดำในแขวงหลวงน้ำทา ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในดินแดนล้านนา สิบสองปันนาและสิบสองจุไท จากชุมชนหมู่บ้านที่มีพื้นฐานจากกลุ่มตระกูลและความเชื่อถือผี เมื่อพัฒนาขึ้นเป็นเมืองมีการนำพุทธศาสนาเข้ามาผสมผสานกับคติความเชื่อดั้งเดิม ทั้งความเชื่อถือผีและพุทธศาสนา ได้รับรองอำนาจของผู้ปกครองบ้านเมืองในฐานะตัวกลางระหว่างผีกับประชาชน และควบคุมกำลังคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับบ้านและเมือง ส่วนพุทธศาสนาก็ช่วยเสริมอำนาจและควบคุมพฤติกรรมของผู้ปกครอง และเป็นโครงสร้างที่ช่วยควบคุมสังคมจากการปกครองของผู้อาวุโสใน "ขะกุ๋น" หรือ ตระกูล ได้เข้าสู่ระบบศักดินาไท ภายใต้การปกครองของเจ้าเมืองและเจ้าแผ่นดิน ล้านนาได้พัฒนารูปแบบของรัฐไปถึงระดับอาณาจักรภายใต้กษัตริย์ที่มีอำนาจเด็ดขาด ในขณะที่ สิบสองจุไทและสิบสองปันนาปกครองแบบสมาพันธ์ที่ผู้ปกครองได้รับการยอมรับจากบรรดาเจ้าเมืองต่าง ๆ โดยที่เมืองต่าง ๆ ยังมีอำนาจการปกครองตนเอง เป็นการปกครองแบบกระจายอำนาจ (หน้า 2, 113, 131, 137, 144)ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ลื้อ,ยวน คนเมือง,ความเชื่อผี,พุทธศาสนา,พัฒนาการทางการเมือง,ลาว,จีน,ไทยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=95
94บทความครอบครัวกับการเปลี่ยนแปลง : กรณีชาติพันธุ์ผู้ไทยสุวิทย์ ธีรศาศวัต และ ณรงค์ อุปัญญ์เมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นสังคมก็ย่อมเกิดเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้น เป็นการเคลื่อนไหวทางสังคม และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามมา สำหรับผู้ไทยบ้านหนองโอใหญ่ก็เช่นกัน มีการอพยพจากประเทศลาวเข้ามาสู่ประเทศไทยและวัฒนธรรมไทย ก็ย่อมต้องปรับตัวให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่ด้วยกระแสของโลกในปัจจุบันได้ก่อให้เกิดเป็นปัจจัยทั้งภายนอกและภายใน ยากที่ต้านทานได้จึงทำให้วิถีชีวิตของผู้ไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตั้งแต่ระดับครอบครัว ดังนั้นสังคมของผู้ไทยจึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรคนในชุมชนก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางภาษาและประเพณีดั้งเดิมไว้ได้หลายอย่าง โดยเฉพาะพิธีเอาฮูปเอาฮอย การเฆี่ยนเขย และผีปู่ตา ให้อยู่คู่ไปกับโลกยุคโลกาภิวัตน์นี้ได้เป็นอย่างดีผู้ไท,การเปลี่ยนแปลง,วิถีชีวิต,มุกดาหารตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=94
93วิทยานิพนธ์พิธีบุญกำฟ้าของลาวพวน : กรณีศึกษาหมู่บ้านพวน ตำบลบางน้ำเชี่ยว อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรียุรี ใบตระกูลพิธีบุญกำฟ้าเป็นพิธีกรรมโบราณที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของลาวพวนที่คงอยู่ สัญลักษณ์ในพิธีกรรมเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพิธีกรรมแห่งความอุดมสมบูรณ์ โดยพิธีกรรมสะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้าง และการจัดระเบียบทางสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ในสังคมเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ และพิธีกรรมยังสะท้อนให้เห็นโครงสร้างทางเครือญาติและการตั้งถิ่ฐานบ้านเรือนหลังการสมรส และการให้ความสำคัญกับญาติทางฝ่ายหญิงเป็นหลัก อีกทั้งพิธีกรรมยังสะท้อนให้เห็นความเชื่อที่ประกอบด้วยพุทธศาสนา ลัทธิพราหมณ์ และความเชื่อดั้งเดิม นอกจากนี้พิธีกรรมยังมีบทบาทในการยึดเหนี่ยวให้ลาวพวนมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งในระดับบุคคลและระดับชุมชนพวน ไทยพวน ไทยพวน,พิธีบุญกำฟ้า,สิงห์บุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสิงห์บุรี ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=93
92รายงานการวิจัยความเชื่อทางศาสนาของชาวกะเหรี่ยง : กรณีศึกษาวันปีใหม่กะเหรี่ยงที่วัดแจ้งเจริญ อำเภอวัดเพลง จังหวัดราชบุรีสุรินทร์ เหลือลมัยกะเหรี่ยงเดิมมีการนับถือผี ด้วยความกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่มองไม่เห็น แต่ผีมองเห็นการกระทำทุกอย่างของพวกเขา และจะลงโทษให้เกิดการเจ็บป่วย หรือทำให้เกิดความเสียหายแก่ผลผลิตหรือสัตว์เลี้ยงได้ จึงเกิดข้อห้ามเป็นกลวิธีในการควบคุมสังคม ทำให้กะเหรี่ยงไม่กล้ากระทำผิด ปัจจัยที่ทำให้กะเหรี่ยงในเขตวัฒนธรรมราชบุรีและเพชรบุรีหันมานับถือพุทธศาสนา เกิดจากเจ้าอธิการนวม อดีตเจ้าอาวาสวัดแจ้งเจริญ อำเภอวัดเพลง จังหวัดราชบุรี ได้ถือธุดงค์เข้าไปจนถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยง และเกิดการลองของใช้คาถาอาคมทางไสยศาสตร์ ระหว่างเจ้าอธิการนวมกับหัวหน้าผู้นำกะเหรี่ยงโปว์ หัวหน้ากะเหรี่ยงยอมแพ้และรับนับถือพุทธศาสนา แต่ยังคงสืบทอดการถือผี ความเป็นพุทธมีการยอมรับตั้งแต่ระดับครอบครัว เครือญาติ จนถึงกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งจังหวัดราชบุรีและเพชรบุรี โดยมีศูนย์รวมจิตใจที่วัดแจ้งเจริญ ปัจจุบันกะเหรี่ยงมาวัดแจ้งเจริญเพื่อทำบุญแห่รูปหล่อเหมือนหลวงพ่อนวม มาบวชแก้บนเป็นสามเณรหรือชีพราหมณ์ และมาสรงน้ำเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัวแทนของหลวงพ่อกะเหรี่ยง ตราบใดที่กะเหรี่ยงรุ่นใหม่ยังเห็นว่า การบนกับหลวงพ่อกะเหรี่ยงยังสามารถตอบสนองความต้องการ ระบบความเชื่อและพิธีกรรมดังกล่าว จึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมวันชุมนุมปีใหม่กะเหรี่ยงให้คงอยู่ต่อไปได้อย่างมั่นคงโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),พิธีกรรม,ความเชื่อ,งานปีใหม่,ราชบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=92
91ปริญญานิพนธ์การนับถือผีบรรพบุรุษของชาวกะเหรี่ยงโปว์ : บทบาท ความสำคัญ และการเปลี่ยนแปลง กรณีศึกษาที่หมู่บ้านดงเสลาเก่า ตำบลด่านแม่แฉลบ อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรีสุภลักษณ์ โทณลักษณ์ประเพณีการนับถือผีบรรพบุรุษมีบทบาทสำคัญในการจัดระเบียบทางสังคมและวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงโปว์ที่หมู่บ้านดงเสลาเก่า เพราะเป็นกลไกสำคัญในการจัดการระบบการผลิตภายในสังคมของกะเหรี่ยงโปว์ ทั้งด้านแรงงานและการจัดสรรที่ดิน เพราะไม่มีการกำหนดกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่จะอาศัยข้อปฏิบัติทางความเชื่อเรื่องการนับถือผีบรรพบุรุษมาเป็นข้อเจรจา เพื่อลดความขัดแย้งในปัญหาที่ดินแทน ด้านแรงงาน การเน้นครอบครัวเดี่ยวมากกว่าครอบครัวเชิงขยาย ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการกระจายแรงงานการผลิตในสังคมที่ใช้ระบบการทำไร่หมุนเวียน การผ่อนคลายความเคร่งครัดของข้อปฏิบัติในการประกอบพิธีกรรมตามประเพณีการนับถือผีบรรพบุรุษ อันเนื่องมาจากต้องการความสะดวกทั้งด้านการเดินทาง และการลดค่าใช้จ่าย ในการธำรงรักษาประเพณีอันเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์ตนไว้ ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของประเพณีการนับถือผีบรรพบุรุษของกะเหรี่ยงที่หมู่บ้านดงเสลาเก่า พุทธศาสนาและการเข้ามาของชาวไทยพื้นราบ ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้กะเหรี่ยงที่หมู่บ้านแห่งนี้ต้องปรับตัว เพื่อการยอมรับทางสังคม แต่อย่างไรก็ตาม ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษในสังคมกะเหรี่ยงโปว์ ก็ถือเป็นกลไกสำคัญในการปรับตัว การสร้างความรู้สึกร่วมและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในสังคม และก่อให้เกิดสำนึกร่วมทางด้านชาติพันธุ์และการดำรงเอกลักษณ์ของกลุ่มให้คงสืบต่อไป ทั้งนี้ก็เพื่อความอยู่รอดของสังคม (หน้า 72-74)โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),บทบาท,ความสำคัญ,การนับถือผีบรรพบุรุษ,การเปลี่ยนแปลง,กาญจนบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=91
90รายงานการวิจัยการพัฒนาทางสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ : ชาวไทยมุสลิมเสาวนีย์ จิตต์หมวด,รศ.,ดนัย มู่สาผลการศึกษาวิจัยปรากฏผลอย่างชัดเจนในพัฒนาการด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครองที่สังคมไทยมุสลิมจำต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงในบริบทของสังคมอื่นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงในสภาวะปัจจุบันที่รวดเร็ว ซับซ้อน ทั้งกระแสโลกาภิวัตน์ โลกไร้พรมแดน เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป สังคมไทยมุสลิมจำต้องปรับตัวให้ไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ โดยที่สังคมยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิมไว้ในการรักษาวิถีชีวิตตามรูปแบบอิสลาม ทางด้านเศรษฐกิจ มีการทำธุรกรรมที่อยู่บนพื้นฐานและมีทางเลือกที่ไม่ขัดกับหลักการอิสลาม ทางด้านการเมืองการปกครอง มีบทบาทในการเข้ามากำหนดทิศทางพัฒนาตนเองได้ การปรับตัวทั้งหมดต้องอาศัยแนวความคิดพื้นฐาน คือ การเห็นคุณค่าและเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรมว่าสามารถเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาและอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข นั่นคือคนไทยมุสลิมจะต้องปรับตัวทั้งในเรื่องความคิดที่กว้างไกลบนเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง การเรียนรู้และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง การรู้จักใช้หลักการศาสนา โดยเฉพาะในเรื่องความเรียบง่าย สมถะมาหยุดยั้งตนเองไม่ให้ตกอยู่ในกระแสของความสับสน พร้อมจะเดินทางควบคู่กันไปทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างมีดุลยภาพ (หน้า 124-133)มุสลิม,การพัฒนาทางสังคม,ประเทศไทยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=90
89วิทยานิพนธ์การยอมรับระบบทำงานสมัยใหม่ของสตรีไทยมุสลิม : กรณีศึกษาสตรีไทยมุสลิมที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม จังหวัดปัตตานีสุทัศน์ ศิลปวิศาลจากการศึกษา โดยรวมพบว่าสตรีไทยมุสลิมที่เข้ามาทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม ที่มีความเคร่งครัดในศาสนาแตกต่างกัน มีความสำนึกรับผิดชอบต่อการทำงานนอกบ้าน โดยรวมทุกเรื่องแตกต่างกันคือ สตรีไทยมุสลิมที่มีความเคร่งครัดในศาสนามาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.6578 ในขณะที่สตรีไทยมุสลิมที่มีความเคร่งครัดในศาสนาน้อย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.8152 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบจากค่าเฉลี่ยที่ปรากฏ พบว่าสตรีไทยมุสลิมที่มีความเคร่งครัดในศาสนามาก มีความสำนึกรับผิดชอบต่อการทำงานนอกบ้านโดยรวมทุกด้านคือ ด้านการมาถึงที่ทำงานก่อนหรือทันเวลาเป็นประจำ ด้านการมาทำงานเป็นประจำ ด้านการปฏิบัติตามข้อกำหนดของโรงงาน ด้านการทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จทันเวลาที่กำหนด ด้านเมื่อสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในโรงงาน แล้วบอกให้หัวหน้าทราบน้อยกว่า สตรีไทยมุสลิมที่มีความเคร่งครัดในศาสนาน้อย ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่วางไว้ ซึ่งพบว่าคนไทยมุสลิมมีการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ยังพบว่า ชีวิตการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม เริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 05.00 น. คนงานส่วนมากจะแต่งชุดทำงานออกจากบ้าน แต่ไม่ใช่แต่งครบเครื่องกล่าวคือ ใส่กางเกง เสื้อประจำโรงงาน หมวกและรองเท้า แต่ก่อนเข้าโรงงานต้องแต่งให้ครบเครื่อง เพราะกฎของโรงงานมีว่าเมื่อถึงโรงงานพร้อมที่จะทำงานได้ทันที ส่วนสตรีไทยมุสลิมผู้อยู่ในสถานภาพของภรรยาต้องดูแลงานบ้านและครอบครัว การประกอบอาชีพไม่ใช่หน้าที่หลักของสตรีไทยมุสลิม ซึ่งในเชิงวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ผู้ชายต้องเป็นฝ่ายหาเลี้ยงครอบครัว และสตรีที่มีความเคร่งครัดในศาสนามากมีความหวาดหวั่นในการสูญเสียความบริสุทธิ์ทางศาสนา อันเนื่องมาจากปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนมุสลิม ไม่ว่าด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษา การพัฒนา และการศาสนา (หน้า140-141)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ไทยมุสลิม,สตรี,โรงงานอุตสาหกรรม,ปัตตานีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=89
88วิทยานิพนธ์กระบวนการพัฒนาและธำรงเอกลักษณ์ "กระเทย" ในสังคมมุสลิมสมฤดี สงวนแก้วงานวิจัยเรื่อง "กระบวนการพัฒนาและธำรงเอกลักษณ์ "กะเทย" ในสังคมมุสลิม" มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงขั้นตอนที่ต่อเนื่องต่าง ๆ ของการพัฒนาและดำเนินไปสู่เอกลักษณ์ "กะเทย" โดยอธิบายถึงเงื่อนไขและประสบการณ์ที่สำคัญที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการ ตลอดจนอธิบายถึงการเปิดเผยตัวและการใช้ชีวิตของกะเทยในสังคมไทยมุสลิม (หน้า (1)) โดยใช้กรอบความคิดพื้นฐานทฤษฎีการปฏิสังสรรค์สัญลักษณ์ และแนวคิดเกี่ยวกับความเบี่ยงเบนจากทัศภาพเชิงสัมพัทธ์ (relative) เป็นแนวคิดหลักในการศึกษาครั้งนี้ พบว่ากระบวนการพัฒนาและธำรงเอกลักษณ์กะเทยมี 4 ขั้นตอน ดังนี้ (หน้า95) ขั้นตอนที่ 1 การรับรู้ความแตกต่าง : รับรู้ว่าตนแตกต่างจากเด็กผู้ชายคนอื่น ขั้นตอนที่ 2 การมีเอกลักษณ์ส่วนบุคคลเป็นกะเทย ขั้นตอนที่ 3 การเปิดเผย ขึ้นตอนที่ 4 การใช้ชีวิตและการปรับตัวของกะเทยในสังคมของคนรักต่างเพศออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ชีวิต,อัตลักษณ์,กะเทย,ปัตตานีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=88
87วิทยานิพนธ์หน้าที่ของมัสยิดต่อสังคมมุสลิมในภาคกลางเสาวนีย์ จิตต์หมวดสำหรับสังคมมุสลิมกล่าวได้ว่าสถานบันศาสนามีส่วนสำคัญมากที่สุดต่อชีวิตของมุสลิม ทั้งนี้เพราะวิถีการดำเนินชีวิตของมุสลิมทุกคน ต้องอยู่บนครรลองของอิสลามโดยตลอดอย่างแยกไม่ออก เพราะในอิสลามไม่มีนักบวช องค์ประกอบสำคัญของศาสนาอิสลามคือ ศาสนสถานที่อิสลามเรียกว่า "มัสยิด" หรือ "สุเหร่า" ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากศาสนาในศาสนาอื่นๆ คือไม่ใช่เป็นที่อยู่ประจำของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม มัสยิดก็มีหน้าที่เช่นศาสนสถานอื่น ๆ อันจะมีผลต่อสังคมนั้น ๆ จะแตกต่างกันก็แต่รูปแบบและเนื้อหาสาระ ด้วยรูปแบบเฉพาะของมัสยิดที่มีมาแต่สมัยของท่านศาสดามุฮำมัด (ค็อลฯ) ที่มัสยิดเป็นศูนย์กลางของชุมชน ซึ่งมีหน้าที่ทั้งด้านศาสนา การศึกษา สังคม เศรษฐกิจและการเมือง โดยมีอิหม่ามผู้ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้นำในการประกอบกิจการ ต่าง ๆ จึงเป็นที่มาของงานวิจัย (หน้า 148)มุสลิม,มัสยิด,ภาคกลางตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2527ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=87
