12อื่นๆประมวลข้อมูลพื้นฐานชุมชนในมิติทางมานุษยวิทยา<p>
งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่เน้นการศึกษาชุมชนอย่างรอบด้าน โดยใช้แนวคิดโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นกรอบของการศึกษาวิจัย ข้อมูลพื้นฐานของชุมชนเกือบทั้งหมดได้มาจากการสอบถามอย่างไม่เป็นทางการ ส่วนข้อมูลจำเพาะบางอย่างได้จากผู้ให้ข้อมูลหลักทั้งผู้นำชุมชนที่เป็นทางการและผู้ชำนาญการในแต่ละประเด็นปัญหา การนำเสนอเรื่องราวจากภาพกว้างไปสู่ภาพเฉพาะช่วยให้เห็นกำเนิด การเติบโตและพัฒนาการของท้องถิ่น ชุมชนที่ศึกษาส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 100 กว่าปี เป็นชุมชนที่อยู่ได้ด้วยตัวเองในระยะแรก แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การที่รัฐได้เร่งพัฒนาประเทศเพื่อให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมประเทศทั้งหลายได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนการดำเนินชีวิตของผู้คนท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกผลักดันให้สังคมชนบทต้องพึ่งพาสังคมเมืองยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นก็เริ่มถดถอยไปพร้อมกับการเสื่อมโทรมของทรัพยากรที่ถูกนำมาใช้เป็นต้นทุนเพื่อการผลิต การดิ้นรนเพื่อการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมใหญ่ๆ คือปัญหาที่ชาวนาชาวไร่กำลังเผชิญ</p>ชุมชน, มานุษยวิทยา, การศึกษา, งานวิจัยและวิทยานิพนธ์, ไทย (ภาคเหนือ), ไทย (ภาคกลางตอนบน), ไทย (ภาคกลางตอนล่าง), ไทย (ภาคอีสาน)20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=12https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/006-cover.jpg
12วารสารประมวลข้อมูลพื้นฐานชุมชนในมิติทางมานุษยวิทยา<p>
งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่เน้นการศึกษาชุมชนอย่างรอบด้าน โดยใช้แนวคิดโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นกรอบของการศึกษาวิจัย ข้อมูลพื้นฐานของชุมชนเกือบทั้งหมดได้มาจากการสอบถามอย่างไม่เป็นทางการ ส่วนข้อมูลจำเพาะบางอย่างได้จากผู้ให้ข้อมูลหลักทั้งผู้นำชุมชนที่เป็นทางการและผู้ชำนาญการในแต่ละประเด็นปัญหา การนำเสนอเรื่องราวจากภาพกว้างไปสู่ภาพเฉพาะช่วยให้เห็นกำเนิด การเติบโตและพัฒนาการของท้องถิ่น ชุมชนที่ศึกษาส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 100 กว่าปี เป็นชุมชนที่อยู่ได้ด้วยตัวเองในระยะแรก แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การที่รัฐได้เร่งพัฒนาประเทศเพื่อให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมประเทศทั้งหลายได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนการดำเนินชีวิตของผู้คนท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกผลักดันให้สังคมชนบทต้องพึ่งพาสังคมเมืองยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นก็เริ่มถดถอยไปพร้อมกับการเสื่อมโทรมของทรัพยากรที่ถูกนำมาใช้เป็นต้นทุนเพื่อการผลิต การดิ้นรนเพื่อการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมใหญ่ๆ คือปัญหาที่ชาวนาชาวไร่กำลังเผชิญ</p>ชุมชน, มานุษยวิทยา, การศึกษา, งานวิจัยและวิทยานิพนธ์, ไทย (ภาคเหนือ), ไทย (ภาคกลางตอนบน), ไทย (ภาคกลางตอนล่าง), ไทย (ภาคอีสาน)20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=12https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/006-cover.jpg
12บทความประมวลข้อมูลพื้นฐานชุมชนในมิติทางมานุษยวิทยา<p>
งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่เน้นการศึกษาชุมชนอย่างรอบด้าน โดยใช้แนวคิดโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นกรอบของการศึกษาวิจัย ข้อมูลพื้นฐานของชุมชนเกือบทั้งหมดได้มาจากการสอบถามอย่างไม่เป็นทางการ ส่วนข้อมูลจำเพาะบางอย่างได้จากผู้ให้ข้อมูลหลักทั้งผู้นำชุมชนที่เป็นทางการและผู้ชำนาญการในแต่ละประเด็นปัญหา การนำเสนอเรื่องราวจากภาพกว้างไปสู่ภาพเฉพาะช่วยให้เห็นกำเนิด การเติบโตและพัฒนาการของท้องถิ่น ชุมชนที่ศึกษาส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 100 กว่าปี เป็นชุมชนที่อยู่ได้ด้วยตัวเองในระยะแรก แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การที่รัฐได้เร่งพัฒนาประเทศเพื่อให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมประเทศทั้งหลายได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนการดำเนินชีวิตของผู้คนท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกผลักดันให้สังคมชนบทต้องพึ่งพาสังคมเมืองยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นก็เริ่มถดถอยไปพร้อมกับการเสื่อมโทรมของทรัพยากรที่ถูกนำมาใช้เป็นต้นทุนเพื่อการผลิต การดิ้นรนเพื่อการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมใหญ่ๆ คือปัญหาที่ชาวนาชาวไร่กำลังเผชิญ</p>ชุมชน, มานุษยวิทยา, การศึกษา, งานวิจัยและวิทยานิพนธ์, ไทย (ภาคเหนือ), ไทย (ภาคกลางตอนบน), ไทย (ภาคกลางตอนล่าง), ไทย (ภาคอีสาน)20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=12https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/006-cover.jpg
12วิทยานิพนธ์ประมวลข้อมูลพื้นฐานชุมชนในมิติทางมานุษยวิทยา<p>
งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่เน้นการศึกษาชุมชนอย่างรอบด้าน โดยใช้แนวคิดโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นกรอบของการศึกษาวิจัย ข้อมูลพื้นฐานของชุมชนเกือบทั้งหมดได้มาจากการสอบถามอย่างไม่เป็นทางการ ส่วนข้อมูลจำเพาะบางอย่างได้จากผู้ให้ข้อมูลหลักทั้งผู้นำชุมชนที่เป็นทางการและผู้ชำนาญการในแต่ละประเด็นปัญหา การนำเสนอเรื่องราวจากภาพกว้างไปสู่ภาพเฉพาะช่วยให้เห็นกำเนิด การเติบโตและพัฒนาการของท้องถิ่น ชุมชนที่ศึกษาส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 100 กว่าปี เป็นชุมชนที่อยู่ได้ด้วยตัวเองในระยะแรก แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การที่รัฐได้เร่งพัฒนาประเทศเพื่อให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมประเทศทั้งหลายได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนการดำเนินชีวิตของผู้คนท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกผลักดันให้สังคมชนบทต้องพึ่งพาสังคมเมืองยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นก็เริ่มถดถอยไปพร้อมกับการเสื่อมโทรมของทรัพยากรที่ถูกนำมาใช้เป็นต้นทุนเพื่อการผลิต การดิ้นรนเพื่อการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมใหญ่ๆ คือปัญหาที่ชาวนาชาวไร่กำลังเผชิญ</p>ชุมชน, มานุษยวิทยา, การศึกษา, งานวิจัยและวิทยานิพนธ์, ไทย (ภาคเหนือ), ไทย (ภาคกลางตอนบน), ไทย (ภาคกลางตอนล่าง), ไทย (ภาคอีสาน)20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=12https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/006-cover.jpg
12รายงานงานวิจัยประมวลข้อมูลพื้นฐานชุมชนในมิติทางมานุษยวิทยา<p>
งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่เน้นการศึกษาชุมชนอย่างรอบด้าน โดยใช้แนวคิดโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นกรอบของการศึกษาวิจัย ข้อมูลพื้นฐานของชุมชนเกือบทั้งหมดได้มาจากการสอบถามอย่างไม่เป็นทางการ ส่วนข้อมูลจำเพาะบางอย่างได้จากผู้ให้ข้อมูลหลักทั้งผู้นำชุมชนที่เป็นทางการและผู้ชำนาญการในแต่ละประเด็นปัญหา การนำเสนอเรื่องราวจากภาพกว้างไปสู่ภาพเฉพาะช่วยให้เห็นกำเนิด การเติบโตและพัฒนาการของท้องถิ่น ชุมชนที่ศึกษาส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 100 กว่าปี เป็นชุมชนที่อยู่ได้ด้วยตัวเองในระยะแรก แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การที่รัฐได้เร่งพัฒนาประเทศเพื่อให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมประเทศทั้งหลายได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนการดำเนินชีวิตของผู้คนท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกผลักดันให้สังคมชนบทต้องพึ่งพาสังคมเมืองยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นก็เริ่มถดถอยไปพร้อมกับการเสื่อมโทรมของทรัพยากรที่ถูกนำมาใช้เป็นต้นทุนเพื่อการผลิต การดิ้นรนเพื่อการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมใหญ่ๆ คือปัญหาที่ชาวนาชาวไร่กำลังเผชิญ</p>ชุมชน, มานุษยวิทยา, การศึกษา, งานวิจัยและวิทยานิพนธ์, ไทย (ภาคเหนือ), ไทย (ภาคกลางตอนบน), ไทย (ภาคกลางตอนล่าง), ไทย (ภาคอีสาน)20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=12https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/006-cover.jpg
12รายงานประมวลข้อมูลพื้นฐานชุมชนในมิติทางมานุษยวิทยา<p>
งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่เน้นการศึกษาชุมชนอย่างรอบด้าน โดยใช้แนวคิดโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นกรอบของการศึกษาวิจัย ข้อมูลพื้นฐานของชุมชนเกือบทั้งหมดได้มาจากการสอบถามอย่างไม่เป็นทางการ ส่วนข้อมูลจำเพาะบางอย่างได้จากผู้ให้ข้อมูลหลักทั้งผู้นำชุมชนที่เป็นทางการและผู้ชำนาญการในแต่ละประเด็นปัญหา การนำเสนอเรื่องราวจากภาพกว้างไปสู่ภาพเฉพาะช่วยให้เห็นกำเนิด การเติบโตและพัฒนาการของท้องถิ่น ชุมชนที่ศึกษาส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 100 กว่าปี เป็นชุมชนที่อยู่ได้ด้วยตัวเองในระยะแรก แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การที่รัฐได้เร่งพัฒนาประเทศเพื่อให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมประเทศทั้งหลายได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนการดำเนินชีวิตของผู้คนท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกผลักดันให้สังคมชนบทต้องพึ่งพาสังคมเมืองยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นก็เริ่มถดถอยไปพร้อมกับการเสื่อมโทรมของทรัพยากรที่ถูกนำมาใช้เป็นต้นทุนเพื่อการผลิต การดิ้นรนเพื่อการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมใหญ่ๆ คือปัญหาที่ชาวนาชาวไร่กำลังเผชิญ</p>ชุมชน, มานุษยวิทยา, การศึกษา, งานวิจัยและวิทยานิพนธ์, ไทย (ภาคเหนือ), ไทย (ภาคกลางตอนบน), ไทย (ภาคกลางตอนล่าง), ไทย (ภาคอีสาน)20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=12https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/006-cover.jpg
12หนังสือประมวลข้อมูลพื้นฐานชุมชนในมิติทางมานุษยวิทยา<p>
งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่เน้นการศึกษาชุมชนอย่างรอบด้าน โดยใช้แนวคิดโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นกรอบของการศึกษาวิจัย ข้อมูลพื้นฐานของชุมชนเกือบทั้งหมดได้มาจากการสอบถามอย่างไม่เป็นทางการ ส่วนข้อมูลจำเพาะบางอย่างได้จากผู้ให้ข้อมูลหลักทั้งผู้นำชุมชนที่เป็นทางการและผู้ชำนาญการในแต่ละประเด็นปัญหา การนำเสนอเรื่องราวจากภาพกว้างไปสู่ภาพเฉพาะช่วยให้เห็นกำเนิด การเติบโตและพัฒนาการของท้องถิ่น ชุมชนที่ศึกษาส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 100 กว่าปี เป็นชุมชนที่อยู่ได้ด้วยตัวเองในระยะแรก แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การที่รัฐได้เร่งพัฒนาประเทศเพื่อให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมประเทศทั้งหลายได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนการดำเนินชีวิตของผู้คนท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกผลักดันให้สังคมชนบทต้องพึ่งพาสังคมเมืองยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นก็เริ่มถดถอยไปพร้อมกับการเสื่อมโทรมของทรัพยากรที่ถูกนำมาใช้เป็นต้นทุนเพื่อการผลิต การดิ้นรนเพื่อการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมใหญ่ๆ คือปัญหาที่ชาวนาชาวไร่กำลังเผชิญ</p>ชุมชน, มานุษยวิทยา, การศึกษา, งานวิจัยและวิทยานิพนธ์, ไทย (ภาคเหนือ), ไทย (ภาคกลางตอนบน), ไทย (ภาคกลางตอนล่าง), ไทย (ภาคอีสาน)20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=12https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/006-cover.jpg
12จุลสารประมวลข้อมูลพื้นฐานชุมชนในมิติทางมานุษยวิทยา<p>
งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่เน้นการศึกษาชุมชนอย่างรอบด้าน โดยใช้แนวคิดโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นกรอบของการศึกษาวิจัย ข้อมูลพื้นฐานของชุมชนเกือบทั้งหมดได้มาจากการสอบถามอย่างไม่เป็นทางการ ส่วนข้อมูลจำเพาะบางอย่างได้จากผู้ให้ข้อมูลหลักทั้งผู้นำชุมชนที่เป็นทางการและผู้ชำนาญการในแต่ละประเด็นปัญหา การนำเสนอเรื่องราวจากภาพกว้างไปสู่ภาพเฉพาะช่วยให้เห็นกำเนิด การเติบโตและพัฒนาการของท้องถิ่น ชุมชนที่ศึกษาส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 100 กว่าปี เป็นชุมชนที่อยู่ได้ด้วยตัวเองในระยะแรก แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การที่รัฐได้เร่งพัฒนาประเทศเพื่อให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมประเทศทั้งหลายได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนการดำเนินชีวิตของผู้คนท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกผลักดันให้สังคมชนบทต้องพึ่งพาสังคมเมืองยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นก็เริ่มถดถอยไปพร้อมกับการเสื่อมโทรมของทรัพยากรที่ถูกนำมาใช้เป็นต้นทุนเพื่อการผลิต การดิ้นรนเพื่อการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมใหญ่ๆ คือปัญหาที่ชาวนาชาวไร่กำลังเผชิญ</p>ชุมชน, มานุษยวิทยา, การศึกษา, งานวิจัยและวิทยานิพนธ์, ไทย (ภาคเหนือ), ไทย (ภาคกลางตอนบน), ไทย (ภาคกลางตอนล่าง), ไทย (ภาคอีสาน)20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=12https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/006-cover.jpg
12สูจิบัตรประมวลข้อมูลพื้นฐานชุมชนในมิติทางมานุษยวิทยา<p>
งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่เน้นการศึกษาชุมชนอย่างรอบด้าน โดยใช้แนวคิดโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นกรอบของการศึกษาวิจัย ข้อมูลพื้นฐานของชุมชนเกือบทั้งหมดได้มาจากการสอบถามอย่างไม่เป็นทางการ ส่วนข้อมูลจำเพาะบางอย่างได้จากผู้ให้ข้อมูลหลักทั้งผู้นำชุมชนที่เป็นทางการและผู้ชำนาญการในแต่ละประเด็นปัญหา การนำเสนอเรื่องราวจากภาพกว้างไปสู่ภาพเฉพาะช่วยให้เห็นกำเนิด การเติบโตและพัฒนาการของท้องถิ่น ชุมชนที่ศึกษาส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 100 กว่าปี เป็นชุมชนที่อยู่ได้ด้วยตัวเองในระยะแรก แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การที่รัฐได้เร่งพัฒนาประเทศเพื่อให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมประเทศทั้งหลายได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนการดำเนินชีวิตของผู้คนท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกผลักดันให้สังคมชนบทต้องพึ่งพาสังคมเมืองยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นก็เริ่มถดถอยไปพร้อมกับการเสื่อมโทรมของทรัพยากรที่ถูกนำมาใช้เป็นต้นทุนเพื่อการผลิต การดิ้นรนเพื่อการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมใหญ่ๆ คือปัญหาที่ชาวนาชาวไร่กำลังเผชิญ</p>ชุมชน, มานุษยวิทยา, การศึกษา, งานวิจัยและวิทยานิพนธ์, ไทย (ภาคเหนือ), ไทย (ภาคกลางตอนบน), ไทย (ภาคกลางตอนล่าง), ไทย (ภาคอีสาน)20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=12https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/006-cover.jpg
13อื่นๆจิตรกรรม ประติมากรรมในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามาหลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรม ประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน</p>จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=13https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/007-cover.jpg
13วารสารจิตรกรรม ประติมากรรมในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามาหลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรม ประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน</p>จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=13https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/007-cover.jpg
13บทความจิตรกรรม ประติมากรรมในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามาหลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรม ประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน</p>จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=13https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/007-cover.jpg
13วิทยานิพนธ์จิตรกรรม ประติมากรรมในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามาหลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรม ประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน</p>จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=13https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/007-cover.jpg
13รายงานงานวิจัยจิตรกรรม ประติมากรรมในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามาหลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรม ประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน</p>จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=13https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/007-cover.jpg
13รายงานจิตรกรรม ประติมากรรมในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามาหลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรม ประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน</p>จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=13https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/007-cover.jpg
13หนังสือจิตรกรรม ประติมากรรมในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามาหลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรม ประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน</p>จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=13https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/007-cover.jpg
13จุลสารจิตรกรรม ประติมากรรมในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามาหลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรม ประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน</p>จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=13https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/007-cover.jpg
13สูจิบัตรจิตรกรรม ประติมากรรมในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามาหลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรม ประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน</p>จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=13https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/007-cover.jpg
14อื่นๆประเพณีสิบสองเดือน : พิธีกรรมที่เปลี่ยนไป<p>
การศึกษาประเพณีสิบสองเดือน ได้รวบรวมหลักฐานและรายละเอียดเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีในแต่ละภูมิภาคว่ามีลักษณะอย่างไร มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร และมีความหมายอย่างไรต่อการดำรงอยู่ของคนในท้องถิ่น รวมทั้งศึกษาบริบทแวดล้อมทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมหรือเพิ่มเติมการปรุงแต่งขึ้นใหม่</p>พระราชพิธี, ประเพณีสิบสองเดือน, การเปลี่ยนแปลง, ประเพณีท้องถิ่น, ไทย, ภาคกลาง, ภาคใต้, ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=14https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/009-cover..jpg
14วารสารประเพณีสิบสองเดือน : พิธีกรรมที่เปลี่ยนไป<p>
การศึกษาประเพณีสิบสองเดือน ได้รวบรวมหลักฐานและรายละเอียดเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีในแต่ละภูมิภาคว่ามีลักษณะอย่างไร มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร และมีความหมายอย่างไรต่อการดำรงอยู่ของคนในท้องถิ่น รวมทั้งศึกษาบริบทแวดล้อมทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมหรือเพิ่มเติมการปรุงแต่งขึ้นใหม่</p>พระราชพิธี, ประเพณีสิบสองเดือน, การเปลี่ยนแปลง, ประเพณีท้องถิ่น, ไทย, ภาคกลาง, ภาคใต้, ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=14https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/009-cover..jpg
14บทความประเพณีสิบสองเดือน : พิธีกรรมที่เปลี่ยนไป<p>
การศึกษาประเพณีสิบสองเดือน ได้รวบรวมหลักฐานและรายละเอียดเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีในแต่ละภูมิภาคว่ามีลักษณะอย่างไร มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร และมีความหมายอย่างไรต่อการดำรงอยู่ของคนในท้องถิ่น รวมทั้งศึกษาบริบทแวดล้อมทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมหรือเพิ่มเติมการปรุงแต่งขึ้นใหม่</p>พระราชพิธี, ประเพณีสิบสองเดือน, การเปลี่ยนแปลง, ประเพณีท้องถิ่น, ไทย, ภาคกลาง, ภาคใต้, ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=14https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/009-cover..jpg
14วิทยานิพนธ์ประเพณีสิบสองเดือน : พิธีกรรมที่เปลี่ยนไป<p>
การศึกษาประเพณีสิบสองเดือน ได้รวบรวมหลักฐานและรายละเอียดเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีในแต่ละภูมิภาคว่ามีลักษณะอย่างไร มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร และมีความหมายอย่างไรต่อการดำรงอยู่ของคนในท้องถิ่น รวมทั้งศึกษาบริบทแวดล้อมทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมหรือเพิ่มเติมการปรุงแต่งขึ้นใหม่</p>พระราชพิธี, ประเพณีสิบสองเดือน, การเปลี่ยนแปลง, ประเพณีท้องถิ่น, ไทย, ภาคกลาง, ภาคใต้, ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=14https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/009-cover..jpg
14รายงานงานวิจัยประเพณีสิบสองเดือน : พิธีกรรมที่เปลี่ยนไป<p>
การศึกษาประเพณีสิบสองเดือน ได้รวบรวมหลักฐานและรายละเอียดเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีในแต่ละภูมิภาคว่ามีลักษณะอย่างไร มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร และมีความหมายอย่างไรต่อการดำรงอยู่ของคนในท้องถิ่น รวมทั้งศึกษาบริบทแวดล้อมทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมหรือเพิ่มเติมการปรุงแต่งขึ้นใหม่</p>พระราชพิธี, ประเพณีสิบสองเดือน, การเปลี่ยนแปลง, ประเพณีท้องถิ่น, ไทย, ภาคกลาง, ภาคใต้, ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=14https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/009-cover..jpg
14รายงานประเพณีสิบสองเดือน : พิธีกรรมที่เปลี่ยนไป<p>
การศึกษาประเพณีสิบสองเดือน ได้รวบรวมหลักฐานและรายละเอียดเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีในแต่ละภูมิภาคว่ามีลักษณะอย่างไร มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร และมีความหมายอย่างไรต่อการดำรงอยู่ของคนในท้องถิ่น รวมทั้งศึกษาบริบทแวดล้อมทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมหรือเพิ่มเติมการปรุงแต่งขึ้นใหม่</p>พระราชพิธี, ประเพณีสิบสองเดือน, การเปลี่ยนแปลง, ประเพณีท้องถิ่น, ไทย, ภาคกลาง, ภาคใต้, ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=14https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/009-cover..jpg
14หนังสือประเพณีสิบสองเดือน : พิธีกรรมที่เปลี่ยนไป<p>
การศึกษาประเพณีสิบสองเดือน ได้รวบรวมหลักฐานและรายละเอียดเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีในแต่ละภูมิภาคว่ามีลักษณะอย่างไร มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร และมีความหมายอย่างไรต่อการดำรงอยู่ของคนในท้องถิ่น รวมทั้งศึกษาบริบทแวดล้อมทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมหรือเพิ่มเติมการปรุงแต่งขึ้นใหม่</p>พระราชพิธี, ประเพณีสิบสองเดือน, การเปลี่ยนแปลง, ประเพณีท้องถิ่น, ไทย, ภาคกลาง, ภาคใต้, ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=14https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/009-cover..jpg
14จุลสารประเพณีสิบสองเดือน : พิธีกรรมที่เปลี่ยนไป<p>
การศึกษาประเพณีสิบสองเดือน ได้รวบรวมหลักฐานและรายละเอียดเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีในแต่ละภูมิภาคว่ามีลักษณะอย่างไร มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร และมีความหมายอย่างไรต่อการดำรงอยู่ของคนในท้องถิ่น รวมทั้งศึกษาบริบทแวดล้อมทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมหรือเพิ่มเติมการปรุงแต่งขึ้นใหม่</p>พระราชพิธี, ประเพณีสิบสองเดือน, การเปลี่ยนแปลง, ประเพณีท้องถิ่น, ไทย, ภาคกลาง, ภาคใต้, ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=14https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/009-cover..jpg
14สูจิบัตรประเพณีสิบสองเดือน : พิธีกรรมที่เปลี่ยนไป<p>
การศึกษาประเพณีสิบสองเดือน ได้รวบรวมหลักฐานและรายละเอียดเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีในแต่ละภูมิภาคว่ามีลักษณะอย่างไร มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร และมีความหมายอย่างไรต่อการดำรงอยู่ของคนในท้องถิ่น รวมทั้งศึกษาบริบทแวดล้อมทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมหรือเพิ่มเติมการปรุงแต่งขึ้นใหม่</p>พระราชพิธี, ประเพณีสิบสองเดือน, การเปลี่ยนแปลง, ประเพณีท้องถิ่น, ไทย, ภาคกลาง, ภาคใต้, ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=14https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/009-cover..jpg
18อื่นๆการศึกษามิติวัฒนธรรมในยุคเศรษฐกิจพอเพียง<p>
การศึกษากระบวนการดำเนินงานและระบบวัฒนธรรมท้องถิ่นในกรณีศึกษากลุ่มองค์กร/ชุมชน ที่ได้ดำเนินงานตามสาระสำคัญของ เศรษฐกิจพอเพียง หรือเศรษฐกิจแบบยั่งยืน เพื่อที่จะปรับตัวให้สามารถอยู่รอดท่ามกลางสภาพสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ภายหลังจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจทำให้หลายฝ่ายต้องตระหนักถึงการปรับตัวให้สมดุลกับบริบทแวดล้อม โดยมุ่งศึกษาเพื่อประมวลความสำเร็จ/ล้มเหลว วิเคราะห์ให้เกิดเป็นองค์ความรู้ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการแปรแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงดังกล่าว ซึ่งได้เลือกกลุ่มตัวอย่างมาศึกษา 6 กรณี เช่น กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ฯ ต.น้ำขาว อ.จะนะ จ.สงขลา, มูลนิธิพิพิธประชานาถ ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์, ชุมชนทุ่งยาว ต.ศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน, ชุมชนยี่สาร ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม</p>เศรษฐกิจพอเพียง, กลุ่มสัจจะออมทรัพย์, มูลนิธิพิพิธประชานาถ, ชุมชนประดิษฐ์โทรการ, ชุมชนบ้านทุ่งยาว, บริษัทกลุ่มสามมิตร20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=18https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/013-cover.jpg
18วารสารการศึกษามิติวัฒนธรรมในยุคเศรษฐกิจพอเพียง<p>
การศึกษากระบวนการดำเนินงานและระบบวัฒนธรรมท้องถิ่นในกรณีศึกษากลุ่มองค์กร/ชุมชน ที่ได้ดำเนินงานตามสาระสำคัญของ เศรษฐกิจพอเพียง หรือเศรษฐกิจแบบยั่งยืน เพื่อที่จะปรับตัวให้สามารถอยู่รอดท่ามกลางสภาพสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ภายหลังจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจทำให้หลายฝ่ายต้องตระหนักถึงการปรับตัวให้สมดุลกับบริบทแวดล้อม โดยมุ่งศึกษาเพื่อประมวลความสำเร็จ/ล้มเหลว วิเคราะห์ให้เกิดเป็นองค์ความรู้ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการแปรแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงดังกล่าว ซึ่งได้เลือกกลุ่มตัวอย่างมาศึกษา 6 กรณี เช่น กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ฯ ต.น้ำขาว อ.จะนะ จ.สงขลา, มูลนิธิพิพิธประชานาถ ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์, ชุมชนทุ่งยาว ต.ศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน, ชุมชนยี่สาร ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม</p>เศรษฐกิจพอเพียง, กลุ่มสัจจะออมทรัพย์, มูลนิธิพิพิธประชานาถ, ชุมชนประดิษฐ์โทรการ, ชุมชนบ้านทุ่งยาว, บริษัทกลุ่มสามมิตร20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=18https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/013-cover.jpg
18บทความการศึกษามิติวัฒนธรรมในยุคเศรษฐกิจพอเพียง<p>
การศึกษากระบวนการดำเนินงานและระบบวัฒนธรรมท้องถิ่นในกรณีศึกษากลุ่มองค์กร/ชุมชน ที่ได้ดำเนินงานตามสาระสำคัญของ เศรษฐกิจพอเพียง หรือเศรษฐกิจแบบยั่งยืน เพื่อที่จะปรับตัวให้สามารถอยู่รอดท่ามกลางสภาพสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ภายหลังจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจทำให้หลายฝ่ายต้องตระหนักถึงการปรับตัวให้สมดุลกับบริบทแวดล้อม โดยมุ่งศึกษาเพื่อประมวลความสำเร็จ/ล้มเหลว วิเคราะห์ให้เกิดเป็นองค์ความรู้ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการแปรแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงดังกล่าว ซึ่งได้เลือกกลุ่มตัวอย่างมาศึกษา 6 กรณี เช่น กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ฯ ต.น้ำขาว อ.จะนะ จ.สงขลา, มูลนิธิพิพิธประชานาถ ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์, ชุมชนทุ่งยาว ต.ศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน, ชุมชนยี่สาร ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม</p>เศรษฐกิจพอเพียง, กลุ่มสัจจะออมทรัพย์, มูลนิธิพิพิธประชานาถ, ชุมชนประดิษฐ์โทรการ, ชุมชนบ้านทุ่งยาว, บริษัทกลุ่มสามมิตร20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=18https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/013-cover.jpg
18วิทยานิพนธ์การศึกษามิติวัฒนธรรมในยุคเศรษฐกิจพอเพียง<p>
การศึกษากระบวนการดำเนินงานและระบบวัฒนธรรมท้องถิ่นในกรณีศึกษากลุ่มองค์กร/ชุมชน ที่ได้ดำเนินงานตามสาระสำคัญของ เศรษฐกิจพอเพียง หรือเศรษฐกิจแบบยั่งยืน เพื่อที่จะปรับตัวให้สามารถอยู่รอดท่ามกลางสภาพสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ภายหลังจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจทำให้หลายฝ่ายต้องตระหนักถึงการปรับตัวให้สมดุลกับบริบทแวดล้อม โดยมุ่งศึกษาเพื่อประมวลความสำเร็จ/ล้มเหลว วิเคราะห์ให้เกิดเป็นองค์ความรู้ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการแปรแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงดังกล่าว ซึ่งได้เลือกกลุ่มตัวอย่างมาศึกษา 6 กรณี เช่น กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ฯ ต.น้ำขาว อ.จะนะ จ.สงขลา, มูลนิธิพิพิธประชานาถ ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์, ชุมชนทุ่งยาว ต.ศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน, ชุมชนยี่สาร ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม</p>เศรษฐกิจพอเพียง, กลุ่มสัจจะออมทรัพย์, มูลนิธิพิพิธประชานาถ, ชุมชนประดิษฐ์โทรการ, ชุมชนบ้านทุ่งยาว, บริษัทกลุ่มสามมิตร20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=18https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/013-cover.jpg
18รายงานงานวิจัยการศึกษามิติวัฒนธรรมในยุคเศรษฐกิจพอเพียง<p>
การศึกษากระบวนการดำเนินงานและระบบวัฒนธรรมท้องถิ่นในกรณีศึกษากลุ่มองค์กร/ชุมชน ที่ได้ดำเนินงานตามสาระสำคัญของ เศรษฐกิจพอเพียง หรือเศรษฐกิจแบบยั่งยืน เพื่อที่จะปรับตัวให้สามารถอยู่รอดท่ามกลางสภาพสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ภายหลังจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจทำให้หลายฝ่ายต้องตระหนักถึงการปรับตัวให้สมดุลกับบริบทแวดล้อม โดยมุ่งศึกษาเพื่อประมวลความสำเร็จ/ล้มเหลว วิเคราะห์ให้เกิดเป็นองค์ความรู้ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการแปรแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงดังกล่าว ซึ่งได้เลือกกลุ่มตัวอย่างมาศึกษา 6 กรณี เช่น กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ฯ ต.น้ำขาว อ.จะนะ จ.สงขลา, มูลนิธิพิพิธประชานาถ ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์, ชุมชนทุ่งยาว ต.ศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน, ชุมชนยี่สาร ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม</p>เศรษฐกิจพอเพียง, กลุ่มสัจจะออมทรัพย์, มูลนิธิพิพิธประชานาถ, ชุมชนประดิษฐ์โทรการ, ชุมชนบ้านทุ่งยาว, บริษัทกลุ่มสามมิตร20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=18https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/013-cover.jpg
18รายงานการศึกษามิติวัฒนธรรมในยุคเศรษฐกิจพอเพียง<p>
การศึกษากระบวนการดำเนินงานและระบบวัฒนธรรมท้องถิ่นในกรณีศึกษากลุ่มองค์กร/ชุมชน ที่ได้ดำเนินงานตามสาระสำคัญของ เศรษฐกิจพอเพียง หรือเศรษฐกิจแบบยั่งยืน เพื่อที่จะปรับตัวให้สามารถอยู่รอดท่ามกลางสภาพสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ภายหลังจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจทำให้หลายฝ่ายต้องตระหนักถึงการปรับตัวให้สมดุลกับบริบทแวดล้อม โดยมุ่งศึกษาเพื่อประมวลความสำเร็จ/ล้มเหลว วิเคราะห์ให้เกิดเป็นองค์ความรู้ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการแปรแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงดังกล่าว ซึ่งได้เลือกกลุ่มตัวอย่างมาศึกษา 6 กรณี เช่น กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ฯ ต.น้ำขาว อ.จะนะ จ.สงขลา, มูลนิธิพิพิธประชานาถ ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์, ชุมชนทุ่งยาว ต.ศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน, ชุมชนยี่สาร ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม</p>เศรษฐกิจพอเพียง, กลุ่มสัจจะออมทรัพย์, มูลนิธิพิพิธประชานาถ, ชุมชนประดิษฐ์โทรการ, ชุมชนบ้านทุ่งยาว, บริษัทกลุ่มสามมิตร20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=18https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/013-cover.jpg
18หนังสือการศึกษามิติวัฒนธรรมในยุคเศรษฐกิจพอเพียง<p>
การศึกษากระบวนการดำเนินงานและระบบวัฒนธรรมท้องถิ่นในกรณีศึกษากลุ่มองค์กร/ชุมชน ที่ได้ดำเนินงานตามสาระสำคัญของ เศรษฐกิจพอเพียง หรือเศรษฐกิจแบบยั่งยืน เพื่อที่จะปรับตัวให้สามารถอยู่รอดท่ามกลางสภาพสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ภายหลังจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจทำให้หลายฝ่ายต้องตระหนักถึงการปรับตัวให้สมดุลกับบริบทแวดล้อม โดยมุ่งศึกษาเพื่อประมวลความสำเร็จ/ล้มเหลว วิเคราะห์ให้เกิดเป็นองค์ความรู้ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการแปรแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงดังกล่าว ซึ่งได้เลือกกลุ่มตัวอย่างมาศึกษา 6 กรณี เช่น กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ฯ ต.น้ำขาว อ.จะนะ จ.สงขลา, มูลนิธิพิพิธประชานาถ ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์, ชุมชนทุ่งยาว ต.ศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน, ชุมชนยี่สาร ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม</p>เศรษฐกิจพอเพียง, กลุ่มสัจจะออมทรัพย์, มูลนิธิพิพิธประชานาถ, ชุมชนประดิษฐ์โทรการ, ชุมชนบ้านทุ่งยาว, บริษัทกลุ่มสามมิตร20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=18https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/013-cover.jpg
18จุลสารการศึกษามิติวัฒนธรรมในยุคเศรษฐกิจพอเพียง<p>
การศึกษากระบวนการดำเนินงานและระบบวัฒนธรรมท้องถิ่นในกรณีศึกษากลุ่มองค์กร/ชุมชน ที่ได้ดำเนินงานตามสาระสำคัญของ เศรษฐกิจพอเพียง หรือเศรษฐกิจแบบยั่งยืน เพื่อที่จะปรับตัวให้สามารถอยู่รอดท่ามกลางสภาพสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ภายหลังจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจทำให้หลายฝ่ายต้องตระหนักถึงการปรับตัวให้สมดุลกับบริบทแวดล้อม โดยมุ่งศึกษาเพื่อประมวลความสำเร็จ/ล้มเหลว วิเคราะห์ให้เกิดเป็นองค์ความรู้ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการแปรแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงดังกล่าว ซึ่งได้เลือกกลุ่มตัวอย่างมาศึกษา 6 กรณี เช่น กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ฯ ต.น้ำขาว อ.จะนะ จ.สงขลา, มูลนิธิพิพิธประชานาถ ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์, ชุมชนทุ่งยาว ต.ศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน, ชุมชนยี่สาร ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม</p>เศรษฐกิจพอเพียง, กลุ่มสัจจะออมทรัพย์, มูลนิธิพิพิธประชานาถ, ชุมชนประดิษฐ์โทรการ, ชุมชนบ้านทุ่งยาว, บริษัทกลุ่มสามมิตร20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=18https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/013-cover.jpg
18สูจิบัตรการศึกษามิติวัฒนธรรมในยุคเศรษฐกิจพอเพียง<p>
การศึกษากระบวนการดำเนินงานและระบบวัฒนธรรมท้องถิ่นในกรณีศึกษากลุ่มองค์กร/ชุมชน ที่ได้ดำเนินงานตามสาระสำคัญของ เศรษฐกิจพอเพียง หรือเศรษฐกิจแบบยั่งยืน เพื่อที่จะปรับตัวให้สามารถอยู่รอดท่ามกลางสภาพสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ภายหลังจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจทำให้หลายฝ่ายต้องตระหนักถึงการปรับตัวให้สมดุลกับบริบทแวดล้อม โดยมุ่งศึกษาเพื่อประมวลความสำเร็จ/ล้มเหลว วิเคราะห์ให้เกิดเป็นองค์ความรู้ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการแปรแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงดังกล่าว ซึ่งได้เลือกกลุ่มตัวอย่างมาศึกษา 6 กรณี เช่น กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ฯ ต.น้ำขาว อ.จะนะ จ.สงขลา, มูลนิธิพิพิธประชานาถ ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์, ชุมชนทุ่งยาว ต.ศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน, ชุมชนยี่สาร ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม</p>เศรษฐกิจพอเพียง, กลุ่มสัจจะออมทรัพย์, มูลนิธิพิพิธประชานาถ, ชุมชนประดิษฐ์โทรการ, ชุมชนบ้านทุ่งยาว, บริษัทกลุ่มสามมิตร20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=18https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/013-cover.jpg
19อื่นๆประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>
<p>
</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=19https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/014-cover.jpg
19วารสารประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>
<p>
</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=19https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/014-cover.jpg
19บทความประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>
<p>
</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=19https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/014-cover.jpg
19วิทยานิพนธ์ประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>
<p>
</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=19https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/014-cover.jpg
19รายงานงานวิจัยประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>
<p>
</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=19https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/014-cover.jpg
19รายงานประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>
<p>
</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=19https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/014-cover.jpg
19หนังสือประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>
<p>
</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=19https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/014-cover.jpg
19จุลสารประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>
<p>
</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=19https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/014-cover.jpg
19สูจิบัตรประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>
<p>
</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=19https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/014-cover.jpg
27อื่นๆวัดกับชุมชน<p>
งานวิจัยทางวิชาการชิ้นนี้เป็นความพยายามที่จะทำความเข้าใจที่มาและความเป็นไปของ "วัด" โดยมองจากพัฒนาการการใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับชุมชนมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ลักษณะเป็นเนินหลุมดินฝังศพของหมู่บ้านสูงเด่นกว่าระดับพื้นทั่วไป ยุคเหล็กเจ้าของเครื่องมือหินขัด บรรจงปักหินแบ่งแยกหลุมศพและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนออกจากเขตที่พักอาศัย หินตั้งถูกปรับเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของเสมา ต่อมาพุทธศาสนาได้รับการยอมรับและแพร่หลายล่วงมาจนถึงสมัยสุโขทัย พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เรารับรู้ในนามของ "วัด" ปรากฏเป็นครั้งแรก จนมาถึงสมัยอยุธยาวัดได้กลายเป็นศูนย์กลางของชุมชนอย่างแท้จริง</p>วัด, ชุมชน, พุทธศาสนากับสังคม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ศาสนา, สถาบันสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=27https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/028-cover.jpg
27วารสารวัดกับชุมชน<p>
งานวิจัยทางวิชาการชิ้นนี้เป็นความพยายามที่จะทำความเข้าใจที่มาและความเป็นไปของ "วัด" โดยมองจากพัฒนาการการใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับชุมชนมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ลักษณะเป็นเนินหลุมดินฝังศพของหมู่บ้านสูงเด่นกว่าระดับพื้นทั่วไป ยุคเหล็กเจ้าของเครื่องมือหินขัด บรรจงปักหินแบ่งแยกหลุมศพและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนออกจากเขตที่พักอาศัย หินตั้งถูกปรับเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของเสมา ต่อมาพุทธศาสนาได้รับการยอมรับและแพร่หลายล่วงมาจนถึงสมัยสุโขทัย พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เรารับรู้ในนามของ "วัด" ปรากฏเป็นครั้งแรก จนมาถึงสมัยอยุธยาวัดได้กลายเป็นศูนย์กลางของชุมชนอย่างแท้จริง</p>วัด, ชุมชน, พุทธศาสนากับสังคม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ศาสนา, สถาบันสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=27https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/028-cover.jpg
27บทความวัดกับชุมชน<p>
งานวิจัยทางวิชาการชิ้นนี้เป็นความพยายามที่จะทำความเข้าใจที่มาและความเป็นไปของ "วัด" โดยมองจากพัฒนาการการใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับชุมชนมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ลักษณะเป็นเนินหลุมดินฝังศพของหมู่บ้านสูงเด่นกว่าระดับพื้นทั่วไป ยุคเหล็กเจ้าของเครื่องมือหินขัด บรรจงปักหินแบ่งแยกหลุมศพและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนออกจากเขตที่พักอาศัย หินตั้งถูกปรับเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของเสมา ต่อมาพุทธศาสนาได้รับการยอมรับและแพร่หลายล่วงมาจนถึงสมัยสุโขทัย พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เรารับรู้ในนามของ "วัด" ปรากฏเป็นครั้งแรก จนมาถึงสมัยอยุธยาวัดได้กลายเป็นศูนย์กลางของชุมชนอย่างแท้จริง</p>วัด, ชุมชน, พุทธศาสนากับสังคม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ศาสนา, สถาบันสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=27https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/028-cover.jpg
27วิทยานิพนธ์วัดกับชุมชน<p>
งานวิจัยทางวิชาการชิ้นนี้เป็นความพยายามที่จะทำความเข้าใจที่มาและความเป็นไปของ "วัด" โดยมองจากพัฒนาการการใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับชุมชนมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ลักษณะเป็นเนินหลุมดินฝังศพของหมู่บ้านสูงเด่นกว่าระดับพื้นทั่วไป ยุคเหล็กเจ้าของเครื่องมือหินขัด บรรจงปักหินแบ่งแยกหลุมศพและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนออกจากเขตที่พักอาศัย หินตั้งถูกปรับเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของเสมา ต่อมาพุทธศาสนาได้รับการยอมรับและแพร่หลายล่วงมาจนถึงสมัยสุโขทัย พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เรารับรู้ในนามของ "วัด" ปรากฏเป็นครั้งแรก จนมาถึงสมัยอยุธยาวัดได้กลายเป็นศูนย์กลางของชุมชนอย่างแท้จริง</p>วัด, ชุมชน, พุทธศาสนากับสังคม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ศาสนา, สถาบันสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=27https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/028-cover.jpg
27รายงานงานวิจัยวัดกับชุมชน<p>
งานวิจัยทางวิชาการชิ้นนี้เป็นความพยายามที่จะทำความเข้าใจที่มาและความเป็นไปของ "วัด" โดยมองจากพัฒนาการการใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับชุมชนมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ลักษณะเป็นเนินหลุมดินฝังศพของหมู่บ้านสูงเด่นกว่าระดับพื้นทั่วไป ยุคเหล็กเจ้าของเครื่องมือหินขัด บรรจงปักหินแบ่งแยกหลุมศพและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนออกจากเขตที่พักอาศัย หินตั้งถูกปรับเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของเสมา ต่อมาพุทธศาสนาได้รับการยอมรับและแพร่หลายล่วงมาจนถึงสมัยสุโขทัย พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เรารับรู้ในนามของ "วัด" ปรากฏเป็นครั้งแรก จนมาถึงสมัยอยุธยาวัดได้กลายเป็นศูนย์กลางของชุมชนอย่างแท้จริง</p>วัด, ชุมชน, พุทธศาสนากับสังคม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ศาสนา, สถาบันสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=27https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/028-cover.jpg
27รายงานวัดกับชุมชน<p>
งานวิจัยทางวิชาการชิ้นนี้เป็นความพยายามที่จะทำความเข้าใจที่มาและความเป็นไปของ "วัด" โดยมองจากพัฒนาการการใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับชุมชนมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ลักษณะเป็นเนินหลุมดินฝังศพของหมู่บ้านสูงเด่นกว่าระดับพื้นทั่วไป ยุคเหล็กเจ้าของเครื่องมือหินขัด บรรจงปักหินแบ่งแยกหลุมศพและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนออกจากเขตที่พักอาศัย หินตั้งถูกปรับเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของเสมา ต่อมาพุทธศาสนาได้รับการยอมรับและแพร่หลายล่วงมาจนถึงสมัยสุโขทัย พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เรารับรู้ในนามของ "วัด" ปรากฏเป็นครั้งแรก จนมาถึงสมัยอยุธยาวัดได้กลายเป็นศูนย์กลางของชุมชนอย่างแท้จริง</p>วัด, ชุมชน, พุทธศาสนากับสังคม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ศาสนา, สถาบันสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=27https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/028-cover.jpg
27หนังสือวัดกับชุมชน<p>
งานวิจัยทางวิชาการชิ้นนี้เป็นความพยายามที่จะทำความเข้าใจที่มาและความเป็นไปของ "วัด" โดยมองจากพัฒนาการการใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับชุมชนมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ลักษณะเป็นเนินหลุมดินฝังศพของหมู่บ้านสูงเด่นกว่าระดับพื้นทั่วไป ยุคเหล็กเจ้าของเครื่องมือหินขัด บรรจงปักหินแบ่งแยกหลุมศพและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนออกจากเขตที่พักอาศัย หินตั้งถูกปรับเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของเสมา ต่อมาพุทธศาสนาได้รับการยอมรับและแพร่หลายล่วงมาจนถึงสมัยสุโขทัย พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เรารับรู้ในนามของ "วัด" ปรากฏเป็นครั้งแรก จนมาถึงสมัยอยุธยาวัดได้กลายเป็นศูนย์กลางของชุมชนอย่างแท้จริง</p>วัด, ชุมชน, พุทธศาสนากับสังคม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ศาสนา, สถาบันสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=27https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/028-cover.jpg
27จุลสารวัดกับชุมชน<p>
งานวิจัยทางวิชาการชิ้นนี้เป็นความพยายามที่จะทำความเข้าใจที่มาและความเป็นไปของ "วัด" โดยมองจากพัฒนาการการใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับชุมชนมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ลักษณะเป็นเนินหลุมดินฝังศพของหมู่บ้านสูงเด่นกว่าระดับพื้นทั่วไป ยุคเหล็กเจ้าของเครื่องมือหินขัด บรรจงปักหินแบ่งแยกหลุมศพและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนออกจากเขตที่พักอาศัย หินตั้งถูกปรับเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของเสมา ต่อมาพุทธศาสนาได้รับการยอมรับและแพร่หลายล่วงมาจนถึงสมัยสุโขทัย พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เรารับรู้ในนามของ "วัด" ปรากฏเป็นครั้งแรก จนมาถึงสมัยอยุธยาวัดได้กลายเป็นศูนย์กลางของชุมชนอย่างแท้จริง</p>วัด, ชุมชน, พุทธศาสนากับสังคม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ศาสนา, สถาบันสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=27https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/028-cover.jpg
27สูจิบัตรวัดกับชุมชน<p>
งานวิจัยทางวิชาการชิ้นนี้เป็นความพยายามที่จะทำความเข้าใจที่มาและความเป็นไปของ "วัด" โดยมองจากพัฒนาการการใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับชุมชนมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ลักษณะเป็นเนินหลุมดินฝังศพของหมู่บ้านสูงเด่นกว่าระดับพื้นทั่วไป ยุคเหล็กเจ้าของเครื่องมือหินขัด บรรจงปักหินแบ่งแยกหลุมศพและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนออกจากเขตที่พักอาศัย หินตั้งถูกปรับเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของเสมา ต่อมาพุทธศาสนาได้รับการยอมรับและแพร่หลายล่วงมาจนถึงสมัยสุโขทัย พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เรารับรู้ในนามของ "วัด" ปรากฏเป็นครั้งแรก จนมาถึงสมัยอยุธยาวัดได้กลายเป็นศูนย์กลางของชุมชนอย่างแท้จริง</p>วัด, ชุมชน, พุทธศาสนากับสังคม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ศาสนา, สถาบันสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=27https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/028-cover.jpg
28อื่นๆการศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน<p>
การศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ศึกษาวิจัยในการทำงานเกี่ยวกับสังคมลุ่มน้ำลำคลองของชาวสวนชาวสยามที่เคยมีชีวิตอยู่อย่างสงบร่มเย็นในอดีตก่อนที่เมืองได้เข้ามารุกไล่ จนชาวสวนดั้งเดิมต้องเข้าไปอยู่ในส่วนลึก ๆ ห่างจากถนนใหญ่ บางตระกูลก็ต้องเลิกไปเนื่องจากการสร้างถนนผ่ากลางบ้าน ทั้งที่นา สวนผลไม้และสวนผัก ถือเป็นเพียงเรื่องราวของอดีตที่เคยรุ่งเรืองในการเป็นพื้นที่ซึ่งผลิตผลไม้รสชาติดีที่สุดแห่งหนึ่ง และพื้นที่ตลิ่งชันนั้นยังสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการใช้ที่ดิน น้ำ ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาและการขยายตัวของมหานคร</p>การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ตลิ่งชัน, กรุงเทพฯ, ความเป็นอยู่และประเพณี,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=28https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/029-cover.jpg
28วารสารการศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน<p>
การศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ศึกษาวิจัยในการทำงานเกี่ยวกับสังคมลุ่มน้ำลำคลองของชาวสวนชาวสยามที่เคยมีชีวิตอยู่อย่างสงบร่มเย็นในอดีตก่อนที่เมืองได้เข้ามารุกไล่ จนชาวสวนดั้งเดิมต้องเข้าไปอยู่ในส่วนลึก ๆ ห่างจากถนนใหญ่ บางตระกูลก็ต้องเลิกไปเนื่องจากการสร้างถนนผ่ากลางบ้าน ทั้งที่นา สวนผลไม้และสวนผัก ถือเป็นเพียงเรื่องราวของอดีตที่เคยรุ่งเรืองในการเป็นพื้นที่ซึ่งผลิตผลไม้รสชาติดีที่สุดแห่งหนึ่ง และพื้นที่ตลิ่งชันนั้นยังสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการใช้ที่ดิน น้ำ ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาและการขยายตัวของมหานคร</p>การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ตลิ่งชัน, กรุงเทพฯ, ความเป็นอยู่และประเพณี,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=28https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/029-cover.jpg
28บทความการศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน<p>
การศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ศึกษาวิจัยในการทำงานเกี่ยวกับสังคมลุ่มน้ำลำคลองของชาวสวนชาวสยามที่เคยมีชีวิตอยู่อย่างสงบร่มเย็นในอดีตก่อนที่เมืองได้เข้ามารุกไล่ จนชาวสวนดั้งเดิมต้องเข้าไปอยู่ในส่วนลึก ๆ ห่างจากถนนใหญ่ บางตระกูลก็ต้องเลิกไปเนื่องจากการสร้างถนนผ่ากลางบ้าน ทั้งที่นา สวนผลไม้และสวนผัก ถือเป็นเพียงเรื่องราวของอดีตที่เคยรุ่งเรืองในการเป็นพื้นที่ซึ่งผลิตผลไม้รสชาติดีที่สุดแห่งหนึ่ง และพื้นที่ตลิ่งชันนั้นยังสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการใช้ที่ดิน น้ำ ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาและการขยายตัวของมหานคร</p>การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ตลิ่งชัน, กรุงเทพฯ, ความเป็นอยู่และประเพณี,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=28https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/029-cover.jpg
28วิทยานิพนธ์การศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน<p>
การศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ศึกษาวิจัยในการทำงานเกี่ยวกับสังคมลุ่มน้ำลำคลองของชาวสวนชาวสยามที่เคยมีชีวิตอยู่อย่างสงบร่มเย็นในอดีตก่อนที่เมืองได้เข้ามารุกไล่ จนชาวสวนดั้งเดิมต้องเข้าไปอยู่ในส่วนลึก ๆ ห่างจากถนนใหญ่ บางตระกูลก็ต้องเลิกไปเนื่องจากการสร้างถนนผ่ากลางบ้าน ทั้งที่นา สวนผลไม้และสวนผัก ถือเป็นเพียงเรื่องราวของอดีตที่เคยรุ่งเรืองในการเป็นพื้นที่ซึ่งผลิตผลไม้รสชาติดีที่สุดแห่งหนึ่ง และพื้นที่ตลิ่งชันนั้นยังสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการใช้ที่ดิน น้ำ ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาและการขยายตัวของมหานคร</p>การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ตลิ่งชัน, กรุงเทพฯ, ความเป็นอยู่และประเพณี,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=28https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/029-cover.jpg
28รายงานงานวิจัยการศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน<p>
การศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ศึกษาวิจัยในการทำงานเกี่ยวกับสังคมลุ่มน้ำลำคลองของชาวสวนชาวสยามที่เคยมีชีวิตอยู่อย่างสงบร่มเย็นในอดีตก่อนที่เมืองได้เข้ามารุกไล่ จนชาวสวนดั้งเดิมต้องเข้าไปอยู่ในส่วนลึก ๆ ห่างจากถนนใหญ่ บางตระกูลก็ต้องเลิกไปเนื่องจากการสร้างถนนผ่ากลางบ้าน ทั้งที่นา สวนผลไม้และสวนผัก ถือเป็นเพียงเรื่องราวของอดีตที่เคยรุ่งเรืองในการเป็นพื้นที่ซึ่งผลิตผลไม้รสชาติดีที่สุดแห่งหนึ่ง และพื้นที่ตลิ่งชันนั้นยังสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการใช้ที่ดิน น้ำ ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาและการขยายตัวของมหานคร</p>การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ตลิ่งชัน, กรุงเทพฯ, ความเป็นอยู่และประเพณี,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=28https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/029-cover.jpg
28รายงานการศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน<p>
การศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ศึกษาวิจัยในการทำงานเกี่ยวกับสังคมลุ่มน้ำลำคลองของชาวสวนชาวสยามที่เคยมีชีวิตอยู่อย่างสงบร่มเย็นในอดีตก่อนที่เมืองได้เข้ามารุกไล่ จนชาวสวนดั้งเดิมต้องเข้าไปอยู่ในส่วนลึก ๆ ห่างจากถนนใหญ่ บางตระกูลก็ต้องเลิกไปเนื่องจากการสร้างถนนผ่ากลางบ้าน ทั้งที่นา สวนผลไม้และสวนผัก ถือเป็นเพียงเรื่องราวของอดีตที่เคยรุ่งเรืองในการเป็นพื้นที่ซึ่งผลิตผลไม้รสชาติดีที่สุดแห่งหนึ่ง และพื้นที่ตลิ่งชันนั้นยังสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการใช้ที่ดิน น้ำ ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาและการขยายตัวของมหานคร</p>การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ตลิ่งชัน, กรุงเทพฯ, ความเป็นอยู่และประเพณี,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=28https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/029-cover.jpg
28หนังสือการศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน<p>
การศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ศึกษาวิจัยในการทำงานเกี่ยวกับสังคมลุ่มน้ำลำคลองของชาวสวนชาวสยามที่เคยมีชีวิตอยู่อย่างสงบร่มเย็นในอดีตก่อนที่เมืองได้เข้ามารุกไล่ จนชาวสวนดั้งเดิมต้องเข้าไปอยู่ในส่วนลึก ๆ ห่างจากถนนใหญ่ บางตระกูลก็ต้องเลิกไปเนื่องจากการสร้างถนนผ่ากลางบ้าน ทั้งที่นา สวนผลไม้และสวนผัก ถือเป็นเพียงเรื่องราวของอดีตที่เคยรุ่งเรืองในการเป็นพื้นที่ซึ่งผลิตผลไม้รสชาติดีที่สุดแห่งหนึ่ง และพื้นที่ตลิ่งชันนั้นยังสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการใช้ที่ดิน น้ำ ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาและการขยายตัวของมหานคร</p>การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ตลิ่งชัน, กรุงเทพฯ, ความเป็นอยู่และประเพณี,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=28https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/029-cover.jpg
28จุลสารการศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน<p>
การศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ศึกษาวิจัยในการทำงานเกี่ยวกับสังคมลุ่มน้ำลำคลองของชาวสวนชาวสยามที่เคยมีชีวิตอยู่อย่างสงบร่มเย็นในอดีตก่อนที่เมืองได้เข้ามารุกไล่ จนชาวสวนดั้งเดิมต้องเข้าไปอยู่ในส่วนลึก ๆ ห่างจากถนนใหญ่ บางตระกูลก็ต้องเลิกไปเนื่องจากการสร้างถนนผ่ากลางบ้าน ทั้งที่นา สวนผลไม้และสวนผัก ถือเป็นเพียงเรื่องราวของอดีตที่เคยรุ่งเรืองในการเป็นพื้นที่ซึ่งผลิตผลไม้รสชาติดีที่สุดแห่งหนึ่ง และพื้นที่ตลิ่งชันนั้นยังสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการใช้ที่ดิน น้ำ ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาและการขยายตัวของมหานคร</p>การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ตลิ่งชัน, กรุงเทพฯ, ความเป็นอยู่และประเพณี,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=28https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/029-cover.jpg
28สูจิบัตรการศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน<p>
การศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ศึกษาวิจัยในการทำงานเกี่ยวกับสังคมลุ่มน้ำลำคลองของชาวสวนชาวสยามที่เคยมีชีวิตอยู่อย่างสงบร่มเย็นในอดีตก่อนที่เมืองได้เข้ามารุกไล่ จนชาวสวนดั้งเดิมต้องเข้าไปอยู่ในส่วนลึก ๆ ห่างจากถนนใหญ่ บางตระกูลก็ต้องเลิกไปเนื่องจากการสร้างถนนผ่ากลางบ้าน ทั้งที่นา สวนผลไม้และสวนผัก ถือเป็นเพียงเรื่องราวของอดีตที่เคยรุ่งเรืองในการเป็นพื้นที่ซึ่งผลิตผลไม้รสชาติดีที่สุดแห่งหนึ่ง และพื้นที่ตลิ่งชันนั้นยังสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการใช้ที่ดิน น้ำ ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาและการขยายตัวของมหานคร</p>การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ตลิ่งชัน, กรุงเทพฯ, ความเป็นอยู่และประเพณี,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=28https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/029-cover.jpg
32อื่นๆเหย้าเรือนพื้นบ้านย่านตะวันตก<p>
โครงการวิจัยนี้มุ่งศึกษาสถาปัตยกรรมประเภทที่อยู่อาศัยของชาวชนบท ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี และเพชรบุรี โดยกรอบการวิจัยศึกษาจำเพาะเรือนผูกแบบยกพื้น ที่หลงเหลืออยู่น้อยจนเข้าข่ายเป็นสิ่งหายาก เรือนจำนวน 20 หลัง ในพื้นที่ 4 จังหวัด ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นกรณีศึกษานี้ ใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีรังวัดขนาด วาดภาพและถ่ายภาพบันทึกรูปลักษณ์ ประกอบกับการสังเกตการณ์และการสัมภาษณ์ แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยวิธีเชิงคุณภาพตามหลักพื้นฐานทางสถาปัตยกรรม ซึ่งรูปแบบเรือนมีทั้งประเภทที่ยกพื้นเตี้ยเพียงระดับเข่าหรือเอวกระทั่งสูงพ้นหัวคนสามารถใช้ประโยชน์ใต้ถุนเรือนได้ </p>สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น, เหย้า, เรือน, เมือง, บ้าน, ย่านตะวันตก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=32https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/034-cover.jpg
32วารสารเหย้าเรือนพื้นบ้านย่านตะวันตก<p>
โครงการวิจัยนี้มุ่งศึกษาสถาปัตยกรรมประเภทที่อยู่อาศัยของชาวชนบท ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี และเพชรบุรี โดยกรอบการวิจัยศึกษาจำเพาะเรือนผูกแบบยกพื้น ที่หลงเหลืออยู่น้อยจนเข้าข่ายเป็นสิ่งหายาก เรือนจำนวน 20 หลัง ในพื้นที่ 4 จังหวัด ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นกรณีศึกษานี้ ใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีรังวัดขนาด วาดภาพและถ่ายภาพบันทึกรูปลักษณ์ ประกอบกับการสังเกตการณ์และการสัมภาษณ์ แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยวิธีเชิงคุณภาพตามหลักพื้นฐานทางสถาปัตยกรรม ซึ่งรูปแบบเรือนมีทั้งประเภทที่ยกพื้นเตี้ยเพียงระดับเข่าหรือเอวกระทั่งสูงพ้นหัวคนสามารถใช้ประโยชน์ใต้ถุนเรือนได้ </p>สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น, เหย้า, เรือน, เมือง, บ้าน, ย่านตะวันตก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=32https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/034-cover.jpg
32บทความเหย้าเรือนพื้นบ้านย่านตะวันตก<p>
โครงการวิจัยนี้มุ่งศึกษาสถาปัตยกรรมประเภทที่อยู่อาศัยของชาวชนบท ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี และเพชรบุรี โดยกรอบการวิจัยศึกษาจำเพาะเรือนผูกแบบยกพื้น ที่หลงเหลืออยู่น้อยจนเข้าข่ายเป็นสิ่งหายาก เรือนจำนวน 20 หลัง ในพื้นที่ 4 จังหวัด ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นกรณีศึกษานี้ ใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีรังวัดขนาด วาดภาพและถ่ายภาพบันทึกรูปลักษณ์ ประกอบกับการสังเกตการณ์และการสัมภาษณ์ แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยวิธีเชิงคุณภาพตามหลักพื้นฐานทางสถาปัตยกรรม ซึ่งรูปแบบเรือนมีทั้งประเภทที่ยกพื้นเตี้ยเพียงระดับเข่าหรือเอวกระทั่งสูงพ้นหัวคนสามารถใช้ประโยชน์ใต้ถุนเรือนได้ </p>สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น, เหย้า, เรือน, เมือง, บ้าน, ย่านตะวันตก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=32https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/034-cover.jpg
32วิทยานิพนธ์เหย้าเรือนพื้นบ้านย่านตะวันตก<p>
โครงการวิจัยนี้มุ่งศึกษาสถาปัตยกรรมประเภทที่อยู่อาศัยของชาวชนบท ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี และเพชรบุรี โดยกรอบการวิจัยศึกษาจำเพาะเรือนผูกแบบยกพื้น ที่หลงเหลืออยู่น้อยจนเข้าข่ายเป็นสิ่งหายาก เรือนจำนวน 20 หลัง ในพื้นที่ 4 จังหวัด ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นกรณีศึกษานี้ ใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีรังวัดขนาด วาดภาพและถ่ายภาพบันทึกรูปลักษณ์ ประกอบกับการสังเกตการณ์และการสัมภาษณ์ แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยวิธีเชิงคุณภาพตามหลักพื้นฐานทางสถาปัตยกรรม ซึ่งรูปแบบเรือนมีทั้งประเภทที่ยกพื้นเตี้ยเพียงระดับเข่าหรือเอวกระทั่งสูงพ้นหัวคนสามารถใช้ประโยชน์ใต้ถุนเรือนได้ </p>สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น, เหย้า, เรือน, เมือง, บ้าน, ย่านตะวันตก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=32https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/034-cover.jpg
32รายงานงานวิจัยเหย้าเรือนพื้นบ้านย่านตะวันตก<p>
โครงการวิจัยนี้มุ่งศึกษาสถาปัตยกรรมประเภทที่อยู่อาศัยของชาวชนบท ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี และเพชรบุรี โดยกรอบการวิจัยศึกษาจำเพาะเรือนผูกแบบยกพื้น ที่หลงเหลืออยู่น้อยจนเข้าข่ายเป็นสิ่งหายาก เรือนจำนวน 20 หลัง ในพื้นที่ 4 จังหวัด ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นกรณีศึกษานี้ ใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีรังวัดขนาด วาดภาพและถ่ายภาพบันทึกรูปลักษณ์ ประกอบกับการสังเกตการณ์และการสัมภาษณ์ แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยวิธีเชิงคุณภาพตามหลักพื้นฐานทางสถาปัตยกรรม ซึ่งรูปแบบเรือนมีทั้งประเภทที่ยกพื้นเตี้ยเพียงระดับเข่าหรือเอวกระทั่งสูงพ้นหัวคนสามารถใช้ประโยชน์ใต้ถุนเรือนได้ </p>สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น, เหย้า, เรือน, เมือง, บ้าน, ย่านตะวันตก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=32https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/034-cover.jpg
32รายงานเหย้าเรือนพื้นบ้านย่านตะวันตก<p>
โครงการวิจัยนี้มุ่งศึกษาสถาปัตยกรรมประเภทที่อยู่อาศัยของชาวชนบท ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี และเพชรบุรี โดยกรอบการวิจัยศึกษาจำเพาะเรือนผูกแบบยกพื้น ที่หลงเหลืออยู่น้อยจนเข้าข่ายเป็นสิ่งหายาก เรือนจำนวน 20 หลัง ในพื้นที่ 4 จังหวัด ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นกรณีศึกษานี้ ใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีรังวัดขนาด วาดภาพและถ่ายภาพบันทึกรูปลักษณ์ ประกอบกับการสังเกตการณ์และการสัมภาษณ์ แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยวิธีเชิงคุณภาพตามหลักพื้นฐานทางสถาปัตยกรรม ซึ่งรูปแบบเรือนมีทั้งประเภทที่ยกพื้นเตี้ยเพียงระดับเข่าหรือเอวกระทั่งสูงพ้นหัวคนสามารถใช้ประโยชน์ใต้ถุนเรือนได้ </p>สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น, เหย้า, เรือน, เมือง, บ้าน, ย่านตะวันตก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=32https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/034-cover.jpg
32หนังสือเหย้าเรือนพื้นบ้านย่านตะวันตก<p>
โครงการวิจัยนี้มุ่งศึกษาสถาปัตยกรรมประเภทที่อยู่อาศัยของชาวชนบท ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี และเพชรบุรี โดยกรอบการวิจัยศึกษาจำเพาะเรือนผูกแบบยกพื้น ที่หลงเหลืออยู่น้อยจนเข้าข่ายเป็นสิ่งหายาก เรือนจำนวน 20 หลัง ในพื้นที่ 4 จังหวัด ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นกรณีศึกษานี้ ใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีรังวัดขนาด วาดภาพและถ่ายภาพบันทึกรูปลักษณ์ ประกอบกับการสังเกตการณ์และการสัมภาษณ์ แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยวิธีเชิงคุณภาพตามหลักพื้นฐานทางสถาปัตยกรรม ซึ่งรูปแบบเรือนมีทั้งประเภทที่ยกพื้นเตี้ยเพียงระดับเข่าหรือเอวกระทั่งสูงพ้นหัวคนสามารถใช้ประโยชน์ใต้ถุนเรือนได้ </p>สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น, เหย้า, เรือน, เมือง, บ้าน, ย่านตะวันตก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=32https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/034-cover.jpg
32จุลสารเหย้าเรือนพื้นบ้านย่านตะวันตก<p>
โครงการวิจัยนี้มุ่งศึกษาสถาปัตยกรรมประเภทที่อยู่อาศัยของชาวชนบท ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี และเพชรบุรี โดยกรอบการวิจัยศึกษาจำเพาะเรือนผูกแบบยกพื้น ที่หลงเหลืออยู่น้อยจนเข้าข่ายเป็นสิ่งหายาก เรือนจำนวน 20 หลัง ในพื้นที่ 4 จังหวัด ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นกรณีศึกษานี้ ใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีรังวัดขนาด วาดภาพและถ่ายภาพบันทึกรูปลักษณ์ ประกอบกับการสังเกตการณ์และการสัมภาษณ์ แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยวิธีเชิงคุณภาพตามหลักพื้นฐานทางสถาปัตยกรรม ซึ่งรูปแบบเรือนมีทั้งประเภทที่ยกพื้นเตี้ยเพียงระดับเข่าหรือเอวกระทั่งสูงพ้นหัวคนสามารถใช้ประโยชน์ใต้ถุนเรือนได้ </p>สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น, เหย้า, เรือน, เมือง, บ้าน, ย่านตะวันตก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=32https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/034-cover.jpg
32สูจิบัตรเหย้าเรือนพื้นบ้านย่านตะวันตก<p>
โครงการวิจัยนี้มุ่งศึกษาสถาปัตยกรรมประเภทที่อยู่อาศัยของชาวชนบท ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี และเพชรบุรี โดยกรอบการวิจัยศึกษาจำเพาะเรือนผูกแบบยกพื้น ที่หลงเหลืออยู่น้อยจนเข้าข่ายเป็นสิ่งหายาก เรือนจำนวน 20 หลัง ในพื้นที่ 4 จังหวัด ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นกรณีศึกษานี้ ใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีรังวัดขนาด วาดภาพและถ่ายภาพบันทึกรูปลักษณ์ ประกอบกับการสังเกตการณ์และการสัมภาษณ์ แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยวิธีเชิงคุณภาพตามหลักพื้นฐานทางสถาปัตยกรรม ซึ่งรูปแบบเรือนมีทั้งประเภทที่ยกพื้นเตี้ยเพียงระดับเข่าหรือเอวกระทั่งสูงพ้นหัวคนสามารถใช้ประโยชน์ใต้ถุนเรือนได้ </p>สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น, เหย้า, เรือน, เมือง, บ้าน, ย่านตะวันตก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=32https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/034-cover.jpg
33อื่นๆสถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคเหนือและภาคกลาง<p>
โครงการนี้เป็นความร่วมมือทางวิชาการระหว่างศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และ EFEO จัดทำควบคู่กับโครงการวิจัยกรณีเดียวกันในประเทศใกล้เคียง ได้แก่ พม่า กัมพูชา ลาว และศรีลังกา เป็นต้น โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย (ปีที่ 1) เก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคเหนือและภาคกลาง ซึ่งนับได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีสถาปัตยกรรมพุทธศาสนาทรงคุณค่าจำนวนมากที่สุดในประเทศ โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันขึ้นเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่เฉพาะแต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, เหนือ, กลาง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=33https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/035-cover.jpg
33วารสารสถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคเหนือและภาคกลาง<p>
โครงการนี้เป็นความร่วมมือทางวิชาการระหว่างศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และ EFEO จัดทำควบคู่กับโครงการวิจัยกรณีเดียวกันในประเทศใกล้เคียง ได้แก่ พม่า กัมพูชา ลาว และศรีลังกา เป็นต้น โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย (ปีที่ 1) เก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคเหนือและภาคกลาง ซึ่งนับได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีสถาปัตยกรรมพุทธศาสนาทรงคุณค่าจำนวนมากที่สุดในประเทศ โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันขึ้นเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่เฉพาะแต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, เหนือ, กลาง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=33https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/035-cover.jpg
33บทความสถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคเหนือและภาคกลาง<p>
โครงการนี้เป็นความร่วมมือทางวิชาการระหว่างศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และ EFEO จัดทำควบคู่กับโครงการวิจัยกรณีเดียวกันในประเทศใกล้เคียง ได้แก่ พม่า กัมพูชา ลาว และศรีลังกา เป็นต้น โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย (ปีที่ 1) เก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคเหนือและภาคกลาง ซึ่งนับได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีสถาปัตยกรรมพุทธศาสนาทรงคุณค่าจำนวนมากที่สุดในประเทศ โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันขึ้นเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่เฉพาะแต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, เหนือ, กลาง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=33https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/035-cover.jpg
33วิทยานิพนธ์สถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคเหนือและภาคกลาง<p>
โครงการนี้เป็นความร่วมมือทางวิชาการระหว่างศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และ EFEO จัดทำควบคู่กับโครงการวิจัยกรณีเดียวกันในประเทศใกล้เคียง ได้แก่ พม่า กัมพูชา ลาว และศรีลังกา เป็นต้น โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย (ปีที่ 1) เก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคเหนือและภาคกลาง ซึ่งนับได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีสถาปัตยกรรมพุทธศาสนาทรงคุณค่าจำนวนมากที่สุดในประเทศ โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันขึ้นเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่เฉพาะแต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, เหนือ, กลาง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=33https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/035-cover.jpg
33รายงานงานวิจัยสถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคเหนือและภาคกลาง<p>
โครงการนี้เป็นความร่วมมือทางวิชาการระหว่างศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และ EFEO จัดทำควบคู่กับโครงการวิจัยกรณีเดียวกันในประเทศใกล้เคียง ได้แก่ พม่า กัมพูชา ลาว และศรีลังกา เป็นต้น โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย (ปีที่ 1) เก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคเหนือและภาคกลาง ซึ่งนับได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีสถาปัตยกรรมพุทธศาสนาทรงคุณค่าจำนวนมากที่สุดในประเทศ โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันขึ้นเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่เฉพาะแต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, เหนือ, กลาง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=33https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/035-cover.jpg
33รายงานสถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคเหนือและภาคกลาง<p>
โครงการนี้เป็นความร่วมมือทางวิชาการระหว่างศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และ EFEO จัดทำควบคู่กับโครงการวิจัยกรณีเดียวกันในประเทศใกล้เคียง ได้แก่ พม่า กัมพูชา ลาว และศรีลังกา เป็นต้น โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย (ปีที่ 1) เก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคเหนือและภาคกลาง ซึ่งนับได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีสถาปัตยกรรมพุทธศาสนาทรงคุณค่าจำนวนมากที่สุดในประเทศ โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันขึ้นเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่เฉพาะแต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, เหนือ, กลาง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=33https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/035-cover.jpg
33หนังสือสถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคเหนือและภาคกลาง<p>
โครงการนี้เป็นความร่วมมือทางวิชาการระหว่างศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และ EFEO จัดทำควบคู่กับโครงการวิจัยกรณีเดียวกันในประเทศใกล้เคียง ได้แก่ พม่า กัมพูชา ลาว และศรีลังกา เป็นต้น โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย (ปีที่ 1) เก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคเหนือและภาคกลาง ซึ่งนับได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีสถาปัตยกรรมพุทธศาสนาทรงคุณค่าจำนวนมากที่สุดในประเทศ โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันขึ้นเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่เฉพาะแต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, เหนือ, กลาง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=33https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/035-cover.jpg
33จุลสารสถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคเหนือและภาคกลาง<p>
โครงการนี้เป็นความร่วมมือทางวิชาการระหว่างศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และ EFEO จัดทำควบคู่กับโครงการวิจัยกรณีเดียวกันในประเทศใกล้เคียง ได้แก่ พม่า กัมพูชา ลาว และศรีลังกา เป็นต้น โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย (ปีที่ 1) เก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคเหนือและภาคกลาง ซึ่งนับได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีสถาปัตยกรรมพุทธศาสนาทรงคุณค่าจำนวนมากที่สุดในประเทศ โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันขึ้นเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่เฉพาะแต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, เหนือ, กลาง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=33https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/035-cover.jpg
33สูจิบัตรสถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคเหนือและภาคกลาง<p>
โครงการนี้เป็นความร่วมมือทางวิชาการระหว่างศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และ EFEO จัดทำควบคู่กับโครงการวิจัยกรณีเดียวกันในประเทศใกล้เคียง ได้แก่ พม่า กัมพูชา ลาว และศรีลังกา เป็นต้น โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย (ปีที่ 1) เก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคเหนือและภาคกลาง ซึ่งนับได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีสถาปัตยกรรมพุทธศาสนาทรงคุณค่าจำนวนมากที่สุดในประเทศ โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันขึ้นเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่เฉพาะแต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, เหนือ, กลาง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=33https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/035-cover.jpg
34อื่นๆสถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก<p>
โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย ปีที่ 2 เป็นโครงการเก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่แต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้เพิ่มเติมข้อมูลในการสำรวจสถาปัตยกรรมภาคเหนือและภาคกลาง (โครงการวิจัยปีที่ 1) เพื่อให้งานวิจัยดังกล่าวมีสมบูรณ์ยิ่งขึ้น</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, ใต้, อีสาน, ตะวันออก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=34https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/036-cover.jpg
34วารสารสถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก<p>
โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย ปีที่ 2 เป็นโครงการเก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่แต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้เพิ่มเติมข้อมูลในการสำรวจสถาปัตยกรรมภาคเหนือและภาคกลาง (โครงการวิจัยปีที่ 1) เพื่อให้งานวิจัยดังกล่าวมีสมบูรณ์ยิ่งขึ้น</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, ใต้, อีสาน, ตะวันออก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=34https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/036-cover.jpg
34บทความสถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก<p>
โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย ปีที่ 2 เป็นโครงการเก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่แต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้เพิ่มเติมข้อมูลในการสำรวจสถาปัตยกรรมภาคเหนือและภาคกลาง (โครงการวิจัยปีที่ 1) เพื่อให้งานวิจัยดังกล่าวมีสมบูรณ์ยิ่งขึ้น</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, ใต้, อีสาน, ตะวันออก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=34https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/036-cover.jpg
34วิทยานิพนธ์สถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก<p>
โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย ปีที่ 2 เป็นโครงการเก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่แต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้เพิ่มเติมข้อมูลในการสำรวจสถาปัตยกรรมภาคเหนือและภาคกลาง (โครงการวิจัยปีที่ 1) เพื่อให้งานวิจัยดังกล่าวมีสมบูรณ์ยิ่งขึ้น</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, ใต้, อีสาน, ตะวันออก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=34https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/036-cover.jpg
34รายงานงานวิจัยสถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก<p>
โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย ปีที่ 2 เป็นโครงการเก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่แต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้เพิ่มเติมข้อมูลในการสำรวจสถาปัตยกรรมภาคเหนือและภาคกลาง (โครงการวิจัยปีที่ 1) เพื่อให้งานวิจัยดังกล่าวมีสมบูรณ์ยิ่งขึ้น</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, ใต้, อีสาน, ตะวันออก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=34https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/036-cover.jpg
34รายงานสถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก<p>
โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย ปีที่ 2 เป็นโครงการเก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่แต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้เพิ่มเติมข้อมูลในการสำรวจสถาปัตยกรรมภาคเหนือและภาคกลาง (โครงการวิจัยปีที่ 1) เพื่อให้งานวิจัยดังกล่าวมีสมบูรณ์ยิ่งขึ้น</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, ใต้, อีสาน, ตะวันออก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=34https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/036-cover.jpg
34หนังสือสถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก<p>
โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย ปีที่ 2 เป็นโครงการเก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่แต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้เพิ่มเติมข้อมูลในการสำรวจสถาปัตยกรรมภาคเหนือและภาคกลาง (โครงการวิจัยปีที่ 1) เพื่อให้งานวิจัยดังกล่าวมีสมบูรณ์ยิ่งขึ้น</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, ใต้, อีสาน, ตะวันออก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=34https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/036-cover.jpg
34จุลสารสถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก<p>
โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย ปีที่ 2 เป็นโครงการเก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่แต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้เพิ่มเติมข้อมูลในการสำรวจสถาปัตยกรรมภาคเหนือและภาคกลาง (โครงการวิจัยปีที่ 1) เพื่อให้งานวิจัยดังกล่าวมีสมบูรณ์ยิ่งขึ้น</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, ใต้, อีสาน, ตะวันออก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=34https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/036-cover.jpg
34สูจิบัตรสถาปัตยกรรมวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย: วัดภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก<p>
โครงการวิจัยเรื่อง วัดพุทธศาสนาในประเทศไทย ปีที่ 2 เป็นโครงการเก็บข้อมูลในพื้นที่ของภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก โดยให้ความสนใจในเรื่องผังบริเวณวัดและสถาปัตยกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบรวมกันเป็นวัดทั้งสิ้น มิใช่แต่เฉพาะ เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของวัด แต่ยังรวมไปถึง หอไตร ศาลาต่าง ๆ กุฏิ เว็จกุฏิ ห้องสรง รั้ววัด ฯลฯ รวมเป็นข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของแต่ละภูมิภาค ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกว่าการศึกษาสถาปัตยกรรมที่เคยเป็นมา นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้เพิ่มเติมข้อมูลในการสำรวจสถาปัตยกรรมภาคเหนือและภาคกลาง (โครงการวิจัยปีที่ 1) เพื่อให้งานวิจัยดังกล่าวมีสมบูรณ์ยิ่งขึ้น</p>วัด, สถาปัตยกรรม, พุทธศาสนา, ไทย, ใต้, อีสาน, ตะวันออก20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=34https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/036-cover.jpg
35อื่นๆพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมของชุมชน : กรณีศึกษาพิพิธภัณฑ์ท้องที่วัดแดง<p>
โครงการวิจัยนี้ ได้ศึกษาพิพิธภัณฑ์ในฐานะพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมซึ่ง พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง ถือได้ว่าเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ของท้องถิ่น สะท้อนความเป็นชุมชนชาวสวน จังหวัดนนทบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ถูกทำให้เป็นประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรม ภายใต้การสร้างความสัมพันธ์กับอำนาจของกระบวนการทางสังคมให้เกิดการสร้างความจริง สร้างพื้นที่ความทรงจำให้เกิดขึ้น เพื่อนำมาเป็นเอกลักษณ์ อาศัยความรู้ทางประวัติศาสตร์บางช่วงบางตอนช่วยเสริมความทรงจำและความชอบธรรมให้หมู่บ้านตนเอง สอดรับกับนโยบายวัฒนธรรมแห่งชาติ รวมทั้งส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น </p>พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง, พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, บ้านวัดแดง, วัฒนธรรม, ชุมชน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=35https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/039-cover.jpg
35วารสารพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมของชุมชน : กรณีศึกษาพิพิธภัณฑ์ท้องที่วัดแดง<p>
โครงการวิจัยนี้ ได้ศึกษาพิพิธภัณฑ์ในฐานะพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมซึ่ง พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง ถือได้ว่าเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ของท้องถิ่น สะท้อนความเป็นชุมชนชาวสวน จังหวัดนนทบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ถูกทำให้เป็นประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรม ภายใต้การสร้างความสัมพันธ์กับอำนาจของกระบวนการทางสังคมให้เกิดการสร้างความจริง สร้างพื้นที่ความทรงจำให้เกิดขึ้น เพื่อนำมาเป็นเอกลักษณ์ อาศัยความรู้ทางประวัติศาสตร์บางช่วงบางตอนช่วยเสริมความทรงจำและความชอบธรรมให้หมู่บ้านตนเอง สอดรับกับนโยบายวัฒนธรรมแห่งชาติ รวมทั้งส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น </p>พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง, พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, บ้านวัดแดง, วัฒนธรรม, ชุมชน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=35https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/039-cover.jpg
35บทความพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมของชุมชน : กรณีศึกษาพิพิธภัณฑ์ท้องที่วัดแดง<p>
โครงการวิจัยนี้ ได้ศึกษาพิพิธภัณฑ์ในฐานะพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมซึ่ง พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง ถือได้ว่าเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ของท้องถิ่น สะท้อนความเป็นชุมชนชาวสวน จังหวัดนนทบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ถูกทำให้เป็นประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรม ภายใต้การสร้างความสัมพันธ์กับอำนาจของกระบวนการทางสังคมให้เกิดการสร้างความจริง สร้างพื้นที่ความทรงจำให้เกิดขึ้น เพื่อนำมาเป็นเอกลักษณ์ อาศัยความรู้ทางประวัติศาสตร์บางช่วงบางตอนช่วยเสริมความทรงจำและความชอบธรรมให้หมู่บ้านตนเอง สอดรับกับนโยบายวัฒนธรรมแห่งชาติ รวมทั้งส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น </p>พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง, พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, บ้านวัดแดง, วัฒนธรรม, ชุมชน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=35https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/039-cover.jpg
35วิทยานิพนธ์พื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมของชุมชน : กรณีศึกษาพิพิธภัณฑ์ท้องที่วัดแดง<p>
โครงการวิจัยนี้ ได้ศึกษาพิพิธภัณฑ์ในฐานะพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมซึ่ง พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง ถือได้ว่าเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ของท้องถิ่น สะท้อนความเป็นชุมชนชาวสวน จังหวัดนนทบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ถูกทำให้เป็นประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรม ภายใต้การสร้างความสัมพันธ์กับอำนาจของกระบวนการทางสังคมให้เกิดการสร้างความจริง สร้างพื้นที่ความทรงจำให้เกิดขึ้น เพื่อนำมาเป็นเอกลักษณ์ อาศัยความรู้ทางประวัติศาสตร์บางช่วงบางตอนช่วยเสริมความทรงจำและความชอบธรรมให้หมู่บ้านตนเอง สอดรับกับนโยบายวัฒนธรรมแห่งชาติ รวมทั้งส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น </p>พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง, พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, บ้านวัดแดง, วัฒนธรรม, ชุมชน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=35https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/039-cover.jpg
35รายงานงานวิจัยพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมของชุมชน : กรณีศึกษาพิพิธภัณฑ์ท้องที่วัดแดง<p>
โครงการวิจัยนี้ ได้ศึกษาพิพิธภัณฑ์ในฐานะพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมซึ่ง พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง ถือได้ว่าเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ของท้องถิ่น สะท้อนความเป็นชุมชนชาวสวน จังหวัดนนทบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ถูกทำให้เป็นประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรม ภายใต้การสร้างความสัมพันธ์กับอำนาจของกระบวนการทางสังคมให้เกิดการสร้างความจริง สร้างพื้นที่ความทรงจำให้เกิดขึ้น เพื่อนำมาเป็นเอกลักษณ์ อาศัยความรู้ทางประวัติศาสตร์บางช่วงบางตอนช่วยเสริมความทรงจำและความชอบธรรมให้หมู่บ้านตนเอง สอดรับกับนโยบายวัฒนธรรมแห่งชาติ รวมทั้งส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น </p>พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง, พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, บ้านวัดแดง, วัฒนธรรม, ชุมชน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=35https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/039-cover.jpg
35รายงานพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมของชุมชน : กรณีศึกษาพิพิธภัณฑ์ท้องที่วัดแดง<p>
โครงการวิจัยนี้ ได้ศึกษาพิพิธภัณฑ์ในฐานะพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมซึ่ง พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง ถือได้ว่าเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ของท้องถิ่น สะท้อนความเป็นชุมชนชาวสวน จังหวัดนนทบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ถูกทำให้เป็นประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรม ภายใต้การสร้างความสัมพันธ์กับอำนาจของกระบวนการทางสังคมให้เกิดการสร้างความจริง สร้างพื้นที่ความทรงจำให้เกิดขึ้น เพื่อนำมาเป็นเอกลักษณ์ อาศัยความรู้ทางประวัติศาสตร์บางช่วงบางตอนช่วยเสริมความทรงจำและความชอบธรรมให้หมู่บ้านตนเอง สอดรับกับนโยบายวัฒนธรรมแห่งชาติ รวมทั้งส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น </p>พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง, พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, บ้านวัดแดง, วัฒนธรรม, ชุมชน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=35https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/039-cover.jpg
35หนังสือพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมของชุมชน : กรณีศึกษาพิพิธภัณฑ์ท้องที่วัดแดง<p>
โครงการวิจัยนี้ ได้ศึกษาพิพิธภัณฑ์ในฐานะพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมซึ่ง พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง ถือได้ว่าเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ของท้องถิ่น สะท้อนความเป็นชุมชนชาวสวน จังหวัดนนทบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ถูกทำให้เป็นประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรม ภายใต้การสร้างความสัมพันธ์กับอำนาจของกระบวนการทางสังคมให้เกิดการสร้างความจริง สร้างพื้นที่ความทรงจำให้เกิดขึ้น เพื่อนำมาเป็นเอกลักษณ์ อาศัยความรู้ทางประวัติศาสตร์บางช่วงบางตอนช่วยเสริมความทรงจำและความชอบธรรมให้หมู่บ้านตนเอง สอดรับกับนโยบายวัฒนธรรมแห่งชาติ รวมทั้งส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น </p>พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง, พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, บ้านวัดแดง, วัฒนธรรม, ชุมชน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=35https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/039-cover.jpg
35จุลสารพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมของชุมชน : กรณีศึกษาพิพิธภัณฑ์ท้องที่วัดแดง<p>
โครงการวิจัยนี้ ได้ศึกษาพิพิธภัณฑ์ในฐานะพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมซึ่ง พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง ถือได้ว่าเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ของท้องถิ่น สะท้อนความเป็นชุมชนชาวสวน จังหวัดนนทบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ถูกทำให้เป็นประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรม ภายใต้การสร้างความสัมพันธ์กับอำนาจของกระบวนการทางสังคมให้เกิดการสร้างความจริง สร้างพื้นที่ความทรงจำให้เกิดขึ้น เพื่อนำมาเป็นเอกลักษณ์ อาศัยความรู้ทางประวัติศาสตร์บางช่วงบางตอนช่วยเสริมความทรงจำและความชอบธรรมให้หมู่บ้านตนเอง สอดรับกับนโยบายวัฒนธรรมแห่งชาติ รวมทั้งส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น </p>พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง, พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, บ้านวัดแดง, วัฒนธรรม, ชุมชน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=35https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/039-cover.jpg
35สูจิบัตรพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมของชุมชน : กรณีศึกษาพิพิธภัณฑ์ท้องที่วัดแดง<p>
โครงการวิจัยนี้ ได้ศึกษาพิพิธภัณฑ์ในฐานะพื้นที่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมซึ่ง พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง ถือได้ว่าเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ของท้องถิ่น สะท้อนความเป็นชุมชนชาวสวน จังหวัดนนทบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ถูกทำให้เป็นประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรม ภายใต้การสร้างความสัมพันธ์กับอำนาจของกระบวนการทางสังคมให้เกิดการสร้างความจริง สร้างพื้นที่ความทรงจำให้เกิดขึ้น เพื่อนำมาเป็นเอกลักษณ์ อาศัยความรู้ทางประวัติศาสตร์บางช่วงบางตอนช่วยเสริมความทรงจำและความชอบธรรมให้หมู่บ้านตนเอง สอดรับกับนโยบายวัฒนธรรมแห่งชาติ รวมทั้งส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น </p>พิพิธภัณฑ์บ้านวัดแดง, พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, บ้านวัดแดง, วัฒนธรรม, ชุมชน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=35https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/039-cover.jpg
36อื่นๆหมู่บ้านลอยน้ำของไทย<p>
หมู่บ้านลอยน้ำของไทย เป็นการศึกษาเปรียบเทียบ โดยเน้นการสำรวจภาคสนามของหมู่บ้านลอยน้ำที่แม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีผังเรือนแพแบบเกาะกลุ่ม กับหมู่บ้านที่แม่น้ำน่าน จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีเรือนแพเกาะยาวไปตามลำน้ำ โดยการเสนอรายละเอียดเกี่ยวเนื่อง ระหว่างนิเวศวิทยาวัฒนธรรม ความเชื่อ และสถาปัตยกรรม เน้นการสำรวจทางกายภาพด้วยภาพถ่าย และการรังวัดตัวเรือน ครอบคลุมการสำรวจหมู่บ้านและองค์ประกอบที่สัมพันธ์กับหมู่บ้าน ตัวเรือน และการดำรงชีวิต ผนวกกับการศึกษาจากเอกสารในเนื้อหาของประวัติความเป็นมา การตั้งถิ่นฐาน ระบบสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตและการอยู่อาศัย รวมทั้งการสัมภาษณ์จากผู้อยู่อาศัยเพื่อให้ทราบถึงอายุเรือน ระยะเวลาการอยู่อาศัย รวมทั้งแนวโน้มการย้ายถิ่นฐาน</p>เรือนแพ, หมู่บ้านลอยน้ำ, อุทัยธานี, นครสวรรค์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=36https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/040-cover.jpg
36วารสารหมู่บ้านลอยน้ำของไทย<p>
หมู่บ้านลอยน้ำของไทย เป็นการศึกษาเปรียบเทียบ โดยเน้นการสำรวจภาคสนามของหมู่บ้านลอยน้ำที่แม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีผังเรือนแพแบบเกาะกลุ่ม กับหมู่บ้านที่แม่น้ำน่าน จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีเรือนแพเกาะยาวไปตามลำน้ำ โดยการเสนอรายละเอียดเกี่ยวเนื่อง ระหว่างนิเวศวิทยาวัฒนธรรม ความเชื่อ และสถาปัตยกรรม เน้นการสำรวจทางกายภาพด้วยภาพถ่าย และการรังวัดตัวเรือน ครอบคลุมการสำรวจหมู่บ้านและองค์ประกอบที่สัมพันธ์กับหมู่บ้าน ตัวเรือน และการดำรงชีวิต ผนวกกับการศึกษาจากเอกสารในเนื้อหาของประวัติความเป็นมา การตั้งถิ่นฐาน ระบบสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตและการอยู่อาศัย รวมทั้งการสัมภาษณ์จากผู้อยู่อาศัยเพื่อให้ทราบถึงอายุเรือน ระยะเวลาการอยู่อาศัย รวมทั้งแนวโน้มการย้ายถิ่นฐาน</p>เรือนแพ, หมู่บ้านลอยน้ำ, อุทัยธานี, นครสวรรค์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=36https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/040-cover.jpg
36บทความหมู่บ้านลอยน้ำของไทย<p>
หมู่บ้านลอยน้ำของไทย เป็นการศึกษาเปรียบเทียบ โดยเน้นการสำรวจภาคสนามของหมู่บ้านลอยน้ำที่แม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีผังเรือนแพแบบเกาะกลุ่ม กับหมู่บ้านที่แม่น้ำน่าน จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีเรือนแพเกาะยาวไปตามลำน้ำ โดยการเสนอรายละเอียดเกี่ยวเนื่อง ระหว่างนิเวศวิทยาวัฒนธรรม ความเชื่อ และสถาปัตยกรรม เน้นการสำรวจทางกายภาพด้วยภาพถ่าย และการรังวัดตัวเรือน ครอบคลุมการสำรวจหมู่บ้านและองค์ประกอบที่สัมพันธ์กับหมู่บ้าน ตัวเรือน และการดำรงชีวิต ผนวกกับการศึกษาจากเอกสารในเนื้อหาของประวัติความเป็นมา การตั้งถิ่นฐาน ระบบสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตและการอยู่อาศัย รวมทั้งการสัมภาษณ์จากผู้อยู่อาศัยเพื่อให้ทราบถึงอายุเรือน ระยะเวลาการอยู่อาศัย รวมทั้งแนวโน้มการย้ายถิ่นฐาน</p>เรือนแพ, หมู่บ้านลอยน้ำ, อุทัยธานี, นครสวรรค์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=36https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/040-cover.jpg
36วิทยานิพนธ์หมู่บ้านลอยน้ำของไทย<p>
หมู่บ้านลอยน้ำของไทย เป็นการศึกษาเปรียบเทียบ โดยเน้นการสำรวจภาคสนามของหมู่บ้านลอยน้ำที่แม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีผังเรือนแพแบบเกาะกลุ่ม กับหมู่บ้านที่แม่น้ำน่าน จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีเรือนแพเกาะยาวไปตามลำน้ำ โดยการเสนอรายละเอียดเกี่ยวเนื่อง ระหว่างนิเวศวิทยาวัฒนธรรม ความเชื่อ และสถาปัตยกรรม เน้นการสำรวจทางกายภาพด้วยภาพถ่าย และการรังวัดตัวเรือน ครอบคลุมการสำรวจหมู่บ้านและองค์ประกอบที่สัมพันธ์กับหมู่บ้าน ตัวเรือน และการดำรงชีวิต ผนวกกับการศึกษาจากเอกสารในเนื้อหาของประวัติความเป็นมา การตั้งถิ่นฐาน ระบบสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตและการอยู่อาศัย รวมทั้งการสัมภาษณ์จากผู้อยู่อาศัยเพื่อให้ทราบถึงอายุเรือน ระยะเวลาการอยู่อาศัย รวมทั้งแนวโน้มการย้ายถิ่นฐาน</p>เรือนแพ, หมู่บ้านลอยน้ำ, อุทัยธานี, นครสวรรค์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=36https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/040-cover.jpg
36รายงานงานวิจัยหมู่บ้านลอยน้ำของไทย<p>
หมู่บ้านลอยน้ำของไทย เป็นการศึกษาเปรียบเทียบ โดยเน้นการสำรวจภาคสนามของหมู่บ้านลอยน้ำที่แม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีผังเรือนแพแบบเกาะกลุ่ม กับหมู่บ้านที่แม่น้ำน่าน จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีเรือนแพเกาะยาวไปตามลำน้ำ โดยการเสนอรายละเอียดเกี่ยวเนื่อง ระหว่างนิเวศวิทยาวัฒนธรรม ความเชื่อ และสถาปัตยกรรม เน้นการสำรวจทางกายภาพด้วยภาพถ่าย และการรังวัดตัวเรือน ครอบคลุมการสำรวจหมู่บ้านและองค์ประกอบที่สัมพันธ์กับหมู่บ้าน ตัวเรือน และการดำรงชีวิต ผนวกกับการศึกษาจากเอกสารในเนื้อหาของประวัติความเป็นมา การตั้งถิ่นฐาน ระบบสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตและการอยู่อาศัย รวมทั้งการสัมภาษณ์จากผู้อยู่อาศัยเพื่อให้ทราบถึงอายุเรือน ระยะเวลาการอยู่อาศัย รวมทั้งแนวโน้มการย้ายถิ่นฐาน</p>เรือนแพ, หมู่บ้านลอยน้ำ, อุทัยธานี, นครสวรรค์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=36https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/040-cover.jpg
36รายงานหมู่บ้านลอยน้ำของไทย<p>
หมู่บ้านลอยน้ำของไทย เป็นการศึกษาเปรียบเทียบ โดยเน้นการสำรวจภาคสนามของหมู่บ้านลอยน้ำที่แม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีผังเรือนแพแบบเกาะกลุ่ม กับหมู่บ้านที่แม่น้ำน่าน จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีเรือนแพเกาะยาวไปตามลำน้ำ โดยการเสนอรายละเอียดเกี่ยวเนื่อง ระหว่างนิเวศวิทยาวัฒนธรรม ความเชื่อ และสถาปัตยกรรม เน้นการสำรวจทางกายภาพด้วยภาพถ่าย และการรังวัดตัวเรือน ครอบคลุมการสำรวจหมู่บ้านและองค์ประกอบที่สัมพันธ์กับหมู่บ้าน ตัวเรือน และการดำรงชีวิต ผนวกกับการศึกษาจากเอกสารในเนื้อหาของประวัติความเป็นมา การตั้งถิ่นฐาน ระบบสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตและการอยู่อาศัย รวมทั้งการสัมภาษณ์จากผู้อยู่อาศัยเพื่อให้ทราบถึงอายุเรือน ระยะเวลาการอยู่อาศัย รวมทั้งแนวโน้มการย้ายถิ่นฐาน</p>เรือนแพ, หมู่บ้านลอยน้ำ, อุทัยธานี, นครสวรรค์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=36https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/040-cover.jpg
36หนังสือหมู่บ้านลอยน้ำของไทย<p>
หมู่บ้านลอยน้ำของไทย เป็นการศึกษาเปรียบเทียบ โดยเน้นการสำรวจภาคสนามของหมู่บ้านลอยน้ำที่แม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีผังเรือนแพแบบเกาะกลุ่ม กับหมู่บ้านที่แม่น้ำน่าน จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีเรือนแพเกาะยาวไปตามลำน้ำ โดยการเสนอรายละเอียดเกี่ยวเนื่อง ระหว่างนิเวศวิทยาวัฒนธรรม ความเชื่อ และสถาปัตยกรรม เน้นการสำรวจทางกายภาพด้วยภาพถ่าย และการรังวัดตัวเรือน ครอบคลุมการสำรวจหมู่บ้านและองค์ประกอบที่สัมพันธ์กับหมู่บ้าน ตัวเรือน และการดำรงชีวิต ผนวกกับการศึกษาจากเอกสารในเนื้อหาของประวัติความเป็นมา การตั้งถิ่นฐาน ระบบสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตและการอยู่อาศัย รวมทั้งการสัมภาษณ์จากผู้อยู่อาศัยเพื่อให้ทราบถึงอายุเรือน ระยะเวลาการอยู่อาศัย รวมทั้งแนวโน้มการย้ายถิ่นฐาน</p>เรือนแพ, หมู่บ้านลอยน้ำ, อุทัยธานี, นครสวรรค์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=36https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/040-cover.jpg
36จุลสารหมู่บ้านลอยน้ำของไทย<p>
หมู่บ้านลอยน้ำของไทย เป็นการศึกษาเปรียบเทียบ โดยเน้นการสำรวจภาคสนามของหมู่บ้านลอยน้ำที่แม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีผังเรือนแพแบบเกาะกลุ่ม กับหมู่บ้านที่แม่น้ำน่าน จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีเรือนแพเกาะยาวไปตามลำน้ำ โดยการเสนอรายละเอียดเกี่ยวเนื่อง ระหว่างนิเวศวิทยาวัฒนธรรม ความเชื่อ และสถาปัตยกรรม เน้นการสำรวจทางกายภาพด้วยภาพถ่าย และการรังวัดตัวเรือน ครอบคลุมการสำรวจหมู่บ้านและองค์ประกอบที่สัมพันธ์กับหมู่บ้าน ตัวเรือน และการดำรงชีวิต ผนวกกับการศึกษาจากเอกสารในเนื้อหาของประวัติความเป็นมา การตั้งถิ่นฐาน ระบบสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตและการอยู่อาศัย รวมทั้งการสัมภาษณ์จากผู้อยู่อาศัยเพื่อให้ทราบถึงอายุเรือน ระยะเวลาการอยู่อาศัย รวมทั้งแนวโน้มการย้ายถิ่นฐาน</p>เรือนแพ, หมู่บ้านลอยน้ำ, อุทัยธานี, นครสวรรค์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=36https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/040-cover.jpg
36สูจิบัตรหมู่บ้านลอยน้ำของไทย<p>
หมู่บ้านลอยน้ำของไทย เป็นการศึกษาเปรียบเทียบ โดยเน้นการสำรวจภาคสนามของหมู่บ้านลอยน้ำที่แม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีผังเรือนแพแบบเกาะกลุ่ม กับหมู่บ้านที่แม่น้ำน่าน จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีเรือนแพเกาะยาวไปตามลำน้ำ โดยการเสนอรายละเอียดเกี่ยวเนื่อง ระหว่างนิเวศวิทยาวัฒนธรรม ความเชื่อ และสถาปัตยกรรม เน้นการสำรวจทางกายภาพด้วยภาพถ่าย และการรังวัดตัวเรือน ครอบคลุมการสำรวจหมู่บ้านและองค์ประกอบที่สัมพันธ์กับหมู่บ้าน ตัวเรือน และการดำรงชีวิต ผนวกกับการศึกษาจากเอกสารในเนื้อหาของประวัติความเป็นมา การตั้งถิ่นฐาน ระบบสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตและการอยู่อาศัย รวมทั้งการสัมภาษณ์จากผู้อยู่อาศัยเพื่อให้ทราบถึงอายุเรือน ระยะเวลาการอยู่อาศัย รวมทั้งแนวโน้มการย้ายถิ่นฐาน</p>เรือนแพ, หมู่บ้านลอยน้ำ, อุทัยธานี, นครสวรรค์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=36https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/040-cover.jpg
37อื่นๆการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษาเรื่อง การช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>
<p>
</p>วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=37https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/041-cover.jpg
37วารสารการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษาเรื่อง การช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>
<p>
</p>วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=37https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/041-cover.jpg
37บทความการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษาเรื่อง การช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>
<p>
</p>วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=37https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/041-cover.jpg
37วิทยานิพนธ์การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษาเรื่อง การช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>
<p>
</p>วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=37https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/041-cover.jpg
37รายงานงานวิจัยการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษาเรื่อง การช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>
<p>
</p>วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=37https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/041-cover.jpg
37รายงานการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษาเรื่อง การช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>
<p>
</p>วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=37https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/041-cover.jpg
37หนังสือการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษาเรื่อง การช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>
<p>
</p>วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=37https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/041-cover.jpg
37จุลสารการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษาเรื่อง การช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>
<p>
</p>วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=37https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/041-cover.jpg
37สูจิบัตรการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1)<p>
การศึกษาเรื่อง การช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>
<p>
</p>วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=37https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/041-cover.jpg
39อื่นๆการสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม<p>
การสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยางานชิ้นนี้ มุ่งศึกษาองค์ความรู้กลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” และ ”ม้ง” ในประเทศเวียดนาม ผู้วิจัยได้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ประวัติการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม, การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ในเวียดนาม และการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” ในเวียดนาม นอกจากนี้ผู้วิจัยได้รวบรวมเอกสารที่น่าสนใจพร้อมรายการบรรณานุกรมและบทวิเคราะห์ที่สำคัญไว้ เพื่อประโยชน์ต่อการทำการศึกษาค้นคว้าวิจัย</p>ชาติพันธุ์วิทยา, เวียดนาม, ไท, ม้ง, การวิจัย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=39https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/051-cover.jpg
39วารสารการสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม<p>
การสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยางานชิ้นนี้ มุ่งศึกษาองค์ความรู้กลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” และ ”ม้ง” ในประเทศเวียดนาม ผู้วิจัยได้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ประวัติการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม, การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ในเวียดนาม และการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” ในเวียดนาม นอกจากนี้ผู้วิจัยได้รวบรวมเอกสารที่น่าสนใจพร้อมรายการบรรณานุกรมและบทวิเคราะห์ที่สำคัญไว้ เพื่อประโยชน์ต่อการทำการศึกษาค้นคว้าวิจัย</p>ชาติพันธุ์วิทยา, เวียดนาม, ไท, ม้ง, การวิจัย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=39https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/051-cover.jpg
39บทความการสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม<p>
การสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยางานชิ้นนี้ มุ่งศึกษาองค์ความรู้กลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” และ ”ม้ง” ในประเทศเวียดนาม ผู้วิจัยได้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ประวัติการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม, การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ในเวียดนาม และการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” ในเวียดนาม นอกจากนี้ผู้วิจัยได้รวบรวมเอกสารที่น่าสนใจพร้อมรายการบรรณานุกรมและบทวิเคราะห์ที่สำคัญไว้ เพื่อประโยชน์ต่อการทำการศึกษาค้นคว้าวิจัย</p>ชาติพันธุ์วิทยา, เวียดนาม, ไท, ม้ง, การวิจัย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=39https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/051-cover.jpg
39วิทยานิพนธ์การสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม<p>
การสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยางานชิ้นนี้ มุ่งศึกษาองค์ความรู้กลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” และ ”ม้ง” ในประเทศเวียดนาม ผู้วิจัยได้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ประวัติการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม, การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ในเวียดนาม และการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” ในเวียดนาม นอกจากนี้ผู้วิจัยได้รวบรวมเอกสารที่น่าสนใจพร้อมรายการบรรณานุกรมและบทวิเคราะห์ที่สำคัญไว้ เพื่อประโยชน์ต่อการทำการศึกษาค้นคว้าวิจัย</p>ชาติพันธุ์วิทยา, เวียดนาม, ไท, ม้ง, การวิจัย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=39https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/051-cover.jpg
39รายงานงานวิจัยการสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม<p>
การสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยางานชิ้นนี้ มุ่งศึกษาองค์ความรู้กลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” และ ”ม้ง” ในประเทศเวียดนาม ผู้วิจัยได้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ประวัติการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม, การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ในเวียดนาม และการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” ในเวียดนาม นอกจากนี้ผู้วิจัยได้รวบรวมเอกสารที่น่าสนใจพร้อมรายการบรรณานุกรมและบทวิเคราะห์ที่สำคัญไว้ เพื่อประโยชน์ต่อการทำการศึกษาค้นคว้าวิจัย</p>ชาติพันธุ์วิทยา, เวียดนาม, ไท, ม้ง, การวิจัย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=39https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/051-cover.jpg
39รายงานการสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม<p>
การสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยางานชิ้นนี้ มุ่งศึกษาองค์ความรู้กลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” และ ”ม้ง” ในประเทศเวียดนาม ผู้วิจัยได้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ประวัติการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม, การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ในเวียดนาม และการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” ในเวียดนาม นอกจากนี้ผู้วิจัยได้รวบรวมเอกสารที่น่าสนใจพร้อมรายการบรรณานุกรมและบทวิเคราะห์ที่สำคัญไว้ เพื่อประโยชน์ต่อการทำการศึกษาค้นคว้าวิจัย</p>ชาติพันธุ์วิทยา, เวียดนาม, ไท, ม้ง, การวิจัย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=39https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/051-cover.jpg
39หนังสือการสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม<p>
การสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยางานชิ้นนี้ มุ่งศึกษาองค์ความรู้กลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” และ ”ม้ง” ในประเทศเวียดนาม ผู้วิจัยได้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ประวัติการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม, การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ในเวียดนาม และการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” ในเวียดนาม นอกจากนี้ผู้วิจัยได้รวบรวมเอกสารที่น่าสนใจพร้อมรายการบรรณานุกรมและบทวิเคราะห์ที่สำคัญไว้ เพื่อประโยชน์ต่อการทำการศึกษาค้นคว้าวิจัย</p>ชาติพันธุ์วิทยา, เวียดนาม, ไท, ม้ง, การวิจัย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=39https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/051-cover.jpg
39จุลสารการสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม<p>
การสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยางานชิ้นนี้ มุ่งศึกษาองค์ความรู้กลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” และ ”ม้ง” ในประเทศเวียดนาม ผู้วิจัยได้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ประวัติการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม, การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ในเวียดนาม และการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” ในเวียดนาม นอกจากนี้ผู้วิจัยได้รวบรวมเอกสารที่น่าสนใจพร้อมรายการบรรณานุกรมและบทวิเคราะห์ที่สำคัญไว้ เพื่อประโยชน์ต่อการทำการศึกษาค้นคว้าวิจัย</p>ชาติพันธุ์วิทยา, เวียดนาม, ไท, ม้ง, การวิจัย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=39https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/051-cover.jpg
39สูจิบัตรการสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม<p>
การสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยางานชิ้นนี้ มุ่งศึกษาองค์ความรู้กลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” และ ”ม้ง” ในประเทศเวียดนาม ผู้วิจัยได้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ประวัติการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม, การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ในเวียดนาม และการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” ในเวียดนาม นอกจากนี้ผู้วิจัยได้รวบรวมเอกสารที่น่าสนใจพร้อมรายการบรรณานุกรมและบทวิเคราะห์ที่สำคัญไว้ เพื่อประโยชน์ต่อการทำการศึกษาค้นคว้าวิจัย</p>ชาติพันธุ์วิทยา, เวียดนาม, ไท, ม้ง, การวิจัย20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=39https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/051-cover.jpg
40อื่นๆการรู้หนังสือ สถานที่ และการก่อตัวของเมืองไทดำ: บททดลองเสนอประวัติศาสตร์การเมืองไทดำในเวียดนามยุคก่อนสมัยใหม่ (มุมมองจากเอกสาร "ความโต้เมือง")<p>
รายงานการวิจัยนี้เสนอให้เห็น ความสัมพันธ์ทางการเมืองของกลุ่มชนไทดำในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามก่อนยุคปฏิวัติ โดยอ่านจากเอกสารความโต้เมืองเป็นหลัก ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองโดยเชื่อมโยงกับสถานที่และพื้นที่ ทั้งยังเป็นเอกสารที่ถูกใช้อ่านในพิธีศพ เป็นเสมือนเครื่องมือในการสร้างความผูกพันต่อสถานที่และพื้นที่ผ่านการนำเสนอในพิธีกรรม การศึกษานี้เป็นการศึกษาจากเอกสารของไทดำโบราณ ประกอบการศึกษาภาคสนามของผู้เขียนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ถึง 2004 ในแง่เอกสาร ใช้เอกสาร "ความโต้เมือง" สำนวนต่าง ๆ เป็นแกนกลางของการศึกษา และอาศัยเอกสารอื่น ๆ ประกอบ นอกจากนี้รายงานวิจัยเรื่องนี้ยังได้แนบบางส่วนของคำแปลและการวิเคราะห์ต้นฉบับเอกสารของไทดำไว้ให้ศึกษาอีกด้วย</p>ไทดำ, เวียดนาม, ประวัติศาสตร์, ความโต้เมือง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=40https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/052-cover.jpg
40วารสารการรู้หนังสือ สถานที่ และการก่อตัวของเมืองไทดำ: บททดลองเสนอประวัติศาสตร์การเมืองไทดำในเวียดนามยุคก่อนสมัยใหม่ (มุมมองจากเอกสาร "ความโต้เมือง")<p>
รายงานการวิจัยนี้เสนอให้เห็น ความสัมพันธ์ทางการเมืองของกลุ่มชนไทดำในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามก่อนยุคปฏิวัติ โดยอ่านจากเอกสารความโต้เมืองเป็นหลัก ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองโดยเชื่อมโยงกับสถานที่และพื้นที่ ทั้งยังเป็นเอกสารที่ถูกใช้อ่านในพิธีศพ เป็นเสมือนเครื่องมือในการสร้างความผูกพันต่อสถานที่และพื้นที่ผ่านการนำเสนอในพิธีกรรม การศึกษานี้เป็นการศึกษาจากเอกสารของไทดำโบราณ ประกอบการศึกษาภาคสนามของผู้เขียนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ถึง 2004 ในแง่เอกสาร ใช้เอกสาร "ความโต้เมือง" สำนวนต่าง ๆ เป็นแกนกลางของการศึกษา และอาศัยเอกสารอื่น ๆ ประกอบ นอกจากนี้รายงานวิจัยเรื่องนี้ยังได้แนบบางส่วนของคำแปลและการวิเคราะห์ต้นฉบับเอกสารของไทดำไว้ให้ศึกษาอีกด้วย</p>ไทดำ, เวียดนาม, ประวัติศาสตร์, ความโต้เมือง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=40https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/052-cover.jpg
40บทความการรู้หนังสือ สถานที่ และการก่อตัวของเมืองไทดำ: บททดลองเสนอประวัติศาสตร์การเมืองไทดำในเวียดนามยุคก่อนสมัยใหม่ (มุมมองจากเอกสาร "ความโต้เมือง")<p>
รายงานการวิจัยนี้เสนอให้เห็น ความสัมพันธ์ทางการเมืองของกลุ่มชนไทดำในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามก่อนยุคปฏิวัติ โดยอ่านจากเอกสารความโต้เมืองเป็นหลัก ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองโดยเชื่อมโยงกับสถานที่และพื้นที่ ทั้งยังเป็นเอกสารที่ถูกใช้อ่านในพิธีศพ เป็นเสมือนเครื่องมือในการสร้างความผูกพันต่อสถานที่และพื้นที่ผ่านการนำเสนอในพิธีกรรม การศึกษานี้เป็นการศึกษาจากเอกสารของไทดำโบราณ ประกอบการศึกษาภาคสนามของผู้เขียนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ถึง 2004 ในแง่เอกสาร ใช้เอกสาร "ความโต้เมือง" สำนวนต่าง ๆ เป็นแกนกลางของการศึกษา และอาศัยเอกสารอื่น ๆ ประกอบ นอกจากนี้รายงานวิจัยเรื่องนี้ยังได้แนบบางส่วนของคำแปลและการวิเคราะห์ต้นฉบับเอกสารของไทดำไว้ให้ศึกษาอีกด้วย</p>ไทดำ, เวียดนาม, ประวัติศาสตร์, ความโต้เมือง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=40https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/052-cover.jpg
40วิทยานิพนธ์การรู้หนังสือ สถานที่ และการก่อตัวของเมืองไทดำ: บททดลองเสนอประวัติศาสตร์การเมืองไทดำในเวียดนามยุคก่อนสมัยใหม่ (มุมมองจากเอกสาร "ความโต้เมือง")<p>
รายงานการวิจัยนี้เสนอให้เห็น ความสัมพันธ์ทางการเมืองของกลุ่มชนไทดำในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามก่อนยุคปฏิวัติ โดยอ่านจากเอกสารความโต้เมืองเป็นหลัก ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองโดยเชื่อมโยงกับสถานที่และพื้นที่ ทั้งยังเป็นเอกสารที่ถูกใช้อ่านในพิธีศพ เป็นเสมือนเครื่องมือในการสร้างความผูกพันต่อสถานที่และพื้นที่ผ่านการนำเสนอในพิธีกรรม การศึกษานี้เป็นการศึกษาจากเอกสารของไทดำโบราณ ประกอบการศึกษาภาคสนามของผู้เขียนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ถึง 2004 ในแง่เอกสาร ใช้เอกสาร "ความโต้เมือง" สำนวนต่าง ๆ เป็นแกนกลางของการศึกษา และอาศัยเอกสารอื่น ๆ ประกอบ นอกจากนี้รายงานวิจัยเรื่องนี้ยังได้แนบบางส่วนของคำแปลและการวิเคราะห์ต้นฉบับเอกสารของไทดำไว้ให้ศึกษาอีกด้วย</p>ไทดำ, เวียดนาม, ประวัติศาสตร์, ความโต้เมือง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=40https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/052-cover.jpg
40รายงานงานวิจัยการรู้หนังสือ สถานที่ และการก่อตัวของเมืองไทดำ: บททดลองเสนอประวัติศาสตร์การเมืองไทดำในเวียดนามยุคก่อนสมัยใหม่ (มุมมองจากเอกสาร "ความโต้เมือง")<p>
รายงานการวิจัยนี้เสนอให้เห็น ความสัมพันธ์ทางการเมืองของกลุ่มชนไทดำในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามก่อนยุคปฏิวัติ โดยอ่านจากเอกสารความโต้เมืองเป็นหลัก ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองโดยเชื่อมโยงกับสถานที่และพื้นที่ ทั้งยังเป็นเอกสารที่ถูกใช้อ่านในพิธีศพ เป็นเสมือนเครื่องมือในการสร้างความผูกพันต่อสถานที่และพื้นที่ผ่านการนำเสนอในพิธีกรรม การศึกษานี้เป็นการศึกษาจากเอกสารของไทดำโบราณ ประกอบการศึกษาภาคสนามของผู้เขียนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ถึง 2004 ในแง่เอกสาร ใช้เอกสาร "ความโต้เมือง" สำนวนต่าง ๆ เป็นแกนกลางของการศึกษา และอาศัยเอกสารอื่น ๆ ประกอบ นอกจากนี้รายงานวิจัยเรื่องนี้ยังได้แนบบางส่วนของคำแปลและการวิเคราะห์ต้นฉบับเอกสารของไทดำไว้ให้ศึกษาอีกด้วย</p>ไทดำ, เวียดนาม, ประวัติศาสตร์, ความโต้เมือง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=40https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/052-cover.jpg
40รายงานการรู้หนังสือ สถานที่ และการก่อตัวของเมืองไทดำ: บททดลองเสนอประวัติศาสตร์การเมืองไทดำในเวียดนามยุคก่อนสมัยใหม่ (มุมมองจากเอกสาร "ความโต้เมือง")<p>
รายงานการวิจัยนี้เสนอให้เห็น ความสัมพันธ์ทางการเมืองของกลุ่มชนไทดำในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามก่อนยุคปฏิวัติ โดยอ่านจากเอกสารความโต้เมืองเป็นหลัก ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองโดยเชื่อมโยงกับสถานที่และพื้นที่ ทั้งยังเป็นเอกสารที่ถูกใช้อ่านในพิธีศพ เป็นเสมือนเครื่องมือในการสร้างความผูกพันต่อสถานที่และพื้นที่ผ่านการนำเสนอในพิธีกรรม การศึกษานี้เป็นการศึกษาจากเอกสารของไทดำโบราณ ประกอบการศึกษาภาคสนามของผู้เขียนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ถึง 2004 ในแง่เอกสาร ใช้เอกสาร "ความโต้เมือง" สำนวนต่าง ๆ เป็นแกนกลางของการศึกษา และอาศัยเอกสารอื่น ๆ ประกอบ นอกจากนี้รายงานวิจัยเรื่องนี้ยังได้แนบบางส่วนของคำแปลและการวิเคราะห์ต้นฉบับเอกสารของไทดำไว้ให้ศึกษาอีกด้วย</p>ไทดำ, เวียดนาม, ประวัติศาสตร์, ความโต้เมือง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=40https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/052-cover.jpg
40หนังสือการรู้หนังสือ สถานที่ และการก่อตัวของเมืองไทดำ: บททดลองเสนอประวัติศาสตร์การเมืองไทดำในเวียดนามยุคก่อนสมัยใหม่ (มุมมองจากเอกสาร "ความโต้เมือง")<p>
รายงานการวิจัยนี้เสนอให้เห็น ความสัมพันธ์ทางการเมืองของกลุ่มชนไทดำในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามก่อนยุคปฏิวัติ โดยอ่านจากเอกสารความโต้เมืองเป็นหลัก ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองโดยเชื่อมโยงกับสถานที่และพื้นที่ ทั้งยังเป็นเอกสารที่ถูกใช้อ่านในพิธีศพ เป็นเสมือนเครื่องมือในการสร้างความผูกพันต่อสถานที่และพื้นที่ผ่านการนำเสนอในพิธีกรรม การศึกษานี้เป็นการศึกษาจากเอกสารของไทดำโบราณ ประกอบการศึกษาภาคสนามของผู้เขียนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ถึง 2004 ในแง่เอกสาร ใช้เอกสาร "ความโต้เมือง" สำนวนต่าง ๆ เป็นแกนกลางของการศึกษา และอาศัยเอกสารอื่น ๆ ประกอบ นอกจากนี้รายงานวิจัยเรื่องนี้ยังได้แนบบางส่วนของคำแปลและการวิเคราะห์ต้นฉบับเอกสารของไทดำไว้ให้ศึกษาอีกด้วย</p>ไทดำ, เวียดนาม, ประวัติศาสตร์, ความโต้เมือง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=40https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/052-cover.jpg
40จุลสารการรู้หนังสือ สถานที่ และการก่อตัวของเมืองไทดำ: บททดลองเสนอประวัติศาสตร์การเมืองไทดำในเวียดนามยุคก่อนสมัยใหม่ (มุมมองจากเอกสาร "ความโต้เมือง")<p>
รายงานการวิจัยนี้เสนอให้เห็น ความสัมพันธ์ทางการเมืองของกลุ่มชนไทดำในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามก่อนยุคปฏิวัติ โดยอ่านจากเอกสารความโต้เมืองเป็นหลัก ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองโดยเชื่อมโยงกับสถานที่และพื้นที่ ทั้งยังเป็นเอกสารที่ถูกใช้อ่านในพิธีศพ เป็นเสมือนเครื่องมือในการสร้างความผูกพันต่อสถานที่และพื้นที่ผ่านการนำเสนอในพิธีกรรม การศึกษานี้เป็นการศึกษาจากเอกสารของไทดำโบราณ ประกอบการศึกษาภาคสนามของผู้เขียนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ถึง 2004 ในแง่เอกสาร ใช้เอกสาร "ความโต้เมือง" สำนวนต่าง ๆ เป็นแกนกลางของการศึกษา และอาศัยเอกสารอื่น ๆ ประกอบ นอกจากนี้รายงานวิจัยเรื่องนี้ยังได้แนบบางส่วนของคำแปลและการวิเคราะห์ต้นฉบับเอกสารของไทดำไว้ให้ศึกษาอีกด้วย</p>ไทดำ, เวียดนาม, ประวัติศาสตร์, ความโต้เมือง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=40https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/052-cover.jpg
40สูจิบัตรการรู้หนังสือ สถานที่ และการก่อตัวของเมืองไทดำ: บททดลองเสนอประวัติศาสตร์การเมืองไทดำในเวียดนามยุคก่อนสมัยใหม่ (มุมมองจากเอกสาร "ความโต้เมือง")<p>
รายงานการวิจัยนี้เสนอให้เห็น ความสัมพันธ์ทางการเมืองของกลุ่มชนไทดำในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามก่อนยุคปฏิวัติ โดยอ่านจากเอกสารความโต้เมืองเป็นหลัก ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองโดยเชื่อมโยงกับสถานที่และพื้นที่ ทั้งยังเป็นเอกสารที่ถูกใช้อ่านในพิธีศพ เป็นเสมือนเครื่องมือในการสร้างความผูกพันต่อสถานที่และพื้นที่ผ่านการนำเสนอในพิธีกรรม การศึกษานี้เป็นการศึกษาจากเอกสารของไทดำโบราณ ประกอบการศึกษาภาคสนามของผู้เขียนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ถึง 2004 ในแง่เอกสาร ใช้เอกสาร "ความโต้เมือง" สำนวนต่าง ๆ เป็นแกนกลางของการศึกษา และอาศัยเอกสารอื่น ๆ ประกอบ นอกจากนี้รายงานวิจัยเรื่องนี้ยังได้แนบบางส่วนของคำแปลและการวิเคราะห์ต้นฉบับเอกสารของไทดำไว้ให้ศึกษาอีกด้วย</p>ไทดำ, เวียดนาม, ประวัติศาสตร์, ความโต้เมือง20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=40https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/052-cover.jpg
41อื่นๆการตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับภาษาบาลี<p>
พิมพาภิกขุนีนิพพานภาษาบาลีเป็นวรรณกรรมร้อยแก้วที่แต่งขึ้นในประเทศไทย สันนิษฐานว่าผู้แต่งน่าจะเป็นพระภิกษุในสมัยอยุธยา เรื่องในพิมพาภิกขุนีนิพพานมีทั้งสิ้น 80 เรื่อง ต้นฉบับที่ใช้ในการตรวจชำระครั้งนี้เป็นต้นฉบับใบลาน จำนวน 10 ฉบับ ต้นฉบับที่เก่าที่สุดน่าจะมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 ต้นฉบับที่คัดลอกในสมัยอยุธยามีการใช้คำศัพท์ที่ไม่เคร่งครัดและมีวิธีเขียนคำหลายแบบ ซึ่งอาจแสดงถึงวิธีการเขียนคำบาลีในสมัยอยุธยา แม้ว่าคนไทยจะรู้จักเรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานมานานแล้ว แต่ในปัจจุบันเรื่องพิมพาภิกขุนีกลับไม่มีผู้สนใจศึกษา ซึ่งอาจเป็นเพราะมีอุปสรรคหลายประการ เช่น วรรณคดีเรื่องนี้ยังอยู่ในต้นฉบับตัวเขียน และยังไม่มีการเผยแพร่เท่าที่ควร เรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับสมบูรณ์จึงไม่เป็นที่รู้จักของนักวิชาการชาวไทยและต่างประเทศ ผู้ศึกษาวิจัยได้ปริวรรตเนื้อเรื่องจากต้นฉบับตัวเขียนอักษรขอมและอักษรมอญ ที่ได้คัดเลือกไว้เป็นอักษรโรมัน แล้วทำการสอบทานและตรวจชำระต้นฉบับอื่นๆ ที่ได้คัดเลือกตามเกณฑ์การคัดเลือกเอกสารโบราณอีก 10 ฉบับ เพื่อให้มีเนื้อหาใกล้เคียงกับฉบับดั้งเดิม หลังจากนั้นจึงแปลเนื้อความเป็นภาษาไทยเพื่อศึกษาวิเคราะห์ต่อไป</p>คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพาน, พุทธศาสนา, วรรณกรรมพุทธศาสนา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=41https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/053-cover.jpg
41วารสารการตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับภาษาบาลี<p>
พิมพาภิกขุนีนิพพานภาษาบาลีเป็นวรรณกรรมร้อยแก้วที่แต่งขึ้นในประเทศไทย สันนิษฐานว่าผู้แต่งน่าจะเป็นพระภิกษุในสมัยอยุธยา เรื่องในพิมพาภิกขุนีนิพพานมีทั้งสิ้น 80 เรื่อง ต้นฉบับที่ใช้ในการตรวจชำระครั้งนี้เป็นต้นฉบับใบลาน จำนวน 10 ฉบับ ต้นฉบับที่เก่าที่สุดน่าจะมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 ต้นฉบับที่คัดลอกในสมัยอยุธยามีการใช้คำศัพท์ที่ไม่เคร่งครัดและมีวิธีเขียนคำหลายแบบ ซึ่งอาจแสดงถึงวิธีการเขียนคำบาลีในสมัยอยุธยา แม้ว่าคนไทยจะรู้จักเรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานมานานแล้ว แต่ในปัจจุบันเรื่องพิมพาภิกขุนีกลับไม่มีผู้สนใจศึกษา ซึ่งอาจเป็นเพราะมีอุปสรรคหลายประการ เช่น วรรณคดีเรื่องนี้ยังอยู่ในต้นฉบับตัวเขียน และยังไม่มีการเผยแพร่เท่าที่ควร เรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับสมบูรณ์จึงไม่เป็นที่รู้จักของนักวิชาการชาวไทยและต่างประเทศ ผู้ศึกษาวิจัยได้ปริวรรตเนื้อเรื่องจากต้นฉบับตัวเขียนอักษรขอมและอักษรมอญ ที่ได้คัดเลือกไว้เป็นอักษรโรมัน แล้วทำการสอบทานและตรวจชำระต้นฉบับอื่นๆ ที่ได้คัดเลือกตามเกณฑ์การคัดเลือกเอกสารโบราณอีก 10 ฉบับ เพื่อให้มีเนื้อหาใกล้เคียงกับฉบับดั้งเดิม หลังจากนั้นจึงแปลเนื้อความเป็นภาษาไทยเพื่อศึกษาวิเคราะห์ต่อไป</p>คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพาน, พุทธศาสนา, วรรณกรรมพุทธศาสนา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=41https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/053-cover.jpg
41บทความการตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับภาษาบาลี<p>
พิมพาภิกขุนีนิพพานภาษาบาลีเป็นวรรณกรรมร้อยแก้วที่แต่งขึ้นในประเทศไทย สันนิษฐานว่าผู้แต่งน่าจะเป็นพระภิกษุในสมัยอยุธยา เรื่องในพิมพาภิกขุนีนิพพานมีทั้งสิ้น 80 เรื่อง ต้นฉบับที่ใช้ในการตรวจชำระครั้งนี้เป็นต้นฉบับใบลาน จำนวน 10 ฉบับ ต้นฉบับที่เก่าที่สุดน่าจะมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 ต้นฉบับที่คัดลอกในสมัยอยุธยามีการใช้คำศัพท์ที่ไม่เคร่งครัดและมีวิธีเขียนคำหลายแบบ ซึ่งอาจแสดงถึงวิธีการเขียนคำบาลีในสมัยอยุธยา แม้ว่าคนไทยจะรู้จักเรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานมานานแล้ว แต่ในปัจจุบันเรื่องพิมพาภิกขุนีกลับไม่มีผู้สนใจศึกษา ซึ่งอาจเป็นเพราะมีอุปสรรคหลายประการ เช่น วรรณคดีเรื่องนี้ยังอยู่ในต้นฉบับตัวเขียน และยังไม่มีการเผยแพร่เท่าที่ควร เรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับสมบูรณ์จึงไม่เป็นที่รู้จักของนักวิชาการชาวไทยและต่างประเทศ ผู้ศึกษาวิจัยได้ปริวรรตเนื้อเรื่องจากต้นฉบับตัวเขียนอักษรขอมและอักษรมอญ ที่ได้คัดเลือกไว้เป็นอักษรโรมัน แล้วทำการสอบทานและตรวจชำระต้นฉบับอื่นๆ ที่ได้คัดเลือกตามเกณฑ์การคัดเลือกเอกสารโบราณอีก 10 ฉบับ เพื่อให้มีเนื้อหาใกล้เคียงกับฉบับดั้งเดิม หลังจากนั้นจึงแปลเนื้อความเป็นภาษาไทยเพื่อศึกษาวิเคราะห์ต่อไป</p>คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพาน, พุทธศาสนา, วรรณกรรมพุทธศาสนา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=41https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/053-cover.jpg
41วิทยานิพนธ์การตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับภาษาบาลี<p>
พิมพาภิกขุนีนิพพานภาษาบาลีเป็นวรรณกรรมร้อยแก้วที่แต่งขึ้นในประเทศไทย สันนิษฐานว่าผู้แต่งน่าจะเป็นพระภิกษุในสมัยอยุธยา เรื่องในพิมพาภิกขุนีนิพพานมีทั้งสิ้น 80 เรื่อง ต้นฉบับที่ใช้ในการตรวจชำระครั้งนี้เป็นต้นฉบับใบลาน จำนวน 10 ฉบับ ต้นฉบับที่เก่าที่สุดน่าจะมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 ต้นฉบับที่คัดลอกในสมัยอยุธยามีการใช้คำศัพท์ที่ไม่เคร่งครัดและมีวิธีเขียนคำหลายแบบ ซึ่งอาจแสดงถึงวิธีการเขียนคำบาลีในสมัยอยุธยา แม้ว่าคนไทยจะรู้จักเรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานมานานแล้ว แต่ในปัจจุบันเรื่องพิมพาภิกขุนีกลับไม่มีผู้สนใจศึกษา ซึ่งอาจเป็นเพราะมีอุปสรรคหลายประการ เช่น วรรณคดีเรื่องนี้ยังอยู่ในต้นฉบับตัวเขียน และยังไม่มีการเผยแพร่เท่าที่ควร เรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับสมบูรณ์จึงไม่เป็นที่รู้จักของนักวิชาการชาวไทยและต่างประเทศ ผู้ศึกษาวิจัยได้ปริวรรตเนื้อเรื่องจากต้นฉบับตัวเขียนอักษรขอมและอักษรมอญ ที่ได้คัดเลือกไว้เป็นอักษรโรมัน แล้วทำการสอบทานและตรวจชำระต้นฉบับอื่นๆ ที่ได้คัดเลือกตามเกณฑ์การคัดเลือกเอกสารโบราณอีก 10 ฉบับ เพื่อให้มีเนื้อหาใกล้เคียงกับฉบับดั้งเดิม หลังจากนั้นจึงแปลเนื้อความเป็นภาษาไทยเพื่อศึกษาวิเคราะห์ต่อไป</p>คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพาน, พุทธศาสนา, วรรณกรรมพุทธศาสนา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=41https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/053-cover.jpg
41รายงานงานวิจัยการตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับภาษาบาลี<p>
พิมพาภิกขุนีนิพพานภาษาบาลีเป็นวรรณกรรมร้อยแก้วที่แต่งขึ้นในประเทศไทย สันนิษฐานว่าผู้แต่งน่าจะเป็นพระภิกษุในสมัยอยุธยา เรื่องในพิมพาภิกขุนีนิพพานมีทั้งสิ้น 80 เรื่อง ต้นฉบับที่ใช้ในการตรวจชำระครั้งนี้เป็นต้นฉบับใบลาน จำนวน 10 ฉบับ ต้นฉบับที่เก่าที่สุดน่าจะมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 ต้นฉบับที่คัดลอกในสมัยอยุธยามีการใช้คำศัพท์ที่ไม่เคร่งครัดและมีวิธีเขียนคำหลายแบบ ซึ่งอาจแสดงถึงวิธีการเขียนคำบาลีในสมัยอยุธยา แม้ว่าคนไทยจะรู้จักเรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานมานานแล้ว แต่ในปัจจุบันเรื่องพิมพาภิกขุนีกลับไม่มีผู้สนใจศึกษา ซึ่งอาจเป็นเพราะมีอุปสรรคหลายประการ เช่น วรรณคดีเรื่องนี้ยังอยู่ในต้นฉบับตัวเขียน และยังไม่มีการเผยแพร่เท่าที่ควร เรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับสมบูรณ์จึงไม่เป็นที่รู้จักของนักวิชาการชาวไทยและต่างประเทศ ผู้ศึกษาวิจัยได้ปริวรรตเนื้อเรื่องจากต้นฉบับตัวเขียนอักษรขอมและอักษรมอญ ที่ได้คัดเลือกไว้เป็นอักษรโรมัน แล้วทำการสอบทานและตรวจชำระต้นฉบับอื่นๆ ที่ได้คัดเลือกตามเกณฑ์การคัดเลือกเอกสารโบราณอีก 10 ฉบับ เพื่อให้มีเนื้อหาใกล้เคียงกับฉบับดั้งเดิม หลังจากนั้นจึงแปลเนื้อความเป็นภาษาไทยเพื่อศึกษาวิเคราะห์ต่อไป</p>คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพาน, พุทธศาสนา, วรรณกรรมพุทธศาสนา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=41https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/053-cover.jpg
41รายงานการตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับภาษาบาลี<p>
พิมพาภิกขุนีนิพพานภาษาบาลีเป็นวรรณกรรมร้อยแก้วที่แต่งขึ้นในประเทศไทย สันนิษฐานว่าผู้แต่งน่าจะเป็นพระภิกษุในสมัยอยุธยา เรื่องในพิมพาภิกขุนีนิพพานมีทั้งสิ้น 80 เรื่อง ต้นฉบับที่ใช้ในการตรวจชำระครั้งนี้เป็นต้นฉบับใบลาน จำนวน 10 ฉบับ ต้นฉบับที่เก่าที่สุดน่าจะมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 ต้นฉบับที่คัดลอกในสมัยอยุธยามีการใช้คำศัพท์ที่ไม่เคร่งครัดและมีวิธีเขียนคำหลายแบบ ซึ่งอาจแสดงถึงวิธีการเขียนคำบาลีในสมัยอยุธยา แม้ว่าคนไทยจะรู้จักเรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานมานานแล้ว แต่ในปัจจุบันเรื่องพิมพาภิกขุนีกลับไม่มีผู้สนใจศึกษา ซึ่งอาจเป็นเพราะมีอุปสรรคหลายประการ เช่น วรรณคดีเรื่องนี้ยังอยู่ในต้นฉบับตัวเขียน และยังไม่มีการเผยแพร่เท่าที่ควร เรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับสมบูรณ์จึงไม่เป็นที่รู้จักของนักวิชาการชาวไทยและต่างประเทศ ผู้ศึกษาวิจัยได้ปริวรรตเนื้อเรื่องจากต้นฉบับตัวเขียนอักษรขอมและอักษรมอญ ที่ได้คัดเลือกไว้เป็นอักษรโรมัน แล้วทำการสอบทานและตรวจชำระต้นฉบับอื่นๆ ที่ได้คัดเลือกตามเกณฑ์การคัดเลือกเอกสารโบราณอีก 10 ฉบับ เพื่อให้มีเนื้อหาใกล้เคียงกับฉบับดั้งเดิม หลังจากนั้นจึงแปลเนื้อความเป็นภาษาไทยเพื่อศึกษาวิเคราะห์ต่อไป</p>คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพาน, พุทธศาสนา, วรรณกรรมพุทธศาสนา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=41https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/053-cover.jpg
41หนังสือการตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับภาษาบาลี<p>
พิมพาภิกขุนีนิพพานภาษาบาลีเป็นวรรณกรรมร้อยแก้วที่แต่งขึ้นในประเทศไทย สันนิษฐานว่าผู้แต่งน่าจะเป็นพระภิกษุในสมัยอยุธยา เรื่องในพิมพาภิกขุนีนิพพานมีทั้งสิ้น 80 เรื่อง ต้นฉบับที่ใช้ในการตรวจชำระครั้งนี้เป็นต้นฉบับใบลาน จำนวน 10 ฉบับ ต้นฉบับที่เก่าที่สุดน่าจะมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 ต้นฉบับที่คัดลอกในสมัยอยุธยามีการใช้คำศัพท์ที่ไม่เคร่งครัดและมีวิธีเขียนคำหลายแบบ ซึ่งอาจแสดงถึงวิธีการเขียนคำบาลีในสมัยอยุธยา แม้ว่าคนไทยจะรู้จักเรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานมานานแล้ว แต่ในปัจจุบันเรื่องพิมพาภิกขุนีกลับไม่มีผู้สนใจศึกษา ซึ่งอาจเป็นเพราะมีอุปสรรคหลายประการ เช่น วรรณคดีเรื่องนี้ยังอยู่ในต้นฉบับตัวเขียน และยังไม่มีการเผยแพร่เท่าที่ควร เรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับสมบูรณ์จึงไม่เป็นที่รู้จักของนักวิชาการชาวไทยและต่างประเทศ ผู้ศึกษาวิจัยได้ปริวรรตเนื้อเรื่องจากต้นฉบับตัวเขียนอักษรขอมและอักษรมอญ ที่ได้คัดเลือกไว้เป็นอักษรโรมัน แล้วทำการสอบทานและตรวจชำระต้นฉบับอื่นๆ ที่ได้คัดเลือกตามเกณฑ์การคัดเลือกเอกสารโบราณอีก 10 ฉบับ เพื่อให้มีเนื้อหาใกล้เคียงกับฉบับดั้งเดิม หลังจากนั้นจึงแปลเนื้อความเป็นภาษาไทยเพื่อศึกษาวิเคราะห์ต่อไป</p>คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพาน, พุทธศาสนา, วรรณกรรมพุทธศาสนา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=41https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/053-cover.jpg
41จุลสารการตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับภาษาบาลี<p>
พิมพาภิกขุนีนิพพานภาษาบาลีเป็นวรรณกรรมร้อยแก้วที่แต่งขึ้นในประเทศไทย สันนิษฐานว่าผู้แต่งน่าจะเป็นพระภิกษุในสมัยอยุธยา เรื่องในพิมพาภิกขุนีนิพพานมีทั้งสิ้น 80 เรื่อง ต้นฉบับที่ใช้ในการตรวจชำระครั้งนี้เป็นต้นฉบับใบลาน จำนวน 10 ฉบับ ต้นฉบับที่เก่าที่สุดน่าจะมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 ต้นฉบับที่คัดลอกในสมัยอยุธยามีการใช้คำศัพท์ที่ไม่เคร่งครัดและมีวิธีเขียนคำหลายแบบ ซึ่งอาจแสดงถึงวิธีการเขียนคำบาลีในสมัยอยุธยา แม้ว่าคนไทยจะรู้จักเรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานมานานแล้ว แต่ในปัจจุบันเรื่องพิมพาภิกขุนีกลับไม่มีผู้สนใจศึกษา ซึ่งอาจเป็นเพราะมีอุปสรรคหลายประการ เช่น วรรณคดีเรื่องนี้ยังอยู่ในต้นฉบับตัวเขียน และยังไม่มีการเผยแพร่เท่าที่ควร เรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับสมบูรณ์จึงไม่เป็นที่รู้จักของนักวิชาการชาวไทยและต่างประเทศ ผู้ศึกษาวิจัยได้ปริวรรตเนื้อเรื่องจากต้นฉบับตัวเขียนอักษรขอมและอักษรมอญ ที่ได้คัดเลือกไว้เป็นอักษรโรมัน แล้วทำการสอบทานและตรวจชำระต้นฉบับอื่นๆ ที่ได้คัดเลือกตามเกณฑ์การคัดเลือกเอกสารโบราณอีก 10 ฉบับ เพื่อให้มีเนื้อหาใกล้เคียงกับฉบับดั้งเดิม หลังจากนั้นจึงแปลเนื้อความเป็นภาษาไทยเพื่อศึกษาวิเคราะห์ต่อไป</p>คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพาน, พุทธศาสนา, วรรณกรรมพุทธศาสนา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=41https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/053-cover.jpg
41สูจิบัตรการตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับภาษาบาลี<p>
พิมพาภิกขุนีนิพพานภาษาบาลีเป็นวรรณกรรมร้อยแก้วที่แต่งขึ้นในประเทศไทย สันนิษฐานว่าผู้แต่งน่าจะเป็นพระภิกษุในสมัยอยุธยา เรื่องในพิมพาภิกขุนีนิพพานมีทั้งสิ้น 80 เรื่อง ต้นฉบับที่ใช้ในการตรวจชำระครั้งนี้เป็นต้นฉบับใบลาน จำนวน 10 ฉบับ ต้นฉบับที่เก่าที่สุดน่าจะมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 ต้นฉบับที่คัดลอกในสมัยอยุธยามีการใช้คำศัพท์ที่ไม่เคร่งครัดและมีวิธีเขียนคำหลายแบบ ซึ่งอาจแสดงถึงวิธีการเขียนคำบาลีในสมัยอยุธยา แม้ว่าคนไทยจะรู้จักเรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานมานานแล้ว แต่ในปัจจุบันเรื่องพิมพาภิกขุนีกลับไม่มีผู้สนใจศึกษา ซึ่งอาจเป็นเพราะมีอุปสรรคหลายประการ เช่น วรรณคดีเรื่องนี้ยังอยู่ในต้นฉบับตัวเขียน และยังไม่มีการเผยแพร่เท่าที่ควร เรื่องพิมพาภิกขุนีนิพพานฉบับสมบูรณ์จึงไม่เป็นที่รู้จักของนักวิชาการชาวไทยและต่างประเทศ ผู้ศึกษาวิจัยได้ปริวรรตเนื้อเรื่องจากต้นฉบับตัวเขียนอักษรขอมและอักษรมอญ ที่ได้คัดเลือกไว้เป็นอักษรโรมัน แล้วทำการสอบทานและตรวจชำระต้นฉบับอื่นๆ ที่ได้คัดเลือกตามเกณฑ์การคัดเลือกเอกสารโบราณอีก 10 ฉบับ เพื่อให้มีเนื้อหาใกล้เคียงกับฉบับดั้งเดิม หลังจากนั้นจึงแปลเนื้อความเป็นภาษาไทยเพื่อศึกษาวิเคราะห์ต่อไป</p>คัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพาน, พุทธศาสนา, วรรณกรรมพุทธศาสนา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=41https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/053-cover.jpg
42อื่นๆตลาดกับวิถีชีวิต<p>
โครงการวิจัยตลาดกับวิถีชีวิต ประกอบด้วยบทความวิจัย จำนวน 5 เรื่อง ศึกษาในพื้นที่หลากหลาย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตลาดสดแบ๊คควา-ฮานอย พื้นที่ศึกษามีทั้งพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ราชการ ยกตัวอย่าง การเกิดตลาดในสถานที่ทำงานซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐนับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงความคิดบางอย่างเกี่ยวกับ "พื้นที่สถานที่ราชการ" มาเป็นพื้นที่ตลาด ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่คนทั่วไปสามารถเข้าไปทำกิจกรรมได้ ขณะเดียวกันตลาดนัดในอีกหลาย ๆ ที่มีความสัมพันธ์และสนองตอบต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนในพื้นที่ปิดและห่างไกลจากย่านธุรกิจ อย่างชุมชนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ก็มีบทบาทหน้าที่ที่แฝงอยู่มากกว่าการเป็นเพียงหนึ่งกลไกในระบบเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าราคาประหยัด หากจะเปรียบเทียบกับตลาดอื่น ๆ ในพื้นที่สาธารณะภายนอกมหาวิทยาลัย อย่างมีนัยยะสำคัญ</p>ตลาด, ตลาดนัด, มานุษยวิทยา, สังคมวิทยา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=42https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/054-cover.jpg
42วารสารตลาดกับวิถีชีวิต<p>
โครงการวิจัยตลาดกับวิถีชีวิต ประกอบด้วยบทความวิจัย จำนวน 5 เรื่อง ศึกษาในพื้นที่หลากหลาย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตลาดสดแบ๊คควา-ฮานอย พื้นที่ศึกษามีทั้งพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ราชการ ยกตัวอย่าง การเกิดตลาดในสถานที่ทำงานซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐนับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงความคิดบางอย่างเกี่ยวกับ "พื้นที่สถานที่ราชการ" มาเป็นพื้นที่ตลาด ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่คนทั่วไปสามารถเข้าไปทำกิจกรรมได้ ขณะเดียวกันตลาดนัดในอีกหลาย ๆ ที่มีความสัมพันธ์และสนองตอบต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนในพื้นที่ปิดและห่างไกลจากย่านธุรกิจ อย่างชุมชนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ก็มีบทบาทหน้าที่ที่แฝงอยู่มากกว่าการเป็นเพียงหนึ่งกลไกในระบบเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าราคาประหยัด หากจะเปรียบเทียบกับตลาดอื่น ๆ ในพื้นที่สาธารณะภายนอกมหาวิทยาลัย อย่างมีนัยยะสำคัญ</p>ตลาด, ตลาดนัด, มานุษยวิทยา, สังคมวิทยา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=42https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/054-cover.jpg
42บทความตลาดกับวิถีชีวิต<p>
โครงการวิจัยตลาดกับวิถีชีวิต ประกอบด้วยบทความวิจัย จำนวน 5 เรื่อง ศึกษาในพื้นที่หลากหลาย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตลาดสดแบ๊คควา-ฮานอย พื้นที่ศึกษามีทั้งพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ราชการ ยกตัวอย่าง การเกิดตลาดในสถานที่ทำงานซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐนับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงความคิดบางอย่างเกี่ยวกับ "พื้นที่สถานที่ราชการ" มาเป็นพื้นที่ตลาด ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่คนทั่วไปสามารถเข้าไปทำกิจกรรมได้ ขณะเดียวกันตลาดนัดในอีกหลาย ๆ ที่มีความสัมพันธ์และสนองตอบต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนในพื้นที่ปิดและห่างไกลจากย่านธุรกิจ อย่างชุมชนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ก็มีบทบาทหน้าที่ที่แฝงอยู่มากกว่าการเป็นเพียงหนึ่งกลไกในระบบเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าราคาประหยัด หากจะเปรียบเทียบกับตลาดอื่น ๆ ในพื้นที่สาธารณะภายนอกมหาวิทยาลัย อย่างมีนัยยะสำคัญ</p>ตลาด, ตลาดนัด, มานุษยวิทยา, สังคมวิทยา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=42https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/054-cover.jpg
42วิทยานิพนธ์ตลาดกับวิถีชีวิต<p>
โครงการวิจัยตลาดกับวิถีชีวิต ประกอบด้วยบทความวิจัย จำนวน 5 เรื่อง ศึกษาในพื้นที่หลากหลาย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตลาดสดแบ๊คควา-ฮานอย พื้นที่ศึกษามีทั้งพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ราชการ ยกตัวอย่าง การเกิดตลาดในสถานที่ทำงานซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐนับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงความคิดบางอย่างเกี่ยวกับ "พื้นที่สถานที่ราชการ" มาเป็นพื้นที่ตลาด ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่คนทั่วไปสามารถเข้าไปทำกิจกรรมได้ ขณะเดียวกันตลาดนัดในอีกหลาย ๆ ที่มีความสัมพันธ์และสนองตอบต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนในพื้นที่ปิดและห่างไกลจากย่านธุรกิจ อย่างชุมชนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ก็มีบทบาทหน้าที่ที่แฝงอยู่มากกว่าการเป็นเพียงหนึ่งกลไกในระบบเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าราคาประหยัด หากจะเปรียบเทียบกับตลาดอื่น ๆ ในพื้นที่สาธารณะภายนอกมหาวิทยาลัย อย่างมีนัยยะสำคัญ</p>ตลาด, ตลาดนัด, มานุษยวิทยา, สังคมวิทยา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=42https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/054-cover.jpg
42รายงานงานวิจัยตลาดกับวิถีชีวิต<p>
โครงการวิจัยตลาดกับวิถีชีวิต ประกอบด้วยบทความวิจัย จำนวน 5 เรื่อง ศึกษาในพื้นที่หลากหลาย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตลาดสดแบ๊คควา-ฮานอย พื้นที่ศึกษามีทั้งพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ราชการ ยกตัวอย่าง การเกิดตลาดในสถานที่ทำงานซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐนับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงความคิดบางอย่างเกี่ยวกับ "พื้นที่สถานที่ราชการ" มาเป็นพื้นที่ตลาด ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่คนทั่วไปสามารถเข้าไปทำกิจกรรมได้ ขณะเดียวกันตลาดนัดในอีกหลาย ๆ ที่มีความสัมพันธ์และสนองตอบต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนในพื้นที่ปิดและห่างไกลจากย่านธุรกิจ อย่างชุมชนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ก็มีบทบาทหน้าที่ที่แฝงอยู่มากกว่าการเป็นเพียงหนึ่งกลไกในระบบเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าราคาประหยัด หากจะเปรียบเทียบกับตลาดอื่น ๆ ในพื้นที่สาธารณะภายนอกมหาวิทยาลัย อย่างมีนัยยะสำคัญ</p>ตลาด, ตลาดนัด, มานุษยวิทยา, สังคมวิทยา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=42https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/054-cover.jpg
42รายงานตลาดกับวิถีชีวิต<p>
โครงการวิจัยตลาดกับวิถีชีวิต ประกอบด้วยบทความวิจัย จำนวน 5 เรื่อง ศึกษาในพื้นที่หลากหลาย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตลาดสดแบ๊คควา-ฮานอย พื้นที่ศึกษามีทั้งพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ราชการ ยกตัวอย่าง การเกิดตลาดในสถานที่ทำงานซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐนับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงความคิดบางอย่างเกี่ยวกับ "พื้นที่สถานที่ราชการ" มาเป็นพื้นที่ตลาด ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่คนทั่วไปสามารถเข้าไปทำกิจกรรมได้ ขณะเดียวกันตลาดนัดในอีกหลาย ๆ ที่มีความสัมพันธ์และสนองตอบต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนในพื้นที่ปิดและห่างไกลจากย่านธุรกิจ อย่างชุมชนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ก็มีบทบาทหน้าที่ที่แฝงอยู่มากกว่าการเป็นเพียงหนึ่งกลไกในระบบเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าราคาประหยัด หากจะเปรียบเทียบกับตลาดอื่น ๆ ในพื้นที่สาธารณะภายนอกมหาวิทยาลัย อย่างมีนัยยะสำคัญ</p>ตลาด, ตลาดนัด, มานุษยวิทยา, สังคมวิทยา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=42https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/054-cover.jpg
42หนังสือตลาดกับวิถีชีวิต<p>
โครงการวิจัยตลาดกับวิถีชีวิต ประกอบด้วยบทความวิจัย จำนวน 5 เรื่อง ศึกษาในพื้นที่หลากหลาย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตลาดสดแบ๊คควา-ฮานอย พื้นที่ศึกษามีทั้งพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ราชการ ยกตัวอย่าง การเกิดตลาดในสถานที่ทำงานซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐนับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงความคิดบางอย่างเกี่ยวกับ "พื้นที่สถานที่ราชการ" มาเป็นพื้นที่ตลาด ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่คนทั่วไปสามารถเข้าไปทำกิจกรรมได้ ขณะเดียวกันตลาดนัดในอีกหลาย ๆ ที่มีความสัมพันธ์และสนองตอบต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนในพื้นที่ปิดและห่างไกลจากย่านธุรกิจ อย่างชุมชนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ก็มีบทบาทหน้าที่ที่แฝงอยู่มากกว่าการเป็นเพียงหนึ่งกลไกในระบบเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าราคาประหยัด หากจะเปรียบเทียบกับตลาดอื่น ๆ ในพื้นที่สาธารณะภายนอกมหาวิทยาลัย อย่างมีนัยยะสำคัญ</p>ตลาด, ตลาดนัด, มานุษยวิทยา, สังคมวิทยา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=42https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/054-cover.jpg
42จุลสารตลาดกับวิถีชีวิต<p>
โครงการวิจัยตลาดกับวิถีชีวิต ประกอบด้วยบทความวิจัย จำนวน 5 เรื่อง ศึกษาในพื้นที่หลากหลาย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตลาดสดแบ๊คควา-ฮานอย พื้นที่ศึกษามีทั้งพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ราชการ ยกตัวอย่าง การเกิดตลาดในสถานที่ทำงานซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐนับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงความคิดบางอย่างเกี่ยวกับ "พื้นที่สถานที่ราชการ" มาเป็นพื้นที่ตลาด ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่คนทั่วไปสามารถเข้าไปทำกิจกรรมได้ ขณะเดียวกันตลาดนัดในอีกหลาย ๆ ที่มีความสัมพันธ์และสนองตอบต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนในพื้นที่ปิดและห่างไกลจากย่านธุรกิจ อย่างชุมชนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ก็มีบทบาทหน้าที่ที่แฝงอยู่มากกว่าการเป็นเพียงหนึ่งกลไกในระบบเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าราคาประหยัด หากจะเปรียบเทียบกับตลาดอื่น ๆ ในพื้นที่สาธารณะภายนอกมหาวิทยาลัย อย่างมีนัยยะสำคัญ</p>ตลาด, ตลาดนัด, มานุษยวิทยา, สังคมวิทยา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=42https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/054-cover.jpg
42สูจิบัตรตลาดกับวิถีชีวิต<p>
โครงการวิจัยตลาดกับวิถีชีวิต ประกอบด้วยบทความวิจัย จำนวน 5 เรื่อง ศึกษาในพื้นที่หลากหลาย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตลาดสดแบ๊คควา-ฮานอย พื้นที่ศึกษามีทั้งพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ราชการ ยกตัวอย่าง การเกิดตลาดในสถานที่ทำงานซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐนับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงความคิดบางอย่างเกี่ยวกับ "พื้นที่สถานที่ราชการ" มาเป็นพื้นที่ตลาด ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่คนทั่วไปสามารถเข้าไปทำกิจกรรมได้ ขณะเดียวกันตลาดนัดในอีกหลาย ๆ ที่มีความสัมพันธ์และสนองตอบต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนในพื้นที่ปิดและห่างไกลจากย่านธุรกิจ อย่างชุมชนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ก็มีบทบาทหน้าที่ที่แฝงอยู่มากกว่าการเป็นเพียงหนึ่งกลไกในระบบเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าราคาประหยัด หากจะเปรียบเทียบกับตลาดอื่น ๆ ในพื้นที่สาธารณะภายนอกมหาวิทยาลัย อย่างมีนัยยะสำคัญ</p>ตลาด, ตลาดนัด, มานุษยวิทยา, สังคมวิทยา20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=42https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/054-cover.jpg
48อื่นๆการศึกษาและปริวรรตจารึก: จารึกพบที่อำเภอนาน้อย และ อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งรวบรวม ปริวรรต และศึกษาวิเคราะห์จารึกในพื้นที่อำเภอนาน้อยและอำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน พบจารึกจำนวนทั้งสิ้น 128 รายการ แบ่งเป็นพบที่อำเภอนาน้อย จำนวน 91 รายการ และอำเภอนาหมื่น จำนวน 37 รายการ จารึกมีอายุระหว่าง พ.ศ. 2258-2495 ซึ่งมีการบันทึกด้วยอักษร 3 ชนิด ได้แก่ อักษรธรรมล้านนา อักษรไทยนิเทศ และอักษรไทย ในส่วนเนื้อหาสาระพบว่าจารึกส่วนใหญ่มีเนื้อหาว่าด้วยการประกอบกุศลกิจกรรมในพระพุทธศาสนา เช่น การสร้างหรือการบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถาน การถวายพระพุทธรูป ผ้าพระบฏกลอง ฯลฯ ให้แก่วัด ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าศรัทธานั้นมีทั้งฝ่ายพระสงฆ์และฝ่ายฆราวาส ฝ่ายฆราวาสมีทุกชนชั้นในสังคม นับตั้งแต่เจ้าผู้ครองนครน่าน พระญาติ ข้าราชบริพาร และชาวบ้านทั่วไป</p>ปริวรรต, จารึก, นาน้อย, นาหมื่น, น่าน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=48https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/098-cover.jpg
48วารสารการศึกษาและปริวรรตจารึก: จารึกพบที่อำเภอนาน้อย และ อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งรวบรวม ปริวรรต และศึกษาวิเคราะห์จารึกในพื้นที่อำเภอนาน้อยและอำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน พบจารึกจำนวนทั้งสิ้น 128 รายการ แบ่งเป็นพบที่อำเภอนาน้อย จำนวน 91 รายการ และอำเภอนาหมื่น จำนวน 37 รายการ จารึกมีอายุระหว่าง พ.ศ. 2258-2495 ซึ่งมีการบันทึกด้วยอักษร 3 ชนิด ได้แก่ อักษรธรรมล้านนา อักษรไทยนิเทศ และอักษรไทย ในส่วนเนื้อหาสาระพบว่าจารึกส่วนใหญ่มีเนื้อหาว่าด้วยการประกอบกุศลกิจกรรมในพระพุทธศาสนา เช่น การสร้างหรือการบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถาน การถวายพระพุทธรูป ผ้าพระบฏกลอง ฯลฯ ให้แก่วัด ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าศรัทธานั้นมีทั้งฝ่ายพระสงฆ์และฝ่ายฆราวาส ฝ่ายฆราวาสมีทุกชนชั้นในสังคม นับตั้งแต่เจ้าผู้ครองนครน่าน พระญาติ ข้าราชบริพาร และชาวบ้านทั่วไป</p>ปริวรรต, จารึก, นาน้อย, นาหมื่น, น่าน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=48https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/098-cover.jpg
48บทความการศึกษาและปริวรรตจารึก: จารึกพบที่อำเภอนาน้อย และ อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งรวบรวม ปริวรรต และศึกษาวิเคราะห์จารึกในพื้นที่อำเภอนาน้อยและอำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน พบจารึกจำนวนทั้งสิ้น 128 รายการ แบ่งเป็นพบที่อำเภอนาน้อย จำนวน 91 รายการ และอำเภอนาหมื่น จำนวน 37 รายการ จารึกมีอายุระหว่าง พ.ศ. 2258-2495 ซึ่งมีการบันทึกด้วยอักษร 3 ชนิด ได้แก่ อักษรธรรมล้านนา อักษรไทยนิเทศ และอักษรไทย ในส่วนเนื้อหาสาระพบว่าจารึกส่วนใหญ่มีเนื้อหาว่าด้วยการประกอบกุศลกิจกรรมในพระพุทธศาสนา เช่น การสร้างหรือการบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถาน การถวายพระพุทธรูป ผ้าพระบฏกลอง ฯลฯ ให้แก่วัด ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าศรัทธานั้นมีทั้งฝ่ายพระสงฆ์และฝ่ายฆราวาส ฝ่ายฆราวาสมีทุกชนชั้นในสังคม นับตั้งแต่เจ้าผู้ครองนครน่าน พระญาติ ข้าราชบริพาร และชาวบ้านทั่วไป</p>ปริวรรต, จารึก, นาน้อย, นาหมื่น, น่าน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=48https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/098-cover.jpg
48วิทยานิพนธ์การศึกษาและปริวรรตจารึก: จารึกพบที่อำเภอนาน้อย และ อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งรวบรวม ปริวรรต และศึกษาวิเคราะห์จารึกในพื้นที่อำเภอนาน้อยและอำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน พบจารึกจำนวนทั้งสิ้น 128 รายการ แบ่งเป็นพบที่อำเภอนาน้อย จำนวน 91 รายการ และอำเภอนาหมื่น จำนวน 37 รายการ จารึกมีอายุระหว่าง พ.ศ. 2258-2495 ซึ่งมีการบันทึกด้วยอักษร 3 ชนิด ได้แก่ อักษรธรรมล้านนา อักษรไทยนิเทศ และอักษรไทย ในส่วนเนื้อหาสาระพบว่าจารึกส่วนใหญ่มีเนื้อหาว่าด้วยการประกอบกุศลกิจกรรมในพระพุทธศาสนา เช่น การสร้างหรือการบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถาน การถวายพระพุทธรูป ผ้าพระบฏกลอง ฯลฯ ให้แก่วัด ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าศรัทธานั้นมีทั้งฝ่ายพระสงฆ์และฝ่ายฆราวาส ฝ่ายฆราวาสมีทุกชนชั้นในสังคม นับตั้งแต่เจ้าผู้ครองนครน่าน พระญาติ ข้าราชบริพาร และชาวบ้านทั่วไป</p>ปริวรรต, จารึก, นาน้อย, นาหมื่น, น่าน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=48https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/098-cover.jpg
48รายงานงานวิจัยการศึกษาและปริวรรตจารึก: จารึกพบที่อำเภอนาน้อย และ อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งรวบรวม ปริวรรต และศึกษาวิเคราะห์จารึกในพื้นที่อำเภอนาน้อยและอำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน พบจารึกจำนวนทั้งสิ้น 128 รายการ แบ่งเป็นพบที่อำเภอนาน้อย จำนวน 91 รายการ และอำเภอนาหมื่น จำนวน 37 รายการ จารึกมีอายุระหว่าง พ.ศ. 2258-2495 ซึ่งมีการบันทึกด้วยอักษร 3 ชนิด ได้แก่ อักษรธรรมล้านนา อักษรไทยนิเทศ และอักษรไทย ในส่วนเนื้อหาสาระพบว่าจารึกส่วนใหญ่มีเนื้อหาว่าด้วยการประกอบกุศลกิจกรรมในพระพุทธศาสนา เช่น การสร้างหรือการบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถาน การถวายพระพุทธรูป ผ้าพระบฏกลอง ฯลฯ ให้แก่วัด ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าศรัทธานั้นมีทั้งฝ่ายพระสงฆ์และฝ่ายฆราวาส ฝ่ายฆราวาสมีทุกชนชั้นในสังคม นับตั้งแต่เจ้าผู้ครองนครน่าน พระญาติ ข้าราชบริพาร และชาวบ้านทั่วไป</p>ปริวรรต, จารึก, นาน้อย, นาหมื่น, น่าน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=48https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/098-cover.jpg
48รายงานการศึกษาและปริวรรตจารึก: จารึกพบที่อำเภอนาน้อย และ อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งรวบรวม ปริวรรต และศึกษาวิเคราะห์จารึกในพื้นที่อำเภอนาน้อยและอำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน พบจารึกจำนวนทั้งสิ้น 128 รายการ แบ่งเป็นพบที่อำเภอนาน้อย จำนวน 91 รายการ และอำเภอนาหมื่น จำนวน 37 รายการ จารึกมีอายุระหว่าง พ.ศ. 2258-2495 ซึ่งมีการบันทึกด้วยอักษร 3 ชนิด ได้แก่ อักษรธรรมล้านนา อักษรไทยนิเทศ และอักษรไทย ในส่วนเนื้อหาสาระพบว่าจารึกส่วนใหญ่มีเนื้อหาว่าด้วยการประกอบกุศลกิจกรรมในพระพุทธศาสนา เช่น การสร้างหรือการบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถาน การถวายพระพุทธรูป ผ้าพระบฏกลอง ฯลฯ ให้แก่วัด ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าศรัทธานั้นมีทั้งฝ่ายพระสงฆ์และฝ่ายฆราวาส ฝ่ายฆราวาสมีทุกชนชั้นในสังคม นับตั้งแต่เจ้าผู้ครองนครน่าน พระญาติ ข้าราชบริพาร และชาวบ้านทั่วไป</p>ปริวรรต, จารึก, นาน้อย, นาหมื่น, น่าน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=48https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/098-cover.jpg
48หนังสือการศึกษาและปริวรรตจารึก: จารึกพบที่อำเภอนาน้อย และ อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งรวบรวม ปริวรรต และศึกษาวิเคราะห์จารึกในพื้นที่อำเภอนาน้อยและอำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน พบจารึกจำนวนทั้งสิ้น 128 รายการ แบ่งเป็นพบที่อำเภอนาน้อย จำนวน 91 รายการ และอำเภอนาหมื่น จำนวน 37 รายการ จารึกมีอายุระหว่าง พ.ศ. 2258-2495 ซึ่งมีการบันทึกด้วยอักษร 3 ชนิด ได้แก่ อักษรธรรมล้านนา อักษรไทยนิเทศ และอักษรไทย ในส่วนเนื้อหาสาระพบว่าจารึกส่วนใหญ่มีเนื้อหาว่าด้วยการประกอบกุศลกิจกรรมในพระพุทธศาสนา เช่น การสร้างหรือการบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถาน การถวายพระพุทธรูป ผ้าพระบฏกลอง ฯลฯ ให้แก่วัด ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าศรัทธานั้นมีทั้งฝ่ายพระสงฆ์และฝ่ายฆราวาส ฝ่ายฆราวาสมีทุกชนชั้นในสังคม นับตั้งแต่เจ้าผู้ครองนครน่าน พระญาติ ข้าราชบริพาร และชาวบ้านทั่วไป</p>ปริวรรต, จารึก, นาน้อย, นาหมื่น, น่าน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=48https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/098-cover.jpg
48จุลสารการศึกษาและปริวรรตจารึก: จารึกพบที่อำเภอนาน้อย และ อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งรวบรวม ปริวรรต และศึกษาวิเคราะห์จารึกในพื้นที่อำเภอนาน้อยและอำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน พบจารึกจำนวนทั้งสิ้น 128 รายการ แบ่งเป็นพบที่อำเภอนาน้อย จำนวน 91 รายการ และอำเภอนาหมื่น จำนวน 37 รายการ จารึกมีอายุระหว่าง พ.ศ. 2258-2495 ซึ่งมีการบันทึกด้วยอักษร 3 ชนิด ได้แก่ อักษรธรรมล้านนา อักษรไทยนิเทศ และอักษรไทย ในส่วนเนื้อหาสาระพบว่าจารึกส่วนใหญ่มีเนื้อหาว่าด้วยการประกอบกุศลกิจกรรมในพระพุทธศาสนา เช่น การสร้างหรือการบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถาน การถวายพระพุทธรูป ผ้าพระบฏกลอง ฯลฯ ให้แก่วัด ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าศรัทธานั้นมีทั้งฝ่ายพระสงฆ์และฝ่ายฆราวาส ฝ่ายฆราวาสมีทุกชนชั้นในสังคม นับตั้งแต่เจ้าผู้ครองนครน่าน พระญาติ ข้าราชบริพาร และชาวบ้านทั่วไป</p>ปริวรรต, จารึก, นาน้อย, นาหมื่น, น่าน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=48https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/098-cover.jpg
48สูจิบัตรการศึกษาและปริวรรตจารึก: จารึกพบที่อำเภอนาน้อย และ อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งรวบรวม ปริวรรต และศึกษาวิเคราะห์จารึกในพื้นที่อำเภอนาน้อยและอำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน พบจารึกจำนวนทั้งสิ้น 128 รายการ แบ่งเป็นพบที่อำเภอนาน้อย จำนวน 91 รายการ และอำเภอนาหมื่น จำนวน 37 รายการ จารึกมีอายุระหว่าง พ.ศ. 2258-2495 ซึ่งมีการบันทึกด้วยอักษร 3 ชนิด ได้แก่ อักษรธรรมล้านนา อักษรไทยนิเทศ และอักษรไทย ในส่วนเนื้อหาสาระพบว่าจารึกส่วนใหญ่มีเนื้อหาว่าด้วยการประกอบกุศลกิจกรรมในพระพุทธศาสนา เช่น การสร้างหรือการบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถาน การถวายพระพุทธรูป ผ้าพระบฏกลอง ฯลฯ ให้แก่วัด ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าศรัทธานั้นมีทั้งฝ่ายพระสงฆ์และฝ่ายฆราวาส ฝ่ายฆราวาสมีทุกชนชั้นในสังคม นับตั้งแต่เจ้าผู้ครองนครน่าน พระญาติ ข้าราชบริพาร และชาวบ้านทั่วไป</p>ปริวรรต, จารึก, นาน้อย, นาหมื่น, น่าน20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=48https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/098-cover.jpg
55อื่นๆกลุ่มชาติพันธุ์ กรณีกลุ่มซาไกและเซมังหรือมานิในภาคใต้: จังหวัดพัทลุง สตูลและตรัง<p>
"มานิ" จัดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์นิกริโต อพยพเข้ามาอยู่ในแหลมมลายูภายหลังชนเผ่าเซมัง แต่ก็นับว่ามานิเป็นกลุ่มมนุษยชาติเก่าแก่ที่มีถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ตอนใต้ของประเทศไทย ตลอดจนไปถึงประเทศมาเลเซีย และบางส่วนในประเทศอินโดนีเซียมาก่อนกลุ่มอื่น คนกลุ่มนี้นับวันจะลดน้อยลง เพราะต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ยากที่จะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทั้งสภาพการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ความเป็นเมืองที่บุกรุกเข้าไปในป่า แหล่งที่อยู่อาศัยของมานิกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคใต้ เช่น จังหวัดยะลา นราธิวาส สงขลา พัทลุง สตูลและตรัง ซึ่งงานวิจัยนำเสนอข้อมูลพื้นฐานกลุ่มมานิในพื้นที่เขตป่าเทือกเขาบรรทัด 3 จังหวัด คือ พัทลุง ตรังและสตูล </p>
<div>
</div>กลุ่มชาติพันธุ์, ซาไก, เซมัง, มานิ, ภาคใต้,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=55https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/190-cover.jpg
55วารสารกลุ่มชาติพันธุ์ กรณีกลุ่มซาไกและเซมังหรือมานิในภาคใต้: จังหวัดพัทลุง สตูลและตรัง<p>
"มานิ" จัดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์นิกริโต อพยพเข้ามาอยู่ในแหลมมลายูภายหลังชนเผ่าเซมัง แต่ก็นับว่ามานิเป็นกลุ่มมนุษยชาติเก่าแก่ที่มีถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ตอนใต้ของประเทศไทย ตลอดจนไปถึงประเทศมาเลเซีย และบางส่วนในประเทศอินโดนีเซียมาก่อนกลุ่มอื่น คนกลุ่มนี้นับวันจะลดน้อยลง เพราะต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ยากที่จะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทั้งสภาพการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ความเป็นเมืองที่บุกรุกเข้าไปในป่า แหล่งที่อยู่อาศัยของมานิกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคใต้ เช่น จังหวัดยะลา นราธิวาส สงขลา พัทลุง สตูลและตรัง ซึ่งงานวิจัยนำเสนอข้อมูลพื้นฐานกลุ่มมานิในพื้นที่เขตป่าเทือกเขาบรรทัด 3 จังหวัด คือ พัทลุง ตรังและสตูล </p>
<div>
</div>กลุ่มชาติพันธุ์, ซาไก, เซมัง, มานิ, ภาคใต้,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=55https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/190-cover.jpg
55บทความกลุ่มชาติพันธุ์ กรณีกลุ่มซาไกและเซมังหรือมานิในภาคใต้: จังหวัดพัทลุง สตูลและตรัง<p>
"มานิ" จัดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์นิกริโต อพยพเข้ามาอยู่ในแหลมมลายูภายหลังชนเผ่าเซมัง แต่ก็นับว่ามานิเป็นกลุ่มมนุษยชาติเก่าแก่ที่มีถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ตอนใต้ของประเทศไทย ตลอดจนไปถึงประเทศมาเลเซีย และบางส่วนในประเทศอินโดนีเซียมาก่อนกลุ่มอื่น คนกลุ่มนี้นับวันจะลดน้อยลง เพราะต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ยากที่จะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทั้งสภาพการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ความเป็นเมืองที่บุกรุกเข้าไปในป่า แหล่งที่อยู่อาศัยของมานิกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคใต้ เช่น จังหวัดยะลา นราธิวาส สงขลา พัทลุง สตูลและตรัง ซึ่งงานวิจัยนำเสนอข้อมูลพื้นฐานกลุ่มมานิในพื้นที่เขตป่าเทือกเขาบรรทัด 3 จังหวัด คือ พัทลุง ตรังและสตูล </p>
<div>
</div>กลุ่มชาติพันธุ์, ซาไก, เซมัง, มานิ, ภาคใต้,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=55https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/190-cover.jpg
55วิทยานิพนธ์กลุ่มชาติพันธุ์ กรณีกลุ่มซาไกและเซมังหรือมานิในภาคใต้: จังหวัดพัทลุง สตูลและตรัง<p>
"มานิ" จัดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์นิกริโต อพยพเข้ามาอยู่ในแหลมมลายูภายหลังชนเผ่าเซมัง แต่ก็นับว่ามานิเป็นกลุ่มมนุษยชาติเก่าแก่ที่มีถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ตอนใต้ของประเทศไทย ตลอดจนไปถึงประเทศมาเลเซีย และบางส่วนในประเทศอินโดนีเซียมาก่อนกลุ่มอื่น คนกลุ่มนี้นับวันจะลดน้อยลง เพราะต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ยากที่จะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทั้งสภาพการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ความเป็นเมืองที่บุกรุกเข้าไปในป่า แหล่งที่อยู่อาศัยของมานิกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคใต้ เช่น จังหวัดยะลา นราธิวาส สงขลา พัทลุง สตูลและตรัง ซึ่งงานวิจัยนำเสนอข้อมูลพื้นฐานกลุ่มมานิในพื้นที่เขตป่าเทือกเขาบรรทัด 3 จังหวัด คือ พัทลุง ตรังและสตูล </p>
<div>
</div>กลุ่มชาติพันธุ์, ซาไก, เซมัง, มานิ, ภาคใต้,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=55https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/190-cover.jpg
55รายงานงานวิจัยกลุ่มชาติพันธุ์ กรณีกลุ่มซาไกและเซมังหรือมานิในภาคใต้: จังหวัดพัทลุง สตูลและตรัง<p>
"มานิ" จัดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์นิกริโต อพยพเข้ามาอยู่ในแหลมมลายูภายหลังชนเผ่าเซมัง แต่ก็นับว่ามานิเป็นกลุ่มมนุษยชาติเก่าแก่ที่มีถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ตอนใต้ของประเทศไทย ตลอดจนไปถึงประเทศมาเลเซีย และบางส่วนในประเทศอินโดนีเซียมาก่อนกลุ่มอื่น คนกลุ่มนี้นับวันจะลดน้อยลง เพราะต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ยากที่จะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทั้งสภาพการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ความเป็นเมืองที่บุกรุกเข้าไปในป่า แหล่งที่อยู่อาศัยของมานิกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคใต้ เช่น จังหวัดยะลา นราธิวาส สงขลา พัทลุง สตูลและตรัง ซึ่งงานวิจัยนำเสนอข้อมูลพื้นฐานกลุ่มมานิในพื้นที่เขตป่าเทือกเขาบรรทัด 3 จังหวัด คือ พัทลุง ตรังและสตูล </p>
<div>
</div>กลุ่มชาติพันธุ์, ซาไก, เซมัง, มานิ, ภาคใต้,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=55https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/190-cover.jpg
55รายงานกลุ่มชาติพันธุ์ กรณีกลุ่มซาไกและเซมังหรือมานิในภาคใต้: จังหวัดพัทลุง สตูลและตรัง<p>
"มานิ" จัดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์นิกริโต อพยพเข้ามาอยู่ในแหลมมลายูภายหลังชนเผ่าเซมัง แต่ก็นับว่ามานิเป็นกลุ่มมนุษยชาติเก่าแก่ที่มีถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ตอนใต้ของประเทศไทย ตลอดจนไปถึงประเทศมาเลเซีย และบางส่วนในประเทศอินโดนีเซียมาก่อนกลุ่มอื่น คนกลุ่มนี้นับวันจะลดน้อยลง เพราะต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ยากที่จะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทั้งสภาพการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ความเป็นเมืองที่บุกรุกเข้าไปในป่า แหล่งที่อยู่อาศัยของมานิกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคใต้ เช่น จังหวัดยะลา นราธิวาส สงขลา พัทลุง สตูลและตรัง ซึ่งงานวิจัยนำเสนอข้อมูลพื้นฐานกลุ่มมานิในพื้นที่เขตป่าเทือกเขาบรรทัด 3 จังหวัด คือ พัทลุง ตรังและสตูล </p>
<div>
</div>กลุ่มชาติพันธุ์, ซาไก, เซมัง, มานิ, ภาคใต้,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=55https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/190-cover.jpg
55หนังสือกลุ่มชาติพันธุ์ กรณีกลุ่มซาไกและเซมังหรือมานิในภาคใต้: จังหวัดพัทลุง สตูลและตรัง<p>
"มานิ" จัดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์นิกริโต อพยพเข้ามาอยู่ในแหลมมลายูภายหลังชนเผ่าเซมัง แต่ก็นับว่ามานิเป็นกลุ่มมนุษยชาติเก่าแก่ที่มีถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ตอนใต้ของประเทศไทย ตลอดจนไปถึงประเทศมาเลเซีย และบางส่วนในประเทศอินโดนีเซียมาก่อนกลุ่มอื่น คนกลุ่มนี้นับวันจะลดน้อยลง เพราะต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ยากที่จะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทั้งสภาพการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ความเป็นเมืองที่บุกรุกเข้าไปในป่า แหล่งที่อยู่อาศัยของมานิกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคใต้ เช่น จังหวัดยะลา นราธิวาส สงขลา พัทลุง สตูลและตรัง ซึ่งงานวิจัยนำเสนอข้อมูลพื้นฐานกลุ่มมานิในพื้นที่เขตป่าเทือกเขาบรรทัด 3 จังหวัด คือ พัทลุง ตรังและสตูล </p>
<div>
</div>กลุ่มชาติพันธุ์, ซาไก, เซมัง, มานิ, ภาคใต้,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=55https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/190-cover.jpg
55จุลสารกลุ่มชาติพันธุ์ กรณีกลุ่มซาไกและเซมังหรือมานิในภาคใต้: จังหวัดพัทลุง สตูลและตรัง<p>
"มานิ" จัดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์นิกริโต อพยพเข้ามาอยู่ในแหลมมลายูภายหลังชนเผ่าเซมัง แต่ก็นับว่ามานิเป็นกลุ่มมนุษยชาติเก่าแก่ที่มีถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ตอนใต้ของประเทศไทย ตลอดจนไปถึงประเทศมาเลเซีย และบางส่วนในประเทศอินโดนีเซียมาก่อนกลุ่มอื่น คนกลุ่มนี้นับวันจะลดน้อยลง เพราะต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ยากที่จะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทั้งสภาพการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ความเป็นเมืองที่บุกรุกเข้าไปในป่า แหล่งที่อยู่อาศัยของมานิกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคใต้ เช่น จังหวัดยะลา นราธิวาส สงขลา พัทลุง สตูลและตรัง ซึ่งงานวิจัยนำเสนอข้อมูลพื้นฐานกลุ่มมานิในพื้นที่เขตป่าเทือกเขาบรรทัด 3 จังหวัด คือ พัทลุง ตรังและสตูล </p>
<div>
</div>กลุ่มชาติพันธุ์, ซาไก, เซมัง, มานิ, ภาคใต้,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=55https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/190-cover.jpg
55สูจิบัตรกลุ่มชาติพันธุ์ กรณีกลุ่มซาไกและเซมังหรือมานิในภาคใต้: จังหวัดพัทลุง สตูลและตรัง<p>
"มานิ" จัดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์นิกริโต อพยพเข้ามาอยู่ในแหลมมลายูภายหลังชนเผ่าเซมัง แต่ก็นับว่ามานิเป็นกลุ่มมนุษยชาติเก่าแก่ที่มีถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ตอนใต้ของประเทศไทย ตลอดจนไปถึงประเทศมาเลเซีย และบางส่วนในประเทศอินโดนีเซียมาก่อนกลุ่มอื่น คนกลุ่มนี้นับวันจะลดน้อยลง เพราะต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ยากที่จะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทั้งสภาพการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ความเป็นเมืองที่บุกรุกเข้าไปในป่า แหล่งที่อยู่อาศัยของมานิกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคใต้ เช่น จังหวัดยะลา นราธิวาส สงขลา พัทลุง สตูลและตรัง ซึ่งงานวิจัยนำเสนอข้อมูลพื้นฐานกลุ่มมานิในพื้นที่เขตป่าเทือกเขาบรรทัด 3 จังหวัด คือ พัทลุง ตรังและสตูล </p>
<div>
</div>กลุ่มชาติพันธุ์, ซาไก, เซมัง, มานิ, ภาคใต้,20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=55https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/190-cover.jpg
56อื่นๆการศึกษาแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย<p>
งานวิจัยเรื่องนี้เป็นไปเพื่อรวบรวมองค์ความรู้แหล่งจัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีสำหรับเป็นฐานข้อมูลให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยเฉพาะฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยและฐานข้อมูลแหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย นอกจากนี้ยังศึกษาข้อมูลบริบทแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้เกิดความเข้าใจพื้นที่เหล่านั้นได้ชัดเจนขึ้น ผู้ศึกษาวิจัยได้เลือกสำรวจข้อมูลในเขตภาคกลาง ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นในเขตภาคกลางมีจำนวนทั้งสิ้น 12 แห่ง อาทิ บ้านโปรตุเกส จังหวัดอยุธยา เตาแม่น้ำน้อย จังหวัดสิงห์บุรี หนองราชวัตร จังหวัดสุพรรณบุรี</p>แหล่งเรียนรู้, โบราณคดี, โบราณวัตถุ, หลุมขุดค้นทางโบราณคดี20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=56https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/194-cover.jpg
56วารสารการศึกษาแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย<p>
งานวิจัยเรื่องนี้เป็นไปเพื่อรวบรวมองค์ความรู้แหล่งจัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีสำหรับเป็นฐานข้อมูลให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยเฉพาะฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยและฐานข้อมูลแหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย นอกจากนี้ยังศึกษาข้อมูลบริบทแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้เกิดความเข้าใจพื้นที่เหล่านั้นได้ชัดเจนขึ้น ผู้ศึกษาวิจัยได้เลือกสำรวจข้อมูลในเขตภาคกลาง ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นในเขตภาคกลางมีจำนวนทั้งสิ้น 12 แห่ง อาทิ บ้านโปรตุเกส จังหวัดอยุธยา เตาแม่น้ำน้อย จังหวัดสิงห์บุรี หนองราชวัตร จังหวัดสุพรรณบุรี</p>แหล่งเรียนรู้, โบราณคดี, โบราณวัตถุ, หลุมขุดค้นทางโบราณคดี20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=56https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/194-cover.jpg
56บทความการศึกษาแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย<p>