86วิทยานิพนธ์ผลกระทบของการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อสตรีมุสลิม ศึกษากรณีชุมชนบ้านคลองดิน นครศรีธรรมราชรัศมี มะห์มูดีย์ศึกษาถึงความเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้าน ที่มีผลต่อหญิงมุสลิมในหมู่บ้านคลองดินที่เข้าไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม ที่เข้ามาตั้งในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียง ผลกระทบที่คนในหมู่บ้านได้รับมีหลายด้าน เช่น ปัญหามลพิษ ปัญหาด้านสังคม เช่น ปัญหาชู้สาว คนมีเวลาประกอบพิธีทางศาสนาน้อยลง เป็นต้น และมีการเปลี่ยนแปลงในด้านอื่นๆ มากขึ้น เช่น แต่ก่อนชาวบ้านมีฐานะยากจน ก็มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และผู้หญิงมีอำนาจในการตัดสินใจในครอบครัวมากขึ้นเพราะมีกำลังอำนาจทางเศรษฐกิจเพราะไปทำงานนอกบ้านมากขึ้นไทยมุสลิม,โรงงานอุตสาหกรรม,หลักปฏิบัติ,ศาสนาอิสลาม,บทบาทสตรี,นครศรีธรรมราชตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนครศรีธรรมราช ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=86
85วิทยานิพนธ์คติชนวิทยากับการอบรมเลี้ยงดูเด็กในสังคมไทยมุสลิม : ศึกษากรณีชุมชนบ้านครัวเหนือ กรุงเทพมหานครพงษ์พัชรินทร์ พุธวัฒนะคติชนประเภทความเชื่อต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในชุมชนบ้านครัวเหนือในปัจจุบัน พบว่า มีปรากฏอยู่ไม่มากนัก แต่ก็พบว่าความเชื่อที่ยังคงอยู่นี้ มีบทบาทในแง่การอธิบายหรือชี้แจงเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ หรือเป็นเรื่องราวที่อธิบายถึงผลของการเกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิธีการอื่นที่ดีกว่าได้ ในส่วนที่นำมาถ่ายทอดให้ลูกหลานฟังสืบต่อกันมานั้น มีทั้งในส่วนที่ใช้การอบรมสั่งสอน การชี้แนะแนวทางการประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบเกณฑ์ของการเป็นมุสลิมที่ดี โดยการนำเอาความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการกระทำต่าง ๆ ของมนุษย์ทั้งด้านดีและด้านเลว และให้เห็นถึงผลของการกระทำที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นการปลูกฝังให้เด็กเกิดความศรัทธา และเข้าใจในหลักคำสอนทางศาสนาอิสลามได้ชัดเจนยิ่งขึ้น (หน้า 199)ไทยมุสลิม,คติชนวิทยา,การอบรมเลี้ยงดูเด็ก,บ้านครัว,กรุงเทพมหานครตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=85
84หนังสือTu lieu ve Lich su va Xa hoi Dan toc Thai (เอกสารทางประวัติศาสตร์และสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ไท)ดั่งเงียมหว่าน และ คณะมีเนื้อหาเน้นในด้านประวัติศาสตร์ของกลุ่มไทดำในเวียดนาม โดยอาศัยข้อมูลจาก "ความโตเมือง" ซึ่งเป็นวรรณกรรมจารีตในท้องถิ่น นอกจากนี้ยังอธิบายถึงจารีตประเพณีท้องถิ่นที่เรียกว่า "ฮีตบ้านคองเมือง" และระบบการปกครองของไทดำ พร้อมตัวอย่างจารีตประเพณีของเมืองหม้วยไทดำ,ตำนาน,เอกสารประวัติศาสตร์,จารีตประเพณี,เวียดนามตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2520ภาษาเวียดนามhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=84
83รายงานการวิจัยชาวไทยลื้อในจังหวัดน่านรัตนาพร เศรษฐกุลการศึกษาลื้อในจังหวัดน่านนั้นได้เน้นถึงการศึกษาเรื่องราวในอดีต ทั้งประวัติการอพยพและการตั้งถิ่นฐาน การปกครองและความสัมพันธ์ระหว่างลื้อและชาวน่าน รวมทั้งศึกษาความเป็นอยู่ของลื้อในอดีตผ่านประเพณีและพิธีกรรมที่เกี่ยวกับชีวิต ตั้งแต่เกิด แต่งงาน และตาย ประเพณีเกี่ยวกับอาชีพและการทำมาหากิน รวมทั้งระบบการจัดการน้ำแบบเหมืองฝาย ซึ่งเป็นการจัดการแบบพึ่งพิงธรรมชาติ พิธีกรรมความเชื่อที่เกี่ยวกับผีที่อยู่ในทุกหนทุกแห่ง การบูชาผีตั้งแต่ผีเมือง ผีหมู่บ้าน และผีปู่ย่า ที่มีผลต่อพฤติกรรมทางสังคม และเศรษฐกิจของลื้อลื้อ,ประวัติการตั้งถิ่นฐาน,ประเพณี,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,น่านตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=83
82วิทยานิพนธ์'ดูทุหล่า' ในพิธีเรียกวีหล่าของชาวกะเหรี่ยงโป : กรณีศึกษากะเหรี่ยงโป บ้านเกาะสะเดิ่ง ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีโกวิท แก้วสุวรรณศึกษาความเชื่อเรื่องวีหล่าและบทบาทของพิธีกรรมเรียกวีหล่าที่มีต่อวีถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงโป ดูบทบาทของดูทุหล่าในพิธีกรรมเรียกวีหล่าในมุมมองทางมานุษยวิทยาการดนตรีโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),พิธีกรรม,มานุษยวิทยาการดนตรี,กาญจนบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=82
81วิทยานิพนธ์ฝิ่นกับคนม้ง : พลวัตความหลากหลายและความซับซ้อนแห่งอัตลักษณ์ของคนชายขอบอรัญญา ศิริผลวิทยานิพนธ์ของผู้เขียนมีใจความสำคัญที่มุ่งศึกษาถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐในฐานะผู้ครอบงำต่อม้งในฐานะกลุ่มด้อยอำนาจ ในประเด็นเรื่องการนิยามความหมายให้กับฝิ่นเป็นยาเสพติดที่ม้งถูกนำเสนอด้วยภาพตัวแทนเชิงสัญลักษณ์ร่วมกับภาพลักษณ์ทางชาติพันธุ์อื่นในลักษณะเชิงซ้อน ซึ่งทำให้ม้งกลายเป็นคนชายขอบในที่สุด ซึ่งผู้เขียนได้ค้นพบว่ามาจากการสร้างภาพตัวแทนหรือชุดนิยามความหมายและปฏิบัติการทางภาษาที่เกิดขึ้นในบริบททางการเมืองที่แตกต่างกันไป แต่ถูกนำมาเชื่อมโยงด้วยกัน ซึ่งรัฐได้สร้างภาพ "ความเป็นคนอื่น" ให้กับอัตลักษณ์ของม้งอย่างน้อย 3 ภาพใหญ่ ๆ คือ อัตลักษณ์ที่เกี่ยวกับฝิ่นในฐานะเป็นยาเสพติด เป็นผู้ทำลายความมั่นคงของชาติในบริบทของความขัดแย้งของอุดมการณ์ทางการเมือง และเป็นต้นเหตุของป่าที่ถูกทำลายในบริบทนิเวศการเมือง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง ยังถูกชิงวัฒนธรรมเพื่อสร้างเป็นสินค้าเพื่อการท่องเที่ยวในปัจจุบันด้วย การสร้างภาพลักษณ์เชิงซ้อนที่หลากหลายดังกล่าวโดยกลุ่มวัฒนธรรมครอบงำ โดยเฉพาะผ่านกลไกรัฐ ได้สร้างให้กลายเป็นแนวคิดที่ครอบงำสังคมทั่วไปให้เชื่อและยอมรับว่าม้งมีอัตลักษณ์เช่นนั้นโดยไม่สงสัยและไม่รู้ตัว ทั้งนี้ภาพลักษณ์เหล่านั้นมีปฏิบัติการในฐานะเป็นภาพตัวแทนทางการเมือง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการดำเนินนโยบายและมาตรการของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการอนุรักษ์หรือพัฒนาก็ตาม อย่างไรก็ตาม การครอบงำของอำนาจเหนือกว่านั้นไม่ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่อย่างใด หากแต่ยังมีช่องว่างภายใต้ความลักลั่นของกระบวนการกักขังอัตลักษณ์เชิงซ้อนดังกล่าว โดยเฉพาะปัจจุบันชุมชนม้งสัมพันธ์กับบริบทของโลกาภิวัตน์ในประเด็นสิทธิชุมชน สิทธิมนุษยชน การเมืองนิเวศ และความเป็นชาติพันธุ์ ทำให้กระบวนการปฏิบัติการของคนชายขอบได้พื้นที่ทางสังคมมากขึ้น จนมีฐานะเป็นการตอบโต้อำนาจครอบงำอย่างท้าทาย เพื่อแสดงตัวตนในเวทีเศรษฐกิจ-การเมืองระดับข้ามชาติได้ ดังกรณีศึกษานี้พบว่า ชุมชนม้งบ้านแทนธรรมได้ตอบโต้กระบวนการกักขังอัตลักษณ์ใน 2 ลักษณะ คือ การตอบโต้ในชีวิตประจำวัน และการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับวาทกรรมครอบงำของรัฐ เช่น การนิยามความหมายใหม่ต่อฝิ่น และตำนานของหมอยาพื้นบ้าน การดื้อแพ่งและเพิกเฉยต่ออำนาจรัฐของชาวบ้าน และการประชดประชันต่อมาตรการบังคับใช้กฎหมายของรัฐ ในขณะที่การปรับเปลี่ยนได้เลือกสร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกให้กับชุมชนและกลุ่มบุคคล เช่น สร้างภาพ "ชุมชนปลอดยาเสพติด" ปรับกฎเกณฑ์ทางสังคม/ชุมชนที่เสริมศักยภาพจารีตปฏิบัติของชุมชน อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนยังได้ให้มุมมองเชิงซ้อนในลักษณะเป็นพลวัตว่า กระบวนการตอบโต้ดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นทางเดียวเท่านั้น แต่มีการปรับเปลี่ยนและเลือกใช้ไปตามเงื่อนไขอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสวงหาพื้นที่ทางสังคมที่ดีที่สุด ดังการสร้างภาพลักษณ์ของความเป็นม้งของกลุ่มวัยกลางคนและรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจของม้งที่มีฐานะ และประสบผลสำเร็จในการศึกษาในระดับสูงมีอาชีพการงานนอกภาคการเกษตรที่ก้าวหน้า ด้วยเหตุนี้ อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ม้ง จึงไม่ได้ถูกผูกขาดโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเสมอไป ตรงกันข้ามกลับเป็นการสร้างขึ้น และสามารถถูกสร้างขึ้นใหม่ให้มีความหลากหลายและซับซ้อน นั่นคืออัตลักษณ์มีความเลื่อนไหลและเปลี่ยนผ่านเพื่อใช้เป็นยุทธวิธีในการต่อรอง และนำเสนอตัวตนที่ลื่นไหลไปตามเงื่อนไขของประสบการเรียนรู้ ชนชั้น รุ่นวัย สถานการณ์ และผลประโยชน์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง (หน้า จ-ช, 175-186)ม้ง,ฝิ่น,ประวัติศาสตร์,อัตลักษณ์,วัฒนธรรม,สินค้าวัฒนธรรมตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=81
80วิทยานิพนธ์พลวัตของความรู้ท้องถิ่นในฐานะปฏิบัติการของการอ้างสิทธิเหนือทรัพยากรบนที่สูง: กรณีศึกษาชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่อะภัย วาณิชประดิษฐ์ผู้เขียนได้ค้นพบหลักการสำคัญ 3 ประการ จากการปฏิบัติการของความรู้ท้องถิ่นเพื่ออ้างสิทธิชุมชนของชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ ภายใต้บริบทของการแย่งชิงทรัพยากรบนพื้นที่สูง คือ
1) การอ้างสิทธิชุมชนนั้น ชุมชนได้ใช้ความรู้ของชุมชนท้องถิ่นเองในรูปของจารีต ประเพณี ซึ่งชาวบ้านคุ้ยเคยและมีฐานะเป็นอุดมการณ์อำนาจของชุมชน สร้างความชอบธรรมต่อการอ้างสิทธิชุมชน โดยชุมชนสามารถนิยามคุณค่าใหม่ให้องค์ความรู้ท้องถิ่นของตนเองมีศักยภาพในการต่อรองอำนาจอย่างต่อเนื่อง
2) ในการอ้างสิทธิชุมชนนั้น ชุมชนไม่ได้ผูกขาดอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว ตรงกันข้ามชุมชนกลับพยายามเสนอรูปแบบการจัดการร่วมกับผู้ได้เสียทุกฝ่าย แม้โดยกฎหมายแล้วเป็นเพียงสิทธิโดยพฤตินัยก็ตาม และ 3) การที่รัฐไม่ได้รับรองสิทธิชุมชนให้มีความชอบธรรมโดยกฎหมายนั้น
เนื่องจากการจัดการทรัพยากรเป็นประเด็นนิเวศการเมือง โดยเฉพาะเป็นปัญหาในระดับโครงสร้างเชิงสถาบัน ดังนั้น ชุมชนจึงตระหนักถึงการปฏิบัติการและเคลื่อนไหวทางสังคมในทุกระดับ เพื่อแสวงหาอำนาจกาต่อรองให้กับการอ้างสิทธิชุมชนมีความชอบธรรมโดยกฎหมายต่อไป (หน้า จ-ฉ)ม้ง,การจัดการทรัพยากร,สิทธิชุมชน,การปรับตัว,มายาคติ,อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=80
79บทความMinority Politics in Thailand : A Hmong PerspectiveLee, Gary Yiaผู้เขียนอธิบายถึงความเป็นมาของความสัมพันธ์ระหว่างม้งและชาติพันธุ์บนเขากับรัฐบาลไทย สภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม และสถานภาพทางการเมืองของม้งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย การดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิพลเมืองและสิทธิการถือครองที่ดินทำกิน เนื่องจากทั้งสองสิ่งเป็นหลักประกันของสิทธิเสรีภาพและความมั่นคงในการดำเนินชีวิต ผู้เขียนบทความมีข้อสรุปว่า ตราบใดที่รัฐบาลไทยยังไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องสิทธิการเป็นพลเมือง (citizenship) และสิทธิการครอบครองที่ดิน (land tenure) ของม้งและกลุ่มชาติพันธุ์บนเขาแล้ว ก็จะยังคงมีความขาดแคลนและความไม่พอใจในกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ ทำให้ยากที่จะบูรณาการม้งให้ผนึกรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในฐานะพลเมืองไทย ซึ่งไม่ใช่เป็นเพราะม้งไม่ยินดีผนึกรวมกับชนชาติอื่น แต่เป็นเพราะเงื่อนไขทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เป็นอยู่ ไม่เอื้ออำนวยให้ม้งสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างอิสระเสรีและมั่นคง รัฐบาลจำเป็นต้องให้ม้งและกลุ่มชาติพันธุ์บนเขามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และเท่าเทียมในการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา จึงจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดความร่วมมือในโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล (หน้า 7)ม้ง,ความกลมกลืนกับคนพื้นราบ,นโยบายทางการเมือง,ชนกลุ่มน้อย,รัฐไทย,มุมมองของม้งตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2530ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=79
78หนังสือความสัมพันธ์ไทย-พม่า-กะเหรี่ยงสมโชค สวัสดิรักษ์กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งซึ่งรัฐบาลทหารพม่าถือว่าเป็นชนกลุ่มน้อย เมื่อพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ ชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ได้เรียกร้องขออิสระในการปกครองแต่รัฐบาลทหารพม่ากลับไม่ทำตามเงื่อนไขข้อตกลง ทำให้ชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ จัดตั้งกลุ่มเรียกร้องอิสระการปกครองจากรัฐบาลทหารพม่า เช่น กองกำลังกะเหรี่ยงซึ่งมีการจัดตั้งเป็นสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) โดยมีที่ตั้งอยู่ติดชายแดนตะวันตกของไทย ดังนั้น ในการสู้รบกันระหว่างไทย-พม่า จึงส่งผลต่อประเทศไทยในหลายแง่มุม ทั้งความมั่นคงเนื่องจากมีกระสุนปืนตกในฝั่งไทย บ้านเรือนประชาชนเสียหาย ทหารพม่าติดตามโจมตีกองกำลังกะเหรี่ยงเข้ามาในฝั่งไทย เรื่องเศรษฐกิจรัฐบาลกอตูเลมีทรัพยากรธรรมชาติที่พ่อค้าเอกชนและภาครัฐไทยต้องการ การติดต่อสร้างความสัมพันธ์กับรัฐกะเหรี่ยงจึงสำคัญต่อการค้าขาย ในขณะเดียวกันด้านมนุษยธรรม เมื่อเกิดการสู้รบทำให้กะเหรี่ยงได้รับบาดเจ็บ เดือดร้อนจากภัยสงครามจึงอพยพเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลไทยต้องให้การดูแล ช่วยเหลือ อันทำให้รัฐบาลทหารพม่ามองว่ารัฐบาลไทยให้การสนับสนุนสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงในฐานะรัฐกันกระทบ และใช้เรื่องดังกล่าวมาเป็นเงื่อนไขในการเจรจาด้านการค้า การลงทุนระหว่างไทย-พม่า ส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การต่างประเทศ ดังนั้นในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-พม่า-กะเหรี่ยง จึงเป็นความสัมพันธ์ที่เปราะบางโดยมีรัฐกะเหรี่ยงเป็นตัวแปรสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่าตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบันปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ความสัมพันธ์ไทย-พม่า,ปัญหาของรัฐกะเหรี่ยง,ประเทศพม่าตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=78
77วิทยานิพนธ์วิเคราะห์คำศัพท์เครือญาติของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยในภาคอีสานพระมหาณัฐพล โพไพวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ได้ศึกษาลักษณะของครอบครัว เครือญาติและคำศัพท์เครือญาติของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยในภาคอีสาน 7 กลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่ ไทยอีสาน ไทยโคราช ไทยญ้อ ไทยโย้ย ไทยแสก ผู้ไทย และไทยกะเลิง คำศัพท์เรียกชั้นเครือญาติของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยในภาคอีสานทั้ง 7 กลุ่ม มีทั้งหมด 665 คำศัพท์ แบ่งเป็น คำศัพท์เครือญาติร่วมตระกูล คำศัพท์เครือญาติร่วมกลุ่ม คำศัพท์เครือญาติข้ามกลุ่ม และคำศัพท์เครือญาติเฉพาะกลุ่ม คำศัพท์เครือญาติเป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดหรือสืบทอดจากบรรพบุรุษแบบมุขปาฐะด้วยการเลียนเสียงหรือสำเนียงพูดให้เหมือนกับ "ภาษาแม่" มากที่สุด แม้ว่าปัจจุบันจะได้รับอิทธิพลทางภาษาจากหลายรูปแบบ เช่น ทางสื่อสาร ทางการศึกษา ทางประสบการณ์ แต่ภาษาที่จัดเป็นภาษาแม่ หรือภาษาบรรพบุรุษ หรือภาษาหลักนั้นยังคงมีอิทธิพลมากในระดับท้องถิ่น และยังคงใช้สื่อในวิถีชีวิตอย่างต่อเนื่องตลอดมา (หน้า 2, 7, 37, 69)คนอีสาน ลาวอีสาน,ไทเบิ้ง ไทยเดิ้ง,ผู้ย้อย ย้อย ลาวย้อย ไทย้อย โย่ย,แสก,ผู้ไท,กะเลิง,ลักษณะครอบครัว,คำศัพท์ทางเครือญาติ,ภาคอีสานตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=77
76บทความ'The Country of Patani in the Period of Reawakening' A Chapter from Ibrahim Syukri's Serajah Kerajaan Melayu PataniSyukri, Ibrahim (นามปากกา) เขียน; Bailey, Corner and Miskic, John N. แปลความขัดแย้งเกิดขึ้นเพราะนโยบายของรัฐที่ชาวปัตตานีถือว่าเป็นการข่มขู่คุกคามวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมของคนมาเลย์ อีกทั้งการที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือพัฒนาทางเศรษฐกิจ เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งมาก็รับสินบนและเอาเปรียบประชาชนในพื้นที่ ทำให้ผู้เขียนเห็นว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการกดขี่ทางวัฒนธรรม การเมือง และตักตวงผลประโยชน์จากชาวปัตตานี ทำให้เกิดการต่อต้านที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ (หน้า 152)มุสลิม,ความขัดแย้ง,นโยบายรัฐ,ปัตตานีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2532ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=76
75บทความThe Muslim Seperatist Movement in Southern Thailand from an Indian ViewpointJha, Ganganathความแตกต่างทางวัฒนธรรม และการขาดความเข้าใจ นำไปสู่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างมาเลย์มุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้กับรัฐบาล มุสลิมไม่พอใจการปกครองที่เอาเปรียบทางเศรษฐกิจและถูกกดขี่ไม่ให้มีเสรีภาพในการใช้ชีวิตและการนับถือศาสนา นับแต่ยุคสิ้นสุดระบบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นต้นมามีการนำนโยบายสร้างความเป็นไทยมาใช้ หลวงพิบูลสงครามมีนโยบายรัฐนิยม คนไทยต้องรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นศาสนาใดก็ต้องแสดงความรักต่อสามสิ่งนี้ และเราอาจตีความได้ว่า คำว่าศาสนา ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงศาสนาคริสต์หรือหรืออิสลาม แต่คำนี้ในบริบทของไทยหมายถึงศาสนาพุทธ ซึ่งแนวคิดนี้ไม่เหมาะกับการอยู่อย่างสามัคคีในสังคมที่ประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติ ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ภูมิใจในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของตนเอง และยากที่จะเปลี่ยนแปลงหากผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามกลายเป็นพวกหลงผิด เชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาและกลายเป็นกบฏ รัฐเองก็ไม่อาจทนต่อคนเหล่านี้ได้นานนัก ด้วยเหตุนี้รัฐบาลไทยจึงถือว่าการกลืนชนกลุ่มน้อยให้เข้าสู่กระแสหลักของชาติเป็นความจำเป็นทางสังคมการเมืองของรัฐบาล ปัจจุบัน มีการพยายามที่จะเร่งปฏิรูปคนอิสลามให้ทันสมัย มุสลิมที่อพยพมาจากจีน อินเดีย และปากีสถานต่างก็ยอมรับวิถีชีวิตแบบไทยมากขึ้น ในทางกฎหมาย มุสลิมมีสิทธิและเสรีภาพเช่นเดียวกับคนไทยกลุ่มอื่น กฎหมายไทยที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลามให้การยอมรับสถานภาพของผู้ดำรงตำแหน่งทางศาสนา เช่น อิหม่าม คาทิป ฯลฯ และกษัตริย์ยังเป็นผู้ลงนามแต่งตั้งจุฬาราชมนตรีที่จะมาทำหน้าที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องของศาสนาอิสลาม ตลอดจนกิจกรรมและงานพิธีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม อย่างไรก็ตาม ศาสนาประจำชาติของไทยคือศาสนาพุทธ และศาสนาพุทธก็คือปัจจัยในความเข้าใจเรื่องความเป็นชาตินิยมของคนไทย ถึงแม้กษัตริย์ของไทยจะพยายามช่วยเหลือให้คนไทยเข้าใจและเคารพศาสนาอิสลาม แต่สังคมไทยไม่ยอมรับและอดทนต่อการต่อต้านของกลุ่มผู้แบ่งแยกดินแดนเท่าใดนัก ขณะเดียวกันมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแนวคิด ซึ่งทัศนคติเช่นนี้อาจขัดขวางและเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของท้องถิ่น กลุ่มผู้แบ่งแยกดินแดนก็มีจุดอ่อนอยู่ที่การมีคนอยู่น้อยเกินไป คือ ไม่ถึง 4 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งประเทศ ไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ในการที่จะเผชิญหน้ากับรัฐบาล และไม่รวมตัวกันเหนียวแน่น แต่แบ่งเป็น 3 กลุ่มที่สำคัญซึ่งแต่ละกลุ่มมีผู้นำของตนเองและไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเปิดเผยจากมาเลเซีย แม้ขบวนการเหล่านี้จะได้รับการช่วยเหลือจากประเทศอิสลามในตะวันออกกลาง ซึ่งการช่วยเหลือเช่นนี้ดูไม่ดีในทัศนคติของคนทั่วไป กลุ่มผู้แบ่งแยกดินแดนจึงไม่สามารถสร้างสถานการณ์รุนแรงได้มากพอที่จะเป็นภัยต่ออำนาจอธิปไตย และจากความอ่อนแอเมื่อเทียบกับอำนาจรัฐนี้เอง จึงอาจทำนายได้ว่าสถานภาพของมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะจะไม่มีพลังมากขึ้นในอนาคต มุสลิมมาเลย์ในไทยยังคงรู้สึกถึงวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน พวกแบ่งแยกดินแดนสามารถพยายามเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับคนไทยได้ถ้าคนไทยทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีความปลอดภัยมั่นคงในสังคม รัฐบาลต้องสร้างบรรยากาศสังคมที่ทำให้มุสลิมรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ต้องปรับปรุงสภาพเศรษฐกิจ เพราะถ้ามีความเจริญทางเศรษฐกิจ พฤติกรรมทางการเมืองก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ดังนั้น การพัฒนาทางเศรษฐกิจอาจทำให้เกิดหนทางอันสดใสที่มุสลิมจะกลืนกลายเข้ากับสังคมเหมือนกับคนจีนในประเทศไทย แต่สถานการณ์ในปัจจุบันกำลังเป็นไปในแบบตาต่อตา ซึ่งไม่ใช่วิธีที่จะนำไปสู่ความเข้าใจและสันติภาพได้เลย ช่วงทศวรรษ 2510 รัฐบาลพยายามปรับปรุงเครือข่ายการคมนาคมติดต่อสื่อสาร มีการสร้างถนนเชื่อมระหว่างอำเภอต่าง ๆ ตลอดจนสร้างสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา สถานีอนามัย หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ และริเริ่มโครงการชลประทาน 13 โครงการในจังหวัดนราธิวาส เป็นความพยายามเพิ่มผลผลิตและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีการสร้างสุเหร่าขนาดใหญ่ในจังหวัดปัตตานีที่ต้องใช้เงินถึง 200,000 เหรียญสหรัฐฯ และมีการตั้งศูนย์ฝึกอบรมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่มหาวิยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดปัตตานีเพื่อเน้นการศึกษาภาษามาเลย์และวัฒนธรรมมุสลิมเพื่อนำไปสู่การเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองชุมชนออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายูมุสลิม,ขบวนการแบ่งแยกดินแดน,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2532ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=75
74หนังสือCulture in Search of Survival The Phuan of Thailand and LaosSmuckarn, Snit and Breazeale, Kannonการศึกษานี้เป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของพวนในที่ราบภาคกลางของไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจการเมืองเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายประชากร การตั้งถิ่นฐานของพวนในพื้นที่ต่าง ๆ ของไทย และการปรับตัวของพวนให้เข้ากับเศรษฐกิจและสังคมไทย ในการศึกษาผู้เขียนใช้ข้อมูลจากเอกสารเพื่อจะได้เข้าใจประวัติศาสตร์ของพวน และเก็บข้อมูลภาคสนามที่อำเภอบ้านหมี่ เพื่อเข้าใจสภาวะสังคมและวัฒนธรรมของพวนในปัจจุบัน ส่วนแนวคิดในการศึกษาใช้แนวคิดการผสมกลมกลืนมาอธิบายการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ผลการศึกษาผู้เขียนสรุปว่า การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจจากเศรษฐกิจแบบยังชีพมาเป็นเศรษฐกิจแบบเงินตราทำให้พวนต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงการเลี้ยงชีพ เปลี่ยนจากการปลูกข้าวเพื่อยังชีพมาเป็นการปลูกเพื่อการค้า เปลี่ยนวิธีการปลูกข้าวเพื่อให้ได้ผลผลิตมากขึ้นและมีหนี้สินจากการปลูกข้าวมากขึ้น พวนเปลี่ยนอาชีพไปทำงานอื่นที่มีรายได้เลี้ยงชีพมากกว่าการปลูกข้าว และขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ได้ทำให้พวนหันมาให้ความสนใจกับการรักษาวัฒนธรรมของตนเองมากยิ่งขึ้นพวน,ไทพวน,การตั้งถิ่นฐาน,เศรษฐกิจสังคม,การปรับตัว,ลพบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดลพบุรี ประเทศไทย2531ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=74
73รายงานการวิจัยวัฒนธรรมกับยาเสพติด : กรณีศึกษาเผ่าแม้วทรงวิทย์ เชื่อมสกุลหมู่บ้านแม่สาใหม่ หมู่ที่ 6 ต.โป่งแยง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งที่ในปัจจุบันมีการใช้สารเสพติดเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะเฮโรอีน จากการศึกษาวัฒนธรรมการอบรมสั่งสอนเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดของพ่อแม่ที่มีต่อลูก พบว่าในสังคมเผ่าม้งที่บ้านแม่สาใหม่มีการได้รับการอบรมสั่งสอนเกี่ยวกับยาเสพติดจากพ่อแม่
สำหรับสถานการณ์ยาเสพติดและความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและการเพิ่มขึ้นของยาเสพติดในสังคมนั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการเสื่อมลงของวัฒนธรรมมากนัก ส่วนการระบาดของยาเสพติดในอนาคตนั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นว่าจะมีความรุนแรงมากขึ้น
การแก้ไข้ปัญหาที่คนในสังคมต้องการคือรัฐควรให้อำนาจกับชุมชนในการจัดการแก้ไขปัญหาเองในระดับหนึ่ง โดยให้การสนับสนุนในส่วนที่ประชาชนร้องขอเท่านั้น และรัฐควรมีการประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้ความรู้เรื่องยาเสพติด รวมทั้งควรมีการบรรจุเรื่องยาเสพติดเป็นหลักสูตรให้มีการเรียนการสอนในโรงเรียนในพื้นที่ที่มียาเสพติดม้ง, ยาเสพติด,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=73
72หนังสือResource Scarcity and the Hmong ResponseCooper, Robertผู้เขียนสรุปว่า การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในสังคมม้งส่วนเล็ก ๆ ในการศึกษาครั้งนี้ ไม่ได้เป็นแนวทฤษฎีโดยรวมที่จะนำไปใช้ได้กับส่วนอื่นๆ การขาดแคลนทรัพยากรไม่ได้มีผลกระทบต่อชุมชนม้งในแบบเดียวกัน บางพื้นที่อยู่ห่างไกล การแข่งขันในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่มีน้อย การวิเคราะห์พิจารณาจากทรัพยากรที่มีอยู่ วิธีนำทรัพยากรนั้นไปใช้ประโยชน์ โดยเน้นที่รูปแบบการจัดการทำงาน รูปแบบนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างเทคนิคการผลิตและความต้องการแรงงาน เพื่อให้เห็นภาพรวมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งสัมพันธ์กับโครงสร้างหลักในการปกครอง การตัดสินคดี และคติความเชื่อ สถานการณ์ขาดแคลนทรัพยากรเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดการจ้างงานและเงินทุน ในเศรษฐกิจและสังคมม้ง การเปลี่ยนระบบการใช้ที่ดินให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ผลผลิตส่วนเกินมาจากแรงงานในครอบครัวและการจ้างแรงงานจากภายนอก การสะสมและการลงทุนซ้ำทำให้เกิดการครอบครองที่ดินโดยบุคคล เมื่อเผชิญกับปัญหา ชุมชนม้งมีวิธีรับมือต่างกัน การแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรูปแบบการตั้งถิ่นฐานและระบบเศรษฐกิจของม้งในบางพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ การเปลี่ยนวิธีการผลิตเป็นการเกษตรแบบถาวรต้องใช้เงินทุน ทำให้ม้งที่ยากจนไม่สามารถทำได้ จึงต้องหารายได้มาทดแทนผลผลิตที่ลดลงจากการทำไร่เลื่อนลอยโดยการขายแรงงาน ยิ่งทรัพยากรลดลงการพึ่งพารายได้จากการแรงงานก็เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการแบ่งชนชั้นทางสังคมระหว่างผู้ครอบครองที่ดินกับลูกจ้าง ซึ่งส่งผลกระทบที่เชื่อมโยงไปถึงด้านอื่น ๆ ของสังคม (หน้า 214, 247-250)ม้ง,การอพยพ,การตั้งถิ่นฐาน,เศรษฐกิจ,สังคม,การปรับตัว,เชียงใหม่,แม่ฮ่องสอนตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2527ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=72
71ปริญญานิพนธ์ประเพณีการตายของไทยญ้อ บ้านแซงบาดาล ต.แซงบาดาล อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์สุทัศน์ ตันสุวรรณเป็นการศึกษาพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับความตายของกลุ่มไทยญ้อที่บ้านแซงบาดาล ต.แซงบาดาล อ.สมเด็จ จ. กาฬสินธุ์ โดยใช้การวิจัยทางด้านเอกสารและการวิจัยภาคสนาม ซึ่งผู้วิจัยได้นำผลที่ได้มาศึกษาเปรียบเทียบกับพิธีกรรมของชาวลาว โดยทั่วไปพบว่า ส่วนใหญ่มีความคล้ายคลึงกัน คือมีคติความเชื่อในศาสนาพุทธและเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ก็มีคติความเชื่อบางส่วนและลักษณะพิธีกรรมที่แตกต่างไปจากพิธีกรรมของชาวลาว (abstract)ญ้อ ย้อ ญ่อ โย้,ประเพณีการตาย,กาฬสินธุ์ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=71
70วิทยานิพนธ์ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับป่าดอนปู่ตาในอำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคามศักดา เชื้อประทุมผู้ศึกษาได้มีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาถึงลักษณะสภาพของป่าดอนปู่ในเขต อ.นาเชือก โดยเลือกหมู่บ้านที่จะทำการศึกษา 19 หมู่บ้าน และยังศึกษาถึงความสัมพันธ์และบทบาทของป่าดอนปู่ตากับวิถีชีวิต และศึกษาถึงลักษณะของพิธีกรรมและผลกระทบต่อชุมชน โดยมีการสำรวจในพื้นที่ที่เป็นป่าดอนปู่ตาและสัมภาษณ์ชาวบ้านถึงพิธีกรรมต่างๆ และคติความเชื่อรวมทั้งผลกระทบและความสัมพันธ์กับชุมชน(หน้า 7) ลักษณะโดยทั่วไปของป่าดอนปู่ตานั้นเป็นป่าทึบหรือโปร่งผันแปรตามลักษณะและจำนวนพื้นที่ และมีหนองน้ำธรรมชาติในพื้นที่ด้วย และจะมีศาลปู่ตาแห่งละ 1-3 หลัง และชาวบ้านได้ใช้พื้นที่นี้เก็บผลผลิตจากป่าเป็นอาหารตามฤดูกาลและเป็นยาสมุนไพร สำหรับพิธีกรรมนั้นก็มีพิธีกรรมเลี้ยงปู่ตาและเสี่ยงทายประจำปีในเดือน 6 โดยมีเฒ่าจ้ำเป็นผู้ประกอบพิธี และสำหรับผลกระทบต่อชุมชนนั้นก็เป็นเหมือนที่รวมอำนาจในการอำนวยทุกข์และสุขให้เกิดได้กับบุคคลที่มีความผูกพันกับผีบรรพชนในเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตและศรัทธาที่ยึดมั่นทางใจของชุมชน (abstract 1-2)ไทเบิ้ง,ไทโคราช,ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน,ป่าดอนปู่ตา,มหาสารคามตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดมหาสารคาม ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=70
69วิทยานิพนธ์ชนชั้นนำและโครงสร้างอำนาจของชุมชนชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้นิคม สุวรรณรุ่งเรืองการวิจัยนี้ เป็นการศึกษาถึงชนชั้นนำและโครงสร้างอำนาจของชุมชนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการใช้ชุมชนตัวอย่าง 2 ชุมชน เปรียบเทียบกัน คือ ชุมชนดาโต๊ะ และชุมชนกรือเซะโดยนำทฤษฏีชนชั้นนำนิยม และทฤษฏีพหุนิยมมาผสมผสานกันในการศึกษา เพื่อหาข้อสรุปว่าชุมชนมุสลิมตัวอย่างทั้ง 2 ชุมชนนี้ ใครเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจในชุมชน โครงสร้างการปกครองมีกี่ระดับและสัมพันธ์กันอย่างไร สรุปได้ว่า ชนชั้นนำของชุมชนกรือเซะซึ่งป็นชุมชนที่พัฒนาแล้วชนชั้นนำชุมชนคือผู้ที่ดำรงตำแหน่งจากทางการ ส่วนชุมชนดาโต๊ะซึ่งเป็นชุมชนกำลังพัฒนาชนชั้นนำคือผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางศาสนาออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,โครงสร้างสังคม,ปัตตานีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2531ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=69