งานวิจัยเรื่องนี้เป็นไปเพื่อรวบรวมองค์ความรู้แหล่งจัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีสำหรับเป็นฐานข้อมูลให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยเฉพาะฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยและฐานข้อมูลแหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย นอกจากนี้ยังศึกษาข้อมูลบริบทแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้เกิดความเข้าใจพื้นที่เหล่านั้นได้ชัดเจนขึ้น ผู้ศึกษาวิจัยได้เลือกสำรวจข้อมูลในเขตภาคกลาง ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นในเขตภาคกลางมีจำนวนทั้งสิ้น 12 แห่ง อาทิ บ้านโปรตุเกส จังหวัดอยุธยา เตาแม่น้ำน้อย จังหวัดสิงห์บุรี หนองราชวัตร จังหวัดสุพรรณบุรี</p>แหล่งเรียนรู้, โบราณคดี, โบราณวัตถุ, หลุมขุดค้นทางโบราณคดี20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=56https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/194-cover.jpg
56วิทยานิพนธ์การศึกษาแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย<p>
งานวิจัยเรื่องนี้เป็นไปเพื่อรวบรวมองค์ความรู้แหล่งจัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีสำหรับเป็นฐานข้อมูลให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยเฉพาะฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยและฐานข้อมูลแหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย นอกจากนี้ยังศึกษาข้อมูลบริบทแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้เกิดความเข้าใจพื้นที่เหล่านั้นได้ชัดเจนขึ้น ผู้ศึกษาวิจัยได้เลือกสำรวจข้อมูลในเขตภาคกลาง ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นในเขตภาคกลางมีจำนวนทั้งสิ้น 12 แห่ง อาทิ บ้านโปรตุเกส จังหวัดอยุธยา เตาแม่น้ำน้อย จังหวัดสิงห์บุรี หนองราชวัตร จังหวัดสุพรรณบุรี</p>แหล่งเรียนรู้, โบราณคดี, โบราณวัตถุ, หลุมขุดค้นทางโบราณคดี20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=56https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/194-cover.jpg
56รายงานงานวิจัยการศึกษาแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย<p>
งานวิจัยเรื่องนี้เป็นไปเพื่อรวบรวมองค์ความรู้แหล่งจัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีสำหรับเป็นฐานข้อมูลให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยเฉพาะฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยและฐานข้อมูลแหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย นอกจากนี้ยังศึกษาข้อมูลบริบทแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้เกิดความเข้าใจพื้นที่เหล่านั้นได้ชัดเจนขึ้น ผู้ศึกษาวิจัยได้เลือกสำรวจข้อมูลในเขตภาคกลาง ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นในเขตภาคกลางมีจำนวนทั้งสิ้น 12 แห่ง อาทิ บ้านโปรตุเกส จังหวัดอยุธยา เตาแม่น้ำน้อย จังหวัดสิงห์บุรี หนองราชวัตร จังหวัดสุพรรณบุรี</p>แหล่งเรียนรู้, โบราณคดี, โบราณวัตถุ, หลุมขุดค้นทางโบราณคดี20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=56https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/194-cover.jpg
56รายงานการศึกษาแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย<p>
งานวิจัยเรื่องนี้เป็นไปเพื่อรวบรวมองค์ความรู้แหล่งจัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีสำหรับเป็นฐานข้อมูลให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยเฉพาะฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยและฐานข้อมูลแหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย นอกจากนี้ยังศึกษาข้อมูลบริบทแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้เกิดความเข้าใจพื้นที่เหล่านั้นได้ชัดเจนขึ้น ผู้ศึกษาวิจัยได้เลือกสำรวจข้อมูลในเขตภาคกลาง ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นในเขตภาคกลางมีจำนวนทั้งสิ้น 12 แห่ง อาทิ บ้านโปรตุเกส จังหวัดอยุธยา เตาแม่น้ำน้อย จังหวัดสิงห์บุรี หนองราชวัตร จังหวัดสุพรรณบุรี</p>แหล่งเรียนรู้, โบราณคดี, โบราณวัตถุ, หลุมขุดค้นทางโบราณคดี20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=56https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/194-cover.jpg
56หนังสือการศึกษาแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย<p>
งานวิจัยเรื่องนี้เป็นไปเพื่อรวบรวมองค์ความรู้แหล่งจัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีสำหรับเป็นฐานข้อมูลให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยเฉพาะฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยและฐานข้อมูลแหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย นอกจากนี้ยังศึกษาข้อมูลบริบทแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้เกิดความเข้าใจพื้นที่เหล่านั้นได้ชัดเจนขึ้น ผู้ศึกษาวิจัยได้เลือกสำรวจข้อมูลในเขตภาคกลาง ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นในเขตภาคกลางมีจำนวนทั้งสิ้น 12 แห่ง อาทิ บ้านโปรตุเกส จังหวัดอยุธยา เตาแม่น้ำน้อย จังหวัดสิงห์บุรี หนองราชวัตร จังหวัดสุพรรณบุรี</p>แหล่งเรียนรู้, โบราณคดี, โบราณวัตถุ, หลุมขุดค้นทางโบราณคดี20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=56https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/194-cover.jpg
56จุลสารการศึกษาแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย<p>
งานวิจัยเรื่องนี้เป็นไปเพื่อรวบรวมองค์ความรู้แหล่งจัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีสำหรับเป็นฐานข้อมูลให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยเฉพาะฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยและฐานข้อมูลแหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย นอกจากนี้ยังศึกษาข้อมูลบริบทแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้เกิดความเข้าใจพื้นที่เหล่านั้นได้ชัดเจนขึ้น ผู้ศึกษาวิจัยได้เลือกสำรวจข้อมูลในเขตภาคกลาง ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นในเขตภาคกลางมีจำนวนทั้งสิ้น 12 แห่ง อาทิ บ้านโปรตุเกส จังหวัดอยุธยา เตาแม่น้ำน้อย จังหวัดสิงห์บุรี หนองราชวัตร จังหวัดสุพรรณบุรี</p>แหล่งเรียนรู้, โบราณคดี, โบราณวัตถุ, หลุมขุดค้นทางโบราณคดี20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=56https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/194-cover.jpg
56สูจิบัตรการศึกษาแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย<p>
งานวิจัยเรื่องนี้เป็นไปเพื่อรวบรวมองค์ความรู้แหล่งจัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีสำหรับเป็นฐานข้อมูลให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยเฉพาะฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยและฐานข้อมูลแหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย นอกจากนี้ยังศึกษาข้อมูลบริบทแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้เกิดความเข้าใจพื้นที่เหล่านั้นได้ชัดเจนขึ้น ผู้ศึกษาวิจัยได้เลือกสำรวจข้อมูลในเขตภาคกลาง ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงโบราณวัตถุในหลุมขุดค้นในเขตภาคกลางมีจำนวนทั้งสิ้น 12 แห่ง อาทิ บ้านโปรตุเกส จังหวัดอยุธยา เตาแม่น้ำน้อย จังหวัดสิงห์บุรี หนองราชวัตร จังหวัดสุพรรณบุรี</p>แหล่งเรียนรู้, โบราณคดี, โบราณวัตถุ, หลุมขุดค้นทางโบราณคดี20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=56https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/194-cover.jpg
57อื่นๆพลวัตทางชาติพันธุ์ของคนพลัดถิ่นชายแดนตะวันออก กรณีศึกษา กลุ่มชาติพันธุ์ กะซอง และซำเร<p>
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน นอกจากส่งผลทางการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อประชาคมชาติพันธุ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์จะเป็นประเด็นปัญหาท้าทายที่นำมาทบทวนและพิจารณาในบริบทที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ทั้งในรูปแบบนโยบายการกำหนดพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มชาติพันธุ์พลัดถิ่น ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ทางชาติพันธุ์ของโลกที่เกิดขึ้นมายาวนาน โดยงานศึกษาวิจัยนี้มุ่งศึกษาสภาพสังคมวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่ม "กะซอง" และ "ซำเร" ท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจการเมืองบริเวณพื้นที่ชายแดนตะวันออกของไทย โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐดำเนินนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตราด ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอันจะนำมาซึ่งความเข้าใจต่อปรากฏการณ์ร่วมสมัยของชุมชนประชาคมชาติพันธุ์ และพัฒนาแนวนโยบายทางวัฒนธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่อไป</p>กะซอง, ซำเร, งานผีแม่มด, สำนึกทางชาติพันธุ์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=57https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/200-cover.jpg
57วารสารพลวัตทางชาติพันธุ์ของคนพลัดถิ่นชายแดนตะวันออก กรณีศึกษา กลุ่มชาติพันธุ์ กะซอง และซำเร<p>
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน นอกจากส่งผลทางการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อประชาคมชาติพันธุ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์จะเป็นประเด็นปัญหาท้าทายที่นำมาทบทวนและพิจารณาในบริบทที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ทั้งในรูปแบบนโยบายการกำหนดพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มชาติพันธุ์พลัดถิ่น ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ทางชาติพันธุ์ของโลกที่เกิดขึ้นมายาวนาน โดยงานศึกษาวิจัยนี้มุ่งศึกษาสภาพสังคมวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่ม "กะซอง" และ "ซำเร" ท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจการเมืองบริเวณพื้นที่ชายแดนตะวันออกของไทย โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐดำเนินนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตราด ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอันจะนำมาซึ่งความเข้าใจต่อปรากฏการณ์ร่วมสมัยของชุมชนประชาคมชาติพันธุ์ และพัฒนาแนวนโยบายทางวัฒนธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่อไป</p>กะซอง, ซำเร, งานผีแม่มด, สำนึกทางชาติพันธุ์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=57https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/200-cover.jpg
57บทความพลวัตทางชาติพันธุ์ของคนพลัดถิ่นชายแดนตะวันออก กรณีศึกษา กลุ่มชาติพันธุ์ กะซอง และซำเร<p>
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน นอกจากส่งผลทางการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อประชาคมชาติพันธุ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์จะเป็นประเด็นปัญหาท้าทายที่นำมาทบทวนและพิจารณาในบริบทที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ทั้งในรูปแบบนโยบายการกำหนดพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มชาติพันธุ์พลัดถิ่น ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ทางชาติพันธุ์ของโลกที่เกิดขึ้นมายาวนาน โดยงานศึกษาวิจัยนี้มุ่งศึกษาสภาพสังคมวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่ม "กะซอง" และ "ซำเร" ท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจการเมืองบริเวณพื้นที่ชายแดนตะวันออกของไทย โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐดำเนินนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตราด ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอันจะนำมาซึ่งความเข้าใจต่อปรากฏการณ์ร่วมสมัยของชุมชนประชาคมชาติพันธุ์ และพัฒนาแนวนโยบายทางวัฒนธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่อไป</p>กะซอง, ซำเร, งานผีแม่มด, สำนึกทางชาติพันธุ์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=57https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/200-cover.jpg
57วิทยานิพนธ์พลวัตทางชาติพันธุ์ของคนพลัดถิ่นชายแดนตะวันออก กรณีศึกษา กลุ่มชาติพันธุ์ กะซอง และซำเร<p>
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน นอกจากส่งผลทางการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อประชาคมชาติพันธุ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์จะเป็นประเด็นปัญหาท้าทายที่นำมาทบทวนและพิจารณาในบริบทที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ทั้งในรูปแบบนโยบายการกำหนดพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มชาติพันธุ์พลัดถิ่น ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ทางชาติพันธุ์ของโลกที่เกิดขึ้นมายาวนาน โดยงานศึกษาวิจัยนี้มุ่งศึกษาสภาพสังคมวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่ม "กะซอง" และ "ซำเร" ท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจการเมืองบริเวณพื้นที่ชายแดนตะวันออกของไทย โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐดำเนินนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตราด ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอันจะนำมาซึ่งความเข้าใจต่อปรากฏการณ์ร่วมสมัยของชุมชนประชาคมชาติพันธุ์ และพัฒนาแนวนโยบายทางวัฒนธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่อไป</p>กะซอง, ซำเร, งานผีแม่มด, สำนึกทางชาติพันธุ์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=57https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/200-cover.jpg
57รายงานงานวิจัยพลวัตทางชาติพันธุ์ของคนพลัดถิ่นชายแดนตะวันออก กรณีศึกษา กลุ่มชาติพันธุ์ กะซอง และซำเร<p>
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน นอกจากส่งผลทางการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อประชาคมชาติพันธุ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์จะเป็นประเด็นปัญหาท้าทายที่นำมาทบทวนและพิจารณาในบริบทที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ทั้งในรูปแบบนโยบายการกำหนดพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มชาติพันธุ์พลัดถิ่น ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ทางชาติพันธุ์ของโลกที่เกิดขึ้นมายาวนาน โดยงานศึกษาวิจัยนี้มุ่งศึกษาสภาพสังคมวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่ม "กะซอง" และ "ซำเร" ท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจการเมืองบริเวณพื้นที่ชายแดนตะวันออกของไทย โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐดำเนินนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตราด ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอันจะนำมาซึ่งความเข้าใจต่อปรากฏการณ์ร่วมสมัยของชุมชนประชาคมชาติพันธุ์ และพัฒนาแนวนโยบายทางวัฒนธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่อไป</p>กะซอง, ซำเร, งานผีแม่มด, สำนึกทางชาติพันธุ์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=57https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/200-cover.jpg
57รายงานพลวัตทางชาติพันธุ์ของคนพลัดถิ่นชายแดนตะวันออก กรณีศึกษา กลุ่มชาติพันธุ์ กะซอง และซำเร<p>
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน นอกจากส่งผลทางการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อประชาคมชาติพันธุ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์จะเป็นประเด็นปัญหาท้าทายที่นำมาทบทวนและพิจารณาในบริบทที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ทั้งในรูปแบบนโยบายการกำหนดพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มชาติพันธุ์พลัดถิ่น ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ทางชาติพันธุ์ของโลกที่เกิดขึ้นมายาวนาน โดยงานศึกษาวิจัยนี้มุ่งศึกษาสภาพสังคมวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่ม "กะซอง" และ "ซำเร" ท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจการเมืองบริเวณพื้นที่ชายแดนตะวันออกของไทย โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐดำเนินนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตราด ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอันจะนำมาซึ่งความเข้าใจต่อปรากฏการณ์ร่วมสมัยของชุมชนประชาคมชาติพันธุ์ และพัฒนาแนวนโยบายทางวัฒนธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่อไป</p>กะซอง, ซำเร, งานผีแม่มด, สำนึกทางชาติพันธุ์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=57https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/200-cover.jpg
57หนังสือพลวัตทางชาติพันธุ์ของคนพลัดถิ่นชายแดนตะวันออก กรณีศึกษา กลุ่มชาติพันธุ์ กะซอง และซำเร<p>
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน นอกจากส่งผลทางการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อประชาคมชาติพันธุ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์จะเป็นประเด็นปัญหาท้าทายที่นำมาทบทวนและพิจารณาในบริบทที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ทั้งในรูปแบบนโยบายการกำหนดพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มชาติพันธุ์พลัดถิ่น ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ทางชาติพันธุ์ของโลกที่เกิดขึ้นมายาวนาน โดยงานศึกษาวิจัยนี้มุ่งศึกษาสภาพสังคมวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่ม "กะซอง" และ "ซำเร" ท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจการเมืองบริเวณพื้นที่ชายแดนตะวันออกของไทย โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐดำเนินนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตราด ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอันจะนำมาซึ่งความเข้าใจต่อปรากฏการณ์ร่วมสมัยของชุมชนประชาคมชาติพันธุ์ และพัฒนาแนวนโยบายทางวัฒนธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่อไป</p>กะซอง, ซำเร, งานผีแม่มด, สำนึกทางชาติพันธุ์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=57https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/200-cover.jpg
57จุลสารพลวัตทางชาติพันธุ์ของคนพลัดถิ่นชายแดนตะวันออก กรณีศึกษา กลุ่มชาติพันธุ์ กะซอง และซำเร<p>
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน นอกจากส่งผลทางการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อประชาคมชาติพันธุ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์จะเป็นประเด็นปัญหาท้าทายที่นำมาทบทวนและพิจารณาในบริบทที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ทั้งในรูปแบบนโยบายการกำหนดพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มชาติพันธุ์พลัดถิ่น ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ทางชาติพันธุ์ของโลกที่เกิดขึ้นมายาวนาน โดยงานศึกษาวิจัยนี้มุ่งศึกษาสภาพสังคมวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่ม "กะซอง" และ "ซำเร" ท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจการเมืองบริเวณพื้นที่ชายแดนตะวันออกของไทย โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐดำเนินนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตราด ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอันจะนำมาซึ่งความเข้าใจต่อปรากฏการณ์ร่วมสมัยของชุมชนประชาคมชาติพันธุ์ และพัฒนาแนวนโยบายทางวัฒนธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่อไป</p>กะซอง, ซำเร, งานผีแม่มด, สำนึกทางชาติพันธุ์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=57https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/200-cover.jpg
57สูจิบัตรพลวัตทางชาติพันธุ์ของคนพลัดถิ่นชายแดนตะวันออก กรณีศึกษา กลุ่มชาติพันธุ์ กะซอง และซำเร<p>
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน นอกจากส่งผลทางการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อประชาคมชาติพันธุ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์จะเป็นประเด็นปัญหาท้าทายที่นำมาทบทวนและพิจารณาในบริบทที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ทั้งในรูปแบบนโยบายการกำหนดพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มชาติพันธุ์พลัดถิ่น ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ทางชาติพันธุ์ของโลกที่เกิดขึ้นมายาวนาน โดยงานศึกษาวิจัยนี้มุ่งศึกษาสภาพสังคมวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่ม "กะซอง" และ "ซำเร" ท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจการเมืองบริเวณพื้นที่ชายแดนตะวันออกของไทย โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐดำเนินนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตราด ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอันจะนำมาซึ่งความเข้าใจต่อปรากฏการณ์ร่วมสมัยของชุมชนประชาคมชาติพันธุ์ และพัฒนาแนวนโยบายทางวัฒนธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่อไป</p>กะซอง, ซำเร, งานผีแม่มด, สำนึกทางชาติพันธุ์20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=57https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/200-cover.jpg
61อื่นๆขัดกันฉันมิตร: คู่มือทักษะวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนใต้<p>
"ทักษะวัฒนธรรม" คือหนังสือคู่มือรูปแบบกึ่งนิยาย โดยเขียนเป็นเรื่องเล่าของเด็กสามคนจากสามครอบครัว ถึงแม้ว่าตัวละคร ฉาก และเหตุการณ์จะเป็นเรื่องสมมุติ แต่เนื้อหาที่ถ่ายทอดเป็นเรื่องราวประสบการณ์จริง ความเข้าใจและความรู้สึกของคนในท้องถิ่นที่เติบโตขึ้นมา เป็นการเสนอภาพของชายแดนใต้ที่มีวัฒนธรรมหลากหลายกลุ่ม ทั้งวัฒนธรรมมลายูมุสลิม พุทธ และจีน อยู่ร่วมในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งเป็นแนวการเขียนที่หวังว่าผู้อ่านทั่วไปจะอ่านได้อย่างมีอรรถรสกว่ารายงานวิจัย สร้างความเข้าใจ สร้างแนวปฏิบัติให้เกิดความไว้วางใจ ซึ่งน่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการขจัดความระหวาดระแวง ความไม่รู้จักกันระหว่างกลุ่มคน</p>มุสลิม, ชาวไทยมุสลิม, ภาคใต้, ความเป็นอยู่และประเพณี, ภาวะสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=61https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/092-cover.jpg
61วารสารขัดกันฉันมิตร: คู่มือทักษะวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนใต้<p>
"ทักษะวัฒนธรรม" คือหนังสือคู่มือรูปแบบกึ่งนิยาย โดยเขียนเป็นเรื่องเล่าของเด็กสามคนจากสามครอบครัว ถึงแม้ว่าตัวละคร ฉาก และเหตุการณ์จะเป็นเรื่องสมมุติ แต่เนื้อหาที่ถ่ายทอดเป็นเรื่องราวประสบการณ์จริง ความเข้าใจและความรู้สึกของคนในท้องถิ่นที่เติบโตขึ้นมา เป็นการเสนอภาพของชายแดนใต้ที่มีวัฒนธรรมหลากหลายกลุ่ม ทั้งวัฒนธรรมมลายูมุสลิม พุทธ และจีน อยู่ร่วมในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งเป็นแนวการเขียนที่หวังว่าผู้อ่านทั่วไปจะอ่านได้อย่างมีอรรถรสกว่ารายงานวิจัย สร้างความเข้าใจ สร้างแนวปฏิบัติให้เกิดความไว้วางใจ ซึ่งน่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการขจัดความระหวาดระแวง ความไม่รู้จักกันระหว่างกลุ่มคน</p>มุสลิม, ชาวไทยมุสลิม, ภาคใต้, ความเป็นอยู่และประเพณี, ภาวะสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=61https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/092-cover.jpg
61บทความขัดกันฉันมิตร: คู่มือทักษะวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนใต้<p>
"ทักษะวัฒนธรรม" คือหนังสือคู่มือรูปแบบกึ่งนิยาย โดยเขียนเป็นเรื่องเล่าของเด็กสามคนจากสามครอบครัว ถึงแม้ว่าตัวละคร ฉาก และเหตุการณ์จะเป็นเรื่องสมมุติ แต่เนื้อหาที่ถ่ายทอดเป็นเรื่องราวประสบการณ์จริง ความเข้าใจและความรู้สึกของคนในท้องถิ่นที่เติบโตขึ้นมา เป็นการเสนอภาพของชายแดนใต้ที่มีวัฒนธรรมหลากหลายกลุ่ม ทั้งวัฒนธรรมมลายูมุสลิม พุทธ และจีน อยู่ร่วมในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งเป็นแนวการเขียนที่หวังว่าผู้อ่านทั่วไปจะอ่านได้อย่างมีอรรถรสกว่ารายงานวิจัย สร้างความเข้าใจ สร้างแนวปฏิบัติให้เกิดความไว้วางใจ ซึ่งน่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการขจัดความระหวาดระแวง ความไม่รู้จักกันระหว่างกลุ่มคน</p>มุสลิม, ชาวไทยมุสลิม, ภาคใต้, ความเป็นอยู่และประเพณี, ภาวะสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=61https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/092-cover.jpg
61วิทยานิพนธ์ขัดกันฉันมิตร: คู่มือทักษะวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนใต้<p>
"ทักษะวัฒนธรรม" คือหนังสือคู่มือรูปแบบกึ่งนิยาย โดยเขียนเป็นเรื่องเล่าของเด็กสามคนจากสามครอบครัว ถึงแม้ว่าตัวละคร ฉาก และเหตุการณ์จะเป็นเรื่องสมมุติ แต่เนื้อหาที่ถ่ายทอดเป็นเรื่องราวประสบการณ์จริง ความเข้าใจและความรู้สึกของคนในท้องถิ่นที่เติบโตขึ้นมา เป็นการเสนอภาพของชายแดนใต้ที่มีวัฒนธรรมหลากหลายกลุ่ม ทั้งวัฒนธรรมมลายูมุสลิม พุทธ และจีน อยู่ร่วมในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งเป็นแนวการเขียนที่หวังว่าผู้อ่านทั่วไปจะอ่านได้อย่างมีอรรถรสกว่ารายงานวิจัย สร้างความเข้าใจ สร้างแนวปฏิบัติให้เกิดความไว้วางใจ ซึ่งน่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการขจัดความระหวาดระแวง ความไม่รู้จักกันระหว่างกลุ่มคน</p>มุสลิม, ชาวไทยมุสลิม, ภาคใต้, ความเป็นอยู่และประเพณี, ภาวะสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=61https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/092-cover.jpg
61รายงานงานวิจัยขัดกันฉันมิตร: คู่มือทักษะวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนใต้<p>
"ทักษะวัฒนธรรม" คือหนังสือคู่มือรูปแบบกึ่งนิยาย โดยเขียนเป็นเรื่องเล่าของเด็กสามคนจากสามครอบครัว ถึงแม้ว่าตัวละคร ฉาก และเหตุการณ์จะเป็นเรื่องสมมุติ แต่เนื้อหาที่ถ่ายทอดเป็นเรื่องราวประสบการณ์จริง ความเข้าใจและความรู้สึกของคนในท้องถิ่นที่เติบโตขึ้นมา เป็นการเสนอภาพของชายแดนใต้ที่มีวัฒนธรรมหลากหลายกลุ่ม ทั้งวัฒนธรรมมลายูมุสลิม พุทธ และจีน อยู่ร่วมในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งเป็นแนวการเขียนที่หวังว่าผู้อ่านทั่วไปจะอ่านได้อย่างมีอรรถรสกว่ารายงานวิจัย สร้างความเข้าใจ สร้างแนวปฏิบัติให้เกิดความไว้วางใจ ซึ่งน่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการขจัดความระหวาดระแวง ความไม่รู้จักกันระหว่างกลุ่มคน</p>มุสลิม, ชาวไทยมุสลิม, ภาคใต้, ความเป็นอยู่และประเพณี, ภาวะสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=61https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/092-cover.jpg
61รายงานขัดกันฉันมิตร: คู่มือทักษะวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนใต้<p>
"ทักษะวัฒนธรรม" คือหนังสือคู่มือรูปแบบกึ่งนิยาย โดยเขียนเป็นเรื่องเล่าของเด็กสามคนจากสามครอบครัว ถึงแม้ว่าตัวละคร ฉาก และเหตุการณ์จะเป็นเรื่องสมมุติ แต่เนื้อหาที่ถ่ายทอดเป็นเรื่องราวประสบการณ์จริง ความเข้าใจและความรู้สึกของคนในท้องถิ่นที่เติบโตขึ้นมา เป็นการเสนอภาพของชายแดนใต้ที่มีวัฒนธรรมหลากหลายกลุ่ม ทั้งวัฒนธรรมมลายูมุสลิม พุทธ และจีน อยู่ร่วมในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งเป็นแนวการเขียนที่หวังว่าผู้อ่านทั่วไปจะอ่านได้อย่างมีอรรถรสกว่ารายงานวิจัย สร้างความเข้าใจ สร้างแนวปฏิบัติให้เกิดความไว้วางใจ ซึ่งน่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการขจัดความระหวาดระแวง ความไม่รู้จักกันระหว่างกลุ่มคน</p>มุสลิม, ชาวไทยมุสลิม, ภาคใต้, ความเป็นอยู่และประเพณี, ภาวะสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=61https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/092-cover.jpg
61หนังสือขัดกันฉันมิตร: คู่มือทักษะวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนใต้<p>
"ทักษะวัฒนธรรม" คือหนังสือคู่มือรูปแบบกึ่งนิยาย โดยเขียนเป็นเรื่องเล่าของเด็กสามคนจากสามครอบครัว ถึงแม้ว่าตัวละคร ฉาก และเหตุการณ์จะเป็นเรื่องสมมุติ แต่เนื้อหาที่ถ่ายทอดเป็นเรื่องราวประสบการณ์จริง ความเข้าใจและความรู้สึกของคนในท้องถิ่นที่เติบโตขึ้นมา เป็นการเสนอภาพของชายแดนใต้ที่มีวัฒนธรรมหลากหลายกลุ่ม ทั้งวัฒนธรรมมลายูมุสลิม พุทธ และจีน อยู่ร่วมในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งเป็นแนวการเขียนที่หวังว่าผู้อ่านทั่วไปจะอ่านได้อย่างมีอรรถรสกว่ารายงานวิจัย สร้างความเข้าใจ สร้างแนวปฏิบัติให้เกิดความไว้วางใจ ซึ่งน่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการขจัดความระหวาดระแวง ความไม่รู้จักกันระหว่างกลุ่มคน</p>มุสลิม, ชาวไทยมุสลิม, ภาคใต้, ความเป็นอยู่และประเพณี, ภาวะสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=61https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/092-cover.jpg
61จุลสารขัดกันฉันมิตร: คู่มือทักษะวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนใต้<p>
"ทักษะวัฒนธรรม" คือหนังสือคู่มือรูปแบบกึ่งนิยาย โดยเขียนเป็นเรื่องเล่าของเด็กสามคนจากสามครอบครัว ถึงแม้ว่าตัวละคร ฉาก และเหตุการณ์จะเป็นเรื่องสมมุติ แต่เนื้อหาที่ถ่ายทอดเป็นเรื่องราวประสบการณ์จริง ความเข้าใจและความรู้สึกของคนในท้องถิ่นที่เติบโตขึ้นมา เป็นการเสนอภาพของชายแดนใต้ที่มีวัฒนธรรมหลากหลายกลุ่ม ทั้งวัฒนธรรมมลายูมุสลิม พุทธ และจีน อยู่ร่วมในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งเป็นแนวการเขียนที่หวังว่าผู้อ่านทั่วไปจะอ่านได้อย่างมีอรรถรสกว่ารายงานวิจัย สร้างความเข้าใจ สร้างแนวปฏิบัติให้เกิดความไว้วางใจ ซึ่งน่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการขจัดความระหวาดระแวง ความไม่รู้จักกันระหว่างกลุ่มคน</p>มุสลิม, ชาวไทยมุสลิม, ภาคใต้, ความเป็นอยู่และประเพณี, ภาวะสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=61https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/092-cover.jpg
61สูจิบัตรขัดกันฉันมิตร: คู่มือทักษะวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนใต้<p>
"ทักษะวัฒนธรรม" คือหนังสือคู่มือรูปแบบกึ่งนิยาย โดยเขียนเป็นเรื่องเล่าของเด็กสามคนจากสามครอบครัว ถึงแม้ว่าตัวละคร ฉาก และเหตุการณ์จะเป็นเรื่องสมมุติ แต่เนื้อหาที่ถ่ายทอดเป็นเรื่องราวประสบการณ์จริง ความเข้าใจและความรู้สึกของคนในท้องถิ่นที่เติบโตขึ้นมา เป็นการเสนอภาพของชายแดนใต้ที่มีวัฒนธรรมหลากหลายกลุ่ม ทั้งวัฒนธรรมมลายูมุสลิม พุทธ และจีน อยู่ร่วมในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งเป็นแนวการเขียนที่หวังว่าผู้อ่านทั่วไปจะอ่านได้อย่างมีอรรถรสกว่ารายงานวิจัย สร้างความเข้าใจ สร้างแนวปฏิบัติให้เกิดความไว้วางใจ ซึ่งน่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการขจัดความระหวาดระแวง ความไม่รู้จักกันระหว่างกลุ่มคน</p>มุสลิม, ชาวไทยมุสลิม, ภาคใต้, ความเป็นอยู่และประเพณี, ภาวะสังคม20 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=61https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/092-cover.jpg
62อื่นๆโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 1 สร้างเครือข่ายและสำรวจสภาพพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
การสำรวจพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย (กรกฎาคม 2546 - เมษายน 2547) ทั้งการศึกษาจากเอกสาร การจัดเวทีประชุมหารือกับบุคลากรในท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ และการสำรวจภาคสนาม ซึ่งทำให้ได้รู้จักพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นรวม 128 แห่ง เป็นไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจกระบวนการทางสังคมที่ทำให้เกิดการก่อตัวของพิพิธภัณฑ์ สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และความต้องการของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมทั้งเพื่อรู้จักตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและดำเนินการของพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่ง สำหรับเป็นพื้นฐานในการสร้างองค์ความรู้ ประกอบด้วยการรวบรวมเนื้อหาสร้างเป็นฐานข้อมูล งานวิจัย และงานด้านการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ ในฐานะองค์กรในการสร้างความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น</p>
<div>
</div>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=62https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/249-cover.jpg
62วารสารโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 1 สร้างเครือข่ายและสำรวจสภาพพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
การสำรวจพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย (กรกฎาคม 2546 - เมษายน 2547) ทั้งการศึกษาจากเอกสาร การจัดเวทีประชุมหารือกับบุคลากรในท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ และการสำรวจภาคสนาม ซึ่งทำให้ได้รู้จักพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นรวม 128 แห่ง เป็นไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจกระบวนการทางสังคมที่ทำให้เกิดการก่อตัวของพิพิธภัณฑ์ สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และความต้องการของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมทั้งเพื่อรู้จักตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและดำเนินการของพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่ง สำหรับเป็นพื้นฐานในการสร้างองค์ความรู้ ประกอบด้วยการรวบรวมเนื้อหาสร้างเป็นฐานข้อมูล งานวิจัย และงานด้านการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ ในฐานะองค์กรในการสร้างความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น</p>
<div>
</div>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=62https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/249-cover.jpg
62บทความโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 1 สร้างเครือข่ายและสำรวจสภาพพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
การสำรวจพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย (กรกฎาคม 2546 - เมษายน 2547) ทั้งการศึกษาจากเอกสาร การจัดเวทีประชุมหารือกับบุคลากรในท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ และการสำรวจภาคสนาม ซึ่งทำให้ได้รู้จักพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นรวม 128 แห่ง เป็นไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจกระบวนการทางสังคมที่ทำให้เกิดการก่อตัวของพิพิธภัณฑ์ สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และความต้องการของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมทั้งเพื่อรู้จักตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและดำเนินการของพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่ง สำหรับเป็นพื้นฐานในการสร้างองค์ความรู้ ประกอบด้วยการรวบรวมเนื้อหาสร้างเป็นฐานข้อมูล งานวิจัย และงานด้านการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ ในฐานะองค์กรในการสร้างความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น</p>
<div>
</div>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=62https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/249-cover.jpg
62วิทยานิพนธ์โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 1 สร้างเครือข่ายและสำรวจสภาพพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
การสำรวจพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย (กรกฎาคม 2546 - เมษายน 2547) ทั้งการศึกษาจากเอกสาร การจัดเวทีประชุมหารือกับบุคลากรในท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ และการสำรวจภาคสนาม ซึ่งทำให้ได้รู้จักพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นรวม 128 แห่ง เป็นไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจกระบวนการทางสังคมที่ทำให้เกิดการก่อตัวของพิพิธภัณฑ์ สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และความต้องการของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมทั้งเพื่อรู้จักตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและดำเนินการของพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่ง สำหรับเป็นพื้นฐานในการสร้างองค์ความรู้ ประกอบด้วยการรวบรวมเนื้อหาสร้างเป็นฐานข้อมูล งานวิจัย และงานด้านการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ ในฐานะองค์กรในการสร้างความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น</p>
<div>
</div>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=62https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/249-cover.jpg
62รายงานงานวิจัยโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 1 สร้างเครือข่ายและสำรวจสภาพพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
การสำรวจพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย (กรกฎาคม 2546 - เมษายน 2547) ทั้งการศึกษาจากเอกสาร การจัดเวทีประชุมหารือกับบุคลากรในท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ และการสำรวจภาคสนาม ซึ่งทำให้ได้รู้จักพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นรวม 128 แห่ง เป็นไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจกระบวนการทางสังคมที่ทำให้เกิดการก่อตัวของพิพิธภัณฑ์ สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และความต้องการของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมทั้งเพื่อรู้จักตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและดำเนินการของพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่ง สำหรับเป็นพื้นฐานในการสร้างองค์ความรู้ ประกอบด้วยการรวบรวมเนื้อหาสร้างเป็นฐานข้อมูล งานวิจัย และงานด้านการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ ในฐานะองค์กรในการสร้างความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น</p>
<div>
</div>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=62https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/249-cover.jpg
62รายงานโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 1 สร้างเครือข่ายและสำรวจสภาพพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
การสำรวจพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย (กรกฎาคม 2546 - เมษายน 2547) ทั้งการศึกษาจากเอกสาร การจัดเวทีประชุมหารือกับบุคลากรในท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ และการสำรวจภาคสนาม ซึ่งทำให้ได้รู้จักพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นรวม 128 แห่ง เป็นไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจกระบวนการทางสังคมที่ทำให้เกิดการก่อตัวของพิพิธภัณฑ์ สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และความต้องการของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมทั้งเพื่อรู้จักตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและดำเนินการของพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่ง สำหรับเป็นพื้นฐานในการสร้างองค์ความรู้ ประกอบด้วยการรวบรวมเนื้อหาสร้างเป็นฐานข้อมูล งานวิจัย และงานด้านการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ ในฐานะองค์กรในการสร้างความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น</p>
<div>
</div>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=62https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/249-cover.jpg
62หนังสือโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 1 สร้างเครือข่ายและสำรวจสภาพพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
การสำรวจพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย (กรกฎาคม 2546 - เมษายน 2547) ทั้งการศึกษาจากเอกสาร การจัดเวทีประชุมหารือกับบุคลากรในท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ และการสำรวจภาคสนาม ซึ่งทำให้ได้รู้จักพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นรวม 128 แห่ง เป็นไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจกระบวนการทางสังคมที่ทำให้เกิดการก่อตัวของพิพิธภัณฑ์ สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และความต้องการของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมทั้งเพื่อรู้จักตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและดำเนินการของพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่ง สำหรับเป็นพื้นฐานในการสร้างองค์ความรู้ ประกอบด้วยการรวบรวมเนื้อหาสร้างเป็นฐานข้อมูล งานวิจัย และงานด้านการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ ในฐานะองค์กรในการสร้างความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น</p>
<div>
</div>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=62https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/249-cover.jpg
62จุลสารโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 1 สร้างเครือข่ายและสำรวจสภาพพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
การสำรวจพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย (กรกฎาคม 2546 - เมษายน 2547) ทั้งการศึกษาจากเอกสาร การจัดเวทีประชุมหารือกับบุคลากรในท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ และการสำรวจภาคสนาม ซึ่งทำให้ได้รู้จักพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นรวม 128 แห่ง เป็นไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจกระบวนการทางสังคมที่ทำให้เกิดการก่อตัวของพิพิธภัณฑ์ สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และความต้องการของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมทั้งเพื่อรู้จักตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและดำเนินการของพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่ง สำหรับเป็นพื้นฐานในการสร้างองค์ความรู้ ประกอบด้วยการรวบรวมเนื้อหาสร้างเป็นฐานข้อมูล งานวิจัย และงานด้านการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ ในฐานะองค์กรในการสร้างความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น</p>
<div>
</div>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=62https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/249-cover.jpg
62สูจิบัตรโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 1 สร้างเครือข่ายและสำรวจสภาพพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
การสำรวจพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย (กรกฎาคม 2546 - เมษายน 2547) ทั้งการศึกษาจากเอกสาร การจัดเวทีประชุมหารือกับบุคลากรในท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ และการสำรวจภาคสนาม ซึ่งทำให้ได้รู้จักพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นรวม 128 แห่ง เป็นไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจกระบวนการทางสังคมที่ทำให้เกิดการก่อตัวของพิพิธภัณฑ์ สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และความต้องการของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมทั้งเพื่อรู้จักตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและดำเนินการของพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่ง สำหรับเป็นพื้นฐานในการสร้างองค์ความรู้ ประกอบด้วยการรวบรวมเนื้อหาสร้างเป็นฐานข้อมูล งานวิจัย และงานด้านการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ ในฐานะองค์กรในการสร้างความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น</p>
<div>
</div>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=62https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/249-cover.jpg
63อื่นๆโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 1 วิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : กรณีศึกษา<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น กรณีศึกษา 3 แหล่ง ประกอบด้วย พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม พิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง และพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดบ้านดอน จ.ระยอง โดยมีนักวิจัยภาคสนามประจำอยู่ในแต่ละพื้นที่ จากการศึกษาโดยภาพรวมพบว่า พิพิธภัณฑ์แบบชาวบ้านมีความหลากหลายและยืดหยุ่นกว่าพิพิธภัณฑ์ในเมือง พิพิธภัณฑ์ทั้ง 3 แห่ง มีความใกล้ชิดกับวัดเป็นอย่างมาก การที่พิพิธภัณฑ์มีความคาบเกี่ยวกับวัด ด้านหนึ่งก็สามารถพึ่งพิงทรัพยากรของวัด แต่ในอีกด้านก็ทำให้เกิดบริเวณที่มีความขัดแย้งได้ พิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและวัดไหล่หินเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระสงฆ์องค์สำคัญในประวัติศาสตร์ของชุมชน เป็นที่เคารพศรัทธา ได้รับการจดจำในฐานะตัวแทนชุมชน ขณะที่หนังใหญ่วัดบ้านดอนเป็นมรดกวัฒนธรรมของจังหวัดระยองมากเสียกว่าความเป็นของชุมชนบ้านดอน เนื่องจากตัวหนังมีความเกี่ยวข้องผูกพันจำกัดอยู่เฉพาะในวงของนักแสดงและทายาทเป็นหลัก นอกจากนั้นชุมชนมองบทบาทพิพิธภัณฑ์ในฐานะเป็นสถานที่เก็บรักษาวัตถุสิ่งของ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนมีรูปแบบชีวิตแบบคนเมืองมากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มคนอพยพจากที่อื่น ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างวัตถุสิ่งของและเนื้อหาความรู้ของมรดกวัฒนธรรมในพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=63https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/251-cover.jpg
63วารสารโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 1 วิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : กรณีศึกษา<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น กรณีศึกษา 3 แหล่ง ประกอบด้วย พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม พิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง และพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดบ้านดอน จ.ระยอง โดยมีนักวิจัยภาคสนามประจำอยู่ในแต่ละพื้นที่ จากการศึกษาโดยภาพรวมพบว่า พิพิธภัณฑ์แบบชาวบ้านมีความหลากหลายและยืดหยุ่นกว่าพิพิธภัณฑ์ในเมือง พิพิธภัณฑ์ทั้ง 3 แห่ง มีความใกล้ชิดกับวัดเป็นอย่างมาก การที่พิพิธภัณฑ์มีความคาบเกี่ยวกับวัด ด้านหนึ่งก็สามารถพึ่งพิงทรัพยากรของวัด แต่ในอีกด้านก็ทำให้เกิดบริเวณที่มีความขัดแย้งได้ พิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและวัดไหล่หินเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระสงฆ์องค์สำคัญในประวัติศาสตร์ของชุมชน เป็นที่เคารพศรัทธา ได้รับการจดจำในฐานะตัวแทนชุมชน ขณะที่หนังใหญ่วัดบ้านดอนเป็นมรดกวัฒนธรรมของจังหวัดระยองมากเสียกว่าความเป็นของชุมชนบ้านดอน เนื่องจากตัวหนังมีความเกี่ยวข้องผูกพันจำกัดอยู่เฉพาะในวงของนักแสดงและทายาทเป็นหลัก นอกจากนั้นชุมชนมองบทบาทพิพิธภัณฑ์ในฐานะเป็นสถานที่เก็บรักษาวัตถุสิ่งของ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนมีรูปแบบชีวิตแบบคนเมืองมากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มคนอพยพจากที่อื่น ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างวัตถุสิ่งของและเนื้อหาความรู้ของมรดกวัฒนธรรมในพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=63https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/251-cover.jpg
63บทความโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 1 วิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : กรณีศึกษา<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น กรณีศึกษา 3 แหล่ง ประกอบด้วย พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม พิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง และพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดบ้านดอน จ.ระยอง โดยมีนักวิจัยภาคสนามประจำอยู่ในแต่ละพื้นที่ จากการศึกษาโดยภาพรวมพบว่า พิพิธภัณฑ์แบบชาวบ้านมีความหลากหลายและยืดหยุ่นกว่าพิพิธภัณฑ์ในเมือง พิพิธภัณฑ์ทั้ง 3 แห่ง มีความใกล้ชิดกับวัดเป็นอย่างมาก การที่พิพิธภัณฑ์มีความคาบเกี่ยวกับวัด ด้านหนึ่งก็สามารถพึ่งพิงทรัพยากรของวัด แต่ในอีกด้านก็ทำให้เกิดบริเวณที่มีความขัดแย้งได้ พิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและวัดไหล่หินเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระสงฆ์องค์สำคัญในประวัติศาสตร์ของชุมชน เป็นที่เคารพศรัทธา ได้รับการจดจำในฐานะตัวแทนชุมชน ขณะที่หนังใหญ่วัดบ้านดอนเป็นมรดกวัฒนธรรมของจังหวัดระยองมากเสียกว่าความเป็นของชุมชนบ้านดอน เนื่องจากตัวหนังมีความเกี่ยวข้องผูกพันจำกัดอยู่เฉพาะในวงของนักแสดงและทายาทเป็นหลัก นอกจากนั้นชุมชนมองบทบาทพิพิธภัณฑ์ในฐานะเป็นสถานที่เก็บรักษาวัตถุสิ่งของ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนมีรูปแบบชีวิตแบบคนเมืองมากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มคนอพยพจากที่อื่น ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างวัตถุสิ่งของและเนื้อหาความรู้ของมรดกวัฒนธรรมในพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=63https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/251-cover.jpg
63วิทยานิพนธ์โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 1 วิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : กรณีศึกษา<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น กรณีศึกษา 3 แหล่ง ประกอบด้วย พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม พิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง และพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดบ้านดอน จ.ระยอง โดยมีนักวิจัยภาคสนามประจำอยู่ในแต่ละพื้นที่ จากการศึกษาโดยภาพรวมพบว่า พิพิธภัณฑ์แบบชาวบ้านมีความหลากหลายและยืดหยุ่นกว่าพิพิธภัณฑ์ในเมือง พิพิธภัณฑ์ทั้ง 3 แห่ง มีความใกล้ชิดกับวัดเป็นอย่างมาก การที่พิพิธภัณฑ์มีความคาบเกี่ยวกับวัด ด้านหนึ่งก็สามารถพึ่งพิงทรัพยากรของวัด แต่ในอีกด้านก็ทำให้เกิดบริเวณที่มีความขัดแย้งได้ พิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและวัดไหล่หินเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระสงฆ์องค์สำคัญในประวัติศาสตร์ของชุมชน เป็นที่เคารพศรัทธา ได้รับการจดจำในฐานะตัวแทนชุมชน ขณะที่หนังใหญ่วัดบ้านดอนเป็นมรดกวัฒนธรรมของจังหวัดระยองมากเสียกว่าความเป็นของชุมชนบ้านดอน เนื่องจากตัวหนังมีความเกี่ยวข้องผูกพันจำกัดอยู่เฉพาะในวงของนักแสดงและทายาทเป็นหลัก นอกจากนั้นชุมชนมองบทบาทพิพิธภัณฑ์ในฐานะเป็นสถานที่เก็บรักษาวัตถุสิ่งของ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนมีรูปแบบชีวิตแบบคนเมืองมากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มคนอพยพจากที่อื่น ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างวัตถุสิ่งของและเนื้อหาความรู้ของมรดกวัฒนธรรมในพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=63https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/251-cover.jpg
63รายงานงานวิจัยโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 1 วิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : กรณีศึกษา<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น กรณีศึกษา 3 แหล่ง ประกอบด้วย พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม พิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง และพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดบ้านดอน จ.ระยอง โดยมีนักวิจัยภาคสนามประจำอยู่ในแต่ละพื้นที่ จากการศึกษาโดยภาพรวมพบว่า พิพิธภัณฑ์แบบชาวบ้านมีความหลากหลายและยืดหยุ่นกว่าพิพิธภัณฑ์ในเมือง พิพิธภัณฑ์ทั้ง 3 แห่ง มีความใกล้ชิดกับวัดเป็นอย่างมาก การที่พิพิธภัณฑ์มีความคาบเกี่ยวกับวัด ด้านหนึ่งก็สามารถพึ่งพิงทรัพยากรของวัด แต่ในอีกด้านก็ทำให้เกิดบริเวณที่มีความขัดแย้งได้ พิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและวัดไหล่หินเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระสงฆ์องค์สำคัญในประวัติศาสตร์ของชุมชน เป็นที่เคารพศรัทธา ได้รับการจดจำในฐานะตัวแทนชุมชน ขณะที่หนังใหญ่วัดบ้านดอนเป็นมรดกวัฒนธรรมของจังหวัดระยองมากเสียกว่าความเป็นของชุมชนบ้านดอน เนื่องจากตัวหนังมีความเกี่ยวข้องผูกพันจำกัดอยู่เฉพาะในวงของนักแสดงและทายาทเป็นหลัก นอกจากนั้นชุมชนมองบทบาทพิพิธภัณฑ์ในฐานะเป็นสถานที่เก็บรักษาวัตถุสิ่งของ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนมีรูปแบบชีวิตแบบคนเมืองมากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มคนอพยพจากที่อื่น ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างวัตถุสิ่งของและเนื้อหาความรู้ของมรดกวัฒนธรรมในพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=63https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/251-cover.jpg
63รายงานโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 1 วิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : กรณีศึกษา<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น กรณีศึกษา 3 แหล่ง ประกอบด้วย พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม พิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง และพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดบ้านดอน จ.ระยอง โดยมีนักวิจัยภาคสนามประจำอยู่ในแต่ละพื้นที่ จากการศึกษาโดยภาพรวมพบว่า พิพิธภัณฑ์แบบชาวบ้านมีความหลากหลายและยืดหยุ่นกว่าพิพิธภัณฑ์ในเมือง พิพิธภัณฑ์ทั้ง 3 แห่ง มีความใกล้ชิดกับวัดเป็นอย่างมาก การที่พิพิธภัณฑ์มีความคาบเกี่ยวกับวัด ด้านหนึ่งก็สามารถพึ่งพิงทรัพยากรของวัด แต่ในอีกด้านก็ทำให้เกิดบริเวณที่มีความขัดแย้งได้ พิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและวัดไหล่หินเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระสงฆ์องค์สำคัญในประวัติศาสตร์ของชุมชน เป็นที่เคารพศรัทธา ได้รับการจดจำในฐานะตัวแทนชุมชน ขณะที่หนังใหญ่วัดบ้านดอนเป็นมรดกวัฒนธรรมของจังหวัดระยองมากเสียกว่าความเป็นของชุมชนบ้านดอน เนื่องจากตัวหนังมีความเกี่ยวข้องผูกพันจำกัดอยู่เฉพาะในวงของนักแสดงและทายาทเป็นหลัก นอกจากนั้นชุมชนมองบทบาทพิพิธภัณฑ์ในฐานะเป็นสถานที่เก็บรักษาวัตถุสิ่งของ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนมีรูปแบบชีวิตแบบคนเมืองมากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มคนอพยพจากที่อื่น ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างวัตถุสิ่งของและเนื้อหาความรู้ของมรดกวัฒนธรรมในพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=63https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/251-cover.jpg
63หนังสือโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 1 วิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : กรณีศึกษา<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น กรณีศึกษา 3 แหล่ง ประกอบด้วย พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม พิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง และพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดบ้านดอน จ.ระยอง โดยมีนักวิจัยภาคสนามประจำอยู่ในแต่ละพื้นที่ จากการศึกษาโดยภาพรวมพบว่า พิพิธภัณฑ์แบบชาวบ้านมีความหลากหลายและยืดหยุ่นกว่าพิพิธภัณฑ์ในเมือง พิพิธภัณฑ์ทั้ง 3 แห่ง มีความใกล้ชิดกับวัดเป็นอย่างมาก การที่พิพิธภัณฑ์มีความคาบเกี่ยวกับวัด ด้านหนึ่งก็สามารถพึ่งพิงทรัพยากรของวัด แต่ในอีกด้านก็ทำให้เกิดบริเวณที่มีความขัดแย้งได้ พิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและวัดไหล่หินเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระสงฆ์องค์สำคัญในประวัติศาสตร์ของชุมชน เป็นที่เคารพศรัทธา ได้รับการจดจำในฐานะตัวแทนชุมชน ขณะที่หนังใหญ่วัดบ้านดอนเป็นมรดกวัฒนธรรมของจังหวัดระยองมากเสียกว่าความเป็นของชุมชนบ้านดอน เนื่องจากตัวหนังมีความเกี่ยวข้องผูกพันจำกัดอยู่เฉพาะในวงของนักแสดงและทายาทเป็นหลัก นอกจากนั้นชุมชนมองบทบาทพิพิธภัณฑ์ในฐานะเป็นสถานที่เก็บรักษาวัตถุสิ่งของ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนมีรูปแบบชีวิตแบบคนเมืองมากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มคนอพยพจากที่อื่น ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างวัตถุสิ่งของและเนื้อหาความรู้ของมรดกวัฒนธรรมในพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=63https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/251-cover.jpg
63จุลสารโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 1 วิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : กรณีศึกษา<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น กรณีศึกษา 3 แหล่ง ประกอบด้วย พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม พิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง และพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดบ้านดอน จ.ระยอง โดยมีนักวิจัยภาคสนามประจำอยู่ในแต่ละพื้นที่ จากการศึกษาโดยภาพรวมพบว่า พิพิธภัณฑ์แบบชาวบ้านมีความหลากหลายและยืดหยุ่นกว่าพิพิธภัณฑ์ในเมือง พิพิธภัณฑ์ทั้ง 3 แห่ง มีความใกล้ชิดกับวัดเป็นอย่างมาก การที่พิพิธภัณฑ์มีความคาบเกี่ยวกับวัด ด้านหนึ่งก็สามารถพึ่งพิงทรัพยากรของวัด แต่ในอีกด้านก็ทำให้เกิดบริเวณที่มีความขัดแย้งได้ พิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและวัดไหล่หินเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระสงฆ์องค์สำคัญในประวัติศาสตร์ของชุมชน เป็นที่เคารพศรัทธา ได้รับการจดจำในฐานะตัวแทนชุมชน ขณะที่หนังใหญ่วัดบ้านดอนเป็นมรดกวัฒนธรรมของจังหวัดระยองมากเสียกว่าความเป็นของชุมชนบ้านดอน เนื่องจากตัวหนังมีความเกี่ยวข้องผูกพันจำกัดอยู่เฉพาะในวงของนักแสดงและทายาทเป็นหลัก นอกจากนั้นชุมชนมองบทบาทพิพิธภัณฑ์ในฐานะเป็นสถานที่เก็บรักษาวัตถุสิ่งของ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนมีรูปแบบชีวิตแบบคนเมืองมากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มคนอพยพจากที่อื่น ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างวัตถุสิ่งของและเนื้อหาความรู้ของมรดกวัฒนธรรมในพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=63https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/251-cover.jpg
63สูจิบัตรโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 1 วิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : กรณีศึกษา<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น กรณีศึกษา 3 แหล่ง ประกอบด้วย พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม พิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง และพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดบ้านดอน จ.ระยอง โดยมีนักวิจัยภาคสนามประจำอยู่ในแต่ละพื้นที่ จากการศึกษาโดยภาพรวมพบว่า พิพิธภัณฑ์แบบชาวบ้านมีความหลากหลายและยืดหยุ่นกว่าพิพิธภัณฑ์ในเมือง พิพิธภัณฑ์ทั้ง 3 แห่ง มีความใกล้ชิดกับวัดเป็นอย่างมาก การที่พิพิธภัณฑ์มีความคาบเกี่ยวกับวัด ด้านหนึ่งก็สามารถพึ่งพิงทรัพยากรของวัด แต่ในอีกด้านก็ทำให้เกิดบริเวณที่มีความขัดแย้งได้ พิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและวัดไหล่หินเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระสงฆ์องค์สำคัญในประวัติศาสตร์ของชุมชน เป็นที่เคารพศรัทธา ได้รับการจดจำในฐานะตัวแทนชุมชน ขณะที่หนังใหญ่วัดบ้านดอนเป็นมรดกวัฒนธรรมของจังหวัดระยองมากเสียกว่าความเป็นของชุมชนบ้านดอน เนื่องจากตัวหนังมีความเกี่ยวข้องผูกพันจำกัดอยู่เฉพาะในวงของนักแสดงและทายาทเป็นหลัก นอกจากนั้นชุมชนมองบทบาทพิพิธภัณฑ์ในฐานะเป็นสถานที่เก็บรักษาวัตถุสิ่งของ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนมีรูปแบบชีวิตแบบคนเมืองมากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มคนอพยพจากที่อื่น ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างวัตถุสิ่งของและเนื้อหาความรู้ของมรดกวัฒนธรรมในพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=63https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/251-cover.jpg
64อื่นๆโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 2 ศึกษากรณีพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่ 2 ปีที่ 2 เป็นโครงการสืบเนื่องจากการศึกษาในปีที่ 1 โดยการเก็บข้อมูลชุมชนและพัฒนาการจัดแสดงนิทรรศการใหม่ร่วมกัน ดำเนินงานร่วมกับพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น 2 แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม และพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง แม้ทั้งสองแห่งจะมีความคล้ายคลึงกันในลักษณะการอาศัยพึ่งพิงวัด ให้ความสำคัญกับพระภิกษุองค์สำคัญ แต่ทั้งสองแห่งมีความต่างกันทั้งโครงเรื่องเล่าหลัก การดำเนินงาน และลักษณะของชุมชน ซึ่งพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของชุมชนชานเมืองริมแม่น้ำ มีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการผลิตและวิถีชีวิตไปเป็นแบบคนเมืองสมัยใหม่ ขณะที่กรณีพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หิน ชุมชนยังมีการรวมกลุ่มกันตามประเพณีท้องถิ่นที่ชัดเจนกว่า โดยวัดยังเป็นศูนย์กลางชุมชนที่ส่วนมากสัมพันธ์กันเป็นเครือญาติ</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=64https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/252-cover.jpg
64วารสารโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 2 ศึกษากรณีพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่ 2 ปีที่ 2 เป็นโครงการสืบเนื่องจากการศึกษาในปีที่ 1 โดยการเก็บข้อมูลชุมชนและพัฒนาการจัดแสดงนิทรรศการใหม่ร่วมกัน ดำเนินงานร่วมกับพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น 2 แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม และพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง แม้ทั้งสองแห่งจะมีความคล้ายคลึงกันในลักษณะการอาศัยพึ่งพิงวัด ให้ความสำคัญกับพระภิกษุองค์สำคัญ แต่ทั้งสองแห่งมีความต่างกันทั้งโครงเรื่องเล่าหลัก การดำเนินงาน และลักษณะของชุมชน ซึ่งพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของชุมชนชานเมืองริมแม่น้ำ มีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการผลิตและวิถีชีวิตไปเป็นแบบคนเมืองสมัยใหม่ ขณะที่กรณีพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หิน ชุมชนยังมีการรวมกลุ่มกันตามประเพณีท้องถิ่นที่ชัดเจนกว่า โดยวัดยังเป็นศูนย์กลางชุมชนที่ส่วนมากสัมพันธ์กันเป็นเครือญาติ</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=64https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/252-cover.jpg
64บทความโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 2 ศึกษากรณีพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่ 2 ปีที่ 2 เป็นโครงการสืบเนื่องจากการศึกษาในปีที่ 1 โดยการเก็บข้อมูลชุมชนและพัฒนาการจัดแสดงนิทรรศการใหม่ร่วมกัน ดำเนินงานร่วมกับพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น 2 แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม และพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง แม้ทั้งสองแห่งจะมีความคล้ายคลึงกันในลักษณะการอาศัยพึ่งพิงวัด ให้ความสำคัญกับพระภิกษุองค์สำคัญ แต่ทั้งสองแห่งมีความต่างกันทั้งโครงเรื่องเล่าหลัก การดำเนินงาน และลักษณะของชุมชน ซึ่งพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของชุมชนชานเมืองริมแม่น้ำ มีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการผลิตและวิถีชีวิตไปเป็นแบบคนเมืองสมัยใหม่ ขณะที่กรณีพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หิน ชุมชนยังมีการรวมกลุ่มกันตามประเพณีท้องถิ่นที่ชัดเจนกว่า โดยวัดยังเป็นศูนย์กลางชุมชนที่ส่วนมากสัมพันธ์กันเป็นเครือญาติ</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=64https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/252-cover.jpg
64วิทยานิพนธ์โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 2 ศึกษากรณีพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่ 2 ปีที่ 2 เป็นโครงการสืบเนื่องจากการศึกษาในปีที่ 1 โดยการเก็บข้อมูลชุมชนและพัฒนาการจัดแสดงนิทรรศการใหม่ร่วมกัน ดำเนินงานร่วมกับพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น 2 แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม และพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง แม้ทั้งสองแห่งจะมีความคล้ายคลึงกันในลักษณะการอาศัยพึ่งพิงวัด ให้ความสำคัญกับพระภิกษุองค์สำคัญ แต่ทั้งสองแห่งมีความต่างกันทั้งโครงเรื่องเล่าหลัก การดำเนินงาน และลักษณะของชุมชน ซึ่งพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของชุมชนชานเมืองริมแม่น้ำ มีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการผลิตและวิถีชีวิตไปเป็นแบบคนเมืองสมัยใหม่ ขณะที่กรณีพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หิน ชุมชนยังมีการรวมกลุ่มกันตามประเพณีท้องถิ่นที่ชัดเจนกว่า โดยวัดยังเป็นศูนย์กลางชุมชนที่ส่วนมากสัมพันธ์กันเป็นเครือญาติ</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=64https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/252-cover.jpg
64รายงานงานวิจัยโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 2 ศึกษากรณีพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่ 2 ปีที่ 2 เป็นโครงการสืบเนื่องจากการศึกษาในปีที่ 1 โดยการเก็บข้อมูลชุมชนและพัฒนาการจัดแสดงนิทรรศการใหม่ร่วมกัน ดำเนินงานร่วมกับพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น 2 แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม และพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง แม้ทั้งสองแห่งจะมีความคล้ายคลึงกันในลักษณะการอาศัยพึ่งพิงวัด ให้ความสำคัญกับพระภิกษุองค์สำคัญ แต่ทั้งสองแห่งมีความต่างกันทั้งโครงเรื่องเล่าหลัก การดำเนินงาน และลักษณะของชุมชน ซึ่งพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของชุมชนชานเมืองริมแม่น้ำ มีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการผลิตและวิถีชีวิตไปเป็นแบบคนเมืองสมัยใหม่ ขณะที่กรณีพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หิน ชุมชนยังมีการรวมกลุ่มกันตามประเพณีท้องถิ่นที่ชัดเจนกว่า โดยวัดยังเป็นศูนย์กลางชุมชนที่ส่วนมากสัมพันธ์กันเป็นเครือญาติ</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=64https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/252-cover.jpg
64รายงานโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 2 ศึกษากรณีพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่ 2 ปีที่ 2 เป็นโครงการสืบเนื่องจากการศึกษาในปีที่ 1 โดยการเก็บข้อมูลชุมชนและพัฒนาการจัดแสดงนิทรรศการใหม่ร่วมกัน ดำเนินงานร่วมกับพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น 2 แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม และพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง แม้ทั้งสองแห่งจะมีความคล้ายคลึงกันในลักษณะการอาศัยพึ่งพิงวัด ให้ความสำคัญกับพระภิกษุองค์สำคัญ แต่ทั้งสองแห่งมีความต่างกันทั้งโครงเรื่องเล่าหลัก การดำเนินงาน และลักษณะของชุมชน ซึ่งพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของชุมชนชานเมืองริมแม่น้ำ มีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการผลิตและวิถีชีวิตไปเป็นแบบคนเมืองสมัยใหม่ ขณะที่กรณีพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หิน ชุมชนยังมีการรวมกลุ่มกันตามประเพณีท้องถิ่นที่ชัดเจนกว่า โดยวัดยังเป็นศูนย์กลางชุมชนที่ส่วนมากสัมพันธ์กันเป็นเครือญาติ</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=64https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/252-cover.jpg
64หนังสือโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 2 ศึกษากรณีพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่ 2 ปีที่ 2 เป็นโครงการสืบเนื่องจากการศึกษาในปีที่ 1 โดยการเก็บข้อมูลชุมชนและพัฒนาการจัดแสดงนิทรรศการใหม่ร่วมกัน ดำเนินงานร่วมกับพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น 2 แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม และพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง แม้ทั้งสองแห่งจะมีความคล้ายคลึงกันในลักษณะการอาศัยพึ่งพิงวัด ให้ความสำคัญกับพระภิกษุองค์สำคัญ แต่ทั้งสองแห่งมีความต่างกันทั้งโครงเรื่องเล่าหลัก การดำเนินงาน และลักษณะของชุมชน ซึ่งพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของชุมชนชานเมืองริมแม่น้ำ มีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการผลิตและวิถีชีวิตไปเป็นแบบคนเมืองสมัยใหม่ ขณะที่กรณีพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หิน ชุมชนยังมีการรวมกลุ่มกันตามประเพณีท้องถิ่นที่ชัดเจนกว่า โดยวัดยังเป็นศูนย์กลางชุมชนที่ส่วนมากสัมพันธ์กันเป็นเครือญาติ</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=64https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/252-cover.jpg
64จุลสารโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 2 ศึกษากรณีพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่ 2 ปีที่ 2 เป็นโครงการสืบเนื่องจากการศึกษาในปีที่ 1 โดยการเก็บข้อมูลชุมชนและพัฒนาการจัดแสดงนิทรรศการใหม่ร่วมกัน ดำเนินงานร่วมกับพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น 2 แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม และพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง แม้ทั้งสองแห่งจะมีความคล้ายคลึงกันในลักษณะการอาศัยพึ่งพิงวัด ให้ความสำคัญกับพระภิกษุองค์สำคัญ แต่ทั้งสองแห่งมีความต่างกันทั้งโครงเรื่องเล่าหลัก การดำเนินงาน และลักษณะของชุมชน ซึ่งพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของชุมชนชานเมืองริมแม่น้ำ มีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการผลิตและวิถีชีวิตไปเป็นแบบคนเมืองสมัยใหม่ ขณะที่กรณีพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หิน ชุมชนยังมีการรวมกลุ่มกันตามประเพณีท้องถิ่นที่ชัดเจนกว่า โดยวัดยังเป็นศูนย์กลางชุมชนที่ส่วนมากสัมพันธ์กันเป็นเครือญาติ</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=64https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/252-cover.jpg
64สูจิบัตรโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : ระยะที่ 2 ปีที่ 2 ศึกษากรณีพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดและพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่ 2 ปีที่ 2 เป็นโครงการสืบเนื่องจากการศึกษาในปีที่ 1 โดยการเก็บข้อมูลชุมชนและพัฒนาการจัดแสดงนิทรรศการใหม่ร่วมกัน ดำเนินงานร่วมกับพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น 2 แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด จ.นครปฐม และพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หินหลวง จ.ลำปาง แม้ทั้งสองแห่งจะมีความคล้ายคลึงกันในลักษณะการอาศัยพึ่งพิงวัด ให้ความสำคัญกับพระภิกษุองค์สำคัญ แต่ทั้งสองแห่งมีความต่างกันทั้งโครงเรื่องเล่าหลัก การดำเนินงาน และลักษณะของชุมชน ซึ่งพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูดตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของชุมชนชานเมืองริมแม่น้ำ มีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการผลิตและวิถีชีวิตไปเป็นแบบคนเมืองสมัยใหม่ ขณะที่กรณีพิพิธภัณฑ์วัดไหล่หิน ชุมชนยังมีการรวมกลุ่มกันตามประเพณีท้องถิ่นที่ชัดเจนกว่า โดยวัดยังเป็นศูนย์กลางชุมชนที่ส่วนมากสัมพันธ์กันเป็นเครือญาติ</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์21 มีนาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=64https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/252-cover.jpg
67อื่นๆประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 2)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่พระสงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=67https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/015-cover.jpg
67วารสารประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 2)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่พระสงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=67https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/015-cover.jpg
67บทความประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 2)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่พระสงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=67https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/015-cover.jpg
67วิทยานิพนธ์ประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 2)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่พระสงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=67https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/015-cover.jpg
67รายงานงานวิจัยประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 2)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่พระสงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=67https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/015-cover.jpg
67รายงานประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 2)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่พระสงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=67https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/015-cover.jpg
67หนังสือประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 2)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่พระสงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=67https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/015-cover.jpg
67จุลสารประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 2)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่พระสงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=67https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/015-cover.jpg
67สูจิบัตรประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 2)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่พระสงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=67https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/015-cover.jpg
68อื่นๆประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 3)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=68https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/016-cover.jpg
68วารสารประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 3)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=68https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/016-cover.jpg
68บทความประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 3)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=68https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/016-cover.jpg
68วิทยานิพนธ์ประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 3)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=68https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/016-cover.jpg
68รายงานงานวิจัยประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 3)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=68https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/016-cover.jpg
68รายงานประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 3)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=68https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/016-cover.jpg
68หนังสือประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 3)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=68https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/016-cover.jpg
68จุลสารประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 3)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=68https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/016-cover.jpg
68สูจิบัตรประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 3)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=68https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/016-cover.jpg
69อื่นๆประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 4)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=69https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/017-cover.jpg
69วารสารประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 4)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=69https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/017-cover.jpg
69บทความประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 4)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=69https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/017-cover.jpg
69วิทยานิพนธ์ประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 4)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=69https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/017-cover.jpg
69รายงานงานวิจัยประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 4)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=69https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/017-cover.jpg
69รายงานประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 4)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=69https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/017-cover.jpg
69หนังสือประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 4)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=69https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/017-cover.jpg
69จุลสารประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 4)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=69https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/017-cover.jpg
69สูจิบัตรประมวลจดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม (เล่มที่ 4)<p>
การศึกษา จดหมายเหตุพระราชพิธีในรัชกาลปัจจุบัน: การศึกษาเชิงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง นั้น จำต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีพระราชภารกิจโดยตรงในการจัดการปกครองบ้านเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ พระราชพิธีเหล่านี้แต่เดิมมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีถวายทั้งสิ้น มีเพียงบางพิธีที่สงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีในส่วนของพิธีสงฆ์เป็นส่วนสำคัญทุกพระราชพิธี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าให้มีพราชพิธีใหม่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบแบบแผนธรรมเนียมให้ต้องตามสภาพความเจริญก้าวหน้าของชาติโดยลำดับมา ซึ่งประกอบด้วยงานศึกษาจำนวน 4 เล่ม</p>ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธี, พระราชกรณียกิจ, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ27 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=69https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/017-cover.jpg
70อื่นๆการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 2 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=70https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/042-cover.jpg
70วารสารการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 2 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=70https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/042-cover.jpg
70บทความการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 2 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=70https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/042-cover.jpg
70วิทยานิพนธ์การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 2 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=70https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/042-cover.jpg
70รายงานงานวิจัยการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 2 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=70https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/042-cover.jpg
70รายงานการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 2 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=70https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/042-cover.jpg
70หนังสือการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 2 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=70https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/042-cover.jpg
70จุลสารการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 2 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=70https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/042-cover.jpg
70สูจิบัตรการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 2 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=70https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/042-cover.jpg
71อื่นๆการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=71https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/043-cover.jpg
71วารสารการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=71https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/043-cover.jpg
71บทความการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=71https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/043-cover.jpg
71วิทยานิพนธ์การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=71https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/043-cover.jpg
71รายงานงานวิจัยการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=71https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/043-cover.jpg
71รายงานการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=71https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/043-cover.jpg
71หนังสือการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=71https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/043-cover.jpg
71จุลสารการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=71https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/043-cover.jpg
71สูจิบัตรการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3 ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=71https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/043-cover.jpg
72อื่นๆการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 4 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=72https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/044-cover.jpg
72วารสารการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 4 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=72https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/044-cover.jpg
72บทความการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 4 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=72https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/044-cover.jpg
72วิทยานิพนธ์การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 4 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=72https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/044-cover.jpg
72รายงานงานวิจัยการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 4 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=72https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/044-cover.jpg
72รายงานการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 4 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=72https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/044-cover.jpg
72หนังสือการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 4 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=72https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/044-cover.jpg
72จุลสารการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 4 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=72https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/044-cover.jpg
72สูจิบัตรการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 4 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=72https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/044-cover.jpg
73อื่นๆการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=73https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/045-cover.jpg
73วารสารการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=73https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/045-cover.jpg
73บทความการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=73https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/045-cover.jpg
73วิทยานิพนธ์การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=73https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/045-cover.jpg
73รายงานงานวิจัยการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=73https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/045-cover.jpg
73รายงานการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=73https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/045-cover.jpg
73หนังสือการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=73https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/045-cover.jpg
73จุลสารการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=73https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/045-cover.jpg
73สูจิบัตรการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5 จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>จดหมายเหตุ, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=73https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/045-cover.jpg
74อื่นๆการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 6 คำพื้นถิ่นเรา)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>พื้นถิ่น, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=74https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/046-cover.jpg
74วารสารการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 6 คำพื้นถิ่นเรา)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>พื้นถิ่น, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=74https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/046-cover.jpg
74บทความการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 6 คำพื้นถิ่นเรา)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>พื้นถิ่น, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=74https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/046-cover.jpg
74วิทยานิพนธ์การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 6 คำพื้นถิ่นเรา)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>พื้นถิ่น, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=74https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/046-cover.jpg
74รายงานงานวิจัยการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 6 คำพื้นถิ่นเรา)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>พื้นถิ่น, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=74https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/046-cover.jpg
74รายงานการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 6 คำพื้นถิ่นเรา)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>พื้นถิ่น, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=74https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/046-cover.jpg
74หนังสือการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 6 คำพื้นถิ่นเรา)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>พื้นถิ่น, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=74https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/046-cover.jpg
74จุลสารการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 6 คำพื้นถิ่นเรา)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>พื้นถิ่น, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=74https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/046-cover.jpg
74สูจิบัตรการช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 6 คำพื้นถิ่นเรา)<p>