68วิทยานิพนธ์คองสิบสี่ในวิถีชีวิตของชาวไทพวน ตำบลบ้านผือ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานีมยุรี ปาละอินทร์การอยู่ร่วมกันในสังคมไทพวนนั้น มีคองสิบสี่ที่เป็นหลักปฏิบัติและแนวทางที่ผู้อาวุโสนำเอามาปฏิบัติร่วมกันกับศาสนาเพื่อให้เกิดมั่นคงและมีระเบียบวินัยในสังคม คองสิบสี่เป็นเหมือนกฎหมายที่กำหนดหน้าที่ให้ประชาชนต้องปฏิบัติคือ ถ้าเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง ข้าราชการ ให้ยึดหลักของ คองเจ้าคองขุน คองท้าวคองเพีย คองไพร่คองนาย เป็นตัวกำหนดหน้าที่ได้ สำหรับประชาชนทั่วไปพบว่า คองที่ทุกคนยึดถือประพฤติปฏิบัติร่วมกัน ได้แก่ คองบ้านคองเมือง คองเฒ่าคองแก่ คองปีคองเดือน และคองไฮ่คองนาส่วนที่ปฏิบัติกันเฉพาะคนในครอบครัวและระบบเครือญาติ ได้แก่ คองผัวคองเมีย คองพ่อคองแม่ คองลูกคองหลาน คองใภ้คอง เขย คองป้าคองลุง และคองปู่คองย่า คองตาคองยาย นอกจากนั้น ยังพบว่า มีชาวบ้านบางกลุ่มไม่รู้จักคองสิบสี่เลย คือ กลุ่มของวัยรุ่นและเด็กพวน ไทยพวน ไทพวน,จารีตประเพณี,คองสิบสี่,วิถีชีวิต,อุดรธานีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดอุดรธานี ประเทศไทย2543ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=68
67บทความSwidden Cultivation among Pwo Karens in Western ThailandJorgensen, Anders Baltzerการปลูกทำไร่หมุนเวียนเป็นการผลิตที่เกิดขึ้นในบรรยากาศโลกแบบเขตร้อน หรือกึ่งเขตร้อน การทำไร่หมุนเวียนเป็นการยังชีพที่เกิดจากการปรับตัวเรื่องความจำกัดของพื้นที่ และการทำไร่หมุนเวียนก็มีข้อบกพร่องหลายประการ เช่น ความสามารถในการรวบรวมผลผลิตต่ำ เพิ่มผลผลิตยาก เป็นรูปแบบที่อนุรักษ์นิยมและต้องเคลื่อนย้ายที่อาศัยเมื่อดินเสื่อมสภาพถึงแม้ว่าการทำไร่หมุนเวียนจะเป็นระบบการผลิตที่มีข้อบกพร่อง แต่การทำไร่หมุนเวียนกลับเป็นระบบที่สำคัญที่เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตของกะเหรี่ยงโปว์ พวกเขายังชีพด้วยการทำไร่หมุนเวียน มีการปลูกพืชผสม การทำไร่หมุนเวียนเป็นกระบวนการการปรับตัวต่อสภาพพื้นที่ เนื่องจากบริเวณภาคตะวันตกของไทยซึ่งเป็นถิ่นที่อาศัยของกะเหรี่ยงโปว์นั้นมีสภาพเป็นเขตป่าฝนเขตมรสุม เต็มไปด้วยเขาหิน หุบเขา สภาพพื้นที่มีจำกัด เป็นปัจจัยที่ทำให้พวกเขาต้องปรับตัวคิดค้นกระบวนการอันมาจากการเปรียบเทียบจำนวนแรงงานกับขนาดการเพาะปลูกที่มีพืชพันธุ์ตลอดปี การทำไร่หมุนเวียนจึงเป็นรูปแบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ มีการหมุนเวียนพื้นที่ในการทำกินภายหลังใช้พื้นที่ทำกินจนเสื่อมสภาพ กะเหรี่ยงโปว์จะเคลื่อนย้ายและปล่อยพื้นที่ทำกินให้ฟื้นตัวเป็นป่าอีกครั้ง เป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมขึ้นมาใหม่ในระดับที่เพียงพอต่อความต้องการ การทำไร่หมุนเวียนจึงไม่ใช่วิถีการผลิตเท่านั้น แต่คือวิถีชีวิต ดังนั้นทุกแง่มุมของชีวิตกะเหรี่ยงโปว์ เศรษฐกิจ วิธีคิด จึงปรากฎอยู่ในความนึกคิดเรื่องการทำไร่หมุนเวียน (หน้า 1,15)โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การทำไร่หมุนเวียน,ภาคตะวันตกตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดอุดรธานี ประเทศไทย2515ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=67
66บทความศักยภาพในการจัดการทรัพยากรดิน-น้ำ-ป่า ของชาวกะเหรี่ยงชูพินิจ เกษมณีกะเหรี่ยงมีการจัดการทรัพยากรดิน-น้ำ-ป่า มาเป็นเวลายาวนาน ชาวบ้านจึงดำรงอยู่ยังชีพและดูแลธรรมชาติอย่างสมดุลย์ เกื้อกูลกัน ชาวบ้านใช้ระบบความเชื่อเป็นกฎหมายควบคุมการจัดการทรัพยากร ดังนั้น พื้นที่ป่าในระบบความคิดของชาวบ้านจึงมีระดับในการใช้ประโยชน์ พื้นที่ป่าบางแห่งถูกห้ามใช้เพราะมีเทพสถิตอยู่ บางแห่งใช้เก็บของป่า หาอาหารได้ โดยที่ชาวบ้านทั้งในระดับปัจเจก และระดับชุมชนมีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกัน ความสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้กะเหรี่ยงดำรงตนมาได้ยาวนาน มีป่าที่อุดมสมบูรณ์เขียวชอุ่มล้อมรอบหมู่บ้าน แต่การแทรกแซงจากอำนาจส่วนกลาง ทำให้การจัดการทรัพยากรของชาวบ้านมีการปรับเปลี่ยน เพราะถูกมองว่าผิดกฎหมาย มีการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับชาวบ้านเปลี่ยนแปลงไปปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การจัดการทรัพยากร,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=66
65บทความชาวกะเหรี่ยงและวัฒนธรรมชาวกะเหรี่ยง ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีพิพัฒน์ เรืองงามกะเหรี่ยงที่อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เป็นกะเหรี่ยงที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน มีรูปแบบสังคม วั ฒนธรรมที่เด่นชัด เช่น การนิยมสักตามร่างกาย การสูบยาเส้น การกินหมาก ซึ่งเชื่อว่าจะป้องกันโรค กันแมลงได้ การแต่งกายที่มีเอกลักษณ์มีความแตกต่างระหว่างหญิงที่แต่งงานแล้วและยังไม่แต่ง การเจาะหู หรือแม้กระทั่งรูปแบบบ้านเรือนที่ทำจากไม้ไผ่มีหิ้งบูชาผี ตามความเชื่อเรื่องผี ซึ่งกลายเป็นกรอบทางสังคมที่คอยควบคุมกะเหรี่ยง ชายและหญิงที่ยังไม่แต่งงานกันจะถูกเนื้อต้องตัวกันไม่ได้ หากมีการล่วงละเมิดมีเพศสัมพันธ์จะต้องขอขมา มิฉะนั้น อาจถูกลงโทษถึงขั้นไล่ออกจากหมู่บ้าน โดยที่สังคมกะเหรี่ยงนั้นถือฝ่ายหญิงเป็นหลักในการสืบสกุลโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),สังคม,วัฒนธรรม,กาญจนบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2533ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=65
64บทความลัวะ ละว้า และกะเหรี่ยง : ของเผ่าในที่สูงกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ - การเมืองกับรัฐในที่ราบศรีศักร วัลลิโภดมการเกิดรัฐ เกิดอาณาจักร มักเกิดขึ้นในพื้นที่ราบ เพราะมีความสามารถในการตั้งถิ่นฐานได้ถาวร เพาะปลูกได้ผลผลิตดี เลี้ยงคนได้มากกว่าที่สูง มีการติดต่อแลกเปลี่ยนและรับเทคโนโลยีสูงกว่า ทำให้พัฒนาเป็นรัฐได้ แต่ทั้งนี้การพัฒนาเป็นรัฐของกลุ่มคนที่ราบนั้น กลุ่มคนบนที่สูงก็มีความสำคัญ เพราะทั้งกลุ่มคนบนที่สูงและในที่ราบมีความสัมพันธ์ที่แลกเปลี่ยนสินค้าต่อกัน สินค้าจากกลุ่มคนบนที่สูงเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจของกลุ่มคนที่ราบเติบโตรุ่งเรือง จนถึงขั้นพัฒนาเป็นรัฐ เช่น ความสัมพันธ์ของ ลัวะ ละว้า กะเหรี่ยงกับรัฐในที่ราบ ลัวะ ละว้า และกะเหรี่ยงมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรซึ่งเป็นที่ต้องการของกลุ่มที่ราบ ดังนั้นโบราณสถานต่าง ๆ จึงพบหลักฐานโบราณคดีที่บ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนที่เชื่อมโยงกันลเวือะ, ปกาเกอะญอ(กะเหรี่ยง),จกอ, คานยอ,ความสัมพันธ์,เศรษฐกิจ,การเมือง,รัฐ,พื้นที่สูง,ของประเทศไทยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=64
63บทความความรู้และมายาคติเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ม้งประสิทธิ์ ลีปรีชาผู้เขียนได้สรุปว่า เนื่องจากอคติทางชาติพันธุ์ที่กลุ่มชาติพันธุ์ม้งไม่มีโอกาสชี้แจงบริบทที่แท้จริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ทำให้เกิดมายาคติว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาและภัยความมั่นคงของชาติในที่สุด ซึ่งทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ไม่มีความชอบธรรมในการต่อรองอำนาจ และถูกกระทำจนกลายเป็นคนชายขอบในที่สุด ซึ่งอาจก่อให้เกิดการอ้างความชอบธรรมเพื่อเลือกปฏิบัติและเกิดความรุนแรงตามมาได้ ฉะนั้นควรทำความเข้าใจอย่างถูกต้องถึงบริบทของเหตุการณ์และข้อมูลอย่างแยกแยะก่อนนำเสนอภาพตัวแทนนั้นกับสังคม (หน้า 50-51)ม้ง,ความรู้,มายาคติ,อัตลักษณ์,การปรับตัว,ความมั่นคงของชาติ,ประเทศไทยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัด ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=63
62บทความThe Impact of Trekking Tourism in a Changing Society: A Karen Village in Northern ThailandBartsch, Henryผู้เขียนสรุปว่าการท่องเที่ยวในบ้านใจดีซึ่งเป็นหมู่บ้านของกะเหรี่ยง เป็นสิ่งเพิ่มเติมจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในครัวเรือน มันไม่ใช่สิ่งที่จะมาแทนที่กิจกรรมและการเกษตร ซึ่งยังได้รับความสำคัญจากชาวบ้าน ชาวบ้านยังคงให้ความสำคัญกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในบ้านใจดีมีเพียงไม่กี่ครัวเรือนที่ได้รับรายได้เป็นกอบเป็นกำจากกิจกรรมการท่องเที่ยวประเภทนี้ ในความเป็นจริงแล้วชาวบ้านในบ้านใจดีนี้ไม่ได้ต้องการเลิกการดำเนินชีวิตและการผลิตแบบดั้งเดิม พวกเขายังคงต้องการจะดำรงการปลูกพืชแบบหมุนเวียนอยู่ เพราะเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับศาสนาและความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณที่พวกเขานับถือ การท่องเที่ยวนั้นไม่ได้เป็นทางเดียวที่จะเพิ่มรายได้ มันยังก่อให้เกิดผลกระทบที่ไม่ต้องการ คือ มลพิษที่เกิดจากการทิ้งสิ่งปฏิกูลโดยนักท่องเที่ยว มลพิษทางเสียงในตอนกลางคืน การรุกล้ำบรรทัดฐานและค่านิยมของชาวบ้าน การท่องเที่ยวนำชาวบ้านไปติดต่อกับตลาดเศรษฐกิจซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับอำนาจและการพึ่งพาผู้อื่น การท่องเที่ยวแบบเดินป่านี้ก่อตั้งและควบคุมโดยบริษัทเดินป่าที่ดำเนินการในเชียงใหม่และคนไทยในพื้นที่รอบบ้านใจดี ซึ่งชาวบ้านคือผู้ที่มีอำนาจน้อยที่สุด กำไรที่ได้จากการท่องเที่ยวแบบเดินป่านี้จะตกอยู่กับบริษัทและคนกลางชาวไทยเป็นส่วนใหญ่ และมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ไปสู่ชาวบ้าน ชาวบ้านพยายามที่จะรักษาสถานะของพวกเขาให้มีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนั้นมีความหมายกับชาวบ้าน เป็นการยากสำหรับชาวบ้านที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ของอำนาจที่ไม่เท่ากันและต้องพึ่งพาผู้อื่น อีกทางหนึ่งเป็นการยากที่พวกเขาจะยกเลิกธุรกิจการท่องเที่ยวเพราะพวกเขาต้องการรายได้ สิ่งนี้เองที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงจากการที่พวกเขานั้นเป็นผู้ที่ถูกครอบงำขณะนี้ ในการศึกษาครั้งนี้ การท่องเที่ยวแบบเดินป่าพิสูจน์ว่าเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปัจจัยอื่นๆ ได้รับการเปลี่ยนแปลงในบ้านใจดี การเสื่อมลงของสิ่งแวดล้อมและนโยบายของรัฐนั้นมีความเชื่อมโยงกับนักท่องเที่ยว การที่สิ่งแวดล้อมเสื่อมกับนโยบายของรัฐบาลในเรื่องการห้ามล่าสัตว์และถางป่านั้นเป็นการยากสำหรับชาวบ้านใจดีที่จะดำรงชีวิตแบบดั้งเดิม สิ่งที่ชดเชยคือ ชาวบ้านจะต้องหาวิธีที่จะก่อให้เกิดรายได้ทางอื่น นั่นก็คือการท่องเที่ยวแบบเดินป่า สิ่งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในชุมชน การพัฒนาของการท่องเที่ยวในบ้านใจดีนั้นได้ถูกรวมกับเศรษฐกิจแห่งชาติ สิ่งนี้เองที่ทำให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย (210-212)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ(กะเหรี่ยง),การท่องเที่ยวแบบเดินป่า,เศรษฐกิจ,สังคม,การเปลี่ยนแปลง,การปรับตัว,ภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัด ประเทศไทย2543ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=62
61บทความOn the Possibility of the Early Karen settlement in the Chiang Mai ValleyRenard, Ronald D.การรวบรวมข้อมูลในการศึกษาการตั้งถิ่นฐานของกะเหรี่ยงยุคแรกในเขตที่ราบสูงในเชียงใหม่จากหลักฐาน ทางประวัติศาสตร์ งานวิจัยของนักวิจัยท่านอื่นมาประมวลภาพการตั้งถิ่นฐานของกะเหรี่ยงประวัติศาสตร์กะเหรี่ยง,ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐาน,ยุคแรก,เขตที่ราบสูง,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=61
60วิทยานิพนธ์การปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในบุญยอธาตุของไทยโย้ยบ้านเดื่อศรีคันไชย ตำบลศรีคันไชย อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนครกิตติรัช พงษ์สิทธิศักดิ์บุญยอธาตุของไทยโย้ย บ้านเดื่อศรีคันไชย แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นเตรียมการและขั้นดำเนินการ แต่ละขั้นตอนมีองค์ประกอบ 4 อย่าง ได้แก่ องค์ประกอบด้านบุคคล องค์ประกอบด้านเวลา องค์ประกอบด้านสถานที่ และองค์ประกอบด้านวัสดุอุปกรณ์ องค์ประกอบของบุญยอธาตุมีคติความเชื่อว่า พระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีกรรมงานบุญยอธาตุเป็นผู้ที่มีศีลธรรม มีคุณธรรม ยึดมั่นในพระพุทธศาสนา ประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่พุทธศาสนิกชนเป็นที่พึ่งทางใจของบุคคลทั่วไป และมีหน้าที่สืบทอดและเผยแพร่พระพุทธศาสนาตามแนวทางของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงถือว่าพระสงฆ์เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมบุญยอธาตุ วันเวลาในการจัดงานบุญยอธาตุจะจัดในวันสุดท้ายของวันสงกรานต์ มีกำหนด 2 วัน ซึ่งตรงกับวันที่ 19-20 เมษายนของทุกปี วัตถุสิ่งของที่ใช้ประกอบพิธีกรรมที่มีการเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า ได้แก่ พระพุทธรูป เครื่องไทยทาน เครื่องสังฆทาน ส่วนวัตถุสิ่งของที่นำมาในวันงานคือ ดอกไม้ ธูปเทียน ดิน หิน ทราย ข้าวปลาอาหารคาว หวาน น้ำอบ น้ำหอม ปราสาทผึ้งและต้นกัณฑ์ คติความเชื่อเกี่ยวกับงานบุญยอธาตุ แบ่งได้เป็น 3 ประการ คือ คติความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาพุทธแบบพื้นบ้าน คติความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์แบบพื้นบ้าน และคติความเชื่อเรื่องผี คติความเชื่อเหล่านี้ล้วนมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน กล่าวคือ พิธีกรรมทางพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ที่ประกอบขึ้นนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมในบุญยอธาตุ เกิดจากสาเหตุการทำนุบำรุงส่งเสริมวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมทางสังคม การหยิบยืมวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงเกิดจากได้รับความรู้และเทคโนโลยี ใหม่ ๆ จะเห็นได้ว่า มุมมองของการปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในงานบุญยอธาตุปรับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อนำจุดเด่นทางการสืบทอดประเพณีมาแสดงถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์ตนผู้ย้อย ย้อย ลาวย้อย ไทย้อย โย่ย,วัฒนธรรม,บุญยอธาตุ,การปรับเปลี่ยน,สกลนครตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=60