การศึกษาการช่วยเหลือร่วมกันในพื้นที่ทางวัฒนธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหมายของการดำรงอยู่ของสังคมประเพณี เพื่อการอยู่รอดร่วมกันของกลุ่มคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน ในจิตสำนึกและค่านิยมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารูปแบบ ความหมายของการช่วยเหลือกันของคนในอดีตถึงปัจจุบัน ฯลฯ โดยพื้นที่การศึกษานั้นเป็นการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่วัฒนธรรมที่ต่างมีตำนานของตนเอง พื้นที่หนึ่งมีตำนานเจ้าบ่อคำแดงเป็นตัวกลางในการเชื่อมคนกลุ่มต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย อยู่ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์สำนึกร่วมกันผ่านการใช้สถานที่และสถาบันทางสังคมเดียวกันคือ วัดเขาน้อย โดยงานวิจัยเรื่องนี้ประกอบด้วย 6 ส่วน อันได้แก่ การช่วยเหลือร่วมกันของพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น : กรณีศึกษาพื้นที่วัฒนธรรมวัดเขาน้อยและพื้นที่วัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 1) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 2) ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 3) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมวัดเขาน้อย (เล่มที่ 4) จดหมายเหตุพื้นที่ทางวัฒนธรรมเจ้าบ่อคำแดง (เล่มที่ 5) และคำพื้นถิ่นเรา (เล่มที่ 6)</p>พื้นถิ่น, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมท้องถิ่น, วัฒนธรรมไทย, วัฒนธรรมเปรียบเทียบ, เจ้าบ่อคำแดง, วัดเขาน้อย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=74https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/046-cover.jpg
75อื่นๆวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่2 จัดทำฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นระยะที่ 2: จัดทำข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เป็นโครงการต่อเนื่องเพื่อสำรวจ รวบรวม สังเคราะห์ข้อมูลภาคสนามเพิ่มเติม นำไปสู่การสร้างและพัฒนาฐานข้อมูลสำหรับให้บริการแก่นักวิจัยและผู้ที่สนใจ ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการสามารถรวบรวมรายนามพิพิธภัณฑ์ จำนวน 458 แห่ง แบ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ 212 แห่ง และข้อมูลจากการประชุมเครือข่าย จำนวน 246 แห่ง โดยมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาและการจัดแสดงของแต่ละพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=75https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/250-cover.jpg
75วารสารวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่2 จัดทำฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นระยะที่ 2: จัดทำข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เป็นโครงการต่อเนื่องเพื่อสำรวจ รวบรวม สังเคราะห์ข้อมูลภาคสนามเพิ่มเติม นำไปสู่การสร้างและพัฒนาฐานข้อมูลสำหรับให้บริการแก่นักวิจัยและผู้ที่สนใจ ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการสามารถรวบรวมรายนามพิพิธภัณฑ์ จำนวน 458 แห่ง แบ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ 212 แห่ง และข้อมูลจากการประชุมเครือข่าย จำนวน 246 แห่ง โดยมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาและการจัดแสดงของแต่ละพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=75https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/250-cover.jpg
75บทความวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่2 จัดทำฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นระยะที่ 2: จัดทำข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เป็นโครงการต่อเนื่องเพื่อสำรวจ รวบรวม สังเคราะห์ข้อมูลภาคสนามเพิ่มเติม นำไปสู่การสร้างและพัฒนาฐานข้อมูลสำหรับให้บริการแก่นักวิจัยและผู้ที่สนใจ ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการสามารถรวบรวมรายนามพิพิธภัณฑ์ จำนวน 458 แห่ง แบ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ 212 แห่ง และข้อมูลจากการประชุมเครือข่าย จำนวน 246 แห่ง โดยมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาและการจัดแสดงของแต่ละพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=75https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/250-cover.jpg
75วิทยานิพนธ์วิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่2 จัดทำฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นระยะที่ 2: จัดทำข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เป็นโครงการต่อเนื่องเพื่อสำรวจ รวบรวม สังเคราะห์ข้อมูลภาคสนามเพิ่มเติม นำไปสู่การสร้างและพัฒนาฐานข้อมูลสำหรับให้บริการแก่นักวิจัยและผู้ที่สนใจ ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการสามารถรวบรวมรายนามพิพิธภัณฑ์ จำนวน 458 แห่ง แบ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ 212 แห่ง และข้อมูลจากการประชุมเครือข่าย จำนวน 246 แห่ง โดยมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาและการจัดแสดงของแต่ละพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=75https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/250-cover.jpg
75รายงานงานวิจัยวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่2 จัดทำฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นระยะที่ 2: จัดทำข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เป็นโครงการต่อเนื่องเพื่อสำรวจ รวบรวม สังเคราะห์ข้อมูลภาคสนามเพิ่มเติม นำไปสู่การสร้างและพัฒนาฐานข้อมูลสำหรับให้บริการแก่นักวิจัยและผู้ที่สนใจ ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการสามารถรวบรวมรายนามพิพิธภัณฑ์ จำนวน 458 แห่ง แบ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ 212 แห่ง และข้อมูลจากการประชุมเครือข่าย จำนวน 246 แห่ง โดยมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาและการจัดแสดงของแต่ละพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=75https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/250-cover.jpg
75รายงานวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่2 จัดทำฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นระยะที่ 2: จัดทำข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เป็นโครงการต่อเนื่องเพื่อสำรวจ รวบรวม สังเคราะห์ข้อมูลภาคสนามเพิ่มเติม นำไปสู่การสร้างและพัฒนาฐานข้อมูลสำหรับให้บริการแก่นักวิจัยและผู้ที่สนใจ ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการสามารถรวบรวมรายนามพิพิธภัณฑ์ จำนวน 458 แห่ง แบ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ 212 แห่ง และข้อมูลจากการประชุมเครือข่าย จำนวน 246 แห่ง โดยมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาและการจัดแสดงของแต่ละพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=75https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/250-cover.jpg
75หนังสือวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่2 จัดทำฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นระยะที่ 2: จัดทำข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เป็นโครงการต่อเนื่องเพื่อสำรวจ รวบรวม สังเคราะห์ข้อมูลภาคสนามเพิ่มเติม นำไปสู่การสร้างและพัฒนาฐานข้อมูลสำหรับให้บริการแก่นักวิจัยและผู้ที่สนใจ ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการสามารถรวบรวมรายนามพิพิธภัณฑ์ จำนวน 458 แห่ง แบ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ 212 แห่ง และข้อมูลจากการประชุมเครือข่าย จำนวน 246 แห่ง โดยมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาและการจัดแสดงของแต่ละพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=75https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/250-cover.jpg
75จุลสารวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่2 จัดทำฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นระยะที่ 2: จัดทำข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เป็นโครงการต่อเนื่องเพื่อสำรวจ รวบรวม สังเคราะห์ข้อมูลภาคสนามเพิ่มเติม นำไปสู่การสร้างและพัฒนาฐานข้อมูลสำหรับให้บริการแก่นักวิจัยและผู้ที่สนใจ ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการสามารถรวบรวมรายนามพิพิธภัณฑ์ จำนวน 458 แห่ง แบ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ 212 แห่ง และข้อมูลจากการประชุมเครือข่าย จำนวน 246 แห่ง โดยมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาและการจัดแสดงของแต่ละพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=75https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/250-cover.jpg
75สูจิบัตรวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ระยะที่2 จัดทำฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น<p>
โครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นระยะที่ 2: จัดทำข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เป็นโครงการต่อเนื่องเพื่อสำรวจ รวบรวม สังเคราะห์ข้อมูลภาคสนามเพิ่มเติม นำไปสู่การสร้างและพัฒนาฐานข้อมูลสำหรับให้บริการแก่นักวิจัยและผู้ที่สนใจ ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการสามารถรวบรวมรายนามพิพิธภัณฑ์ จำนวน 458 แห่ง แบ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ 212 แห่ง และข้อมูลจากการประชุมเครือข่าย จำนวน 246 แห่ง โดยมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาและการจัดแสดงของแต่ละพิพิธภัณฑ์</p>พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, พิพิธภัณฑ์ชุมชน, พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, สำรวจพิพิธภัณฑ์, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=75https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/250-cover.jpg
76อื่นๆเพศวิถีกะเทยอีสานในพื้นที่หมอลำ<p>
หมอลำเป็นมหรสพพื้นบ้านท้องถิ่นอีสานที่ให้ความบันเทิง ทั้งเป็นศูนย์รวมให้ผู้คนในชุมชนมารวมตัวกันซึ่งมีอยู่ทุกช่วงอายุ ทุกเพศ ทุกวัย กลุ่มคนที่มีความโดดเด่นในพื้นที่หมอลำ คือ "กะเทย" เพราะเป็นเหมือนจุดศูนย์รวมกะเทยอีสานทั่วทุกสารทิศและทุกหมู่บ้านเข้ามารวมตัวกัน เป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่ากะเทยอีสานใช้พื้นที่ทางวัฒนธรรมตอบโจทย์ชีวิตตามเพศวิถีของตนโดยไม่ถูกต่อต้านจากคนในชุมชน</p>เพศสภาวะและเพศวิถี, กะเทย, อีสาน, หมอลำ, การแสดงพื้นบ้าน30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=76https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/141-cover.jpg
76วารสารเพศวิถีกะเทยอีสานในพื้นที่หมอลำ<p>
หมอลำเป็นมหรสพพื้นบ้านท้องถิ่นอีสานที่ให้ความบันเทิง ทั้งเป็นศูนย์รวมให้ผู้คนในชุมชนมารวมตัวกันซึ่งมีอยู่ทุกช่วงอายุ ทุกเพศ ทุกวัย กลุ่มคนที่มีความโดดเด่นในพื้นที่หมอลำ คือ "กะเทย" เพราะเป็นเหมือนจุดศูนย์รวมกะเทยอีสานทั่วทุกสารทิศและทุกหมู่บ้านเข้ามารวมตัวกัน เป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่ากะเทยอีสานใช้พื้นที่ทางวัฒนธรรมตอบโจทย์ชีวิตตามเพศวิถีของตนโดยไม่ถูกต่อต้านจากคนในชุมชน</p>เพศสภาวะและเพศวิถี, กะเทย, อีสาน, หมอลำ, การแสดงพื้นบ้าน30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=76https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/141-cover.jpg
76บทความเพศวิถีกะเทยอีสานในพื้นที่หมอลำ<p>
หมอลำเป็นมหรสพพื้นบ้านท้องถิ่นอีสานที่ให้ความบันเทิง ทั้งเป็นศูนย์รวมให้ผู้คนในชุมชนมารวมตัวกันซึ่งมีอยู่ทุกช่วงอายุ ทุกเพศ ทุกวัย กลุ่มคนที่มีความโดดเด่นในพื้นที่หมอลำ คือ "กะเทย" เพราะเป็นเหมือนจุดศูนย์รวมกะเทยอีสานทั่วทุกสารทิศและทุกหมู่บ้านเข้ามารวมตัวกัน เป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่ากะเทยอีสานใช้พื้นที่ทางวัฒนธรรมตอบโจทย์ชีวิตตามเพศวิถีของตนโดยไม่ถูกต่อต้านจากคนในชุมชน</p>เพศสภาวะและเพศวิถี, กะเทย, อีสาน, หมอลำ, การแสดงพื้นบ้าน30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=76https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/141-cover.jpg
76วิทยานิพนธ์เพศวิถีกะเทยอีสานในพื้นที่หมอลำ<p>
หมอลำเป็นมหรสพพื้นบ้านท้องถิ่นอีสานที่ให้ความบันเทิง ทั้งเป็นศูนย์รวมให้ผู้คนในชุมชนมารวมตัวกันซึ่งมีอยู่ทุกช่วงอายุ ทุกเพศ ทุกวัย กลุ่มคนที่มีความโดดเด่นในพื้นที่หมอลำ คือ "กะเทย" เพราะเป็นเหมือนจุดศูนย์รวมกะเทยอีสานทั่วทุกสารทิศและทุกหมู่บ้านเข้ามารวมตัวกัน เป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่ากะเทยอีสานใช้พื้นที่ทางวัฒนธรรมตอบโจทย์ชีวิตตามเพศวิถีของตนโดยไม่ถูกต่อต้านจากคนในชุมชน</p>เพศสภาวะและเพศวิถี, กะเทย, อีสาน, หมอลำ, การแสดงพื้นบ้าน30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=76https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/141-cover.jpg
76รายงานงานวิจัยเพศวิถีกะเทยอีสานในพื้นที่หมอลำ<p>
หมอลำเป็นมหรสพพื้นบ้านท้องถิ่นอีสานที่ให้ความบันเทิง ทั้งเป็นศูนย์รวมให้ผู้คนในชุมชนมารวมตัวกันซึ่งมีอยู่ทุกช่วงอายุ ทุกเพศ ทุกวัย กลุ่มคนที่มีความโดดเด่นในพื้นที่หมอลำ คือ "กะเทย" เพราะเป็นเหมือนจุดศูนย์รวมกะเทยอีสานทั่วทุกสารทิศและทุกหมู่บ้านเข้ามารวมตัวกัน เป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่ากะเทยอีสานใช้พื้นที่ทางวัฒนธรรมตอบโจทย์ชีวิตตามเพศวิถีของตนโดยไม่ถูกต่อต้านจากคนในชุมชน</p>เพศสภาวะและเพศวิถี, กะเทย, อีสาน, หมอลำ, การแสดงพื้นบ้าน30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=76https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/141-cover.jpg
76รายงานเพศวิถีกะเทยอีสานในพื้นที่หมอลำ<p>
หมอลำเป็นมหรสพพื้นบ้านท้องถิ่นอีสานที่ให้ความบันเทิง ทั้งเป็นศูนย์รวมให้ผู้คนในชุมชนมารวมตัวกันซึ่งมีอยู่ทุกช่วงอายุ ทุกเพศ ทุกวัย กลุ่มคนที่มีความโดดเด่นในพื้นที่หมอลำ คือ "กะเทย" เพราะเป็นเหมือนจุดศูนย์รวมกะเทยอีสานทั่วทุกสารทิศและทุกหมู่บ้านเข้ามารวมตัวกัน เป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่ากะเทยอีสานใช้พื้นที่ทางวัฒนธรรมตอบโจทย์ชีวิตตามเพศวิถีของตนโดยไม่ถูกต่อต้านจากคนในชุมชน</p>เพศสภาวะและเพศวิถี, กะเทย, อีสาน, หมอลำ, การแสดงพื้นบ้าน30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=76https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/141-cover.jpg
76หนังสือเพศวิถีกะเทยอีสานในพื้นที่หมอลำ<p>
หมอลำเป็นมหรสพพื้นบ้านท้องถิ่นอีสานที่ให้ความบันเทิง ทั้งเป็นศูนย์รวมให้ผู้คนในชุมชนมารวมตัวกันซึ่งมีอยู่ทุกช่วงอายุ ทุกเพศ ทุกวัย กลุ่มคนที่มีความโดดเด่นในพื้นที่หมอลำ คือ "กะเทย" เพราะเป็นเหมือนจุดศูนย์รวมกะเทยอีสานทั่วทุกสารทิศและทุกหมู่บ้านเข้ามารวมตัวกัน เป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่ากะเทยอีสานใช้พื้นที่ทางวัฒนธรรมตอบโจทย์ชีวิตตามเพศวิถีของตนโดยไม่ถูกต่อต้านจากคนในชุมชน</p>เพศสภาวะและเพศวิถี, กะเทย, อีสาน, หมอลำ, การแสดงพื้นบ้าน30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=76https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/141-cover.jpg
76จุลสารเพศวิถีกะเทยอีสานในพื้นที่หมอลำ<p>
หมอลำเป็นมหรสพพื้นบ้านท้องถิ่นอีสานที่ให้ความบันเทิง ทั้งเป็นศูนย์รวมให้ผู้คนในชุมชนมารวมตัวกันซึ่งมีอยู่ทุกช่วงอายุ ทุกเพศ ทุกวัย กลุ่มคนที่มีความโดดเด่นในพื้นที่หมอลำ คือ "กะเทย" เพราะเป็นเหมือนจุดศูนย์รวมกะเทยอีสานทั่วทุกสารทิศและทุกหมู่บ้านเข้ามารวมตัวกัน เป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่ากะเทยอีสานใช้พื้นที่ทางวัฒนธรรมตอบโจทย์ชีวิตตามเพศวิถีของตนโดยไม่ถูกต่อต้านจากคนในชุมชน</p>เพศสภาวะและเพศวิถี, กะเทย, อีสาน, หมอลำ, การแสดงพื้นบ้าน30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=76https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/141-cover.jpg
76สูจิบัตรเพศวิถีกะเทยอีสานในพื้นที่หมอลำ<p>
หมอลำเป็นมหรสพพื้นบ้านท้องถิ่นอีสานที่ให้ความบันเทิง ทั้งเป็นศูนย์รวมให้ผู้คนในชุมชนมารวมตัวกันซึ่งมีอยู่ทุกช่วงอายุ ทุกเพศ ทุกวัย กลุ่มคนที่มีความโดดเด่นในพื้นที่หมอลำ คือ "กะเทย" เพราะเป็นเหมือนจุดศูนย์รวมกะเทยอีสานทั่วทุกสารทิศและทุกหมู่บ้านเข้ามารวมตัวกัน เป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่ากะเทยอีสานใช้พื้นที่ทางวัฒนธรรมตอบโจทย์ชีวิตตามเพศวิถีของตนโดยไม่ถูกต่อต้านจากคนในชุมชน</p>เพศสภาวะและเพศวิถี, กะเทย, อีสาน, หมอลำ, การแสดงพื้นบ้าน30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=76https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/141-cover.jpg
77อื่นๆชีวิตและประสบการณ์ทางเพศความหมายในโลกของทอม-ดี้<p>
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าวาทกรรมหลักเรื่องเพศยังวนเวียนอยู่ในเรื่องของความเป็นชายและความเป็นหญิง เน้นแนวอนุรักษ์ มีผลทำให้การเรียนรู้เรื่องเพศของคนในสังคมถูกจำกัด จนทำให้ไม่เข้าใจตัวเองและไม่มีความรู้เพียงพอที่จะเลือกหนทางชีวิตเพศได้อย่างรู้เท่าทัน ขณะเดียวกันก็ขัดแย้งกับภาพความเป็นจริงและการปฏิบัติที่ปรากฏในสังคม แทนที่จะทำให้คนในสังคมมีความสุขกับการใช้ชีวิต เพศกลับเป็นการสร้างความทุกข์ ความกังวล และมีปัญหาต่อเนื่องตามมา ยิ่งสังคมมีความจำกัดในเรื่องของความรู้เกี่ยวกับเพศของคนส่วนน้อยเพียงใด ยิ่งทำให้สังคมไม่สามารถเรียนรู้นอกกรอบความเป็นเพศที่มีอยู่ และทำให้การพัฒนาสังคมที่ครอบคลุม รองรับความต้องการของพลเมืองให้มีสิทธิเท่าเทียมและมีคุณภาพอาจถูกลดทอนไป ในประเด็นของคู่สัมพันธ์ทอมดี้ความรู้ก็ยังมีอยู่อย่างจำกัดมาก อาจเป็นเพราะการเลือกที่จะอยู่อย่างเป็นเอกเทศเพื่อไม่ให้เกิดแรงปะทะจากสังคมที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในชีวิตเพศจึงอยู่ในแวดวงเครือข่ายของคนกลุ่มเดียวกัน จึงเกิดข้อจำกัดที่สังคมจะเรียนรู้และยอมรับสิ่งที่พวกเขาต้องการจากสังคม </p>วิถีเพศ, สุขภาวะทางเพศ, สตรี, รักร่วมเพศ, คนข้ามเพศ, ทอมดี้30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=77https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/142-cover.jpg
77วารสารชีวิตและประสบการณ์ทางเพศความหมายในโลกของทอม-ดี้<p>
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าวาทกรรมหลักเรื่องเพศยังวนเวียนอยู่ในเรื่องของความเป็นชายและความเป็นหญิง เน้นแนวอนุรักษ์ มีผลทำให้การเรียนรู้เรื่องเพศของคนในสังคมถูกจำกัด จนทำให้ไม่เข้าใจตัวเองและไม่มีความรู้เพียงพอที่จะเลือกหนทางชีวิตเพศได้อย่างรู้เท่าทัน ขณะเดียวกันก็ขัดแย้งกับภาพความเป็นจริงและการปฏิบัติที่ปรากฏในสังคม แทนที่จะทำให้คนในสังคมมีความสุขกับการใช้ชีวิต เพศกลับเป็นการสร้างความทุกข์ ความกังวล และมีปัญหาต่อเนื่องตามมา ยิ่งสังคมมีความจำกัดในเรื่องของความรู้เกี่ยวกับเพศของคนส่วนน้อยเพียงใด ยิ่งทำให้สังคมไม่สามารถเรียนรู้นอกกรอบความเป็นเพศที่มีอยู่ และทำให้การพัฒนาสังคมที่ครอบคลุม รองรับความต้องการของพลเมืองให้มีสิทธิเท่าเทียมและมีคุณภาพอาจถูกลดทอนไป ในประเด็นของคู่สัมพันธ์ทอมดี้ความรู้ก็ยังมีอยู่อย่างจำกัดมาก อาจเป็นเพราะการเลือกที่จะอยู่อย่างเป็นเอกเทศเพื่อไม่ให้เกิดแรงปะทะจากสังคมที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในชีวิตเพศจึงอยู่ในแวดวงเครือข่ายของคนกลุ่มเดียวกัน จึงเกิดข้อจำกัดที่สังคมจะเรียนรู้และยอมรับสิ่งที่พวกเขาต้องการจากสังคม </p>วิถีเพศ, สุขภาวะทางเพศ, สตรี, รักร่วมเพศ, คนข้ามเพศ, ทอมดี้30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=77https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/142-cover.jpg
77บทความชีวิตและประสบการณ์ทางเพศความหมายในโลกของทอม-ดี้<p>
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าวาทกรรมหลักเรื่องเพศยังวนเวียนอยู่ในเรื่องของความเป็นชายและความเป็นหญิง เน้นแนวอนุรักษ์ มีผลทำให้การเรียนรู้เรื่องเพศของคนในสังคมถูกจำกัด จนทำให้ไม่เข้าใจตัวเองและไม่มีความรู้เพียงพอที่จะเลือกหนทางชีวิตเพศได้อย่างรู้เท่าทัน ขณะเดียวกันก็ขัดแย้งกับภาพความเป็นจริงและการปฏิบัติที่ปรากฏในสังคม แทนที่จะทำให้คนในสังคมมีความสุขกับการใช้ชีวิต เพศกลับเป็นการสร้างความทุกข์ ความกังวล และมีปัญหาต่อเนื่องตามมา ยิ่งสังคมมีความจำกัดในเรื่องของความรู้เกี่ยวกับเพศของคนส่วนน้อยเพียงใด ยิ่งทำให้สังคมไม่สามารถเรียนรู้นอกกรอบความเป็นเพศที่มีอยู่ และทำให้การพัฒนาสังคมที่ครอบคลุม รองรับความต้องการของพลเมืองให้มีสิทธิเท่าเทียมและมีคุณภาพอาจถูกลดทอนไป ในประเด็นของคู่สัมพันธ์ทอมดี้ความรู้ก็ยังมีอยู่อย่างจำกัดมาก อาจเป็นเพราะการเลือกที่จะอยู่อย่างเป็นเอกเทศเพื่อไม่ให้เกิดแรงปะทะจากสังคมที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในชีวิตเพศจึงอยู่ในแวดวงเครือข่ายของคนกลุ่มเดียวกัน จึงเกิดข้อจำกัดที่สังคมจะเรียนรู้และยอมรับสิ่งที่พวกเขาต้องการจากสังคม </p>วิถีเพศ, สุขภาวะทางเพศ, สตรี, รักร่วมเพศ, คนข้ามเพศ, ทอมดี้30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=77https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/142-cover.jpg
77วิทยานิพนธ์ชีวิตและประสบการณ์ทางเพศความหมายในโลกของทอม-ดี้<p>
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าวาทกรรมหลักเรื่องเพศยังวนเวียนอยู่ในเรื่องของความเป็นชายและความเป็นหญิง เน้นแนวอนุรักษ์ มีผลทำให้การเรียนรู้เรื่องเพศของคนในสังคมถูกจำกัด จนทำให้ไม่เข้าใจตัวเองและไม่มีความรู้เพียงพอที่จะเลือกหนทางชีวิตเพศได้อย่างรู้เท่าทัน ขณะเดียวกันก็ขัดแย้งกับภาพความเป็นจริงและการปฏิบัติที่ปรากฏในสังคม แทนที่จะทำให้คนในสังคมมีความสุขกับการใช้ชีวิต เพศกลับเป็นการสร้างความทุกข์ ความกังวล และมีปัญหาต่อเนื่องตามมา ยิ่งสังคมมีความจำกัดในเรื่องของความรู้เกี่ยวกับเพศของคนส่วนน้อยเพียงใด ยิ่งทำให้สังคมไม่สามารถเรียนรู้นอกกรอบความเป็นเพศที่มีอยู่ และทำให้การพัฒนาสังคมที่ครอบคลุม รองรับความต้องการของพลเมืองให้มีสิทธิเท่าเทียมและมีคุณภาพอาจถูกลดทอนไป ในประเด็นของคู่สัมพันธ์ทอมดี้ความรู้ก็ยังมีอยู่อย่างจำกัดมาก อาจเป็นเพราะการเลือกที่จะอยู่อย่างเป็นเอกเทศเพื่อไม่ให้เกิดแรงปะทะจากสังคมที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในชีวิตเพศจึงอยู่ในแวดวงเครือข่ายของคนกลุ่มเดียวกัน จึงเกิดข้อจำกัดที่สังคมจะเรียนรู้และยอมรับสิ่งที่พวกเขาต้องการจากสังคม </p>วิถีเพศ, สุขภาวะทางเพศ, สตรี, รักร่วมเพศ, คนข้ามเพศ, ทอมดี้30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=77https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/142-cover.jpg
77รายงานงานวิจัยชีวิตและประสบการณ์ทางเพศความหมายในโลกของทอม-ดี้<p>
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าวาทกรรมหลักเรื่องเพศยังวนเวียนอยู่ในเรื่องของความเป็นชายและความเป็นหญิง เน้นแนวอนุรักษ์ มีผลทำให้การเรียนรู้เรื่องเพศของคนในสังคมถูกจำกัด จนทำให้ไม่เข้าใจตัวเองและไม่มีความรู้เพียงพอที่จะเลือกหนทางชีวิตเพศได้อย่างรู้เท่าทัน ขณะเดียวกันก็ขัดแย้งกับภาพความเป็นจริงและการปฏิบัติที่ปรากฏในสังคม แทนที่จะทำให้คนในสังคมมีความสุขกับการใช้ชีวิต เพศกลับเป็นการสร้างความทุกข์ ความกังวล และมีปัญหาต่อเนื่องตามมา ยิ่งสังคมมีความจำกัดในเรื่องของความรู้เกี่ยวกับเพศของคนส่วนน้อยเพียงใด ยิ่งทำให้สังคมไม่สามารถเรียนรู้นอกกรอบความเป็นเพศที่มีอยู่ และทำให้การพัฒนาสังคมที่ครอบคลุม รองรับความต้องการของพลเมืองให้มีสิทธิเท่าเทียมและมีคุณภาพอาจถูกลดทอนไป ในประเด็นของคู่สัมพันธ์ทอมดี้ความรู้ก็ยังมีอยู่อย่างจำกัดมาก อาจเป็นเพราะการเลือกที่จะอยู่อย่างเป็นเอกเทศเพื่อไม่ให้เกิดแรงปะทะจากสังคมที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในชีวิตเพศจึงอยู่ในแวดวงเครือข่ายของคนกลุ่มเดียวกัน จึงเกิดข้อจำกัดที่สังคมจะเรียนรู้และยอมรับสิ่งที่พวกเขาต้องการจากสังคม </p>วิถีเพศ, สุขภาวะทางเพศ, สตรี, รักร่วมเพศ, คนข้ามเพศ, ทอมดี้30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=77https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/142-cover.jpg
77รายงานชีวิตและประสบการณ์ทางเพศความหมายในโลกของทอม-ดี้<p>
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าวาทกรรมหลักเรื่องเพศยังวนเวียนอยู่ในเรื่องของความเป็นชายและความเป็นหญิง เน้นแนวอนุรักษ์ มีผลทำให้การเรียนรู้เรื่องเพศของคนในสังคมถูกจำกัด จนทำให้ไม่เข้าใจตัวเองและไม่มีความรู้เพียงพอที่จะเลือกหนทางชีวิตเพศได้อย่างรู้เท่าทัน ขณะเดียวกันก็ขัดแย้งกับภาพความเป็นจริงและการปฏิบัติที่ปรากฏในสังคม แทนที่จะทำให้คนในสังคมมีความสุขกับการใช้ชีวิต เพศกลับเป็นการสร้างความทุกข์ ความกังวล และมีปัญหาต่อเนื่องตามมา ยิ่งสังคมมีความจำกัดในเรื่องของความรู้เกี่ยวกับเพศของคนส่วนน้อยเพียงใด ยิ่งทำให้สังคมไม่สามารถเรียนรู้นอกกรอบความเป็นเพศที่มีอยู่ และทำให้การพัฒนาสังคมที่ครอบคลุม รองรับความต้องการของพลเมืองให้มีสิทธิเท่าเทียมและมีคุณภาพอาจถูกลดทอนไป ในประเด็นของคู่สัมพันธ์ทอมดี้ความรู้ก็ยังมีอยู่อย่างจำกัดมาก อาจเป็นเพราะการเลือกที่จะอยู่อย่างเป็นเอกเทศเพื่อไม่ให้เกิดแรงปะทะจากสังคมที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในชีวิตเพศจึงอยู่ในแวดวงเครือข่ายของคนกลุ่มเดียวกัน จึงเกิดข้อจำกัดที่สังคมจะเรียนรู้และยอมรับสิ่งที่พวกเขาต้องการจากสังคม </p>วิถีเพศ, สุขภาวะทางเพศ, สตรี, รักร่วมเพศ, คนข้ามเพศ, ทอมดี้30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=77https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/142-cover.jpg
77หนังสือชีวิตและประสบการณ์ทางเพศความหมายในโลกของทอม-ดี้<p>
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าวาทกรรมหลักเรื่องเพศยังวนเวียนอยู่ในเรื่องของความเป็นชายและความเป็นหญิง เน้นแนวอนุรักษ์ มีผลทำให้การเรียนรู้เรื่องเพศของคนในสังคมถูกจำกัด จนทำให้ไม่เข้าใจตัวเองและไม่มีความรู้เพียงพอที่จะเลือกหนทางชีวิตเพศได้อย่างรู้เท่าทัน ขณะเดียวกันก็ขัดแย้งกับภาพความเป็นจริงและการปฏิบัติที่ปรากฏในสังคม แทนที่จะทำให้คนในสังคมมีความสุขกับการใช้ชีวิต เพศกลับเป็นการสร้างความทุกข์ ความกังวล และมีปัญหาต่อเนื่องตามมา ยิ่งสังคมมีความจำกัดในเรื่องของความรู้เกี่ยวกับเพศของคนส่วนน้อยเพียงใด ยิ่งทำให้สังคมไม่สามารถเรียนรู้นอกกรอบความเป็นเพศที่มีอยู่ และทำให้การพัฒนาสังคมที่ครอบคลุม รองรับความต้องการของพลเมืองให้มีสิทธิเท่าเทียมและมีคุณภาพอาจถูกลดทอนไป ในประเด็นของคู่สัมพันธ์ทอมดี้ความรู้ก็ยังมีอยู่อย่างจำกัดมาก อาจเป็นเพราะการเลือกที่จะอยู่อย่างเป็นเอกเทศเพื่อไม่ให้เกิดแรงปะทะจากสังคมที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในชีวิตเพศจึงอยู่ในแวดวงเครือข่ายของคนกลุ่มเดียวกัน จึงเกิดข้อจำกัดที่สังคมจะเรียนรู้และยอมรับสิ่งที่พวกเขาต้องการจากสังคม </p>วิถีเพศ, สุขภาวะทางเพศ, สตรี, รักร่วมเพศ, คนข้ามเพศ, ทอมดี้30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=77https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/142-cover.jpg
77จุลสารชีวิตและประสบการณ์ทางเพศความหมายในโลกของทอม-ดี้<p>
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าวาทกรรมหลักเรื่องเพศยังวนเวียนอยู่ในเรื่องของความเป็นชายและความเป็นหญิง เน้นแนวอนุรักษ์ มีผลทำให้การเรียนรู้เรื่องเพศของคนในสังคมถูกจำกัด จนทำให้ไม่เข้าใจตัวเองและไม่มีความรู้เพียงพอที่จะเลือกหนทางชีวิตเพศได้อย่างรู้เท่าทัน ขณะเดียวกันก็ขัดแย้งกับภาพความเป็นจริงและการปฏิบัติที่ปรากฏในสังคม แทนที่จะทำให้คนในสังคมมีความสุขกับการใช้ชีวิต เพศกลับเป็นการสร้างความทุกข์ ความกังวล และมีปัญหาต่อเนื่องตามมา ยิ่งสังคมมีความจำกัดในเรื่องของความรู้เกี่ยวกับเพศของคนส่วนน้อยเพียงใด ยิ่งทำให้สังคมไม่สามารถเรียนรู้นอกกรอบความเป็นเพศที่มีอยู่ และทำให้การพัฒนาสังคมที่ครอบคลุม รองรับความต้องการของพลเมืองให้มีสิทธิเท่าเทียมและมีคุณภาพอาจถูกลดทอนไป ในประเด็นของคู่สัมพันธ์ทอมดี้ความรู้ก็ยังมีอยู่อย่างจำกัดมาก อาจเป็นเพราะการเลือกที่จะอยู่อย่างเป็นเอกเทศเพื่อไม่ให้เกิดแรงปะทะจากสังคมที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในชีวิตเพศจึงอยู่ในแวดวงเครือข่ายของคนกลุ่มเดียวกัน จึงเกิดข้อจำกัดที่สังคมจะเรียนรู้และยอมรับสิ่งที่พวกเขาต้องการจากสังคม </p>วิถีเพศ, สุขภาวะทางเพศ, สตรี, รักร่วมเพศ, คนข้ามเพศ, ทอมดี้30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=77https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/142-cover.jpg
77สูจิบัตรชีวิตและประสบการณ์ทางเพศความหมายในโลกของทอม-ดี้<p>
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าวาทกรรมหลักเรื่องเพศยังวนเวียนอยู่ในเรื่องของความเป็นชายและความเป็นหญิง เน้นแนวอนุรักษ์ มีผลทำให้การเรียนรู้เรื่องเพศของคนในสังคมถูกจำกัด จนทำให้ไม่เข้าใจตัวเองและไม่มีความรู้เพียงพอที่จะเลือกหนทางชีวิตเพศได้อย่างรู้เท่าทัน ขณะเดียวกันก็ขัดแย้งกับภาพความเป็นจริงและการปฏิบัติที่ปรากฏในสังคม แทนที่จะทำให้คนในสังคมมีความสุขกับการใช้ชีวิต เพศกลับเป็นการสร้างความทุกข์ ความกังวล และมีปัญหาต่อเนื่องตามมา ยิ่งสังคมมีความจำกัดในเรื่องของความรู้เกี่ยวกับเพศของคนส่วนน้อยเพียงใด ยิ่งทำให้สังคมไม่สามารถเรียนรู้นอกกรอบความเป็นเพศที่มีอยู่ และทำให้การพัฒนาสังคมที่ครอบคลุม รองรับความต้องการของพลเมืองให้มีสิทธิเท่าเทียมและมีคุณภาพอาจถูกลดทอนไป ในประเด็นของคู่สัมพันธ์ทอมดี้ความรู้ก็ยังมีอยู่อย่างจำกัดมาก อาจเป็นเพราะการเลือกที่จะอยู่อย่างเป็นเอกเทศเพื่อไม่ให้เกิดแรงปะทะจากสังคมที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในชีวิตเพศจึงอยู่ในแวดวงเครือข่ายของคนกลุ่มเดียวกัน จึงเกิดข้อจำกัดที่สังคมจะเรียนรู้และยอมรับสิ่งที่พวกเขาต้องการจากสังคม </p>วิถีเพศ, สุขภาวะทางเพศ, สตรี, รักร่วมเพศ, คนข้ามเพศ, ทอมดี้30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=77https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/142-cover.jpg
78อื่นๆโลกของนางยี่เกชายยุคก่อนและหลังจอมพล ป.พิบูลสงคราม<p>
นาฏกรรมยี่เกหรือลิเก คือ คำเดียวกันหมายถึงศิลปะการแสดงที่มีเนื้อร้อง ท่าทาง บทเจรจา พัฒนาการของการแสดงยี่เกมีมาช้านาน สันนิษฐานว่าเข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนยี่เกเริ่มแสดงในสังคมไทยราวสมัยรัชกาลที่ 5 ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเล่นถวายเป็นมหรสพในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล การแสดงยี่เกนั้นแต่เดิมผู้แสดงมักเป็นชายล้วน ซึ่งเป็นขนบการแสดงของไทย การแสดงขณะนั้นผูกโยงกับวิธีคิดเรื่องเพศแบบชาวบ้านในสังคมไทยที่รับรู้การแบ่งเพศชายหญิงจากการแต่งกายในการแสดง โดยชาวบ้านไม่ได้สนใจว่าการแสดงออกตัวตน อารมณ์ ความปรารถนาทางเพศของผู้แสดงมากไปกว่าบทบาทที่แสดง คติความคิดเรื่องเพศก็เปลี่ยนผ่านต่อมาในยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม กำหนดนโยบายรัฐ รวมถึงเปลี่ยนระบบวิธีคิดเรื่องเพศให้กับชาวบ้านหันมายอมรับการจัดแบ่งเพศตามแบบตะวันตก การที่ให้ผู้ชายมารับบทเป็นตัวนางเป็นวิธีคิดเรื่องเพศที่รัฐพยายามปฏิเสธด้วยการออกพระราชกฤษฎีกา ห้ามให้มียี่เกคณะใดเป็นชายล้วนเล่น วิธีการเหล่านี้จึงมีผลให้การแสดงยี่เกชายล้วนต้องยุติบทบาทลงไป</p>ยี่เก, ลิเก, เอกลักษณ์ทางเพศ, เพศสภาวะ, เพศสภาพ, เพศสภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, นาฎกรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=78https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/143-cover.jpg
78วารสารโลกของนางยี่เกชายยุคก่อนและหลังจอมพล ป.พิบูลสงคราม<p>
นาฏกรรมยี่เกหรือลิเก คือ คำเดียวกันหมายถึงศิลปะการแสดงที่มีเนื้อร้อง ท่าทาง บทเจรจา พัฒนาการของการแสดงยี่เกมีมาช้านาน สันนิษฐานว่าเข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนยี่เกเริ่มแสดงในสังคมไทยราวสมัยรัชกาลที่ 5 ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเล่นถวายเป็นมหรสพในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล การแสดงยี่เกนั้นแต่เดิมผู้แสดงมักเป็นชายล้วน ซึ่งเป็นขนบการแสดงของไทย การแสดงขณะนั้นผูกโยงกับวิธีคิดเรื่องเพศแบบชาวบ้านในสังคมไทยที่รับรู้การแบ่งเพศชายหญิงจากการแต่งกายในการแสดง โดยชาวบ้านไม่ได้สนใจว่าการแสดงออกตัวตน อารมณ์ ความปรารถนาทางเพศของผู้แสดงมากไปกว่าบทบาทที่แสดง คติความคิดเรื่องเพศก็เปลี่ยนผ่านต่อมาในยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม กำหนดนโยบายรัฐ รวมถึงเปลี่ยนระบบวิธีคิดเรื่องเพศให้กับชาวบ้านหันมายอมรับการจัดแบ่งเพศตามแบบตะวันตก การที่ให้ผู้ชายมารับบทเป็นตัวนางเป็นวิธีคิดเรื่องเพศที่รัฐพยายามปฏิเสธด้วยการออกพระราชกฤษฎีกา ห้ามให้มียี่เกคณะใดเป็นชายล้วนเล่น วิธีการเหล่านี้จึงมีผลให้การแสดงยี่เกชายล้วนต้องยุติบทบาทลงไป</p>ยี่เก, ลิเก, เอกลักษณ์ทางเพศ, เพศสภาวะ, เพศสภาพ, เพศสภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, นาฎกรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=78https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/143-cover.jpg
78บทความโลกของนางยี่เกชายยุคก่อนและหลังจอมพล ป.พิบูลสงคราม<p>
นาฏกรรมยี่เกหรือลิเก คือ คำเดียวกันหมายถึงศิลปะการแสดงที่มีเนื้อร้อง ท่าทาง บทเจรจา พัฒนาการของการแสดงยี่เกมีมาช้านาน สันนิษฐานว่าเข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนยี่เกเริ่มแสดงในสังคมไทยราวสมัยรัชกาลที่ 5 ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเล่นถวายเป็นมหรสพในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล การแสดงยี่เกนั้นแต่เดิมผู้แสดงมักเป็นชายล้วน ซึ่งเป็นขนบการแสดงของไทย การแสดงขณะนั้นผูกโยงกับวิธีคิดเรื่องเพศแบบชาวบ้านในสังคมไทยที่รับรู้การแบ่งเพศชายหญิงจากการแต่งกายในการแสดง โดยชาวบ้านไม่ได้สนใจว่าการแสดงออกตัวตน อารมณ์ ความปรารถนาทางเพศของผู้แสดงมากไปกว่าบทบาทที่แสดง คติความคิดเรื่องเพศก็เปลี่ยนผ่านต่อมาในยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม กำหนดนโยบายรัฐ รวมถึงเปลี่ยนระบบวิธีคิดเรื่องเพศให้กับชาวบ้านหันมายอมรับการจัดแบ่งเพศตามแบบตะวันตก การที่ให้ผู้ชายมารับบทเป็นตัวนางเป็นวิธีคิดเรื่องเพศที่รัฐพยายามปฏิเสธด้วยการออกพระราชกฤษฎีกา ห้ามให้มียี่เกคณะใดเป็นชายล้วนเล่น วิธีการเหล่านี้จึงมีผลให้การแสดงยี่เกชายล้วนต้องยุติบทบาทลงไป</p>ยี่เก, ลิเก, เอกลักษณ์ทางเพศ, เพศสภาวะ, เพศสภาพ, เพศสภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, นาฎกรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=78https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/143-cover.jpg
78วิทยานิพนธ์โลกของนางยี่เกชายยุคก่อนและหลังจอมพล ป.พิบูลสงคราม<p>
นาฏกรรมยี่เกหรือลิเก คือ คำเดียวกันหมายถึงศิลปะการแสดงที่มีเนื้อร้อง ท่าทาง บทเจรจา พัฒนาการของการแสดงยี่เกมีมาช้านาน สันนิษฐานว่าเข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนยี่เกเริ่มแสดงในสังคมไทยราวสมัยรัชกาลที่ 5 ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเล่นถวายเป็นมหรสพในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล การแสดงยี่เกนั้นแต่เดิมผู้แสดงมักเป็นชายล้วน ซึ่งเป็นขนบการแสดงของไทย การแสดงขณะนั้นผูกโยงกับวิธีคิดเรื่องเพศแบบชาวบ้านในสังคมไทยที่รับรู้การแบ่งเพศชายหญิงจากการแต่งกายในการแสดง โดยชาวบ้านไม่ได้สนใจว่าการแสดงออกตัวตน อารมณ์ ความปรารถนาทางเพศของผู้แสดงมากไปกว่าบทบาทที่แสดง คติความคิดเรื่องเพศก็เปลี่ยนผ่านต่อมาในยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม กำหนดนโยบายรัฐ รวมถึงเปลี่ยนระบบวิธีคิดเรื่องเพศให้กับชาวบ้านหันมายอมรับการจัดแบ่งเพศตามแบบตะวันตก การที่ให้ผู้ชายมารับบทเป็นตัวนางเป็นวิธีคิดเรื่องเพศที่รัฐพยายามปฏิเสธด้วยการออกพระราชกฤษฎีกา ห้ามให้มียี่เกคณะใดเป็นชายล้วนเล่น วิธีการเหล่านี้จึงมีผลให้การแสดงยี่เกชายล้วนต้องยุติบทบาทลงไป</p>ยี่เก, ลิเก, เอกลักษณ์ทางเพศ, เพศสภาวะ, เพศสภาพ, เพศสภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, นาฎกรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=78https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/143-cover.jpg
78รายงานงานวิจัยโลกของนางยี่เกชายยุคก่อนและหลังจอมพล ป.พิบูลสงคราม<p>
นาฏกรรมยี่เกหรือลิเก คือ คำเดียวกันหมายถึงศิลปะการแสดงที่มีเนื้อร้อง ท่าทาง บทเจรจา พัฒนาการของการแสดงยี่เกมีมาช้านาน สันนิษฐานว่าเข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนยี่เกเริ่มแสดงในสังคมไทยราวสมัยรัชกาลที่ 5 ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเล่นถวายเป็นมหรสพในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล การแสดงยี่เกนั้นแต่เดิมผู้แสดงมักเป็นชายล้วน ซึ่งเป็นขนบการแสดงของไทย การแสดงขณะนั้นผูกโยงกับวิธีคิดเรื่องเพศแบบชาวบ้านในสังคมไทยที่รับรู้การแบ่งเพศชายหญิงจากการแต่งกายในการแสดง โดยชาวบ้านไม่ได้สนใจว่าการแสดงออกตัวตน อารมณ์ ความปรารถนาทางเพศของผู้แสดงมากไปกว่าบทบาทที่แสดง คติความคิดเรื่องเพศก็เปลี่ยนผ่านต่อมาในยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม กำหนดนโยบายรัฐ รวมถึงเปลี่ยนระบบวิธีคิดเรื่องเพศให้กับชาวบ้านหันมายอมรับการจัดแบ่งเพศตามแบบตะวันตก การที่ให้ผู้ชายมารับบทเป็นตัวนางเป็นวิธีคิดเรื่องเพศที่รัฐพยายามปฏิเสธด้วยการออกพระราชกฤษฎีกา ห้ามให้มียี่เกคณะใดเป็นชายล้วนเล่น วิธีการเหล่านี้จึงมีผลให้การแสดงยี่เกชายล้วนต้องยุติบทบาทลงไป</p>ยี่เก, ลิเก, เอกลักษณ์ทางเพศ, เพศสภาวะ, เพศสภาพ, เพศสภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, นาฎกรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=78https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/143-cover.jpg
78รายงานโลกของนางยี่เกชายยุคก่อนและหลังจอมพล ป.พิบูลสงคราม<p>
นาฏกรรมยี่เกหรือลิเก คือ คำเดียวกันหมายถึงศิลปะการแสดงที่มีเนื้อร้อง ท่าทาง บทเจรจา พัฒนาการของการแสดงยี่เกมีมาช้านาน สันนิษฐานว่าเข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนยี่เกเริ่มแสดงในสังคมไทยราวสมัยรัชกาลที่ 5 ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเล่นถวายเป็นมหรสพในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล การแสดงยี่เกนั้นแต่เดิมผู้แสดงมักเป็นชายล้วน ซึ่งเป็นขนบการแสดงของไทย การแสดงขณะนั้นผูกโยงกับวิธีคิดเรื่องเพศแบบชาวบ้านในสังคมไทยที่รับรู้การแบ่งเพศชายหญิงจากการแต่งกายในการแสดง โดยชาวบ้านไม่ได้สนใจว่าการแสดงออกตัวตน อารมณ์ ความปรารถนาทางเพศของผู้แสดงมากไปกว่าบทบาทที่แสดง คติความคิดเรื่องเพศก็เปลี่ยนผ่านต่อมาในยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม กำหนดนโยบายรัฐ รวมถึงเปลี่ยนระบบวิธีคิดเรื่องเพศให้กับชาวบ้านหันมายอมรับการจัดแบ่งเพศตามแบบตะวันตก การที่ให้ผู้ชายมารับบทเป็นตัวนางเป็นวิธีคิดเรื่องเพศที่รัฐพยายามปฏิเสธด้วยการออกพระราชกฤษฎีกา ห้ามให้มียี่เกคณะใดเป็นชายล้วนเล่น วิธีการเหล่านี้จึงมีผลให้การแสดงยี่เกชายล้วนต้องยุติบทบาทลงไป</p>ยี่เก, ลิเก, เอกลักษณ์ทางเพศ, เพศสภาวะ, เพศสภาพ, เพศสภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, นาฎกรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=78https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/143-cover.jpg
78หนังสือโลกของนางยี่เกชายยุคก่อนและหลังจอมพล ป.พิบูลสงคราม<p>
นาฏกรรมยี่เกหรือลิเก คือ คำเดียวกันหมายถึงศิลปะการแสดงที่มีเนื้อร้อง ท่าทาง บทเจรจา พัฒนาการของการแสดงยี่เกมีมาช้านาน สันนิษฐานว่าเข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนยี่เกเริ่มแสดงในสังคมไทยราวสมัยรัชกาลที่ 5 ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเล่นถวายเป็นมหรสพในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล การแสดงยี่เกนั้นแต่เดิมผู้แสดงมักเป็นชายล้วน ซึ่งเป็นขนบการแสดงของไทย การแสดงขณะนั้นผูกโยงกับวิธีคิดเรื่องเพศแบบชาวบ้านในสังคมไทยที่รับรู้การแบ่งเพศชายหญิงจากการแต่งกายในการแสดง โดยชาวบ้านไม่ได้สนใจว่าการแสดงออกตัวตน อารมณ์ ความปรารถนาทางเพศของผู้แสดงมากไปกว่าบทบาทที่แสดง คติความคิดเรื่องเพศก็เปลี่ยนผ่านต่อมาในยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม กำหนดนโยบายรัฐ รวมถึงเปลี่ยนระบบวิธีคิดเรื่องเพศให้กับชาวบ้านหันมายอมรับการจัดแบ่งเพศตามแบบตะวันตก การที่ให้ผู้ชายมารับบทเป็นตัวนางเป็นวิธีคิดเรื่องเพศที่รัฐพยายามปฏิเสธด้วยการออกพระราชกฤษฎีกา ห้ามให้มียี่เกคณะใดเป็นชายล้วนเล่น วิธีการเหล่านี้จึงมีผลให้การแสดงยี่เกชายล้วนต้องยุติบทบาทลงไป</p>ยี่เก, ลิเก, เอกลักษณ์ทางเพศ, เพศสภาวะ, เพศสภาพ, เพศสภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, นาฎกรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=78https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/143-cover.jpg
78จุลสารโลกของนางยี่เกชายยุคก่อนและหลังจอมพล ป.พิบูลสงคราม<p>
นาฏกรรมยี่เกหรือลิเก คือ คำเดียวกันหมายถึงศิลปะการแสดงที่มีเนื้อร้อง ท่าทาง บทเจรจา พัฒนาการของการแสดงยี่เกมีมาช้านาน สันนิษฐานว่าเข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนยี่เกเริ่มแสดงในสังคมไทยราวสมัยรัชกาลที่ 5 ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเล่นถวายเป็นมหรสพในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล การแสดงยี่เกนั้นแต่เดิมผู้แสดงมักเป็นชายล้วน ซึ่งเป็นขนบการแสดงของไทย การแสดงขณะนั้นผูกโยงกับวิธีคิดเรื่องเพศแบบชาวบ้านในสังคมไทยที่รับรู้การแบ่งเพศชายหญิงจากการแต่งกายในการแสดง โดยชาวบ้านไม่ได้สนใจว่าการแสดงออกตัวตน อารมณ์ ความปรารถนาทางเพศของผู้แสดงมากไปกว่าบทบาทที่แสดง คติความคิดเรื่องเพศก็เปลี่ยนผ่านต่อมาในยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม กำหนดนโยบายรัฐ รวมถึงเปลี่ยนระบบวิธีคิดเรื่องเพศให้กับชาวบ้านหันมายอมรับการจัดแบ่งเพศตามแบบตะวันตก การที่ให้ผู้ชายมารับบทเป็นตัวนางเป็นวิธีคิดเรื่องเพศที่รัฐพยายามปฏิเสธด้วยการออกพระราชกฤษฎีกา ห้ามให้มียี่เกคณะใดเป็นชายล้วนเล่น วิธีการเหล่านี้จึงมีผลให้การแสดงยี่เกชายล้วนต้องยุติบทบาทลงไป</p>ยี่เก, ลิเก, เอกลักษณ์ทางเพศ, เพศสภาวะ, เพศสภาพ, เพศสภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, นาฎกรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=78https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/143-cover.jpg
78สูจิบัตรโลกของนางยี่เกชายยุคก่อนและหลังจอมพล ป.พิบูลสงคราม<p>
นาฏกรรมยี่เกหรือลิเก คือ คำเดียวกันหมายถึงศิลปะการแสดงที่มีเนื้อร้อง ท่าทาง บทเจรจา พัฒนาการของการแสดงยี่เกมีมาช้านาน สันนิษฐานว่าเข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนยี่เกเริ่มแสดงในสังคมไทยราวสมัยรัชกาลที่ 5 ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเล่นถวายเป็นมหรสพในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล การแสดงยี่เกนั้นแต่เดิมผู้แสดงมักเป็นชายล้วน ซึ่งเป็นขนบการแสดงของไทย การแสดงขณะนั้นผูกโยงกับวิธีคิดเรื่องเพศแบบชาวบ้านในสังคมไทยที่รับรู้การแบ่งเพศชายหญิงจากการแต่งกายในการแสดง โดยชาวบ้านไม่ได้สนใจว่าการแสดงออกตัวตน อารมณ์ ความปรารถนาทางเพศของผู้แสดงมากไปกว่าบทบาทที่แสดง คติความคิดเรื่องเพศก็เปลี่ยนผ่านต่อมาในยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม กำหนดนโยบายรัฐ รวมถึงเปลี่ยนระบบวิธีคิดเรื่องเพศให้กับชาวบ้านหันมายอมรับการจัดแบ่งเพศตามแบบตะวันตก การที่ให้ผู้ชายมารับบทเป็นตัวนางเป็นวิธีคิดเรื่องเพศที่รัฐพยายามปฏิเสธด้วยการออกพระราชกฤษฎีกา ห้ามให้มียี่เกคณะใดเป็นชายล้วนเล่น วิธีการเหล่านี้จึงมีผลให้การแสดงยี่เกชายล้วนต้องยุติบทบาทลงไป</p>ยี่เก, ลิเก, เอกลักษณ์ทางเพศ, เพศสภาวะ, เพศสภาพ, เพศสภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, นาฎกรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=78https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/143-cover.jpg
79อื่นๆพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย : พื้นที่เปิดทางเพศภาวะในสังคมล้านนา<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาเพศภาวะของม้าขี่ที่เป็นปู๊เมีย ซึ่งคำว่า ม้าขี่ เป็นภาษาถิ่นล้านนาใช้เรียกการลงประทับร่างทรงของผีเจ้านาย และผู้วิจัยได้เลือกใช้คำว่า ปู๊เมีย เพื่อเรียกกะเทยหรือผู้ที่มีลักษณะรวมกันระหว่างชายกับหญิงตามพจนานุกรมล้านนา รวบรวมและเรียบเรียงโดยศาสตรจารย์เกียรติคุณ มณีพยอมยงค์ การศึกษาพิธีกรรมทรงผีเจ้านายจัดเป็นวัฒนธรรมสำคัญอย่างหนึ่ง สามารถนำมาเรียนรู้และทำความเข้าใจสังคมล้านนาหรือบริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยในด้านความหลากหลายทางเพศภาวะ จากเดิมที่จำกัดเฉพาะเพศหญิงเท่านั้น การศึกษาม้าขี่ปู๊เมียในพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย จึงเน้นย้ำให้ความสำคัญกับสังคมพหุวัฒนธรรมหรือความหลากหลายทางเพศภาวะที่แตกต่างไปจากผู้หญิงและผู้ชายในสังคมล้านนา</p>พิธีกรรม, ผีเจ้านาย, ม้าขี่, การเข้าทรง, ความเชื่อ, กะเทย, เพศภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, ล้านนา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=79https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/144-cover.jpg
79วารสารพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย : พื้นที่เปิดทางเพศภาวะในสังคมล้านนา<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาเพศภาวะของม้าขี่ที่เป็นปู๊เมีย ซึ่งคำว่า ม้าขี่ เป็นภาษาถิ่นล้านนาใช้เรียกการลงประทับร่างทรงของผีเจ้านาย และผู้วิจัยได้เลือกใช้คำว่า ปู๊เมีย เพื่อเรียกกะเทยหรือผู้ที่มีลักษณะรวมกันระหว่างชายกับหญิงตามพจนานุกรมล้านนา รวบรวมและเรียบเรียงโดยศาสตรจารย์เกียรติคุณ มณีพยอมยงค์ การศึกษาพิธีกรรมทรงผีเจ้านายจัดเป็นวัฒนธรรมสำคัญอย่างหนึ่ง สามารถนำมาเรียนรู้และทำความเข้าใจสังคมล้านนาหรือบริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยในด้านความหลากหลายทางเพศภาวะ จากเดิมที่จำกัดเฉพาะเพศหญิงเท่านั้น การศึกษาม้าขี่ปู๊เมียในพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย จึงเน้นย้ำให้ความสำคัญกับสังคมพหุวัฒนธรรมหรือความหลากหลายทางเพศภาวะที่แตกต่างไปจากผู้หญิงและผู้ชายในสังคมล้านนา</p>พิธีกรรม, ผีเจ้านาย, ม้าขี่, การเข้าทรง, ความเชื่อ, กะเทย, เพศภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, ล้านนา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=79https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/144-cover.jpg
79บทความพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย : พื้นที่เปิดทางเพศภาวะในสังคมล้านนา<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาเพศภาวะของม้าขี่ที่เป็นปู๊เมีย ซึ่งคำว่า ม้าขี่ เป็นภาษาถิ่นล้านนาใช้เรียกการลงประทับร่างทรงของผีเจ้านาย และผู้วิจัยได้เลือกใช้คำว่า ปู๊เมีย เพื่อเรียกกะเทยหรือผู้ที่มีลักษณะรวมกันระหว่างชายกับหญิงตามพจนานุกรมล้านนา รวบรวมและเรียบเรียงโดยศาสตรจารย์เกียรติคุณ มณีพยอมยงค์ การศึกษาพิธีกรรมทรงผีเจ้านายจัดเป็นวัฒนธรรมสำคัญอย่างหนึ่ง สามารถนำมาเรียนรู้และทำความเข้าใจสังคมล้านนาหรือบริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยในด้านความหลากหลายทางเพศภาวะ จากเดิมที่จำกัดเฉพาะเพศหญิงเท่านั้น การศึกษาม้าขี่ปู๊เมียในพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย จึงเน้นย้ำให้ความสำคัญกับสังคมพหุวัฒนธรรมหรือความหลากหลายทางเพศภาวะที่แตกต่างไปจากผู้หญิงและผู้ชายในสังคมล้านนา</p>พิธีกรรม, ผีเจ้านาย, ม้าขี่, การเข้าทรง, ความเชื่อ, กะเทย, เพศภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, ล้านนา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=79https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/144-cover.jpg
79วิทยานิพนธ์พิธีกรรมทรงผีเจ้านาย : พื้นที่เปิดทางเพศภาวะในสังคมล้านนา<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาเพศภาวะของม้าขี่ที่เป็นปู๊เมีย ซึ่งคำว่า ม้าขี่ เป็นภาษาถิ่นล้านนาใช้เรียกการลงประทับร่างทรงของผีเจ้านาย และผู้วิจัยได้เลือกใช้คำว่า ปู๊เมีย เพื่อเรียกกะเทยหรือผู้ที่มีลักษณะรวมกันระหว่างชายกับหญิงตามพจนานุกรมล้านนา รวบรวมและเรียบเรียงโดยศาสตรจารย์เกียรติคุณ มณีพยอมยงค์ การศึกษาพิธีกรรมทรงผีเจ้านายจัดเป็นวัฒนธรรมสำคัญอย่างหนึ่ง สามารถนำมาเรียนรู้และทำความเข้าใจสังคมล้านนาหรือบริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยในด้านความหลากหลายทางเพศภาวะ จากเดิมที่จำกัดเฉพาะเพศหญิงเท่านั้น การศึกษาม้าขี่ปู๊เมียในพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย จึงเน้นย้ำให้ความสำคัญกับสังคมพหุวัฒนธรรมหรือความหลากหลายทางเพศภาวะที่แตกต่างไปจากผู้หญิงและผู้ชายในสังคมล้านนา</p>พิธีกรรม, ผีเจ้านาย, ม้าขี่, การเข้าทรง, ความเชื่อ, กะเทย, เพศภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, ล้านนา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=79https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/144-cover.jpg
79รายงานงานวิจัยพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย : พื้นที่เปิดทางเพศภาวะในสังคมล้านนา<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาเพศภาวะของม้าขี่ที่เป็นปู๊เมีย ซึ่งคำว่า ม้าขี่ เป็นภาษาถิ่นล้านนาใช้เรียกการลงประทับร่างทรงของผีเจ้านาย และผู้วิจัยได้เลือกใช้คำว่า ปู๊เมีย เพื่อเรียกกะเทยหรือผู้ที่มีลักษณะรวมกันระหว่างชายกับหญิงตามพจนานุกรมล้านนา รวบรวมและเรียบเรียงโดยศาสตรจารย์เกียรติคุณ มณีพยอมยงค์ การศึกษาพิธีกรรมทรงผีเจ้านายจัดเป็นวัฒนธรรมสำคัญอย่างหนึ่ง สามารถนำมาเรียนรู้และทำความเข้าใจสังคมล้านนาหรือบริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยในด้านความหลากหลายทางเพศภาวะ จากเดิมที่จำกัดเฉพาะเพศหญิงเท่านั้น การศึกษาม้าขี่ปู๊เมียในพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย จึงเน้นย้ำให้ความสำคัญกับสังคมพหุวัฒนธรรมหรือความหลากหลายทางเพศภาวะที่แตกต่างไปจากผู้หญิงและผู้ชายในสังคมล้านนา</p>พิธีกรรม, ผีเจ้านาย, ม้าขี่, การเข้าทรง, ความเชื่อ, กะเทย, เพศภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, ล้านนา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=79https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/144-cover.jpg
79รายงานพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย : พื้นที่เปิดทางเพศภาวะในสังคมล้านนา<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาเพศภาวะของม้าขี่ที่เป็นปู๊เมีย ซึ่งคำว่า ม้าขี่ เป็นภาษาถิ่นล้านนาใช้เรียกการลงประทับร่างทรงของผีเจ้านาย และผู้วิจัยได้เลือกใช้คำว่า ปู๊เมีย เพื่อเรียกกะเทยหรือผู้ที่มีลักษณะรวมกันระหว่างชายกับหญิงตามพจนานุกรมล้านนา รวบรวมและเรียบเรียงโดยศาสตรจารย์เกียรติคุณ มณีพยอมยงค์ การศึกษาพิธีกรรมทรงผีเจ้านายจัดเป็นวัฒนธรรมสำคัญอย่างหนึ่ง สามารถนำมาเรียนรู้และทำความเข้าใจสังคมล้านนาหรือบริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยในด้านความหลากหลายทางเพศภาวะ จากเดิมที่จำกัดเฉพาะเพศหญิงเท่านั้น การศึกษาม้าขี่ปู๊เมียในพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย จึงเน้นย้ำให้ความสำคัญกับสังคมพหุวัฒนธรรมหรือความหลากหลายทางเพศภาวะที่แตกต่างไปจากผู้หญิงและผู้ชายในสังคมล้านนา</p>พิธีกรรม, ผีเจ้านาย, ม้าขี่, การเข้าทรง, ความเชื่อ, กะเทย, เพศภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, ล้านนา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=79https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/144-cover.jpg
79หนังสือพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย : พื้นที่เปิดทางเพศภาวะในสังคมล้านนา<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาเพศภาวะของม้าขี่ที่เป็นปู๊เมีย ซึ่งคำว่า ม้าขี่ เป็นภาษาถิ่นล้านนาใช้เรียกการลงประทับร่างทรงของผีเจ้านาย และผู้วิจัยได้เลือกใช้คำว่า ปู๊เมีย เพื่อเรียกกะเทยหรือผู้ที่มีลักษณะรวมกันระหว่างชายกับหญิงตามพจนานุกรมล้านนา รวบรวมและเรียบเรียงโดยศาสตรจารย์เกียรติคุณ มณีพยอมยงค์ การศึกษาพิธีกรรมทรงผีเจ้านายจัดเป็นวัฒนธรรมสำคัญอย่างหนึ่ง สามารถนำมาเรียนรู้และทำความเข้าใจสังคมล้านนาหรือบริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยในด้านความหลากหลายทางเพศภาวะ จากเดิมที่จำกัดเฉพาะเพศหญิงเท่านั้น การศึกษาม้าขี่ปู๊เมียในพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย จึงเน้นย้ำให้ความสำคัญกับสังคมพหุวัฒนธรรมหรือความหลากหลายทางเพศภาวะที่แตกต่างไปจากผู้หญิงและผู้ชายในสังคมล้านนา</p>พิธีกรรม, ผีเจ้านาย, ม้าขี่, การเข้าทรง, ความเชื่อ, กะเทย, เพศภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, ล้านนา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=79https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/144-cover.jpg
79จุลสารพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย : พื้นที่เปิดทางเพศภาวะในสังคมล้านนา<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาเพศภาวะของม้าขี่ที่เป็นปู๊เมีย ซึ่งคำว่า ม้าขี่ เป็นภาษาถิ่นล้านนาใช้เรียกการลงประทับร่างทรงของผีเจ้านาย และผู้วิจัยได้เลือกใช้คำว่า ปู๊เมีย เพื่อเรียกกะเทยหรือผู้ที่มีลักษณะรวมกันระหว่างชายกับหญิงตามพจนานุกรมล้านนา รวบรวมและเรียบเรียงโดยศาสตรจารย์เกียรติคุณ มณีพยอมยงค์ การศึกษาพิธีกรรมทรงผีเจ้านายจัดเป็นวัฒนธรรมสำคัญอย่างหนึ่ง สามารถนำมาเรียนรู้และทำความเข้าใจสังคมล้านนาหรือบริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยในด้านความหลากหลายทางเพศภาวะ จากเดิมที่จำกัดเฉพาะเพศหญิงเท่านั้น การศึกษาม้าขี่ปู๊เมียในพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย จึงเน้นย้ำให้ความสำคัญกับสังคมพหุวัฒนธรรมหรือความหลากหลายทางเพศภาวะที่แตกต่างไปจากผู้หญิงและผู้ชายในสังคมล้านนา</p>พิธีกรรม, ผีเจ้านาย, ม้าขี่, การเข้าทรง, ความเชื่อ, กะเทย, เพศภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, ล้านนา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=79https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/144-cover.jpg
79สูจิบัตรพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย : พื้นที่เปิดทางเพศภาวะในสังคมล้านนา<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาเพศภาวะของม้าขี่ที่เป็นปู๊เมีย ซึ่งคำว่า ม้าขี่ เป็นภาษาถิ่นล้านนาใช้เรียกการลงประทับร่างทรงของผีเจ้านาย และผู้วิจัยได้เลือกใช้คำว่า ปู๊เมีย เพื่อเรียกกะเทยหรือผู้ที่มีลักษณะรวมกันระหว่างชายกับหญิงตามพจนานุกรมล้านนา รวบรวมและเรียบเรียงโดยศาสตรจารย์เกียรติคุณ มณีพยอมยงค์ การศึกษาพิธีกรรมทรงผีเจ้านายจัดเป็นวัฒนธรรมสำคัญอย่างหนึ่ง สามารถนำมาเรียนรู้และทำความเข้าใจสังคมล้านนาหรือบริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยในด้านความหลากหลายทางเพศภาวะ จากเดิมที่จำกัดเฉพาะเพศหญิงเท่านั้น การศึกษาม้าขี่ปู๊เมียในพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย จึงเน้นย้ำให้ความสำคัญกับสังคมพหุวัฒนธรรมหรือความหลากหลายทางเพศภาวะที่แตกต่างไปจากผู้หญิงและผู้ชายในสังคมล้านนา</p>พิธีกรรม, ผีเจ้านาย, ม้าขี่, การเข้าทรง, ความเชื่อ, กะเทย, เพศภาวะและเพศวิถี, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม, ล้านนา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=79https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/144-cover.jpg
80อื่นๆรักสองเพศของผู้หญิง : ความปรารถนา ความสัมพันธ์ และอัตลักษณ์<p>
แนวคิดเกี่ยวกับการรักสองเพศ หรือไบเซ็กชวล เป็นแนวคิดของการจัดแบ่งประเภทเรื่องเพศแบบตะวันตก ซึ่งเริ่มมีการเสนอแนวคิดและถกเถียงมาตั้งแต่กลางคริสตศตวรรษที่ 19 การจะทำความเข้าใจในประเด็นเรื่องรูปแบบเพศวิถีแบบรักสองเพศเป็นเรื่องซับซ้อน เนื่องจากเกี่ยวข้องทั้งเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก ความปรารถนา พฤติกรรม จินตนาการและอัตลักษณ์ทางเพศ เกี่ยวข้องกับการให้ความหมายความเป็นตัวตนระดับปัจเจก และแสดงตัวตนทางสังคมในระดับกว้าง สำหรับสังคมไทยอัตลักษณ์ทางเพศแบบรักสองเพศไม่ปรากฏให้เห็นหรืออยู่ในความรับรู้และความสนใจของผู้คนมากนัก โดยสถานการณ์การศึกษาเพศวิถีแบบรักเพศเดียวกันส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องของผู้ชาย หรือเป็นเรื่องของชายรักชายและกะเทยมากกว่าหญิงรักหญิง สำหรับงานศึกษาเรื่องนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่กับบุคคลเพศเดียวกันหรือบุคคลต่างเพศเท่านั้น ยังรวมถึงการที่ผู้หญิงที่สามารถรักหรือมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มีเพศภาวะหรือเพศวิถีแบบใดก็ได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเลือกจำกัดอยู่แค่ในกรอบของการมีเพศวิถีแบบใด</p>เพศวิถี, รักร่วมเพศ, สตรี, ความปรารถนา, ความสัมพันธ์, อัตลักษณ์, เพศภาวะและเพศวิถี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=80https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/145-cover.jpg
80วารสารรักสองเพศของผู้หญิง : ความปรารถนา ความสัมพันธ์ และอัตลักษณ์<p>
แนวคิดเกี่ยวกับการรักสองเพศ หรือไบเซ็กชวล เป็นแนวคิดของการจัดแบ่งประเภทเรื่องเพศแบบตะวันตก ซึ่งเริ่มมีการเสนอแนวคิดและถกเถียงมาตั้งแต่กลางคริสตศตวรรษที่ 19 การจะทำความเข้าใจในประเด็นเรื่องรูปแบบเพศวิถีแบบรักสองเพศเป็นเรื่องซับซ้อน เนื่องจากเกี่ยวข้องทั้งเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก ความปรารถนา พฤติกรรม จินตนาการและอัตลักษณ์ทางเพศ เกี่ยวข้องกับการให้ความหมายความเป็นตัวตนระดับปัจเจก และแสดงตัวตนทางสังคมในระดับกว้าง สำหรับสังคมไทยอัตลักษณ์ทางเพศแบบรักสองเพศไม่ปรากฏให้เห็นหรืออยู่ในความรับรู้และความสนใจของผู้คนมากนัก โดยสถานการณ์การศึกษาเพศวิถีแบบรักเพศเดียวกันส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องของผู้ชาย หรือเป็นเรื่องของชายรักชายและกะเทยมากกว่าหญิงรักหญิง สำหรับงานศึกษาเรื่องนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่กับบุคคลเพศเดียวกันหรือบุคคลต่างเพศเท่านั้น ยังรวมถึงการที่ผู้หญิงที่สามารถรักหรือมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มีเพศภาวะหรือเพศวิถีแบบใดก็ได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเลือกจำกัดอยู่แค่ในกรอบของการมีเพศวิถีแบบใด</p>เพศวิถี, รักร่วมเพศ, สตรี, ความปรารถนา, ความสัมพันธ์, อัตลักษณ์, เพศภาวะและเพศวิถี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=80https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/145-cover.jpg
80บทความรักสองเพศของผู้หญิง : ความปรารถนา ความสัมพันธ์ และอัตลักษณ์<p>
แนวคิดเกี่ยวกับการรักสองเพศ หรือไบเซ็กชวล เป็นแนวคิดของการจัดแบ่งประเภทเรื่องเพศแบบตะวันตก ซึ่งเริ่มมีการเสนอแนวคิดและถกเถียงมาตั้งแต่กลางคริสตศตวรรษที่ 19 การจะทำความเข้าใจในประเด็นเรื่องรูปแบบเพศวิถีแบบรักสองเพศเป็นเรื่องซับซ้อน เนื่องจากเกี่ยวข้องทั้งเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก ความปรารถนา พฤติกรรม จินตนาการและอัตลักษณ์ทางเพศ เกี่ยวข้องกับการให้ความหมายความเป็นตัวตนระดับปัจเจก และแสดงตัวตนทางสังคมในระดับกว้าง สำหรับสังคมไทยอัตลักษณ์ทางเพศแบบรักสองเพศไม่ปรากฏให้เห็นหรืออยู่ในความรับรู้และความสนใจของผู้คนมากนัก โดยสถานการณ์การศึกษาเพศวิถีแบบรักเพศเดียวกันส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องของผู้ชาย หรือเป็นเรื่องของชายรักชายและกะเทยมากกว่าหญิงรักหญิง สำหรับงานศึกษาเรื่องนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่กับบุคคลเพศเดียวกันหรือบุคคลต่างเพศเท่านั้น ยังรวมถึงการที่ผู้หญิงที่สามารถรักหรือมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มีเพศภาวะหรือเพศวิถีแบบใดก็ได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเลือกจำกัดอยู่แค่ในกรอบของการมีเพศวิถีแบบใด</p>เพศวิถี, รักร่วมเพศ, สตรี, ความปรารถนา, ความสัมพันธ์, อัตลักษณ์, เพศภาวะและเพศวิถี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=80https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/145-cover.jpg
80วิทยานิพนธ์รักสองเพศของผู้หญิง : ความปรารถนา ความสัมพันธ์ และอัตลักษณ์<p>
แนวคิดเกี่ยวกับการรักสองเพศ หรือไบเซ็กชวล เป็นแนวคิดของการจัดแบ่งประเภทเรื่องเพศแบบตะวันตก ซึ่งเริ่มมีการเสนอแนวคิดและถกเถียงมาตั้งแต่กลางคริสตศตวรรษที่ 19 การจะทำความเข้าใจในประเด็นเรื่องรูปแบบเพศวิถีแบบรักสองเพศเป็นเรื่องซับซ้อน เนื่องจากเกี่ยวข้องทั้งเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก ความปรารถนา พฤติกรรม จินตนาการและอัตลักษณ์ทางเพศ เกี่ยวข้องกับการให้ความหมายความเป็นตัวตนระดับปัจเจก และแสดงตัวตนทางสังคมในระดับกว้าง สำหรับสังคมไทยอัตลักษณ์ทางเพศแบบรักสองเพศไม่ปรากฏให้เห็นหรืออยู่ในความรับรู้และความสนใจของผู้คนมากนัก โดยสถานการณ์การศึกษาเพศวิถีแบบรักเพศเดียวกันส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องของผู้ชาย หรือเป็นเรื่องของชายรักชายและกะเทยมากกว่าหญิงรักหญิง สำหรับงานศึกษาเรื่องนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่กับบุคคลเพศเดียวกันหรือบุคคลต่างเพศเท่านั้น ยังรวมถึงการที่ผู้หญิงที่สามารถรักหรือมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มีเพศภาวะหรือเพศวิถีแบบใดก็ได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเลือกจำกัดอยู่แค่ในกรอบของการมีเพศวิถีแบบใด</p>เพศวิถี, รักร่วมเพศ, สตรี, ความปรารถนา, ความสัมพันธ์, อัตลักษณ์, เพศภาวะและเพศวิถี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=80https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/145-cover.jpg
80รายงานงานวิจัยรักสองเพศของผู้หญิง : ความปรารถนา ความสัมพันธ์ และอัตลักษณ์<p>
แนวคิดเกี่ยวกับการรักสองเพศ หรือไบเซ็กชวล เป็นแนวคิดของการจัดแบ่งประเภทเรื่องเพศแบบตะวันตก ซึ่งเริ่มมีการเสนอแนวคิดและถกเถียงมาตั้งแต่กลางคริสตศตวรรษที่ 19 การจะทำความเข้าใจในประเด็นเรื่องรูปแบบเพศวิถีแบบรักสองเพศเป็นเรื่องซับซ้อน เนื่องจากเกี่ยวข้องทั้งเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก ความปรารถนา พฤติกรรม จินตนาการและอัตลักษณ์ทางเพศ เกี่ยวข้องกับการให้ความหมายความเป็นตัวตนระดับปัจเจก และแสดงตัวตนทางสังคมในระดับกว้าง สำหรับสังคมไทยอัตลักษณ์ทางเพศแบบรักสองเพศไม่ปรากฏให้เห็นหรืออยู่ในความรับรู้และความสนใจของผู้คนมากนัก โดยสถานการณ์การศึกษาเพศวิถีแบบรักเพศเดียวกันส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องของผู้ชาย หรือเป็นเรื่องของชายรักชายและกะเทยมากกว่าหญิงรักหญิง สำหรับงานศึกษาเรื่องนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่กับบุคคลเพศเดียวกันหรือบุคคลต่างเพศเท่านั้น ยังรวมถึงการที่ผู้หญิงที่สามารถรักหรือมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มีเพศภาวะหรือเพศวิถีแบบใดก็ได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเลือกจำกัดอยู่แค่ในกรอบของการมีเพศวิถีแบบใด</p>เพศวิถี, รักร่วมเพศ, สตรี, ความปรารถนา, ความสัมพันธ์, อัตลักษณ์, เพศภาวะและเพศวิถี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=80https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/145-cover.jpg
80รายงานรักสองเพศของผู้หญิง : ความปรารถนา ความสัมพันธ์ และอัตลักษณ์<p>
แนวคิดเกี่ยวกับการรักสองเพศ หรือไบเซ็กชวล เป็นแนวคิดของการจัดแบ่งประเภทเรื่องเพศแบบตะวันตก ซึ่งเริ่มมีการเสนอแนวคิดและถกเถียงมาตั้งแต่กลางคริสตศตวรรษที่ 19 การจะทำความเข้าใจในประเด็นเรื่องรูปแบบเพศวิถีแบบรักสองเพศเป็นเรื่องซับซ้อน เนื่องจากเกี่ยวข้องทั้งเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก ความปรารถนา พฤติกรรม จินตนาการและอัตลักษณ์ทางเพศ เกี่ยวข้องกับการให้ความหมายความเป็นตัวตนระดับปัจเจก และแสดงตัวตนทางสังคมในระดับกว้าง สำหรับสังคมไทยอัตลักษณ์ทางเพศแบบรักสองเพศไม่ปรากฏให้เห็นหรืออยู่ในความรับรู้และความสนใจของผู้คนมากนัก โดยสถานการณ์การศึกษาเพศวิถีแบบรักเพศเดียวกันส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องของผู้ชาย หรือเป็นเรื่องของชายรักชายและกะเทยมากกว่าหญิงรักหญิง สำหรับงานศึกษาเรื่องนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่กับบุคคลเพศเดียวกันหรือบุคคลต่างเพศเท่านั้น ยังรวมถึงการที่ผู้หญิงที่สามารถรักหรือมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มีเพศภาวะหรือเพศวิถีแบบใดก็ได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเลือกจำกัดอยู่แค่ในกรอบของการมีเพศวิถีแบบใด</p>เพศวิถี, รักร่วมเพศ, สตรี, ความปรารถนา, ความสัมพันธ์, อัตลักษณ์, เพศภาวะและเพศวิถี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=80https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/145-cover.jpg
80หนังสือรักสองเพศของผู้หญิง : ความปรารถนา ความสัมพันธ์ และอัตลักษณ์<p>
แนวคิดเกี่ยวกับการรักสองเพศ หรือไบเซ็กชวล เป็นแนวคิดของการจัดแบ่งประเภทเรื่องเพศแบบตะวันตก ซึ่งเริ่มมีการเสนอแนวคิดและถกเถียงมาตั้งแต่กลางคริสตศตวรรษที่ 19 การจะทำความเข้าใจในประเด็นเรื่องรูปแบบเพศวิถีแบบรักสองเพศเป็นเรื่องซับซ้อน เนื่องจากเกี่ยวข้องทั้งเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก ความปรารถนา พฤติกรรม จินตนาการและอัตลักษณ์ทางเพศ เกี่ยวข้องกับการให้ความหมายความเป็นตัวตนระดับปัจเจก และแสดงตัวตนทางสังคมในระดับกว้าง สำหรับสังคมไทยอัตลักษณ์ทางเพศแบบรักสองเพศไม่ปรากฏให้เห็นหรืออยู่ในความรับรู้และความสนใจของผู้คนมากนัก โดยสถานการณ์การศึกษาเพศวิถีแบบรักเพศเดียวกันส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องของผู้ชาย หรือเป็นเรื่องของชายรักชายและกะเทยมากกว่าหญิงรักหญิง สำหรับงานศึกษาเรื่องนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่กับบุคคลเพศเดียวกันหรือบุคคลต่างเพศเท่านั้น ยังรวมถึงการที่ผู้หญิงที่สามารถรักหรือมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มีเพศภาวะหรือเพศวิถีแบบใดก็ได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเลือกจำกัดอยู่แค่ในกรอบของการมีเพศวิถีแบบใด</p>เพศวิถี, รักร่วมเพศ, สตรี, ความปรารถนา, ความสัมพันธ์, อัตลักษณ์, เพศภาวะและเพศวิถี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=80https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/145-cover.jpg
80จุลสารรักสองเพศของผู้หญิง : ความปรารถนา ความสัมพันธ์ และอัตลักษณ์<p>
แนวคิดเกี่ยวกับการรักสองเพศ หรือไบเซ็กชวล เป็นแนวคิดของการจัดแบ่งประเภทเรื่องเพศแบบตะวันตก ซึ่งเริ่มมีการเสนอแนวคิดและถกเถียงมาตั้งแต่กลางคริสตศตวรรษที่ 19 การจะทำความเข้าใจในประเด็นเรื่องรูปแบบเพศวิถีแบบรักสองเพศเป็นเรื่องซับซ้อน เนื่องจากเกี่ยวข้องทั้งเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก ความปรารถนา พฤติกรรม จินตนาการและอัตลักษณ์ทางเพศ เกี่ยวข้องกับการให้ความหมายความเป็นตัวตนระดับปัจเจก และแสดงตัวตนทางสังคมในระดับกว้าง สำหรับสังคมไทยอัตลักษณ์ทางเพศแบบรักสองเพศไม่ปรากฏให้เห็นหรืออยู่ในความรับรู้และความสนใจของผู้คนมากนัก โดยสถานการณ์การศึกษาเพศวิถีแบบรักเพศเดียวกันส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องของผู้ชาย หรือเป็นเรื่องของชายรักชายและกะเทยมากกว่าหญิงรักหญิง สำหรับงานศึกษาเรื่องนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่กับบุคคลเพศเดียวกันหรือบุคคลต่างเพศเท่านั้น ยังรวมถึงการที่ผู้หญิงที่สามารถรักหรือมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มีเพศภาวะหรือเพศวิถีแบบใดก็ได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเลือกจำกัดอยู่แค่ในกรอบของการมีเพศวิถีแบบใด</p>เพศวิถี, รักร่วมเพศ, สตรี, ความปรารถนา, ความสัมพันธ์, อัตลักษณ์, เพศภาวะและเพศวิถี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=80https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/145-cover.jpg
80สูจิบัตรรักสองเพศของผู้หญิง : ความปรารถนา ความสัมพันธ์ และอัตลักษณ์<p>
แนวคิดเกี่ยวกับการรักสองเพศ หรือไบเซ็กชวล เป็นแนวคิดของการจัดแบ่งประเภทเรื่องเพศแบบตะวันตก ซึ่งเริ่มมีการเสนอแนวคิดและถกเถียงมาตั้งแต่กลางคริสตศตวรรษที่ 19 การจะทำความเข้าใจในประเด็นเรื่องรูปแบบเพศวิถีแบบรักสองเพศเป็นเรื่องซับซ้อน เนื่องจากเกี่ยวข้องทั้งเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก ความปรารถนา พฤติกรรม จินตนาการและอัตลักษณ์ทางเพศ เกี่ยวข้องกับการให้ความหมายความเป็นตัวตนระดับปัจเจก และแสดงตัวตนทางสังคมในระดับกว้าง สำหรับสังคมไทยอัตลักษณ์ทางเพศแบบรักสองเพศไม่ปรากฏให้เห็นหรืออยู่ในความรับรู้และความสนใจของผู้คนมากนัก โดยสถานการณ์การศึกษาเพศวิถีแบบรักเพศเดียวกันส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องของผู้ชาย หรือเป็นเรื่องของชายรักชายและกะเทยมากกว่าหญิงรักหญิง สำหรับงานศึกษาเรื่องนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่กับบุคคลเพศเดียวกันหรือบุคคลต่างเพศเท่านั้น ยังรวมถึงการที่ผู้หญิงที่สามารถรักหรือมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มีเพศภาวะหรือเพศวิถีแบบใดก็ได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเลือกจำกัดอยู่แค่ในกรอบของการมีเพศวิถีแบบใด</p>เพศวิถี, รักร่วมเพศ, สตรี, ความปรารถนา, ความสัมพันธ์, อัตลักษณ์, เพศภาวะและเพศวิถี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=80https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/145-cover.jpg
81อื่นๆโคโยตี้บอยกับการสร้างความเป็นชายในชุมชนเกย์กรุงเทพฯ<p>
สังคมไทยแต่เดิมความรู้สึกรักชอบเพศเดียวกันเป็นเรื่องส่วนตัวต้องปกปิด แต่ในระยะให้หลังอารมณ์รักเพศเดียวกันเริ่มพบเห็นและปรากฏเป็นรูปธรรมในช่วงทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา โดยมี บาร์เกย์ เป็นพื้นที่ทางสังคมของตัวเอง เป็นพื้นที่ใหม่สำหรับมาพบเพื่อน หาคู่นอนหรือคนรัก บาร์เกย์ในสังคมไทยแตกต่างไปจากบาร์เกย์ในสังคมตะวันตก เพราะบาร์เกย์ไทยจะมี เด็กออฟ (ผู้ขายบริการทางเพศ) มาทำหน้าที่บริการลูกค้า หากมองดูในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของการทำงานบริการทางเพศในบาร์เกย์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็น "เด็กออฟ" เสมอไป ปัจจุบัน โคโยตี้บอย เป็นพัฒนาการล่าสุด ซึ่งเกิดมาในช่วง 5-6 ปีมาแล้ว ได้รับความนิยมในเมืองและกรุงเทพฯ พื้นที่บาร์เกย์ไม่ใช่เพียงแค่พื้นที่ของการปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศเท่านั้น แต่เป็นพื้นที่ที่สามารถแสดงความรักกับคนต่างเพศและเพศเดียวกันได้โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด </p>โคโยตี้บอย, เกย์, ผับ, บาร์, เพศวิถี, วัฒนธรรมบริโภค30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=81https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/146-cover.jpg
81วารสารโคโยตี้บอยกับการสร้างความเป็นชายในชุมชนเกย์กรุงเทพฯ<p>
สังคมไทยแต่เดิมความรู้สึกรักชอบเพศเดียวกันเป็นเรื่องส่วนตัวต้องปกปิด แต่ในระยะให้หลังอารมณ์รักเพศเดียวกันเริ่มพบเห็นและปรากฏเป็นรูปธรรมในช่วงทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา โดยมี บาร์เกย์ เป็นพื้นที่ทางสังคมของตัวเอง เป็นพื้นที่ใหม่สำหรับมาพบเพื่อน หาคู่นอนหรือคนรัก บาร์เกย์ในสังคมไทยแตกต่างไปจากบาร์เกย์ในสังคมตะวันตก เพราะบาร์เกย์ไทยจะมี เด็กออฟ (ผู้ขายบริการทางเพศ) มาทำหน้าที่บริการลูกค้า หากมองดูในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของการทำงานบริการทางเพศในบาร์เกย์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็น "เด็กออฟ" เสมอไป ปัจจุบัน โคโยตี้บอย เป็นพัฒนาการล่าสุด ซึ่งเกิดมาในช่วง 5-6 ปีมาแล้ว ได้รับความนิยมในเมืองและกรุงเทพฯ พื้นที่บาร์เกย์ไม่ใช่เพียงแค่พื้นที่ของการปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศเท่านั้น แต่เป็นพื้นที่ที่สามารถแสดงความรักกับคนต่างเพศและเพศเดียวกันได้โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด </p>โคโยตี้บอย, เกย์, ผับ, บาร์, เพศวิถี, วัฒนธรรมบริโภค30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=81https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/146-cover.jpg
81บทความโคโยตี้บอยกับการสร้างความเป็นชายในชุมชนเกย์กรุงเทพฯ<p>
สังคมไทยแต่เดิมความรู้สึกรักชอบเพศเดียวกันเป็นเรื่องส่วนตัวต้องปกปิด แต่ในระยะให้หลังอารมณ์รักเพศเดียวกันเริ่มพบเห็นและปรากฏเป็นรูปธรรมในช่วงทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา โดยมี บาร์เกย์ เป็นพื้นที่ทางสังคมของตัวเอง เป็นพื้นที่ใหม่สำหรับมาพบเพื่อน หาคู่นอนหรือคนรัก บาร์เกย์ในสังคมไทยแตกต่างไปจากบาร์เกย์ในสังคมตะวันตก เพราะบาร์เกย์ไทยจะมี เด็กออฟ (ผู้ขายบริการทางเพศ) มาทำหน้าที่บริการลูกค้า หากมองดูในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของการทำงานบริการทางเพศในบาร์เกย์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็น "เด็กออฟ" เสมอไป ปัจจุบัน โคโยตี้บอย เป็นพัฒนาการล่าสุด ซึ่งเกิดมาในช่วง 5-6 ปีมาแล้ว ได้รับความนิยมในเมืองและกรุงเทพฯ พื้นที่บาร์เกย์ไม่ใช่เพียงแค่พื้นที่ของการปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศเท่านั้น แต่เป็นพื้นที่ที่สามารถแสดงความรักกับคนต่างเพศและเพศเดียวกันได้โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด </p>โคโยตี้บอย, เกย์, ผับ, บาร์, เพศวิถี, วัฒนธรรมบริโภค30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=81https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/146-cover.jpg
81วิทยานิพนธ์โคโยตี้บอยกับการสร้างความเป็นชายในชุมชนเกย์กรุงเทพฯ<p>
สังคมไทยแต่เดิมความรู้สึกรักชอบเพศเดียวกันเป็นเรื่องส่วนตัวต้องปกปิด แต่ในระยะให้หลังอารมณ์รักเพศเดียวกันเริ่มพบเห็นและปรากฏเป็นรูปธรรมในช่วงทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา โดยมี บาร์เกย์ เป็นพื้นที่ทางสังคมของตัวเอง เป็นพื้นที่ใหม่สำหรับมาพบเพื่อน หาคู่นอนหรือคนรัก บาร์เกย์ในสังคมไทยแตกต่างไปจากบาร์เกย์ในสังคมตะวันตก เพราะบาร์เกย์ไทยจะมี เด็กออฟ (ผู้ขายบริการทางเพศ) มาทำหน้าที่บริการลูกค้า หากมองดูในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของการทำงานบริการทางเพศในบาร์เกย์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็น "เด็กออฟ" เสมอไป ปัจจุบัน โคโยตี้บอย เป็นพัฒนาการล่าสุด ซึ่งเกิดมาในช่วง 5-6 ปีมาแล้ว ได้รับความนิยมในเมืองและกรุงเทพฯ พื้นที่บาร์เกย์ไม่ใช่เพียงแค่พื้นที่ของการปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศเท่านั้น แต่เป็นพื้นที่ที่สามารถแสดงความรักกับคนต่างเพศและเพศเดียวกันได้โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด </p>โคโยตี้บอย, เกย์, ผับ, บาร์, เพศวิถี, วัฒนธรรมบริโภค30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=81https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/146-cover.jpg
81รายงานงานวิจัยโคโยตี้บอยกับการสร้างความเป็นชายในชุมชนเกย์กรุงเทพฯ<p>
สังคมไทยแต่เดิมความรู้สึกรักชอบเพศเดียวกันเป็นเรื่องส่วนตัวต้องปกปิด แต่ในระยะให้หลังอารมณ์รักเพศเดียวกันเริ่มพบเห็นและปรากฏเป็นรูปธรรมในช่วงทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา โดยมี บาร์เกย์ เป็นพื้นที่ทางสังคมของตัวเอง เป็นพื้นที่ใหม่สำหรับมาพบเพื่อน หาคู่นอนหรือคนรัก บาร์เกย์ในสังคมไทยแตกต่างไปจากบาร์เกย์ในสังคมตะวันตก เพราะบาร์เกย์ไทยจะมี เด็กออฟ (ผู้ขายบริการทางเพศ) มาทำหน้าที่บริการลูกค้า หากมองดูในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของการทำงานบริการทางเพศในบาร์เกย์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็น "เด็กออฟ" เสมอไป ปัจจุบัน โคโยตี้บอย เป็นพัฒนาการล่าสุด ซึ่งเกิดมาในช่วง 5-6 ปีมาแล้ว ได้รับความนิยมในเมืองและกรุงเทพฯ พื้นที่บาร์เกย์ไม่ใช่เพียงแค่พื้นที่ของการปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศเท่านั้น แต่เป็นพื้นที่ที่สามารถแสดงความรักกับคนต่างเพศและเพศเดียวกันได้โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด </p>โคโยตี้บอย, เกย์, ผับ, บาร์, เพศวิถี, วัฒนธรรมบริโภค30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=81https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/146-cover.jpg
81รายงานโคโยตี้บอยกับการสร้างความเป็นชายในชุมชนเกย์กรุงเทพฯ<p>
สังคมไทยแต่เดิมความรู้สึกรักชอบเพศเดียวกันเป็นเรื่องส่วนตัวต้องปกปิด แต่ในระยะให้หลังอารมณ์รักเพศเดียวกันเริ่มพบเห็นและปรากฏเป็นรูปธรรมในช่วงทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา โดยมี บาร์เกย์ เป็นพื้นที่ทางสังคมของตัวเอง เป็นพื้นที่ใหม่สำหรับมาพบเพื่อน หาคู่นอนหรือคนรัก บาร์เกย์ในสังคมไทยแตกต่างไปจากบาร์เกย์ในสังคมตะวันตก เพราะบาร์เกย์ไทยจะมี เด็กออฟ (ผู้ขายบริการทางเพศ) มาทำหน้าที่บริการลูกค้า หากมองดูในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของการทำงานบริการทางเพศในบาร์เกย์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็น "เด็กออฟ" เสมอไป ปัจจุบัน โคโยตี้บอย เป็นพัฒนาการล่าสุด ซึ่งเกิดมาในช่วง 5-6 ปีมาแล้ว ได้รับความนิยมในเมืองและกรุงเทพฯ พื้นที่บาร์เกย์ไม่ใช่เพียงแค่พื้นที่ของการปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศเท่านั้น แต่เป็นพื้นที่ที่สามารถแสดงความรักกับคนต่างเพศและเพศเดียวกันได้โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด </p>โคโยตี้บอย, เกย์, ผับ, บาร์, เพศวิถี, วัฒนธรรมบริโภค30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=81https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/146-cover.jpg
81หนังสือโคโยตี้บอยกับการสร้างความเป็นชายในชุมชนเกย์กรุงเทพฯ<p>
สังคมไทยแต่เดิมความรู้สึกรักชอบเพศเดียวกันเป็นเรื่องส่วนตัวต้องปกปิด แต่ในระยะให้หลังอารมณ์รักเพศเดียวกันเริ่มพบเห็นและปรากฏเป็นรูปธรรมในช่วงทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา โดยมี บาร์เกย์ เป็นพื้นที่ทางสังคมของตัวเอง เป็นพื้นที่ใหม่สำหรับมาพบเพื่อน หาคู่นอนหรือคนรัก บาร์เกย์ในสังคมไทยแตกต่างไปจากบาร์เกย์ในสังคมตะวันตก เพราะบาร์เกย์ไทยจะมี เด็กออฟ (ผู้ขายบริการทางเพศ) มาทำหน้าที่บริการลูกค้า หากมองดูในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของการทำงานบริการทางเพศในบาร์เกย์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็น "เด็กออฟ" เสมอไป ปัจจุบัน โคโยตี้บอย เป็นพัฒนาการล่าสุด ซึ่งเกิดมาในช่วง 5-6 ปีมาแล้ว ได้รับความนิยมในเมืองและกรุงเทพฯ พื้นที่บาร์เกย์ไม่ใช่เพียงแค่พื้นที่ของการปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศเท่านั้น แต่เป็นพื้นที่ที่สามารถแสดงความรักกับคนต่างเพศและเพศเดียวกันได้โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด </p>โคโยตี้บอย, เกย์, ผับ, บาร์, เพศวิถี, วัฒนธรรมบริโภค30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=81https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/146-cover.jpg
81จุลสารโคโยตี้บอยกับการสร้างความเป็นชายในชุมชนเกย์กรุงเทพฯ<p>
สังคมไทยแต่เดิมความรู้สึกรักชอบเพศเดียวกันเป็นเรื่องส่วนตัวต้องปกปิด แต่ในระยะให้หลังอารมณ์รักเพศเดียวกันเริ่มพบเห็นและปรากฏเป็นรูปธรรมในช่วงทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา โดยมี บาร์เกย์ เป็นพื้นที่ทางสังคมของตัวเอง เป็นพื้นที่ใหม่สำหรับมาพบเพื่อน หาคู่นอนหรือคนรัก บาร์เกย์ในสังคมไทยแตกต่างไปจากบาร์เกย์ในสังคมตะวันตก เพราะบาร์เกย์ไทยจะมี เด็กออฟ (ผู้ขายบริการทางเพศ) มาทำหน้าที่บริการลูกค้า หากมองดูในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของการทำงานบริการทางเพศในบาร์เกย์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็น "เด็กออฟ" เสมอไป ปัจจุบัน โคโยตี้บอย เป็นพัฒนาการล่าสุด ซึ่งเกิดมาในช่วง 5-6 ปีมาแล้ว ได้รับความนิยมในเมืองและกรุงเทพฯ พื้นที่บาร์เกย์ไม่ใช่เพียงแค่พื้นที่ของการปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศเท่านั้น แต่เป็นพื้นที่ที่สามารถแสดงความรักกับคนต่างเพศและเพศเดียวกันได้โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด </p>โคโยตี้บอย, เกย์, ผับ, บาร์, เพศวิถี, วัฒนธรรมบริโภค30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=81https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/146-cover.jpg
81สูจิบัตรโคโยตี้บอยกับการสร้างความเป็นชายในชุมชนเกย์กรุงเทพฯ<p>
สังคมไทยแต่เดิมความรู้สึกรักชอบเพศเดียวกันเป็นเรื่องส่วนตัวต้องปกปิด แต่ในระยะให้หลังอารมณ์รักเพศเดียวกันเริ่มพบเห็นและปรากฏเป็นรูปธรรมในช่วงทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา โดยมี บาร์เกย์ เป็นพื้นที่ทางสังคมของตัวเอง เป็นพื้นที่ใหม่สำหรับมาพบเพื่อน หาคู่นอนหรือคนรัก บาร์เกย์ในสังคมไทยแตกต่างไปจากบาร์เกย์ในสังคมตะวันตก เพราะบาร์เกย์ไทยจะมี เด็กออฟ (ผู้ขายบริการทางเพศ) มาทำหน้าที่บริการลูกค้า หากมองดูในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของการทำงานบริการทางเพศในบาร์เกย์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็น "เด็กออฟ" เสมอไป ปัจจุบัน โคโยตี้บอย เป็นพัฒนาการล่าสุด ซึ่งเกิดมาในช่วง 5-6 ปีมาแล้ว ได้รับความนิยมในเมืองและกรุงเทพฯ พื้นที่บาร์เกย์ไม่ใช่เพียงแค่พื้นที่ของการปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศเท่านั้น แต่เป็นพื้นที่ที่สามารถแสดงความรักกับคนต่างเพศและเพศเดียวกันได้โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด </p>โคโยตี้บอย, เกย์, ผับ, บาร์, เพศวิถี, วัฒนธรรมบริโภค30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=81https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/146-cover.jpg
82อื่นๆวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550<p>
รายงานวิจัยวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550 เกิดขึ้นจากคำถามวิจัยที่ว่า อะไรคือ "วัฒนธรรม" ที่เกิดจากการมีอคติทางเพศในสังคมไทย และวัฒนธรรมนี้ส่งผลให้เกิดการปิดกั้นและการไม่ยอมรับบุคคลที่มีพฤติกรรมข้ามเพศ (Transgender) และคนรักเพศเดียวกัน (Homosexual) อย่างไรบ้าง ซึ่งในช่วงทศวรรษ 2480 เป็นต้นมา การจัดระเบียบเพศหญิงและเพศชาย (ความคิดเรื่องเพศคู่ตรงข้าม) ถูกถ่ายทอดจากราชสำนักช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 แผ่ขยายออกไปสู่สามัญชนอย่างเข้มแข็งในยุครัฐนิยม ทำให้เกิดการควบคุมพลเมืองให้อยู่ในบทบาททางเพศเพียงสองแบบ คือ บทบาทผู้ชายและบทบาทผู้หญิง สังคมไทยได้รับเอาอุดมการณ์และความคิดเรื่องเพศแบบวิทยาศาสตร์มาใช้อบรมสั่งสอน แพร่หลายในระบบการศึกษา หน่วยงาน และภาคธรุกิจทั้งหลาย เด็กที่เกิดมาจึงถูกสั่งสอนให้ปฏิบัติตัวและแสดงพฤติกรรมทางเพศแบบชายหญิงเท่านั้น ถ้าคนใดแสดงแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับเพศกำเนิดจะถูกมองว่า เบี่ยงเบนทางเพศ ฉะนั้นสังคมไทยจึงปฏิเสธและไม่ยอมรับคนข้ามเพศ/รักเพศเดียวกัน เช่น กะเทย สาวประเภทสอง เกย์ ทอมดี้ เลสเบี้ยน</p>วัฒนธรรมทางเพศ, วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, เพศศึกษา, สตรีนิยม, เกย์, เลสเบี้ยน, รักร่วมเพศ, เอกลักษณ์ทางเพศ, อคติ, ไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=82https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/170-cover.jpg
82วารสารวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550<p>
รายงานวิจัยวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550 เกิดขึ้นจากคำถามวิจัยที่ว่า อะไรคือ "วัฒนธรรม" ที่เกิดจากการมีอคติทางเพศในสังคมไทย และวัฒนธรรมนี้ส่งผลให้เกิดการปิดกั้นและการไม่ยอมรับบุคคลที่มีพฤติกรรมข้ามเพศ (Transgender) และคนรักเพศเดียวกัน (Homosexual) อย่างไรบ้าง ซึ่งในช่วงทศวรรษ 2480 เป็นต้นมา การจัดระเบียบเพศหญิงและเพศชาย (ความคิดเรื่องเพศคู่ตรงข้าม) ถูกถ่ายทอดจากราชสำนักช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 แผ่ขยายออกไปสู่สามัญชนอย่างเข้มแข็งในยุครัฐนิยม ทำให้เกิดการควบคุมพลเมืองให้อยู่ในบทบาททางเพศเพียงสองแบบ คือ บทบาทผู้ชายและบทบาทผู้หญิง สังคมไทยได้รับเอาอุดมการณ์และความคิดเรื่องเพศแบบวิทยาศาสตร์มาใช้อบรมสั่งสอน แพร่หลายในระบบการศึกษา หน่วยงาน และภาคธรุกิจทั้งหลาย เด็กที่เกิดมาจึงถูกสั่งสอนให้ปฏิบัติตัวและแสดงพฤติกรรมทางเพศแบบชายหญิงเท่านั้น ถ้าคนใดแสดงแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับเพศกำเนิดจะถูกมองว่า เบี่ยงเบนทางเพศ ฉะนั้นสังคมไทยจึงปฏิเสธและไม่ยอมรับคนข้ามเพศ/รักเพศเดียวกัน เช่น กะเทย สาวประเภทสอง เกย์ ทอมดี้ เลสเบี้ยน</p>วัฒนธรรมทางเพศ, วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, เพศศึกษา, สตรีนิยม, เกย์, เลสเบี้ยน, รักร่วมเพศ, เอกลักษณ์ทางเพศ, อคติ, ไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=82https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/170-cover.jpg
82บทความวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550<p>
รายงานวิจัยวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550 เกิดขึ้นจากคำถามวิจัยที่ว่า อะไรคือ "วัฒนธรรม" ที่เกิดจากการมีอคติทางเพศในสังคมไทย และวัฒนธรรมนี้ส่งผลให้เกิดการปิดกั้นและการไม่ยอมรับบุคคลที่มีพฤติกรรมข้ามเพศ (Transgender) และคนรักเพศเดียวกัน (Homosexual) อย่างไรบ้าง ซึ่งในช่วงทศวรรษ 2480 เป็นต้นมา การจัดระเบียบเพศหญิงและเพศชาย (ความคิดเรื่องเพศคู่ตรงข้าม) ถูกถ่ายทอดจากราชสำนักช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 แผ่ขยายออกไปสู่สามัญชนอย่างเข้มแข็งในยุครัฐนิยม ทำให้เกิดการควบคุมพลเมืองให้อยู่ในบทบาททางเพศเพียงสองแบบ คือ บทบาทผู้ชายและบทบาทผู้หญิง สังคมไทยได้รับเอาอุดมการณ์และความคิดเรื่องเพศแบบวิทยาศาสตร์มาใช้อบรมสั่งสอน แพร่หลายในระบบการศึกษา หน่วยงาน และภาคธรุกิจทั้งหลาย เด็กที่เกิดมาจึงถูกสั่งสอนให้ปฏิบัติตัวและแสดงพฤติกรรมทางเพศแบบชายหญิงเท่านั้น ถ้าคนใดแสดงแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับเพศกำเนิดจะถูกมองว่า เบี่ยงเบนทางเพศ ฉะนั้นสังคมไทยจึงปฏิเสธและไม่ยอมรับคนข้ามเพศ/รักเพศเดียวกัน เช่น กะเทย สาวประเภทสอง เกย์ ทอมดี้ เลสเบี้ยน</p>วัฒนธรรมทางเพศ, วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, เพศศึกษา, สตรีนิยม, เกย์, เลสเบี้ยน, รักร่วมเพศ, เอกลักษณ์ทางเพศ, อคติ, ไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=82https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/170-cover.jpg
82วิทยานิพนธ์วัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550<p>
รายงานวิจัยวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550 เกิดขึ้นจากคำถามวิจัยที่ว่า อะไรคือ "วัฒนธรรม" ที่เกิดจากการมีอคติทางเพศในสังคมไทย และวัฒนธรรมนี้ส่งผลให้เกิดการปิดกั้นและการไม่ยอมรับบุคคลที่มีพฤติกรรมข้ามเพศ (Transgender) และคนรักเพศเดียวกัน (Homosexual) อย่างไรบ้าง ซึ่งในช่วงทศวรรษ 2480 เป็นต้นมา การจัดระเบียบเพศหญิงและเพศชาย (ความคิดเรื่องเพศคู่ตรงข้าม) ถูกถ่ายทอดจากราชสำนักช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 แผ่ขยายออกไปสู่สามัญชนอย่างเข้มแข็งในยุครัฐนิยม ทำให้เกิดการควบคุมพลเมืองให้อยู่ในบทบาททางเพศเพียงสองแบบ คือ บทบาทผู้ชายและบทบาทผู้หญิง สังคมไทยได้รับเอาอุดมการณ์และความคิดเรื่องเพศแบบวิทยาศาสตร์มาใช้อบรมสั่งสอน แพร่หลายในระบบการศึกษา หน่วยงาน และภาคธรุกิจทั้งหลาย เด็กที่เกิดมาจึงถูกสั่งสอนให้ปฏิบัติตัวและแสดงพฤติกรรมทางเพศแบบชายหญิงเท่านั้น ถ้าคนใดแสดงแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับเพศกำเนิดจะถูกมองว่า เบี่ยงเบนทางเพศ ฉะนั้นสังคมไทยจึงปฏิเสธและไม่ยอมรับคนข้ามเพศ/รักเพศเดียวกัน เช่น กะเทย สาวประเภทสอง เกย์ ทอมดี้ เลสเบี้ยน</p>วัฒนธรรมทางเพศ, วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, เพศศึกษา, สตรีนิยม, เกย์, เลสเบี้ยน, รักร่วมเพศ, เอกลักษณ์ทางเพศ, อคติ, ไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=82https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/170-cover.jpg
82รายงานงานวิจัยวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550<p>
รายงานวิจัยวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550 เกิดขึ้นจากคำถามวิจัยที่ว่า อะไรคือ "วัฒนธรรม" ที่เกิดจากการมีอคติทางเพศในสังคมไทย และวัฒนธรรมนี้ส่งผลให้เกิดการปิดกั้นและการไม่ยอมรับบุคคลที่มีพฤติกรรมข้ามเพศ (Transgender) และคนรักเพศเดียวกัน (Homosexual) อย่างไรบ้าง ซึ่งในช่วงทศวรรษ 2480 เป็นต้นมา การจัดระเบียบเพศหญิงและเพศชาย (ความคิดเรื่องเพศคู่ตรงข้าม) ถูกถ่ายทอดจากราชสำนักช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 แผ่ขยายออกไปสู่สามัญชนอย่างเข้มแข็งในยุครัฐนิยม ทำให้เกิดการควบคุมพลเมืองให้อยู่ในบทบาททางเพศเพียงสองแบบ คือ บทบาทผู้ชายและบทบาทผู้หญิง สังคมไทยได้รับเอาอุดมการณ์และความคิดเรื่องเพศแบบวิทยาศาสตร์มาใช้อบรมสั่งสอน แพร่หลายในระบบการศึกษา หน่วยงาน และภาคธรุกิจทั้งหลาย เด็กที่เกิดมาจึงถูกสั่งสอนให้ปฏิบัติตัวและแสดงพฤติกรรมทางเพศแบบชายหญิงเท่านั้น ถ้าคนใดแสดงแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับเพศกำเนิดจะถูกมองว่า เบี่ยงเบนทางเพศ ฉะนั้นสังคมไทยจึงปฏิเสธและไม่ยอมรับคนข้ามเพศ/รักเพศเดียวกัน เช่น กะเทย สาวประเภทสอง เกย์ ทอมดี้ เลสเบี้ยน</p>วัฒนธรรมทางเพศ, วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, เพศศึกษา, สตรีนิยม, เกย์, เลสเบี้ยน, รักร่วมเพศ, เอกลักษณ์ทางเพศ, อคติ, ไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=82https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/170-cover.jpg
82รายงานวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550<p>
รายงานวิจัยวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550 เกิดขึ้นจากคำถามวิจัยที่ว่า อะไรคือ "วัฒนธรรม" ที่เกิดจากการมีอคติทางเพศในสังคมไทย และวัฒนธรรมนี้ส่งผลให้เกิดการปิดกั้นและการไม่ยอมรับบุคคลที่มีพฤติกรรมข้ามเพศ (Transgender) และคนรักเพศเดียวกัน (Homosexual) อย่างไรบ้าง ซึ่งในช่วงทศวรรษ 2480 เป็นต้นมา การจัดระเบียบเพศหญิงและเพศชาย (ความคิดเรื่องเพศคู่ตรงข้าม) ถูกถ่ายทอดจากราชสำนักช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 แผ่ขยายออกไปสู่สามัญชนอย่างเข้มแข็งในยุครัฐนิยม ทำให้เกิดการควบคุมพลเมืองให้อยู่ในบทบาททางเพศเพียงสองแบบ คือ บทบาทผู้ชายและบทบาทผู้หญิง สังคมไทยได้รับเอาอุดมการณ์และความคิดเรื่องเพศแบบวิทยาศาสตร์มาใช้อบรมสั่งสอน แพร่หลายในระบบการศึกษา หน่วยงาน และภาคธรุกิจทั้งหลาย เด็กที่เกิดมาจึงถูกสั่งสอนให้ปฏิบัติตัวและแสดงพฤติกรรมทางเพศแบบชายหญิงเท่านั้น ถ้าคนใดแสดงแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับเพศกำเนิดจะถูกมองว่า เบี่ยงเบนทางเพศ ฉะนั้นสังคมไทยจึงปฏิเสธและไม่ยอมรับคนข้ามเพศ/รักเพศเดียวกัน เช่น กะเทย สาวประเภทสอง เกย์ ทอมดี้ เลสเบี้ยน</p>วัฒนธรรมทางเพศ, วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, เพศศึกษา, สตรีนิยม, เกย์, เลสเบี้ยน, รักร่วมเพศ, เอกลักษณ์ทางเพศ, อคติ, ไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=82https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/170-cover.jpg
82หนังสือวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550<p>
รายงานวิจัยวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550 เกิดขึ้นจากคำถามวิจัยที่ว่า อะไรคือ "วัฒนธรรม" ที่เกิดจากการมีอคติทางเพศในสังคมไทย และวัฒนธรรมนี้ส่งผลให้เกิดการปิดกั้นและการไม่ยอมรับบุคคลที่มีพฤติกรรมข้ามเพศ (Transgender) และคนรักเพศเดียวกัน (Homosexual) อย่างไรบ้าง ซึ่งในช่วงทศวรรษ 2480 เป็นต้นมา การจัดระเบียบเพศหญิงและเพศชาย (ความคิดเรื่องเพศคู่ตรงข้าม) ถูกถ่ายทอดจากราชสำนักช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 แผ่ขยายออกไปสู่สามัญชนอย่างเข้มแข็งในยุครัฐนิยม ทำให้เกิดการควบคุมพลเมืองให้อยู่ในบทบาททางเพศเพียงสองแบบ คือ บทบาทผู้ชายและบทบาทผู้หญิง สังคมไทยได้รับเอาอุดมการณ์และความคิดเรื่องเพศแบบวิทยาศาสตร์มาใช้อบรมสั่งสอน แพร่หลายในระบบการศึกษา หน่วยงาน และภาคธรุกิจทั้งหลาย เด็กที่เกิดมาจึงถูกสั่งสอนให้ปฏิบัติตัวและแสดงพฤติกรรมทางเพศแบบชายหญิงเท่านั้น ถ้าคนใดแสดงแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับเพศกำเนิดจะถูกมองว่า เบี่ยงเบนทางเพศ ฉะนั้นสังคมไทยจึงปฏิเสธและไม่ยอมรับคนข้ามเพศ/รักเพศเดียวกัน เช่น กะเทย สาวประเภทสอง เกย์ ทอมดี้ เลสเบี้ยน</p>วัฒนธรรมทางเพศ, วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, เพศศึกษา, สตรีนิยม, เกย์, เลสเบี้ยน, รักร่วมเพศ, เอกลักษณ์ทางเพศ, อคติ, ไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=82https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/170-cover.jpg
82จุลสารวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550<p>
รายงานวิจัยวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550 เกิดขึ้นจากคำถามวิจัยที่ว่า อะไรคือ "วัฒนธรรม" ที่เกิดจากการมีอคติทางเพศในสังคมไทย และวัฒนธรรมนี้ส่งผลให้เกิดการปิดกั้นและการไม่ยอมรับบุคคลที่มีพฤติกรรมข้ามเพศ (Transgender) และคนรักเพศเดียวกัน (Homosexual) อย่างไรบ้าง ซึ่งในช่วงทศวรรษ 2480 เป็นต้นมา การจัดระเบียบเพศหญิงและเพศชาย (ความคิดเรื่องเพศคู่ตรงข้าม) ถูกถ่ายทอดจากราชสำนักช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 แผ่ขยายออกไปสู่สามัญชนอย่างเข้มแข็งในยุครัฐนิยม ทำให้เกิดการควบคุมพลเมืองให้อยู่ในบทบาททางเพศเพียงสองแบบ คือ บทบาทผู้ชายและบทบาทผู้หญิง สังคมไทยได้รับเอาอุดมการณ์และความคิดเรื่องเพศแบบวิทยาศาสตร์มาใช้อบรมสั่งสอน แพร่หลายในระบบการศึกษา หน่วยงาน และภาคธรุกิจทั้งหลาย เด็กที่เกิดมาจึงถูกสั่งสอนให้ปฏิบัติตัวและแสดงพฤติกรรมทางเพศแบบชายหญิงเท่านั้น ถ้าคนใดแสดงแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับเพศกำเนิดจะถูกมองว่า เบี่ยงเบนทางเพศ ฉะนั้นสังคมไทยจึงปฏิเสธและไม่ยอมรับคนข้ามเพศ/รักเพศเดียวกัน เช่น กะเทย สาวประเภทสอง เกย์ ทอมดี้ เลสเบี้ยน</p>วัฒนธรรมทางเพศ, วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, เพศศึกษา, สตรีนิยม, เกย์, เลสเบี้ยน, รักร่วมเพศ, เอกลักษณ์ทางเพศ, อคติ, ไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=82https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/170-cover.jpg
82สูจิบัตรวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550<p>
รายงานวิจัยวัฒนธรรมอคติทางเพศในสังคมไทย ทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2550 เกิดขึ้นจากคำถามวิจัยที่ว่า อะไรคือ "วัฒนธรรม" ที่เกิดจากการมีอคติทางเพศในสังคมไทย และวัฒนธรรมนี้ส่งผลให้เกิดการปิดกั้นและการไม่ยอมรับบุคคลที่มีพฤติกรรมข้ามเพศ (Transgender) และคนรักเพศเดียวกัน (Homosexual) อย่างไรบ้าง ซึ่งในช่วงทศวรรษ 2480 เป็นต้นมา การจัดระเบียบเพศหญิงและเพศชาย (ความคิดเรื่องเพศคู่ตรงข้าม) ถูกถ่ายทอดจากราชสำนักช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 แผ่ขยายออกไปสู่สามัญชนอย่างเข้มแข็งในยุครัฐนิยม ทำให้เกิดการควบคุมพลเมืองให้อยู่ในบทบาททางเพศเพียงสองแบบ คือ บทบาทผู้ชายและบทบาทผู้หญิง สังคมไทยได้รับเอาอุดมการณ์และความคิดเรื่องเพศแบบวิทยาศาสตร์มาใช้อบรมสั่งสอน แพร่หลายในระบบการศึกษา หน่วยงาน และภาคธรุกิจทั้งหลาย เด็กที่เกิดมาจึงถูกสั่งสอนให้ปฏิบัติตัวและแสดงพฤติกรรมทางเพศแบบชายหญิงเท่านั้น ถ้าคนใดแสดงแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับเพศกำเนิดจะถูกมองว่า เบี่ยงเบนทางเพศ ฉะนั้นสังคมไทยจึงปฏิเสธและไม่ยอมรับคนข้ามเพศ/รักเพศเดียวกัน เช่น กะเทย สาวประเภทสอง เกย์ ทอมดี้ เลสเบี้ยน</p>วัฒนธรรมทางเพศ, วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, เพศศึกษา, สตรีนิยม, เกย์, เลสเบี้ยน, รักร่วมเพศ, เอกลักษณ์ทางเพศ, อคติ, ไทย30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=82https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/170-cover.jpg
83อื่นๆประมวลแนวคิด เรื่องวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี<p>
รายงานวิจัย เรื่อง ประมวลแนวคิดวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี มีเนื้อหาสาระการวิจัยแบ่งย่อยออกเป็น 3 ประเด็นหลัก คือ เริ่มจากการศึกษาวัฒนธรรมทางเพศที่ปรากฎอยู่ในอดีตของสังคมไทยก่อนที่จะมีกระบวนการทำให้เป็นสมัยใหม่ หรือก่อนที่จะมีทฤษฎีตะวันตกเข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนที่สอง เป็นการตรวจสอบทฤษฎีบริโภคนิยม ได้แก่ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ทฤษฎีเฟมินิสต์และทฤษฎีชีววิทยา ส่วนที่สาม การตรวจสอบการศึกษาเรื่องเซ็กและกามารมณ์ในวัฒนธรรมบริโภคแบบไทย ในส่วนท้าย ผู้วิจัยพยายามชี้ให้เห็นว่า นักวิชาการทั้งไทยและต่างชาติที่ศึกษาเซ็กและกามารมณ์นำทฤษฎีตะวันตกมาเป็นแนวทางในการศึกษาได้อย่างไร รวมทั้งในส่วนของผู้วิจัยเองก็ได้นำวิธีศึกษาแบบวงศาวิทยาของมิเชล ฟูโกต์ มาเป็นแนวทางการศึกษา โดยชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายถ่ายเทอำนาจและความรู้ที่ซ่อนอยู่ในแนวคิดทฤษฎีนั้น </p>วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, แนวคิดทฤษฎี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=83https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/181-cover.jpg
83วารสารประมวลแนวคิด เรื่องวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี<p>
รายงานวิจัย เรื่อง ประมวลแนวคิดวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี มีเนื้อหาสาระการวิจัยแบ่งย่อยออกเป็น 3 ประเด็นหลัก คือ เริ่มจากการศึกษาวัฒนธรรมทางเพศที่ปรากฎอยู่ในอดีตของสังคมไทยก่อนที่จะมีกระบวนการทำให้เป็นสมัยใหม่ หรือก่อนที่จะมีทฤษฎีตะวันตกเข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนที่สอง เป็นการตรวจสอบทฤษฎีบริโภคนิยม ได้แก่ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ทฤษฎีเฟมินิสต์และทฤษฎีชีววิทยา ส่วนที่สาม การตรวจสอบการศึกษาเรื่องเซ็กและกามารมณ์ในวัฒนธรรมบริโภคแบบไทย ในส่วนท้าย ผู้วิจัยพยายามชี้ให้เห็นว่า นักวิชาการทั้งไทยและต่างชาติที่ศึกษาเซ็กและกามารมณ์นำทฤษฎีตะวันตกมาเป็นแนวทางในการศึกษาได้อย่างไร รวมทั้งในส่วนของผู้วิจัยเองก็ได้นำวิธีศึกษาแบบวงศาวิทยาของมิเชล ฟูโกต์ มาเป็นแนวทางการศึกษา โดยชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายถ่ายเทอำนาจและความรู้ที่ซ่อนอยู่ในแนวคิดทฤษฎีนั้น </p>วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, แนวคิดทฤษฎี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=83https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/181-cover.jpg
83บทความประมวลแนวคิด เรื่องวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี<p>
รายงานวิจัย เรื่อง ประมวลแนวคิดวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี มีเนื้อหาสาระการวิจัยแบ่งย่อยออกเป็น 3 ประเด็นหลัก คือ เริ่มจากการศึกษาวัฒนธรรมทางเพศที่ปรากฎอยู่ในอดีตของสังคมไทยก่อนที่จะมีกระบวนการทำให้เป็นสมัยใหม่ หรือก่อนที่จะมีทฤษฎีตะวันตกเข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนที่สอง เป็นการตรวจสอบทฤษฎีบริโภคนิยม ได้แก่ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ทฤษฎีเฟมินิสต์และทฤษฎีชีววิทยา ส่วนที่สาม การตรวจสอบการศึกษาเรื่องเซ็กและกามารมณ์ในวัฒนธรรมบริโภคแบบไทย ในส่วนท้าย ผู้วิจัยพยายามชี้ให้เห็นว่า นักวิชาการทั้งไทยและต่างชาติที่ศึกษาเซ็กและกามารมณ์นำทฤษฎีตะวันตกมาเป็นแนวทางในการศึกษาได้อย่างไร รวมทั้งในส่วนของผู้วิจัยเองก็ได้นำวิธีศึกษาแบบวงศาวิทยาของมิเชล ฟูโกต์ มาเป็นแนวทางการศึกษา โดยชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายถ่ายเทอำนาจและความรู้ที่ซ่อนอยู่ในแนวคิดทฤษฎีนั้น </p>วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, แนวคิดทฤษฎี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=83https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/181-cover.jpg
83วิทยานิพนธ์ประมวลแนวคิด เรื่องวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี<p>
รายงานวิจัย เรื่อง ประมวลแนวคิดวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี มีเนื้อหาสาระการวิจัยแบ่งย่อยออกเป็น 3 ประเด็นหลัก คือ เริ่มจากการศึกษาวัฒนธรรมทางเพศที่ปรากฎอยู่ในอดีตของสังคมไทยก่อนที่จะมีกระบวนการทำให้เป็นสมัยใหม่ หรือก่อนที่จะมีทฤษฎีตะวันตกเข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนที่สอง เป็นการตรวจสอบทฤษฎีบริโภคนิยม ได้แก่ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ทฤษฎีเฟมินิสต์และทฤษฎีชีววิทยา ส่วนที่สาม การตรวจสอบการศึกษาเรื่องเซ็กและกามารมณ์ในวัฒนธรรมบริโภคแบบไทย ในส่วนท้าย ผู้วิจัยพยายามชี้ให้เห็นว่า นักวิชาการทั้งไทยและต่างชาติที่ศึกษาเซ็กและกามารมณ์นำทฤษฎีตะวันตกมาเป็นแนวทางในการศึกษาได้อย่างไร รวมทั้งในส่วนของผู้วิจัยเองก็ได้นำวิธีศึกษาแบบวงศาวิทยาของมิเชล ฟูโกต์ มาเป็นแนวทางการศึกษา โดยชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายถ่ายเทอำนาจและความรู้ที่ซ่อนอยู่ในแนวคิดทฤษฎีนั้น </p>วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, แนวคิดทฤษฎี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=83https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/181-cover.jpg
83รายงานงานวิจัยประมวลแนวคิด เรื่องวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี<p>
รายงานวิจัย เรื่อง ประมวลแนวคิดวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี มีเนื้อหาสาระการวิจัยแบ่งย่อยออกเป็น 3 ประเด็นหลัก คือ เริ่มจากการศึกษาวัฒนธรรมทางเพศที่ปรากฎอยู่ในอดีตของสังคมไทยก่อนที่จะมีกระบวนการทำให้เป็นสมัยใหม่ หรือก่อนที่จะมีทฤษฎีตะวันตกเข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนที่สอง เป็นการตรวจสอบทฤษฎีบริโภคนิยม ได้แก่ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ทฤษฎีเฟมินิสต์และทฤษฎีชีววิทยา ส่วนที่สาม การตรวจสอบการศึกษาเรื่องเซ็กและกามารมณ์ในวัฒนธรรมบริโภคแบบไทย ในส่วนท้าย ผู้วิจัยพยายามชี้ให้เห็นว่า นักวิชาการทั้งไทยและต่างชาติที่ศึกษาเซ็กและกามารมณ์นำทฤษฎีตะวันตกมาเป็นแนวทางในการศึกษาได้อย่างไร รวมทั้งในส่วนของผู้วิจัยเองก็ได้นำวิธีศึกษาแบบวงศาวิทยาของมิเชล ฟูโกต์ มาเป็นแนวทางการศึกษา โดยชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายถ่ายเทอำนาจและความรู้ที่ซ่อนอยู่ในแนวคิดทฤษฎีนั้น </p>วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, แนวคิดทฤษฎี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=83https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/181-cover.jpg
83รายงานประมวลแนวคิด เรื่องวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี<p>
รายงานวิจัย เรื่อง ประมวลแนวคิดวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี มีเนื้อหาสาระการวิจัยแบ่งย่อยออกเป็น 3 ประเด็นหลัก คือ เริ่มจากการศึกษาวัฒนธรรมทางเพศที่ปรากฎอยู่ในอดีตของสังคมไทยก่อนที่จะมีกระบวนการทำให้เป็นสมัยใหม่ หรือก่อนที่จะมีทฤษฎีตะวันตกเข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนที่สอง เป็นการตรวจสอบทฤษฎีบริโภคนิยม ได้แก่ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ทฤษฎีเฟมินิสต์และทฤษฎีชีววิทยา ส่วนที่สาม การตรวจสอบการศึกษาเรื่องเซ็กและกามารมณ์ในวัฒนธรรมบริโภคแบบไทย ในส่วนท้าย ผู้วิจัยพยายามชี้ให้เห็นว่า นักวิชาการทั้งไทยและต่างชาติที่ศึกษาเซ็กและกามารมณ์นำทฤษฎีตะวันตกมาเป็นแนวทางในการศึกษาได้อย่างไร รวมทั้งในส่วนของผู้วิจัยเองก็ได้นำวิธีศึกษาแบบวงศาวิทยาของมิเชล ฟูโกต์ มาเป็นแนวทางการศึกษา โดยชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายถ่ายเทอำนาจและความรู้ที่ซ่อนอยู่ในแนวคิดทฤษฎีนั้น </p>วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, แนวคิดทฤษฎี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=83https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/181-cover.jpg
83หนังสือประมวลแนวคิด เรื่องวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี<p>
รายงานวิจัย เรื่อง ประมวลแนวคิดวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี มีเนื้อหาสาระการวิจัยแบ่งย่อยออกเป็น 3 ประเด็นหลัก คือ เริ่มจากการศึกษาวัฒนธรรมทางเพศที่ปรากฎอยู่ในอดีตของสังคมไทยก่อนที่จะมีกระบวนการทำให้เป็นสมัยใหม่ หรือก่อนที่จะมีทฤษฎีตะวันตกเข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนที่สอง เป็นการตรวจสอบทฤษฎีบริโภคนิยม ได้แก่ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ทฤษฎีเฟมินิสต์และทฤษฎีชีววิทยา ส่วนที่สาม การตรวจสอบการศึกษาเรื่องเซ็กและกามารมณ์ในวัฒนธรรมบริโภคแบบไทย ในส่วนท้าย ผู้วิจัยพยายามชี้ให้เห็นว่า นักวิชาการทั้งไทยและต่างชาติที่ศึกษาเซ็กและกามารมณ์นำทฤษฎีตะวันตกมาเป็นแนวทางในการศึกษาได้อย่างไร รวมทั้งในส่วนของผู้วิจัยเองก็ได้นำวิธีศึกษาแบบวงศาวิทยาของมิเชล ฟูโกต์ มาเป็นแนวทางการศึกษา โดยชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายถ่ายเทอำนาจและความรู้ที่ซ่อนอยู่ในแนวคิดทฤษฎีนั้น </p>วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, แนวคิดทฤษฎี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=83https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/181-cover.jpg
83จุลสารประมวลแนวคิด เรื่องวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี<p>
รายงานวิจัย เรื่อง ประมวลแนวคิดวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี มีเนื้อหาสาระการวิจัยแบ่งย่อยออกเป็น 3 ประเด็นหลัก คือ เริ่มจากการศึกษาวัฒนธรรมทางเพศที่ปรากฎอยู่ในอดีตของสังคมไทยก่อนที่จะมีกระบวนการทำให้เป็นสมัยใหม่ หรือก่อนที่จะมีทฤษฎีตะวันตกเข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนที่สอง เป็นการตรวจสอบทฤษฎีบริโภคนิยม ได้แก่ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ทฤษฎีเฟมินิสต์และทฤษฎีชีววิทยา ส่วนที่สาม การตรวจสอบการศึกษาเรื่องเซ็กและกามารมณ์ในวัฒนธรรมบริโภคแบบไทย ในส่วนท้าย ผู้วิจัยพยายามชี้ให้เห็นว่า นักวิชาการทั้งไทยและต่างชาติที่ศึกษาเซ็กและกามารมณ์นำทฤษฎีตะวันตกมาเป็นแนวทางในการศึกษาได้อย่างไร รวมทั้งในส่วนของผู้วิจัยเองก็ได้นำวิธีศึกษาแบบวงศาวิทยาของมิเชล ฟูโกต์ มาเป็นแนวทางการศึกษา โดยชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายถ่ายเทอำนาจและความรู้ที่ซ่อนอยู่ในแนวคิดทฤษฎีนั้น </p>วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, แนวคิดทฤษฎี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=83https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/181-cover.jpg
83สูจิบัตรประมวลแนวคิด เรื่องวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี<p>
รายงานวิจัย เรื่อง ประมวลแนวคิดวัฒนธรรมบริโภคในมิติเพศวิถี มีเนื้อหาสาระการวิจัยแบ่งย่อยออกเป็น 3 ประเด็นหลัก คือ เริ่มจากการศึกษาวัฒนธรรมทางเพศที่ปรากฎอยู่ในอดีตของสังคมไทยก่อนที่จะมีกระบวนการทำให้เป็นสมัยใหม่ หรือก่อนที่จะมีทฤษฎีตะวันตกเข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนที่สอง เป็นการตรวจสอบทฤษฎีบริโภคนิยม ได้แก่ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ทฤษฎีเฟมินิสต์และทฤษฎีชีววิทยา ส่วนที่สาม การตรวจสอบการศึกษาเรื่องเซ็กและกามารมณ์ในวัฒนธรรมบริโภคแบบไทย ในส่วนท้าย ผู้วิจัยพยายามชี้ให้เห็นว่า นักวิชาการทั้งไทยและต่างชาติที่ศึกษาเซ็กและกามารมณ์นำทฤษฎีตะวันตกมาเป็นแนวทางในการศึกษาได้อย่างไร รวมทั้งในส่วนของผู้วิจัยเองก็ได้นำวิธีศึกษาแบบวงศาวิทยาของมิเชล ฟูโกต์ มาเป็นแนวทางการศึกษา โดยชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายถ่ายเทอำนาจและความรู้ที่ซ่อนอยู่ในแนวคิดทฤษฎีนั้น </p>วัฒนธรรมบริโภค, เพศวิถี, แนวคิดทฤษฎี30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=83https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/181-cover.jpg
84อื่นๆเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดกรณีศึกษาวัดในเขตพระนครและดุสิต กรุงเทพมหานคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาโอกาสทางสังคมและเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดที่อาศัยอยู่ในพระอารามหลวงในเขตพระนครและเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จากการศึกษาของผู้วิจัยพบว่าสามเณรและเด็กวัดส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ย้ายเข้ามาเรียนหนังสือในเมืองหลวง โดยสาเหตุที่สามเณรเข้ามาบวชเรียนเนื่องจากมีความศรัทธาและความชอบ ประกอบกับได้รับการชักชวนจากพระสงฆ์และครูอาจารย์ การหาโอกาสทางการศึกษา ลดค่าใช้จ่ายในครอบครัว การมีญาติเป็นพระ หรือแม้กระทั่งไม่อยากอยู่บ้าน นอกจากนี้แล้วผู้วิจัยยังได้นำแนวคิด <em>อำนาจเหนือธรรมชาติ</em> เข้ามาช่วยวิเคราะห์บริบทของการสร้างพลเมืองของรัฐภายใต้อำนาจความรู้ที่ควบคุมชีวิตของเยาวชนให้อยู่ในกฎระเบียบทางศีลธรรม รวมทั้งบริบทของวัฒนธรรมบริโภคที่สามเณรและเด็กวัดกำลังแสวงหาตัวตนผ่านสื่อสมัยใหม่และสังคมออนไลน์ </p>พลวัตของชีวิต, ภาวะสังคม, ความเป็นชาย, วาทกรรม, สามเณร, เด็กวัด, เขตพระนคร, เขตดุสิต30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=84https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/195-cover.jpg
84วารสารเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดกรณีศึกษาวัดในเขตพระนครและดุสิต กรุงเทพมหานคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาโอกาสทางสังคมและเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดที่อาศัยอยู่ในพระอารามหลวงในเขตพระนครและเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จากการศึกษาของผู้วิจัยพบว่าสามเณรและเด็กวัดส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ย้ายเข้ามาเรียนหนังสือในเมืองหลวง โดยสาเหตุที่สามเณรเข้ามาบวชเรียนเนื่องจากมีความศรัทธาและความชอบ ประกอบกับได้รับการชักชวนจากพระสงฆ์และครูอาจารย์ การหาโอกาสทางการศึกษา ลดค่าใช้จ่ายในครอบครัว การมีญาติเป็นพระ หรือแม้กระทั่งไม่อยากอยู่บ้าน นอกจากนี้แล้วผู้วิจัยยังได้นำแนวคิด <em>อำนาจเหนือธรรมชาติ</em> เข้ามาช่วยวิเคราะห์บริบทของการสร้างพลเมืองของรัฐภายใต้อำนาจความรู้ที่ควบคุมชีวิตของเยาวชนให้อยู่ในกฎระเบียบทางศีลธรรม รวมทั้งบริบทของวัฒนธรรมบริโภคที่สามเณรและเด็กวัดกำลังแสวงหาตัวตนผ่านสื่อสมัยใหม่และสังคมออนไลน์ </p>พลวัตของชีวิต, ภาวะสังคม, ความเป็นชาย, วาทกรรม, สามเณร, เด็กวัด, เขตพระนคร, เขตดุสิต30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=84https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/195-cover.jpg
84บทความเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดกรณีศึกษาวัดในเขตพระนครและดุสิต กรุงเทพมหานคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาโอกาสทางสังคมและเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดที่อาศัยอยู่ในพระอารามหลวงในเขตพระนครและเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จากการศึกษาของผู้วิจัยพบว่าสามเณรและเด็กวัดส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ย้ายเข้ามาเรียนหนังสือในเมืองหลวง โดยสาเหตุที่สามเณรเข้ามาบวชเรียนเนื่องจากมีความศรัทธาและความชอบ ประกอบกับได้รับการชักชวนจากพระสงฆ์และครูอาจารย์ การหาโอกาสทางการศึกษา ลดค่าใช้จ่ายในครอบครัว การมีญาติเป็นพระ หรือแม้กระทั่งไม่อยากอยู่บ้าน นอกจากนี้แล้วผู้วิจัยยังได้นำแนวคิด <em>อำนาจเหนือธรรมชาติ</em> เข้ามาช่วยวิเคราะห์บริบทของการสร้างพลเมืองของรัฐภายใต้อำนาจความรู้ที่ควบคุมชีวิตของเยาวชนให้อยู่ในกฎระเบียบทางศีลธรรม รวมทั้งบริบทของวัฒนธรรมบริโภคที่สามเณรและเด็กวัดกำลังแสวงหาตัวตนผ่านสื่อสมัยใหม่และสังคมออนไลน์ </p>พลวัตของชีวิต, ภาวะสังคม, ความเป็นชาย, วาทกรรม, สามเณร, เด็กวัด, เขตพระนคร, เขตดุสิต30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=84https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/195-cover.jpg
84วิทยานิพนธ์เส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดกรณีศึกษาวัดในเขตพระนครและดุสิต กรุงเทพมหานคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาโอกาสทางสังคมและเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดที่อาศัยอยู่ในพระอารามหลวงในเขตพระนครและเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จากการศึกษาของผู้วิจัยพบว่าสามเณรและเด็กวัดส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ย้ายเข้ามาเรียนหนังสือในเมืองหลวง โดยสาเหตุที่สามเณรเข้ามาบวชเรียนเนื่องจากมีความศรัทธาและความชอบ ประกอบกับได้รับการชักชวนจากพระสงฆ์และครูอาจารย์ การหาโอกาสทางการศึกษา ลดค่าใช้จ่ายในครอบครัว การมีญาติเป็นพระ หรือแม้กระทั่งไม่อยากอยู่บ้าน นอกจากนี้แล้วผู้วิจัยยังได้นำแนวคิด <em>อำนาจเหนือธรรมชาติ</em> เข้ามาช่วยวิเคราะห์บริบทของการสร้างพลเมืองของรัฐภายใต้อำนาจความรู้ที่ควบคุมชีวิตของเยาวชนให้อยู่ในกฎระเบียบทางศีลธรรม รวมทั้งบริบทของวัฒนธรรมบริโภคที่สามเณรและเด็กวัดกำลังแสวงหาตัวตนผ่านสื่อสมัยใหม่และสังคมออนไลน์ </p>พลวัตของชีวิต, ภาวะสังคม, ความเป็นชาย, วาทกรรม, สามเณร, เด็กวัด, เขตพระนคร, เขตดุสิต30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=84https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/195-cover.jpg
84รายงานงานวิจัยเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดกรณีศึกษาวัดในเขตพระนครและดุสิต กรุงเทพมหานคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาโอกาสทางสังคมและเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดที่อาศัยอยู่ในพระอารามหลวงในเขตพระนครและเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จากการศึกษาของผู้วิจัยพบว่าสามเณรและเด็กวัดส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ย้ายเข้ามาเรียนหนังสือในเมืองหลวง โดยสาเหตุที่สามเณรเข้ามาบวชเรียนเนื่องจากมีความศรัทธาและความชอบ ประกอบกับได้รับการชักชวนจากพระสงฆ์และครูอาจารย์ การหาโอกาสทางการศึกษา ลดค่าใช้จ่ายในครอบครัว การมีญาติเป็นพระ หรือแม้กระทั่งไม่อยากอยู่บ้าน นอกจากนี้แล้วผู้วิจัยยังได้นำแนวคิด <em>อำนาจเหนือธรรมชาติ</em> เข้ามาช่วยวิเคราะห์บริบทของการสร้างพลเมืองของรัฐภายใต้อำนาจความรู้ที่ควบคุมชีวิตของเยาวชนให้อยู่ในกฎระเบียบทางศีลธรรม รวมทั้งบริบทของวัฒนธรรมบริโภคที่สามเณรและเด็กวัดกำลังแสวงหาตัวตนผ่านสื่อสมัยใหม่และสังคมออนไลน์ </p>พลวัตของชีวิต, ภาวะสังคม, ความเป็นชาย, วาทกรรม, สามเณร, เด็กวัด, เขตพระนคร, เขตดุสิต30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=84https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/195-cover.jpg
84รายงานเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดกรณีศึกษาวัดในเขตพระนครและดุสิต กรุงเทพมหานคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาโอกาสทางสังคมและเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดที่อาศัยอยู่ในพระอารามหลวงในเขตพระนครและเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จากการศึกษาของผู้วิจัยพบว่าสามเณรและเด็กวัดส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ย้ายเข้ามาเรียนหนังสือในเมืองหลวง โดยสาเหตุที่สามเณรเข้ามาบวชเรียนเนื่องจากมีความศรัทธาและความชอบ ประกอบกับได้รับการชักชวนจากพระสงฆ์และครูอาจารย์ การหาโอกาสทางการศึกษา ลดค่าใช้จ่ายในครอบครัว การมีญาติเป็นพระ หรือแม้กระทั่งไม่อยากอยู่บ้าน นอกจากนี้แล้วผู้วิจัยยังได้นำแนวคิด <em>อำนาจเหนือธรรมชาติ</em> เข้ามาช่วยวิเคราะห์บริบทของการสร้างพลเมืองของรัฐภายใต้อำนาจความรู้ที่ควบคุมชีวิตของเยาวชนให้อยู่ในกฎระเบียบทางศีลธรรม รวมทั้งบริบทของวัฒนธรรมบริโภคที่สามเณรและเด็กวัดกำลังแสวงหาตัวตนผ่านสื่อสมัยใหม่และสังคมออนไลน์ </p>พลวัตของชีวิต, ภาวะสังคม, ความเป็นชาย, วาทกรรม, สามเณร, เด็กวัด, เขตพระนคร, เขตดุสิต30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=84https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/195-cover.jpg
84หนังสือเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดกรณีศึกษาวัดในเขตพระนครและดุสิต กรุงเทพมหานคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาโอกาสทางสังคมและเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดที่อาศัยอยู่ในพระอารามหลวงในเขตพระนครและเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จากการศึกษาของผู้วิจัยพบว่าสามเณรและเด็กวัดส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ย้ายเข้ามาเรียนหนังสือในเมืองหลวง โดยสาเหตุที่สามเณรเข้ามาบวชเรียนเนื่องจากมีความศรัทธาและความชอบ ประกอบกับได้รับการชักชวนจากพระสงฆ์และครูอาจารย์ การหาโอกาสทางการศึกษา ลดค่าใช้จ่ายในครอบครัว การมีญาติเป็นพระ หรือแม้กระทั่งไม่อยากอยู่บ้าน นอกจากนี้แล้วผู้วิจัยยังได้นำแนวคิด <em>อำนาจเหนือธรรมชาติ</em> เข้ามาช่วยวิเคราะห์บริบทของการสร้างพลเมืองของรัฐภายใต้อำนาจความรู้ที่ควบคุมชีวิตของเยาวชนให้อยู่ในกฎระเบียบทางศีลธรรม รวมทั้งบริบทของวัฒนธรรมบริโภคที่สามเณรและเด็กวัดกำลังแสวงหาตัวตนผ่านสื่อสมัยใหม่และสังคมออนไลน์ </p>พลวัตของชีวิต, ภาวะสังคม, ความเป็นชาย, วาทกรรม, สามเณร, เด็กวัด, เขตพระนคร, เขตดุสิต30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=84https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/195-cover.jpg
84จุลสารเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดกรณีศึกษาวัดในเขตพระนครและดุสิต กรุงเทพมหานคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาโอกาสทางสังคมและเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดที่อาศัยอยู่ในพระอารามหลวงในเขตพระนครและเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จากการศึกษาของผู้วิจัยพบว่าสามเณรและเด็กวัดส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ย้ายเข้ามาเรียนหนังสือในเมืองหลวง โดยสาเหตุที่สามเณรเข้ามาบวชเรียนเนื่องจากมีความศรัทธาและความชอบ ประกอบกับได้รับการชักชวนจากพระสงฆ์และครูอาจารย์ การหาโอกาสทางการศึกษา ลดค่าใช้จ่ายในครอบครัว การมีญาติเป็นพระ หรือแม้กระทั่งไม่อยากอยู่บ้าน นอกจากนี้แล้วผู้วิจัยยังได้นำแนวคิด <em>อำนาจเหนือธรรมชาติ</em> เข้ามาช่วยวิเคราะห์บริบทของการสร้างพลเมืองของรัฐภายใต้อำนาจความรู้ที่ควบคุมชีวิตของเยาวชนให้อยู่ในกฎระเบียบทางศีลธรรม รวมทั้งบริบทของวัฒนธรรมบริโภคที่สามเณรและเด็กวัดกำลังแสวงหาตัวตนผ่านสื่อสมัยใหม่และสังคมออนไลน์ </p>พลวัตของชีวิต, ภาวะสังคม, ความเป็นชาย, วาทกรรม, สามเณร, เด็กวัด, เขตพระนคร, เขตดุสิต30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=84https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/195-cover.jpg
84สูจิบัตรเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดกรณีศึกษาวัดในเขตพระนครและดุสิต กรุงเทพมหานคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาโอกาสทางสังคมและเส้นทางชีวิตของสามเณรและเด็กวัดที่อาศัยอยู่ในพระอารามหลวงในเขตพระนครและเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จากการศึกษาของผู้วิจัยพบว่าสามเณรและเด็กวัดส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ย้ายเข้ามาเรียนหนังสือในเมืองหลวง โดยสาเหตุที่สามเณรเข้ามาบวชเรียนเนื่องจากมีความศรัทธาและความชอบ ประกอบกับได้รับการชักชวนจากพระสงฆ์และครูอาจารย์ การหาโอกาสทางการศึกษา ลดค่าใช้จ่ายในครอบครัว การมีญาติเป็นพระ หรือแม้กระทั่งไม่อยากอยู่บ้าน นอกจากนี้แล้วผู้วิจัยยังได้นำแนวคิด <em>อำนาจเหนือธรรมชาติ</em> เข้ามาช่วยวิเคราะห์บริบทของการสร้างพลเมืองของรัฐภายใต้อำนาจความรู้ที่ควบคุมชีวิตของเยาวชนให้อยู่ในกฎระเบียบทางศีลธรรม รวมทั้งบริบทของวัฒนธรรมบริโภคที่สามเณรและเด็กวัดกำลังแสวงหาตัวตนผ่านสื่อสมัยใหม่และสังคมออนไลน์ </p>พลวัตของชีวิต, ภาวะสังคม, ความเป็นชาย, วาทกรรม, สามเณร, เด็กวัด, เขตพระนคร, เขตดุสิต30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=84https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/195-cover.jpg
85อื่นๆการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
รายงานวิจัยเรื่อง การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร นั้น เป็นไปเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลการรวมกลุ่มและพื้นที่ในการทำกิจกรรมทางสังคมวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และชุมชนแรงงานข้ามชาติกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อวิเคราะห์การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ การปรับเปลี่ยนทัศนคติและความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ซึ่งมีขอบเขตพื้นที่การวิจัยครั้งนี้ คือพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ประกอบด้วย 15 ตำบล เน้นศึกษาเฉพาะบริเวณที่มีแรงงานข้ามชาติพักอาศัยอยู่หนาแน่น มีการรวมกลุ่มเป็นย่านชุมชนที่พักอาศัย แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าในจังหวัดสมุทรสาครส่วนใหญ่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์มอญ รองลงมาคือกลุ่มชาติพันธุ์ทวาย กลุ่มชาติพันธุ์พม่า ซึ่งจะเป็นกลุ่มหลักในการศึกษา เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายมาจากประเทศเมียนมา มีจำนวนมากถึงร้อยละ 90 มีการรวมกลุ่มและเครือข่ายสังคมที่โดดเด่นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ</p>ชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ, สมุทรสาคร, ชาติพันธุ์สัมพันธ์, การแสดงออกทางวัฒนธรรม, เครือข่ายชาติพันธุ์, ชาติพันธ์วิทยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=85https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/239-cover.jpg
85วารสารการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
รายงานวิจัยเรื่อง การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร นั้น เป็นไปเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลการรวมกลุ่มและพื้นที่ในการทำกิจกรรมทางสังคมวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และชุมชนแรงงานข้ามชาติกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อวิเคราะห์การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ การปรับเปลี่ยนทัศนคติและความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ซึ่งมีขอบเขตพื้นที่การวิจัยครั้งนี้ คือพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ประกอบด้วย 15 ตำบล เน้นศึกษาเฉพาะบริเวณที่มีแรงงานข้ามชาติพักอาศัยอยู่หนาแน่น มีการรวมกลุ่มเป็นย่านชุมชนที่พักอาศัย แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าในจังหวัดสมุทรสาครส่วนใหญ่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์มอญ รองลงมาคือกลุ่มชาติพันธุ์ทวาย กลุ่มชาติพันธุ์พม่า ซึ่งจะเป็นกลุ่มหลักในการศึกษา เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายมาจากประเทศเมียนมา มีจำนวนมากถึงร้อยละ 90 มีการรวมกลุ่มและเครือข่ายสังคมที่โดดเด่นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ</p>ชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ, สมุทรสาคร, ชาติพันธุ์สัมพันธ์, การแสดงออกทางวัฒนธรรม, เครือข่ายชาติพันธุ์, ชาติพันธ์วิทยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=85https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/239-cover.jpg
85บทความการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
รายงานวิจัยเรื่อง การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร นั้น เป็นไปเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลการรวมกลุ่มและพื้นที่ในการทำกิจกรรมทางสังคมวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และชุมชนแรงงานข้ามชาติกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อวิเคราะห์การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ การปรับเปลี่ยนทัศนคติและความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ซึ่งมีขอบเขตพื้นที่การวิจัยครั้งนี้ คือพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ประกอบด้วย 15 ตำบล เน้นศึกษาเฉพาะบริเวณที่มีแรงงานข้ามชาติพักอาศัยอยู่หนาแน่น มีการรวมกลุ่มเป็นย่านชุมชนที่พักอาศัย แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าในจังหวัดสมุทรสาครส่วนใหญ่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์มอญ รองลงมาคือกลุ่มชาติพันธุ์ทวาย กลุ่มชาติพันธุ์พม่า ซึ่งจะเป็นกลุ่มหลักในการศึกษา เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายมาจากประเทศเมียนมา มีจำนวนมากถึงร้อยละ 90 มีการรวมกลุ่มและเครือข่ายสังคมที่โดดเด่นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ</p>ชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ, สมุทรสาคร, ชาติพันธุ์สัมพันธ์, การแสดงออกทางวัฒนธรรม, เครือข่ายชาติพันธุ์, ชาติพันธ์วิทยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=85https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/239-cover.jpg
85วิทยานิพนธ์การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
รายงานวิจัยเรื่อง การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร นั้น เป็นไปเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลการรวมกลุ่มและพื้นที่ในการทำกิจกรรมทางสังคมวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และชุมชนแรงงานข้ามชาติกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อวิเคราะห์การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ การปรับเปลี่ยนทัศนคติและความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ซึ่งมีขอบเขตพื้นที่การวิจัยครั้งนี้ คือพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ประกอบด้วย 15 ตำบล เน้นศึกษาเฉพาะบริเวณที่มีแรงงานข้ามชาติพักอาศัยอยู่หนาแน่น มีการรวมกลุ่มเป็นย่านชุมชนที่พักอาศัย แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าในจังหวัดสมุทรสาครส่วนใหญ่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์มอญ รองลงมาคือกลุ่มชาติพันธุ์ทวาย กลุ่มชาติพันธุ์พม่า ซึ่งจะเป็นกลุ่มหลักในการศึกษา เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายมาจากประเทศเมียนมา มีจำนวนมากถึงร้อยละ 90 มีการรวมกลุ่มและเครือข่ายสังคมที่โดดเด่นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ</p>ชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ, สมุทรสาคร, ชาติพันธุ์สัมพันธ์, การแสดงออกทางวัฒนธรรม, เครือข่ายชาติพันธุ์, ชาติพันธ์วิทยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=85https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/239-cover.jpg
85รายงานงานวิจัยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
รายงานวิจัยเรื่อง การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร นั้น เป็นไปเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลการรวมกลุ่มและพื้นที่ในการทำกิจกรรมทางสังคมวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และชุมชนแรงงานข้ามชาติกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อวิเคราะห์การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ การปรับเปลี่ยนทัศนคติและความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ซึ่งมีขอบเขตพื้นที่การวิจัยครั้งนี้ คือพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ประกอบด้วย 15 ตำบล เน้นศึกษาเฉพาะบริเวณที่มีแรงงานข้ามชาติพักอาศัยอยู่หนาแน่น มีการรวมกลุ่มเป็นย่านชุมชนที่พักอาศัย แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าในจังหวัดสมุทรสาครส่วนใหญ่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์มอญ รองลงมาคือกลุ่มชาติพันธุ์ทวาย กลุ่มชาติพันธุ์พม่า ซึ่งจะเป็นกลุ่มหลักในการศึกษา เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายมาจากประเทศเมียนมา มีจำนวนมากถึงร้อยละ 90 มีการรวมกลุ่มและเครือข่ายสังคมที่โดดเด่นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ</p>ชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ, สมุทรสาคร, ชาติพันธุ์สัมพันธ์, การแสดงออกทางวัฒนธรรม, เครือข่ายชาติพันธุ์, ชาติพันธ์วิทยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=85https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/239-cover.jpg
85รายงานการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
รายงานวิจัยเรื่อง การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร นั้น เป็นไปเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลการรวมกลุ่มและพื้นที่ในการทำกิจกรรมทางสังคมวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และชุมชนแรงงานข้ามชาติกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อวิเคราะห์การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ การปรับเปลี่ยนทัศนคติและความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ซึ่งมีขอบเขตพื้นที่การวิจัยครั้งนี้ คือพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ประกอบด้วย 15 ตำบล เน้นศึกษาเฉพาะบริเวณที่มีแรงงานข้ามชาติพักอาศัยอยู่หนาแน่น มีการรวมกลุ่มเป็นย่านชุมชนที่พักอาศัย แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าในจังหวัดสมุทรสาครส่วนใหญ่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์มอญ รองลงมาคือกลุ่มชาติพันธุ์ทวาย กลุ่มชาติพันธุ์พม่า ซึ่งจะเป็นกลุ่มหลักในการศึกษา เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายมาจากประเทศเมียนมา มีจำนวนมากถึงร้อยละ 90 มีการรวมกลุ่มและเครือข่ายสังคมที่โดดเด่นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ</p>ชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ, สมุทรสาคร, ชาติพันธุ์สัมพันธ์, การแสดงออกทางวัฒนธรรม, เครือข่ายชาติพันธุ์, ชาติพันธ์วิทยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=85https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/239-cover.jpg
85หนังสือการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
รายงานวิจัยเรื่อง การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร นั้น เป็นไปเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลการรวมกลุ่มและพื้นที่ในการทำกิจกรรมทางสังคมวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และชุมชนแรงงานข้ามชาติกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อวิเคราะห์การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ การปรับเปลี่ยนทัศนคติและความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ซึ่งมีขอบเขตพื้นที่การวิจัยครั้งนี้ คือพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ประกอบด้วย 15 ตำบล เน้นศึกษาเฉพาะบริเวณที่มีแรงงานข้ามชาติพักอาศัยอยู่หนาแน่น มีการรวมกลุ่มเป็นย่านชุมชนที่พักอาศัย แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าในจังหวัดสมุทรสาครส่วนใหญ่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์มอญ รองลงมาคือกลุ่มชาติพันธุ์ทวาย กลุ่มชาติพันธุ์พม่า ซึ่งจะเป็นกลุ่มหลักในการศึกษา เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายมาจากประเทศเมียนมา มีจำนวนมากถึงร้อยละ 90 มีการรวมกลุ่มและเครือข่ายสังคมที่โดดเด่นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ</p>ชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ, สมุทรสาคร, ชาติพันธุ์สัมพันธ์, การแสดงออกทางวัฒนธรรม, เครือข่ายชาติพันธุ์, ชาติพันธ์วิทยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=85https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/239-cover.jpg
85จุลสารการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
รายงานวิจัยเรื่อง การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร นั้น เป็นไปเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลการรวมกลุ่มและพื้นที่ในการทำกิจกรรมทางสังคมวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และชุมชนแรงงานข้ามชาติกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อวิเคราะห์การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ การปรับเปลี่ยนทัศนคติและความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ซึ่งมีขอบเขตพื้นที่การวิจัยครั้งนี้ คือพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ประกอบด้วย 15 ตำบล เน้นศึกษาเฉพาะบริเวณที่มีแรงงานข้ามชาติพักอาศัยอยู่หนาแน่น มีการรวมกลุ่มเป็นย่านชุมชนที่พักอาศัย แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าในจังหวัดสมุทรสาครส่วนใหญ่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์มอญ รองลงมาคือกลุ่มชาติพันธุ์ทวาย กลุ่มชาติพันธุ์พม่า ซึ่งจะเป็นกลุ่มหลักในการศึกษา เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายมาจากประเทศเมียนมา มีจำนวนมากถึงร้อยละ 90 มีการรวมกลุ่มและเครือข่ายสังคมที่โดดเด่นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ</p>ชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ, สมุทรสาคร, ชาติพันธุ์สัมพันธ์, การแสดงออกทางวัฒนธรรม, เครือข่ายชาติพันธุ์, ชาติพันธ์วิทยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=85https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/239-cover.jpg
85สูจิบัตรการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
รายงานวิจัยเรื่อง การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร นั้น เป็นไปเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลการรวมกลุ่มและพื้นที่ในการทำกิจกรรมทางสังคมวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และชุมชนแรงงานข้ามชาติกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อวิเคราะห์การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ การปรับเปลี่ยนทัศนคติและความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ซึ่งมีขอบเขตพื้นที่การวิจัยครั้งนี้ คือพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ประกอบด้วย 15 ตำบล เน้นศึกษาเฉพาะบริเวณที่มีแรงงานข้ามชาติพักอาศัยอยู่หนาแน่น มีการรวมกลุ่มเป็นย่านชุมชนที่พักอาศัย แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าในจังหวัดสมุทรสาครส่วนใหญ่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์มอญ รองลงมาคือกลุ่มชาติพันธุ์ทวาย กลุ่มชาติพันธุ์พม่า ซึ่งจะเป็นกลุ่มหลักในการศึกษา เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายมาจากประเทศเมียนมา มีจำนวนมากถึงร้อยละ 90 มีการรวมกลุ่มและเครือข่ายสังคมที่โดดเด่นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ</p>ชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ, สมุทรสาคร, ชาติพันธุ์สัมพันธ์, การแสดงออกทางวัฒนธรรม, เครือข่ายชาติพันธุ์, ชาติพันธ์วิทยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=85https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/239-cover.jpg
86อื่นๆสารสนเทศทางภูมิศาสตร์กับโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนในจังหวัดนครปฐม<p>
การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เป็นเครื่องมือทำงานร่วมกับงานวิจัยด้านวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มแง่มุมที่น่าสนใจและจะเป็นประโยชน์ให้กับงานวิจัย โดยผู้วิจัยเองได้นำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) เข้ามาปรับใช้สำรวจแหล่งโบราณสถาน และเพื่อประโยชน์ต่อการนำเอาองค์ความรู้ไปศึกษาวิจัยในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะที่ทำการศึกษาในจังหวัดนครปฐมมีโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียน อันได้แก่ วัดบางพระ วัดท่าพูด วัดกลางบางแก้ว วัดละมุด ศาลาตึก วัดศรีมหาโพธิ์ วัดสรรเพชญ เป็นต้น</p>ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์, โบราณสถาน, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, โบสถ์, นครปฐม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=86https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/256-cover.jpg
86วารสารสารสนเทศทางภูมิศาสตร์กับโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนในจังหวัดนครปฐม<p>
การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เป็นเครื่องมือทำงานร่วมกับงานวิจัยด้านวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มแง่มุมที่น่าสนใจและจะเป็นประโยชน์ให้กับงานวิจัย โดยผู้วิจัยเองได้นำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) เข้ามาปรับใช้สำรวจแหล่งโบราณสถาน และเพื่อประโยชน์ต่อการนำเอาองค์ความรู้ไปศึกษาวิจัยในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะที่ทำการศึกษาในจังหวัดนครปฐมมีโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียน อันได้แก่ วัดบางพระ วัดท่าพูด วัดกลางบางแก้ว วัดละมุด ศาลาตึก วัดศรีมหาโพธิ์ วัดสรรเพชญ เป็นต้น</p>ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์, โบราณสถาน, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, โบสถ์, นครปฐม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=86https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/256-cover.jpg
86บทความสารสนเทศทางภูมิศาสตร์กับโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนในจังหวัดนครปฐม<p>
การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เป็นเครื่องมือทำงานร่วมกับงานวิจัยด้านวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มแง่มุมที่น่าสนใจและจะเป็นประโยชน์ให้กับงานวิจัย โดยผู้วิจัยเองได้นำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) เข้ามาปรับใช้สำรวจแหล่งโบราณสถาน และเพื่อประโยชน์ต่อการนำเอาองค์ความรู้ไปศึกษาวิจัยในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะที่ทำการศึกษาในจังหวัดนครปฐมมีโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียน อันได้แก่ วัดบางพระ วัดท่าพูด วัดกลางบางแก้ว วัดละมุด ศาลาตึก วัดศรีมหาโพธิ์ วัดสรรเพชญ เป็นต้น</p>ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์, โบราณสถาน, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, โบสถ์, นครปฐม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=86https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/256-cover.jpg
86วิทยานิพนธ์สารสนเทศทางภูมิศาสตร์กับโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนในจังหวัดนครปฐม<p>
การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เป็นเครื่องมือทำงานร่วมกับงานวิจัยด้านวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มแง่มุมที่น่าสนใจและจะเป็นประโยชน์ให้กับงานวิจัย โดยผู้วิจัยเองได้นำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) เข้ามาปรับใช้สำรวจแหล่งโบราณสถาน และเพื่อประโยชน์ต่อการนำเอาองค์ความรู้ไปศึกษาวิจัยในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะที่ทำการศึกษาในจังหวัดนครปฐมมีโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียน อันได้แก่ วัดบางพระ วัดท่าพูด วัดกลางบางแก้ว วัดละมุด ศาลาตึก วัดศรีมหาโพธิ์ วัดสรรเพชญ เป็นต้น</p>ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์, โบราณสถาน, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, โบสถ์, นครปฐม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=86https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/256-cover.jpg
86รายงานงานวิจัยสารสนเทศทางภูมิศาสตร์กับโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนในจังหวัดนครปฐม<p>
การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เป็นเครื่องมือทำงานร่วมกับงานวิจัยด้านวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มแง่มุมที่น่าสนใจและจะเป็นประโยชน์ให้กับงานวิจัย โดยผู้วิจัยเองได้นำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) เข้ามาปรับใช้สำรวจแหล่งโบราณสถาน และเพื่อประโยชน์ต่อการนำเอาองค์ความรู้ไปศึกษาวิจัยในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะที่ทำการศึกษาในจังหวัดนครปฐมมีโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียน อันได้แก่ วัดบางพระ วัดท่าพูด วัดกลางบางแก้ว วัดละมุด ศาลาตึก วัดศรีมหาโพธิ์ วัดสรรเพชญ เป็นต้น</p>ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์, โบราณสถาน, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, โบสถ์, นครปฐม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=86https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/256-cover.jpg
86รายงานสารสนเทศทางภูมิศาสตร์กับโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนในจังหวัดนครปฐม<p>
การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เป็นเครื่องมือทำงานร่วมกับงานวิจัยด้านวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มแง่มุมที่น่าสนใจและจะเป็นประโยชน์ให้กับงานวิจัย โดยผู้วิจัยเองได้นำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) เข้ามาปรับใช้สำรวจแหล่งโบราณสถาน และเพื่อประโยชน์ต่อการนำเอาองค์ความรู้ไปศึกษาวิจัยในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะที่ทำการศึกษาในจังหวัดนครปฐมมีโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียน อันได้แก่ วัดบางพระ วัดท่าพูด วัดกลางบางแก้ว วัดละมุด ศาลาตึก วัดศรีมหาโพธิ์ วัดสรรเพชญ เป็นต้น</p>ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์, โบราณสถาน, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, โบสถ์, นครปฐม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=86https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/256-cover.jpg
86หนังสือสารสนเทศทางภูมิศาสตร์กับโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนในจังหวัดนครปฐม<p>
การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เป็นเครื่องมือทำงานร่วมกับงานวิจัยด้านวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มแง่มุมที่น่าสนใจและจะเป็นประโยชน์ให้กับงานวิจัย โดยผู้วิจัยเองได้นำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) เข้ามาปรับใช้สำรวจแหล่งโบราณสถาน และเพื่อประโยชน์ต่อการนำเอาองค์ความรู้ไปศึกษาวิจัยในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะที่ทำการศึกษาในจังหวัดนครปฐมมีโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียน อันได้แก่ วัดบางพระ วัดท่าพูด วัดกลางบางแก้ว วัดละมุด ศาลาตึก วัดศรีมหาโพธิ์ วัดสรรเพชญ เป็นต้น</p>ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์, โบราณสถาน, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, โบสถ์, นครปฐม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=86https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/256-cover.jpg
86จุลสารสารสนเทศทางภูมิศาสตร์กับโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนในจังหวัดนครปฐม<p>
การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เป็นเครื่องมือทำงานร่วมกับงานวิจัยด้านวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มแง่มุมที่น่าสนใจและจะเป็นประโยชน์ให้กับงานวิจัย โดยผู้วิจัยเองได้นำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) เข้ามาปรับใช้สำรวจแหล่งโบราณสถาน และเพื่อประโยชน์ต่อการนำเอาองค์ความรู้ไปศึกษาวิจัยในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะที่ทำการศึกษาในจังหวัดนครปฐมมีโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียน อันได้แก่ วัดบางพระ วัดท่าพูด วัดกลางบางแก้ว วัดละมุด ศาลาตึก วัดศรีมหาโพธิ์ วัดสรรเพชญ เป็นต้น</p>ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์, โบราณสถาน, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, โบสถ์, นครปฐม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=86https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/256-cover.jpg
86สูจิบัตรสารสนเทศทางภูมิศาสตร์กับโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนในจังหวัดนครปฐม<p>
การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เป็นเครื่องมือทำงานร่วมกับงานวิจัยด้านวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มแง่มุมที่น่าสนใจและจะเป็นประโยชน์ให้กับงานวิจัย โดยผู้วิจัยเองได้นำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) เข้ามาปรับใช้สำรวจแหล่งโบราณสถาน และเพื่อประโยชน์ต่อการนำเอาองค์ความรู้ไปศึกษาวิจัยในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะที่ทำการศึกษาในจังหวัดนครปฐมมีโบราณสถานที่ยังไม่ขึ้นทะเบียน อันได้แก่ วัดบางพระ วัดท่าพูด วัดกลางบางแก้ว วัดละมุด ศาลาตึก วัดศรีมหาโพธิ์ วัดสรรเพชญ เป็นต้น</p>ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์, โบราณสถาน, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, โบสถ์, นครปฐม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=86https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/256-cover.jpg
87อื่นๆชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาเพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตท้องถิ่น ตั้งแต่ยุคเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ไปจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน โดยมองผ่านเลนส์ที่เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยศึกษาในพื้นที่ชุมชนไทยเชื้อสายจีน ชุมชนไทยรามัญและชุมชนไทย ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร พบว่าคนท้องถิ่นเองมีการสืบทอดผสมผสาน ปรับใช้ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่อดีต โดยใช้สร้างความหมายให้กับการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ในสังคมเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะสะท้อนการสร้างตัวตนผ่านการอยู่ร่วมกับคนอื่นและการมีสำนึกรับผิดชอบทางสังคม ขณะเดียวกันสังคมอุตสาหกรรม ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์สะท้อนการสร้างตัวตนที่บุคคลเน้นแสวงหาความสุขและความสำเร็จส่วนตัวและการลดทอนสำนึกเพื่อส่วนรวม</p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, จีน, มอญ, สมุทรสาคร30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=87https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/288-cover.jpg
87วารสารชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาเพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตท้องถิ่น ตั้งแต่ยุคเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ไปจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน โดยมองผ่านเลนส์ที่เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยศึกษาในพื้นที่ชุมชนไทยเชื้อสายจีน ชุมชนไทยรามัญและชุมชนไทย ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร พบว่าคนท้องถิ่นเองมีการสืบทอดผสมผสาน ปรับใช้ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่อดีต โดยใช้สร้างความหมายให้กับการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ในสังคมเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะสะท้อนการสร้างตัวตนผ่านการอยู่ร่วมกับคนอื่นและการมีสำนึกรับผิดชอบทางสังคม ขณะเดียวกันสังคมอุตสาหกรรม ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์สะท้อนการสร้างตัวตนที่บุคคลเน้นแสวงหาความสุขและความสำเร็จส่วนตัวและการลดทอนสำนึกเพื่อส่วนรวม</p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, จีน, มอญ, สมุทรสาคร30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=87https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/288-cover.jpg
87บทความชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาเพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตท้องถิ่น ตั้งแต่ยุคเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ไปจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน โดยมองผ่านเลนส์ที่เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยศึกษาในพื้นที่ชุมชนไทยเชื้อสายจีน ชุมชนไทยรามัญและชุมชนไทย ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร พบว่าคนท้องถิ่นเองมีการสืบทอดผสมผสาน ปรับใช้ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่อดีต โดยใช้สร้างความหมายให้กับการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ในสังคมเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะสะท้อนการสร้างตัวตนผ่านการอยู่ร่วมกับคนอื่นและการมีสำนึกรับผิดชอบทางสังคม ขณะเดียวกันสังคมอุตสาหกรรม ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์สะท้อนการสร้างตัวตนที่บุคคลเน้นแสวงหาความสุขและความสำเร็จส่วนตัวและการลดทอนสำนึกเพื่อส่วนรวม</p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, จีน, มอญ, สมุทรสาคร30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=87https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/288-cover.jpg
87วิทยานิพนธ์ชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาเพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตท้องถิ่น ตั้งแต่ยุคเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ไปจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน โดยมองผ่านเลนส์ที่เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยศึกษาในพื้นที่ชุมชนไทยเชื้อสายจีน ชุมชนไทยรามัญและชุมชนไทย ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร พบว่าคนท้องถิ่นเองมีการสืบทอดผสมผสาน ปรับใช้ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่อดีต โดยใช้สร้างความหมายให้กับการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ในสังคมเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะสะท้อนการสร้างตัวตนผ่านการอยู่ร่วมกับคนอื่นและการมีสำนึกรับผิดชอบทางสังคม ขณะเดียวกันสังคมอุตสาหกรรม ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์สะท้อนการสร้างตัวตนที่บุคคลเน้นแสวงหาความสุขและความสำเร็จส่วนตัวและการลดทอนสำนึกเพื่อส่วนรวม</p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, จีน, มอญ, สมุทรสาคร30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=87https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/288-cover.jpg
87รายงานงานวิจัยชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาเพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตท้องถิ่น ตั้งแต่ยุคเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ไปจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน โดยมองผ่านเลนส์ที่เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยศึกษาในพื้นที่ชุมชนไทยเชื้อสายจีน ชุมชนไทยรามัญและชุมชนไทย ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร พบว่าคนท้องถิ่นเองมีการสืบทอดผสมผสาน ปรับใช้ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่อดีต โดยใช้สร้างความหมายให้กับการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ในสังคมเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะสะท้อนการสร้างตัวตนผ่านการอยู่ร่วมกับคนอื่นและการมีสำนึกรับผิดชอบทางสังคม ขณะเดียวกันสังคมอุตสาหกรรม ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์สะท้อนการสร้างตัวตนที่บุคคลเน้นแสวงหาความสุขและความสำเร็จส่วนตัวและการลดทอนสำนึกเพื่อส่วนรวม</p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, จีน, มอญ, สมุทรสาคร30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=87https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/288-cover.jpg
87รายงานชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาเพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตท้องถิ่น ตั้งแต่ยุคเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ไปจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน โดยมองผ่านเลนส์ที่เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยศึกษาในพื้นที่ชุมชนไทยเชื้อสายจีน ชุมชนไทยรามัญและชุมชนไทย ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร พบว่าคนท้องถิ่นเองมีการสืบทอดผสมผสาน ปรับใช้ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่อดีต โดยใช้สร้างความหมายให้กับการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ในสังคมเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะสะท้อนการสร้างตัวตนผ่านการอยู่ร่วมกับคนอื่นและการมีสำนึกรับผิดชอบทางสังคม ขณะเดียวกันสังคมอุตสาหกรรม ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์สะท้อนการสร้างตัวตนที่บุคคลเน้นแสวงหาความสุขและความสำเร็จส่วนตัวและการลดทอนสำนึกเพื่อส่วนรวม</p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, จีน, มอญ, สมุทรสาคร30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=87https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/288-cover.jpg
87หนังสือชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาเพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตท้องถิ่น ตั้งแต่ยุคเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ไปจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน โดยมองผ่านเลนส์ที่เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยศึกษาในพื้นที่ชุมชนไทยเชื้อสายจีน ชุมชนไทยรามัญและชุมชนไทย ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร พบว่าคนท้องถิ่นเองมีการสืบทอดผสมผสาน ปรับใช้ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่อดีต โดยใช้สร้างความหมายให้กับการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ในสังคมเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะสะท้อนการสร้างตัวตนผ่านการอยู่ร่วมกับคนอื่นและการมีสำนึกรับผิดชอบทางสังคม ขณะเดียวกันสังคมอุตสาหกรรม ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์สะท้อนการสร้างตัวตนที่บุคคลเน้นแสวงหาความสุขและความสำเร็จส่วนตัวและการลดทอนสำนึกเพื่อส่วนรวม</p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, จีน, มอญ, สมุทรสาคร30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=87https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/288-cover.jpg
87จุลสารชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาเพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตท้องถิ่น ตั้งแต่ยุคเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ไปจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน โดยมองผ่านเลนส์ที่เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยศึกษาในพื้นที่ชุมชนไทยเชื้อสายจีน ชุมชนไทยรามัญและชุมชนไทย ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร พบว่าคนท้องถิ่นเองมีการสืบทอดผสมผสาน ปรับใช้ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่อดีต โดยใช้สร้างความหมายให้กับการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ในสังคมเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะสะท้อนการสร้างตัวตนผ่านการอยู่ร่วมกับคนอื่นและการมีสำนึกรับผิดชอบทางสังคม ขณะเดียวกันสังคมอุตสาหกรรม ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์สะท้อนการสร้างตัวตนที่บุคคลเน้นแสวงหาความสุขและความสำเร็จส่วนตัวและการลดทอนสำนึกเพื่อส่วนรวม</p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, จีน, มอญ, สมุทรสาคร30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=87https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/288-cover.jpg
87สูจิบัตรชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเล่มนี้มุ่งศึกษาเพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตท้องถิ่น ตั้งแต่ยุคเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ไปจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน โดยมองผ่านเลนส์ที่เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยศึกษาในพื้นที่ชุมชนไทยเชื้อสายจีน ชุมชนไทยรามัญและชุมชนไทย ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร พบว่าคนท้องถิ่นเองมีการสืบทอดผสมผสาน ปรับใช้ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่อดีต โดยใช้สร้างความหมายให้กับการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ในสังคมเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะสะท้อนการสร้างตัวตนผ่านการอยู่ร่วมกับคนอื่นและการมีสำนึกรับผิดชอบทางสังคม ขณะเดียวกันสังคมอุตสาหกรรม ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์สะท้อนการสร้างตัวตนที่บุคคลเน้นแสวงหาความสุขและความสำเร็จส่วนตัวและการลดทอนสำนึกเพื่อส่วนรวม</p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, จีน, มอญ, สมุทรสาคร30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=87https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/288-cover.jpg
88อื่นๆโครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 3 โคลงทวาทศมาส เพชรน้ำเอกแห่งวรรณคดีศรีอโยธยา<p>
"โคลงทวาทศมาส" มรดกความทรงจำของกรุงศรีอยุธยา เป็นกวีนิพนธ์ประกอบด้วยโคลง 260 บท ที่แฝงไปด้วยความหมายทั้งทางกามารมณ์ ทางโลก และทางธรรม ทางคณะผู้ศึกษาใช้วิธีการพิจารณาโครงสร้างเนื้อหาของโคลง โดยการอภิปรายหาความหมายของศัพท์และความหมายของบท จากนั้นจึงได้แปลความหมายของคำโคลงที่อยู่ในรูปบทร้อยกรองให้เป็นบทร้อยแก้ว</p>ประวัติศาสตร์, โบราณคดี, จารึก, เอกสารโบราณ, โคลงทวาทศมาส, วรรณคดี, อโยธยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=88https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/289-cover.jpg
88วารสารโครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 3 โคลงทวาทศมาส เพชรน้ำเอกแห่งวรรณคดีศรีอโยธยา<p>
"โคลงทวาทศมาส" มรดกความทรงจำของกรุงศรีอยุธยา เป็นกวีนิพนธ์ประกอบด้วยโคลง 260 บท ที่แฝงไปด้วยความหมายทั้งทางกามารมณ์ ทางโลก และทางธรรม ทางคณะผู้ศึกษาใช้วิธีการพิจารณาโครงสร้างเนื้อหาของโคลง โดยการอภิปรายหาความหมายของศัพท์และความหมายของบท จากนั้นจึงได้แปลความหมายของคำโคลงที่อยู่ในรูปบทร้อยกรองให้เป็นบทร้อยแก้ว</p>ประวัติศาสตร์, โบราณคดี, จารึก, เอกสารโบราณ, โคลงทวาทศมาส, วรรณคดี, อโยธยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=88https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/289-cover.jpg
88บทความโครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 3 โคลงทวาทศมาส เพชรน้ำเอกแห่งวรรณคดีศรีอโยธยา<p>
"โคลงทวาทศมาส" มรดกความทรงจำของกรุงศรีอยุธยา เป็นกวีนิพนธ์ประกอบด้วยโคลง 260 บท ที่แฝงไปด้วยความหมายทั้งทางกามารมณ์ ทางโลก และทางธรรม ทางคณะผู้ศึกษาใช้วิธีการพิจารณาโครงสร้างเนื้อหาของโคลง โดยการอภิปรายหาความหมายของศัพท์และความหมายของบท จากนั้นจึงได้แปลความหมายของคำโคลงที่อยู่ในรูปบทร้อยกรองให้เป็นบทร้อยแก้ว</p>ประวัติศาสตร์, โบราณคดี, จารึก, เอกสารโบราณ, โคลงทวาทศมาส, วรรณคดี, อโยธยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=88https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/289-cover.jpg
88วิทยานิพนธ์โครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 3 โคลงทวาทศมาส เพชรน้ำเอกแห่งวรรณคดีศรีอโยธยา<p>
"โคลงทวาทศมาส" มรดกความทรงจำของกรุงศรีอยุธยา เป็นกวีนิพนธ์ประกอบด้วยโคลง 260 บท ที่แฝงไปด้วยความหมายทั้งทางกามารมณ์ ทางโลก และทางธรรม ทางคณะผู้ศึกษาใช้วิธีการพิจารณาโครงสร้างเนื้อหาของโคลง โดยการอภิปรายหาความหมายของศัพท์และความหมายของบท จากนั้นจึงได้แปลความหมายของคำโคลงที่อยู่ในรูปบทร้อยกรองให้เป็นบทร้อยแก้ว</p>ประวัติศาสตร์, โบราณคดี, จารึก, เอกสารโบราณ, โคลงทวาทศมาส, วรรณคดี, อโยธยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=88https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/289-cover.jpg
88รายงานงานวิจัยโครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 3 โคลงทวาทศมาส เพชรน้ำเอกแห่งวรรณคดีศรีอโยธยา<p>
"โคลงทวาทศมาส" มรดกความทรงจำของกรุงศรีอยุธยา เป็นกวีนิพนธ์ประกอบด้วยโคลง 260 บท ที่แฝงไปด้วยความหมายทั้งทางกามารมณ์ ทางโลก และทางธรรม ทางคณะผู้ศึกษาใช้วิธีการพิจารณาโครงสร้างเนื้อหาของโคลง โดยการอภิปรายหาความหมายของศัพท์และความหมายของบท จากนั้นจึงได้แปลความหมายของคำโคลงที่อยู่ในรูปบทร้อยกรองให้เป็นบทร้อยแก้ว</p>ประวัติศาสตร์, โบราณคดี, จารึก, เอกสารโบราณ, โคลงทวาทศมาส, วรรณคดี, อโยธยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=88https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/289-cover.jpg
88รายงานโครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 3 โคลงทวาทศมาส เพชรน้ำเอกแห่งวรรณคดีศรีอโยธยา<p>
"โคลงทวาทศมาส" มรดกความทรงจำของกรุงศรีอยุธยา เป็นกวีนิพนธ์ประกอบด้วยโคลง 260 บท ที่แฝงไปด้วยความหมายทั้งทางกามารมณ์ ทางโลก และทางธรรม ทางคณะผู้ศึกษาใช้วิธีการพิจารณาโครงสร้างเนื้อหาของโคลง โดยการอภิปรายหาความหมายของศัพท์และความหมายของบท จากนั้นจึงได้แปลความหมายของคำโคลงที่อยู่ในรูปบทร้อยกรองให้เป็นบทร้อยแก้ว</p>ประวัติศาสตร์, โบราณคดี, จารึก, เอกสารโบราณ, โคลงทวาทศมาส, วรรณคดี, อโยธยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=88https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/289-cover.jpg
88หนังสือโครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 3 โคลงทวาทศมาส เพชรน้ำเอกแห่งวรรณคดีศรีอโยธยา<p>
"โคลงทวาทศมาส" มรดกความทรงจำของกรุงศรีอยุธยา เป็นกวีนิพนธ์ประกอบด้วยโคลง 260 บท ที่แฝงไปด้วยความหมายทั้งทางกามารมณ์ ทางโลก และทางธรรม ทางคณะผู้ศึกษาใช้วิธีการพิจารณาโครงสร้างเนื้อหาของโคลง โดยการอภิปรายหาความหมายของศัพท์และความหมายของบท จากนั้นจึงได้แปลความหมายของคำโคลงที่อยู่ในรูปบทร้อยกรองให้เป็นบทร้อยแก้ว</p>ประวัติศาสตร์, โบราณคดี, จารึก, เอกสารโบราณ, โคลงทวาทศมาส, วรรณคดี, อโยธยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=88https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/289-cover.jpg
88จุลสารโครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 3 โคลงทวาทศมาส เพชรน้ำเอกแห่งวรรณคดีศรีอโยธยา<p>
"โคลงทวาทศมาส" มรดกความทรงจำของกรุงศรีอยุธยา เป็นกวีนิพนธ์ประกอบด้วยโคลง 260 บท ที่แฝงไปด้วยความหมายทั้งทางกามารมณ์ ทางโลก และทางธรรม ทางคณะผู้ศึกษาใช้วิธีการพิจารณาโครงสร้างเนื้อหาของโคลง โดยการอภิปรายหาความหมายของศัพท์และความหมายของบท จากนั้นจึงได้แปลความหมายของคำโคลงที่อยู่ในรูปบทร้อยกรองให้เป็นบทร้อยแก้ว</p>ประวัติศาสตร์, โบราณคดี, จารึก, เอกสารโบราณ, โคลงทวาทศมาส, วรรณคดี, อโยธยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=88https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/289-cover.jpg
88สูจิบัตรโครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 3 โคลงทวาทศมาส เพชรน้ำเอกแห่งวรรณคดีศรีอโยธยา<p>
"โคลงทวาทศมาส" มรดกความทรงจำของกรุงศรีอยุธยา เป็นกวีนิพนธ์ประกอบด้วยโคลง 260 บท ที่แฝงไปด้วยความหมายทั้งทางกามารมณ์ ทางโลก และทางธรรม ทางคณะผู้ศึกษาใช้วิธีการพิจารณาโครงสร้างเนื้อหาของโคลง โดยการอภิปรายหาความหมายของศัพท์และความหมายของบท จากนั้นจึงได้แปลความหมายของคำโคลงที่อยู่ในรูปบทร้อยกรองให้เป็นบทร้อยแก้ว</p>ประวัติศาสตร์, โบราณคดี, จารึก, เอกสารโบราณ, โคลงทวาทศมาส, วรรณคดี, อโยธยา30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=88https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/289-cover.jpg
89อื่นๆภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามในอำเภอเมืองสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยนี้ศึกษาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอเมืองสมุทรสาคร ในระยะที่ 1 กล่าวคือ ศึกษาภูมินามประเภท ชื่อหมู่บ้าน จำนวน 148 ชื่อ ที่อธิบายถึงที่มาของชื่อหมู่บ้าน ประกอบกับการใช้แนวคิดภูมิลักษณ์นิยม ที่คณะผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น เพื่อนำมาใช้อธิบายที่มาของชื่อที่สอดคล้องกับลักษณะของภูมิทัศน์ทางธรรมชาตินั้นได้ด้วยเช่นกัน มีขอบเขตของเนื้อหา ได้แก่ การปรากฏชื่อหมู่บ้านตามกรมการปกครองน่วยงานรัฐ แผนที่เก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เรื่องเล่าปากต่อปาก ภูมิลักษณ์ธรรมชาติและภูมิลักษณ์วัฒนธรรม </p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=89https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/290-cover.jpg
89วารสารภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามในอำเภอเมืองสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยนี้ศึกษาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอเมืองสมุทรสาคร ในระยะที่ 1 กล่าวคือ ศึกษาภูมินามประเภท ชื่อหมู่บ้าน จำนวน 148 ชื่อ ที่อธิบายถึงที่มาของชื่อหมู่บ้าน ประกอบกับการใช้แนวคิดภูมิลักษณ์นิยม ที่คณะผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น เพื่อนำมาใช้อธิบายที่มาของชื่อที่สอดคล้องกับลักษณะของภูมิทัศน์ทางธรรมชาตินั้นได้ด้วยเช่นกัน มีขอบเขตของเนื้อหา ได้แก่ การปรากฏชื่อหมู่บ้านตามกรมการปกครองน่วยงานรัฐ แผนที่เก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เรื่องเล่าปากต่อปาก ภูมิลักษณ์ธรรมชาติและภูมิลักษณ์วัฒนธรรม </p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=89https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/290-cover.jpg
89บทความภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามในอำเภอเมืองสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยนี้ศึกษาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอเมืองสมุทรสาคร ในระยะที่ 1 กล่าวคือ ศึกษาภูมินามประเภท ชื่อหมู่บ้าน จำนวน 148 ชื่อ ที่อธิบายถึงที่มาของชื่อหมู่บ้าน ประกอบกับการใช้แนวคิดภูมิลักษณ์นิยม ที่คณะผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น เพื่อนำมาใช้อธิบายที่มาของชื่อที่สอดคล้องกับลักษณะของภูมิทัศน์ทางธรรมชาตินั้นได้ด้วยเช่นกัน มีขอบเขตของเนื้อหา ได้แก่ การปรากฏชื่อหมู่บ้านตามกรมการปกครองน่วยงานรัฐ แผนที่เก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เรื่องเล่าปากต่อปาก ภูมิลักษณ์ธรรมชาติและภูมิลักษณ์วัฒนธรรม </p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=89https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/290-cover.jpg
89วิทยานิพนธ์ภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามในอำเภอเมืองสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยนี้ศึกษาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอเมืองสมุทรสาคร ในระยะที่ 1 กล่าวคือ ศึกษาภูมินามประเภท ชื่อหมู่บ้าน จำนวน 148 ชื่อ ที่อธิบายถึงที่มาของชื่อหมู่บ้าน ประกอบกับการใช้แนวคิดภูมิลักษณ์นิยม ที่คณะผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น เพื่อนำมาใช้อธิบายที่มาของชื่อที่สอดคล้องกับลักษณะของภูมิทัศน์ทางธรรมชาตินั้นได้ด้วยเช่นกัน มีขอบเขตของเนื้อหา ได้แก่ การปรากฏชื่อหมู่บ้านตามกรมการปกครองน่วยงานรัฐ แผนที่เก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เรื่องเล่าปากต่อปาก ภูมิลักษณ์ธรรมชาติและภูมิลักษณ์วัฒนธรรม </p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=89https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/290-cover.jpg
89รายงานงานวิจัยภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามในอำเภอเมืองสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยนี้ศึกษาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอเมืองสมุทรสาคร ในระยะที่ 1 กล่าวคือ ศึกษาภูมินามประเภท ชื่อหมู่บ้าน จำนวน 148 ชื่อ ที่อธิบายถึงที่มาของชื่อหมู่บ้าน ประกอบกับการใช้แนวคิดภูมิลักษณ์นิยม ที่คณะผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น เพื่อนำมาใช้อธิบายที่มาของชื่อที่สอดคล้องกับลักษณะของภูมิทัศน์ทางธรรมชาตินั้นได้ด้วยเช่นกัน มีขอบเขตของเนื้อหา ได้แก่ การปรากฏชื่อหมู่บ้านตามกรมการปกครองน่วยงานรัฐ แผนที่เก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เรื่องเล่าปากต่อปาก ภูมิลักษณ์ธรรมชาติและภูมิลักษณ์วัฒนธรรม </p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=89https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/290-cover.jpg
89รายงานภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามในอำเภอเมืองสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยนี้ศึกษาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอเมืองสมุทรสาคร ในระยะที่ 1 กล่าวคือ ศึกษาภูมินามประเภท ชื่อหมู่บ้าน จำนวน 148 ชื่อ ที่อธิบายถึงที่มาของชื่อหมู่บ้าน ประกอบกับการใช้แนวคิดภูมิลักษณ์นิยม ที่คณะผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น เพื่อนำมาใช้อธิบายที่มาของชื่อที่สอดคล้องกับลักษณะของภูมิทัศน์ทางธรรมชาตินั้นได้ด้วยเช่นกัน มีขอบเขตของเนื้อหา ได้แก่ การปรากฏชื่อหมู่บ้านตามกรมการปกครองน่วยงานรัฐ แผนที่เก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เรื่องเล่าปากต่อปาก ภูมิลักษณ์ธรรมชาติและภูมิลักษณ์วัฒนธรรม </p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=89https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/290-cover.jpg
89หนังสือภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามในอำเภอเมืองสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยนี้ศึกษาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอเมืองสมุทรสาคร ในระยะที่ 1 กล่าวคือ ศึกษาภูมินามประเภท ชื่อหมู่บ้าน จำนวน 148 ชื่อ ที่อธิบายถึงที่มาของชื่อหมู่บ้าน ประกอบกับการใช้แนวคิดภูมิลักษณ์นิยม ที่คณะผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น เพื่อนำมาใช้อธิบายที่มาของชื่อที่สอดคล้องกับลักษณะของภูมิทัศน์ทางธรรมชาตินั้นได้ด้วยเช่นกัน มีขอบเขตของเนื้อหา ได้แก่ การปรากฏชื่อหมู่บ้านตามกรมการปกครองน่วยงานรัฐ แผนที่เก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เรื่องเล่าปากต่อปาก ภูมิลักษณ์ธรรมชาติและภูมิลักษณ์วัฒนธรรม </p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=89https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/290-cover.jpg
89จุลสารภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามในอำเภอเมืองสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยนี้ศึกษาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอเมืองสมุทรสาคร ในระยะที่ 1 กล่าวคือ ศึกษาภูมินามประเภท ชื่อหมู่บ้าน จำนวน 148 ชื่อ ที่อธิบายถึงที่มาของชื่อหมู่บ้าน ประกอบกับการใช้แนวคิดภูมิลักษณ์นิยม ที่คณะผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น เพื่อนำมาใช้อธิบายที่มาของชื่อที่สอดคล้องกับลักษณะของภูมิทัศน์ทางธรรมชาตินั้นได้ด้วยเช่นกัน มีขอบเขตของเนื้อหา ได้แก่ การปรากฏชื่อหมู่บ้านตามกรมการปกครองน่วยงานรัฐ แผนที่เก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เรื่องเล่าปากต่อปาก ภูมิลักษณ์ธรรมชาติและภูมิลักษณ์วัฒนธรรม </p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=89https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/290-cover.jpg
89สูจิบัตรภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามในอำเภอเมืองสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยนี้ศึกษาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอเมืองสมุทรสาคร ในระยะที่ 1 กล่าวคือ ศึกษาภูมินามประเภท ชื่อหมู่บ้าน จำนวน 148 ชื่อ ที่อธิบายถึงที่มาของชื่อหมู่บ้าน ประกอบกับการใช้แนวคิดภูมิลักษณ์นิยม ที่คณะผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น เพื่อนำมาใช้อธิบายที่มาของชื่อที่สอดคล้องกับลักษณะของภูมิทัศน์ทางธรรมชาตินั้นได้ด้วยเช่นกัน มีขอบเขตของเนื้อหา ได้แก่ การปรากฏชื่อหมู่บ้านตามกรมการปกครองน่วยงานรัฐ แผนที่เก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เรื่องเล่าปากต่อปาก ภูมิลักษณ์ธรรมชาติและภูมิลักษณ์วัฒนธรรม </p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=89https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/290-cover.jpg
90อื่นๆภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว<p>
งานศึกษาวิจัย เรื่องภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและทำเภอบ้านแพ้ว เป็นการศึกษาต่อเนื่องจากผลการศึกษาในปี 2559 ซึ่งการศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงรูปแบบระหว่าง ชื่อหมู่บ้าน กับบริบทแวดล้อม อันได้แก่ ภูมิทัศน์ ภูมิสังคม ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรม ในบริบทประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยศึกษาพื้นที่ 264 ชื่อหมู่บ้านและชุมชน ผ่านเรื่องเล่า มุขปาถะ และเอกสารประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=90https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/291-cover.jpg
90วารสารภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว<p>
งานศึกษาวิจัย เรื่องภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและทำเภอบ้านแพ้ว เป็นการศึกษาต่อเนื่องจากผลการศึกษาในปี 2559 ซึ่งการศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงรูปแบบระหว่าง ชื่อหมู่บ้าน กับบริบทแวดล้อม อันได้แก่ ภูมิทัศน์ ภูมิสังคม ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรม ในบริบทประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยศึกษาพื้นที่ 264 ชื่อหมู่บ้านและชุมชน ผ่านเรื่องเล่า มุขปาถะ และเอกสารประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=90https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/291-cover.jpg
90บทความภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว<p>
งานศึกษาวิจัย เรื่องภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและทำเภอบ้านแพ้ว เป็นการศึกษาต่อเนื่องจากผลการศึกษาในปี 2559 ซึ่งการศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงรูปแบบระหว่าง ชื่อหมู่บ้าน กับบริบทแวดล้อม อันได้แก่ ภูมิทัศน์ ภูมิสังคม ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรม ในบริบทประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยศึกษาพื้นที่ 264 ชื่อหมู่บ้านและชุมชน ผ่านเรื่องเล่า มุขปาถะ และเอกสารประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=90https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/291-cover.jpg
90วิทยานิพนธ์ภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว<p>
งานศึกษาวิจัย เรื่องภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและทำเภอบ้านแพ้ว เป็นการศึกษาต่อเนื่องจากผลการศึกษาในปี 2559 ซึ่งการศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงรูปแบบระหว่าง ชื่อหมู่บ้าน กับบริบทแวดล้อม อันได้แก่ ภูมิทัศน์ ภูมิสังคม ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรม ในบริบทประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยศึกษาพื้นที่ 264 ชื่อหมู่บ้านและชุมชน ผ่านเรื่องเล่า มุขปาถะ และเอกสารประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=90https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/291-cover.jpg
90รายงานงานวิจัยภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว<p>
งานศึกษาวิจัย เรื่องภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและทำเภอบ้านแพ้ว เป็นการศึกษาต่อเนื่องจากผลการศึกษาในปี 2559 ซึ่งการศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงรูปแบบระหว่าง ชื่อหมู่บ้าน กับบริบทแวดล้อม อันได้แก่ ภูมิทัศน์ ภูมิสังคม ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรม ในบริบทประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยศึกษาพื้นที่ 264 ชื่อหมู่บ้านและชุมชน ผ่านเรื่องเล่า มุขปาถะ และเอกสารประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=90https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/291-cover.jpg
90รายงานภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว<p>
งานศึกษาวิจัย เรื่องภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและทำเภอบ้านแพ้ว เป็นการศึกษาต่อเนื่องจากผลการศึกษาในปี 2559 ซึ่งการศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงรูปแบบระหว่าง ชื่อหมู่บ้าน กับบริบทแวดล้อม อันได้แก่ ภูมิทัศน์ ภูมิสังคม ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรม ในบริบทประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยศึกษาพื้นที่ 264 ชื่อหมู่บ้านและชุมชน ผ่านเรื่องเล่า มุขปาถะ และเอกสารประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=90https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/291-cover.jpg
90หนังสือภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว<p>
งานศึกษาวิจัย เรื่องภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและทำเภอบ้านแพ้ว เป็นการศึกษาต่อเนื่องจากผลการศึกษาในปี 2559 ซึ่งการศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงรูปแบบระหว่าง ชื่อหมู่บ้าน กับบริบทแวดล้อม อันได้แก่ ภูมิทัศน์ ภูมิสังคม ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรม ในบริบทประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยศึกษาพื้นที่ 264 ชื่อหมู่บ้านและชุมชน ผ่านเรื่องเล่า มุขปาถะ และเอกสารประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=90https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/291-cover.jpg
90จุลสารภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว<p>
งานศึกษาวิจัย เรื่องภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและทำเภอบ้านแพ้ว เป็นการศึกษาต่อเนื่องจากผลการศึกษาในปี 2559 ซึ่งการศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงรูปแบบระหว่าง ชื่อหมู่บ้าน กับบริบทแวดล้อม อันได้แก่ ภูมิทัศน์ ภูมิสังคม ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรม ในบริบทประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยศึกษาพื้นที่ 264 ชื่อหมู่บ้านและชุมชน ผ่านเรื่องเล่า มุขปาถะ และเอกสารประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=90https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/291-cover.jpg
90สูจิบัตรภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว<p>
งานศึกษาวิจัย เรื่องภูมิสังคมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามอำเภอกระทุ่มแบนและทำเภอบ้านแพ้ว เป็นการศึกษาต่อเนื่องจากผลการศึกษาในปี 2559 ซึ่งการศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงรูปแบบระหว่าง ชื่อหมู่บ้าน กับบริบทแวดล้อม อันได้แก่ ภูมิทัศน์ ภูมิสังคม ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรม ในบริบทประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยศึกษาพื้นที่ 264 ชื่อหมู่บ้านและชุมชน ผ่านเรื่องเล่า มุขปาถะ และเอกสารประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</p>ภูมินาม, ภูมินามศาสตร์, ภูมิสังคม, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สมุทรสาคร, มุขปาฐะ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=90https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/291-cover.jpg
91อื่นๆโครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 4 การศึกษาวิจัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ<p>
พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ เป็นเอกสารประเภทความย่อ เรียบเรียงเนื้อความขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นเอกสารที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นการสรุปเหตุการณ์ โดยมากเป็นการสรุปใจความสำคัญสั้น ๆ ต่างจากเอกสารอื่น ๆ ที่ถูกแต่งเติมรายละเอียด โดยมากเรียบเรียงขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ อาศัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อเชื่อมโยงหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาเข้าไว้ด้วยกัน </p>พระราชพงศาวดาร, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า, หลวงประเสริฐ, ประวัติศาสตร์, เอกสารโบราณ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=91https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/292-cover.jpg
91วารสารโครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 4 การศึกษาวิจัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ<p>
พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ เป็นเอกสารประเภทความย่อ เรียบเรียงเนื้อความขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นเอกสารที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นการสรุปเหตุการณ์ โดยมากเป็นการสรุปใจความสำคัญสั้น ๆ ต่างจากเอกสารอื่น ๆ ที่ถูกแต่งเติมรายละเอียด โดยมากเรียบเรียงขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ อาศัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อเชื่อมโยงหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาเข้าไว้ด้วยกัน </p>พระราชพงศาวดาร, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า, หลวงประเสริฐ, ประวัติศาสตร์, เอกสารโบราณ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=91https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/292-cover.jpg
91บทความโครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 4 การศึกษาวิจัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ<p>
พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ เป็นเอกสารประเภทความย่อ เรียบเรียงเนื้อความขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นเอกสารที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นการสรุปเหตุการณ์ โดยมากเป็นการสรุปใจความสำคัญสั้น ๆ ต่างจากเอกสารอื่น ๆ ที่ถูกแต่งเติมรายละเอียด โดยมากเรียบเรียงขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ อาศัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อเชื่อมโยงหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาเข้าไว้ด้วยกัน </p>พระราชพงศาวดาร, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า, หลวงประเสริฐ, ประวัติศาสตร์, เอกสารโบราณ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=91https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/292-cover.jpg
91วิทยานิพนธ์โครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 4 การศึกษาวิจัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ<p>
พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ เป็นเอกสารประเภทความย่อ เรียบเรียงเนื้อความขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นเอกสารที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นการสรุปเหตุการณ์ โดยมากเป็นการสรุปใจความสำคัญสั้น ๆ ต่างจากเอกสารอื่น ๆ ที่ถูกแต่งเติมรายละเอียด โดยมากเรียบเรียงขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ อาศัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อเชื่อมโยงหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาเข้าไว้ด้วยกัน </p>พระราชพงศาวดาร, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า, หลวงประเสริฐ, ประวัติศาสตร์, เอกสารโบราณ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=91https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/292-cover.jpg
91รายงานงานวิจัยโครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 4 การศึกษาวิจัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ<p>
พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ เป็นเอกสารประเภทความย่อ เรียบเรียงเนื้อความขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นเอกสารที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นการสรุปเหตุการณ์ โดยมากเป็นการสรุปใจความสำคัญสั้น ๆ ต่างจากเอกสารอื่น ๆ ที่ถูกแต่งเติมรายละเอียด โดยมากเรียบเรียงขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ อาศัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อเชื่อมโยงหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาเข้าไว้ด้วยกัน </p>พระราชพงศาวดาร, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า, หลวงประเสริฐ, ประวัติศาสตร์, เอกสารโบราณ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=91https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/292-cover.jpg
91รายงานโครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 4 การศึกษาวิจัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ<p>
พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ เป็นเอกสารประเภทความย่อ เรียบเรียงเนื้อความขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นเอกสารที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นการสรุปเหตุการณ์ โดยมากเป็นการสรุปใจความสำคัญสั้น ๆ ต่างจากเอกสารอื่น ๆ ที่ถูกแต่งเติมรายละเอียด โดยมากเรียบเรียงขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ อาศัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อเชื่อมโยงหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาเข้าไว้ด้วยกัน </p>พระราชพงศาวดาร, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า, หลวงประเสริฐ, ประวัติศาสตร์, เอกสารโบราณ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=91https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/292-cover.jpg
91หนังสือโครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 4 การศึกษาวิจัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ<p>
พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ เป็นเอกสารประเภทความย่อ เรียบเรียงเนื้อความขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นเอกสารที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นการสรุปเหตุการณ์ โดยมากเป็นการสรุปใจความสำคัญสั้น ๆ ต่างจากเอกสารอื่น ๆ ที่ถูกแต่งเติมรายละเอียด โดยมากเรียบเรียงขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ อาศัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อเชื่อมโยงหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาเข้าไว้ด้วยกัน </p>พระราชพงศาวดาร, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า, หลวงประเสริฐ, ประวัติศาสตร์, เอกสารโบราณ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=91https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/292-cover.jpg
91จุลสารโครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 4 การศึกษาวิจัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ<p>
พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ เป็นเอกสารประเภทความย่อ เรียบเรียงเนื้อความขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นเอกสารที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นการสรุปเหตุการณ์ โดยมากเป็นการสรุปใจความสำคัญสั้น ๆ ต่างจากเอกสารอื่น ๆ ที่ถูกแต่งเติมรายละเอียด โดยมากเรียบเรียงขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ อาศัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อเชื่อมโยงหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาเข้าไว้ด้วยกัน </p>พระราชพงศาวดาร, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า, หลวงประเสริฐ, ประวัติศาสตร์, เอกสารโบราณ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=91https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/292-cover.jpg
91สูจิบัตรโครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 4 การศึกษาวิจัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ<p>
พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ เป็นเอกสารประเภทความย่อ เรียบเรียงเนื้อความขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นเอกสารที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นการสรุปเหตุการณ์ โดยมากเป็นการสรุปใจความสำคัญสั้น ๆ ต่างจากเอกสารอื่น ๆ ที่ถูกแต่งเติมรายละเอียด โดยมากเรียบเรียงขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ อาศัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อเชื่อมโยงหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาเข้าไว้ด้วยกัน </p>พระราชพงศาวดาร, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า, หลวงประเสริฐ, ประวัติศาสตร์, เอกสารโบราณ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=91https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/292-cover.jpg
92อื่นๆชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาและทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ตั้งแต่อดีตจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน มองผ่านปรากฎการณ์เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ ใช้แนวคิดที่มองว่าการแสดงออกเกี่ยวกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นนิเวศวิทยาที่ซ้อนทับกันสองแบบ คือ นิเวศวิทยาทางวัฒนธรรมและนิเวศวิทยาทางการเมือง โดยศึกษาในเขตพื้นที่อำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ในชุมชนไทยเชื้อสายจีน ไทยรามัญ ลาวโซ่งและชุมชนไทย </p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, เจ้าพ่อ เจ้าแม่, มอญ, ลาวโซ่ง, จีน, สมุทรสาคร, สังคมและวัฒนธรรม, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=92https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/293-cover.jpg
92วารสารชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาและทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ตั้งแต่อดีตจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน มองผ่านปรากฎการณ์เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ ใช้แนวคิดที่มองว่าการแสดงออกเกี่ยวกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นนิเวศวิทยาที่ซ้อนทับกันสองแบบ คือ นิเวศวิทยาทางวัฒนธรรมและนิเวศวิทยาทางการเมือง โดยศึกษาในเขตพื้นที่อำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ในชุมชนไทยเชื้อสายจีน ไทยรามัญ ลาวโซ่งและชุมชนไทย </p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, เจ้าพ่อ เจ้าแม่, มอญ, ลาวโซ่ง, จีน, สมุทรสาคร, สังคมและวัฒนธรรม, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=92https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/293-cover.jpg
92บทความชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาและทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ตั้งแต่อดีตจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน มองผ่านปรากฎการณ์เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ ใช้แนวคิดที่มองว่าการแสดงออกเกี่ยวกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นนิเวศวิทยาที่ซ้อนทับกันสองแบบ คือ นิเวศวิทยาทางวัฒนธรรมและนิเวศวิทยาทางการเมือง โดยศึกษาในเขตพื้นที่อำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ในชุมชนไทยเชื้อสายจีน ไทยรามัญ ลาวโซ่งและชุมชนไทย </p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, เจ้าพ่อ เจ้าแม่, มอญ, ลาวโซ่ง, จีน, สมุทรสาคร, สังคมและวัฒนธรรม, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=92https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/293-cover.jpg
92วิทยานิพนธ์ชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาและทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ตั้งแต่อดีตจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน มองผ่านปรากฎการณ์เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ ใช้แนวคิดที่มองว่าการแสดงออกเกี่ยวกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นนิเวศวิทยาที่ซ้อนทับกันสองแบบ คือ นิเวศวิทยาทางวัฒนธรรมและนิเวศวิทยาทางการเมือง โดยศึกษาในเขตพื้นที่อำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ในชุมชนไทยเชื้อสายจีน ไทยรามัญ ลาวโซ่งและชุมชนไทย </p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, เจ้าพ่อ เจ้าแม่, มอญ, ลาวโซ่ง, จีน, สมุทรสาคร, สังคมและวัฒนธรรม, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=92https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/293-cover.jpg
92รายงานงานวิจัยชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาและทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ตั้งแต่อดีตจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน มองผ่านปรากฎการณ์เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ ใช้แนวคิดที่มองว่าการแสดงออกเกี่ยวกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นนิเวศวิทยาที่ซ้อนทับกันสองแบบ คือ นิเวศวิทยาทางวัฒนธรรมและนิเวศวิทยาทางการเมือง โดยศึกษาในเขตพื้นที่อำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ในชุมชนไทยเชื้อสายจีน ไทยรามัญ ลาวโซ่งและชุมชนไทย </p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, เจ้าพ่อ เจ้าแม่, มอญ, ลาวโซ่ง, จีน, สมุทรสาคร, สังคมและวัฒนธรรม, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=92https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/293-cover.jpg
92รายงานชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาและทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ตั้งแต่อดีตจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน มองผ่านปรากฎการณ์เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ ใช้แนวคิดที่มองว่าการแสดงออกเกี่ยวกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นนิเวศวิทยาที่ซ้อนทับกันสองแบบ คือ นิเวศวิทยาทางวัฒนธรรมและนิเวศวิทยาทางการเมือง โดยศึกษาในเขตพื้นที่อำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ในชุมชนไทยเชื้อสายจีน ไทยรามัญ ลาวโซ่งและชุมชนไทย </p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, เจ้าพ่อ เจ้าแม่, มอญ, ลาวโซ่ง, จีน, สมุทรสาคร, สังคมและวัฒนธรรม, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=92https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/293-cover.jpg
92หนังสือชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาและทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ตั้งแต่อดีตจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน มองผ่านปรากฎการณ์เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ ใช้แนวคิดที่มองว่าการแสดงออกเกี่ยวกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นนิเวศวิทยาที่ซ้อนทับกันสองแบบ คือ นิเวศวิทยาทางวัฒนธรรมและนิเวศวิทยาทางการเมือง โดยศึกษาในเขตพื้นที่อำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ในชุมชนไทยเชื้อสายจีน ไทยรามัญ ลาวโซ่งและชุมชนไทย </p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, เจ้าพ่อ เจ้าแม่, มอญ, ลาวโซ่ง, จีน, สมุทรสาคร, สังคมและวัฒนธรรม, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=92https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/293-cover.jpg
92จุลสารชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาและทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ตั้งแต่อดีตจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน มองผ่านปรากฎการณ์เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ ใช้แนวคิดที่มองว่าการแสดงออกเกี่ยวกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นนิเวศวิทยาที่ซ้อนทับกันสองแบบ คือ นิเวศวิทยาทางวัฒนธรรมและนิเวศวิทยาทางการเมือง โดยศึกษาในเขตพื้นที่อำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ในชุมชนไทยเชื้อสายจีน ไทยรามัญ ลาวโซ่งและชุมชนไทย </p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, เจ้าพ่อ เจ้าแม่, มอญ, ลาวโซ่ง, จีน, สมุทรสาคร, สังคมและวัฒนธรรม, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=92https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/293-cover.jpg
92สูจิบัตรชุมชนกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร<p>
งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาและทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ตั้งแต่อดีตจนถึงยุคสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน มองผ่านปรากฎการณ์เกี่ยวกับความเชื่อและการกราบไหว้บูชาเจ้าพ่อเจ้าแม่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ ใช้แนวคิดที่มองว่าการแสดงออกเกี่ยวกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นนิเวศวิทยาที่ซ้อนทับกันสองแบบ คือ นิเวศวิทยาทางวัฒนธรรมและนิเวศวิทยาทางการเมือง โดยศึกษาในเขตพื้นที่อำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ในชุมชนไทยเชื้อสายจีน ไทยรามัญ ลาวโซ่งและชุมชนไทย </p>ชุมชน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, เจ้าพ่อ เจ้าแม่, มอญ, ลาวโซ่ง, จีน, สมุทรสาคร, สังคมและวัฒนธรรม, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=92https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/293-cover.jpg
93อื่นๆการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร<p>
ด้วยลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเมืองสาครบุรี (สมุทรสาคร) ที่มีแม่น้ำลำคลองเชื่อมต่อกับเมืองหลวงและออกสู่ทะเล อีกทั้งเป็นเส้นทางหลักการเดินทัพในอดีต ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยนี้จึงได้มุ่งศึกษาเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลประวัติการตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์ข้ามชาติที่เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจ และวิเคราะห์การปรับเปลี่ยน การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในพื้นที่ที่ศึกษา</p>ชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม, มอญ, ไทดำ, สมุทรสาคร, ประเพณี, พิธีกรรม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม, ชาติพันธุ์ข้ามชาติ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=93https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/294-cover.jpg
93วารสารการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร<p>
ด้วยลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเมืองสาครบุรี (สมุทรสาคร) ที่มีแม่น้ำลำคลองเชื่อมต่อกับเมืองหลวงและออกสู่ทะเล อีกทั้งเป็นเส้นทางหลักการเดินทัพในอดีต ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยนี้จึงได้มุ่งศึกษาเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลประวัติการตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์ข้ามชาติที่เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจ และวิเคราะห์การปรับเปลี่ยน การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในพื้นที่ที่ศึกษา</p>ชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม, มอญ, ไทดำ, สมุทรสาคร, ประเพณี, พิธีกรรม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม, ชาติพันธุ์ข้ามชาติ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=93https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/294-cover.jpg
93บทความการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร<p>
ด้วยลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเมืองสาครบุรี (สมุทรสาคร) ที่มีแม่น้ำลำคลองเชื่อมต่อกับเมืองหลวงและออกสู่ทะเล อีกทั้งเป็นเส้นทางหลักการเดินทัพในอดีต ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยนี้จึงได้มุ่งศึกษาเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลประวัติการตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์ข้ามชาติที่เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจ และวิเคราะห์การปรับเปลี่ยน การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในพื้นที่ที่ศึกษา</p>ชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม, มอญ, ไทดำ, สมุทรสาคร, ประเพณี, พิธีกรรม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม, ชาติพันธุ์ข้ามชาติ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=93https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/294-cover.jpg
93วิทยานิพนธ์การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร<p>
ด้วยลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเมืองสาครบุรี (สมุทรสาคร) ที่มีแม่น้ำลำคลองเชื่อมต่อกับเมืองหลวงและออกสู่ทะเล อีกทั้งเป็นเส้นทางหลักการเดินทัพในอดีต ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยนี้จึงได้มุ่งศึกษาเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลประวัติการตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์ข้ามชาติที่เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจ และวิเคราะห์การปรับเปลี่ยน การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในพื้นที่ที่ศึกษา</p>ชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม, มอญ, ไทดำ, สมุทรสาคร, ประเพณี, พิธีกรรม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม, ชาติพันธุ์ข้ามชาติ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=93https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/294-cover.jpg
93รายงานงานวิจัยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร<p>
ด้วยลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเมืองสาครบุรี (สมุทรสาคร) ที่มีแม่น้ำลำคลองเชื่อมต่อกับเมืองหลวงและออกสู่ทะเล อีกทั้งเป็นเส้นทางหลักการเดินทัพในอดีต ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยนี้จึงได้มุ่งศึกษาเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลประวัติการตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์ข้ามชาติที่เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจ และวิเคราะห์การปรับเปลี่ยน การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในพื้นที่ที่ศึกษา</p>ชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม, มอญ, ไทดำ, สมุทรสาคร, ประเพณี, พิธีกรรม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม, ชาติพันธุ์ข้ามชาติ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=93https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/294-cover.jpg
93รายงานการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร<p>
ด้วยลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเมืองสาครบุรี (สมุทรสาคร) ที่มีแม่น้ำลำคลองเชื่อมต่อกับเมืองหลวงและออกสู่ทะเล อีกทั้งเป็นเส้นทางหลักการเดินทัพในอดีต ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยนี้จึงได้มุ่งศึกษาเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลประวัติการตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์ข้ามชาติที่เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจ และวิเคราะห์การปรับเปลี่ยน การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในพื้นที่ที่ศึกษา</p>ชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม, มอญ, ไทดำ, สมุทรสาคร, ประเพณี, พิธีกรรม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม, ชาติพันธุ์ข้ามชาติ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=93https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/294-cover.jpg
93หนังสือการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร<p>
ด้วยลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเมืองสาครบุรี (สมุทรสาคร) ที่มีแม่น้ำลำคลองเชื่อมต่อกับเมืองหลวงและออกสู่ทะเล อีกทั้งเป็นเส้นทางหลักการเดินทัพในอดีต ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยนี้จึงได้มุ่งศึกษาเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลประวัติการตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์ข้ามชาติที่เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจ และวิเคราะห์การปรับเปลี่ยน การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในพื้นที่ที่ศึกษา</p>ชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม, มอญ, ไทดำ, สมุทรสาคร, ประเพณี, พิธีกรรม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม, ชาติพันธุ์ข้ามชาติ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=93https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/294-cover.jpg
93จุลสารการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร<p>
ด้วยลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเมืองสาครบุรี (สมุทรสาคร) ที่มีแม่น้ำลำคลองเชื่อมต่อกับเมืองหลวงและออกสู่ทะเล อีกทั้งเป็นเส้นทางหลักการเดินทัพในอดีต ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยนี้จึงได้มุ่งศึกษาเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลประวัติการตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์ข้ามชาติที่เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจ และวิเคราะห์การปรับเปลี่ยน การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในพื้นที่ที่ศึกษา</p>ชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม, มอญ, ไทดำ, สมุทรสาคร, ประเพณี, พิธีกรรม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม, ชาติพันธุ์ข้ามชาติ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=93https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/294-cover.jpg
93สูจิบัตรการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร<p>
ด้วยลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเมืองสาครบุรี (สมุทรสาคร) ที่มีแม่น้ำลำคลองเชื่อมต่อกับเมืองหลวงและออกสู่ทะเล อีกทั้งเป็นเส้นทางหลักการเดินทัพในอดีต ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยนี้จึงได้มุ่งศึกษาเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลประวัติการตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์ข้ามชาติที่เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจ และวิเคราะห์การปรับเปลี่ยน การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ ในพื้นที่ที่ศึกษา</p>ชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม, มอญ, ไทดำ, สมุทรสาคร, ประเพณี, พิธีกรรม, การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม, ชาติพันธุ์ข้ามชาติ30 มิถุนายน พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=93https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/294-cover.jpg
94อื่นๆบรรณานุกรมงานค้นคว้าเกี่ยวกับจิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทยและสถาปัตยกรรมไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามา หลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรมและประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน ซึ่งงานวิจัยเล่มนี้เป็นเล่มต่อเนื่องจากเล่มแรก นำเสนอในส่วนของบรรณานุกรมงานค้นคว้าจากโครงการดังกล่าว</p>บรรณานุกรม, จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=94https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/008-cover.jpg
94วารสารบรรณานุกรมงานค้นคว้าเกี่ยวกับจิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทยและสถาปัตยกรรมไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามา หลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรมและประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน ซึ่งงานวิจัยเล่มนี้เป็นเล่มต่อเนื่องจากเล่มแรก นำเสนอในส่วนของบรรณานุกรมงานค้นคว้าจากโครงการดังกล่าว</p>บรรณานุกรม, จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=94https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/008-cover.jpg
94บทความบรรณานุกรมงานค้นคว้าเกี่ยวกับจิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทยและสถาปัตยกรรมไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามา หลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรมและประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน ซึ่งงานวิจัยเล่มนี้เป็นเล่มต่อเนื่องจากเล่มแรก นำเสนอในส่วนของบรรณานุกรมงานค้นคว้าจากโครงการดังกล่าว</p>บรรณานุกรม, จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=94https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/008-cover.jpg
94วิทยานิพนธ์บรรณานุกรมงานค้นคว้าเกี่ยวกับจิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทยและสถาปัตยกรรมไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามา หลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรมและประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน ซึ่งงานวิจัยเล่มนี้เป็นเล่มต่อเนื่องจากเล่มแรก นำเสนอในส่วนของบรรณานุกรมงานค้นคว้าจากโครงการดังกล่าว</p>บรรณานุกรม, จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=94https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/008-cover.jpg
94รายงานงานวิจัยบรรณานุกรมงานค้นคว้าเกี่ยวกับจิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทยและสถาปัตยกรรมไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามา หลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรมและประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน ซึ่งงานวิจัยเล่มนี้เป็นเล่มต่อเนื่องจากเล่มแรก นำเสนอในส่วนของบรรณานุกรมงานค้นคว้าจากโครงการดังกล่าว</p>บรรณานุกรม, จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=94https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/008-cover.jpg
94รายงานบรรณานุกรมงานค้นคว้าเกี่ยวกับจิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทยและสถาปัตยกรรมไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามา หลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรมและประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน ซึ่งงานวิจัยเล่มนี้เป็นเล่มต่อเนื่องจากเล่มแรก นำเสนอในส่วนของบรรณานุกรมงานค้นคว้าจากโครงการดังกล่าว</p>บรรณานุกรม, จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=94https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/008-cover.jpg
94หนังสือบรรณานุกรมงานค้นคว้าเกี่ยวกับจิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทยและสถาปัตยกรรมไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามา หลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรมและประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน ซึ่งงานวิจัยเล่มนี้เป็นเล่มต่อเนื่องจากเล่มแรก นำเสนอในส่วนของบรรณานุกรมงานค้นคว้าจากโครงการดังกล่าว</p>บรรณานุกรม, จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=94https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/008-cover.jpg
94จุลสารบรรณานุกรมงานค้นคว้าเกี่ยวกับจิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทยและสถาปัตยกรรมไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามา หลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรมและประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน ซึ่งงานวิจัยเล่มนี้เป็นเล่มต่อเนื่องจากเล่มแรก นำเสนอในส่วนของบรรณานุกรมงานค้นคว้าจากโครงการดังกล่าว</p>บรรณานุกรม, จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=94https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/008-cover.jpg
94สูจิบัตรบรรณานุกรมงานค้นคว้าเกี่ยวกับจิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทยและสถาปัตยกรรมไทย<p>
โครงการจิตรกรรม ประติมากรรม ในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นโครงการสำรวจระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 - ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้ศึกษาข้อมูลลำดับพัฒนาการการแพร่หลายของพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยแทนที่ความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งผลกระทบจากวิทยาการของชาวตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลายมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของผู้คน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามา หลายกรณียืนยันได้จากงานจิตรกรรมและประติมากรรม จากงานช่างแนวอุดมคติเปลี่ยนผ่านกลายมาเป็นแบบอย่างสมจริงในปัจจุบัน ซึ่งงานวิจัยเล่มนี้เป็นเล่มต่อเนื่องจากเล่มแรก นำเสนอในส่วนของบรรณานุกรมงานค้นคว้าจากโครงการดังกล่าว</p>บรรณานุกรม, จิตรกรรม, ประติมากรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, วัด, พุทธศาสนา, ประเทศไทย27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=94https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/008-cover.jpg
96อื่นๆการสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนามเพื่อพัฒนาการวิจัยสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง: พื้นที่ศึกษา ชุมชนในเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร และชุมชนท่าพูด จังหวัดนครปฐม<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อสำรวจ เก็บข้อมูลภาคสนาม และพัฒนางานวิจัยวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างคณาจารย์ นักศึกษา และตัวแทนชุมชน ตลอดจนเชื่อมโยงประสานเครือข่ายของชุมชนเพื่อสร้างฐานข้อมูลเบื้องต้นของชุมชน ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า อาณาบริเวณตั้งแต่เขต ตลิ่งชัน บางพลัด ทวีวัฒนา ถึงพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม นับว่าเป็นชุมชนที่เติบโตขึ้นมาจากระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคมด้วยวิถีชีวิตของคนลุ่มน้ำลำคลองมาก่อน ที่จะมีการเปลี่ยนรูปแบบการคมนาคมเป็นถนนสัญจรเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมคลองชานเมือง ที่มีการปรับตัวของวิถีชีวิตเพื่อตอบรับต่อการเปลี่ยนแปลงจากทั้งภายนอกและภายในชุมชน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านมานุษยวิทยา ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับชุมชน รวมทั้งส่งเสริมคุณค่า สร้างความเข้าใจต่อผู้คนทั้งภายในและภายนอกชุมชน</p>
<div>
</div>วัฒนธรรมชุมชน, ความเป็นอยู่, ประเพณี, ชุมชนท่าพูด, ชุมชนตลิ่งชัน, ท่าพูด, ตลิ่งชัน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=96https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/100-cover.jpg
96วารสารการสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนามเพื่อพัฒนาการวิจัยสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง: พื้นที่ศึกษา ชุมชนในเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร และชุมชนท่าพูด จังหวัดนครปฐม<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อสำรวจ เก็บข้อมูลภาคสนาม และพัฒนางานวิจัยวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างคณาจารย์ นักศึกษา และตัวแทนชุมชน ตลอดจนเชื่อมโยงประสานเครือข่ายของชุมชนเพื่อสร้างฐานข้อมูลเบื้องต้นของชุมชน ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า อาณาบริเวณตั้งแต่เขต ตลิ่งชัน บางพลัด ทวีวัฒนา ถึงพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม นับว่าเป็นชุมชนที่เติบโตขึ้นมาจากระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคมด้วยวิถีชีวิตของคนลุ่มน้ำลำคลองมาก่อน ที่จะมีการเปลี่ยนรูปแบบการคมนาคมเป็นถนนสัญจรเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมคลองชานเมือง ที่มีการปรับตัวของวิถีชีวิตเพื่อตอบรับต่อการเปลี่ยนแปลงจากทั้งภายนอกและภายในชุมชน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านมานุษยวิทยา ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับชุมชน รวมทั้งส่งเสริมคุณค่า สร้างความเข้าใจต่อผู้คนทั้งภายในและภายนอกชุมชน</p>
<div>
</div>วัฒนธรรมชุมชน, ความเป็นอยู่, ประเพณี, ชุมชนท่าพูด, ชุมชนตลิ่งชัน, ท่าพูด, ตลิ่งชัน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=96https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/100-cover.jpg
96บทความการสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนามเพื่อพัฒนาการวิจัยสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง: พื้นที่ศึกษา ชุมชนในเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร และชุมชนท่าพูด จังหวัดนครปฐม<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อสำรวจ เก็บข้อมูลภาคสนาม และพัฒนางานวิจัยวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างคณาจารย์ นักศึกษา และตัวแทนชุมชน ตลอดจนเชื่อมโยงประสานเครือข่ายของชุมชนเพื่อสร้างฐานข้อมูลเบื้องต้นของชุมชน ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า อาณาบริเวณตั้งแต่เขต ตลิ่งชัน บางพลัด ทวีวัฒนา ถึงพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม นับว่าเป็นชุมชนที่เติบโตขึ้นมาจากระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคมด้วยวิถีชีวิตของคนลุ่มน้ำลำคลองมาก่อน ที่จะมีการเปลี่ยนรูปแบบการคมนาคมเป็นถนนสัญจรเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมคลองชานเมือง ที่มีการปรับตัวของวิถีชีวิตเพื่อตอบรับต่อการเปลี่ยนแปลงจากทั้งภายนอกและภายในชุมชน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านมานุษยวิทยา ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับชุมชน รวมทั้งส่งเสริมคุณค่า สร้างความเข้าใจต่อผู้คนทั้งภายในและภายนอกชุมชน</p>
<div>
</div>วัฒนธรรมชุมชน, ความเป็นอยู่, ประเพณี, ชุมชนท่าพูด, ชุมชนตลิ่งชัน, ท่าพูด, ตลิ่งชัน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=96https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/100-cover.jpg
96วิทยานิพนธ์การสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนามเพื่อพัฒนาการวิจัยสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง: พื้นที่ศึกษา ชุมชนในเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร และชุมชนท่าพูด จังหวัดนครปฐม<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อสำรวจ เก็บข้อมูลภาคสนาม และพัฒนางานวิจัยวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างคณาจารย์ นักศึกษา และตัวแทนชุมชน ตลอดจนเชื่อมโยงประสานเครือข่ายของชุมชนเพื่อสร้างฐานข้อมูลเบื้องต้นของชุมชน ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า อาณาบริเวณตั้งแต่เขต ตลิ่งชัน บางพลัด ทวีวัฒนา ถึงพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม นับว่าเป็นชุมชนที่เติบโตขึ้นมาจากระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคมด้วยวิถีชีวิตของคนลุ่มน้ำลำคลองมาก่อน ที่จะมีการเปลี่ยนรูปแบบการคมนาคมเป็นถนนสัญจรเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมคลองชานเมือง ที่มีการปรับตัวของวิถีชีวิตเพื่อตอบรับต่อการเปลี่ยนแปลงจากทั้งภายนอกและภายในชุมชน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านมานุษยวิทยา ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับชุมชน รวมทั้งส่งเสริมคุณค่า สร้างความเข้าใจต่อผู้คนทั้งภายในและภายนอกชุมชน</p>
<div>
</div>วัฒนธรรมชุมชน, ความเป็นอยู่, ประเพณี, ชุมชนท่าพูด, ชุมชนตลิ่งชัน, ท่าพูด, ตลิ่งชัน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=96https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/100-cover.jpg
96รายงานงานวิจัยการสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนามเพื่อพัฒนาการวิจัยสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง: พื้นที่ศึกษา ชุมชนในเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร และชุมชนท่าพูด จังหวัดนครปฐม<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อสำรวจ เก็บข้อมูลภาคสนาม และพัฒนางานวิจัยวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างคณาจารย์ นักศึกษา และตัวแทนชุมชน ตลอดจนเชื่อมโยงประสานเครือข่ายของชุมชนเพื่อสร้างฐานข้อมูลเบื้องต้นของชุมชน ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า อาณาบริเวณตั้งแต่เขต ตลิ่งชัน บางพลัด ทวีวัฒนา ถึงพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม นับว่าเป็นชุมชนที่เติบโตขึ้นมาจากระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคมด้วยวิถีชีวิตของคนลุ่มน้ำลำคลองมาก่อน ที่จะมีการเปลี่ยนรูปแบบการคมนาคมเป็นถนนสัญจรเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมคลองชานเมือง ที่มีการปรับตัวของวิถีชีวิตเพื่อตอบรับต่อการเปลี่ยนแปลงจากทั้งภายนอกและภายในชุมชน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านมานุษยวิทยา ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับชุมชน รวมทั้งส่งเสริมคุณค่า สร้างความเข้าใจต่อผู้คนทั้งภายในและภายนอกชุมชน</p>
<div>
</div>วัฒนธรรมชุมชน, ความเป็นอยู่, ประเพณี, ชุมชนท่าพูด, ชุมชนตลิ่งชัน, ท่าพูด, ตลิ่งชัน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=96https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/100-cover.jpg
96รายงานการสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนามเพื่อพัฒนาการวิจัยสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง: พื้นที่ศึกษา ชุมชนในเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร และชุมชนท่าพูด จังหวัดนครปฐม<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อสำรวจ เก็บข้อมูลภาคสนาม และพัฒนางานวิจัยวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างคณาจารย์ นักศึกษา และตัวแทนชุมชน ตลอดจนเชื่อมโยงประสานเครือข่ายของชุมชนเพื่อสร้างฐานข้อมูลเบื้องต้นของชุมชน ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า อาณาบริเวณตั้งแต่เขต ตลิ่งชัน บางพลัด ทวีวัฒนา ถึงพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม นับว่าเป็นชุมชนที่เติบโตขึ้นมาจากระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคมด้วยวิถีชีวิตของคนลุ่มน้ำลำคลองมาก่อน ที่จะมีการเปลี่ยนรูปแบบการคมนาคมเป็นถนนสัญจรเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมคลองชานเมือง ที่มีการปรับตัวของวิถีชีวิตเพื่อตอบรับต่อการเปลี่ยนแปลงจากทั้งภายนอกและภายในชุมชน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านมานุษยวิทยา ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับชุมชน รวมทั้งส่งเสริมคุณค่า สร้างความเข้าใจต่อผู้คนทั้งภายในและภายนอกชุมชน</p>
<div>
</div>วัฒนธรรมชุมชน, ความเป็นอยู่, ประเพณี, ชุมชนท่าพูด, ชุมชนตลิ่งชัน, ท่าพูด, ตลิ่งชัน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=96https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/100-cover.jpg
96หนังสือการสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนามเพื่อพัฒนาการวิจัยสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง: พื้นที่ศึกษา ชุมชนในเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร และชุมชนท่าพูด จังหวัดนครปฐม<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อสำรวจ เก็บข้อมูลภาคสนาม และพัฒนางานวิจัยวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างคณาจารย์ นักศึกษา และตัวแทนชุมชน ตลอดจนเชื่อมโยงประสานเครือข่ายของชุมชนเพื่อสร้างฐานข้อมูลเบื้องต้นของชุมชน ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า อาณาบริเวณตั้งแต่เขต ตลิ่งชัน บางพลัด ทวีวัฒนา ถึงพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม นับว่าเป็นชุมชนที่เติบโตขึ้นมาจากระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคมด้วยวิถีชีวิตของคนลุ่มน้ำลำคลองมาก่อน ที่จะมีการเปลี่ยนรูปแบบการคมนาคมเป็นถนนสัญจรเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมคลองชานเมือง ที่มีการปรับตัวของวิถีชีวิตเพื่อตอบรับต่อการเปลี่ยนแปลงจากทั้งภายนอกและภายในชุมชน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านมานุษยวิทยา ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับชุมชน รวมทั้งส่งเสริมคุณค่า สร้างความเข้าใจต่อผู้คนทั้งภายในและภายนอกชุมชน</p>
<div>
</div>วัฒนธรรมชุมชน, ความเป็นอยู่, ประเพณี, ชุมชนท่าพูด, ชุมชนตลิ่งชัน, ท่าพูด, ตลิ่งชัน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=96https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/100-cover.jpg
96จุลสารการสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนามเพื่อพัฒนาการวิจัยสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง: พื้นที่ศึกษา ชุมชนในเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร และชุมชนท่าพูด จังหวัดนครปฐม<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อสำรวจ เก็บข้อมูลภาคสนาม และพัฒนางานวิจัยวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างคณาจารย์ นักศึกษา และตัวแทนชุมชน ตลอดจนเชื่อมโยงประสานเครือข่ายของชุมชนเพื่อสร้างฐานข้อมูลเบื้องต้นของชุมชน ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า อาณาบริเวณตั้งแต่เขต ตลิ่งชัน บางพลัด ทวีวัฒนา ถึงพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม นับว่าเป็นชุมชนที่เติบโตขึ้นมาจากระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคมด้วยวิถีชีวิตของคนลุ่มน้ำลำคลองมาก่อน ที่จะมีการเปลี่ยนรูปแบบการคมนาคมเป็นถนนสัญจรเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมคลองชานเมือง ที่มีการปรับตัวของวิถีชีวิตเพื่อตอบรับต่อการเปลี่ยนแปลงจากทั้งภายนอกและภายในชุมชน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านมานุษยวิทยา ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับชุมชน รวมทั้งส่งเสริมคุณค่า สร้างความเข้าใจต่อผู้คนทั้งภายในและภายนอกชุมชน</p>
<div>
</div>วัฒนธรรมชุมชน, ความเป็นอยู่, ประเพณี, ชุมชนท่าพูด, ชุมชนตลิ่งชัน, ท่าพูด, ตลิ่งชัน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=96https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/100-cover.jpg
96สูจิบัตรการสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนามเพื่อพัฒนาการวิจัยสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง: พื้นที่ศึกษา ชุมชนในเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร และชุมชนท่าพูด จังหวัดนครปฐม<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อสำรวจ เก็บข้อมูลภาคสนาม และพัฒนางานวิจัยวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างคณาจารย์ นักศึกษา และตัวแทนชุมชน ตลอดจนเชื่อมโยงประสานเครือข่ายของชุมชนเพื่อสร้างฐานข้อมูลเบื้องต้นของชุมชน ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า อาณาบริเวณตั้งแต่เขต ตลิ่งชัน บางพลัด ทวีวัฒนา ถึงพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม นับว่าเป็นชุมชนที่เติบโตขึ้นมาจากระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคมด้วยวิถีชีวิตของคนลุ่มน้ำลำคลองมาก่อน ที่จะมีการเปลี่ยนรูปแบบการคมนาคมเป็นถนนสัญจรเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมคลองชานเมือง ที่มีการปรับตัวของวิถีชีวิตเพื่อตอบรับต่อการเปลี่ยนแปลงจากทั้งภายนอกและภายในชุมชน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านมานุษยวิทยา ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับชุมชน รวมทั้งส่งเสริมคุณค่า สร้างความเข้าใจต่อผู้คนทั้งภายในและภายนอกชุมชน</p>
<div>
</div>วัฒนธรรมชุมชน, ความเป็นอยู่, ประเพณี, ชุมชนท่าพูด, ชุมชนตลิ่งชัน, ท่าพูด, ตลิ่งชัน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=96https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/100-cover.jpg
99อื่นๆโครงการวิจัยสืบสานภาษาและวัฒนธรรมชนเผ่า ปกา เกอะ ญอ สู่การสร้างหลักสูตรท้องถิ่น<p>
ชาวปกาเกอะญอ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเฉพาะทางภาคเหนือ มีอัตลักษณ์ทางด้านภาษา วัฒนธรรมเป็นของตนเอง โดยมีวิธีการถ่ายทอด ภาษา ประเพณีผ่านการร่วมพิธีกรรม การบอกเล่าผ่านนิทาน ตำนาน สุภาษิต และการละเล่นต่าง ๆ ที่แฝงอัตลักษณ์ของตนเอาไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปประเทศไทยก้าวเข้าสู่ภาวะโลกาภิวัตน์ของโลก ก่อให้เกิดการสื่อสารที่ไร้พรมแดน ประกอบกับการที่การศึกษาสมัยใหม่ ส่งผลกระทบทำให้คนปกาเกอะญอไม่เห็นความสำคัญของอัตลักลักษณ์ รากเหง้าของตนเอง ทำให้วัฒนธรรม ภาษา ที่ดีงามของชาวปกาเกอญออาจถูกละเลยไป ถึงขนาดที่เด็กรุ่นใหม่ไม่สามารถที่จะพูดและเขียนภาษาปกากอเญอได้อย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญอัตลักษณ์ของปกาเกอะญอ โดยมีความต้องการที่จะอนุรักษ์อัตลักษณ์ของปกาเกอญอเอาไว้ โดยสามารถจัดทำได้ในรูปแบบของแบบเรียน</p>
<p>
</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาษากะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=99https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/131-cover.jpg
99วารสารโครงการวิจัยสืบสานภาษาและวัฒนธรรมชนเผ่า ปกา เกอะ ญอ สู่การสร้างหลักสูตรท้องถิ่น<p>
ชาวปกาเกอะญอ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเฉพาะทางภาคเหนือ มีอัตลักษณ์ทางด้านภาษา วัฒนธรรมเป็นของตนเอง โดยมีวิธีการถ่ายทอด ภาษา ประเพณีผ่านการร่วมพิธีกรรม การบอกเล่าผ่านนิทาน ตำนาน สุภาษิต และการละเล่นต่าง ๆ ที่แฝงอัตลักษณ์ของตนเอาไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปประเทศไทยก้าวเข้าสู่ภาวะโลกาภิวัตน์ของโลก ก่อให้เกิดการสื่อสารที่ไร้พรมแดน ประกอบกับการที่การศึกษาสมัยใหม่ ส่งผลกระทบทำให้คนปกาเกอะญอไม่เห็นความสำคัญของอัตลักลักษณ์ รากเหง้าของตนเอง ทำให้วัฒนธรรม ภาษา ที่ดีงามของชาวปกาเกอญออาจถูกละเลยไป ถึงขนาดที่เด็กรุ่นใหม่ไม่สามารถที่จะพูดและเขียนภาษาปกากอเญอได้อย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญอัตลักษณ์ของปกาเกอะญอ โดยมีความต้องการที่จะอนุรักษ์อัตลักษณ์ของปกาเกอญอเอาไว้ โดยสามารถจัดทำได้ในรูปแบบของแบบเรียน</p>
<p>
</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาษากะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=99https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/131-cover.jpg
99บทความโครงการวิจัยสืบสานภาษาและวัฒนธรรมชนเผ่า ปกา เกอะ ญอ สู่การสร้างหลักสูตรท้องถิ่น<p>
ชาวปกาเกอะญอ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเฉพาะทางภาคเหนือ มีอัตลักษณ์ทางด้านภาษา วัฒนธรรมเป็นของตนเอง โดยมีวิธีการถ่ายทอด ภาษา ประเพณีผ่านการร่วมพิธีกรรม การบอกเล่าผ่านนิทาน ตำนาน สุภาษิต และการละเล่นต่าง ๆ ที่แฝงอัตลักษณ์ของตนเอาไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปประเทศไทยก้าวเข้าสู่ภาวะโลกาภิวัตน์ของโลก ก่อให้เกิดการสื่อสารที่ไร้พรมแดน ประกอบกับการที่การศึกษาสมัยใหม่ ส่งผลกระทบทำให้คนปกาเกอะญอไม่เห็นความสำคัญของอัตลักลักษณ์ รากเหง้าของตนเอง ทำให้วัฒนธรรม ภาษา ที่ดีงามของชาวปกาเกอญออาจถูกละเลยไป ถึงขนาดที่เด็กรุ่นใหม่ไม่สามารถที่จะพูดและเขียนภาษาปกากอเญอได้อย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญอัตลักษณ์ของปกาเกอะญอ โดยมีความต้องการที่จะอนุรักษ์อัตลักษณ์ของปกาเกอญอเอาไว้ โดยสามารถจัดทำได้ในรูปแบบของแบบเรียน</p>
<p>
</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาษากะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=99https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/131-cover.jpg
99วิทยานิพนธ์โครงการวิจัยสืบสานภาษาและวัฒนธรรมชนเผ่า ปกา เกอะ ญอ สู่การสร้างหลักสูตรท้องถิ่น<p>
ชาวปกาเกอะญอ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเฉพาะทางภาคเหนือ มีอัตลักษณ์ทางด้านภาษา วัฒนธรรมเป็นของตนเอง โดยมีวิธีการถ่ายทอด ภาษา ประเพณีผ่านการร่วมพิธีกรรม การบอกเล่าผ่านนิทาน ตำนาน สุภาษิต และการละเล่นต่าง ๆ ที่แฝงอัตลักษณ์ของตนเอาไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปประเทศไทยก้าวเข้าสู่ภาวะโลกาภิวัตน์ของโลก ก่อให้เกิดการสื่อสารที่ไร้พรมแดน ประกอบกับการที่การศึกษาสมัยใหม่ ส่งผลกระทบทำให้คนปกาเกอะญอไม่เห็นความสำคัญของอัตลักลักษณ์ รากเหง้าของตนเอง ทำให้วัฒนธรรม ภาษา ที่ดีงามของชาวปกาเกอญออาจถูกละเลยไป ถึงขนาดที่เด็กรุ่นใหม่ไม่สามารถที่จะพูดและเขียนภาษาปกากอเญอได้อย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญอัตลักษณ์ของปกาเกอะญอ โดยมีความต้องการที่จะอนุรักษ์อัตลักษณ์ของปกาเกอญอเอาไว้ โดยสามารถจัดทำได้ในรูปแบบของแบบเรียน</p>
<p>
</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาษากะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=99https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/131-cover.jpg
99รายงานงานวิจัยโครงการวิจัยสืบสานภาษาและวัฒนธรรมชนเผ่า ปกา เกอะ ญอ สู่การสร้างหลักสูตรท้องถิ่น<p>
ชาวปกาเกอะญอ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเฉพาะทางภาคเหนือ มีอัตลักษณ์ทางด้านภาษา วัฒนธรรมเป็นของตนเอง โดยมีวิธีการถ่ายทอด ภาษา ประเพณีผ่านการร่วมพิธีกรรม การบอกเล่าผ่านนิทาน ตำนาน สุภาษิต และการละเล่นต่าง ๆ ที่แฝงอัตลักษณ์ของตนเอาไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปประเทศไทยก้าวเข้าสู่ภาวะโลกาภิวัตน์ของโลก ก่อให้เกิดการสื่อสารที่ไร้พรมแดน ประกอบกับการที่การศึกษาสมัยใหม่ ส่งผลกระทบทำให้คนปกาเกอะญอไม่เห็นความสำคัญของอัตลักลักษณ์ รากเหง้าของตนเอง ทำให้วัฒนธรรม ภาษา ที่ดีงามของชาวปกาเกอญออาจถูกละเลยไป ถึงขนาดที่เด็กรุ่นใหม่ไม่สามารถที่จะพูดและเขียนภาษาปกากอเญอได้อย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญอัตลักษณ์ของปกาเกอะญอ โดยมีความต้องการที่จะอนุรักษ์อัตลักษณ์ของปกาเกอญอเอาไว้ โดยสามารถจัดทำได้ในรูปแบบของแบบเรียน</p>
<p>
</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาษากะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=99https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/131-cover.jpg
99รายงานโครงการวิจัยสืบสานภาษาและวัฒนธรรมชนเผ่า ปกา เกอะ ญอ สู่การสร้างหลักสูตรท้องถิ่น<p>
ชาวปกาเกอะญอ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเฉพาะทางภาคเหนือ มีอัตลักษณ์ทางด้านภาษา วัฒนธรรมเป็นของตนเอง โดยมีวิธีการถ่ายทอด ภาษา ประเพณีผ่านการร่วมพิธีกรรม การบอกเล่าผ่านนิทาน ตำนาน สุภาษิต และการละเล่นต่าง ๆ ที่แฝงอัตลักษณ์ของตนเอาไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปประเทศไทยก้าวเข้าสู่ภาวะโลกาภิวัตน์ของโลก ก่อให้เกิดการสื่อสารที่ไร้พรมแดน ประกอบกับการที่การศึกษาสมัยใหม่ ส่งผลกระทบทำให้คนปกาเกอะญอไม่เห็นความสำคัญของอัตลักลักษณ์ รากเหง้าของตนเอง ทำให้วัฒนธรรม ภาษา ที่ดีงามของชาวปกาเกอญออาจถูกละเลยไป ถึงขนาดที่เด็กรุ่นใหม่ไม่สามารถที่จะพูดและเขียนภาษาปกากอเญอได้อย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญอัตลักษณ์ของปกาเกอะญอ โดยมีความต้องการที่จะอนุรักษ์อัตลักษณ์ของปกาเกอญอเอาไว้ โดยสามารถจัดทำได้ในรูปแบบของแบบเรียน</p>
<p>
</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาษากะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=99https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/131-cover.jpg
99หนังสือโครงการวิจัยสืบสานภาษาและวัฒนธรรมชนเผ่า ปกา เกอะ ญอ สู่การสร้างหลักสูตรท้องถิ่น<p>
ชาวปกาเกอะญอ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเฉพาะทางภาคเหนือ มีอัตลักษณ์ทางด้านภาษา วัฒนธรรมเป็นของตนเอง โดยมีวิธีการถ่ายทอด ภาษา ประเพณีผ่านการร่วมพิธีกรรม การบอกเล่าผ่านนิทาน ตำนาน สุภาษิต และการละเล่นต่าง ๆ ที่แฝงอัตลักษณ์ของตนเอาไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปประเทศไทยก้าวเข้าสู่ภาวะโลกาภิวัตน์ของโลก ก่อให้เกิดการสื่อสารที่ไร้พรมแดน ประกอบกับการที่การศึกษาสมัยใหม่ ส่งผลกระทบทำให้คนปกาเกอะญอไม่เห็นความสำคัญของอัตลักลักษณ์ รากเหง้าของตนเอง ทำให้วัฒนธรรม ภาษา ที่ดีงามของชาวปกาเกอญออาจถูกละเลยไป ถึงขนาดที่เด็กรุ่นใหม่ไม่สามารถที่จะพูดและเขียนภาษาปกากอเญอได้อย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญอัตลักษณ์ของปกาเกอะญอ โดยมีความต้องการที่จะอนุรักษ์อัตลักษณ์ของปกาเกอญอเอาไว้ โดยสามารถจัดทำได้ในรูปแบบของแบบเรียน</p>
<p>
</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาษากะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=99https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/131-cover.jpg
99จุลสารโครงการวิจัยสืบสานภาษาและวัฒนธรรมชนเผ่า ปกา เกอะ ญอ สู่การสร้างหลักสูตรท้องถิ่น<p>
ชาวปกาเกอะญอ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเฉพาะทางภาคเหนือ มีอัตลักษณ์ทางด้านภาษา วัฒนธรรมเป็นของตนเอง โดยมีวิธีการถ่ายทอด ภาษา ประเพณีผ่านการร่วมพิธีกรรม การบอกเล่าผ่านนิทาน ตำนาน สุภาษิต และการละเล่นต่าง ๆ ที่แฝงอัตลักษณ์ของตนเอาไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปประเทศไทยก้าวเข้าสู่ภาวะโลกาภิวัตน์ของโลก ก่อให้เกิดการสื่อสารที่ไร้พรมแดน ประกอบกับการที่การศึกษาสมัยใหม่ ส่งผลกระทบทำให้คนปกาเกอะญอไม่เห็นความสำคัญของอัตลักลักษณ์ รากเหง้าของตนเอง ทำให้วัฒนธรรม ภาษา ที่ดีงามของชาวปกาเกอญออาจถูกละเลยไป ถึงขนาดที่เด็กรุ่นใหม่ไม่สามารถที่จะพูดและเขียนภาษาปกากอเญอได้อย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญอัตลักษณ์ของปกาเกอะญอ โดยมีความต้องการที่จะอนุรักษ์อัตลักษณ์ของปกาเกอญอเอาไว้ โดยสามารถจัดทำได้ในรูปแบบของแบบเรียน</p>
<p>
</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาษากะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=99https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/131-cover.jpg
99สูจิบัตรโครงการวิจัยสืบสานภาษาและวัฒนธรรมชนเผ่า ปกา เกอะ ญอ สู่การสร้างหลักสูตรท้องถิ่น<p>
ชาวปกาเกอะญอ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเฉพาะทางภาคเหนือ มีอัตลักษณ์ทางด้านภาษา วัฒนธรรมเป็นของตนเอง โดยมีวิธีการถ่ายทอด ภาษา ประเพณีผ่านการร่วมพิธีกรรม การบอกเล่าผ่านนิทาน ตำนาน สุภาษิต และการละเล่นต่าง ๆ ที่แฝงอัตลักษณ์ของตนเอาไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปประเทศไทยก้าวเข้าสู่ภาวะโลกาภิวัตน์ของโลก ก่อให้เกิดการสื่อสารที่ไร้พรมแดน ประกอบกับการที่การศึกษาสมัยใหม่ ส่งผลกระทบทำให้คนปกาเกอะญอไม่เห็นความสำคัญของอัตลักลักษณ์ รากเหง้าของตนเอง ทำให้วัฒนธรรม ภาษา ที่ดีงามของชาวปกาเกอญออาจถูกละเลยไป ถึงขนาดที่เด็กรุ่นใหม่ไม่สามารถที่จะพูดและเขียนภาษาปกากอเญอได้อย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญอัตลักษณ์ของปกาเกอะญอ โดยมีความต้องการที่จะอนุรักษ์อัตลักษณ์ของปกาเกอญอเอาไว้ โดยสามารถจัดทำได้ในรูปแบบของแบบเรียน</p>
<p>
</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาษากะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=99https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/131-cover.jpg
100อื่นๆโครงการวิจัยศักยภาพของการคงอยู่ทางอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของชุมชนวัฒนธรรมพิเศษ<p>
รายงานการวิจัยฉบับนี้ มีจุดประสงค์ในการศึกษาถึงวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ที่อยู่อาศัยในชุมชนบ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำองค์ความรู้มาจัดทำเป็นคลังข้อมูลของชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจ และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้กับสังคมได้รับรู้ ก่อให้เกิดความเข้าใจในมิติความเป็นพหุวัฒนธรรมในสังคมไทย และสื่อถึงความต้องการที่จะรื้อฟื้น และอนุรักษ์อัตลักษณ์ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้คงอยู่และดำเนินสืบไป</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, กะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านหนองมณฑา, เชียงใหม่27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=100https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/132-cover.jpg
100วารสารโครงการวิจัยศักยภาพของการคงอยู่ทางอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของชุมชนวัฒนธรรมพิเศษ<p>
รายงานการวิจัยฉบับนี้ มีจุดประสงค์ในการศึกษาถึงวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ที่อยู่อาศัยในชุมชนบ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำองค์ความรู้มาจัดทำเป็นคลังข้อมูลของชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจ และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้กับสังคมได้รับรู้ ก่อให้เกิดความเข้าใจในมิติความเป็นพหุวัฒนธรรมในสังคมไทย และสื่อถึงความต้องการที่จะรื้อฟื้น และอนุรักษ์อัตลักษณ์ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้คงอยู่และดำเนินสืบไป</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, กะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านหนองมณฑา, เชียงใหม่27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=100https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/132-cover.jpg
100บทความโครงการวิจัยศักยภาพของการคงอยู่ทางอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของชุมชนวัฒนธรรมพิเศษ<p>
รายงานการวิจัยฉบับนี้ มีจุดประสงค์ในการศึกษาถึงวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ที่อยู่อาศัยในชุมชนบ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำองค์ความรู้มาจัดทำเป็นคลังข้อมูลของชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจ และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้กับสังคมได้รับรู้ ก่อให้เกิดความเข้าใจในมิติความเป็นพหุวัฒนธรรมในสังคมไทย และสื่อถึงความต้องการที่จะรื้อฟื้น และอนุรักษ์อัตลักษณ์ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้คงอยู่และดำเนินสืบไป</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, กะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านหนองมณฑา, เชียงใหม่27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=100https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/132-cover.jpg
100วิทยานิพนธ์โครงการวิจัยศักยภาพของการคงอยู่ทางอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของชุมชนวัฒนธรรมพิเศษ<p>
รายงานการวิจัยฉบับนี้ มีจุดประสงค์ในการศึกษาถึงวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ที่อยู่อาศัยในชุมชนบ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำองค์ความรู้มาจัดทำเป็นคลังข้อมูลของชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจ และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้กับสังคมได้รับรู้ ก่อให้เกิดความเข้าใจในมิติความเป็นพหุวัฒนธรรมในสังคมไทย และสื่อถึงความต้องการที่จะรื้อฟื้น และอนุรักษ์อัตลักษณ์ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้คงอยู่และดำเนินสืบไป</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, กะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านหนองมณฑา, เชียงใหม่27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=100https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/132-cover.jpg
100รายงานงานวิจัยโครงการวิจัยศักยภาพของการคงอยู่ทางอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของชุมชนวัฒนธรรมพิเศษ<p>
รายงานการวิจัยฉบับนี้ มีจุดประสงค์ในการศึกษาถึงวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ที่อยู่อาศัยในชุมชนบ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำองค์ความรู้มาจัดทำเป็นคลังข้อมูลของชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจ และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้กับสังคมได้รับรู้ ก่อให้เกิดความเข้าใจในมิติความเป็นพหุวัฒนธรรมในสังคมไทย และสื่อถึงความต้องการที่จะรื้อฟื้น และอนุรักษ์อัตลักษณ์ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้คงอยู่และดำเนินสืบไป</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, กะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านหนองมณฑา, เชียงใหม่27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=100https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/132-cover.jpg
100รายงานโครงการวิจัยศักยภาพของการคงอยู่ทางอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของชุมชนวัฒนธรรมพิเศษ<p>
รายงานการวิจัยฉบับนี้ มีจุดประสงค์ในการศึกษาถึงวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ที่อยู่อาศัยในชุมชนบ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำองค์ความรู้มาจัดทำเป็นคลังข้อมูลของชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจ และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้กับสังคมได้รับรู้ ก่อให้เกิดความเข้าใจในมิติความเป็นพหุวัฒนธรรมในสังคมไทย และสื่อถึงความต้องการที่จะรื้อฟื้น และอนุรักษ์อัตลักษณ์ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้คงอยู่และดำเนินสืบไป</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, กะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านหนองมณฑา, เชียงใหม่27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=100https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/132-cover.jpg
100หนังสือโครงการวิจัยศักยภาพของการคงอยู่ทางอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของชุมชนวัฒนธรรมพิเศษ<p>
รายงานการวิจัยฉบับนี้ มีจุดประสงค์ในการศึกษาถึงวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ที่อยู่อาศัยในชุมชนบ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำองค์ความรู้มาจัดทำเป็นคลังข้อมูลของชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจ และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้กับสังคมได้รับรู้ ก่อให้เกิดความเข้าใจในมิติความเป็นพหุวัฒนธรรมในสังคมไทย และสื่อถึงความต้องการที่จะรื้อฟื้น และอนุรักษ์อัตลักษณ์ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้คงอยู่และดำเนินสืบไป</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, กะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านหนองมณฑา, เชียงใหม่27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=100https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/132-cover.jpg
100จุลสารโครงการวิจัยศักยภาพของการคงอยู่ทางอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของชุมชนวัฒนธรรมพิเศษ<p>
รายงานการวิจัยฉบับนี้ มีจุดประสงค์ในการศึกษาถึงวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ที่อยู่อาศัยในชุมชนบ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำองค์ความรู้มาจัดทำเป็นคลังข้อมูลของชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจ และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้กับสังคมได้รับรู้ ก่อให้เกิดความเข้าใจในมิติความเป็นพหุวัฒนธรรมในสังคมไทย และสื่อถึงความต้องการที่จะรื้อฟื้น และอนุรักษ์อัตลักษณ์ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้คงอยู่และดำเนินสืบไป</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, กะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านหนองมณฑา, เชียงใหม่27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=100https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/132-cover.jpg
100สูจิบัตรโครงการวิจัยศักยภาพของการคงอยู่ทางอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของชุมชนวัฒนธรรมพิเศษ<p>
รายงานการวิจัยฉบับนี้ มีจุดประสงค์ในการศึกษาถึงวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ที่อยู่อาศัยในชุมชนบ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำองค์ความรู้มาจัดทำเป็นคลังข้อมูลของชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจ และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้กับสังคมได้รับรู้ ก่อให้เกิดความเข้าใจในมิติความเป็นพหุวัฒนธรรมในสังคมไทย และสื่อถึงความต้องการที่จะรื้อฟื้น และอนุรักษ์อัตลักษณ์ของชาวปกาเก่อญอ (ปกาเกอะญอ) ให้คงอยู่และดำเนินสืบไป</p>
<p>
</p>ปกาเกอะญอ, กะเหรี่ยง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านหนองมณฑา, เชียงใหม่27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=100https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/132-cover.jpg
101อื่นๆโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน<p>
งานศึกษาชิ้นนี้จัดทำเพื่อให้คณะทำงานซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนในหมู่บ้าน คือ กลุ่มเยาวชนรักษ์ดงหลวงสบลี้ ได้เรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมของตนเองเพื่อให้รู้ถึงกระบวนการทำงาน การศึกษาชุมชนของตนเอง ซึ่งจากการทำโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ที่เน้นการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีกรรม ความเชื่อ ความรู้สึก นั้นได้สะท้อนให้เห็นถึง วิถีชีวิต ความคิดและการอยู่ร่วมกันของคนบ้านดงหลวงในสังคมแบบชนบท อีกทั้งการนำข้อมูลที่ถูกรวบรวมและเรียบเรียงเกี่ยวกับประเพณีบ้านดงหลวงก็จะถูกนำไปจัดทำสื่อเพื่อทำการเผยแพร่ต่อไป</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=101https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/133-cover.jpg
101วารสารโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน<p>
งานศึกษาชิ้นนี้จัดทำเพื่อให้คณะทำงานซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนในหมู่บ้าน คือ กลุ่มเยาวชนรักษ์ดงหลวงสบลี้ ได้เรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมของตนเองเพื่อให้รู้ถึงกระบวนการทำงาน การศึกษาชุมชนของตนเอง ซึ่งจากการทำโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ที่เน้นการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีกรรม ความเชื่อ ความรู้สึก นั้นได้สะท้อนให้เห็นถึง วิถีชีวิต ความคิดและการอยู่ร่วมกันของคนบ้านดงหลวงในสังคมแบบชนบท อีกทั้งการนำข้อมูลที่ถูกรวบรวมและเรียบเรียงเกี่ยวกับประเพณีบ้านดงหลวงก็จะถูกนำไปจัดทำสื่อเพื่อทำการเผยแพร่ต่อไป</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=101https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/133-cover.jpg
101บทความโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน<p>
งานศึกษาชิ้นนี้จัดทำเพื่อให้คณะทำงานซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนในหมู่บ้าน คือ กลุ่มเยาวชนรักษ์ดงหลวงสบลี้ ได้เรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมของตนเองเพื่อให้รู้ถึงกระบวนการทำงาน การศึกษาชุมชนของตนเอง ซึ่งจากการทำโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ที่เน้นการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีกรรม ความเชื่อ ความรู้สึก นั้นได้สะท้อนให้เห็นถึง วิถีชีวิต ความคิดและการอยู่ร่วมกันของคนบ้านดงหลวงในสังคมแบบชนบท อีกทั้งการนำข้อมูลที่ถูกรวบรวมและเรียบเรียงเกี่ยวกับประเพณีบ้านดงหลวงก็จะถูกนำไปจัดทำสื่อเพื่อทำการเผยแพร่ต่อไป</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=101https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/133-cover.jpg
101วิทยานิพนธ์โครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน<p>
งานศึกษาชิ้นนี้จัดทำเพื่อให้คณะทำงานซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนในหมู่บ้าน คือ กลุ่มเยาวชนรักษ์ดงหลวงสบลี้ ได้เรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมของตนเองเพื่อให้รู้ถึงกระบวนการทำงาน การศึกษาชุมชนของตนเอง ซึ่งจากการทำโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ที่เน้นการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีกรรม ความเชื่อ ความรู้สึก นั้นได้สะท้อนให้เห็นถึง วิถีชีวิต ความคิดและการอยู่ร่วมกันของคนบ้านดงหลวงในสังคมแบบชนบท อีกทั้งการนำข้อมูลที่ถูกรวบรวมและเรียบเรียงเกี่ยวกับประเพณีบ้านดงหลวงก็จะถูกนำไปจัดทำสื่อเพื่อทำการเผยแพร่ต่อไป</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=101https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/133-cover.jpg
101รายงานงานวิจัยโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน<p>
งานศึกษาชิ้นนี้จัดทำเพื่อให้คณะทำงานซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนในหมู่บ้าน คือ กลุ่มเยาวชนรักษ์ดงหลวงสบลี้ ได้เรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมของตนเองเพื่อให้รู้ถึงกระบวนการทำงาน การศึกษาชุมชนของตนเอง ซึ่งจากการทำโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ที่เน้นการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีกรรม ความเชื่อ ความรู้สึก นั้นได้สะท้อนให้เห็นถึง วิถีชีวิต ความคิดและการอยู่ร่วมกันของคนบ้านดงหลวงในสังคมแบบชนบท อีกทั้งการนำข้อมูลที่ถูกรวบรวมและเรียบเรียงเกี่ยวกับประเพณีบ้านดงหลวงก็จะถูกนำไปจัดทำสื่อเพื่อทำการเผยแพร่ต่อไป</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=101https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/133-cover.jpg
101รายงานโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน<p>
งานศึกษาชิ้นนี้จัดทำเพื่อให้คณะทำงานซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนในหมู่บ้าน คือ กลุ่มเยาวชนรักษ์ดงหลวงสบลี้ ได้เรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมของตนเองเพื่อให้รู้ถึงกระบวนการทำงาน การศึกษาชุมชนของตนเอง ซึ่งจากการทำโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ที่เน้นการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีกรรม ความเชื่อ ความรู้สึก นั้นได้สะท้อนให้เห็นถึง วิถีชีวิต ความคิดและการอยู่ร่วมกันของคนบ้านดงหลวงในสังคมแบบชนบท อีกทั้งการนำข้อมูลที่ถูกรวบรวมและเรียบเรียงเกี่ยวกับประเพณีบ้านดงหลวงก็จะถูกนำไปจัดทำสื่อเพื่อทำการเผยแพร่ต่อไป</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=101https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/133-cover.jpg
101หนังสือโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน<p>
งานศึกษาชิ้นนี้จัดทำเพื่อให้คณะทำงานซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนในหมู่บ้าน คือ กลุ่มเยาวชนรักษ์ดงหลวงสบลี้ ได้เรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมของตนเองเพื่อให้รู้ถึงกระบวนการทำงาน การศึกษาชุมชนของตนเอง ซึ่งจากการทำโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ที่เน้นการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีกรรม ความเชื่อ ความรู้สึก นั้นได้สะท้อนให้เห็นถึง วิถีชีวิต ความคิดและการอยู่ร่วมกันของคนบ้านดงหลวงในสังคมแบบชนบท อีกทั้งการนำข้อมูลที่ถูกรวบรวมและเรียบเรียงเกี่ยวกับประเพณีบ้านดงหลวงก็จะถูกนำไปจัดทำสื่อเพื่อทำการเผยแพร่ต่อไป</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=101https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/133-cover.jpg
101จุลสารโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน<p>
งานศึกษาชิ้นนี้จัดทำเพื่อให้คณะทำงานซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนในหมู่บ้าน คือ กลุ่มเยาวชนรักษ์ดงหลวงสบลี้ ได้เรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมของตนเองเพื่อให้รู้ถึงกระบวนการทำงาน การศึกษาชุมชนของตนเอง ซึ่งจากการทำโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ที่เน้นการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีกรรม ความเชื่อ ความรู้สึก นั้นได้สะท้อนให้เห็นถึง วิถีชีวิต ความคิดและการอยู่ร่วมกันของคนบ้านดงหลวงในสังคมแบบชนบท อีกทั้งการนำข้อมูลที่ถูกรวบรวมและเรียบเรียงเกี่ยวกับประเพณีบ้านดงหลวงก็จะถูกนำไปจัดทำสื่อเพื่อทำการเผยแพร่ต่อไป</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=101https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/133-cover.jpg
101สูจิบัตรโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน<p>
งานศึกษาชิ้นนี้จัดทำเพื่อให้คณะทำงานซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนในหมู่บ้าน คือ กลุ่มเยาวชนรักษ์ดงหลวงสบลี้ ได้เรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมของตนเองเพื่อให้รู้ถึงกระบวนการทำงาน การศึกษาชุมชนของตนเอง ซึ่งจากการทำโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ที่เน้นการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีกรรม ความเชื่อ ความรู้สึก นั้นได้สะท้อนให้เห็นถึง วิถีชีวิต ความคิดและการอยู่ร่วมกันของคนบ้านดงหลวงในสังคมแบบชนบท อีกทั้งการนำข้อมูลที่ถูกรวบรวมและเรียบเรียงเกี่ยวกับประเพณีบ้านดงหลวงก็จะถูกนำไปจัดทำสื่อเพื่อทำการเผยแพร่ต่อไป</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=101https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/133-cover.jpg
102อื่นๆโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน (ประวัติบ้านดงหลวง)<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษาเกี่ยวกับประวัติหมู่บ้านดงหลวง หรือหมู่บ้านดงสบลี้ ว่าในอดีตมีความเป็นมาอย่างไร พบว่าด้วยสภาพที่ตั้งเป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นป่าดงดิบทึบมีต้นไม้ขนาดใหญ่ ปกคลุมไปทั่วบริเวณชุมชน ประกอบกับพื้นที่บ้านดงหลวง มีแม่น้ำสองสาย คือ สายแม่น้ำปิง และสายแม่น้ำลี้ โดยสายแม่น้ำลี้ไหลมาบรรจบสายแม่น้ำปิงบริเวณท้ายหมู่บ้าน จึงถูกเรียกว่า บ้านดงสบลี้ และอีกส่วนหนึ่งของงานศึกษาจะเป็นการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับ การก่อตั้งหมู่บ้าน การดำรงชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นต่าง เป็นต้น</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=102https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/134-cover.jpg
102วารสารโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน (ประวัติบ้านดงหลวง)<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษาเกี่ยวกับประวัติหมู่บ้านดงหลวง หรือหมู่บ้านดงสบลี้ ว่าในอดีตมีความเป็นมาอย่างไร พบว่าด้วยสภาพที่ตั้งเป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นป่าดงดิบทึบมีต้นไม้ขนาดใหญ่ ปกคลุมไปทั่วบริเวณชุมชน ประกอบกับพื้นที่บ้านดงหลวง มีแม่น้ำสองสาย คือ สายแม่น้ำปิง และสายแม่น้ำลี้ โดยสายแม่น้ำลี้ไหลมาบรรจบสายแม่น้ำปิงบริเวณท้ายหมู่บ้าน จึงถูกเรียกว่า บ้านดงสบลี้ และอีกส่วนหนึ่งของงานศึกษาจะเป็นการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับ การก่อตั้งหมู่บ้าน การดำรงชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นต่าง เป็นต้น</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=102https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/134-cover.jpg
102บทความโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน (ประวัติบ้านดงหลวง)<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษาเกี่ยวกับประวัติหมู่บ้านดงหลวง หรือหมู่บ้านดงสบลี้ ว่าในอดีตมีความเป็นมาอย่างไร พบว่าด้วยสภาพที่ตั้งเป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นป่าดงดิบทึบมีต้นไม้ขนาดใหญ่ ปกคลุมไปทั่วบริเวณชุมชน ประกอบกับพื้นที่บ้านดงหลวง มีแม่น้ำสองสาย คือ สายแม่น้ำปิง และสายแม่น้ำลี้ โดยสายแม่น้ำลี้ไหลมาบรรจบสายแม่น้ำปิงบริเวณท้ายหมู่บ้าน จึงถูกเรียกว่า บ้านดงสบลี้ และอีกส่วนหนึ่งของงานศึกษาจะเป็นการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับ การก่อตั้งหมู่บ้าน การดำรงชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นต่าง เป็นต้น</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=102https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/134-cover.jpg
102วิทยานิพนธ์โครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน (ประวัติบ้านดงหลวง)<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษาเกี่ยวกับประวัติหมู่บ้านดงหลวง หรือหมู่บ้านดงสบลี้ ว่าในอดีตมีความเป็นมาอย่างไร พบว่าด้วยสภาพที่ตั้งเป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นป่าดงดิบทึบมีต้นไม้ขนาดใหญ่ ปกคลุมไปทั่วบริเวณชุมชน ประกอบกับพื้นที่บ้านดงหลวง มีแม่น้ำสองสาย คือ สายแม่น้ำปิง และสายแม่น้ำลี้ โดยสายแม่น้ำลี้ไหลมาบรรจบสายแม่น้ำปิงบริเวณท้ายหมู่บ้าน จึงถูกเรียกว่า บ้านดงสบลี้ และอีกส่วนหนึ่งของงานศึกษาจะเป็นการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับ การก่อตั้งหมู่บ้าน การดำรงชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นต่าง เป็นต้น</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=102https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/134-cover.jpg
102รายงานงานวิจัยโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน (ประวัติบ้านดงหลวง)<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษาเกี่ยวกับประวัติหมู่บ้านดงหลวง หรือหมู่บ้านดงสบลี้ ว่าในอดีตมีความเป็นมาอย่างไร พบว่าด้วยสภาพที่ตั้งเป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นป่าดงดิบทึบมีต้นไม้ขนาดใหญ่ ปกคลุมไปทั่วบริเวณชุมชน ประกอบกับพื้นที่บ้านดงหลวง มีแม่น้ำสองสาย คือ สายแม่น้ำปิง และสายแม่น้ำลี้ โดยสายแม่น้ำลี้ไหลมาบรรจบสายแม่น้ำปิงบริเวณท้ายหมู่บ้าน จึงถูกเรียกว่า บ้านดงสบลี้ และอีกส่วนหนึ่งของงานศึกษาจะเป็นการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับ การก่อตั้งหมู่บ้าน การดำรงชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นต่าง เป็นต้น</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=102https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/134-cover.jpg
102รายงานโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน (ประวัติบ้านดงหลวง)<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษาเกี่ยวกับประวัติหมู่บ้านดงหลวง หรือหมู่บ้านดงสบลี้ ว่าในอดีตมีความเป็นมาอย่างไร พบว่าด้วยสภาพที่ตั้งเป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นป่าดงดิบทึบมีต้นไม้ขนาดใหญ่ ปกคลุมไปทั่วบริเวณชุมชน ประกอบกับพื้นที่บ้านดงหลวง มีแม่น้ำสองสาย คือ สายแม่น้ำปิง และสายแม่น้ำลี้ โดยสายแม่น้ำลี้ไหลมาบรรจบสายแม่น้ำปิงบริเวณท้ายหมู่บ้าน จึงถูกเรียกว่า บ้านดงสบลี้ และอีกส่วนหนึ่งของงานศึกษาจะเป็นการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับ การก่อตั้งหมู่บ้าน การดำรงชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นต่าง เป็นต้น</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=102https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/134-cover.jpg
102หนังสือโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน (ประวัติบ้านดงหลวง)<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษาเกี่ยวกับประวัติหมู่บ้านดงหลวง หรือหมู่บ้านดงสบลี้ ว่าในอดีตมีความเป็นมาอย่างไร พบว่าด้วยสภาพที่ตั้งเป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นป่าดงดิบทึบมีต้นไม้ขนาดใหญ่ ปกคลุมไปทั่วบริเวณชุมชน ประกอบกับพื้นที่บ้านดงหลวง มีแม่น้ำสองสาย คือ สายแม่น้ำปิง และสายแม่น้ำลี้ โดยสายแม่น้ำลี้ไหลมาบรรจบสายแม่น้ำปิงบริเวณท้ายหมู่บ้าน จึงถูกเรียกว่า บ้านดงสบลี้ และอีกส่วนหนึ่งของงานศึกษาจะเป็นการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับ การก่อตั้งหมู่บ้าน การดำรงชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นต่าง เป็นต้น</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=102https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/134-cover.jpg
102จุลสารโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน (ประวัติบ้านดงหลวง)<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษาเกี่ยวกับประวัติหมู่บ้านดงหลวง หรือหมู่บ้านดงสบลี้ ว่าในอดีตมีความเป็นมาอย่างไร พบว่าด้วยสภาพที่ตั้งเป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นป่าดงดิบทึบมีต้นไม้ขนาดใหญ่ ปกคลุมไปทั่วบริเวณชุมชน ประกอบกับพื้นที่บ้านดงหลวง มีแม่น้ำสองสาย คือ สายแม่น้ำปิง และสายแม่น้ำลี้ โดยสายแม่น้ำลี้ไหลมาบรรจบสายแม่น้ำปิงบริเวณท้ายหมู่บ้าน จึงถูกเรียกว่า บ้านดงสบลี้ และอีกส่วนหนึ่งของงานศึกษาจะเป็นการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับ การก่อตั้งหมู่บ้าน การดำรงชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นต่าง เป็นต้น</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=102https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/134-cover.jpg
102สูจิบัตรโครงการเรียนรู้ประเพณีบ้านดงหลวง ตำบลวังผาง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน (ประวัติบ้านดงหลวง)<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษาเกี่ยวกับประวัติหมู่บ้านดงหลวง หรือหมู่บ้านดงสบลี้ ว่าในอดีตมีความเป็นมาอย่างไร พบว่าด้วยสภาพที่ตั้งเป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นป่าดงดิบทึบมีต้นไม้ขนาดใหญ่ ปกคลุมไปทั่วบริเวณชุมชน ประกอบกับพื้นที่บ้านดงหลวง มีแม่น้ำสองสาย คือ สายแม่น้ำปิง และสายแม่น้ำลี้ โดยสายแม่น้ำลี้ไหลมาบรรจบสายแม่น้ำปิงบริเวณท้ายหมู่บ้าน จึงถูกเรียกว่า บ้านดงสบลี้ และอีกส่วนหนึ่งของงานศึกษาจะเป็นการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับ การก่อตั้งหมู่บ้าน การดำรงชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นต่าง เป็นต้น</p>
<p>
</p>บ้านดงหลวง, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ลำพูน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=102https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/134-cover.jpg
103อื่นๆโครงการประวัติศาสตร์เรื่องราวชาวน้ำเกี๋ยน สู่...พิพิธภัณฑ์ชุมชนแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน<p>
รายงานเล่มนี้ได้รวบรวมข้อมูลและอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของชุมชนน้ำเกี๋ยน ผ่านพัฒนาการของชุมชนนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผ่านภาพเก่าที่ถูกบันทึกไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของการอธิบายชุมชน โดยใช้ภาพถ่ายอธิบายถึงวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญา พิธีกรรม ความเชื่อของชุมชน ตลอดจนความสัมพันธ์ของคนในและกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทต่อชุมชน ผ่านพิพิธภัณฑ์ชุมชนน้ำเกี๋ยน เพื่อสร้างความรัก ความภาคภูมิใจและสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน </p>
<p>
</p>น้ำเกี๋ยน, น่าน, ความเป็นอยู่และประเพณี, ประวัติศาสตร์, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,ชาวน้ำเกี๋ยน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=103https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/135-cover.jpg
103วารสารโครงการประวัติศาสตร์เรื่องราวชาวน้ำเกี๋ยน สู่...พิพิธภัณฑ์ชุมชนแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน<p>
รายงานเล่มนี้ได้รวบรวมข้อมูลและอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของชุมชนน้ำเกี๋ยน ผ่านพัฒนาการของชุมชนนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผ่านภาพเก่าที่ถูกบันทึกไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของการอธิบายชุมชน โดยใช้ภาพถ่ายอธิบายถึงวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญา พิธีกรรม ความเชื่อของชุมชน ตลอดจนความสัมพันธ์ของคนในและกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทต่อชุมชน ผ่านพิพิธภัณฑ์ชุมชนน้ำเกี๋ยน เพื่อสร้างความรัก ความภาคภูมิใจและสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน </p>
<p>
</p>น้ำเกี๋ยน, น่าน, ความเป็นอยู่และประเพณี, ประวัติศาสตร์, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,ชาวน้ำเกี๋ยน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=103https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/135-cover.jpg
103บทความโครงการประวัติศาสตร์เรื่องราวชาวน้ำเกี๋ยน สู่...พิพิธภัณฑ์ชุมชนแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน<p>
รายงานเล่มนี้ได้รวบรวมข้อมูลและอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของชุมชนน้ำเกี๋ยน ผ่านพัฒนาการของชุมชนนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผ่านภาพเก่าที่ถูกบันทึกไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของการอธิบายชุมชน โดยใช้ภาพถ่ายอธิบายถึงวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญา พิธีกรรม ความเชื่อของชุมชน ตลอดจนความสัมพันธ์ของคนในและกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทต่อชุมชน ผ่านพิพิธภัณฑ์ชุมชนน้ำเกี๋ยน เพื่อสร้างความรัก ความภาคภูมิใจและสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน </p>
<p>
</p>น้ำเกี๋ยน, น่าน, ความเป็นอยู่และประเพณี, ประวัติศาสตร์, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,ชาวน้ำเกี๋ยน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=103https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/135-cover.jpg
103วิทยานิพนธ์โครงการประวัติศาสตร์เรื่องราวชาวน้ำเกี๋ยน สู่...พิพิธภัณฑ์ชุมชนแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน<p>
รายงานเล่มนี้ได้รวบรวมข้อมูลและอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของชุมชนน้ำเกี๋ยน ผ่านพัฒนาการของชุมชนนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผ่านภาพเก่าที่ถูกบันทึกไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของการอธิบายชุมชน โดยใช้ภาพถ่ายอธิบายถึงวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญา พิธีกรรม ความเชื่อของชุมชน ตลอดจนความสัมพันธ์ของคนในและกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทต่อชุมชน ผ่านพิพิธภัณฑ์ชุมชนน้ำเกี๋ยน เพื่อสร้างความรัก ความภาคภูมิใจและสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน </p>
<p>
</p>น้ำเกี๋ยน, น่าน, ความเป็นอยู่และประเพณี, ประวัติศาสตร์, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,ชาวน้ำเกี๋ยน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=103https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/135-cover.jpg
103รายงานงานวิจัยโครงการประวัติศาสตร์เรื่องราวชาวน้ำเกี๋ยน สู่...พิพิธภัณฑ์ชุมชนแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน<p>
รายงานเล่มนี้ได้รวบรวมข้อมูลและอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของชุมชนน้ำเกี๋ยน ผ่านพัฒนาการของชุมชนนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผ่านภาพเก่าที่ถูกบันทึกไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของการอธิบายชุมชน โดยใช้ภาพถ่ายอธิบายถึงวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญา พิธีกรรม ความเชื่อของชุมชน ตลอดจนความสัมพันธ์ของคนในและกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทต่อชุมชน ผ่านพิพิธภัณฑ์ชุมชนน้ำเกี๋ยน เพื่อสร้างความรัก ความภาคภูมิใจและสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน </p>
<p>
</p>น้ำเกี๋ยน, น่าน, ความเป็นอยู่และประเพณี, ประวัติศาสตร์, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,ชาวน้ำเกี๋ยน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=103https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/135-cover.jpg
103รายงานโครงการประวัติศาสตร์เรื่องราวชาวน้ำเกี๋ยน สู่...พิพิธภัณฑ์ชุมชนแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน<p>