59บทความSome Hilltribes of North Thailand (Miaos and Yaos)Blofeld, Johnบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักชนเผ่าสองชนเผ่าทางภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งยังเป็นชนเผ่าที่ยังคงมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบสังคมดั้งเดิม โดยทั้งสองเผ่านี้คือ ม้งและเย้า แม้จะเป็นชนเผ่าที่ยังล้าหลังในเรื่องเทคโนโลยีทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการผลิต การศึกษา การสาธารณสุข แต่ก็เป็นชนเผ่าที่รักสงบ และทำงานหนัก โดยจะเห็นได้ว่าผู้เขียนมีความสนใจเป็นพิเศษในเรื่องของวัฒนธรรมความเป็นอยู่ ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ และเรื่องราวทางสังคม โดยไม่ได้ให้รายละเอียดในแง่ของประชากรศาสตร์ สภาพภูมิศาสตร์ หรือประวัติศาสตร์มากนัก สุดท้ายผู้เขียนยังได้เสนอว่า มีประเด็นสำคัญ 2 ประเด็นที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับสองชนเผ่านี้คือ 1. การที่พวกเขาทำการเกษตรโดยการทำไร่เลื่อนลอย ถางและเผาป่า เปลี่ยนที่ทำกินไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการทำลายระบบนิเวศ 2. การปลูกฝิ่น อย่างไรก็ตาม จุดยืนของผู้เขียนในบทความนี้คือการพยายามชี้แจงให้รัฐบาลไทยเห็นถึงความสำคัญในการอนุรักษ์ชุมชนดั้งเดิมเหล่านี้ไว้ โดยไม่เข้าไปเปลี่ยน หรือทำลายวิถีชีวิตของพวกเขา มีเพียงอย่างเดียวที่ผู้เขียนเห็นว่ารัฐบาลไทยควรเข้าไปช่วยเหลือ ในการส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรเข้าไปแนะนำและส่งเสริมให้ปลูกพืชอื่นทดแทนการปลูกฝิ่น ซึ่งจะต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระยะยาว (หน้า 16 - 18)ม้ง,เมี่ยน อิวเมี่ยน,สังคม,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,วิถีชีวิต,ภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2498ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=59
58วิทยานิพนธ์ปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับนวัตกรรมของชาวไทยภูเขาเผ่าแม้ว หมู่ที่ 19 บ้านป่ากลาง ตำบลศิลาแลง อำเภอปัว จังหวัดน่านอำนวยศาสตร์ หัสดินม้ง เป็นชาวเขาเผ่าหนึ่งที่มีการดำรงวิถีชีวิต ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี แตกต่างไปจากคนไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นราบ วัตถุประสงค์ของการศึกษาเรื่องนี้เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับนวัตกรรมของชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง วิธีการศึกษาผู้วิจัยกระทำโดยการสัมภาษณ์หัวหน้าครอบครัวม้ง จำนวน 197 คนหมู่บ้านที่ 19 บ้านป่ากลาง ต.ศิลาแลง อ.ปัว จ.น่าน ในปี พ.ศ. 2528 สำหรับผลของการศึกษาปรากฏดังนี้ คือ หัวหน้าครอบครัวม้งที่มีระดับการศึกษาสูง มีฐานะทางเศรษฐกิจดี มีการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลบ่อยครั้ง รวมถึงการติดต่อกับชุมชนเมืองด้วย และหัวหน้าครอบครัวที่มีความสนใจรับรู้ข่าวสารจากสื่อมวลชนบ่อยครั้ง กลุ่มหัวหน้าครอบครัวต่าง ๆ เหล่านี้จะยอมมีการยอมรับนวัตกรรมมากกว่าม้ง,ความเป็นอยู่,ประเพณี,น่านตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2528ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=58
57รายงานการวิจัยการสำรวจทางชาติพันธุ์ของชนเผ่าไทในลุ่มแม่น้ำปิงจังหวัดเชียงใหม่รัตนาพร เศรษฐกุล, ชุลีพร วิมุกตานนท์ และราญ ฤนาทมีเนื้อหาครอบคลุมหลายประเด็น คือ อธิบายประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านเมืองลวง การตั้งถิ่นฐาน ชีวิตความเป็นอยู่ของไทลื้อบ้านเมืองลวง การจัดระเบียบทางสังคม ของชุมชนไทลื้อ,ประวัติ,ความเป็นอยู่,ประเพณี,ภาษา,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=57
56บทความลัทธิฤาษี : วาทกรรมของคนชายขอบ (กะเหรี่ยง) ภาพสะท้อนพลังชุมชนสู่สังคมอุดมคติภาสกร ภูแต้มนิลกะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชนที่มีความเชื่อเป็นกรอบในการดำรงและการสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยความเชื่อที่ยึดโยงสังคมกะเหรี่ยงคือ ลัทธิฤาษี ซึ่งเป็นความเชื่อที่ตกผลึกสั่งสมมายาวนานตั้งแต่บรรพบุรุษ กะเหรี่ยงจึงดำรงอยู่อย่างพึ่งพาธรรมชาติ เคารพธรรมชาติ มีข้อห้ามทางศาสนาเป็นเครื่องมือควบคุมทางสังคม โดยมีฤาษีเป็นผู้นำทางความเชื่อที่มีบทบาทในการปกครอง และมีความสัมพันธ์ระหว่างกะเหรี่ยงทั้งฝั่งไทยและพม่า มีการแลกเปลี่ยนสินค้าและการร่วมกันใช้ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม มีการไปมาหาสู่อย่างไร้พรมแดน เมื่อความเจริญเข้ามามีความสำคัญ เกิดการพยายามเปลี่ยนแปลงโดยรัฐชาติ ที่เข้ามาแทรกแวงการดำรงตนของกะเหรี่ยง โดยเข้าไปจัดระบบการศึกษา ยกเลิกพิธีกรรมความเชื่อ และมองกะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชนกลุ่มน้อย หรือคนชายขอบ ที่ก่อให้เกิดปัญหา เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาแรงงาน ปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย บริเวณชายแดนไทย-พม่า โดยเป็นการมองที่ขาดความเข้าใจถึงรากของปัญหา ทำให้การแก้ไขปัญหาไม่สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ลัทธิฤาษี,วาทกรรมคนชายขอบ,การปรับตัว,ความอยู่รอดของชาติพันธุ์,ตากตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดตาก ประเทศไทย2546ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=56
55วิทยานิพนธ์การศึกษาอิทธิพลความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรมของชาวไทยโซ่งที่มีผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต : กรณีศึกษาหมู่บ้านแหลมกะเจา 2 ตำบลลำบัว อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐมเรณู เหมือนจันทร์เชยไทยโซ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่มีการสืบทอดและสามารถรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ซึ่งได้แก่ ความเชื่อทางศาสนา พิธีกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย, การทำมาหากิน, วัฏจักรชีวิต, การแต่งกายและการประดับตกแต่ง, การป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บ แต่อย่างไรก็ตาม ไทยโซ่งก็มีการพัฒนา และปรับตัวให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่ เป็นผลมาจากปัจจัยผลักดันทาง สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และทรัพยากร การปรับตัวดังกล่าว โดยทั่วไปสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของไทยโซ่งให้ดีขึ้น และด้วยการปฏิบัติตนตามความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรมที่สืบทอดกันมานาน ก็ทำให้ไทยโซ่งในหมู่บ้านแหลมกะเจา 2 มีคุณภาพชีวิตที่ดีและเป็นปกติสุขทั้งในระดับครอบครัวและหมู่บ้านลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,อิทธิพลความเชื่อ,ประเพณี,พิธีกรรม,การพัฒนาคุณภาพชีวิต,นครปฐมตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=55
54รายงานการวิจัยศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวัฒนธรรมไทลื้อจุฑามาศ สนกนก และ พิเชษ อนุกูลการวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสังคมและวัฒนธรรมของไทลื้อ และศึกษาว่าสังคมและวัฒนธรรมใดที่ยังคงอนุรักษ์หรือเลิกปฏิบัติ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ไทลื้อเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์ของตนเองในด้านต่างๆ เช่น อาชีพ การศึกษา ศาสนา ความเชื่อ วิถีชีวิต และภาษา เป็นต้น แต่การอพยพถิ่นฐาน ระยะเวลา และสภาพแวดล้อมมีอิทธิพลที่ทำให้สังคมและวัฒนธรรมของไทลื้อเปลี่ยนแปลงไป โดยเหตุผลที่สำคัญ คือ สังคมและวัฒนธรรมนั้นไม่เหมาะสมทำให้เลิกปฏิบัติ แต่ยังมีบางส่วนที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ ด้วยเหตุผลหลัก คือ เป็นสิ่งที่เคยปฏิบัติสืบต่อมา อย่างเช่นการใช้ภาษาลื้อทำความเข้าใจกันในชุมชน (หน้า 102)ลื้อ,ประวัติ,วัฒนธรรม,วิถีชีวิต,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=54
53รายงานการวิจัยจากยอดดอยสู่สลัม : การปรับตัวของชาวเขาในเมืองเชียงใหม่ทวิช จตุวรพฤกษ์, สมเกียรติ จำลอง และ ทรงวิทย์ เชื่อมสกุลเนื้อหาในงานศึกษากล่าวถึง ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาสังคมไปสู่สังคมทันสมัย ประวัติศาสตร์การอพยพเคลื่อนย้ายและการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเมืองเชียงใหม่ กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและแนวทางการปรับตัวของครอบครัวคนเย้า ลีซอกลุ่มหนึ่ง และผู้หญิงม้งที่อพยพเข้ามาประกอบอาชีพในเมืองเชียงใหม่เมี่ยน, ลีซู, ม้ง,ชาวเขา,ความเป็นอยู่,ประเพณี,การปรับตัว,สังคมเมือง,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=53
52หนังสือSovereignty and Rebellion : The White Hmong of Northern ThailandTapp, Nicholasหนังสือเล่มนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับความคิดอำนาจอธิปไตยและการต่อสู้ของม้งขาวในประเทศไทยจากตำนานเรื่องเล่าของม้ง โดยเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโลกแห่งความเป็นไปได้กับโลกแห่งการกระทำ สถานการณ์การกระทำในหมู่บ้านถูกกำหนดในรูปของขั้วความขัดแย้งที่เป็นทางเลือกระหว่างระบบเศรษฐกิจผสมกับระบบเศรษฐกิจที่ไม่ได้ปลูกฝิ่น ระหว่างความจงรักภักดีต่อรัฐไทยกับการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และระหว่างการยอมรับนับถือพุทธศาสนากับคริสตศาสนา และแม้ว่าความขัดแย้งเหล่านี้จะไม่ได้มีความสำคัญระดับเดียวกัน แต่ทั้งหมดนี้ก็มีลักษณะหนึ่งร่วมกัน การเลือกและความขัดแย้งของม้งก็มีรากเหง้าอยู่ในเงื่อนไข/สถานการณ์ทางประวัติศาสตร์ และการแก้ความขัดแย้งของม้งก็อ้างธรรมเนียมประเพณีในอดีต ซึ่งแสดงจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์ (น.195) Tapp สรุปว่า ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ของม้ง ม้งสร้างการใช้ขั้วตรงกันข้าม (oppositions) เพื่อกำหนดลักษณะความแตกต่างของตนออกจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นและกำหนดอัตลักษณ์ของตน แต่ในช่วงที่สร้างความแตกต่างตรงกันข้ามนั้น ขั้วตรงกันข้ามเดียวกันนี้(เช่น รูปแบบการทำไร่เลื่อนลอยกับการทำไร่ถาวร หรือการมีจักรพรรดิกับไม่มีจักรพรรดิ) ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งภายในกลุ่มของสังคมม้ง (the categories of Hmong society) ด้วย ทำให้สังคมม้งเองก็มีความขัดแย้ง (น.196-197)ม้งขาว,อำนาจอธิปไตย,การต่อสู้,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2532ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=52
51รายงานการวิจัยวิถีครอบครัวและชุมชนชาติพันธุ์ไทยโย้ย บ้านโพนแพง ตำบลหนองสนม อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนครสมศักดิ์ ศรีสันติสุข และคณะศึกษาวัฒนธรรมของไทยโย้ย บ้านโพนแพง เน้นที่บทบาทของสถาบันครอบครัวและเครือญาติในการช่วยรักษาและสืบทอดเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่ม เพราะกลุ่มไทยโย้ย ที่บ้านโพนแพง ก็เหมือนเป็นครอบครัวขยาย ขนาดใหญ่ ที่เกิดจากสายสัมพันธ์ทางการแต่งงานกันภายในชุมชนมาแต่เดิม ทำให้เหมือนเป็นเครือญาติกันทั้งหมู่บ้าน และเพิ่งมาในระยะหลังที่มีการทำงานนอกหมู่บ้านมากขึ้น ทำให้แต่ง่านกับคนนอกมากขึ้น และสมาชิกที่เป็นไทยโย้ยแท้ ๆ เริ่มจะลดน้อยลง ถึงอย่างนั้นภายในชุมชนเองก็ยังพูดคุยกันด้วยภาษาโย้ย ซึ่งอาจเป็นรูปธรรมที่สามารถยืนยันถึงความมีอยู่ของไทยโย้ยไว้ได้ผู้ย้อย ย้อย ลาวย้อย ไทยโย้ย โย่ย,วิถีชีวิต,ความเปลี่ยนแปลง,สกลนครตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=51
50วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมบางประการของชาวไทลื้อจารุวรรณ พรมวังการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรมโดยทั่วไปของไทลื้อ และศึกษากระบวนการ แนวโน้ม และปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของไทลื้อในด้านภาษา การแต่งกาย และประเพณีเกี่ยวกับความเชื่อ ซึ่งพบว่าไทลื้อมีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่สิบสองปันนา ประเทศจีน แต่ไทลื้อที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของไทย รวมทั้งที่บ้านทุ่งมอกอพยพเข้ามาโดยการถูกกวาดต้อน และการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศจีน ซึ่งเมื่อเข้ามาอยู่ได้นำรูปแบบวัฒนธรรมประเพณีเข้ามาปฏิบัติทำให้ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไว้ได้ แต่การศึกษาพบว่าประเพณีและวัฒนธรรมบางประการของไทลื้อที่บ้านทุ่งมอกมีการเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากการขยายตัวของสาธารณูปโภค ทำให้รับการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ทั้งทางสื่อและผู้คนที่เข้ามาติดต่อ และการแต่งงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ โดยวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือ การแต่งกาย และเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดคือ ภาษา ส่วนประเพณีเกี่ยวกับความเชื่อมีทั้งที่เปลี่ยนและคงรูปแบบบางประการไว้ โดยผู้ที่มีการศึกษาสูง อายุน้อย และมีสถานะทางสังคมสูง จะยอมรับสิ่งใหม่และการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายลื้อ,ประวัติ,วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,พะเยาตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2536ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=50
49รายงานการวิจัยรายงานผลการสำรวจสภาพทางสังคม-เศรษฐกิจหมู่บ้านป่ากล้วย ตำบลแม่สอย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่จิระ ปรังเขียวบรรยายถึงสภาพทางสังคม-เศรษฐกิจ ของม้งในหมู่บ้านป่ากล้วย ต.แม่สอย อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ โดยพบว่า หมู่บ้านแห่งนี้มีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ทั้งสภาพชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ รายได้
และการศึกษาที่พัฒนาขึ้นจากแต่ก่อน ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น พร้อมกับการผสมผสานทางเชื้อชาติระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ เช่น ไทย จีน ลีซอ เป็นต้น
ในขณะที่ชุมชนกำลังมีการพัมนาแต่ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัมนธรรมไปตามยุคสมัย กล่าวคือ มีการรับเอาวัฒนธรรมจากคนไทยพื้นราบมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ภาวะการปลูกและการเสพฝิ่นของคนในชุมชนนี้ ก็มีแนวโน้มที่สูงขึ้นเช่นกัน (จากปี 2523 -2527) โดยพบว่า ระหว่างปี 2526-2527 มีถึง 64 ครัวเรือนที่เพาะปลูกฝิ่น ซึ่งนับได้ว่า ม้งแต่ละครัวเรือนแห่งนี้มีรายได้จากการปลูกฝิ่นมากกว่าการเพาะปลูกพืชชนิดอื่นและอาชีพอื่น ๆ รวมกัน ทำให้ม้งบ้านป่ากล้วยมีความสนใจในเรื่องเทคโนโลยี เพื่อใช้ในการเพิ่มผลผลิตของฝิ่น ด้วยการใช้ปุ๋ยเคมีและยากำจัดศัตรูพืชม้ง,สังคม,เศรษฐกิจ,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2527ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=49
48วิทยานิพนธ์การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของชาวผู้ไทกับชาวไทยลาว ศึกษากรณีบ้านคำกั้ง ตำบลเหล่าใหญ่ อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์สุภิตา ไชยสวาสดิ์จากการศึกษาเรื่องการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของผู้ไทกับไทยลาว พบว่า มีการผสมกลมกลืนทางด้านภาษา ปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต ศาสนา ประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ โดยในกระบวนการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของผู้ไทที่เกิดขึ้นนั้นมีทั้งการรับวัฒนธรรมจากไทยลาวและไทยภาคกลาง อันเป็นผลมาจากการติดต่อแลกเปลี่ยนเพื่อการยังชีพของผู้ไทกับไทยลาว ที่ทำให้วัฒนธรรมของไทยลาวที่เป็นชนกลุ่มใหญ่ในภาคอีสานแพร่เข้ามา ทำให้ผู้ไทรับมาปรับใช้ในสังคมของตน เช่น เรื่องภาษาที่มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องการนับจำนวนข้าว ประเพณีพิธีกรรมที่มีความคล้ายคลึงกัน เช่น การเกิด การแต่งงาน ความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษ เป็นต้น ในขณะเดียวกัน วัฒนธรรมจากส่วนกลางก็เข้ามามีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมดั้งเดิมของทั้งสองกลุ่ม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น การแต่งกายที่เปลี่ยนจากสวมใส่ผ้าฝ้าย ผ้าไหม เป็นเสื้อผ้าจากตลาด การตั้งถิ่นฐานที่เปลี่ยนมาปลูกสร้างบ้านทันสมัยแยกบ้านไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ การรักษาโรคที่มีอนามัย โรงพยาบาล หรือพิธีกรรมบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงเช่น งานแต่งงานที่มีการรดน้ำและเลี้ยงโต๊ะจีนตามวัฒนธรรมไทยภาคกลาง อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมทั้งในระดับท้องถิ่นระหว่างผู้ไทกับไทยลาว และระดับประเทศระหว่างวัฒนธรรมผู้ไท วัฒนธรรมไทยลาวกับวัฒนธรรมไทยภาคกลาง แต่ผู้ไทก็ยังคงสามารถดำรงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนเองไว้ได้ เช่น การแต่งงานแม้จะมีการปรับเปลี่ยนตามสมัยนิยมเลี้ยงโต๊ะจีน รดน้ำสังข์แต่สำหรับผู้ไทก็ยังคงมีพ่อล่าม แม่ล่ามในพิธีแต่งงานเช่นเดิม ด้วยเหตุนี้ผู้ไทจึงยังคงดำรงความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่สามารถอยู่ร่วมกับไทยลาวที่เป็นกลุ่มชนจำนวนมากในภาคอีสานได้จนปัจจุบัน (หน้า 157-162)ผู้ไท,การผสมกลมกลืน,วัฒนธรรม,กาฬสินธุ์ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=48
46วิทยานิพนธ์การจัดระเบียบทางเศรษฐกิจของชาวไร่นามุสลิม : ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนปัตตานีศรีพงศ์ อุดมครบผู้วิจัยเน้นการวิเคราะห์การจัดระเบียบทางเศรษฐกิจของชาวไร่นามุสลิมในชุมชนปัตตานีโดยศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจ รวมทั้งศึกษาการปรับตัวต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของชาวไร่นามุสลิมออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ชุมชน,ชาวไร่,ชาวนา,การจัดระเบียบทางเศรษฐกิจ,ปัตตานีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2539ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=46
45รายงานการวิจัยการศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับชุมชนบ้านครัวเหนือ (บ้านแขกครัว) กรณีศึกษา สภาพเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมเสาวภา พรสิริพงษ์, พรทิพย์ อุศุภรัตน์, ดวงพร คำนูณรัตน์ผู้วิจัยได้บรรยายสภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมชุมชนบ้านครัวเหนือ (บ้านแขกครัว) ภายหลังอาชีพการทอไหมซึ่งเป็นอาชีพหลักของชุมชนลดบทบาทลงบ้านครัวเหนือ,บ้านแขกครัว,ประวัติความเป็นมา,การตั้งถิ่นฐาน,สภาพเศรษฐกิจ,สังคม,วัฒนธรรม,กรุงเทพมหานครตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2532ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=45
44บทความมรดกที่ถูกทำให้เป็นการต่อสู้: ข้อถกเถียง คนกับป่า และพื้นที่มรดกโลกในการเข้าสู่บริบทโลกของไทยBuergin, Reiner บรรณาธิการประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่กระบวนการโลกาภิวัตน์ทางการเมืองและวัฒนธรรม ในสมัยรัชกาลที่ 5 โลกาภิวัตน์ทางการเมืองประการแรกคือ การทำให้ทุกที่อยู่ภายในอาณาเขตดินแดนและการสร้างรัฐชาติตามแบบตะวันตก ขณะที่โลกาภิวัตน์ทางวัฒนธรรมมุ่งเน้นไปที่ การรับเอาแนวความคิดตะวันตกในเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล (rationality) ความทันสมัย (modernity) และการพัฒนา (development) และการทำให้ป่าไม้ของไทยมีคุณค่าในฐานะ "ทรัพยากรธรรมชาติ" คือบทบาทสำคัญในกระบวนการขั้นแรกของโลกาภิวัตน์ การเปลี่ยนแปลงแนวคิดทางนโยบายป่าไม้ของไทยจากทรัพยากรธรรมชาติในฐานะ "สินค้า" มาสู่ "การอนุรักษ์" นั้นพบว่า เกิดจากปัจจัยสำคัญคือ การพัฒนาประเทศและลัทธิอนุรักษ์นิยม ซึ่งมาจากการพัฒนาระดับสากล แนวความคิดอนุรักษ์ธรรมชาติเข้ามาในประเทศไทยราวกลางศตวรรษที่ 20 ในบริบทของการสร้างชาติ (nationalization) ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ การประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้งเป็นมรดกทางธรรมชาติที่สำคัญของโลกในปี พ.ศ.2534 คือเครื่องมือสากลที่สร้างขึ้นเพื่ออนุรักษ์ "ทรัพยากรธรรมชาติ" (natural resources) ขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์ชายขอบที่อาศัยอยู่ในเขตป่าเขา ซึ่งดำรงชีพด้วยการทำไร่หมุนเวียน กลายเป็นมายาภาพของการทำลายป่าในเวลาต่อมา ภายใต้บริบทของการสร้างรัฐชาติและการก้าวสู่ความทันสมัยของไทย กลุ่มชนชาติพันธุ์หลากหลายวัฒนธรรมกลุ่มต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ รวมถึงกะเหรี่ยงในป่าทุ่งใหญ่ฯ ถูกรวมเข้าไปในนิยามของ "ชาวเขา" ที่บุกรุกทำลายป่า (ทำไร่เลื่อนลอย) ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านั้นดำรงชีพด้วยวิถีดั้งเดิมที่ยั่งยืนด้วยการทำไร่หมุนเวียน งานศึกษาในบทความนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า แนวคิดอนุรักษ์นิยมใหม่มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับการพัฒนาประเทศสู่ความทันสมัย ซึ่งแยกมนุษย์และธรรมชาติออกจากกันอย่างเด็ดขาด แนวคิดดังกล่าวแตกต่างจาก แนวคิดและค่านิยมของกลุ่มชาติพันธุ์ในท้องถิ่นอย่างชุมชนกะเหรี่ยงในป่าทุ่งใหญ่อย่างตรงกันข้าม คนเหล่านั้นมองว่ามนุษย์สามารถอยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะ ธรรมชาติในความหมายของพวกเขาเป็นบ้านและพื้นที่แห่งชีวิต กรณีศึกษานี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า กระบวนการทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมของโลกาภิวัตน์ในศตวรรษที่ 20 นี้ ล้วนเป็นผลลัพธ์จากความพยายามเข้าไปกำหนดกรอบคิดทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นจากระดับสากลมากขึ้น ส่งผลให้กระบวนการทางประวัติศาสตร์ของสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้นโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ป่า,กาญจนบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย2544ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=44
42รายงานการวิจัยการปรับตัวกับวิถีชีวิตใหม่ในชุมชนเมืองของชาวเขาเผ่าม้ง : กรณีศึกษาเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ลีศึก ฤทธิ์เนติกุลพรรณนาเกี่ยวกับวัฒนธรรมการดูแลสุขภาพ มีการใช้วิธีการแบบพื้นบ้านควบคู่กับการใช้วิธีแพทย์สมัยใหม่ วัฒนธรรมการควบคุมทางสังคมที่ใช้ทั้งจารีตประเพณีและการใช้กฎหมายบ้านเมืองนั้น มักมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม ในด้านศิลปะและการ แสดงนั้นม้งในชุมชนเมืองเชียงใหม่ยังคงรักษาศิลปะดั้งเดิมไว้
ในขณะที่คนรุ่นใหม่บางส่วนได้ ปรับเปลี่ยนการเต้นรำของยุคสมัยปัจจุบันมาใช้ด้วย ความเชื่อเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติ วิญญาณต่าง ๆ และยังมี การปฏิบัติการเซ่นไหว้เช่นเดิม โดยที่ม้งถือว่าการลงมาในเมืองเชียงใหม่เป็นการลงมาทำมาหากินเท่านั้น บ้านพิธีกรรมจริง ๆ ก็คือ ชุมชนดั้งเดิม ในด้านเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงจากการทำการเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพมาสู่การประกอบอาชีพอุตสาหกรรมในครัวเรือน และการค้าขายโดยเชื่อมโยงเครือข่ายทางการค้าระหว่างม้งด้วยกันเองกับคนพื้นราบ และคนต่างประเทศ ในปัจจุบันการปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับคนพื้นราบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถอยู่ร่วมกันได้ม้ง,ชุมชนเมือง,การดูแลสุขภาพ,พิธีกรรม,การปรับตัว,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2540ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=42
41หนังสือคนยองย้ายแผ่นดินแสวง มาละแซมจากประวัติศาสตร์ของเมืองยอง และเมืองลำพูน พบว่ามีการเคลื่อนย้ายของผู้คนด้วยเหตุผลต่างๆ ตามยุคสมัย ซึ่งจากการศึกษาแสดงให้เห็นถึง ผู้คนจากเมืองยองเข้ามาตั้งถิ่นฐานในล้านนาตั้งแต่สมัยพญาติโลกราช และครั้งสำคัญในปี พ.ศ.2348 สมัยพระเจ้ากาวิละ เพื่อรวบรวมผู้คนจากหัวเมืองต่างๆ ในการฟื้นฟูเชียงใหม่และลำพูน ซึ่งการกวาดต้อนครั้งนี้เป็นแบบ "เทครัว" มาตั้งถิ่นฐานที่เมืองลำพูน ซึ่งหมายถึงมาทั้งโครงสร้างทางสังคม ประกอบด้วย เจ้าเมือง บุตร ภรรยา พี่น้อง ขุนนาง พระสงฆ์ ตลอดจนไพร่พลจำนวนมาก ผู้คนจากเมืองยองเป็นประชากรส่วนใหญ่ โดยสามารถรักษาวัฒนธรรมทางภาษาของตนไว้ และการอพยพเช่นนี้ทำให้มีผลต่อโครงสร้างการปกครองเมืองลำพูนในระยะต้น ซึ่งมีบทบาทในการปกครองเมืองลำพูนร่วมกับกลุ่มเจ้าเจ็ดตนด้วย
นอกจากนี้ การเข้ามาตั้งถิ่นฐานของผู้คนจากเมืองยองกลุ่มแรกอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำสำคัญของเมืองลำพูน ได้แก่ แม่น้ำปิง กวง ทา และลี้ และกระจายไปตามที่ราบอื่น ๆ แต่ถึงแม้ว่าผู้คนจากเมืองยองเป็นประชากรส่วนใหญ่ แต่สังคมเมืองลำพูนยังประกอบด้วยผู้คนที่มาจากหลายบ้านเมืองที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในระยะเวลาใกล้เคียงกัน เกิดความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรม เมืองลำพูนจึงมีพัฒนาการของผู้คนที่มีการผสมผสานกันทางสังคมและวัฒนธรรม (หน้า 15)ยอง,ประวัติศาสตร์,การย้ายถิ่นฐาน,ลำพูนตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดลำพูน ประเทศไทย2544ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=41
40วิทยานิพนธ์คำเรียกสีและการรับรู้สีของผู้พูดภาษาไทลื้อ ลัวะ ม้ง และกะเหรี่ยง ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและพะเยาศตนันต์ เชื้อมหาวันศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคำเรียกสีพื้นฐานและคำเรียกสีไม่พื้นฐานในภาษาไทลื้อ ลัวะถิ่น ม้งเขียว และกะเหรี่ยงสะกอ ตลอดจนการรับรู้สีและทัศนคติที่มีต่อสีของชาติพันธุ์ที่พูดภาษาทั้ง 4 ดังกล่าว โดยใช้ผู้ให้ข้อมูลภาษาเป็นไทลื้อบ้านธาตุ ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ลัวะถิ่นในศูนย์อพยพตำบลป่าสัก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ม้งเขียวบ้านคอดยาว ตำบลป่าสัก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา และกะเหรี่ยงสะกอบ้านห้วยขม อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่ง ผลการวิจัยสรุปเนื้อหาสำคัญได้ว่า ภาษาไทลื้อ ลัวะถิ่น ม้งเขียว และกะเหรี่ยงสะกอ มีจำนวนคำเรียกสีพื้นฐานคือ 12, 5, 6, 5 คำตามลำดับ และมีวิวัฒนาการของคำเรียกสีพื้นฐานจัดได้เป็นระยะที่ 7, 5, 5, และ 4 ตามลำดับ ส่วนการสร้างคำเรียกสีไม่พื้นฐานของทั้ง 4 ภาษา มีกลวิธีสร้างคำเรียกสีไม่พื้นฐาน 3 วิธี คือ 1.ผสมคำเรียกสีเข้าด้วยกัน 2.การผสมคำเรียกสีกับคำขยาย และ 3.การใช้คำเรียกสิ่งของเฉพาะมาเป็นคำเรียกสีไม่พื้นฐาน ภาษาไทลื้อ ลัวะถิ่น และม้งเขียว ใช้กลวิธีการผสมคำเรียกสีกับคำขยายในการสร้างคำเรียกสีไม่พื้นฐานมากที่สุด แต่ภาษากะเหรี่ยงสะกอใช้กลวิธีการผสมคำเรียกสีเข้าด้วยกันมากที่สุด แต่ทุกภาษามีการใช้กลวิธีการใช้คำเรียกสิ่งของเฉพาะมาเป็นคำเรียกสีไม่พื้นฐานน้อยที่สุด สำหรับผลการวิเคราะห์การรับรู้สีและทัศนคติที่มีต่อสี พบว่า ผู้พูดของทั้ง 4 ภาษา มีการรับรู้ใจกลางสี (foci point) ของทุกประเภทสีคล้ายคลึงกัน ส่วนการรับรู้ขอบเขตสี (colour boundary) พบว่าผู้พูดของทั้ง 4 ภาษา มีการรับรู้ขอบเขตของประเภทสีเขียวได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับขอบเขตสีของประเภทสีอื่น ๆ สำหรับการวิเคราะห์ทัศนคติที่มีต่อสี พบว่า ผู้พูดภาษาเหล่านี้มีทัศนคติบวกต่อสีสดและสีเข้ม และมีทัศนคติลบต่อสีตุ่นและสีอ่อน (หน้า ง)ลื้อ,ลัวะ,ม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,ภาษาพูด,คำเรียกสี,การรับรู้สี,เชียงราย,พะเยาตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดพะเยา ประเทศไทย2541ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=40
39หนังสือการกลับถิ่นฐานเดิมโดยสมัครใจของชาวม้ง ศึกษากรณีบ้านวินัย Voluntary Repatriation : The Case of Hmong in Ban Vinaiพอล ราเบ้ (Paul Rabe') อังคณา กมลเพชร ผู้แปลมีเนื้อหาครอบคลุมถึงความรู้สึกของม้ง ที่มีต่อการดำเนินชีวิตในศูนย์ผู้อพยพบ้านวินัย จังหวัดเลย ภูมิหลังเมื่ออยู่ในประเทศลาว ความรู้สึกต่อประเทศลาวบ้านเกิด ความเห็นเกี่ยวกับภูมิลำเนาที่ต้องการไปตั้งหลักแหล่งใหม่ และที่สำคัญที่สุดคือ ทัศนคติ (reaction) ของม้งอพยพบ้านวินัยที่มีต่อโครงการส่งผู้อพยพกลับถิ่นฐานเดิมด้วยความสมัครใจของ UNHCR และผลการวิจัยม้งในศูนย์อพยพบ้านวินัยส่วนใหญ่แสดงเจตจำนงที่ไม่ต้องการจะเดินทางกลับไปยังมาตุภูมิเดิมของตนจนกว่าประเทศลาวจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ (พ.ศ.2533) เสียก่อน คือการที่จะกลับถิ่นฐานเดิมโดยสมัครใจของม้งอพยพ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่จะต้องมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่จะให้การรับรองเรื่องความปลอดภัยของม้งที่อพยพกลับ ตลอดจนสนับสนุนเสรีภาพและส่งเสริมการจัดการทางเศรษฐกิจที่ดีในประเทศเสียก่อน (หน้า 1, 12)ม้ง,ม้งอพยพ,การกลับถิ่นฐานเดิม,เลยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเลย ประเทศไทย2533ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=39
38วิทยานิพนธ์ทุนทางวัฒนธรรมและการช่วงชิงอำนาจเชิงสัญลักษณ์ของชุมชนชาวปกาเกอะญอวินัย บุญลือศึกษากระบวนการปรับเปลี่ยนทุนทางวัฒนธรรมและการสะสมอำนาจเชิงสัญลักษณ์ของชุมชนปกาเกอะญอ เพื่อท้าทายวาทกรรมของรัฐเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ภูมิปัญญาท้องถิ่น มาสู่เวทีการต่อสู้ทางการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ (หน้า ง)ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ทุนทางวัฒนธรรม,การเมือง,อัตลักษณ์,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=38