รายงานเล่มนี้ได้รวบรวมข้อมูลและอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของชุมชนน้ำเกี๋ยน ผ่านพัฒนาการของชุมชนนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผ่านภาพเก่าที่ถูกบันทึกไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของการอธิบายชุมชน โดยใช้ภาพถ่ายอธิบายถึงวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญา พิธีกรรม ความเชื่อของชุมชน ตลอดจนความสัมพันธ์ของคนในและกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทต่อชุมชน ผ่านพิพิธภัณฑ์ชุมชนน้ำเกี๋ยน เพื่อสร้างความรัก ความภาคภูมิใจและสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน </p>
<p>
</p>น้ำเกี๋ยน, น่าน, ความเป็นอยู่และประเพณี, ประวัติศาสตร์, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,ชาวน้ำเกี๋ยน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=103https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/135-cover.jpg
103หนังสือโครงการประวัติศาสตร์เรื่องราวชาวน้ำเกี๋ยน สู่...พิพิธภัณฑ์ชุมชนแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน<p>
รายงานเล่มนี้ได้รวบรวมข้อมูลและอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของชุมชนน้ำเกี๋ยน ผ่านพัฒนาการของชุมชนนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผ่านภาพเก่าที่ถูกบันทึกไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของการอธิบายชุมชน โดยใช้ภาพถ่ายอธิบายถึงวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญา พิธีกรรม ความเชื่อของชุมชน ตลอดจนความสัมพันธ์ของคนในและกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทต่อชุมชน ผ่านพิพิธภัณฑ์ชุมชนน้ำเกี๋ยน เพื่อสร้างความรัก ความภาคภูมิใจและสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน </p>
<p>
</p>น้ำเกี๋ยน, น่าน, ความเป็นอยู่และประเพณี, ประวัติศาสตร์, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,ชาวน้ำเกี๋ยน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=103https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/135-cover.jpg
103จุลสารโครงการประวัติศาสตร์เรื่องราวชาวน้ำเกี๋ยน สู่...พิพิธภัณฑ์ชุมชนแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน<p>
รายงานเล่มนี้ได้รวบรวมข้อมูลและอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของชุมชนน้ำเกี๋ยน ผ่านพัฒนาการของชุมชนนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผ่านภาพเก่าที่ถูกบันทึกไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของการอธิบายชุมชน โดยใช้ภาพถ่ายอธิบายถึงวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญา พิธีกรรม ความเชื่อของชุมชน ตลอดจนความสัมพันธ์ของคนในและกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทต่อชุมชน ผ่านพิพิธภัณฑ์ชุมชนน้ำเกี๋ยน เพื่อสร้างความรัก ความภาคภูมิใจและสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน </p>
<p>
</p>น้ำเกี๋ยน, น่าน, ความเป็นอยู่และประเพณี, ประวัติศาสตร์, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,ชาวน้ำเกี๋ยน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=103https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/135-cover.jpg
103สูจิบัตรโครงการประวัติศาสตร์เรื่องราวชาวน้ำเกี๋ยน สู่...พิพิธภัณฑ์ชุมชนแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน<p>
รายงานเล่มนี้ได้รวบรวมข้อมูลและอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของชุมชนน้ำเกี๋ยน ผ่านพัฒนาการของชุมชนนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผ่านภาพเก่าที่ถูกบันทึกไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของการอธิบายชุมชน โดยใช้ภาพถ่ายอธิบายถึงวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญา พิธีกรรม ความเชื่อของชุมชน ตลอดจนความสัมพันธ์ของคนในและกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทต่อชุมชน ผ่านพิพิธภัณฑ์ชุมชนน้ำเกี๋ยน เพื่อสร้างความรัก ความภาคภูมิใจและสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน </p>
<p>
</p>น้ำเกี๋ยน, น่าน, ความเป็นอยู่และประเพณี, ประวัติศาสตร์, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,ชาวน้ำเกี๋ยน27 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=103https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/135-cover.jpg
110อื่นๆศึกษาเรียนรู้วิถีตัวตุ่น เพื่อชี้ทางเลือกในการอยู่รอดแบบยั่งยืน ชุมชนลุ่มน้ำวาง<p>
ผลกระทบจาก “โลกาภิวัตน์” ได้ผลักดันให้ชุมชนและคนในชุมชนลุ่มน้ำวาง ออกจากระบบวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตที่ดีงามรูปแบบเดิม ส่งผลให้คนในชุมชนขาดความรักความภาคภูมิใจที่มีต่อท้องถิ่น และอัตลักษณ์ของคนปกาเกอะญอ ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร (องค์การมหาชน) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ จึงได้ร่วมมือกับ “เครือข่ายลุ่มน้ำวาง” ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ก่อตั้งโดยคนในพื้นที่ในชุมชน เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิถีชีวิตจากโครงสร้างแบบ “ตัวตุ่น” ผ่านวิถีชีวิต คำบอกเล่า ประสบการณ์ของคนในชุมชน เพื่อนำมาถอดเป็นบทเรียนหรือคลังความรู้สำหรับการศึกษาต่อไปในอนาคต</p>
<p>
</p>ชุมชนลุ่มน้ำวาง, วัฒนธรรมชุมชน, สังคมวัฒนธรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=110https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/163-cover.jpg
110วารสารศึกษาเรียนรู้วิถีตัวตุ่น เพื่อชี้ทางเลือกในการอยู่รอดแบบยั่งยืน ชุมชนลุ่มน้ำวาง<p>
ผลกระทบจาก “โลกาภิวัตน์” ได้ผลักดันให้ชุมชนและคนในชุมชนลุ่มน้ำวาง ออกจากระบบวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตที่ดีงามรูปแบบเดิม ส่งผลให้คนในชุมชนขาดความรักความภาคภูมิใจที่มีต่อท้องถิ่น และอัตลักษณ์ของคนปกาเกอะญอ ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร (องค์การมหาชน) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ จึงได้ร่วมมือกับ “เครือข่ายลุ่มน้ำวาง” ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ก่อตั้งโดยคนในพื้นที่ในชุมชน เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิถีชีวิตจากโครงสร้างแบบ “ตัวตุ่น” ผ่านวิถีชีวิต คำบอกเล่า ประสบการณ์ของคนในชุมชน เพื่อนำมาถอดเป็นบทเรียนหรือคลังความรู้สำหรับการศึกษาต่อไปในอนาคต</p>
<p>
</p>ชุมชนลุ่มน้ำวาง, วัฒนธรรมชุมชน, สังคมวัฒนธรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=110https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/163-cover.jpg
110บทความศึกษาเรียนรู้วิถีตัวตุ่น เพื่อชี้ทางเลือกในการอยู่รอดแบบยั่งยืน ชุมชนลุ่มน้ำวาง<p>
ผลกระทบจาก “โลกาภิวัตน์” ได้ผลักดันให้ชุมชนและคนในชุมชนลุ่มน้ำวาง ออกจากระบบวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตที่ดีงามรูปแบบเดิม ส่งผลให้คนในชุมชนขาดความรักความภาคภูมิใจที่มีต่อท้องถิ่น และอัตลักษณ์ของคนปกาเกอะญอ ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร (องค์การมหาชน) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ จึงได้ร่วมมือกับ “เครือข่ายลุ่มน้ำวาง” ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ก่อตั้งโดยคนในพื้นที่ในชุมชน เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิถีชีวิตจากโครงสร้างแบบ “ตัวตุ่น” ผ่านวิถีชีวิต คำบอกเล่า ประสบการณ์ของคนในชุมชน เพื่อนำมาถอดเป็นบทเรียนหรือคลังความรู้สำหรับการศึกษาต่อไปในอนาคต</p>
<p>
</p>ชุมชนลุ่มน้ำวาง, วัฒนธรรมชุมชน, สังคมวัฒนธรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=110https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/163-cover.jpg
110วิทยานิพนธ์ศึกษาเรียนรู้วิถีตัวตุ่น เพื่อชี้ทางเลือกในการอยู่รอดแบบยั่งยืน ชุมชนลุ่มน้ำวาง<p>
ผลกระทบจาก “โลกาภิวัตน์” ได้ผลักดันให้ชุมชนและคนในชุมชนลุ่มน้ำวาง ออกจากระบบวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตที่ดีงามรูปแบบเดิม ส่งผลให้คนในชุมชนขาดความรักความภาคภูมิใจที่มีต่อท้องถิ่น และอัตลักษณ์ของคนปกาเกอะญอ ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร (องค์การมหาชน) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ จึงได้ร่วมมือกับ “เครือข่ายลุ่มน้ำวาง” ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ก่อตั้งโดยคนในพื้นที่ในชุมชน เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิถีชีวิตจากโครงสร้างแบบ “ตัวตุ่น” ผ่านวิถีชีวิต คำบอกเล่า ประสบการณ์ของคนในชุมชน เพื่อนำมาถอดเป็นบทเรียนหรือคลังความรู้สำหรับการศึกษาต่อไปในอนาคต</p>
<p>
</p>ชุมชนลุ่มน้ำวาง, วัฒนธรรมชุมชน, สังคมวัฒนธรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=110https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/163-cover.jpg
110รายงานงานวิจัยศึกษาเรียนรู้วิถีตัวตุ่น เพื่อชี้ทางเลือกในการอยู่รอดแบบยั่งยืน ชุมชนลุ่มน้ำวาง<p>
ผลกระทบจาก “โลกาภิวัตน์” ได้ผลักดันให้ชุมชนและคนในชุมชนลุ่มน้ำวาง ออกจากระบบวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตที่ดีงามรูปแบบเดิม ส่งผลให้คนในชุมชนขาดความรักความภาคภูมิใจที่มีต่อท้องถิ่น และอัตลักษณ์ของคนปกาเกอะญอ ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร (องค์การมหาชน) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ จึงได้ร่วมมือกับ “เครือข่ายลุ่มน้ำวาง” ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ก่อตั้งโดยคนในพื้นที่ในชุมชน เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิถีชีวิตจากโครงสร้างแบบ “ตัวตุ่น” ผ่านวิถีชีวิต คำบอกเล่า ประสบการณ์ของคนในชุมชน เพื่อนำมาถอดเป็นบทเรียนหรือคลังความรู้สำหรับการศึกษาต่อไปในอนาคต</p>
<p>
</p>ชุมชนลุ่มน้ำวาง, วัฒนธรรมชุมชน, สังคมวัฒนธรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=110https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/163-cover.jpg
110รายงานศึกษาเรียนรู้วิถีตัวตุ่น เพื่อชี้ทางเลือกในการอยู่รอดแบบยั่งยืน ชุมชนลุ่มน้ำวาง<p>
ผลกระทบจาก “โลกาภิวัตน์” ได้ผลักดันให้ชุมชนและคนในชุมชนลุ่มน้ำวาง ออกจากระบบวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตที่ดีงามรูปแบบเดิม ส่งผลให้คนในชุมชนขาดความรักความภาคภูมิใจที่มีต่อท้องถิ่น และอัตลักษณ์ของคนปกาเกอะญอ ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร (องค์การมหาชน) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ จึงได้ร่วมมือกับ “เครือข่ายลุ่มน้ำวาง” ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ก่อตั้งโดยคนในพื้นที่ในชุมชน เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิถีชีวิตจากโครงสร้างแบบ “ตัวตุ่น” ผ่านวิถีชีวิต คำบอกเล่า ประสบการณ์ของคนในชุมชน เพื่อนำมาถอดเป็นบทเรียนหรือคลังความรู้สำหรับการศึกษาต่อไปในอนาคต</p>
<p>
</p>ชุมชนลุ่มน้ำวาง, วัฒนธรรมชุมชน, สังคมวัฒนธรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=110https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/163-cover.jpg
110หนังสือศึกษาเรียนรู้วิถีตัวตุ่น เพื่อชี้ทางเลือกในการอยู่รอดแบบยั่งยืน ชุมชนลุ่มน้ำวาง<p>
ผลกระทบจาก “โลกาภิวัตน์” ได้ผลักดันให้ชุมชนและคนในชุมชนลุ่มน้ำวาง ออกจากระบบวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตที่ดีงามรูปแบบเดิม ส่งผลให้คนในชุมชนขาดความรักความภาคภูมิใจที่มีต่อท้องถิ่น และอัตลักษณ์ของคนปกาเกอะญอ ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร (องค์การมหาชน) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ จึงได้ร่วมมือกับ “เครือข่ายลุ่มน้ำวาง” ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ก่อตั้งโดยคนในพื้นที่ในชุมชน เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิถีชีวิตจากโครงสร้างแบบ “ตัวตุ่น” ผ่านวิถีชีวิต คำบอกเล่า ประสบการณ์ของคนในชุมชน เพื่อนำมาถอดเป็นบทเรียนหรือคลังความรู้สำหรับการศึกษาต่อไปในอนาคต</p>
<p>
</p>ชุมชนลุ่มน้ำวาง, วัฒนธรรมชุมชน, สังคมวัฒนธรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=110https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/163-cover.jpg
110จุลสารศึกษาเรียนรู้วิถีตัวตุ่น เพื่อชี้ทางเลือกในการอยู่รอดแบบยั่งยืน ชุมชนลุ่มน้ำวาง<p>
ผลกระทบจาก “โลกาภิวัตน์” ได้ผลักดันให้ชุมชนและคนในชุมชนลุ่มน้ำวาง ออกจากระบบวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตที่ดีงามรูปแบบเดิม ส่งผลให้คนในชุมชนขาดความรักความภาคภูมิใจที่มีต่อท้องถิ่น และอัตลักษณ์ของคนปกาเกอะญอ ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร (องค์การมหาชน) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ จึงได้ร่วมมือกับ “เครือข่ายลุ่มน้ำวาง” ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ก่อตั้งโดยคนในพื้นที่ในชุมชน เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิถีชีวิตจากโครงสร้างแบบ “ตัวตุ่น” ผ่านวิถีชีวิต คำบอกเล่า ประสบการณ์ของคนในชุมชน เพื่อนำมาถอดเป็นบทเรียนหรือคลังความรู้สำหรับการศึกษาต่อไปในอนาคต</p>
<p>
</p>ชุมชนลุ่มน้ำวาง, วัฒนธรรมชุมชน, สังคมวัฒนธรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=110https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/163-cover.jpg
110สูจิบัตรศึกษาเรียนรู้วิถีตัวตุ่น เพื่อชี้ทางเลือกในการอยู่รอดแบบยั่งยืน ชุมชนลุ่มน้ำวาง<p>
ผลกระทบจาก “โลกาภิวัตน์” ได้ผลักดันให้ชุมชนและคนในชุมชนลุ่มน้ำวาง ออกจากระบบวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตที่ดีงามรูปแบบเดิม ส่งผลให้คนในชุมชนขาดความรักความภาคภูมิใจที่มีต่อท้องถิ่น และอัตลักษณ์ของคนปกาเกอะญอ ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร (องค์การมหาชน) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ จึงได้ร่วมมือกับ “เครือข่ายลุ่มน้ำวาง” ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ก่อตั้งโดยคนในพื้นที่ในชุมชน เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิถีชีวิตจากโครงสร้างแบบ “ตัวตุ่น” ผ่านวิถีชีวิต คำบอกเล่า ประสบการณ์ของคนในชุมชน เพื่อนำมาถอดเป็นบทเรียนหรือคลังความรู้สำหรับการศึกษาต่อไปในอนาคต</p>
<p>
</p>ชุมชนลุ่มน้ำวาง, วัฒนธรรมชุมชน, สังคมวัฒนธรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=110https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/163-cover.jpg
111อื่นๆโต๊ะหวันเต๊ะห์ : ปูชนียบุคคล ตำนานแห่งความรุ่งเรืองของชุมชนบ้านหัวทะเล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาถึงประวัติความเป็นมาของโต๊ะหวันเต๊ะห์และชุมชนบ้านหัวทะเล ตำบลนาเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจากการศึกษาพบว่า โต๊ะหวันเต๊ะห์ เป็นบุคคลที่เดินทางมาจากเมืองไทรบุรี เป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับอัลกุรอ่าน จึงได้ถ่ายทอดวิชาการศาสนาด้วยการสอนให้กับคนในชุมชนและบริเวณใกล้เคียงกว่า 50 ปี ภายหลังจากการเสียชีวิต ร่างของท่านถูกฝังไว้ที่สุสานมัสยิดการาหมาดบ้านหัวทะเล หรือบางคนเรียกกันว่า สุสานโต๊ะหวันเต๊ะห์ และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของคนในชุมชนบ้านหัวทะเลด้านการศึกษาศาสนาเป็นอย่างมาก ทำให้ชุมชนมีกรอบระเบียบมากขึ้น เพื่อทำให้สามารถดำรงวิถีชีวิตอิสลามแบบดั่งเดิม ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้จัดขึ้นโดยคนภายในชุมชน</p>
<p>
</p>โต๊ะหวันเต๊ะห์, ศาสนาอิสลาม, บ้านหัวทะเล, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, นครศรีธรรมราช28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=111https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/164-cover.jpg
111วารสารโต๊ะหวันเต๊ะห์ : ปูชนียบุคคล ตำนานแห่งความรุ่งเรืองของชุมชนบ้านหัวทะเล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาถึงประวัติความเป็นมาของโต๊ะหวันเต๊ะห์และชุมชนบ้านหัวทะเล ตำบลนาเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจากการศึกษาพบว่า โต๊ะหวันเต๊ะห์ เป็นบุคคลที่เดินทางมาจากเมืองไทรบุรี เป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับอัลกุรอ่าน จึงได้ถ่ายทอดวิชาการศาสนาด้วยการสอนให้กับคนในชุมชนและบริเวณใกล้เคียงกว่า 50 ปี ภายหลังจากการเสียชีวิต ร่างของท่านถูกฝังไว้ที่สุสานมัสยิดการาหมาดบ้านหัวทะเล หรือบางคนเรียกกันว่า สุสานโต๊ะหวันเต๊ะห์ และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของคนในชุมชนบ้านหัวทะเลด้านการศึกษาศาสนาเป็นอย่างมาก ทำให้ชุมชนมีกรอบระเบียบมากขึ้น เพื่อทำให้สามารถดำรงวิถีชีวิตอิสลามแบบดั่งเดิม ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้จัดขึ้นโดยคนภายในชุมชน</p>
<p>
</p>โต๊ะหวันเต๊ะห์, ศาสนาอิสลาม, บ้านหัวทะเล, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, นครศรีธรรมราช28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=111https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/164-cover.jpg
111บทความโต๊ะหวันเต๊ะห์ : ปูชนียบุคคล ตำนานแห่งความรุ่งเรืองของชุมชนบ้านหัวทะเล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาถึงประวัติความเป็นมาของโต๊ะหวันเต๊ะห์และชุมชนบ้านหัวทะเล ตำบลนาเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจากการศึกษาพบว่า โต๊ะหวันเต๊ะห์ เป็นบุคคลที่เดินทางมาจากเมืองไทรบุรี เป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับอัลกุรอ่าน จึงได้ถ่ายทอดวิชาการศาสนาด้วยการสอนให้กับคนในชุมชนและบริเวณใกล้เคียงกว่า 50 ปี ภายหลังจากการเสียชีวิต ร่างของท่านถูกฝังไว้ที่สุสานมัสยิดการาหมาดบ้านหัวทะเล หรือบางคนเรียกกันว่า สุสานโต๊ะหวันเต๊ะห์ และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของคนในชุมชนบ้านหัวทะเลด้านการศึกษาศาสนาเป็นอย่างมาก ทำให้ชุมชนมีกรอบระเบียบมากขึ้น เพื่อทำให้สามารถดำรงวิถีชีวิตอิสลามแบบดั่งเดิม ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้จัดขึ้นโดยคนภายในชุมชน</p>
<p>
</p>โต๊ะหวันเต๊ะห์, ศาสนาอิสลาม, บ้านหัวทะเล, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, นครศรีธรรมราช28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=111https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/164-cover.jpg
111วิทยานิพนธ์โต๊ะหวันเต๊ะห์ : ปูชนียบุคคล ตำนานแห่งความรุ่งเรืองของชุมชนบ้านหัวทะเล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาถึงประวัติความเป็นมาของโต๊ะหวันเต๊ะห์และชุมชนบ้านหัวทะเล ตำบลนาเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจากการศึกษาพบว่า โต๊ะหวันเต๊ะห์ เป็นบุคคลที่เดินทางมาจากเมืองไทรบุรี เป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับอัลกุรอ่าน จึงได้ถ่ายทอดวิชาการศาสนาด้วยการสอนให้กับคนในชุมชนและบริเวณใกล้เคียงกว่า 50 ปี ภายหลังจากการเสียชีวิต ร่างของท่านถูกฝังไว้ที่สุสานมัสยิดการาหมาดบ้านหัวทะเล หรือบางคนเรียกกันว่า สุสานโต๊ะหวันเต๊ะห์ และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของคนในชุมชนบ้านหัวทะเลด้านการศึกษาศาสนาเป็นอย่างมาก ทำให้ชุมชนมีกรอบระเบียบมากขึ้น เพื่อทำให้สามารถดำรงวิถีชีวิตอิสลามแบบดั่งเดิม ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้จัดขึ้นโดยคนภายในชุมชน</p>
<p>
</p>โต๊ะหวันเต๊ะห์, ศาสนาอิสลาม, บ้านหัวทะเล, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, นครศรีธรรมราช28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=111https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/164-cover.jpg
111รายงานงานวิจัยโต๊ะหวันเต๊ะห์ : ปูชนียบุคคล ตำนานแห่งความรุ่งเรืองของชุมชนบ้านหัวทะเล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาถึงประวัติความเป็นมาของโต๊ะหวันเต๊ะห์และชุมชนบ้านหัวทะเล ตำบลนาเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจากการศึกษาพบว่า โต๊ะหวันเต๊ะห์ เป็นบุคคลที่เดินทางมาจากเมืองไทรบุรี เป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับอัลกุรอ่าน จึงได้ถ่ายทอดวิชาการศาสนาด้วยการสอนให้กับคนในชุมชนและบริเวณใกล้เคียงกว่า 50 ปี ภายหลังจากการเสียชีวิต ร่างของท่านถูกฝังไว้ที่สุสานมัสยิดการาหมาดบ้านหัวทะเล หรือบางคนเรียกกันว่า สุสานโต๊ะหวันเต๊ะห์ และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของคนในชุมชนบ้านหัวทะเลด้านการศึกษาศาสนาเป็นอย่างมาก ทำให้ชุมชนมีกรอบระเบียบมากขึ้น เพื่อทำให้สามารถดำรงวิถีชีวิตอิสลามแบบดั่งเดิม ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้จัดขึ้นโดยคนภายในชุมชน</p>
<p>
</p>โต๊ะหวันเต๊ะห์, ศาสนาอิสลาม, บ้านหัวทะเล, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, นครศรีธรรมราช28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=111https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/164-cover.jpg
111รายงานโต๊ะหวันเต๊ะห์ : ปูชนียบุคคล ตำนานแห่งความรุ่งเรืองของชุมชนบ้านหัวทะเล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาถึงประวัติความเป็นมาของโต๊ะหวันเต๊ะห์และชุมชนบ้านหัวทะเล ตำบลนาเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจากการศึกษาพบว่า โต๊ะหวันเต๊ะห์ เป็นบุคคลที่เดินทางมาจากเมืองไทรบุรี เป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับอัลกุรอ่าน จึงได้ถ่ายทอดวิชาการศาสนาด้วยการสอนให้กับคนในชุมชนและบริเวณใกล้เคียงกว่า 50 ปี ภายหลังจากการเสียชีวิต ร่างของท่านถูกฝังไว้ที่สุสานมัสยิดการาหมาดบ้านหัวทะเล หรือบางคนเรียกกันว่า สุสานโต๊ะหวันเต๊ะห์ และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของคนในชุมชนบ้านหัวทะเลด้านการศึกษาศาสนาเป็นอย่างมาก ทำให้ชุมชนมีกรอบระเบียบมากขึ้น เพื่อทำให้สามารถดำรงวิถีชีวิตอิสลามแบบดั่งเดิม ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้จัดขึ้นโดยคนภายในชุมชน</p>
<p>
</p>โต๊ะหวันเต๊ะห์, ศาสนาอิสลาม, บ้านหัวทะเล, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, นครศรีธรรมราช28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=111https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/164-cover.jpg
111หนังสือโต๊ะหวันเต๊ะห์ : ปูชนียบุคคล ตำนานแห่งความรุ่งเรืองของชุมชนบ้านหัวทะเล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาถึงประวัติความเป็นมาของโต๊ะหวันเต๊ะห์และชุมชนบ้านหัวทะเล ตำบลนาเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจากการศึกษาพบว่า โต๊ะหวันเต๊ะห์ เป็นบุคคลที่เดินทางมาจากเมืองไทรบุรี เป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับอัลกุรอ่าน จึงได้ถ่ายทอดวิชาการศาสนาด้วยการสอนให้กับคนในชุมชนและบริเวณใกล้เคียงกว่า 50 ปี ภายหลังจากการเสียชีวิต ร่างของท่านถูกฝังไว้ที่สุสานมัสยิดการาหมาดบ้านหัวทะเล หรือบางคนเรียกกันว่า สุสานโต๊ะหวันเต๊ะห์ และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของคนในชุมชนบ้านหัวทะเลด้านการศึกษาศาสนาเป็นอย่างมาก ทำให้ชุมชนมีกรอบระเบียบมากขึ้น เพื่อทำให้สามารถดำรงวิถีชีวิตอิสลามแบบดั่งเดิม ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้จัดขึ้นโดยคนภายในชุมชน</p>
<p>
</p>โต๊ะหวันเต๊ะห์, ศาสนาอิสลาม, บ้านหัวทะเล, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, นครศรีธรรมราช28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=111https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/164-cover.jpg
111จุลสารโต๊ะหวันเต๊ะห์ : ปูชนียบุคคล ตำนานแห่งความรุ่งเรืองของชุมชนบ้านหัวทะเล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาถึงประวัติความเป็นมาของโต๊ะหวันเต๊ะห์และชุมชนบ้านหัวทะเล ตำบลนาเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจากการศึกษาพบว่า โต๊ะหวันเต๊ะห์ เป็นบุคคลที่เดินทางมาจากเมืองไทรบุรี เป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับอัลกุรอ่าน จึงได้ถ่ายทอดวิชาการศาสนาด้วยการสอนให้กับคนในชุมชนและบริเวณใกล้เคียงกว่า 50 ปี ภายหลังจากการเสียชีวิต ร่างของท่านถูกฝังไว้ที่สุสานมัสยิดการาหมาดบ้านหัวทะเล หรือบางคนเรียกกันว่า สุสานโต๊ะหวันเต๊ะห์ และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของคนในชุมชนบ้านหัวทะเลด้านการศึกษาศาสนาเป็นอย่างมาก ทำให้ชุมชนมีกรอบระเบียบมากขึ้น เพื่อทำให้สามารถดำรงวิถีชีวิตอิสลามแบบดั่งเดิม ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้จัดขึ้นโดยคนภายในชุมชน</p>
<p>
</p>โต๊ะหวันเต๊ะห์, ศาสนาอิสลาม, บ้านหัวทะเล, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, นครศรีธรรมราช28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=111https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/164-cover.jpg
111สูจิบัตรโต๊ะหวันเต๊ะห์ : ปูชนียบุคคล ตำนานแห่งความรุ่งเรืองของชุมชนบ้านหัวทะเล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาถึงประวัติความเป็นมาของโต๊ะหวันเต๊ะห์และชุมชนบ้านหัวทะเล ตำบลนาเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจากการศึกษาพบว่า โต๊ะหวันเต๊ะห์ เป็นบุคคลที่เดินทางมาจากเมืองไทรบุรี เป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับอัลกุรอ่าน จึงได้ถ่ายทอดวิชาการศาสนาด้วยการสอนให้กับคนในชุมชนและบริเวณใกล้เคียงกว่า 50 ปี ภายหลังจากการเสียชีวิต ร่างของท่านถูกฝังไว้ที่สุสานมัสยิดการาหมาดบ้านหัวทะเล หรือบางคนเรียกกันว่า สุสานโต๊ะหวันเต๊ะห์ และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของคนในชุมชนบ้านหัวทะเลด้านการศึกษาศาสนาเป็นอย่างมาก ทำให้ชุมชนมีกรอบระเบียบมากขึ้น เพื่อทำให้สามารถดำรงวิถีชีวิตอิสลามแบบดั่งเดิม ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้จัดขึ้นโดยคนภายในชุมชน</p>
<p>
</p>โต๊ะหวันเต๊ะห์, ศาสนาอิสลาม, บ้านหัวทะเล, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, นครศรีธรรมราช28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=111https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/164-cover.jpg
112อื่นๆโครงการฟื้นฟูภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาเพื่อรื้อฟื้นภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์ที่สูญหายไปและจัดกระบวนการเรียนรู้โดยนักเพลงพื้นบ้าน โดยประกอบด้วยคณะนักเพลงพื้นบ้านหมู่บ้านปอยตะแบง ตำบลนาบัว อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ และนักเพลงพื้นบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียง รวมกลุ่มกันตั้งเป็นวงตุ้มโมงจำนวน 1 ซึ่งเป็นผลผลิตที่จากการจัดทำโครงการวิจัย อีกทั้งผลจากโครงการดังกล่าวยังก่อให้เกิดพื้นที่การเรียนรู้ ความหมาย และคุณค่า สามารถนำไปเล่นประกอบเป็นอาชีพ เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูภูมิปัญญาสืบทอดต่อไป</p>
<p>
</p>เพลงพื้นเมือง, พิธีศพ, เพลงตุ้มโมง, เขมร, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านปอยตะแบง, สุรินทร์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=112https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/165-cover.jpg
112วารสารโครงการฟื้นฟูภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาเพื่อรื้อฟื้นภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์ที่สูญหายไปและจัดกระบวนการเรียนรู้โดยนักเพลงพื้นบ้าน โดยประกอบด้วยคณะนักเพลงพื้นบ้านหมู่บ้านปอยตะแบง ตำบลนาบัว อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ และนักเพลงพื้นบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียง รวมกลุ่มกันตั้งเป็นวงตุ้มโมงจำนวน 1 ซึ่งเป็นผลผลิตที่จากการจัดทำโครงการวิจัย อีกทั้งผลจากโครงการดังกล่าวยังก่อให้เกิดพื้นที่การเรียนรู้ ความหมาย และคุณค่า สามารถนำไปเล่นประกอบเป็นอาชีพ เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูภูมิปัญญาสืบทอดต่อไป</p>
<p>
</p>เพลงพื้นเมือง, พิธีศพ, เพลงตุ้มโมง, เขมร, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านปอยตะแบง, สุรินทร์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=112https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/165-cover.jpg
112บทความโครงการฟื้นฟูภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาเพื่อรื้อฟื้นภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์ที่สูญหายไปและจัดกระบวนการเรียนรู้โดยนักเพลงพื้นบ้าน โดยประกอบด้วยคณะนักเพลงพื้นบ้านหมู่บ้านปอยตะแบง ตำบลนาบัว อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ และนักเพลงพื้นบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียง รวมกลุ่มกันตั้งเป็นวงตุ้มโมงจำนวน 1 ซึ่งเป็นผลผลิตที่จากการจัดทำโครงการวิจัย อีกทั้งผลจากโครงการดังกล่าวยังก่อให้เกิดพื้นที่การเรียนรู้ ความหมาย และคุณค่า สามารถนำไปเล่นประกอบเป็นอาชีพ เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูภูมิปัญญาสืบทอดต่อไป</p>
<p>
</p>เพลงพื้นเมือง, พิธีศพ, เพลงตุ้มโมง, เขมร, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านปอยตะแบง, สุรินทร์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=112https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/165-cover.jpg
112วิทยานิพนธ์โครงการฟื้นฟูภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาเพื่อรื้อฟื้นภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์ที่สูญหายไปและจัดกระบวนการเรียนรู้โดยนักเพลงพื้นบ้าน โดยประกอบด้วยคณะนักเพลงพื้นบ้านหมู่บ้านปอยตะแบง ตำบลนาบัว อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ และนักเพลงพื้นบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียง รวมกลุ่มกันตั้งเป็นวงตุ้มโมงจำนวน 1 ซึ่งเป็นผลผลิตที่จากการจัดทำโครงการวิจัย อีกทั้งผลจากโครงการดังกล่าวยังก่อให้เกิดพื้นที่การเรียนรู้ ความหมาย และคุณค่า สามารถนำไปเล่นประกอบเป็นอาชีพ เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูภูมิปัญญาสืบทอดต่อไป</p>
<p>
</p>เพลงพื้นเมือง, พิธีศพ, เพลงตุ้มโมง, เขมร, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านปอยตะแบง, สุรินทร์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=112https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/165-cover.jpg
112รายงานงานวิจัยโครงการฟื้นฟูภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาเพื่อรื้อฟื้นภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์ที่สูญหายไปและจัดกระบวนการเรียนรู้โดยนักเพลงพื้นบ้าน โดยประกอบด้วยคณะนักเพลงพื้นบ้านหมู่บ้านปอยตะแบง ตำบลนาบัว อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ และนักเพลงพื้นบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียง รวมกลุ่มกันตั้งเป็นวงตุ้มโมงจำนวน 1 ซึ่งเป็นผลผลิตที่จากการจัดทำโครงการวิจัย อีกทั้งผลจากโครงการดังกล่าวยังก่อให้เกิดพื้นที่การเรียนรู้ ความหมาย และคุณค่า สามารถนำไปเล่นประกอบเป็นอาชีพ เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูภูมิปัญญาสืบทอดต่อไป</p>
<p>
</p>เพลงพื้นเมือง, พิธีศพ, เพลงตุ้มโมง, เขมร, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านปอยตะแบง, สุรินทร์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=112https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/165-cover.jpg
112รายงานโครงการฟื้นฟูภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาเพื่อรื้อฟื้นภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์ที่สูญหายไปและจัดกระบวนการเรียนรู้โดยนักเพลงพื้นบ้าน โดยประกอบด้วยคณะนักเพลงพื้นบ้านหมู่บ้านปอยตะแบง ตำบลนาบัว อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ และนักเพลงพื้นบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียง รวมกลุ่มกันตั้งเป็นวงตุ้มโมงจำนวน 1 ซึ่งเป็นผลผลิตที่จากการจัดทำโครงการวิจัย อีกทั้งผลจากโครงการดังกล่าวยังก่อให้เกิดพื้นที่การเรียนรู้ ความหมาย และคุณค่า สามารถนำไปเล่นประกอบเป็นอาชีพ เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูภูมิปัญญาสืบทอดต่อไป</p>
<p>
</p>เพลงพื้นเมือง, พิธีศพ, เพลงตุ้มโมง, เขมร, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านปอยตะแบง, สุรินทร์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=112https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/165-cover.jpg
112หนังสือโครงการฟื้นฟูภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาเพื่อรื้อฟื้นภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์ที่สูญหายไปและจัดกระบวนการเรียนรู้โดยนักเพลงพื้นบ้าน โดยประกอบด้วยคณะนักเพลงพื้นบ้านหมู่บ้านปอยตะแบง ตำบลนาบัว อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ และนักเพลงพื้นบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียง รวมกลุ่มกันตั้งเป็นวงตุ้มโมงจำนวน 1 ซึ่งเป็นผลผลิตที่จากการจัดทำโครงการวิจัย อีกทั้งผลจากโครงการดังกล่าวยังก่อให้เกิดพื้นที่การเรียนรู้ ความหมาย และคุณค่า สามารถนำไปเล่นประกอบเป็นอาชีพ เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูภูมิปัญญาสืบทอดต่อไป</p>
<p>
</p>เพลงพื้นเมือง, พิธีศพ, เพลงตุ้มโมง, เขมร, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านปอยตะแบง, สุรินทร์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=112https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/165-cover.jpg
112จุลสารโครงการฟื้นฟูภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาเพื่อรื้อฟื้นภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์ที่สูญหายไปและจัดกระบวนการเรียนรู้โดยนักเพลงพื้นบ้าน โดยประกอบด้วยคณะนักเพลงพื้นบ้านหมู่บ้านปอยตะแบง ตำบลนาบัว อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ และนักเพลงพื้นบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียง รวมกลุ่มกันตั้งเป็นวงตุ้มโมงจำนวน 1 ซึ่งเป็นผลผลิตที่จากการจัดทำโครงการวิจัย อีกทั้งผลจากโครงการดังกล่าวยังก่อให้เกิดพื้นที่การเรียนรู้ ความหมาย และคุณค่า สามารถนำไปเล่นประกอบเป็นอาชีพ เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูภูมิปัญญาสืบทอดต่อไป</p>
<p>
</p>เพลงพื้นเมือง, พิธีศพ, เพลงตุ้มโมง, เขมร, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านปอยตะแบง, สุรินทร์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=112https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/165-cover.jpg
112สูจิบัตรโครงการฟื้นฟูภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาเพื่อรื้อฟื้นภูมิปัญญาเพลงตุ้มโมงเมืองสุรินทร์ที่สูญหายไปและจัดกระบวนการเรียนรู้โดยนักเพลงพื้นบ้าน โดยประกอบด้วยคณะนักเพลงพื้นบ้านหมู่บ้านปอยตะแบง ตำบลนาบัว อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ และนักเพลงพื้นบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียง รวมกลุ่มกันตั้งเป็นวงตุ้มโมงจำนวน 1 ซึ่งเป็นผลผลิตที่จากการจัดทำโครงการวิจัย อีกทั้งผลจากโครงการดังกล่าวยังก่อให้เกิดพื้นที่การเรียนรู้ ความหมาย และคุณค่า สามารถนำไปเล่นประกอบเป็นอาชีพ เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูภูมิปัญญาสืบทอดต่อไป</p>
<p>
</p>เพลงพื้นเมือง, พิธีศพ, เพลงตุ้มโมง, เขมร, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านปอยตะแบง, สุรินทร์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=112https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/165-cover.jpg
113อื่นๆจากบรรพชนถึงลูกหลานขี้เหล็กใหญ่ ชัยภูมิ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการนำเสนอเรื่องราว วิถีชีวิตของผู้คนในบ้านขี้เหล็กใหญ่ตั้งแต่เกิดจนตาย ผ่านการรวบรวมความทรงจำจากคำสัมภาษณ์และการบอกเล่าเรื่องราวของคนภายในบ้านขี้เหล็กใหญ่ ซึ่งจากงานศึกษา นั้นทำให้เกิดความร่วมมือของคนในชุมชนบ้านขี้เหล็กใหญ่ ต่อการรวบรวมข้อมูลของท้องถิ่นตนเองไว้อย่างหลากหลาย โดยได้ใช้เครื่องมือทางมานุษยวิทยาในการเก็บข้อมูลซึ่งแบ่งออกเป็น รากเหง้าที่ 1 ถึง รากเหง้าที่ 10 ซึ่งเป็นรากเหง้าที่พูดถึง เรื่อง สภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อย่างครอบคลุม อีกทั้งงานศึกษาชิ้นนี้พยายามมุ่งให้ผู้ที่สนใจนั้นสามารถนำแนวคิดกระบวนการทำงานเพื่อชุมชนของบ้านขี้เหล็กใหญ่ ไปใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาชุมชนของตนเองได้ต่อไป</p>
<p>
</p>พิธีกรรม, ความเป็นอยู่ประเพณี, ลาว, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ศพ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านขี้เหล็กใหญ่, ชัยภูมิ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=113https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/166-cover.jpg
113วารสารจากบรรพชนถึงลูกหลานขี้เหล็กใหญ่ ชัยภูมิ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการนำเสนอเรื่องราว วิถีชีวิตของผู้คนในบ้านขี้เหล็กใหญ่ตั้งแต่เกิดจนตาย ผ่านการรวบรวมความทรงจำจากคำสัมภาษณ์และการบอกเล่าเรื่องราวของคนภายในบ้านขี้เหล็กใหญ่ ซึ่งจากงานศึกษา นั้นทำให้เกิดความร่วมมือของคนในชุมชนบ้านขี้เหล็กใหญ่ ต่อการรวบรวมข้อมูลของท้องถิ่นตนเองไว้อย่างหลากหลาย โดยได้ใช้เครื่องมือทางมานุษยวิทยาในการเก็บข้อมูลซึ่งแบ่งออกเป็น รากเหง้าที่ 1 ถึง รากเหง้าที่ 10 ซึ่งเป็นรากเหง้าที่พูดถึง เรื่อง สภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อย่างครอบคลุม อีกทั้งงานศึกษาชิ้นนี้พยายามมุ่งให้ผู้ที่สนใจนั้นสามารถนำแนวคิดกระบวนการทำงานเพื่อชุมชนของบ้านขี้เหล็กใหญ่ ไปใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาชุมชนของตนเองได้ต่อไป</p>
<p>
</p>พิธีกรรม, ความเป็นอยู่ประเพณี, ลาว, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ศพ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านขี้เหล็กใหญ่, ชัยภูมิ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=113https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/166-cover.jpg
113บทความจากบรรพชนถึงลูกหลานขี้เหล็กใหญ่ ชัยภูมิ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการนำเสนอเรื่องราว วิถีชีวิตของผู้คนในบ้านขี้เหล็กใหญ่ตั้งแต่เกิดจนตาย ผ่านการรวบรวมความทรงจำจากคำสัมภาษณ์และการบอกเล่าเรื่องราวของคนภายในบ้านขี้เหล็กใหญ่ ซึ่งจากงานศึกษา นั้นทำให้เกิดความร่วมมือของคนในชุมชนบ้านขี้เหล็กใหญ่ ต่อการรวบรวมข้อมูลของท้องถิ่นตนเองไว้อย่างหลากหลาย โดยได้ใช้เครื่องมือทางมานุษยวิทยาในการเก็บข้อมูลซึ่งแบ่งออกเป็น รากเหง้าที่ 1 ถึง รากเหง้าที่ 10 ซึ่งเป็นรากเหง้าที่พูดถึง เรื่อง สภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อย่างครอบคลุม อีกทั้งงานศึกษาชิ้นนี้พยายามมุ่งให้ผู้ที่สนใจนั้นสามารถนำแนวคิดกระบวนการทำงานเพื่อชุมชนของบ้านขี้เหล็กใหญ่ ไปใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาชุมชนของตนเองได้ต่อไป</p>
<p>
</p>พิธีกรรม, ความเป็นอยู่ประเพณี, ลาว, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ศพ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านขี้เหล็กใหญ่, ชัยภูมิ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=113https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/166-cover.jpg
113วิทยานิพนธ์จากบรรพชนถึงลูกหลานขี้เหล็กใหญ่ ชัยภูมิ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการนำเสนอเรื่องราว วิถีชีวิตของผู้คนในบ้านขี้เหล็กใหญ่ตั้งแต่เกิดจนตาย ผ่านการรวบรวมความทรงจำจากคำสัมภาษณ์และการบอกเล่าเรื่องราวของคนภายในบ้านขี้เหล็กใหญ่ ซึ่งจากงานศึกษา นั้นทำให้เกิดความร่วมมือของคนในชุมชนบ้านขี้เหล็กใหญ่ ต่อการรวบรวมข้อมูลของท้องถิ่นตนเองไว้อย่างหลากหลาย โดยได้ใช้เครื่องมือทางมานุษยวิทยาในการเก็บข้อมูลซึ่งแบ่งออกเป็น รากเหง้าที่ 1 ถึง รากเหง้าที่ 10 ซึ่งเป็นรากเหง้าที่พูดถึง เรื่อง สภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อย่างครอบคลุม อีกทั้งงานศึกษาชิ้นนี้พยายามมุ่งให้ผู้ที่สนใจนั้นสามารถนำแนวคิดกระบวนการทำงานเพื่อชุมชนของบ้านขี้เหล็กใหญ่ ไปใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาชุมชนของตนเองได้ต่อไป</p>
<p>
</p>พิธีกรรม, ความเป็นอยู่ประเพณี, ลาว, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ศพ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านขี้เหล็กใหญ่, ชัยภูมิ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=113https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/166-cover.jpg
113รายงานงานวิจัยจากบรรพชนถึงลูกหลานขี้เหล็กใหญ่ ชัยภูมิ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการนำเสนอเรื่องราว วิถีชีวิตของผู้คนในบ้านขี้เหล็กใหญ่ตั้งแต่เกิดจนตาย ผ่านการรวบรวมความทรงจำจากคำสัมภาษณ์และการบอกเล่าเรื่องราวของคนภายในบ้านขี้เหล็กใหญ่ ซึ่งจากงานศึกษา นั้นทำให้เกิดความร่วมมือของคนในชุมชนบ้านขี้เหล็กใหญ่ ต่อการรวบรวมข้อมูลของท้องถิ่นตนเองไว้อย่างหลากหลาย โดยได้ใช้เครื่องมือทางมานุษยวิทยาในการเก็บข้อมูลซึ่งแบ่งออกเป็น รากเหง้าที่ 1 ถึง รากเหง้าที่ 10 ซึ่งเป็นรากเหง้าที่พูดถึง เรื่อง สภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อย่างครอบคลุม อีกทั้งงานศึกษาชิ้นนี้พยายามมุ่งให้ผู้ที่สนใจนั้นสามารถนำแนวคิดกระบวนการทำงานเพื่อชุมชนของบ้านขี้เหล็กใหญ่ ไปใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาชุมชนของตนเองได้ต่อไป</p>
<p>
</p>พิธีกรรม, ความเป็นอยู่ประเพณี, ลาว, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ศพ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านขี้เหล็กใหญ่, ชัยภูมิ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=113https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/166-cover.jpg
113รายงานจากบรรพชนถึงลูกหลานขี้เหล็กใหญ่ ชัยภูมิ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการนำเสนอเรื่องราว วิถีชีวิตของผู้คนในบ้านขี้เหล็กใหญ่ตั้งแต่เกิดจนตาย ผ่านการรวบรวมความทรงจำจากคำสัมภาษณ์และการบอกเล่าเรื่องราวของคนภายในบ้านขี้เหล็กใหญ่ ซึ่งจากงานศึกษา นั้นทำให้เกิดความร่วมมือของคนในชุมชนบ้านขี้เหล็กใหญ่ ต่อการรวบรวมข้อมูลของท้องถิ่นตนเองไว้อย่างหลากหลาย โดยได้ใช้เครื่องมือทางมานุษยวิทยาในการเก็บข้อมูลซึ่งแบ่งออกเป็น รากเหง้าที่ 1 ถึง รากเหง้าที่ 10 ซึ่งเป็นรากเหง้าที่พูดถึง เรื่อง สภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อย่างครอบคลุม อีกทั้งงานศึกษาชิ้นนี้พยายามมุ่งให้ผู้ที่สนใจนั้นสามารถนำแนวคิดกระบวนการทำงานเพื่อชุมชนของบ้านขี้เหล็กใหญ่ ไปใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาชุมชนของตนเองได้ต่อไป</p>
<p>
</p>พิธีกรรม, ความเป็นอยู่ประเพณี, ลาว, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ศพ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านขี้เหล็กใหญ่, ชัยภูมิ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=113https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/166-cover.jpg
113หนังสือจากบรรพชนถึงลูกหลานขี้เหล็กใหญ่ ชัยภูมิ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการนำเสนอเรื่องราว วิถีชีวิตของผู้คนในบ้านขี้เหล็กใหญ่ตั้งแต่เกิดจนตาย ผ่านการรวบรวมความทรงจำจากคำสัมภาษณ์และการบอกเล่าเรื่องราวของคนภายในบ้านขี้เหล็กใหญ่ ซึ่งจากงานศึกษา นั้นทำให้เกิดความร่วมมือของคนในชุมชนบ้านขี้เหล็กใหญ่ ต่อการรวบรวมข้อมูลของท้องถิ่นตนเองไว้อย่างหลากหลาย โดยได้ใช้เครื่องมือทางมานุษยวิทยาในการเก็บข้อมูลซึ่งแบ่งออกเป็น รากเหง้าที่ 1 ถึง รากเหง้าที่ 10 ซึ่งเป็นรากเหง้าที่พูดถึง เรื่อง สภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อย่างครอบคลุม อีกทั้งงานศึกษาชิ้นนี้พยายามมุ่งให้ผู้ที่สนใจนั้นสามารถนำแนวคิดกระบวนการทำงานเพื่อชุมชนของบ้านขี้เหล็กใหญ่ ไปใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาชุมชนของตนเองได้ต่อไป</p>
<p>
</p>พิธีกรรม, ความเป็นอยู่ประเพณี, ลาว, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ศพ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านขี้เหล็กใหญ่, ชัยภูมิ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=113https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/166-cover.jpg
113จุลสารจากบรรพชนถึงลูกหลานขี้เหล็กใหญ่ ชัยภูมิ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการนำเสนอเรื่องราว วิถีชีวิตของผู้คนในบ้านขี้เหล็กใหญ่ตั้งแต่เกิดจนตาย ผ่านการรวบรวมความทรงจำจากคำสัมภาษณ์และการบอกเล่าเรื่องราวของคนภายในบ้านขี้เหล็กใหญ่ ซึ่งจากงานศึกษา นั้นทำให้เกิดความร่วมมือของคนในชุมชนบ้านขี้เหล็กใหญ่ ต่อการรวบรวมข้อมูลของท้องถิ่นตนเองไว้อย่างหลากหลาย โดยได้ใช้เครื่องมือทางมานุษยวิทยาในการเก็บข้อมูลซึ่งแบ่งออกเป็น รากเหง้าที่ 1 ถึง รากเหง้าที่ 10 ซึ่งเป็นรากเหง้าที่พูดถึง เรื่อง สภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อย่างครอบคลุม อีกทั้งงานศึกษาชิ้นนี้พยายามมุ่งให้ผู้ที่สนใจนั้นสามารถนำแนวคิดกระบวนการทำงานเพื่อชุมชนของบ้านขี้เหล็กใหญ่ ไปใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาชุมชนของตนเองได้ต่อไป</p>
<p>
</p>พิธีกรรม, ความเป็นอยู่ประเพณี, ลาว, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ศพ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านขี้เหล็กใหญ่, ชัยภูมิ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=113https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/166-cover.jpg
113สูจิบัตรจากบรรพชนถึงลูกหลานขี้เหล็กใหญ่ ชัยภูมิ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการนำเสนอเรื่องราว วิถีชีวิตของผู้คนในบ้านขี้เหล็กใหญ่ตั้งแต่เกิดจนตาย ผ่านการรวบรวมความทรงจำจากคำสัมภาษณ์และการบอกเล่าเรื่องราวของคนภายในบ้านขี้เหล็กใหญ่ ซึ่งจากงานศึกษา นั้นทำให้เกิดความร่วมมือของคนในชุมชนบ้านขี้เหล็กใหญ่ ต่อการรวบรวมข้อมูลของท้องถิ่นตนเองไว้อย่างหลากหลาย โดยได้ใช้เครื่องมือทางมานุษยวิทยาในการเก็บข้อมูลซึ่งแบ่งออกเป็น รากเหง้าที่ 1 ถึง รากเหง้าที่ 10 ซึ่งเป็นรากเหง้าที่พูดถึง เรื่อง สภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อย่างครอบคลุม อีกทั้งงานศึกษาชิ้นนี้พยายามมุ่งให้ผู้ที่สนใจนั้นสามารถนำแนวคิดกระบวนการทำงานเพื่อชุมชนของบ้านขี้เหล็กใหญ่ ไปใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาชุมชนของตนเองได้ต่อไป</p>
<p>
</p>พิธีกรรม, ความเป็นอยู่ประเพณี, ลาว, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ศพ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านขี้เหล็กใหญ่, ชัยภูมิ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=113https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/166-cover.jpg
114อื่นๆโครงการศึกษาวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านในแม่น้ำโขง และการจัดการทรัพยากรประมงที่ยั่งยืน ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนประมงพื้นบ้านตำบลหอคำ-ไคสี อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ<p>
พื้นที่ชุมชนในตำบลหอคำ-ไคสี ล้วนมีความผูกพันกับแม่น้ำโขงมานับตั้งแต่อดีต จากการที่พวกเขาประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพหลัก และทำประมงตามฤดูกาลเป็นอาชีพเสริม ทำให้ชีวิตต้องพึ่งพาแม่น้ำโขงซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของพวกเขา ในรายงานเล่มนี้ได้ศึกษาถึงพัฒนาการของวิถีชีวิตของประมงพื้นบ้านในพื้นที่ตำบลหอคำ-ไคสี รวมถึงวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ระบบเศรษฐกิจของชุมชนที่เกี่ยวข้องกับประมงพื้นบ้าน และความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประมง ตลอดไปจนถึงการปรับตัว การสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนต่อการประมงพื้นบ้านท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง</p>
<p>
</p>หมู่บ้านประมง, ประมงพื้นบ้าน, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บึงกาฬ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=114https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/167-cover.jpg
114วารสารโครงการศึกษาวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านในแม่น้ำโขง และการจัดการทรัพยากรประมงที่ยั่งยืน ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนประมงพื้นบ้านตำบลหอคำ-ไคสี อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ<p>
พื้นที่ชุมชนในตำบลหอคำ-ไคสี ล้วนมีความผูกพันกับแม่น้ำโขงมานับตั้งแต่อดีต จากการที่พวกเขาประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพหลัก และทำประมงตามฤดูกาลเป็นอาชีพเสริม ทำให้ชีวิตต้องพึ่งพาแม่น้ำโขงซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของพวกเขา ในรายงานเล่มนี้ได้ศึกษาถึงพัฒนาการของวิถีชีวิตของประมงพื้นบ้านในพื้นที่ตำบลหอคำ-ไคสี รวมถึงวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ระบบเศรษฐกิจของชุมชนที่เกี่ยวข้องกับประมงพื้นบ้าน และความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประมง ตลอดไปจนถึงการปรับตัว การสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนต่อการประมงพื้นบ้านท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง</p>
<p>
</p>หมู่บ้านประมง, ประมงพื้นบ้าน, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บึงกาฬ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=114https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/167-cover.jpg
114บทความโครงการศึกษาวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านในแม่น้ำโขง และการจัดการทรัพยากรประมงที่ยั่งยืน ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนประมงพื้นบ้านตำบลหอคำ-ไคสี อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ<p>
พื้นที่ชุมชนในตำบลหอคำ-ไคสี ล้วนมีความผูกพันกับแม่น้ำโขงมานับตั้งแต่อดีต จากการที่พวกเขาประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพหลัก และทำประมงตามฤดูกาลเป็นอาชีพเสริม ทำให้ชีวิตต้องพึ่งพาแม่น้ำโขงซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของพวกเขา ในรายงานเล่มนี้ได้ศึกษาถึงพัฒนาการของวิถีชีวิตของประมงพื้นบ้านในพื้นที่ตำบลหอคำ-ไคสี รวมถึงวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ระบบเศรษฐกิจของชุมชนที่เกี่ยวข้องกับประมงพื้นบ้าน และความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประมง ตลอดไปจนถึงการปรับตัว การสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนต่อการประมงพื้นบ้านท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง</p>
<p>
</p>หมู่บ้านประมง, ประมงพื้นบ้าน, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บึงกาฬ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=114https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/167-cover.jpg
114วิทยานิพนธ์โครงการศึกษาวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านในแม่น้ำโขง และการจัดการทรัพยากรประมงที่ยั่งยืน ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนประมงพื้นบ้านตำบลหอคำ-ไคสี อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ<p>
พื้นที่ชุมชนในตำบลหอคำ-ไคสี ล้วนมีความผูกพันกับแม่น้ำโขงมานับตั้งแต่อดีต จากการที่พวกเขาประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพหลัก และทำประมงตามฤดูกาลเป็นอาชีพเสริม ทำให้ชีวิตต้องพึ่งพาแม่น้ำโขงซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของพวกเขา ในรายงานเล่มนี้ได้ศึกษาถึงพัฒนาการของวิถีชีวิตของประมงพื้นบ้านในพื้นที่ตำบลหอคำ-ไคสี รวมถึงวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ระบบเศรษฐกิจของชุมชนที่เกี่ยวข้องกับประมงพื้นบ้าน และความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประมง ตลอดไปจนถึงการปรับตัว การสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนต่อการประมงพื้นบ้านท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง</p>
<p>
</p>หมู่บ้านประมง, ประมงพื้นบ้าน, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บึงกาฬ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=114https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/167-cover.jpg
114รายงานงานวิจัยโครงการศึกษาวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านในแม่น้ำโขง และการจัดการทรัพยากรประมงที่ยั่งยืน ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนประมงพื้นบ้านตำบลหอคำ-ไคสี อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ<p>
พื้นที่ชุมชนในตำบลหอคำ-ไคสี ล้วนมีความผูกพันกับแม่น้ำโขงมานับตั้งแต่อดีต จากการที่พวกเขาประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพหลัก และทำประมงตามฤดูกาลเป็นอาชีพเสริม ทำให้ชีวิตต้องพึ่งพาแม่น้ำโขงซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของพวกเขา ในรายงานเล่มนี้ได้ศึกษาถึงพัฒนาการของวิถีชีวิตของประมงพื้นบ้านในพื้นที่ตำบลหอคำ-ไคสี รวมถึงวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ระบบเศรษฐกิจของชุมชนที่เกี่ยวข้องกับประมงพื้นบ้าน และความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประมง ตลอดไปจนถึงการปรับตัว การสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนต่อการประมงพื้นบ้านท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง</p>
<p>
</p>หมู่บ้านประมง, ประมงพื้นบ้าน, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บึงกาฬ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=114https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/167-cover.jpg
114รายงานโครงการศึกษาวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านในแม่น้ำโขง และการจัดการทรัพยากรประมงที่ยั่งยืน ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนประมงพื้นบ้านตำบลหอคำ-ไคสี อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ<p>
พื้นที่ชุมชนในตำบลหอคำ-ไคสี ล้วนมีความผูกพันกับแม่น้ำโขงมานับตั้งแต่อดีต จากการที่พวกเขาประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพหลัก และทำประมงตามฤดูกาลเป็นอาชีพเสริม ทำให้ชีวิตต้องพึ่งพาแม่น้ำโขงซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของพวกเขา ในรายงานเล่มนี้ได้ศึกษาถึงพัฒนาการของวิถีชีวิตของประมงพื้นบ้านในพื้นที่ตำบลหอคำ-ไคสี รวมถึงวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ระบบเศรษฐกิจของชุมชนที่เกี่ยวข้องกับประมงพื้นบ้าน และความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประมง ตลอดไปจนถึงการปรับตัว การสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนต่อการประมงพื้นบ้านท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง</p>
<p>
</p>หมู่บ้านประมง, ประมงพื้นบ้าน, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บึงกาฬ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=114https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/167-cover.jpg
114หนังสือโครงการศึกษาวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านในแม่น้ำโขง และการจัดการทรัพยากรประมงที่ยั่งยืน ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนประมงพื้นบ้านตำบลหอคำ-ไคสี อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ<p>
พื้นที่ชุมชนในตำบลหอคำ-ไคสี ล้วนมีความผูกพันกับแม่น้ำโขงมานับตั้งแต่อดีต จากการที่พวกเขาประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพหลัก และทำประมงตามฤดูกาลเป็นอาชีพเสริม ทำให้ชีวิตต้องพึ่งพาแม่น้ำโขงซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของพวกเขา ในรายงานเล่มนี้ได้ศึกษาถึงพัฒนาการของวิถีชีวิตของประมงพื้นบ้านในพื้นที่ตำบลหอคำ-ไคสี รวมถึงวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ระบบเศรษฐกิจของชุมชนที่เกี่ยวข้องกับประมงพื้นบ้าน และความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประมง ตลอดไปจนถึงการปรับตัว การสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนต่อการประมงพื้นบ้านท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง</p>
<p>
</p>หมู่บ้านประมง, ประมงพื้นบ้าน, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บึงกาฬ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=114https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/167-cover.jpg
114จุลสารโครงการศึกษาวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านในแม่น้ำโขง และการจัดการทรัพยากรประมงที่ยั่งยืน ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนประมงพื้นบ้านตำบลหอคำ-ไคสี อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ<p>
พื้นที่ชุมชนในตำบลหอคำ-ไคสี ล้วนมีความผูกพันกับแม่น้ำโขงมานับตั้งแต่อดีต จากการที่พวกเขาประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพหลัก และทำประมงตามฤดูกาลเป็นอาชีพเสริม ทำให้ชีวิตต้องพึ่งพาแม่น้ำโขงซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของพวกเขา ในรายงานเล่มนี้ได้ศึกษาถึงพัฒนาการของวิถีชีวิตของประมงพื้นบ้านในพื้นที่ตำบลหอคำ-ไคสี รวมถึงวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ระบบเศรษฐกิจของชุมชนที่เกี่ยวข้องกับประมงพื้นบ้าน และความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประมง ตลอดไปจนถึงการปรับตัว การสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนต่อการประมงพื้นบ้านท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง</p>
<p>
</p>หมู่บ้านประมง, ประมงพื้นบ้าน, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บึงกาฬ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=114https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/167-cover.jpg
114สูจิบัตรโครงการศึกษาวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านในแม่น้ำโขง และการจัดการทรัพยากรประมงที่ยั่งยืน ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนประมงพื้นบ้านตำบลหอคำ-ไคสี อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ<p>
พื้นที่ชุมชนในตำบลหอคำ-ไคสี ล้วนมีความผูกพันกับแม่น้ำโขงมานับตั้งแต่อดีต จากการที่พวกเขาประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพหลัก และทำประมงตามฤดูกาลเป็นอาชีพเสริม ทำให้ชีวิตต้องพึ่งพาแม่น้ำโขงซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของพวกเขา ในรายงานเล่มนี้ได้ศึกษาถึงพัฒนาการของวิถีชีวิตของประมงพื้นบ้านในพื้นที่ตำบลหอคำ-ไคสี รวมถึงวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ระบบเศรษฐกิจของชุมชนที่เกี่ยวข้องกับประมงพื้นบ้าน และความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประมง ตลอดไปจนถึงการปรับตัว การสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนต่อการประมงพื้นบ้านท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง</p>
<p>
</p>หมู่บ้านประมง, ประมงพื้นบ้าน, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บึงกาฬ28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=114https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/167-cover.jpg
115อื่นๆโครงการศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟู ภาษา ภูมิปัญญา วัฒนธรรมชาวกูย โดยกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกูย บ้านขี้นาค ตำบลตูม อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ<p>
รายงานเล่มนี้เป็นรายงานที่จัดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ และพัฒนาการ รวมถึงวิถีชีวิต ตลอดจนถึงการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ และฟื้นฟู ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และภาษาของชาติพันธุ์กูย ชุมชนบ้านขี้นาค ผ่านการจัดกิจกรรมในหลายรูปแบบ อาทิ การสอดแทรกหลักสูตรการเรียนภาษากูยในโรงเรียน การปรึกษาหารือในการสร้างกติการ่วมกันของคนในชุมชน และการเผยแพร่ภูมิปัญญาผ่านกิจกรรม Workshop</p>
<p>
</p>กูย, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=115https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/168-cover.jpg
115วารสารโครงการศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟู ภาษา ภูมิปัญญา วัฒนธรรมชาวกูย โดยกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกูย บ้านขี้นาค ตำบลตูม อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ<p>
รายงานเล่มนี้เป็นรายงานที่จัดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ และพัฒนาการ รวมถึงวิถีชีวิต ตลอดจนถึงการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ และฟื้นฟู ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และภาษาของชาติพันธุ์กูย ชุมชนบ้านขี้นาค ผ่านการจัดกิจกรรมในหลายรูปแบบ อาทิ การสอดแทรกหลักสูตรการเรียนภาษากูยในโรงเรียน การปรึกษาหารือในการสร้างกติการ่วมกันของคนในชุมชน และการเผยแพร่ภูมิปัญญาผ่านกิจกรรม Workshop</p>
<p>
</p>กูย, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=115https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/168-cover.jpg
115บทความโครงการศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟู ภาษา ภูมิปัญญา วัฒนธรรมชาวกูย โดยกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกูย บ้านขี้นาค ตำบลตูม อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ<p>
รายงานเล่มนี้เป็นรายงานที่จัดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ และพัฒนาการ รวมถึงวิถีชีวิต ตลอดจนถึงการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ และฟื้นฟู ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และภาษาของชาติพันธุ์กูย ชุมชนบ้านขี้นาค ผ่านการจัดกิจกรรมในหลายรูปแบบ อาทิ การสอดแทรกหลักสูตรการเรียนภาษากูยในโรงเรียน การปรึกษาหารือในการสร้างกติการ่วมกันของคนในชุมชน และการเผยแพร่ภูมิปัญญาผ่านกิจกรรม Workshop</p>
<p>
</p>กูย, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=115https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/168-cover.jpg
115วิทยานิพนธ์โครงการศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟู ภาษา ภูมิปัญญา วัฒนธรรมชาวกูย โดยกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกูย บ้านขี้นาค ตำบลตูม อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ<p>
รายงานเล่มนี้เป็นรายงานที่จัดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ และพัฒนาการ รวมถึงวิถีชีวิต ตลอดจนถึงการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ และฟื้นฟู ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และภาษาของชาติพันธุ์กูย ชุมชนบ้านขี้นาค ผ่านการจัดกิจกรรมในหลายรูปแบบ อาทิ การสอดแทรกหลักสูตรการเรียนภาษากูยในโรงเรียน การปรึกษาหารือในการสร้างกติการ่วมกันของคนในชุมชน และการเผยแพร่ภูมิปัญญาผ่านกิจกรรม Workshop</p>
<p>
</p>กูย, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=115https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/168-cover.jpg
115รายงานงานวิจัยโครงการศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟู ภาษา ภูมิปัญญา วัฒนธรรมชาวกูย โดยกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกูย บ้านขี้นาค ตำบลตูม อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ<p>
รายงานเล่มนี้เป็นรายงานที่จัดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ และพัฒนาการ รวมถึงวิถีชีวิต ตลอดจนถึงการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ และฟื้นฟู ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และภาษาของชาติพันธุ์กูย ชุมชนบ้านขี้นาค ผ่านการจัดกิจกรรมในหลายรูปแบบ อาทิ การสอดแทรกหลักสูตรการเรียนภาษากูยในโรงเรียน การปรึกษาหารือในการสร้างกติการ่วมกันของคนในชุมชน และการเผยแพร่ภูมิปัญญาผ่านกิจกรรม Workshop</p>
<p>
</p>กูย, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=115https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/168-cover.jpg
115รายงานโครงการศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟู ภาษา ภูมิปัญญา วัฒนธรรมชาวกูย โดยกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกูย บ้านขี้นาค ตำบลตูม อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ<p>
รายงานเล่มนี้เป็นรายงานที่จัดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ และพัฒนาการ รวมถึงวิถีชีวิต ตลอดจนถึงการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ และฟื้นฟู ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และภาษาของชาติพันธุ์กูย ชุมชนบ้านขี้นาค ผ่านการจัดกิจกรรมในหลายรูปแบบ อาทิ การสอดแทรกหลักสูตรการเรียนภาษากูยในโรงเรียน การปรึกษาหารือในการสร้างกติการ่วมกันของคนในชุมชน และการเผยแพร่ภูมิปัญญาผ่านกิจกรรม Workshop</p>
<p>
</p>กูย, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=115https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/168-cover.jpg
115หนังสือโครงการศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟู ภาษา ภูมิปัญญา วัฒนธรรมชาวกูย โดยกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกูย บ้านขี้นาค ตำบลตูม อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ<p>
รายงานเล่มนี้เป็นรายงานที่จัดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ และพัฒนาการ รวมถึงวิถีชีวิต ตลอดจนถึงการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ และฟื้นฟู ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และภาษาของชาติพันธุ์กูย ชุมชนบ้านขี้นาค ผ่านการจัดกิจกรรมในหลายรูปแบบ อาทิ การสอดแทรกหลักสูตรการเรียนภาษากูยในโรงเรียน การปรึกษาหารือในการสร้างกติการ่วมกันของคนในชุมชน และการเผยแพร่ภูมิปัญญาผ่านกิจกรรม Workshop</p>
<p>
</p>กูย, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=115https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/168-cover.jpg
115จุลสารโครงการศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟู ภาษา ภูมิปัญญา วัฒนธรรมชาวกูย โดยกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกูย บ้านขี้นาค ตำบลตูม อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ<p>
รายงานเล่มนี้เป็นรายงานที่จัดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ และพัฒนาการ รวมถึงวิถีชีวิต ตลอดจนถึงการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ และฟื้นฟู ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และภาษาของชาติพันธุ์กูย ชุมชนบ้านขี้นาค ผ่านการจัดกิจกรรมในหลายรูปแบบ อาทิ การสอดแทรกหลักสูตรการเรียนภาษากูยในโรงเรียน การปรึกษาหารือในการสร้างกติการ่วมกันของคนในชุมชน และการเผยแพร่ภูมิปัญญาผ่านกิจกรรม Workshop</p>
<p>
</p>กูย, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=115https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/168-cover.jpg
115สูจิบัตรโครงการศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟู ภาษา ภูมิปัญญา วัฒนธรรมชาวกูย โดยกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกูย บ้านขี้นาค ตำบลตูม อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ<p>
รายงานเล่มนี้เป็นรายงานที่จัดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ และพัฒนาการ รวมถึงวิถีชีวิต ตลอดจนถึงการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ และฟื้นฟู ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และภาษาของชาติพันธุ์กูย ชุมชนบ้านขี้นาค ผ่านการจัดกิจกรรมในหลายรูปแบบ อาทิ การสอดแทรกหลักสูตรการเรียนภาษากูยในโรงเรียน การปรึกษาหารือในการสร้างกติการ่วมกันของคนในชุมชน และการเผยแพร่ภูมิปัญญาผ่านกิจกรรม Workshop</p>
<p>
</p>กูย, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=115https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/168-cover.jpg
116อื่นๆคู่มือวิธีการเก็บรักษาและการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย<p>
คู่มือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญา วิธีการเก็บรักษาและเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย โดยเฉพาะ ภูมิปัญญา ได้สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการที่สัมพันธ์กับบริบทความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จากภายนอกที่เข้ามากระทบ อาทิ นโยบายของรัฐ การพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ส่งผลให้ภูมิปัญญามีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับกาลยุคสมัย</p>
<p>
</p>อาข่า, การปลูกพืช, ความเป็นอยู่และประเพณี, คู่มือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านอาแย, ภาคเหนือ, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=116https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/169-cover.jpg
116วารสารคู่มือวิธีการเก็บรักษาและการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย<p>
คู่มือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญา วิธีการเก็บรักษาและเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย โดยเฉพาะ ภูมิปัญญา ได้สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการที่สัมพันธ์กับบริบทความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จากภายนอกที่เข้ามากระทบ อาทิ นโยบายของรัฐ การพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ส่งผลให้ภูมิปัญญามีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับกาลยุคสมัย</p>
<p>
</p>อาข่า, การปลูกพืช, ความเป็นอยู่และประเพณี, คู่มือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านอาแย, ภาคเหนือ, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=116https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/169-cover.jpg
116บทความคู่มือวิธีการเก็บรักษาและการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย<p>
คู่มือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญา วิธีการเก็บรักษาและเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย โดยเฉพาะ ภูมิปัญญา ได้สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการที่สัมพันธ์กับบริบทความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จากภายนอกที่เข้ามากระทบ อาทิ นโยบายของรัฐ การพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ส่งผลให้ภูมิปัญญามีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับกาลยุคสมัย</p>
<p>
</p>อาข่า, การปลูกพืช, ความเป็นอยู่และประเพณี, คู่มือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านอาแย, ภาคเหนือ, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=116https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/169-cover.jpg
116วิทยานิพนธ์คู่มือวิธีการเก็บรักษาและการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย<p>
คู่มือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญา วิธีการเก็บรักษาและเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย โดยเฉพาะ ภูมิปัญญา ได้สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการที่สัมพันธ์กับบริบทความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จากภายนอกที่เข้ามากระทบ อาทิ นโยบายของรัฐ การพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ส่งผลให้ภูมิปัญญามีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับกาลยุคสมัย</p>
<p>
</p>อาข่า, การปลูกพืช, ความเป็นอยู่และประเพณี, คู่มือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านอาแย, ภาคเหนือ, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=116https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/169-cover.jpg
116รายงานงานวิจัยคู่มือวิธีการเก็บรักษาและการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย<p>
คู่มือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญา วิธีการเก็บรักษาและเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย โดยเฉพาะ ภูมิปัญญา ได้สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการที่สัมพันธ์กับบริบทความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จากภายนอกที่เข้ามากระทบ อาทิ นโยบายของรัฐ การพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ส่งผลให้ภูมิปัญญามีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับกาลยุคสมัย</p>
<p>
</p>อาข่า, การปลูกพืช, ความเป็นอยู่และประเพณี, คู่มือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านอาแย, ภาคเหนือ, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=116https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/169-cover.jpg
116รายงานคู่มือวิธีการเก็บรักษาและการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย<p>
คู่มือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญา วิธีการเก็บรักษาและเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย โดยเฉพาะ ภูมิปัญญา ได้สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการที่สัมพันธ์กับบริบทความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จากภายนอกที่เข้ามากระทบ อาทิ นโยบายของรัฐ การพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ส่งผลให้ภูมิปัญญามีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับกาลยุคสมัย</p>
<p>
</p>อาข่า, การปลูกพืช, ความเป็นอยู่และประเพณี, คู่มือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านอาแย, ภาคเหนือ, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=116https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/169-cover.jpg
116หนังสือคู่มือวิธีการเก็บรักษาและการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย<p>
คู่มือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญา วิธีการเก็บรักษาและเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย โดยเฉพาะ ภูมิปัญญา ได้สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการที่สัมพันธ์กับบริบทความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จากภายนอกที่เข้ามากระทบ อาทิ นโยบายของรัฐ การพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ส่งผลให้ภูมิปัญญามีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับกาลยุคสมัย</p>
<p>
</p>อาข่า, การปลูกพืช, ความเป็นอยู่และประเพณี, คู่มือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านอาแย, ภาคเหนือ, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=116https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/169-cover.jpg
116จุลสารคู่มือวิธีการเก็บรักษาและการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย<p>
คู่มือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญา วิธีการเก็บรักษาและเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย โดยเฉพาะ ภูมิปัญญา ได้สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการที่สัมพันธ์กับบริบทความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จากภายนอกที่เข้ามากระทบ อาทิ นโยบายของรัฐ การพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ส่งผลให้ภูมิปัญญามีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับกาลยุคสมัย</p>
<p>
</p>อาข่า, การปลูกพืช, ความเป็นอยู่และประเพณี, คู่มือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านอาแย, ภาคเหนือ, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=116https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/169-cover.jpg
116สูจิบัตรคู่มือวิธีการเก็บรักษาและการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย<p>
คู่มือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญา วิธีการเก็บรักษาและเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า บ้านอาแย โดยเฉพาะ ภูมิปัญญา ได้สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการที่สัมพันธ์กับบริบทความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จากภายนอกที่เข้ามากระทบ อาทิ นโยบายของรัฐ การพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ส่งผลให้ภูมิปัญญามีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับกาลยุคสมัย</p>
<p>
</p>อาข่า, การปลูกพืช, ความเป็นอยู่และประเพณี, คู่มือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, บ้านอาแย, ภาคเหนือ, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=116https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/169-cover.jpg
117อื่นๆโครงการศึกษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนหลากหลายบนสายน้ำแม่ปิง กรณีศึกษา ลุ่มน้ำห้วยหกถึงลุ่มน้ำซุ้มตอนปลาย ตำบลเมืองนะ และตำบลทุ่งข้าวพวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษา วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนบนสายน้ำแม่ปิงและลำน้ำสาขา อีกทั้งเพื่อใช้ชุดความรู้ที่ได้นำมาสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน 3 หมู่บ้าน และนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำ พัฒนาพื้นที่การเกษตร การฟื้นฟูระบบนิเวศน์พื้นที่ป่า และพัฒนาเนื้อหาสู่หลักสูตรท้องถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การจัดการน้ำระบบเหมืองฝายโดยชุมชนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงสภาพโครงสร้างตัวฝายจากเดิมที่เป็นฝายหิน ฝายไม้ ปรับเปลี่ยนมาเป็น ฝายคอนกรีต รวมทั้งลำเหมืองดินมาเป็นลำเหมืองคอนกรีตเพื่อกระจายน้ำสู่พื้นที่ทางการเกษตรของชุมชน ส่งผลทำให้พิธีกรรมอย่างเลี้ยงผีฝายนั้น ค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไป อีกทั้งจากปกติชาวบ้านจะปลูกพืชตามฤดูกาล ก็หันมาปลูกพืชเศรษฐกิจแทนที่ ส่งผลทำให้เกิดการแย่งชิงน้ำ คุณภาพน้ำเสื่อมโทรม ฉะนั้นจึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาในข้างต้น อีกทั้งจะเป็นการสร้างความเข็มแข็งให้กับชุมชนให้เกิดเครือข่ายในการจัดการทรัพยากรร่วมกัน</p>
<p>
</p>การจัดการลุ่มน้ำ, การจัดการน้ำ, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ภูมิปัญญาชาวบ้าน, ลุ่มน้ำปิง, ลุ่มน้ำห้วยหก, ลุ่มน้ำซุ้ม, แม่น้ำปิง, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=117https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/173-cover.jpg
117วารสารโครงการศึกษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนหลากหลายบนสายน้ำแม่ปิง กรณีศึกษา ลุ่มน้ำห้วยหกถึงลุ่มน้ำซุ้มตอนปลาย ตำบลเมืองนะ และตำบลทุ่งข้าวพวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษา วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนบนสายน้ำแม่ปิงและลำน้ำสาขา อีกทั้งเพื่อใช้ชุดความรู้ที่ได้นำมาสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน 3 หมู่บ้าน และนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำ พัฒนาพื้นที่การเกษตร การฟื้นฟูระบบนิเวศน์พื้นที่ป่า และพัฒนาเนื้อหาสู่หลักสูตรท้องถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การจัดการน้ำระบบเหมืองฝายโดยชุมชนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงสภาพโครงสร้างตัวฝายจากเดิมที่เป็นฝายหิน ฝายไม้ ปรับเปลี่ยนมาเป็น ฝายคอนกรีต รวมทั้งลำเหมืองดินมาเป็นลำเหมืองคอนกรีตเพื่อกระจายน้ำสู่พื้นที่ทางการเกษตรของชุมชน ส่งผลทำให้พิธีกรรมอย่างเลี้ยงผีฝายนั้น ค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไป อีกทั้งจากปกติชาวบ้านจะปลูกพืชตามฤดูกาล ก็หันมาปลูกพืชเศรษฐกิจแทนที่ ส่งผลทำให้เกิดการแย่งชิงน้ำ คุณภาพน้ำเสื่อมโทรม ฉะนั้นจึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาในข้างต้น อีกทั้งจะเป็นการสร้างความเข็มแข็งให้กับชุมชนให้เกิดเครือข่ายในการจัดการทรัพยากรร่วมกัน</p>
<p>
</p>การจัดการลุ่มน้ำ, การจัดการน้ำ, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ภูมิปัญญาชาวบ้าน, ลุ่มน้ำปิง, ลุ่มน้ำห้วยหก, ลุ่มน้ำซุ้ม, แม่น้ำปิง, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=117https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/173-cover.jpg
117บทความโครงการศึกษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนหลากหลายบนสายน้ำแม่ปิง กรณีศึกษา ลุ่มน้ำห้วยหกถึงลุ่มน้ำซุ้มตอนปลาย ตำบลเมืองนะ และตำบลทุ่งข้าวพวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษา วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนบนสายน้ำแม่ปิงและลำน้ำสาขา อีกทั้งเพื่อใช้ชุดความรู้ที่ได้นำมาสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน 3 หมู่บ้าน และนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำ พัฒนาพื้นที่การเกษตร การฟื้นฟูระบบนิเวศน์พื้นที่ป่า และพัฒนาเนื้อหาสู่หลักสูตรท้องถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การจัดการน้ำระบบเหมืองฝายโดยชุมชนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงสภาพโครงสร้างตัวฝายจากเดิมที่เป็นฝายหิน ฝายไม้ ปรับเปลี่ยนมาเป็น ฝายคอนกรีต รวมทั้งลำเหมืองดินมาเป็นลำเหมืองคอนกรีตเพื่อกระจายน้ำสู่พื้นที่ทางการเกษตรของชุมชน ส่งผลทำให้พิธีกรรมอย่างเลี้ยงผีฝายนั้น ค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไป อีกทั้งจากปกติชาวบ้านจะปลูกพืชตามฤดูกาล ก็หันมาปลูกพืชเศรษฐกิจแทนที่ ส่งผลทำให้เกิดการแย่งชิงน้ำ คุณภาพน้ำเสื่อมโทรม ฉะนั้นจึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาในข้างต้น อีกทั้งจะเป็นการสร้างความเข็มแข็งให้กับชุมชนให้เกิดเครือข่ายในการจัดการทรัพยากรร่วมกัน</p>
<p>
</p>การจัดการลุ่มน้ำ, การจัดการน้ำ, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ภูมิปัญญาชาวบ้าน, ลุ่มน้ำปิง, ลุ่มน้ำห้วยหก, ลุ่มน้ำซุ้ม, แม่น้ำปิง, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=117https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/173-cover.jpg
117วิทยานิพนธ์โครงการศึกษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนหลากหลายบนสายน้ำแม่ปิง กรณีศึกษา ลุ่มน้ำห้วยหกถึงลุ่มน้ำซุ้มตอนปลาย ตำบลเมืองนะ และตำบลทุ่งข้าวพวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษา วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนบนสายน้ำแม่ปิงและลำน้ำสาขา อีกทั้งเพื่อใช้ชุดความรู้ที่ได้นำมาสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน 3 หมู่บ้าน และนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำ พัฒนาพื้นที่การเกษตร การฟื้นฟูระบบนิเวศน์พื้นที่ป่า และพัฒนาเนื้อหาสู่หลักสูตรท้องถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การจัดการน้ำระบบเหมืองฝายโดยชุมชนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงสภาพโครงสร้างตัวฝายจากเดิมที่เป็นฝายหิน ฝายไม้ ปรับเปลี่ยนมาเป็น ฝายคอนกรีต รวมทั้งลำเหมืองดินมาเป็นลำเหมืองคอนกรีตเพื่อกระจายน้ำสู่พื้นที่ทางการเกษตรของชุมชน ส่งผลทำให้พิธีกรรมอย่างเลี้ยงผีฝายนั้น ค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไป อีกทั้งจากปกติชาวบ้านจะปลูกพืชตามฤดูกาล ก็หันมาปลูกพืชเศรษฐกิจแทนที่ ส่งผลทำให้เกิดการแย่งชิงน้ำ คุณภาพน้ำเสื่อมโทรม ฉะนั้นจึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาในข้างต้น อีกทั้งจะเป็นการสร้างความเข็มแข็งให้กับชุมชนให้เกิดเครือข่ายในการจัดการทรัพยากรร่วมกัน</p>
<p>
</p>การจัดการลุ่มน้ำ, การจัดการน้ำ, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ภูมิปัญญาชาวบ้าน, ลุ่มน้ำปิง, ลุ่มน้ำห้วยหก, ลุ่มน้ำซุ้ม, แม่น้ำปิง, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=117https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/173-cover.jpg
117รายงานงานวิจัยโครงการศึกษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนหลากหลายบนสายน้ำแม่ปิง กรณีศึกษา ลุ่มน้ำห้วยหกถึงลุ่มน้ำซุ้มตอนปลาย ตำบลเมืองนะ และตำบลทุ่งข้าวพวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษา วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนบนสายน้ำแม่ปิงและลำน้ำสาขา อีกทั้งเพื่อใช้ชุดความรู้ที่ได้นำมาสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน 3 หมู่บ้าน และนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำ พัฒนาพื้นที่การเกษตร การฟื้นฟูระบบนิเวศน์พื้นที่ป่า และพัฒนาเนื้อหาสู่หลักสูตรท้องถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การจัดการน้ำระบบเหมืองฝายโดยชุมชนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงสภาพโครงสร้างตัวฝายจากเดิมที่เป็นฝายหิน ฝายไม้ ปรับเปลี่ยนมาเป็น ฝายคอนกรีต รวมทั้งลำเหมืองดินมาเป็นลำเหมืองคอนกรีตเพื่อกระจายน้ำสู่พื้นที่ทางการเกษตรของชุมชน ส่งผลทำให้พิธีกรรมอย่างเลี้ยงผีฝายนั้น ค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไป อีกทั้งจากปกติชาวบ้านจะปลูกพืชตามฤดูกาล ก็หันมาปลูกพืชเศรษฐกิจแทนที่ ส่งผลทำให้เกิดการแย่งชิงน้ำ คุณภาพน้ำเสื่อมโทรม ฉะนั้นจึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาในข้างต้น อีกทั้งจะเป็นการสร้างความเข็มแข็งให้กับชุมชนให้เกิดเครือข่ายในการจัดการทรัพยากรร่วมกัน</p>
<p>
</p>การจัดการลุ่มน้ำ, การจัดการน้ำ, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ภูมิปัญญาชาวบ้าน, ลุ่มน้ำปิง, ลุ่มน้ำห้วยหก, ลุ่มน้ำซุ้ม, แม่น้ำปิง, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=117https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/173-cover.jpg
117รายงานโครงการศึกษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนหลากหลายบนสายน้ำแม่ปิง กรณีศึกษา ลุ่มน้ำห้วยหกถึงลุ่มน้ำซุ้มตอนปลาย ตำบลเมืองนะ และตำบลทุ่งข้าวพวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษา วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนบนสายน้ำแม่ปิงและลำน้ำสาขา อีกทั้งเพื่อใช้ชุดความรู้ที่ได้นำมาสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน 3 หมู่บ้าน และนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำ พัฒนาพื้นที่การเกษตร การฟื้นฟูระบบนิเวศน์พื้นที่ป่า และพัฒนาเนื้อหาสู่หลักสูตรท้องถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การจัดการน้ำระบบเหมืองฝายโดยชุมชนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงสภาพโครงสร้างตัวฝายจากเดิมที่เป็นฝายหิน ฝายไม้ ปรับเปลี่ยนมาเป็น ฝายคอนกรีต รวมทั้งลำเหมืองดินมาเป็นลำเหมืองคอนกรีตเพื่อกระจายน้ำสู่พื้นที่ทางการเกษตรของชุมชน ส่งผลทำให้พิธีกรรมอย่างเลี้ยงผีฝายนั้น ค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไป อีกทั้งจากปกติชาวบ้านจะปลูกพืชตามฤดูกาล ก็หันมาปลูกพืชเศรษฐกิจแทนที่ ส่งผลทำให้เกิดการแย่งชิงน้ำ คุณภาพน้ำเสื่อมโทรม ฉะนั้นจึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาในข้างต้น อีกทั้งจะเป็นการสร้างความเข็มแข็งให้กับชุมชนให้เกิดเครือข่ายในการจัดการทรัพยากรร่วมกัน</p>
<p>
</p>การจัดการลุ่มน้ำ, การจัดการน้ำ, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ภูมิปัญญาชาวบ้าน, ลุ่มน้ำปิง, ลุ่มน้ำห้วยหก, ลุ่มน้ำซุ้ม, แม่น้ำปิง, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=117https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/173-cover.jpg
117หนังสือโครงการศึกษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนหลากหลายบนสายน้ำแม่ปิง กรณีศึกษา ลุ่มน้ำห้วยหกถึงลุ่มน้ำซุ้มตอนปลาย ตำบลเมืองนะ และตำบลทุ่งข้าวพวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษา วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนบนสายน้ำแม่ปิงและลำน้ำสาขา อีกทั้งเพื่อใช้ชุดความรู้ที่ได้นำมาสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน 3 หมู่บ้าน และนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำ พัฒนาพื้นที่การเกษตร การฟื้นฟูระบบนิเวศน์พื้นที่ป่า และพัฒนาเนื้อหาสู่หลักสูตรท้องถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การจัดการน้ำระบบเหมืองฝายโดยชุมชนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงสภาพโครงสร้างตัวฝายจากเดิมที่เป็นฝายหิน ฝายไม้ ปรับเปลี่ยนมาเป็น ฝายคอนกรีต รวมทั้งลำเหมืองดินมาเป็นลำเหมืองคอนกรีตเพื่อกระจายน้ำสู่พื้นที่ทางการเกษตรของชุมชน ส่งผลทำให้พิธีกรรมอย่างเลี้ยงผีฝายนั้น ค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไป อีกทั้งจากปกติชาวบ้านจะปลูกพืชตามฤดูกาล ก็หันมาปลูกพืชเศรษฐกิจแทนที่ ส่งผลทำให้เกิดการแย่งชิงน้ำ คุณภาพน้ำเสื่อมโทรม ฉะนั้นจึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาในข้างต้น อีกทั้งจะเป็นการสร้างความเข็มแข็งให้กับชุมชนให้เกิดเครือข่ายในการจัดการทรัพยากรร่วมกัน</p>
<p>
</p>การจัดการลุ่มน้ำ, การจัดการน้ำ, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ภูมิปัญญาชาวบ้าน, ลุ่มน้ำปิง, ลุ่มน้ำห้วยหก, ลุ่มน้ำซุ้ม, แม่น้ำปิง, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=117https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/173-cover.jpg
117จุลสารโครงการศึกษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนหลากหลายบนสายน้ำแม่ปิง กรณีศึกษา ลุ่มน้ำห้วยหกถึงลุ่มน้ำซุ้มตอนปลาย ตำบลเมืองนะ และตำบลทุ่งข้าวพวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษา วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนบนสายน้ำแม่ปิงและลำน้ำสาขา อีกทั้งเพื่อใช้ชุดความรู้ที่ได้นำมาสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน 3 หมู่บ้าน และนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำ พัฒนาพื้นที่การเกษตร การฟื้นฟูระบบนิเวศน์พื้นที่ป่า และพัฒนาเนื้อหาสู่หลักสูตรท้องถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การจัดการน้ำระบบเหมืองฝายโดยชุมชนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงสภาพโครงสร้างตัวฝายจากเดิมที่เป็นฝายหิน ฝายไม้ ปรับเปลี่ยนมาเป็น ฝายคอนกรีต รวมทั้งลำเหมืองดินมาเป็นลำเหมืองคอนกรีตเพื่อกระจายน้ำสู่พื้นที่ทางการเกษตรของชุมชน ส่งผลทำให้พิธีกรรมอย่างเลี้ยงผีฝายนั้น ค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไป อีกทั้งจากปกติชาวบ้านจะปลูกพืชตามฤดูกาล ก็หันมาปลูกพืชเศรษฐกิจแทนที่ ส่งผลทำให้เกิดการแย่งชิงน้ำ คุณภาพน้ำเสื่อมโทรม ฉะนั้นจึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาในข้างต้น อีกทั้งจะเป็นการสร้างความเข็มแข็งให้กับชุมชนให้เกิดเครือข่ายในการจัดการทรัพยากรร่วมกัน</p>