37หนังสือRedefining Nature : Karen Ecological Knowledge and the Challenge to the Modern Conservation Paradigm.Laungaramsri, Pinkaew (ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี)งานชาติพันธุ์นิพนธ์ชิ้นนี้ เสนอบทวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ในประเด็นการเมืองว่าด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติร่วมสมัยในประเทศไทย งานศึกษาสำรวจพัฒนาการของอุดมการณ์กระแสหลักในเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติในไทย และการตอบโต้โดยกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในเขตภูเขา ต่อการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการควบคุมทางสิ่งแวดล้อม งานศึกษามุ่งเน้นแนวทางการวิเคราะห์สองประเด็นด้วยกัน ประเด็นแรก คือประวัติศาสตร์ป่าไม้ในไทย และบทบาทของ วิทยาศาสตร์ป่าไม้ในการสร้างวาทกรรมและปฏิบัติการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ ประเด็นที่สอง เป็นการศึกษาความรู้ทางนิเวศวิทยาของกะเหรี่ยงและการตอบโต้ต่อกระบวนทัศน์อนุรักษ์ธรรมชาติกระแสหลัก งานศึกษาได้ชี้ให้เห็นว่า วาทกรรมว่าด้วย "ชาวเขา" "ธรรมชาติ" และ "การอนุรักษ์ธรรมชาติ" ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งสร้าง (construct) แต่ยังเป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้กระบวนที่ถูกสร้างอยู่ตลอดเวลา (constantly under construction) คำถามสำคัญคือ อุดมการณ์กระแสหลักเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติ ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร และได้ถูกท้าทายอย่างไรบ้าง จากการวิเคราะห์พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ป่าไม้ในไทย งานศึกษาชิ้นนี้ได้ชี้ว่า แนวคิดเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติในไทย เป็นผลผลิตของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมือง ที่ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในแนวคิดเรื่องป่า เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการสร้างความทันสมัยของรัฐชาติไทย มรดกทางแนวคิดของอาณานิคมตะวันตกในการจัดการป่าเพื่อการพาณิชย์ ความปรารถนาของรัฐไทยที่มีต่อกระบวนการสร้างความทันสมัย และการใช้ทรัพยากรเพื่อเป้าหมายในการพัฒนา เป็นองค์ประกอบหลักในการพัฒนาอุดมการณ์การอนุรักษ์ธรรมชาติของสังคมเมืองของไทย การสร้างแนวทางการอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นรูปแบบที่สำคัญของเทคโนโลยีของรัฐ ซึ่งประกอบไปด้วย การสร้างสถาบันในการควบคุมจัดการ การสร้างสถาบันความรู้ และการสร้างระบบเหตุผลแบบรัฐการ อย่างไรก็ตาม รัฐไทยเองก็ไม่ได้เป็นสถาบันที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากแต่การเมืองภายในสถาบันรัฐ ก็เป็นเงื่อนไขสำคัญของการที่หน่วยงานรัฐต่าง ๆ มองและจัดการทรัพยากรแตกต่างกัน หนังสือเล่มนี้ยังได้ศึกษาถึงฐานคิดและวัฒนธรรมของนักป่าไม้ และนักอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยเสนอว่า ความมีประสิทธิผลของอุดมการณ์อนุรักษ์ธรรมชาติ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจของวิทยาศาสตร์ป่าไม้ในการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดที่มีต่อภูมิทัศน์ และความสัมพันธ์ระหว่างภูมิทัศน์กับชุมชนเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่ความสามารถในการผสานวิธีคิดดังกล่าวให้เข้ากับโครงสร้างความไม่เท่าเทียมทางชนชั้น และทางชาติพันธุ์ที่ดำรงอยู่แล้วในสังคม ในแง่นี้ การเหยียดทางชนชั้น และการเหยียดทางชาติพันธุ์จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างของอุดมการณ์การอนุรักษ์ธรรมชาติในสังคมไทย ส่วนที่สองของหนังสือ ศึกษาความรู้ของกะเหรี่ยง และการตั้งคำถามต่อกระบวนการสร้าง และการรวมศูนย์อำนาจของกระบวนทัศน์การอนุรักษ์ธรรมชาติสมัยใหม่ของรัฐ ในการประทะประสานกับการเมืองเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติร่วมสมัย ความรู้นิเวศของกะเหรี่ยงทำหน้าที่ในการโต้ตอบอย่างมีพลวัตต่อแบบแผนแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติที่ผลิตโดยกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม โดยเฉพาะโดยรัฐ การท้าทายของท้องถิ่นที่มีต่ออุดมการณ์ป่าไม้กระแสหลัก พัฒนาขึ้นจากกระบวนการเรียนรู้และเลือกใช้ ความรู้ต่างถิ่นสมัยใหม่ เช่น แผนที่ ตลอดจนการประดิษฐ์ประเพณีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติท้องถิ่น ทั้งนี้ การเลือกรับและเลือกใช้วาทกรรมต่าง ๆ เช่น ป่าชุมชน ไร่หมุนเวียน ที่ปรากฏในแผนที่ชุมชน ได้เปิดพื้นที่และสร้างเครื่องมือในการสื่อสารให้กับชาวบ้าน ในการสนทนากับเจ้าหน้าที่และองค์กรพัฒนาเอกชน วาทกรรมคัดง้าง จึงเป็นสิ่งที่กะเหรี่ยงใช้ ในฐานะเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ในการปกป้องทรัพยากรของตน และเพื่อจัดวางพื้นที่และอัตลักษณ์ชายขอบของตนเสียใหม่ ภายในสังคมไทย ในแง่นี้ การสร้างใหม่ทางความรู้ของท้องถิ่น จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในกระบวนการประทะสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดและปฏิบัติการกระแสหลักและแนวคิดและปฏิบัติการชุมชน ในการต่อสู้เพื่อการยอมรับ ของกะเหรี่ยงในสังคมไทยปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การเมืองเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติ,ป่าชุมชน,ไร่หมุนเวียน,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2544ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=37
36วิทยานิพนธ์การปรับตัวทางสังคมของนักเรียนไทยมุสลิมในวิทยาลัยครูยะลาอุบล เสถียรปกิรณกรณ์ผู้วิจัยได้เน้นศึกษาถึงลักษณะ การปรับตัวของนักเรียนไทยมุสลิมในชั้นประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา (ป.กศ.) และชั้น ประกาศนียบัตรวิชาการชั้นสูง (ป.กศ. สูง) ในวิทยาลัยครูจังหวัดยะลา พบว่าภูมิหลังทางครอบครัว ได้แก่ อาชีพของบิดาและระดับการศึกษาของบิดาและภูมิหลังทางศาสนามีผลต่อการปรับตัวด้านต่าง ๆ ของนักเรียนไทยมุสลิมต่างกัน โดยพิจารณาการปรับตัวในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การปรับตัวในด้านการใช้ภาษาไทย การคบค้าสมาคมกับนักเรียนไทยพุทธ การปรับตัวเมื่ออยู่ท่ามกลางไทยพุทธ การปรับตัวเข้ากับครูอาจารย์และการปรับตัวในเรื่องการรับประทานอาหารร่วมกับนักเรียนไทยพุทธ (หน้า ง.)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,นักเรียน,วิทยาลัยครู,การปรับตัวทางสังคม,ยะลาตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดยะลา ประเทศไทย2521ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=36
35จุลสารโมโรและแขก : ฐานะของชาวมุสลิมในฟิลิปปินส์และไทยปีเตอร์ จี กาววิ่ง : เขียน / บัณฑร อ่อนดำ : แปลผู้นำของประเทศฟิลิปปินส์และไทยพยายามจะประกาศความเป็นเอกภาพแห่งชาติโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ทัศนคติของกลุ่มมุสลิมมิได้เห็นคล้อยตามนโยบายของรัฐบาลแม้แต่น้อย ทำให้เกิดช่องว่างขึ้นระหว่างนโยบาย กับความรู้สึกที่แท้จริงของชาวฟิลิปปินส์ในเรื่องเอกภาพแห่งชาติ (หน้า 28)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,นโยบายบูรณาการ,ความสัมพันธ์,ชนกลุ่มน้อย,ชนกลุ่มใหญ่,ฟิลิปปินส์,ประเทศไทยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดยะลา ประเทศไทย2518ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=35
34วิทยานิพนธ์บทบาทผู้นำชุมชนมุสลิมในกรุงเทพมหานคร : กรณีศึกษาชุมชนสุเหร่าบ้านดอนสรัญ เพชรรักษ์มีเนื้อหาครอบคลุมหลายประเด็น คือ ประวัติความเป็นมาของมุสลิมสุเหร่าบ้านดอน สภาพปัจจุบัน การคมนาคม ระบบครอบครัวเครือญาติ การแต่งกาย ชุมชนกับระบบศาสนา บทบาทของผู้น้ชุมชนไทยมุสลิม,ความเป็นอยู่,ประเพณี,ผู้นำชุมชน,กรุงเทพมหานครตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2542ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=34
33วิทยานิพนธ์บวชช้าง : ภาพสะท้อนมิติทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวพวน กรณีศึกษาชุมชนบ้านหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัยศิริพร ศรีแสงมีเนื้อหาหลายประเด็น คือ สภาพทั่วไปของชุมชน ประวัติความเป็นมา ประเพณีและความเชื่อ โดยจะเน้นที่ประเพณีบวชช้างในฐานะที่เป็นภาพสะท้อนมิติทางสังคมและวัฒนธรรมพวน ไทยพวน ไทพวน,ความเป็นอยู่,ความเชื่อ,บวชช้าง,หาดเสี้ยว,สุโขทัยตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสุโขทัย ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=33
32หนังสือMigrants of the MountainsGeddes, William Robertม้งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความเป็นอิสระสูง และมีถิ่นอาศัยอยู่บริเวณยอดเขา โดยมีการปลูกฝิ่นเป็นระบบเศรษฐกิจหลัก ซึ่งธรรมชาติของลักษณะการปลูกฝิ่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ม้งต้องย้ายถิ่นฐานอย่างสม่ำเสมออยู่ตลอดเวลา<br />
<br />
การย้ายถิ่นฐานของม้งสามารถอธิบายได้ใน 2 ลักษณะ คือ ลักษณะทางเศรษฐกิจ และลักษณะทางสังคม เหตุผลการย้ายถิ่นฐานทางเศรษฐกิจ คือมีวัตถุประสงค์เพื่อหาแหล่งที่ดินที่อุดมสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ<br />
<br />
ส่วนลักษณะทางสังคมสามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น 2 ปัจจัย ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น การย้ายถิ่นฐานตามไปกับผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน และปัจจัยที่ 2 คือ การย้ายถิ่นฐานตามผู้ที่มีความสัมพันธ์ในตระกูลเดียวกัน<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม ลักษณะการย้ายถิ่นฐานของม้งดังกล่าวเริ่มทำได้ยากขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของจำนวนประชากร ดังนั้น ผู้เขียนจึงเสนอว่า ม้งสมควรที่จะต้องเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจหลักของตน รวมไปถึงการลดความสำคัญของการเพาะปลูกฝิ่นในสังคมม้งด้วยม้ง,ม้งน้ำเงิน,วิถีชีวิต, การปลูกฝิ่น,การย้ายถิ่นฐาน,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2519ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=32
31Ph.D. DissertationThe Role of Women in Maintaining Ethnic Identity and Boundaries: A Case of Thai-Muslims (Malay Speaking Group) in Southern Thailandฉวีวรรณ ประจวบเหมาะงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์ครอบครัว ชุมชน ศาสนา การศึกษา และนโยบายของรัฐ ที่มีต่อพัฒนาการและการดำรงชาติพันธุ์ ของกลุ่มคนที่ถูกรัฐเรียกว่า "ไทย-มุสลิม" ทำให้กลุ่มคนดังกล่าว (แม้ว่าจะมีความหลากหลายภายในบ้าง) ได้พัฒนาจิตสำนึก และพฤติกรรมที่เรียกว่า "พรมแดนชาติพันธุ์" ซึ่งแสดงออกโดยการหลีกเลี่ยง และลดโอกาสที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนไทย-พุทธ แต่สำหรับ "ไทย-มุสลิม" แล้วพรมแดนชาติพันธุ์นี้ก็จะยืดหยุ่นและข้ามไปมาได้ ไม่แน่นหนาเหมือนในทัศนะของ "ออแรกายู" โดยทั่วไป ในกระบวนการธำรงชาติพันธุ์ดังกล่าว ผู้หญิงก็มีบทบาทอย่างสำคัญ โดยเฉพาะในสถาบันสังคมที่ไม่เป็นทางการ ในฐานะแม่ได้ช่วยเลี้ยงดูและพัฒนาอัตลักษณ์ "ออแรกายู" ให้ลูก และไม่แต่งงานกับคนนอก (หน้า v-vi)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายูมาเลย์มุสลิม,ผู้หญิง,การธำรงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์,ภาคใต้,ปัตตานีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2523ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=31
30บทความGender and Religion : Muslim-Buddhist Relationship on the west coast of Southern ThailandNishii, Ryokoความขัดแย้งในบทบาทของผู้หญิงในฐานะศูนย์กลางแห่งศรัทธาและการรักษาพรมแดนความต่างทางศาสนา ทั้งผู้หญิงชาวพุทธและมุสลิมต่างก็มีกิจกรรมการปฏิบัติเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติทางศาสนา ในขณะที่อีกด้านหนึ่งผู้หญิงก็มีความลื่นไหวสูงข้ามพ้นพรมแดนทางศาสนาง่ายกว่าผู้ชายเมื่อมีการแต่งงานระหว่างศาสนาและพิธีกรรมการบวชมุสลิม เพื่อความเข้าใจในปรากฏการณ์นี้ จึงต้องจำเป็นที่จะรู้ถึงลักษณะเฉพาะที่แน่นอนของความสัมพันธ์ระหว่างเพศสภาพในคนไทยภาคใต้ ความสัมพันธ์ทางเพศสภาพของเพศใดเพศหนึ่งไม่ใช่พื้นฐานที่เกี่ยวโยงกับพรมแดนทางศาสนา ทั้งชาวพุทธและมุสลิมมีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องเพศสภาพนี้ร่วมกัน ผู้หญิงจะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติทางศาสนาในชีวิตประจำวันเพื่อความดีงามเพียบพร้อมทางศีลธรรมจรรยา แต่บทบาทของการสงวนรักษาความแตกต่างของพรมแดนทางศาสนาถูกแสดงแทนผ่าน "ภาษา" (ประเพณี) ที่กำหนดให้เป็นบทบาทของผู้ชาย ทั้งชาวพุทธและมุสลิมกลับเก็บรักษาพิธีกรรมที่เข้มข้นให้เป็นบทบาทของผู้ชายในนามของการบวชในผู้ชายชาวพุทธที่เป็นผู้ใหญ่และพิธีเข้าสุหนัด (ขลิบ) ในผู้ชายมุสลิมที่เป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นในการแต่งงานข้ามศาสนาผู้ชายจะมีความเข้มงวดต่อการรักษาอัตลักษณ์ทางศาสนาของกลุ่มมากกว่าผู้หญิง (หน้า 9) นอกจากนี้ จากกรณีศึกษาพบว่า การปฏิบัติตนทางศาสนกิจอย่างสม่ำเสมอของผู้หญิงในชีวิตประจำวันไม่มีความสัมพันธ์กับการรักษาพรมแดนทางศาสนาของกลุ่ม ทั้งนี้บทบาทของผู้หญิงเป็นระบบที่ครอบครองพื้นที่เฉพาะภายในครัวเรือนที่ไม่ได้ขยายออกไปสู่ภายนอก ซึ่งเป็นระดับของศาสนาที่กลุ่มยึดถือร่วมกันทั้งหมด และผู้หญิงก็ไม่ได้เป็นศูนย์กลางที่อยู่เฉพาะออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายูมุสลิม,คนพุทธ,เพศสภาพ,ความสัมพันธ์,บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันตก,ภาคใต้ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2542ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=30
29วิทยานิพนธ์การตั้งถิ่นฐานของชาวไทยมุสลิมในกรุงเทพมหานครสมาน ธีระวัฒน์วิทยานิพนธ์นี้มีจุดมุ่งหมายศึกษาถึงการตั้งถิ่นฐานของไทยมุสลิมทั้งในด้านที่ตั้ง ขนาด การกระจาย ตลอดจนปัจจัยซึ่งมีผลต่อรูปแบบการตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสำคัญของศาสนาอิสลาม มัสยิด ต่อการตั้งถิ่นฐานของไทยมุสลิมในกรุงเทพฯ รวมทั้งวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ของชุมชนไทยมุสลิมกับพื้นที่อื่น ๆ ในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ ไทยมุสลิมในกรุงเทพฯ มักตั้งถิ่นฐานรวมตัวกันอาศัยในชุมชนเฉพาะของตนเองหรือที่เรียกว่าละแวก ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มคนที่มีวิถีชีวิตแบบเดียวกัน ทั้งในด้านเชื้อสาย ความเชื่อ และองค์ประกอบด้านวัฒนธรรมอื่นๆ โดยมีมัสยิดเป็นศูนย์กลางของการประกอบพิธีทางศาสนา เป็นศูนย์รวมจิตใจของสังคมไทยมุสลิมในชุมชนนั้น ๆ การอาศัยอยู่ในละแวกบ้านเดียวกัน มีวีถีชีวิตแบบเดียวกัน ทำให้ไทยมุสลิมมักจะคบหาสมาคม และพึ่งพาอาศัยระหว่างคนกลุ่มของตนมากกว่ากับกลุ่มคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไทยมุสลิมซึ่งอาศัยในชุมชนแถบชานเมืองชั้นนอกมีโอกาสสัมผัสกับสังคมอื่นน้อยกว่าไทยมุสลิมในเขตชั้นใน ซึ่งมีโอกาสติดต่อกับสังคมภายนอกมากกว่ามุสลิม,ศาสนา,วัฒนธรรม,การตั้งถิ่นฐาน,กรุงเทพมหานครตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=29
28หนังสือFolk Stories of the Hmong : Peoples of Laos, Thailand and VietnamLivo, Norma J. and Dia Chaมีเนื้อหาครอบคลุมความเป็นมา วัฒนธรรม ความเชื่อและประเพณี ศิลปะพื้นบ้าน โดยเฉพาะศิลปะงานเย็บปักผ้าและนิทานพื้นบ้านของม้ง ตลอดจนพรรณนาถึงวิถีชีวิตของม้งในสังคมอเมริกันม้ง,นิทานพื้นบ้าน,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,ศิลปะงานเย็บปักผ้า,สหรัฐอเมริกาตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย2534ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=28
27หนังสือThe Religion of the Hmong NjuaChindarsi, Nusitงานชิ้นนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผี ขวัญ และโชคลาง จักรวาลวิทยาของม้งจั้วะที่บ้านแม่โถ โดยการเข้าไปสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมในพิธีกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน และพิธีกรรมแห่งวงจรชีวิต ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการจัดความสัมพันธ์ทางสังคมภายในครอบครัว กลุ่มย่อย และชุมชน โดยผ่านรายละเอียดของขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มย่อย เช่น เรื่องเล่าตำนานถึงสาเหตุที่มีข้อปฏิบัติปลีกย่อยที่ต่างกัน และการแบ่งปันส่วนของเนื้อสัตว์ที่ใช้บวงสรวงในพิธีกรรมให้กับผู้ที่มาร่วมพิธี (หน้า 114-119, 122-125)ม้ง,ศาสนา,ความเชื่อ,เชียงใหม่ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2519ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=27
26บทความChanging Patterns of Economics among Hmong in Northern Thailand 1960-1990.Kunstadler, Peterงานชิ้นนี้เป็นการสำรวจเชิงปริมาณ เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ว่าอะไรเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบแผนทางเศรษฐกิจของหมู่บ้านม้งทางภาคเหนือของประเทศไทย และพบว่า การสร้างถนน ระยะเวลาที่ไปถึงตลาด และการมีหน่วยงานสาธารณสุขเป็นตัวแปรหลักที่สัมพันธ์กับระดับการเปลี่ยนแปลงแบบแผนทางเศรษฐกิจของม้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าม้งทางภาคเหนือต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจการตลาดแบบเงินตราด้วยการปลูกพืชขาย และต้องลงทุนซื้อสินค้าจากภายนอกมากขึ้น ทั้งปุ๋ย สารเคมี และยาฆ่าแมลงม้ง,แบบแผนทางเศรษฐกิจ,การเปลี่ยนแปลง,ภาคเหนือตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย2543ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=26
25วิทยานิพนธ์พิธีกรรมและโครงสร้างทางสังคมของลาวโซ่งวาสนา อรุณกิจสังคมลาวโซ่งมีพิธีกรรมมากมายที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายตามความเชื่อดั้งเดิม โดยลาวโซ่งถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติพิธีกรรมถือเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของลาวโซ่งในอันที่จะอยู่ในสังคม ไม่มีใครบังคับแต่ทุกคนพอใจและพร้อมใจที่จะปฏิบัติโดยไม่มีใครสงสัยหรือโต้แย้ง
อย่างไรก็ตาม การกระทำพิธีกรรมของลาวโซ่งนั้นมิใช่การกระทำเพียงเพื่อหน้าที่เท่านั้น แต่ยังมีวัตถุประสงค์อื่นๆ ที่สำคัญมากไปกว่านั้นด้วย กล่าวคือ เพื่อแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ เพื่อให้มีการพบปะสังสรรค์กันในหมู่ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านใกล้เคียงเพื่อกระชับความสัมพันธ์ เพื่อสร้างความสามัคคี เพื่อแสดงถึงสถานภาพและศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล ตลอดจนกระทำเพื่อตอบสนองความมั่นคงทางจิตใจ รวมทั้งเพื่อเป็นการดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรมของกลุ่มชนไว้สืบไป (หน้า 160)ลาวโซ่ง,พิธีกรรม,โครงสร้างทางสังคม,นครปฐมตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย2529ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=25
24หนังสือLinguistics and Memory Structures in Tai-Lue Oral NarativesHartmann, John F.การศึกษาการเล่าเรื่องปากเปล่าของไทลื้อนี้ต้องการศึกษาความเกี่ยวข้องกันระหว่างความจำกับความคิดสร้างสรรค์ โดยวิเคราะห์กระบวนการเล่าเรื่องด้วยการเปรียบเทียบภาษาไทลื้อกับไทถิ่นอื่น ๆ ข้อมูลบทขับลื้อที่ใช้ศึกษามาจากผู้ขับไทลื้อ 2 คนที่มีอายุต่างกัน ผลการศึกษาพบว่า ความจำและความคิดสร้างสรรค์ในการขับของไทลื้อเกี่ยวข้องกันโดยจะแสดงให้เห็นในโครงสร้างของบทขับ ได้แก่ การซ้ำคำ (replicated) การเชื่อมส่วนย่อยเข้าโครงสร้างใหญ่ บทขับของผู้ขับที่อายุมากกว่าซึ่งสามารถจำเนื้อเรื่องได้ดีมีการจัดระเบียบคำที่ชัดเจนและมีหลักเหตุผลในการดำเนินเรื่องไทยลื้อ,การเล่าเรื่อง,oral narrative,การขับ,chanting,เชียงรายตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2527ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=24
23หนังสือHmong VoicesBoyes, Jon and S.Pirapan (Compiled)พรรณนาวิถีชีวิต วัฒนธรรม และความเชื่อด้านต่าง ๆ ของม้งในหมู่บ้าน กิ่วกาญจน์ (Kiew Khan) อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย จากสายตาและผ่านการบอกเล่าของม้งเอง เพื่อให้บุคคลภายนอกที่ไปเยือนหรือพบปะม้ง เข้าใจและรู้จักม้งดีขึ้นโดยไม่ถูกบดบังด้วยอคติจากความคาดหวังหรือความตื่นตาตื่นใจม้ง,ประวัติ,วัฒนธรรม,วิถีชีวิต,ความเชื่อ,เชียงรายตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย2533ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=23
22รายงานการวิจัยการศึกษาเชิงเปรียบเทียบประเพณีวัฒนธรรมของชาวผู้ไทย - ชาวโซ่สุรัตน์ วรางค์รัตน์เนื้อหาสาระคลอบคลุมทั้งประวัติความเป็นมา และพิธีกรรมต่าง ๆ ของทั้งผู้ไทยและโซ่ โดยมีการแบ่งแยกเนื้อหาในส่วนของผู้ไทยและโซ่อย่างชัดเจน และยังมีบทสรุปที่ได้ทำการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มชนทั้งสองนี้ด้วยผู้ไท,โซ่,ประวัติศาสตร์,พิธีกรรม,สกลนครตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย2524ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=22
21วิทยานิพนธ์ชุมชนกับความยึดมั่นในศาสนาของชาวไทยมุสลิม : ศึกษากรณีไทยมุสลิม อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราชจุไรรัตน์ สวัสดิภาพความยึดมั่นผูกพันในศาสนาอิสลามมีสาเหตุมาจากการมีแนวคิดแบบโลคอลลิซึม และสาเหตุอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเชิงสาเหตุและผลกับแนวความคิดดังกล่าว กล่าวคือ การมีแนวความคิดแบบโลคอลลิซึม ระยะเวลาที่อยู่อาศัย และการศึกษาศาสนาอิสลาม เป็นสาเหตุของความยึดมั่นผูกพันในศาสนาอิสลาม ในขณะเดียวกัน การศึกษาและการเป็นชนกลุ่มใหญ่ในชุมชน ไม่ได้เป็นสาเหตุของความยึดมั่นผูกพันในศาสนาอิสลามไทยมุสลิม,ชุมชน,นครศรีธรรมราชตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนครศรีธรรมราช ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=21
20รายงานการวิจัยลาวครั่ง : การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกับการผสมผสานกลมกลืนทางวัฒนธรรมชนัญ วงษ์วิภาคแม้การผสมกลมกลืนวัฒนธรรมลาวครั่งได้เกิดขึ้นภายใต้กฏเกณฑ์ต่าง ๆ อันได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมก็ตาม แต่ในความเป็นจริง ขบวนการดังกล่าวเป็นไปตามเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง และเงื่อนไขดังกล่าวเป็นตัวกำหนดที่สำคัญ ประวัติลาวครั่งท้องถิ่น เหตุการณ์ร่วมสมัยได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การเปลี่ยนให้มาเป็นระบบเศรษฐกิจเพื่อการค้าตั้งแต่สมัยรัชการที่ 3 การปฏิรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล การเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตยและการพัฒนาประเทศตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2504 เรื่อยมาเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้วัฒนธรรมลาวครั่งแง่มุมต่าง ๆ ถูกผนวกเข้ากับวัฒนธรรมของคนหมู่มาก การโฆษณาชวนเชื่อ การวางระเบียบ การกำหนด กฏเกณฑ์ และการออกกฏหมายต่าง ๆ อาทิ พระราชบัญญัตินามสกุล การเกณฑ์ทหาร การให้มีสำมะโนครัว การให้เลิกถือธรรมเนียมเก่า และเอาวิถีทางการดำเนินชีวิตอย่างใหม่ไปถือปฏิบัติในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ตลอดจนกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ฉะนั้นการที่ลาวครั่งจะหลีกหนีออกจากวงจรของการกลมกลืนทางวัฒนธรรมย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่เนื่องจากกลไกเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่รัฐใช้กับคนทั้งประเทศจึงเป็นที่แน่นอนว่าวัฒนธรรมที่กลมกลืนจะปรากฏออกมาในรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน ปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทุกคนถูกกำหนดให้ต้องผสมกลมกลืนในทิศทางเดียวกันทั้ง ๆ ที่ในทางปฏิบัตินั้น คนกลุ่มน้อยอย่างลาวครั่งมีโอกาสและศักยภาพในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมไม่ทัดเทียมผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศลาวครั่ง,ความเป็นอยู่,ประเพณี,การสังสรรค์ทางวัฒนธรรม,สุพรรณบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสุพรรณบุรี ประเทศไทย2532ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=20
19วิทยานิพนธ์การปรับตัวต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงของลาวครั่งที่บ้านโคก จังหวัดสุพรรณบุรีคนึงนุช มียะบุญเป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของชุมชนบ้านโคกซึ่งได้รับเอาสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชุมชนหลายอย่าง ยังผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคม วัฒนธรรมบ้านโคก ซึ่งสิ่งใหม่ ๆ เหล่านี้บางสิ่งได้รับไว้อย่างถาวร บางสิ่งยกเลิกไป การเปลี่ยนแปลงของสังคมบ้านโคกเป็นไปได้ชัดเจนในทางรูปธรรม แต่ทางนามธรรมยังคงรักษารูปแบบเดิมไว้เพียงแต่เปลี่ยนแปลงเนื้อหาบางอย่าง ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงทั้ง 2 ทาง ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ตามสำนึกในกลุ่มชาติพันธุ์และชุมชนเดียวกัน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นของชุมชนมีอิทธิพลต่อการปรับตัวและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในชุมชนลาวครั่ง,ความเป็นอยู่,ประเพณี,การปรับตัว,สุพรรณบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสุพรรณบุรี ประเทศไทย2537ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=19
18วิทยานิพนธ์พืชเศรษฐกิจกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในชุมชนลาวครั่ง : ศึกษากรณีบ้านโคก ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีวรณัย พงศาชลากรเมื่อระบบการผลิตเศรษฐกิจดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงไปจากระบบการยังชีพมาเป็นระบบการค้า พืชเศรษฐกิจในฐานะที่มีบทบาทในส่วนของปัจจัยการผลิตอย่างหนึ่งจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นมิได้เกิดขึ้นกับเฉพาะระบบเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมด้วย
การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิต ก่อให้เกิดการตัดสินใจเปลี่ยนพันธุ์พืชของชาวนา เศรษฐกิจข้าวที่เคยมีระบบการผลิตแต่เดิมเปลี่ยนแปลงเป็นเพื่อการค้า และชาวนาเลือกผลิตพันธุ์พืชเศรษฐกิจชนิดอื่นประกอบด้วย ซึ่งสิ่งที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพืชเศรษฐกิจของชุมชนลาวครั่งบ้านโคก คือ เศรษฐกิจการค้าแบบทุนนิยม การรับนวัตกรรมทางวัตถุใหม่ ๆ จากตะวันตก แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การเป็นเมืองของชุมชนใกล้เคียง อุตสาหกรรมในบริเวณใกล้เคียง
การพัฒนาโดยหน่วยงานรัฐและเอกชน การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมด้วยระบบชลประทาน สภาพแวดล้อมทางกายภาพของดิน สภาพแวดล้อมประเภทน้ำ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพันธุ์พืชของลาวครั่ง
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในชุมชนลาวครั่งด้วยก็คือ การผสมผสานทางวัฒนธรรม การติดต่อทางวัฒนธรรม การเป็นชุมชนชาวนา การเพิ่มประชากร ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม การเร่งรัดพัฒนาชนบท การเริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ความทันสมัย การศึกษา สื่อสารมวลชน
ปัจจัยสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุด ก็คือ การเปลี่ยนแปลงในช่วงของการพัฒนาไปสู่ความทันสมัยที่เด่นชัด คือ การสร้างสาธารณูปโภคในโครงสร้างพื้นฐานของการพัฒนา คือการเกิดขึ้นของถนนมาลัยแมนสายสุพรรณบุรี-อู่ทอง และอู่ทอง-นครปฐม รวมทั้ง การขยายตัวเป็นเมืองเนื่องจากความทันสมัยของบ้านท่าพระกลายเป็นตลาดอู่ทอง และการเปลี่ยนแปลงในระบบชลประทาน มีผลกระทบต่อวัฒนธรรมของชุมชนลาวครั่งบ้านโคกและปัจจัยสำคัญในการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพืชเศรษฐกิจของบ้านโคกอีกด้วยลาวครั่ง,ระบบการผลิต,การปรับเปลี่ยนพันธุ์พืชเศรษฐกิจ,สุพรรณบุรีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดสุพรรณบุรี ประเทศไทย2538ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=18
17หนังสือความรุนแรงกับการจัดการชัยวัฒน์ สถาอานันท์วิธีวิทยาดวงตาค้างคาว ช่วยให้เห็นแบบของการบอกความจริงเกี่ยวกับความรุนแรงในความสัมพันธ์ระหว่างปัตตานีกับสยาม หรือรัฐไทยอันแตกต่างกัน เมื่อรัฐปรารถนาจะเห็นบูรณาการ แต่ภาคส่วนต่างๆ ในสังคมไม่เห็นพ้องด้วยเนื่องจากความเป็นตัวตนที่ต่างกันออกไป นับเนื่องให้บูรณาการด้วยการบังคับ ไม่อยู่บนฐานของความจริงในความหมายที่เป็นความหลากหลายแตกต่างกันของชุมชนในสังคม ความรุนแรงหลากกรณีจึงเกิดขึ้น จนกระทั่ง พ.ศ. 2542 เกิดนโยบายความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งผลให้อาณาบริเวณวัฒนธรรมปัตตานีถูกมองใหม่ โดยเริ่มยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ดำรงอยู่และหาหนทางให้เกิดการธำรงอัตลักษณ์ในทำนองว่าอยู่อย่างมุสลิมในสังคมไทย แต่อย่างไรก็ตามความรุนแรงก็ยังเกิดขึ้นอยู่ หากสามารถมองเป็นภาพสะท้อนการทำงานของสังคมไทยได้ การทำความเข้าใจความรุนแรง จึงเท่ากับพยายามเข้าใจความสลับซับซ้อนของสังคมไทยผ่านรูปแบบการจัดการความจริงรูปแบบต่างๆ ตลอดจนเห็นความจริงที่พร่าเลือนในบริบทของประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ประวัติศาสตร์ความลวง" (น.230)ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มลายูมุสลิม,ความรุนแรง,การจัดการความจริง,ปัตตานีตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2545ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=17
16บทความIdentity and Rebellion among Southern Thai MuslimsMcvey, Ruthมีเนื้อหาครอบคลุมถึงสถานการณ์ทางการเมืองตั้งแต่ในอดีตแสดงให้เห็นถึงปัญหา และการเคลื่อนไหวของมุสลิมเพื่อพยายามเรียกร้องอิสรภาพในการปกครอง มีความพยายามสร้างระบบการศึกษาขึ้นมาเองเพื่อแสดงเอกลักษณ์และปฏิเสธการรวมกับรัฐ รวมทั้งปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชนทั้ง 2 กลุ่ม แนวทางการการแก้ไข และการปฏิบัติทั้งของรัฐบาลไทยและของกลุ่มชนชั้นนำของมุสลิมเพื่อนำไปสู่ทางออกที่ดี ป้องกันการเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นอีกในชายแดนภาคใต้การธำรงเอกลักษณ์,การปฏิวัติ,ชายแดนภาคใต้ตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย2532ภาษาอังกฤษhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=16
15หนังสือลัวะเมืองน่านชลธิรา สัตยาวัฒนามีเนื้อหาครอบคลุมหลายประเด็นคือ อธิบายความเป็นมาของลัวะ พรรณนาเกี่ยวกับวิถีชีวิตของลัวะในพื้นที่ดอยของจังหวัดน่าน ในอำเภอปัวและทุ่งช้าง และความสัมพันธ์ของลัวะที่มีถึงขมุ ม้ง ผู้ยวน มลาบรี และคนไทยในพื้นราบ มีจุดเน้นในเรื่องการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างแบบวิถีการผลิตและภาษาของลัวะลัวะ,ประวัติ,วัฒนธรรม,ภาษา,น่านตำบลงอบ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดน่าน ประเทศไทย2530ภาษาไทยhttps://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/research_detail.php?id=15