<p>
</p>การจัดการลุ่มน้ำ, การจัดการน้ำ, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ภูมิปัญญาชาวบ้าน, ลุ่มน้ำปิง, ลุ่มน้ำห้วยหก, ลุ่มน้ำซุ้ม, แม่น้ำปิง, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=117https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/173-cover.jpg
117สูจิบัตรโครงการศึกษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนหลากหลายบนสายน้ำแม่ปิง กรณีศึกษา ลุ่มน้ำห้วยหกถึงลุ่มน้ำซุ้มตอนปลาย ตำบลเมืองนะ และตำบลทุ่งข้าวพวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการศึกษา วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนบนสายน้ำแม่ปิงและลำน้ำสาขา อีกทั้งเพื่อใช้ชุดความรู้ที่ได้นำมาสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน 3 หมู่บ้าน และนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำ พัฒนาพื้นที่การเกษตร การฟื้นฟูระบบนิเวศน์พื้นที่ป่า และพัฒนาเนื้อหาสู่หลักสูตรท้องถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การจัดการน้ำระบบเหมืองฝายโดยชุมชนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงสภาพโครงสร้างตัวฝายจากเดิมที่เป็นฝายหิน ฝายไม้ ปรับเปลี่ยนมาเป็น ฝายคอนกรีต รวมทั้งลำเหมืองดินมาเป็นลำเหมืองคอนกรีตเพื่อกระจายน้ำสู่พื้นที่ทางการเกษตรของชุมชน ส่งผลทำให้พิธีกรรมอย่างเลี้ยงผีฝายนั้น ค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไป อีกทั้งจากปกติชาวบ้านจะปลูกพืชตามฤดูกาล ก็หันมาปลูกพืชเศรษฐกิจแทนที่ ส่งผลทำให้เกิดการแย่งชิงน้ำ คุณภาพน้ำเสื่อมโทรม ฉะนั้นจึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาในข้างต้น อีกทั้งจะเป็นการสร้างความเข็มแข็งให้กับชุมชนให้เกิดเครือข่ายในการจัดการทรัพยากรร่วมกัน</p>
<p>
</p>การจัดการลุ่มน้ำ, การจัดการน้ำ, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, ภูมิปัญญาชาวบ้าน, ลุ่มน้ำปิง, ลุ่มน้ำห้วยหก, ลุ่มน้ำซุ้ม, แม่น้ำปิง, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, เชียงใหม่28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=117https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/173-cover.jpg
118อื่นๆโครงการศึกษาวิจัยพิธีกรรมปวาเก่อญอ (กะเหรี่ยง) ในรอบปีกระบวนการผลิตพื้นที่ลุ่มน้ำแม่แปะตอนบน<p>
วิถีชีวิตมักเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเสมอเช่นเดียวกับวิถีของคน ปวาเก่อญอ ที่เปลี่ยนแปลงไปถอยห่างจากอดีต อาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย บ้างก็เพื่อดิ้นรนในการดำรงชีวิต บ้างก็เสื่อมศรัทธาต่อศาสนาและความเชื่อ กระนั้นงานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาเกี่ยวกับพิธีกรรมปวาเก่อญอ โดยอาศัยพิธีกรรมตามกระบวนการผลิตตามรอบปีในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแปะตอนบนเป็นกรณีศึกษา ด้วยหวังว่าประโยชน์ที่ได้รับจากงานวิจัยชิ้นนี้จะใช้เป็นฐานข้อมูลให้ได้เรียนรู้ และถ่ายทอดวัฒนธรรม จารีตประเพณี พิธีกรรม ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต </p>กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, ความเป็นอยู่ประเพณี, กลุ่มชาติพันธุ์, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=118https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/174-cover.jpg
118วารสารโครงการศึกษาวิจัยพิธีกรรมปวาเก่อญอ (กะเหรี่ยง) ในรอบปีกระบวนการผลิตพื้นที่ลุ่มน้ำแม่แปะตอนบน<p>
วิถีชีวิตมักเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเสมอเช่นเดียวกับวิถีของคน ปวาเก่อญอ ที่เปลี่ยนแปลงไปถอยห่างจากอดีต อาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย บ้างก็เพื่อดิ้นรนในการดำรงชีวิต บ้างก็เสื่อมศรัทธาต่อศาสนาและความเชื่อ กระนั้นงานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาเกี่ยวกับพิธีกรรมปวาเก่อญอ โดยอาศัยพิธีกรรมตามกระบวนการผลิตตามรอบปีในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแปะตอนบนเป็นกรณีศึกษา ด้วยหวังว่าประโยชน์ที่ได้รับจากงานวิจัยชิ้นนี้จะใช้เป็นฐานข้อมูลให้ได้เรียนรู้ และถ่ายทอดวัฒนธรรม จารีตประเพณี พิธีกรรม ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต </p>กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, ความเป็นอยู่ประเพณี, กลุ่มชาติพันธุ์, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=118https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/174-cover.jpg
118บทความโครงการศึกษาวิจัยพิธีกรรมปวาเก่อญอ (กะเหรี่ยง) ในรอบปีกระบวนการผลิตพื้นที่ลุ่มน้ำแม่แปะตอนบน<p>
วิถีชีวิตมักเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเสมอเช่นเดียวกับวิถีของคน ปวาเก่อญอ ที่เปลี่ยนแปลงไปถอยห่างจากอดีต อาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย บ้างก็เพื่อดิ้นรนในการดำรงชีวิต บ้างก็เสื่อมศรัทธาต่อศาสนาและความเชื่อ กระนั้นงานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาเกี่ยวกับพิธีกรรมปวาเก่อญอ โดยอาศัยพิธีกรรมตามกระบวนการผลิตตามรอบปีในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแปะตอนบนเป็นกรณีศึกษา ด้วยหวังว่าประโยชน์ที่ได้รับจากงานวิจัยชิ้นนี้จะใช้เป็นฐานข้อมูลให้ได้เรียนรู้ และถ่ายทอดวัฒนธรรม จารีตประเพณี พิธีกรรม ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต </p>กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, ความเป็นอยู่ประเพณี, กลุ่มชาติพันธุ์, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=118https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/174-cover.jpg
118วิทยานิพนธ์โครงการศึกษาวิจัยพิธีกรรมปวาเก่อญอ (กะเหรี่ยง) ในรอบปีกระบวนการผลิตพื้นที่ลุ่มน้ำแม่แปะตอนบน<p>
วิถีชีวิตมักเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเสมอเช่นเดียวกับวิถีของคน ปวาเก่อญอ ที่เปลี่ยนแปลงไปถอยห่างจากอดีต อาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย บ้างก็เพื่อดิ้นรนในการดำรงชีวิต บ้างก็เสื่อมศรัทธาต่อศาสนาและความเชื่อ กระนั้นงานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาเกี่ยวกับพิธีกรรมปวาเก่อญอ โดยอาศัยพิธีกรรมตามกระบวนการผลิตตามรอบปีในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแปะตอนบนเป็นกรณีศึกษา ด้วยหวังว่าประโยชน์ที่ได้รับจากงานวิจัยชิ้นนี้จะใช้เป็นฐานข้อมูลให้ได้เรียนรู้ และถ่ายทอดวัฒนธรรม จารีตประเพณี พิธีกรรม ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต </p>กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, ความเป็นอยู่ประเพณี, กลุ่มชาติพันธุ์, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=118https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/174-cover.jpg
118รายงานงานวิจัยโครงการศึกษาวิจัยพิธีกรรมปวาเก่อญอ (กะเหรี่ยง) ในรอบปีกระบวนการผลิตพื้นที่ลุ่มน้ำแม่แปะตอนบน<p>
วิถีชีวิตมักเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเสมอเช่นเดียวกับวิถีของคน ปวาเก่อญอ ที่เปลี่ยนแปลงไปถอยห่างจากอดีต อาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย บ้างก็เพื่อดิ้นรนในการดำรงชีวิต บ้างก็เสื่อมศรัทธาต่อศาสนาและความเชื่อ กระนั้นงานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาเกี่ยวกับพิธีกรรมปวาเก่อญอ โดยอาศัยพิธีกรรมตามกระบวนการผลิตตามรอบปีในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแปะตอนบนเป็นกรณีศึกษา ด้วยหวังว่าประโยชน์ที่ได้รับจากงานวิจัยชิ้นนี้จะใช้เป็นฐานข้อมูลให้ได้เรียนรู้ และถ่ายทอดวัฒนธรรม จารีตประเพณี พิธีกรรม ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต </p>กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, ความเป็นอยู่ประเพณี, กลุ่มชาติพันธุ์, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=118https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/174-cover.jpg
118รายงานโครงการศึกษาวิจัยพิธีกรรมปวาเก่อญอ (กะเหรี่ยง) ในรอบปีกระบวนการผลิตพื้นที่ลุ่มน้ำแม่แปะตอนบน<p>
วิถีชีวิตมักเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเสมอเช่นเดียวกับวิถีของคน ปวาเก่อญอ ที่เปลี่ยนแปลงไปถอยห่างจากอดีต อาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย บ้างก็เพื่อดิ้นรนในการดำรงชีวิต บ้างก็เสื่อมศรัทธาต่อศาสนาและความเชื่อ กระนั้นงานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาเกี่ยวกับพิธีกรรมปวาเก่อญอ โดยอาศัยพิธีกรรมตามกระบวนการผลิตตามรอบปีในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแปะตอนบนเป็นกรณีศึกษา ด้วยหวังว่าประโยชน์ที่ได้รับจากงานวิจัยชิ้นนี้จะใช้เป็นฐานข้อมูลให้ได้เรียนรู้ และถ่ายทอดวัฒนธรรม จารีตประเพณี พิธีกรรม ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต </p>กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, ความเป็นอยู่ประเพณี, กลุ่มชาติพันธุ์, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=118https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/174-cover.jpg
118หนังสือโครงการศึกษาวิจัยพิธีกรรมปวาเก่อญอ (กะเหรี่ยง) ในรอบปีกระบวนการผลิตพื้นที่ลุ่มน้ำแม่แปะตอนบน<p>
วิถีชีวิตมักเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเสมอเช่นเดียวกับวิถีของคน ปวาเก่อญอ ที่เปลี่ยนแปลงไปถอยห่างจากอดีต อาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย บ้างก็เพื่อดิ้นรนในการดำรงชีวิต บ้างก็เสื่อมศรัทธาต่อศาสนาและความเชื่อ กระนั้นงานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาเกี่ยวกับพิธีกรรมปวาเก่อญอ โดยอาศัยพิธีกรรมตามกระบวนการผลิตตามรอบปีในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแปะตอนบนเป็นกรณีศึกษา ด้วยหวังว่าประโยชน์ที่ได้รับจากงานวิจัยชิ้นนี้จะใช้เป็นฐานข้อมูลให้ได้เรียนรู้ และถ่ายทอดวัฒนธรรม จารีตประเพณี พิธีกรรม ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต </p>กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, ความเป็นอยู่ประเพณี, กลุ่มชาติพันธุ์, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=118https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/174-cover.jpg
118จุลสารโครงการศึกษาวิจัยพิธีกรรมปวาเก่อญอ (กะเหรี่ยง) ในรอบปีกระบวนการผลิตพื้นที่ลุ่มน้ำแม่แปะตอนบน<p>
วิถีชีวิตมักเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเสมอเช่นเดียวกับวิถีของคน ปวาเก่อญอ ที่เปลี่ยนแปลงไปถอยห่างจากอดีต อาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย บ้างก็เพื่อดิ้นรนในการดำรงชีวิต บ้างก็เสื่อมศรัทธาต่อศาสนาและความเชื่อ กระนั้นงานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาเกี่ยวกับพิธีกรรมปวาเก่อญอ โดยอาศัยพิธีกรรมตามกระบวนการผลิตตามรอบปีในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแปะตอนบนเป็นกรณีศึกษา ด้วยหวังว่าประโยชน์ที่ได้รับจากงานวิจัยชิ้นนี้จะใช้เป็นฐานข้อมูลให้ได้เรียนรู้ และถ่ายทอดวัฒนธรรม จารีตประเพณี พิธีกรรม ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต </p>กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, ความเป็นอยู่ประเพณี, กลุ่มชาติพันธุ์, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=118https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/174-cover.jpg
118สูจิบัตรโครงการศึกษาวิจัยพิธีกรรมปวาเก่อญอ (กะเหรี่ยง) ในรอบปีกระบวนการผลิตพื้นที่ลุ่มน้ำแม่แปะตอนบน<p>
วิถีชีวิตมักเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเสมอเช่นเดียวกับวิถีของคน ปวาเก่อญอ ที่เปลี่ยนแปลงไปถอยห่างจากอดีต อาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย บ้างก็เพื่อดิ้นรนในการดำรงชีวิต บ้างก็เสื่อมศรัทธาต่อศาสนาและความเชื่อ กระนั้นงานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาเกี่ยวกับพิธีกรรมปวาเก่อญอ โดยอาศัยพิธีกรรมตามกระบวนการผลิตตามรอบปีในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแปะตอนบนเป็นกรณีศึกษา ด้วยหวังว่าประโยชน์ที่ได้รับจากงานวิจัยชิ้นนี้จะใช้เป็นฐานข้อมูลให้ได้เรียนรู้ และถ่ายทอดวัฒนธรรม จารีตประเพณี พิธีกรรม ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต </p>กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, ความเป็นอยู่ประเพณี, กลุ่มชาติพันธุ์, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีทางศาสนาและพิธีกรรม, นักมานุษยวิทยาเดินดิน,28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=118https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/174-cover.jpg
119อื่นๆชีวประวัติและบทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง สมัยช่วงรัชกาลที่ 5 ถึงก่อนใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2411-2503)<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ต้องการศึกษาถึงชีวประวัติ บทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง ซึ่งเป็น 6 ตระกูลใหญ่ของจังหวัดสงขลา มีเชื้อสายจีน “ฮกเกี้ยน” ที่ได้อพยพเข้ามาในทางภาคใต้ของไทย ประกอบธุรกิจ จนสามารถประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของธุรกิจ การเมือง เศรษฐกิจ ที่มีบทบาทต่อเมืองสงขลาจนทำให้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ และพระทานทานนามสกุล ได้แก่ ตระกูลประธานราษฎร์นิกร ตระกูลปิลกาญจน์ ตระกูลโคนันทน์ ตระกูลเสาวพฤกษ์ ตระกูลปริชญากร และตระกูลศิริโชติ ผ่านแหล่งข้อมูลที่เป็นประเภทปฐมภูมิ ได้แก่ เอกสาร บันทึก ภาพถ่าย แผ่นจารึกหน้าหลุมศพ ป้ายชื่อบรรพบุรุษ และคำบอกเล่าของทายาทในตระกูล</p>ชาวจีน, นามสกุล, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สงขลา28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=119https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/175-cover.jpg
119วารสารชีวประวัติและบทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง สมัยช่วงรัชกาลที่ 5 ถึงก่อนใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2411-2503)<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ต้องการศึกษาถึงชีวประวัติ บทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง ซึ่งเป็น 6 ตระกูลใหญ่ของจังหวัดสงขลา มีเชื้อสายจีน “ฮกเกี้ยน” ที่ได้อพยพเข้ามาในทางภาคใต้ของไทย ประกอบธุรกิจ จนสามารถประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของธุรกิจ การเมือง เศรษฐกิจ ที่มีบทบาทต่อเมืองสงขลาจนทำให้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ และพระทานทานนามสกุล ได้แก่ ตระกูลประธานราษฎร์นิกร ตระกูลปิลกาญจน์ ตระกูลโคนันทน์ ตระกูลเสาวพฤกษ์ ตระกูลปริชญากร และตระกูลศิริโชติ ผ่านแหล่งข้อมูลที่เป็นประเภทปฐมภูมิ ได้แก่ เอกสาร บันทึก ภาพถ่าย แผ่นจารึกหน้าหลุมศพ ป้ายชื่อบรรพบุรุษ และคำบอกเล่าของทายาทในตระกูล</p>ชาวจีน, นามสกุล, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สงขลา28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=119https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/175-cover.jpg
119บทความชีวประวัติและบทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง สมัยช่วงรัชกาลที่ 5 ถึงก่อนใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2411-2503)<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ต้องการศึกษาถึงชีวประวัติ บทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง ซึ่งเป็น 6 ตระกูลใหญ่ของจังหวัดสงขลา มีเชื้อสายจีน “ฮกเกี้ยน” ที่ได้อพยพเข้ามาในทางภาคใต้ของไทย ประกอบธุรกิจ จนสามารถประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของธุรกิจ การเมือง เศรษฐกิจ ที่มีบทบาทต่อเมืองสงขลาจนทำให้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ และพระทานทานนามสกุล ได้แก่ ตระกูลประธานราษฎร์นิกร ตระกูลปิลกาญจน์ ตระกูลโคนันทน์ ตระกูลเสาวพฤกษ์ ตระกูลปริชญากร และตระกูลศิริโชติ ผ่านแหล่งข้อมูลที่เป็นประเภทปฐมภูมิ ได้แก่ เอกสาร บันทึก ภาพถ่าย แผ่นจารึกหน้าหลุมศพ ป้ายชื่อบรรพบุรุษ และคำบอกเล่าของทายาทในตระกูล</p>ชาวจีน, นามสกุล, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สงขลา28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=119https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/175-cover.jpg
119วิทยานิพนธ์ชีวประวัติและบทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง สมัยช่วงรัชกาลที่ 5 ถึงก่อนใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2411-2503)<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ต้องการศึกษาถึงชีวประวัติ บทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง ซึ่งเป็น 6 ตระกูลใหญ่ของจังหวัดสงขลา มีเชื้อสายจีน “ฮกเกี้ยน” ที่ได้อพยพเข้ามาในทางภาคใต้ของไทย ประกอบธุรกิจ จนสามารถประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของธุรกิจ การเมือง เศรษฐกิจ ที่มีบทบาทต่อเมืองสงขลาจนทำให้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ และพระทานทานนามสกุล ได้แก่ ตระกูลประธานราษฎร์นิกร ตระกูลปิลกาญจน์ ตระกูลโคนันทน์ ตระกูลเสาวพฤกษ์ ตระกูลปริชญากร และตระกูลศิริโชติ ผ่านแหล่งข้อมูลที่เป็นประเภทปฐมภูมิ ได้แก่ เอกสาร บันทึก ภาพถ่าย แผ่นจารึกหน้าหลุมศพ ป้ายชื่อบรรพบุรุษ และคำบอกเล่าของทายาทในตระกูล</p>ชาวจีน, นามสกุล, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สงขลา28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=119https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/175-cover.jpg
119รายงานงานวิจัยชีวประวัติและบทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง สมัยช่วงรัชกาลที่ 5 ถึงก่อนใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2411-2503)<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ต้องการศึกษาถึงชีวประวัติ บทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง ซึ่งเป็น 6 ตระกูลใหญ่ของจังหวัดสงขลา มีเชื้อสายจีน “ฮกเกี้ยน” ที่ได้อพยพเข้ามาในทางภาคใต้ของไทย ประกอบธุรกิจ จนสามารถประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของธุรกิจ การเมือง เศรษฐกิจ ที่มีบทบาทต่อเมืองสงขลาจนทำให้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ และพระทานทานนามสกุล ได้แก่ ตระกูลประธานราษฎร์นิกร ตระกูลปิลกาญจน์ ตระกูลโคนันทน์ ตระกูลเสาวพฤกษ์ ตระกูลปริชญากร และตระกูลศิริโชติ ผ่านแหล่งข้อมูลที่เป็นประเภทปฐมภูมิ ได้แก่ เอกสาร บันทึก ภาพถ่าย แผ่นจารึกหน้าหลุมศพ ป้ายชื่อบรรพบุรุษ และคำบอกเล่าของทายาทในตระกูล</p>ชาวจีน, นามสกุล, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สงขลา28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=119https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/175-cover.jpg
119รายงานชีวประวัติและบทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง สมัยช่วงรัชกาลที่ 5 ถึงก่อนใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2411-2503)<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ต้องการศึกษาถึงชีวประวัติ บทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง ซึ่งเป็น 6 ตระกูลใหญ่ของจังหวัดสงขลา มีเชื้อสายจีน “ฮกเกี้ยน” ที่ได้อพยพเข้ามาในทางภาคใต้ของไทย ประกอบธุรกิจ จนสามารถประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของธุรกิจ การเมือง เศรษฐกิจ ที่มีบทบาทต่อเมืองสงขลาจนทำให้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ และพระทานทานนามสกุล ได้แก่ ตระกูลประธานราษฎร์นิกร ตระกูลปิลกาญจน์ ตระกูลโคนันทน์ ตระกูลเสาวพฤกษ์ ตระกูลปริชญากร และตระกูลศิริโชติ ผ่านแหล่งข้อมูลที่เป็นประเภทปฐมภูมิ ได้แก่ เอกสาร บันทึก ภาพถ่าย แผ่นจารึกหน้าหลุมศพ ป้ายชื่อบรรพบุรุษ และคำบอกเล่าของทายาทในตระกูล</p>ชาวจีน, นามสกุล, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สงขลา28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=119https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/175-cover.jpg
119หนังสือชีวประวัติและบทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง สมัยช่วงรัชกาลที่ 5 ถึงก่อนใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2411-2503)<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ต้องการศึกษาถึงชีวประวัติ บทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง ซึ่งเป็น 6 ตระกูลใหญ่ของจังหวัดสงขลา มีเชื้อสายจีน “ฮกเกี้ยน” ที่ได้อพยพเข้ามาในทางภาคใต้ของไทย ประกอบธุรกิจ จนสามารถประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของธุรกิจ การเมือง เศรษฐกิจ ที่มีบทบาทต่อเมืองสงขลาจนทำให้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ และพระทานทานนามสกุล ได้แก่ ตระกูลประธานราษฎร์นิกร ตระกูลปิลกาญจน์ ตระกูลโคนันทน์ ตระกูลเสาวพฤกษ์ ตระกูลปริชญากร และตระกูลศิริโชติ ผ่านแหล่งข้อมูลที่เป็นประเภทปฐมภูมิ ได้แก่ เอกสาร บันทึก ภาพถ่าย แผ่นจารึกหน้าหลุมศพ ป้ายชื่อบรรพบุรุษ และคำบอกเล่าของทายาทในตระกูล</p>ชาวจีน, นามสกุล, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สงขลา28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=119https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/175-cover.jpg
119จุลสารชีวประวัติและบทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง สมัยช่วงรัชกาลที่ 5 ถึงก่อนใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2411-2503)<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ต้องการศึกษาถึงชีวประวัติ บทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง ซึ่งเป็น 6 ตระกูลใหญ่ของจังหวัดสงขลา มีเชื้อสายจีน “ฮกเกี้ยน” ที่ได้อพยพเข้ามาในทางภาคใต้ของไทย ประกอบธุรกิจ จนสามารถประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของธุรกิจ การเมือง เศรษฐกิจ ที่มีบทบาทต่อเมืองสงขลาจนทำให้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ และพระทานทานนามสกุล ได้แก่ ตระกูลประธานราษฎร์นิกร ตระกูลปิลกาญจน์ ตระกูลโคนันทน์ ตระกูลเสาวพฤกษ์ ตระกูลปริชญากร และตระกูลศิริโชติ ผ่านแหล่งข้อมูลที่เป็นประเภทปฐมภูมิ ได้แก่ เอกสาร บันทึก ภาพถ่าย แผ่นจารึกหน้าหลุมศพ ป้ายชื่อบรรพบุรุษ และคำบอกเล่าของทายาทในตระกูล</p>ชาวจีน, นามสกุล, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สงขลา28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=119https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/175-cover.jpg
119สูจิบัตรชีวประวัติและบทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง สมัยช่วงรัชกาลที่ 5 ถึงก่อนใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2411-2503)<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ต้องการศึกษาถึงชีวประวัติ บทบาทของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนในเขตเมืองเก่าสงขลาบ่อยาง ซึ่งเป็น 6 ตระกูลใหญ่ของจังหวัดสงขลา มีเชื้อสายจีน “ฮกเกี้ยน” ที่ได้อพยพเข้ามาในทางภาคใต้ของไทย ประกอบธุรกิจ จนสามารถประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของธุรกิจ การเมือง เศรษฐกิจ ที่มีบทบาทต่อเมืองสงขลาจนทำให้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ และพระทานทานนามสกุล ได้แก่ ตระกูลประธานราษฎร์นิกร ตระกูลปิลกาญจน์ ตระกูลโคนันทน์ ตระกูลเสาวพฤกษ์ ตระกูลปริชญากร และตระกูลศิริโชติ ผ่านแหล่งข้อมูลที่เป็นประเภทปฐมภูมิ ได้แก่ เอกสาร บันทึก ภาพถ่าย แผ่นจารึกหน้าหลุมศพ ป้ายชื่อบรรพบุรุษ และคำบอกเล่าของทายาทในตระกูล</p>ชาวจีน, นามสกุล, ความเป็นอยู่และประเพณี, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สงขลา28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=119https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/175-cover.jpg
120อื่นๆหนังสือเรียนศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการเรียนการสอน ศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ด้วยสภาวะการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวเล อันได้รับผลกระทบจากการเจริญเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างไม่หยุดยั้งนั้น ทำให้คณะผู้จัดทำที่ล้วนเป็นกลุ่มชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ได้เล็งเห็นประโยชน์ในการจัดทำหนังสือศิลปะการแสดงรองเง็ง เพื่อให้เกิดเรียนรู้และปฏิบัติสืบทอดศิลปะการแสดงได้ต่อไป</p>
<p>
</p>รองเง็ง, การละเล่น, ความเป็นอยู่และประเพณี, ชาวเล, อูรักลาโว้ย, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สตูล28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=120https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/176-cover.jpg
120วารสารหนังสือเรียนศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการเรียนการสอน ศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ด้วยสภาวะการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวเล อันได้รับผลกระทบจากการเจริญเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างไม่หยุดยั้งนั้น ทำให้คณะผู้จัดทำที่ล้วนเป็นกลุ่มชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ได้เล็งเห็นประโยชน์ในการจัดทำหนังสือศิลปะการแสดงรองเง็ง เพื่อให้เกิดเรียนรู้และปฏิบัติสืบทอดศิลปะการแสดงได้ต่อไป</p>
<p>
</p>รองเง็ง, การละเล่น, ความเป็นอยู่และประเพณี, ชาวเล, อูรักลาโว้ย, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สตูล28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=120https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/176-cover.jpg
120บทความหนังสือเรียนศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการเรียนการสอน ศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ด้วยสภาวะการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวเล อันได้รับผลกระทบจากการเจริญเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างไม่หยุดยั้งนั้น ทำให้คณะผู้จัดทำที่ล้วนเป็นกลุ่มชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ได้เล็งเห็นประโยชน์ในการจัดทำหนังสือศิลปะการแสดงรองเง็ง เพื่อให้เกิดเรียนรู้และปฏิบัติสืบทอดศิลปะการแสดงได้ต่อไป</p>
<p>
</p>รองเง็ง, การละเล่น, ความเป็นอยู่และประเพณี, ชาวเล, อูรักลาโว้ย, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สตูล28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=120https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/176-cover.jpg
120วิทยานิพนธ์หนังสือเรียนศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการเรียนการสอน ศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ด้วยสภาวะการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวเล อันได้รับผลกระทบจากการเจริญเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างไม่หยุดยั้งนั้น ทำให้คณะผู้จัดทำที่ล้วนเป็นกลุ่มชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ได้เล็งเห็นประโยชน์ในการจัดทำหนังสือศิลปะการแสดงรองเง็ง เพื่อให้เกิดเรียนรู้และปฏิบัติสืบทอดศิลปะการแสดงได้ต่อไป</p>
<p>
</p>รองเง็ง, การละเล่น, ความเป็นอยู่และประเพณี, ชาวเล, อูรักลาโว้ย, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สตูล28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=120https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/176-cover.jpg
120รายงานงานวิจัยหนังสือเรียนศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการเรียนการสอน ศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ด้วยสภาวะการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวเล อันได้รับผลกระทบจากการเจริญเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างไม่หยุดยั้งนั้น ทำให้คณะผู้จัดทำที่ล้วนเป็นกลุ่มชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ได้เล็งเห็นประโยชน์ในการจัดทำหนังสือศิลปะการแสดงรองเง็ง เพื่อให้เกิดเรียนรู้และปฏิบัติสืบทอดศิลปะการแสดงได้ต่อไป</p>
<p>
</p>รองเง็ง, การละเล่น, ความเป็นอยู่และประเพณี, ชาวเล, อูรักลาโว้ย, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สตูล28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=120https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/176-cover.jpg
120รายงานหนังสือเรียนศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการเรียนการสอน ศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ด้วยสภาวะการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวเล อันได้รับผลกระทบจากการเจริญเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างไม่หยุดยั้งนั้น ทำให้คณะผู้จัดทำที่ล้วนเป็นกลุ่มชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ได้เล็งเห็นประโยชน์ในการจัดทำหนังสือศิลปะการแสดงรองเง็ง เพื่อให้เกิดเรียนรู้และปฏิบัติสืบทอดศิลปะการแสดงได้ต่อไป</p>
<p>
</p>รองเง็ง, การละเล่น, ความเป็นอยู่และประเพณี, ชาวเล, อูรักลาโว้ย, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สตูล28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=120https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/176-cover.jpg
120หนังสือหนังสือเรียนศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการเรียนการสอน ศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ด้วยสภาวะการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวเล อันได้รับผลกระทบจากการเจริญเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างไม่หยุดยั้งนั้น ทำให้คณะผู้จัดทำที่ล้วนเป็นกลุ่มชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ได้เล็งเห็นประโยชน์ในการจัดทำหนังสือศิลปะการแสดงรองเง็ง เพื่อให้เกิดเรียนรู้และปฏิบัติสืบทอดศิลปะการแสดงได้ต่อไป</p>
<p>
</p>รองเง็ง, การละเล่น, ความเป็นอยู่และประเพณี, ชาวเล, อูรักลาโว้ย, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สตูล28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=120https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/176-cover.jpg
120จุลสารหนังสือเรียนศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการเรียนการสอน ศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ด้วยสภาวะการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวเล อันได้รับผลกระทบจากการเจริญเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างไม่หยุดยั้งนั้น ทำให้คณะผู้จัดทำที่ล้วนเป็นกลุ่มชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ได้เล็งเห็นประโยชน์ในการจัดทำหนังสือศิลปะการแสดงรองเง็ง เพื่อให้เกิดเรียนรู้และปฏิบัติสืบทอดศิลปะการแสดงได้ต่อไป</p>
<p>
</p>รองเง็ง, การละเล่น, ความเป็นอยู่และประเพณี, ชาวเล, อูรักลาโว้ย, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สตูล28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=120https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/176-cover.jpg
120สูจิบัตรหนังสือเรียนศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการเรียนการสอน ศิลปะการแสดงรองเง็งชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ด้วยสภาวะการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวเล อันได้รับผลกระทบจากการเจริญเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างไม่หยุดยั้งนั้น ทำให้คณะผู้จัดทำที่ล้วนเป็นกลุ่มชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ได้เล็งเห็นประโยชน์ในการจัดทำหนังสือศิลปะการแสดงรองเง็ง เพื่อให้เกิดเรียนรู้และปฏิบัติสืบทอดศิลปะการแสดงได้ต่อไป</p>
<p>
</p>รองเง็ง, การละเล่น, ความเป็นอยู่และประเพณี, ชาวเล, อูรักลาโว้ย, นักมานุษยวิทยาเดินดิน, ภาคใต้, สตูล28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=120https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/176-cover.jpg
121อื่นๆโครงการ หนึ่งชุมชน หนึ่งนักมานุษยวิทยาเดินดิน ศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เรื่อง บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนหมู่บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล และเพื่อศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อพยพไปอยู่หมู่บ้านจัดสรร พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบและแนวทางการปรับตัวของชาวบ้านนาที่อพยพย้ายถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า คนในชุมชนบ้านนามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับพันปี จากหลักฐานทางโบราณคดีของกรมศิลปากร ทางด้านวัฒนธรรมของท้องถิ่นมีความผูกพันกับพุทธศาสนาและการทำมาหากินจากการทำนา ทำไร่ ทำสวน เก็บของป่าและจับปลาในแม่น้ำปิง ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนภูมิพลกั้นลำน้ำปิง ทำให้ชาวบ้านนาต้องอพยพโยกย้ายไปตามแต่ผู้นำครอบครัว แต่ก็ยังคงรักษาวิถีชีวิตตามแบบบรรพบุรุษที่บ้านนา โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม ประเพณี แต่ทั้งนี้ชาวบ้านนาที่อพยพมานั้นก็ต้องมีการปรับตัวต่อการตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นอย่างมาก พร้อมทั้งการยอมรับการเปลี่ยนแปลงตามกระแสสังคมสมัยใหม่ในเรื่อง การประกอบอาชีพ การศึกษา การสาธารณสุขและอื่น ๆ</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, วิถีชีวิต,บ้านนา, สามเงา, ตาก28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=121https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/177-cover.jpg
121วารสารโครงการ หนึ่งชุมชน หนึ่งนักมานุษยวิทยาเดินดิน ศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เรื่อง บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนหมู่บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล และเพื่อศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อพยพไปอยู่หมู่บ้านจัดสรร พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบและแนวทางการปรับตัวของชาวบ้านนาที่อพยพย้ายถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า คนในชุมชนบ้านนามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับพันปี จากหลักฐานทางโบราณคดีของกรมศิลปากร ทางด้านวัฒนธรรมของท้องถิ่นมีความผูกพันกับพุทธศาสนาและการทำมาหากินจากการทำนา ทำไร่ ทำสวน เก็บของป่าและจับปลาในแม่น้ำปิง ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนภูมิพลกั้นลำน้ำปิง ทำให้ชาวบ้านนาต้องอพยพโยกย้ายไปตามแต่ผู้นำครอบครัว แต่ก็ยังคงรักษาวิถีชีวิตตามแบบบรรพบุรุษที่บ้านนา โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม ประเพณี แต่ทั้งนี้ชาวบ้านนาที่อพยพมานั้นก็ต้องมีการปรับตัวต่อการตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นอย่างมาก พร้อมทั้งการยอมรับการเปลี่ยนแปลงตามกระแสสังคมสมัยใหม่ในเรื่อง การประกอบอาชีพ การศึกษา การสาธารณสุขและอื่น ๆ</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, วิถีชีวิต,บ้านนา, สามเงา, ตาก28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=121https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/177-cover.jpg
121บทความโครงการ หนึ่งชุมชน หนึ่งนักมานุษยวิทยาเดินดิน ศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เรื่อง บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนหมู่บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล และเพื่อศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อพยพไปอยู่หมู่บ้านจัดสรร พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบและแนวทางการปรับตัวของชาวบ้านนาที่อพยพย้ายถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า คนในชุมชนบ้านนามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับพันปี จากหลักฐานทางโบราณคดีของกรมศิลปากร ทางด้านวัฒนธรรมของท้องถิ่นมีความผูกพันกับพุทธศาสนาและการทำมาหากินจากการทำนา ทำไร่ ทำสวน เก็บของป่าและจับปลาในแม่น้ำปิง ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนภูมิพลกั้นลำน้ำปิง ทำให้ชาวบ้านนาต้องอพยพโยกย้ายไปตามแต่ผู้นำครอบครัว แต่ก็ยังคงรักษาวิถีชีวิตตามแบบบรรพบุรุษที่บ้านนา โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม ประเพณี แต่ทั้งนี้ชาวบ้านนาที่อพยพมานั้นก็ต้องมีการปรับตัวต่อการตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นอย่างมาก พร้อมทั้งการยอมรับการเปลี่ยนแปลงตามกระแสสังคมสมัยใหม่ในเรื่อง การประกอบอาชีพ การศึกษา การสาธารณสุขและอื่น ๆ</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, วิถีชีวิต,บ้านนา, สามเงา, ตาก28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=121https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/177-cover.jpg
121วิทยานิพนธ์โครงการ หนึ่งชุมชน หนึ่งนักมานุษยวิทยาเดินดิน ศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เรื่อง บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนหมู่บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล และเพื่อศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อพยพไปอยู่หมู่บ้านจัดสรร พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบและแนวทางการปรับตัวของชาวบ้านนาที่อพยพย้ายถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า คนในชุมชนบ้านนามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับพันปี จากหลักฐานทางโบราณคดีของกรมศิลปากร ทางด้านวัฒนธรรมของท้องถิ่นมีความผูกพันกับพุทธศาสนาและการทำมาหากินจากการทำนา ทำไร่ ทำสวน เก็บของป่าและจับปลาในแม่น้ำปิง ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนภูมิพลกั้นลำน้ำปิง ทำให้ชาวบ้านนาต้องอพยพโยกย้ายไปตามแต่ผู้นำครอบครัว แต่ก็ยังคงรักษาวิถีชีวิตตามแบบบรรพบุรุษที่บ้านนา โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม ประเพณี แต่ทั้งนี้ชาวบ้านนาที่อพยพมานั้นก็ต้องมีการปรับตัวต่อการตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นอย่างมาก พร้อมทั้งการยอมรับการเปลี่ยนแปลงตามกระแสสังคมสมัยใหม่ในเรื่อง การประกอบอาชีพ การศึกษา การสาธารณสุขและอื่น ๆ</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, วิถีชีวิต,บ้านนา, สามเงา, ตาก28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=121https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/177-cover.jpg
121รายงานโครงการ หนึ่งชุมชน หนึ่งนักมานุษยวิทยาเดินดิน ศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เรื่อง บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนหมู่บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล และเพื่อศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อพยพไปอยู่หมู่บ้านจัดสรร พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบและแนวทางการปรับตัวของชาวบ้านนาที่อพยพย้ายถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า คนในชุมชนบ้านนามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับพันปี จากหลักฐานทางโบราณคดีของกรมศิลปากร ทางด้านวัฒนธรรมของท้องถิ่นมีความผูกพันกับพุทธศาสนาและการทำมาหากินจากการทำนา ทำไร่ ทำสวน เก็บของป่าและจับปลาในแม่น้ำปิง ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนภูมิพลกั้นลำน้ำปิง ทำให้ชาวบ้านนาต้องอพยพโยกย้ายไปตามแต่ผู้นำครอบครัว แต่ก็ยังคงรักษาวิถีชีวิตตามแบบบรรพบุรุษที่บ้านนา โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม ประเพณี แต่ทั้งนี้ชาวบ้านนาที่อพยพมานั้นก็ต้องมีการปรับตัวต่อการตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นอย่างมาก พร้อมทั้งการยอมรับการเปลี่ยนแปลงตามกระแสสังคมสมัยใหม่ในเรื่อง การประกอบอาชีพ การศึกษา การสาธารณสุขและอื่น ๆ</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, วิถีชีวิต,บ้านนา, สามเงา, ตาก28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=121https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/177-cover.jpg
121รายงานงานวิจัยโครงการ หนึ่งชุมชน หนึ่งนักมานุษยวิทยาเดินดิน ศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เรื่อง บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนหมู่บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล และเพื่อศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อพยพไปอยู่หมู่บ้านจัดสรร พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบและแนวทางการปรับตัวของชาวบ้านนาที่อพยพย้ายถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า คนในชุมชนบ้านนามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับพันปี จากหลักฐานทางโบราณคดีของกรมศิลปากร ทางด้านวัฒนธรรมของท้องถิ่นมีความผูกพันกับพุทธศาสนาและการทำมาหากินจากการทำนา ทำไร่ ทำสวน เก็บของป่าและจับปลาในแม่น้ำปิง ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนภูมิพลกั้นลำน้ำปิง ทำให้ชาวบ้านนาต้องอพยพโยกย้ายไปตามแต่ผู้นำครอบครัว แต่ก็ยังคงรักษาวิถีชีวิตตามแบบบรรพบุรุษที่บ้านนา โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม ประเพณี แต่ทั้งนี้ชาวบ้านนาที่อพยพมานั้นก็ต้องมีการปรับตัวต่อการตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นอย่างมาก พร้อมทั้งการยอมรับการเปลี่ยนแปลงตามกระแสสังคมสมัยใหม่ในเรื่อง การประกอบอาชีพ การศึกษา การสาธารณสุขและอื่น ๆ</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, วิถีชีวิต,บ้านนา, สามเงา, ตาก28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=121https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/177-cover.jpg
121หนังสือโครงการ หนึ่งชุมชน หนึ่งนักมานุษยวิทยาเดินดิน ศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เรื่อง บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนหมู่บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล และเพื่อศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อพยพไปอยู่หมู่บ้านจัดสรร พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบและแนวทางการปรับตัวของชาวบ้านนาที่อพยพย้ายถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า คนในชุมชนบ้านนามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับพันปี จากหลักฐานทางโบราณคดีของกรมศิลปากร ทางด้านวัฒนธรรมของท้องถิ่นมีความผูกพันกับพุทธศาสนาและการทำมาหากินจากการทำนา ทำไร่ ทำสวน เก็บของป่าและจับปลาในแม่น้ำปิง ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนภูมิพลกั้นลำน้ำปิง ทำให้ชาวบ้านนาต้องอพยพโยกย้ายไปตามแต่ผู้นำครอบครัว แต่ก็ยังคงรักษาวิถีชีวิตตามแบบบรรพบุรุษที่บ้านนา โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม ประเพณี แต่ทั้งนี้ชาวบ้านนาที่อพยพมานั้นก็ต้องมีการปรับตัวต่อการตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นอย่างมาก พร้อมทั้งการยอมรับการเปลี่ยนแปลงตามกระแสสังคมสมัยใหม่ในเรื่อง การประกอบอาชีพ การศึกษา การสาธารณสุขและอื่น ๆ</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, วิถีชีวิต,บ้านนา, สามเงา, ตาก28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=121https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/177-cover.jpg
121จุลสารโครงการ หนึ่งชุมชน หนึ่งนักมานุษยวิทยาเดินดิน ศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เรื่อง บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนหมู่บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล และเพื่อศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อพยพไปอยู่หมู่บ้านจัดสรร พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบและแนวทางการปรับตัวของชาวบ้านนาที่อพยพย้ายถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า คนในชุมชนบ้านนามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับพันปี จากหลักฐานทางโบราณคดีของกรมศิลปากร ทางด้านวัฒนธรรมของท้องถิ่นมีความผูกพันกับพุทธศาสนาและการทำมาหากินจากการทำนา ทำไร่ ทำสวน เก็บของป่าและจับปลาในแม่น้ำปิง ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนภูมิพลกั้นลำน้ำปิง ทำให้ชาวบ้านนาต้องอพยพโยกย้ายไปตามแต่ผู้นำครอบครัว แต่ก็ยังคงรักษาวิถีชีวิตตามแบบบรรพบุรุษที่บ้านนา โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม ประเพณี แต่ทั้งนี้ชาวบ้านนาที่อพยพมานั้นก็ต้องมีการปรับตัวต่อการตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นอย่างมาก พร้อมทั้งการยอมรับการเปลี่ยนแปลงตามกระแสสังคมสมัยใหม่ในเรื่อง การประกอบอาชีพ การศึกษา การสาธารณสุขและอื่น ๆ</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, วิถีชีวิต,บ้านนา, สามเงา, ตาก28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=121https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/177-cover.jpg
121สูจิบัตรโครงการ หนึ่งชุมชน หนึ่งนักมานุษยวิทยาเดินดิน ศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เรื่อง บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนหมู่บ้านนาในน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล และเพื่อศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อพยพไปอยู่หมู่บ้านจัดสรร พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบและแนวทางการปรับตัวของชาวบ้านนาที่อพยพย้ายถิ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า คนในชุมชนบ้านนามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับพันปี จากหลักฐานทางโบราณคดีของกรมศิลปากร ทางด้านวัฒนธรรมของท้องถิ่นมีความผูกพันกับพุทธศาสนาและการทำมาหากินจากการทำนา ทำไร่ ทำสวน เก็บของป่าและจับปลาในแม่น้ำปิง ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนภูมิพลกั้นลำน้ำปิง ทำให้ชาวบ้านนาต้องอพยพโยกย้ายไปตามแต่ผู้นำครอบครัว แต่ก็ยังคงรักษาวิถีชีวิตตามแบบบรรพบุรุษที่บ้านนา โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม ประเพณี แต่ทั้งนี้ชาวบ้านนาที่อพยพมานั้นก็ต้องมีการปรับตัวต่อการตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นอย่างมาก พร้อมทั้งการยอมรับการเปลี่ยนแปลงตามกระแสสังคมสมัยใหม่ในเรื่อง การประกอบอาชีพ การศึกษา การสาธารณสุขและอื่น ๆ</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, วิถีชีวิต,บ้านนา, สามเงา, ตาก28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=121https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/177-cover.jpg
125อื่นๆมานุษยวิทยานิเวศว่าด้วยวิถีสังคมวัฒนธรรมและการจัดการทรัพยากรชุมชนบ้านกรูด<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาความเข้มแข็งของชุมชนบ้านกรูดในการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม และเพื่อศึกษาเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นตลอดจนความร่วมมือในการขับเคลื่อนการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ชุมชนบ้านกรูดและพื้นที่เกี่ยวข้องมีภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการฐานทรัพยากรด้านการประมงชายฝั่ง หรือประมงพื้นบ้านและด้านการเกษตร โดยเฉพาะการทำนาและสวนมะพร้าว อีกทั้งชาวชุมชนบ้านกรูด (บ้านดอนสูง) และแม่รำพึง (บ้านดอนสำราญ) สามารถสร้างองค์ความรู้ในการจัดการที่ดินและการทำนา ทำสวนมะพร้าว และพืชเกษตรอื่น ๆ ด้วยฐานความรู้เดิมและการปรับองค์ความรู้ที่ตนมีอยู่เข้ากับวิถีการผลิตทางการเกษตรของตน ให้เท่าทันกับสถานการณ์ทางสังคมวัฒนธรรม และระบบนิเวศของชุมชนที่เปลี่ยนแปลงไป</p>
<p>
</p>ชุมชนบ้านกรูด, เกษตรอินทรีย์, ประมงพื้นบ้าน, มานุษยวิทยา, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ประจวบคีรีขันธ์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=125https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/196-cover.jpg
125วารสารมานุษยวิทยานิเวศว่าด้วยวิถีสังคมวัฒนธรรมและการจัดการทรัพยากรชุมชนบ้านกรูด<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาความเข้มแข็งของชุมชนบ้านกรูดในการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม และเพื่อศึกษาเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นตลอดจนความร่วมมือในการขับเคลื่อนการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ชุมชนบ้านกรูดและพื้นที่เกี่ยวข้องมีภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการฐานทรัพยากรด้านการประมงชายฝั่ง หรือประมงพื้นบ้านและด้านการเกษตร โดยเฉพาะการทำนาและสวนมะพร้าว อีกทั้งชาวชุมชนบ้านกรูด (บ้านดอนสูง) และแม่รำพึง (บ้านดอนสำราญ) สามารถสร้างองค์ความรู้ในการจัดการที่ดินและการทำนา ทำสวนมะพร้าว และพืชเกษตรอื่น ๆ ด้วยฐานความรู้เดิมและการปรับองค์ความรู้ที่ตนมีอยู่เข้ากับวิถีการผลิตทางการเกษตรของตน ให้เท่าทันกับสถานการณ์ทางสังคมวัฒนธรรม และระบบนิเวศของชุมชนที่เปลี่ยนแปลงไป</p>
<p>
</p>ชุมชนบ้านกรูด, เกษตรอินทรีย์, ประมงพื้นบ้าน, มานุษยวิทยา, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ประจวบคีรีขันธ์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=125https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/196-cover.jpg
125บทความมานุษยวิทยานิเวศว่าด้วยวิถีสังคมวัฒนธรรมและการจัดการทรัพยากรชุมชนบ้านกรูด<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาความเข้มแข็งของชุมชนบ้านกรูดในการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม และเพื่อศึกษาเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นตลอดจนความร่วมมือในการขับเคลื่อนการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ชุมชนบ้านกรูดและพื้นที่เกี่ยวข้องมีภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการฐานทรัพยากรด้านการประมงชายฝั่ง หรือประมงพื้นบ้านและด้านการเกษตร โดยเฉพาะการทำนาและสวนมะพร้าว อีกทั้งชาวชุมชนบ้านกรูด (บ้านดอนสูง) และแม่รำพึง (บ้านดอนสำราญ) สามารถสร้างองค์ความรู้ในการจัดการที่ดินและการทำนา ทำสวนมะพร้าว และพืชเกษตรอื่น ๆ ด้วยฐานความรู้เดิมและการปรับองค์ความรู้ที่ตนมีอยู่เข้ากับวิถีการผลิตทางการเกษตรของตน ให้เท่าทันกับสถานการณ์ทางสังคมวัฒนธรรม และระบบนิเวศของชุมชนที่เปลี่ยนแปลงไป</p>
<p>
</p>ชุมชนบ้านกรูด, เกษตรอินทรีย์, ประมงพื้นบ้าน, มานุษยวิทยา, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ประจวบคีรีขันธ์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=125https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/196-cover.jpg
125วิทยานิพนธ์มานุษยวิทยานิเวศว่าด้วยวิถีสังคมวัฒนธรรมและการจัดการทรัพยากรชุมชนบ้านกรูด<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาความเข้มแข็งของชุมชนบ้านกรูดในการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม และเพื่อศึกษาเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นตลอดจนความร่วมมือในการขับเคลื่อนการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ชุมชนบ้านกรูดและพื้นที่เกี่ยวข้องมีภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการฐานทรัพยากรด้านการประมงชายฝั่ง หรือประมงพื้นบ้านและด้านการเกษตร โดยเฉพาะการทำนาและสวนมะพร้าว อีกทั้งชาวชุมชนบ้านกรูด (บ้านดอนสูง) และแม่รำพึง (บ้านดอนสำราญ) สามารถสร้างองค์ความรู้ในการจัดการที่ดินและการทำนา ทำสวนมะพร้าว และพืชเกษตรอื่น ๆ ด้วยฐานความรู้เดิมและการปรับองค์ความรู้ที่ตนมีอยู่เข้ากับวิถีการผลิตทางการเกษตรของตน ให้เท่าทันกับสถานการณ์ทางสังคมวัฒนธรรม และระบบนิเวศของชุมชนที่เปลี่ยนแปลงไป</p>
<p>
</p>ชุมชนบ้านกรูด, เกษตรอินทรีย์, ประมงพื้นบ้าน, มานุษยวิทยา, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ประจวบคีรีขันธ์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=125https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/196-cover.jpg
125รายงานงานวิจัยมานุษยวิทยานิเวศว่าด้วยวิถีสังคมวัฒนธรรมและการจัดการทรัพยากรชุมชนบ้านกรูด<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาความเข้มแข็งของชุมชนบ้านกรูดในการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม และเพื่อศึกษาเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นตลอดจนความร่วมมือในการขับเคลื่อนการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ชุมชนบ้านกรูดและพื้นที่เกี่ยวข้องมีภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการฐานทรัพยากรด้านการประมงชายฝั่ง หรือประมงพื้นบ้านและด้านการเกษตร โดยเฉพาะการทำนาและสวนมะพร้าว อีกทั้งชาวชุมชนบ้านกรูด (บ้านดอนสูง) และแม่รำพึง (บ้านดอนสำราญ) สามารถสร้างองค์ความรู้ในการจัดการที่ดินและการทำนา ทำสวนมะพร้าว และพืชเกษตรอื่น ๆ ด้วยฐานความรู้เดิมและการปรับองค์ความรู้ที่ตนมีอยู่เข้ากับวิถีการผลิตทางการเกษตรของตน ให้เท่าทันกับสถานการณ์ทางสังคมวัฒนธรรม และระบบนิเวศของชุมชนที่เปลี่ยนแปลงไป</p>
<p>
</p>ชุมชนบ้านกรูด, เกษตรอินทรีย์, ประมงพื้นบ้าน, มานุษยวิทยา, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ประจวบคีรีขันธ์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=125https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/196-cover.jpg
125รายงานมานุษยวิทยานิเวศว่าด้วยวิถีสังคมวัฒนธรรมและการจัดการทรัพยากรชุมชนบ้านกรูด<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาความเข้มแข็งของชุมชนบ้านกรูดในการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม และเพื่อศึกษาเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นตลอดจนความร่วมมือในการขับเคลื่อนการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ชุมชนบ้านกรูดและพื้นที่เกี่ยวข้องมีภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการฐานทรัพยากรด้านการประมงชายฝั่ง หรือประมงพื้นบ้านและด้านการเกษตร โดยเฉพาะการทำนาและสวนมะพร้าว อีกทั้งชาวชุมชนบ้านกรูด (บ้านดอนสูง) และแม่รำพึง (บ้านดอนสำราญ) สามารถสร้างองค์ความรู้ในการจัดการที่ดินและการทำนา ทำสวนมะพร้าว และพืชเกษตรอื่น ๆ ด้วยฐานความรู้เดิมและการปรับองค์ความรู้ที่ตนมีอยู่เข้ากับวิถีการผลิตทางการเกษตรของตน ให้เท่าทันกับสถานการณ์ทางสังคมวัฒนธรรม และระบบนิเวศของชุมชนที่เปลี่ยนแปลงไป</p>
<p>
</p>ชุมชนบ้านกรูด, เกษตรอินทรีย์, ประมงพื้นบ้าน, มานุษยวิทยา, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ประจวบคีรีขันธ์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=125https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/196-cover.jpg
125หนังสือมานุษยวิทยานิเวศว่าด้วยวิถีสังคมวัฒนธรรมและการจัดการทรัพยากรชุมชนบ้านกรูด<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาความเข้มแข็งของชุมชนบ้านกรูดในการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม และเพื่อศึกษาเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นตลอดจนความร่วมมือในการขับเคลื่อนการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ชุมชนบ้านกรูดและพื้นที่เกี่ยวข้องมีภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการฐานทรัพยากรด้านการประมงชายฝั่ง หรือประมงพื้นบ้านและด้านการเกษตร โดยเฉพาะการทำนาและสวนมะพร้าว อีกทั้งชาวชุมชนบ้านกรูด (บ้านดอนสูง) และแม่รำพึง (บ้านดอนสำราญ) สามารถสร้างองค์ความรู้ในการจัดการที่ดินและการทำนา ทำสวนมะพร้าว และพืชเกษตรอื่น ๆ ด้วยฐานความรู้เดิมและการปรับองค์ความรู้ที่ตนมีอยู่เข้ากับวิถีการผลิตทางการเกษตรของตน ให้เท่าทันกับสถานการณ์ทางสังคมวัฒนธรรม และระบบนิเวศของชุมชนที่เปลี่ยนแปลงไป</p>
<p>
</p>ชุมชนบ้านกรูด, เกษตรอินทรีย์, ประมงพื้นบ้าน, มานุษยวิทยา, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ประจวบคีรีขันธ์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=125https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/196-cover.jpg
125จุลสารมานุษยวิทยานิเวศว่าด้วยวิถีสังคมวัฒนธรรมและการจัดการทรัพยากรชุมชนบ้านกรูด<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาความเข้มแข็งของชุมชนบ้านกรูดในการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม และเพื่อศึกษาเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นตลอดจนความร่วมมือในการขับเคลื่อนการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ชุมชนบ้านกรูดและพื้นที่เกี่ยวข้องมีภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการฐานทรัพยากรด้านการประมงชายฝั่ง หรือประมงพื้นบ้านและด้านการเกษตร โดยเฉพาะการทำนาและสวนมะพร้าว อีกทั้งชาวชุมชนบ้านกรูด (บ้านดอนสูง) และแม่รำพึง (บ้านดอนสำราญ) สามารถสร้างองค์ความรู้ในการจัดการที่ดินและการทำนา ทำสวนมะพร้าว และพืชเกษตรอื่น ๆ ด้วยฐานความรู้เดิมและการปรับองค์ความรู้ที่ตนมีอยู่เข้ากับวิถีการผลิตทางการเกษตรของตน ให้เท่าทันกับสถานการณ์ทางสังคมวัฒนธรรม และระบบนิเวศของชุมชนที่เปลี่ยนแปลงไป</p>
<p>
</p>ชุมชนบ้านกรูด, เกษตรอินทรีย์, ประมงพื้นบ้าน, มานุษยวิทยา, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ประจวบคีรีขันธ์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=125https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/196-cover.jpg
125สูจิบัตรมานุษยวิทยานิเวศว่าด้วยวิถีสังคมวัฒนธรรมและการจัดการทรัพยากรชุมชนบ้านกรูด<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาความเข้มแข็งของชุมชนบ้านกรูดในการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม และเพื่อศึกษาเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นตลอดจนความร่วมมือในการขับเคลื่อนการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ชุมชนบ้านกรูดและพื้นที่เกี่ยวข้องมีภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการฐานทรัพยากรด้านการประมงชายฝั่ง หรือประมงพื้นบ้านและด้านการเกษตร โดยเฉพาะการทำนาและสวนมะพร้าว อีกทั้งชาวชุมชนบ้านกรูด (บ้านดอนสูง) และแม่รำพึง (บ้านดอนสำราญ) สามารถสร้างองค์ความรู้ในการจัดการที่ดินและการทำนา ทำสวนมะพร้าว และพืชเกษตรอื่น ๆ ด้วยฐานความรู้เดิมและการปรับองค์ความรู้ที่ตนมีอยู่เข้ากับวิถีการผลิตทางการเกษตรของตน ให้เท่าทันกับสถานการณ์ทางสังคมวัฒนธรรม และระบบนิเวศของชุมชนที่เปลี่ยนแปลงไป</p>
<p>
</p>ชุมชนบ้านกรูด, เกษตรอินทรีย์, ประมงพื้นบ้าน, มานุษยวิทยา, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ประจวบคีรีขันธ์28 ธันวาคม พ.ศ. 2561ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=125https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/196-cover.jpg
136อื่นๆการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก : กรณีศึกษาวัดอัมพวัน อ.เมือง จ.ลพบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี รวมถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาในวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญให้กับชุมชนอื่น ๆ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ประเพณีของชุมชนชาวมอญบางขันหมากจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ประเพณีนั้นสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ ทั้งนี้จำเป็นต้องมีผู้นำชุมชนและเครือข่ายที่เข้มแข็งในการทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ดีสิ่งที่สำคัญคือการสืบทอดรักษาเอกลักษณ์และทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตน โดยไม่เน้นกระแสการท่องเที่ยวทุนนิยมที่อาจเปลี่ยนแปลงสังคมโดยรวมทั้งหมดได้</p>
<p>
</p>มอญ, ความเป็นอยู่และประเพณี, บางขันหมาก, ลพบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=136https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/207-cover.jpg
136วารสารการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก : กรณีศึกษาวัดอัมพวัน อ.เมือง จ.ลพบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี รวมถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาในวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญให้กับชุมชนอื่น ๆ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ประเพณีของชุมชนชาวมอญบางขันหมากจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ประเพณีนั้นสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ ทั้งนี้จำเป็นต้องมีผู้นำชุมชนและเครือข่ายที่เข้มแข็งในการทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ดีสิ่งที่สำคัญคือการสืบทอดรักษาเอกลักษณ์และทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตน โดยไม่เน้นกระแสการท่องเที่ยวทุนนิยมที่อาจเปลี่ยนแปลงสังคมโดยรวมทั้งหมดได้</p>
<p>
</p>มอญ, ความเป็นอยู่และประเพณี, บางขันหมาก, ลพบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=136https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/207-cover.jpg
136บทความการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก : กรณีศึกษาวัดอัมพวัน อ.เมือง จ.ลพบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี รวมถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาในวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญให้กับชุมชนอื่น ๆ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ประเพณีของชุมชนชาวมอญบางขันหมากจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ประเพณีนั้นสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ ทั้งนี้จำเป็นต้องมีผู้นำชุมชนและเครือข่ายที่เข้มแข็งในการทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ดีสิ่งที่สำคัญคือการสืบทอดรักษาเอกลักษณ์และทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตน โดยไม่เน้นกระแสการท่องเที่ยวทุนนิยมที่อาจเปลี่ยนแปลงสังคมโดยรวมทั้งหมดได้</p>
<p>
</p>มอญ, ความเป็นอยู่และประเพณี, บางขันหมาก, ลพบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=136https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/207-cover.jpg
136วิทยานิพนธ์การสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก : กรณีศึกษาวัดอัมพวัน อ.เมือง จ.ลพบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี รวมถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาในวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญให้กับชุมชนอื่น ๆ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ประเพณีของชุมชนชาวมอญบางขันหมากจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ประเพณีนั้นสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ ทั้งนี้จำเป็นต้องมีผู้นำชุมชนและเครือข่ายที่เข้มแข็งในการทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ดีสิ่งที่สำคัญคือการสืบทอดรักษาเอกลักษณ์และทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตน โดยไม่เน้นกระแสการท่องเที่ยวทุนนิยมที่อาจเปลี่ยนแปลงสังคมโดยรวมทั้งหมดได้</p>
<p>
</p>มอญ, ความเป็นอยู่และประเพณี, บางขันหมาก, ลพบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=136https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/207-cover.jpg
136รายงานงานวิจัยการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก : กรณีศึกษาวัดอัมพวัน อ.เมือง จ.ลพบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี รวมถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาในวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญให้กับชุมชนอื่น ๆ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ประเพณีของชุมชนชาวมอญบางขันหมากจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ประเพณีนั้นสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ ทั้งนี้จำเป็นต้องมีผู้นำชุมชนและเครือข่ายที่เข้มแข็งในการทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ดีสิ่งที่สำคัญคือการสืบทอดรักษาเอกลักษณ์และทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตน โดยไม่เน้นกระแสการท่องเที่ยวทุนนิยมที่อาจเปลี่ยนแปลงสังคมโดยรวมทั้งหมดได้</p>
<p>
</p>มอญ, ความเป็นอยู่และประเพณี, บางขันหมาก, ลพบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=136https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/207-cover.jpg
136รายงานการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก : กรณีศึกษาวัดอัมพวัน อ.เมือง จ.ลพบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี รวมถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาในวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญให้กับชุมชนอื่น ๆ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ประเพณีของชุมชนชาวมอญบางขันหมากจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ประเพณีนั้นสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ ทั้งนี้จำเป็นต้องมีผู้นำชุมชนและเครือข่ายที่เข้มแข็งในการทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ดีสิ่งที่สำคัญคือการสืบทอดรักษาเอกลักษณ์และทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตน โดยไม่เน้นกระแสการท่องเที่ยวทุนนิยมที่อาจเปลี่ยนแปลงสังคมโดยรวมทั้งหมดได้</p>
<p>
</p>มอญ, ความเป็นอยู่และประเพณี, บางขันหมาก, ลพบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=136https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/207-cover.jpg
136หนังสือการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก : กรณีศึกษาวัดอัมพวัน อ.เมือง จ.ลพบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี รวมถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาในวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญให้กับชุมชนอื่น ๆ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ประเพณีของชุมชนชาวมอญบางขันหมากจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ประเพณีนั้นสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ ทั้งนี้จำเป็นต้องมีผู้นำชุมชนและเครือข่ายที่เข้มแข็งในการทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ดีสิ่งที่สำคัญคือการสืบทอดรักษาเอกลักษณ์และทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตน โดยไม่เน้นกระแสการท่องเที่ยวทุนนิยมที่อาจเปลี่ยนแปลงสังคมโดยรวมทั้งหมดได้</p>
<p>
</p>มอญ, ความเป็นอยู่และประเพณี, บางขันหมาก, ลพบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=136https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/207-cover.jpg
136จุลสารการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก : กรณีศึกษาวัดอัมพวัน อ.เมือง จ.ลพบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี รวมถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาในวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญให้กับชุมชนอื่น ๆ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ประเพณีของชุมชนชาวมอญบางขันหมากจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ประเพณีนั้นสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ ทั้งนี้จำเป็นต้องมีผู้นำชุมชนและเครือข่ายที่เข้มแข็งในการทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ดีสิ่งที่สำคัญคือการสืบทอดรักษาเอกลักษณ์และทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตน โดยไม่เน้นกระแสการท่องเที่ยวทุนนิยมที่อาจเปลี่ยนแปลงสังคมโดยรวมทั้งหมดได้</p>
<p>
</p>มอญ, ความเป็นอยู่และประเพณี, บางขันหมาก, ลพบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=136https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/207-cover.jpg
136สูจิบัตรการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก : กรณีศึกษาวัดอัมพวัน อ.เมือง จ.ลพบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เพื่อศึกษาวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญบางขันหมาก อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี รวมถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาในวัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญให้กับชุมชนอื่น ๆ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ประเพณีของชุมชนชาวมอญบางขันหมากจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ประเพณีนั้นสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ ทั้งนี้จำเป็นต้องมีผู้นำชุมชนและเครือข่ายที่เข้มแข็งในการทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ดีสิ่งที่สำคัญคือการสืบทอดรักษาเอกลักษณ์และทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตน โดยไม่เน้นกระแสการท่องเที่ยวทุนนิยมที่อาจเปลี่ยนแปลงสังคมโดยรวมทั้งหมดได้</p>
<p>
</p>มอญ, ความเป็นอยู่และประเพณี, บางขันหมาก, ลพบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=136https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/207-cover.jpg
137อื่นๆสงกรานต์การดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลงในบริบทการท่องเที่ยว<p>
ประเพณีสงกรานต์ แต่เดิมมีจุดประสงค์ในการสร้างหรือตอกย้ำความสัมพันธ์ทางสังคม ระหว่างครอบครัว เครือญาติ และชุมชน โดยใช้กิจกรรมรดน้ำดำหัว ขอพร ทำบุญไหว้พระ และมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านจากปีเก่าสู่ปีใหม่ตามแบบฉบับของไทย แต่เมื่อระยะเวลาเปลี่ยนแปลงไป ประเพณีสงกรานต์ได้ถูกหยิบยกมาใช้ในแง่ของการเป็นทุนทางด้านวัฒนธรรม ในมิติของเศรษฐกิจที่มีจุดมุ่งหมายให้เป็นประเพณีแห่งความรื่นเริง สนุกสนาน เป็นประเพณีแห่งการท่องเที่ยว เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ประเพณีสงกรานต์ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ถูกนำมารื้อฟื้นเป็นทุนทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับพื้นที่ของตน ประเพณีสงกรานต์จึงเปลี่ยนแปลงความหมายจากการเป็นประเพณีระบบชุมชนที่เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ในสังคม มาสู่ประเพณีในเชิงเศรษฐกิจ มีความหมายเป็นประเพณีของมวลชน โดยมีทั้งบุคคล รัฐบาล และองค์รทั้งภาครัฐและเอกชนมาเกี่ยวข้อง</p>
<p>
</p>สงกรานต์, การท่องเที่ยว, จารีตประเพณี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=137https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/212-cover.jpg
137วารสารสงกรานต์การดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลงในบริบทการท่องเที่ยว<p>
ประเพณีสงกรานต์ แต่เดิมมีจุดประสงค์ในการสร้างหรือตอกย้ำความสัมพันธ์ทางสังคม ระหว่างครอบครัว เครือญาติ และชุมชน โดยใช้กิจกรรมรดน้ำดำหัว ขอพร ทำบุญไหว้พระ และมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านจากปีเก่าสู่ปีใหม่ตามแบบฉบับของไทย แต่เมื่อระยะเวลาเปลี่ยนแปลงไป ประเพณีสงกรานต์ได้ถูกหยิบยกมาใช้ในแง่ของการเป็นทุนทางด้านวัฒนธรรม ในมิติของเศรษฐกิจที่มีจุดมุ่งหมายให้เป็นประเพณีแห่งความรื่นเริง สนุกสนาน เป็นประเพณีแห่งการท่องเที่ยว เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ประเพณีสงกรานต์ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ถูกนำมารื้อฟื้นเป็นทุนทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับพื้นที่ของตน ประเพณีสงกรานต์จึงเปลี่ยนแปลงความหมายจากการเป็นประเพณีระบบชุมชนที่เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ในสังคม มาสู่ประเพณีในเชิงเศรษฐกิจ มีความหมายเป็นประเพณีของมวลชน โดยมีทั้งบุคคล รัฐบาล และองค์รทั้งภาครัฐและเอกชนมาเกี่ยวข้อง</p>
<p>
</p>สงกรานต์, การท่องเที่ยว, จารีตประเพณี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=137https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/212-cover.jpg
137บทความสงกรานต์การดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลงในบริบทการท่องเที่ยว<p>
ประเพณีสงกรานต์ แต่เดิมมีจุดประสงค์ในการสร้างหรือตอกย้ำความสัมพันธ์ทางสังคม ระหว่างครอบครัว เครือญาติ และชุมชน โดยใช้กิจกรรมรดน้ำดำหัว ขอพร ทำบุญไหว้พระ และมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านจากปีเก่าสู่ปีใหม่ตามแบบฉบับของไทย แต่เมื่อระยะเวลาเปลี่ยนแปลงไป ประเพณีสงกรานต์ได้ถูกหยิบยกมาใช้ในแง่ของการเป็นทุนทางด้านวัฒนธรรม ในมิติของเศรษฐกิจที่มีจุดมุ่งหมายให้เป็นประเพณีแห่งความรื่นเริง สนุกสนาน เป็นประเพณีแห่งการท่องเที่ยว เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ประเพณีสงกรานต์ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ถูกนำมารื้อฟื้นเป็นทุนทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับพื้นที่ของตน ประเพณีสงกรานต์จึงเปลี่ยนแปลงความหมายจากการเป็นประเพณีระบบชุมชนที่เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ในสังคม มาสู่ประเพณีในเชิงเศรษฐกิจ มีความหมายเป็นประเพณีของมวลชน โดยมีทั้งบุคคล รัฐบาล และองค์รทั้งภาครัฐและเอกชนมาเกี่ยวข้อง</p>
<p>
</p>สงกรานต์, การท่องเที่ยว, จารีตประเพณี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=137https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/212-cover.jpg
137วิทยานิพนธ์สงกรานต์การดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลงในบริบทการท่องเที่ยว<p>
ประเพณีสงกรานต์ แต่เดิมมีจุดประสงค์ในการสร้างหรือตอกย้ำความสัมพันธ์ทางสังคม ระหว่างครอบครัว เครือญาติ และชุมชน โดยใช้กิจกรรมรดน้ำดำหัว ขอพร ทำบุญไหว้พระ และมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านจากปีเก่าสู่ปีใหม่ตามแบบฉบับของไทย แต่เมื่อระยะเวลาเปลี่ยนแปลงไป ประเพณีสงกรานต์ได้ถูกหยิบยกมาใช้ในแง่ของการเป็นทุนทางด้านวัฒนธรรม ในมิติของเศรษฐกิจที่มีจุดมุ่งหมายให้เป็นประเพณีแห่งความรื่นเริง สนุกสนาน เป็นประเพณีแห่งการท่องเที่ยว เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ประเพณีสงกรานต์ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ถูกนำมารื้อฟื้นเป็นทุนทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับพื้นที่ของตน ประเพณีสงกรานต์จึงเปลี่ยนแปลงความหมายจากการเป็นประเพณีระบบชุมชนที่เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ในสังคม มาสู่ประเพณีในเชิงเศรษฐกิจ มีความหมายเป็นประเพณีของมวลชน โดยมีทั้งบุคคล รัฐบาล และองค์รทั้งภาครัฐและเอกชนมาเกี่ยวข้อง</p>
<p>
</p>สงกรานต์, การท่องเที่ยว, จารีตประเพณี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=137https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/212-cover.jpg
137รายงานงานวิจัยสงกรานต์การดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลงในบริบทการท่องเที่ยว<p>
ประเพณีสงกรานต์ แต่เดิมมีจุดประสงค์ในการสร้างหรือตอกย้ำความสัมพันธ์ทางสังคม ระหว่างครอบครัว เครือญาติ และชุมชน โดยใช้กิจกรรมรดน้ำดำหัว ขอพร ทำบุญไหว้พระ และมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านจากปีเก่าสู่ปีใหม่ตามแบบฉบับของไทย แต่เมื่อระยะเวลาเปลี่ยนแปลงไป ประเพณีสงกรานต์ได้ถูกหยิบยกมาใช้ในแง่ของการเป็นทุนทางด้านวัฒนธรรม ในมิติของเศรษฐกิจที่มีจุดมุ่งหมายให้เป็นประเพณีแห่งความรื่นเริง สนุกสนาน เป็นประเพณีแห่งการท่องเที่ยว เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ประเพณีสงกรานต์ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ถูกนำมารื้อฟื้นเป็นทุนทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับพื้นที่ของตน ประเพณีสงกรานต์จึงเปลี่ยนแปลงความหมายจากการเป็นประเพณีระบบชุมชนที่เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ในสังคม มาสู่ประเพณีในเชิงเศรษฐกิจ มีความหมายเป็นประเพณีของมวลชน โดยมีทั้งบุคคล รัฐบาล และองค์รทั้งภาครัฐและเอกชนมาเกี่ยวข้อง</p>
<p>
</p>สงกรานต์, การท่องเที่ยว, จารีตประเพณี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=137https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/212-cover.jpg
137รายงานสงกรานต์การดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลงในบริบทการท่องเที่ยว<p>
ประเพณีสงกรานต์ แต่เดิมมีจุดประสงค์ในการสร้างหรือตอกย้ำความสัมพันธ์ทางสังคม ระหว่างครอบครัว เครือญาติ และชุมชน โดยใช้กิจกรรมรดน้ำดำหัว ขอพร ทำบุญไหว้พระ และมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านจากปีเก่าสู่ปีใหม่ตามแบบฉบับของไทย แต่เมื่อระยะเวลาเปลี่ยนแปลงไป ประเพณีสงกรานต์ได้ถูกหยิบยกมาใช้ในแง่ของการเป็นทุนทางด้านวัฒนธรรม ในมิติของเศรษฐกิจที่มีจุดมุ่งหมายให้เป็นประเพณีแห่งความรื่นเริง สนุกสนาน เป็นประเพณีแห่งการท่องเที่ยว เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ประเพณีสงกรานต์ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ถูกนำมารื้อฟื้นเป็นทุนทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับพื้นที่ของตน ประเพณีสงกรานต์จึงเปลี่ยนแปลงความหมายจากการเป็นประเพณีระบบชุมชนที่เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ในสังคม มาสู่ประเพณีในเชิงเศรษฐกิจ มีความหมายเป็นประเพณีของมวลชน โดยมีทั้งบุคคล รัฐบาล และองค์รทั้งภาครัฐและเอกชนมาเกี่ยวข้อง</p>
<p>
</p>สงกรานต์, การท่องเที่ยว, จารีตประเพณี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=137https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/212-cover.jpg
137หนังสือสงกรานต์การดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลงในบริบทการท่องเที่ยว<p>
ประเพณีสงกรานต์ แต่เดิมมีจุดประสงค์ในการสร้างหรือตอกย้ำความสัมพันธ์ทางสังคม ระหว่างครอบครัว เครือญาติ และชุมชน โดยใช้กิจกรรมรดน้ำดำหัว ขอพร ทำบุญไหว้พระ และมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านจากปีเก่าสู่ปีใหม่ตามแบบฉบับของไทย แต่เมื่อระยะเวลาเปลี่ยนแปลงไป ประเพณีสงกรานต์ได้ถูกหยิบยกมาใช้ในแง่ของการเป็นทุนทางด้านวัฒนธรรม ในมิติของเศรษฐกิจที่มีจุดมุ่งหมายให้เป็นประเพณีแห่งความรื่นเริง สนุกสนาน เป็นประเพณีแห่งการท่องเที่ยว เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ประเพณีสงกรานต์ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ถูกนำมารื้อฟื้นเป็นทุนทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับพื้นที่ของตน ประเพณีสงกรานต์จึงเปลี่ยนแปลงความหมายจากการเป็นประเพณีระบบชุมชนที่เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ในสังคม มาสู่ประเพณีในเชิงเศรษฐกิจ มีความหมายเป็นประเพณีของมวลชน โดยมีทั้งบุคคล รัฐบาล และองค์รทั้งภาครัฐและเอกชนมาเกี่ยวข้อง</p>
<p>
</p>สงกรานต์, การท่องเที่ยว, จารีตประเพณี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=137https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/212-cover.jpg
137จุลสารสงกรานต์การดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลงในบริบทการท่องเที่ยว<p>
ประเพณีสงกรานต์ แต่เดิมมีจุดประสงค์ในการสร้างหรือตอกย้ำความสัมพันธ์ทางสังคม ระหว่างครอบครัว เครือญาติ และชุมชน โดยใช้กิจกรรมรดน้ำดำหัว ขอพร ทำบุญไหว้พระ และมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านจากปีเก่าสู่ปีใหม่ตามแบบฉบับของไทย แต่เมื่อระยะเวลาเปลี่ยนแปลงไป ประเพณีสงกรานต์ได้ถูกหยิบยกมาใช้ในแง่ของการเป็นทุนทางด้านวัฒนธรรม ในมิติของเศรษฐกิจที่มีจุดมุ่งหมายให้เป็นประเพณีแห่งความรื่นเริง สนุกสนาน เป็นประเพณีแห่งการท่องเที่ยว เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ประเพณีสงกรานต์ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ถูกนำมารื้อฟื้นเป็นทุนทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับพื้นที่ของตน ประเพณีสงกรานต์จึงเปลี่ยนแปลงความหมายจากการเป็นประเพณีระบบชุมชนที่เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ในสังคม มาสู่ประเพณีในเชิงเศรษฐกิจ มีความหมายเป็นประเพณีของมวลชน โดยมีทั้งบุคคล รัฐบาล และองค์รทั้งภาครัฐและเอกชนมาเกี่ยวข้อง</p>
<p>
</p>สงกรานต์, การท่องเที่ยว, จารีตประเพณี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=137https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/212-cover.jpg
137สูจิบัตรสงกรานต์การดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลงในบริบทการท่องเที่ยว<p>
ประเพณีสงกรานต์ แต่เดิมมีจุดประสงค์ในการสร้างหรือตอกย้ำความสัมพันธ์ทางสังคม ระหว่างครอบครัว เครือญาติ และชุมชน โดยใช้กิจกรรมรดน้ำดำหัว ขอพร ทำบุญไหว้พระ และมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านจากปีเก่าสู่ปีใหม่ตามแบบฉบับของไทย แต่เมื่อระยะเวลาเปลี่ยนแปลงไป ประเพณีสงกรานต์ได้ถูกหยิบยกมาใช้ในแง่ของการเป็นทุนทางด้านวัฒนธรรม ในมิติของเศรษฐกิจที่มีจุดมุ่งหมายให้เป็นประเพณีแห่งความรื่นเริง สนุกสนาน เป็นประเพณีแห่งการท่องเที่ยว เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ประเพณีสงกรานต์ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ถูกนำมารื้อฟื้นเป็นทุนทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับพื้นที่ของตน ประเพณีสงกรานต์จึงเปลี่ยนแปลงความหมายจากการเป็นประเพณีระบบชุมชนที่เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ในสังคม มาสู่ประเพณีในเชิงเศรษฐกิจ มีความหมายเป็นประเพณีของมวลชน โดยมีทั้งบุคคล รัฐบาล และองค์รทั้งภาครัฐและเอกชนมาเกี่ยวข้อง</p>
<p>
</p>สงกรานต์, การท่องเที่ยว, จารีตประเพณี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=137https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/212-cover.jpg
138อื่นๆคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท กรณีศึกษา ผู้สูงอายุในจังหวัดราชบุรี<p>
งานวิจัยชิ้นนี้เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท โดยศึกษาทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท รวมทั้งศึกษาบทบาทของหน่วยงานต่าง ๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ผู้สูงอายุในบ้านม่วงส่วนใหญ่เป็นคนมอญโดยกำเนิด ซึ่ง “ปัจจัยภายใน” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ สุขภาพร่างกาย สภาพเศรษฐกิจ ครอบครัว และความสามารถในการปรับตัวของผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในส่วนของ “ปัจจัยภายนอก” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้สูงอายุที่มีความผูกพันกับประเพณีวัฒนธรรมความเป็นมอญและจะส่งผลต่อไปในระยะยาว โดยหน่วยงานที่มีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชุมชนบ้านม่วงมากที่สุด ได้แก่ วัดม่วง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านม่วง และองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านม่วง</p>
<div>
</div>ผู้สูงอายุ, คุณภาพชีวิต, ไทย, ราชบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=138https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/213-cover.jpg
138วารสารคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท กรณีศึกษา ผู้สูงอายุในจังหวัดราชบุรี<p>
งานวิจัยชิ้นนี้เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท โดยศึกษาทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท รวมทั้งศึกษาบทบาทของหน่วยงานต่าง ๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ผู้สูงอายุในบ้านม่วงส่วนใหญ่เป็นคนมอญโดยกำเนิด ซึ่ง “ปัจจัยภายใน” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ สุขภาพร่างกาย สภาพเศรษฐกิจ ครอบครัว และความสามารถในการปรับตัวของผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในส่วนของ “ปัจจัยภายนอก” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้สูงอายุที่มีความผูกพันกับประเพณีวัฒนธรรมความเป็นมอญและจะส่งผลต่อไปในระยะยาว โดยหน่วยงานที่มีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชุมชนบ้านม่วงมากที่สุด ได้แก่ วัดม่วง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านม่วง และองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านม่วง</p>
<div>
</div>ผู้สูงอายุ, คุณภาพชีวิต, ไทย, ราชบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=138https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/213-cover.jpg
138บทความคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท กรณีศึกษา ผู้สูงอายุในจังหวัดราชบุรี<p>
งานวิจัยชิ้นนี้เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท โดยศึกษาทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท รวมทั้งศึกษาบทบาทของหน่วยงานต่าง ๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ผู้สูงอายุในบ้านม่วงส่วนใหญ่เป็นคนมอญโดยกำเนิด ซึ่ง “ปัจจัยภายใน” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ สุขภาพร่างกาย สภาพเศรษฐกิจ ครอบครัว และความสามารถในการปรับตัวของผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในส่วนของ “ปัจจัยภายนอก” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้สูงอายุที่มีความผูกพันกับประเพณีวัฒนธรรมความเป็นมอญและจะส่งผลต่อไปในระยะยาว โดยหน่วยงานที่มีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชุมชนบ้านม่วงมากที่สุด ได้แก่ วัดม่วง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านม่วง และองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านม่วง</p>
<div>
</div>ผู้สูงอายุ, คุณภาพชีวิต, ไทย, ราชบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=138https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/213-cover.jpg
138วิทยานิพนธ์คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท กรณีศึกษา ผู้สูงอายุในจังหวัดราชบุรี<p>
งานวิจัยชิ้นนี้เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท โดยศึกษาทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท รวมทั้งศึกษาบทบาทของหน่วยงานต่าง ๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ผู้สูงอายุในบ้านม่วงส่วนใหญ่เป็นคนมอญโดยกำเนิด ซึ่ง “ปัจจัยภายใน” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ สุขภาพร่างกาย สภาพเศรษฐกิจ ครอบครัว และความสามารถในการปรับตัวของผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในส่วนของ “ปัจจัยภายนอก” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้สูงอายุที่มีความผูกพันกับประเพณีวัฒนธรรมความเป็นมอญและจะส่งผลต่อไปในระยะยาว โดยหน่วยงานที่มีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชุมชนบ้านม่วงมากที่สุด ได้แก่ วัดม่วง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านม่วง และองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านม่วง</p>
<div>
</div>ผู้สูงอายุ, คุณภาพชีวิต, ไทย, ราชบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=138https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/213-cover.jpg
138รายงานงานวิจัยคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท กรณีศึกษา ผู้สูงอายุในจังหวัดราชบุรี<p>
งานวิจัยชิ้นนี้เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท โดยศึกษาทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท รวมทั้งศึกษาบทบาทของหน่วยงานต่าง ๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ผู้สูงอายุในบ้านม่วงส่วนใหญ่เป็นคนมอญโดยกำเนิด ซึ่ง “ปัจจัยภายใน” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ สุขภาพร่างกาย สภาพเศรษฐกิจ ครอบครัว และความสามารถในการปรับตัวของผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในส่วนของ “ปัจจัยภายนอก” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้สูงอายุที่มีความผูกพันกับประเพณีวัฒนธรรมความเป็นมอญและจะส่งผลต่อไปในระยะยาว โดยหน่วยงานที่มีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชุมชนบ้านม่วงมากที่สุด ได้แก่ วัดม่วง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านม่วง และองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านม่วง</p>
<div>
</div>ผู้สูงอายุ, คุณภาพชีวิต, ไทย, ราชบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=138https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/213-cover.jpg
138รายงานคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท กรณีศึกษา ผู้สูงอายุในจังหวัดราชบุรี<p>
งานวิจัยชิ้นนี้เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท โดยศึกษาทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท รวมทั้งศึกษาบทบาทของหน่วยงานต่าง ๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ผู้สูงอายุในบ้านม่วงส่วนใหญ่เป็นคนมอญโดยกำเนิด ซึ่ง “ปัจจัยภายใน” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ สุขภาพร่างกาย สภาพเศรษฐกิจ ครอบครัว และความสามารถในการปรับตัวของผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในส่วนของ “ปัจจัยภายนอก” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้สูงอายุที่มีความผูกพันกับประเพณีวัฒนธรรมความเป็นมอญและจะส่งผลต่อไปในระยะยาว โดยหน่วยงานที่มีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชุมชนบ้านม่วงมากที่สุด ได้แก่ วัดม่วง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านม่วง และองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านม่วง</p>
<div>
</div>ผู้สูงอายุ, คุณภาพชีวิต, ไทย, ราชบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=138https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/213-cover.jpg
138หนังสือคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท กรณีศึกษา ผู้สูงอายุในจังหวัดราชบุรี<p>
งานวิจัยชิ้นนี้เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท โดยศึกษาทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท รวมทั้งศึกษาบทบาทของหน่วยงานต่าง ๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ผู้สูงอายุในบ้านม่วงส่วนใหญ่เป็นคนมอญโดยกำเนิด ซึ่ง “ปัจจัยภายใน” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ สุขภาพร่างกาย สภาพเศรษฐกิจ ครอบครัว และความสามารถในการปรับตัวของผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในส่วนของ “ปัจจัยภายนอก” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้สูงอายุที่มีความผูกพันกับประเพณีวัฒนธรรมความเป็นมอญและจะส่งผลต่อไปในระยะยาว โดยหน่วยงานที่มีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชุมชนบ้านม่วงมากที่สุด ได้แก่ วัดม่วง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านม่วง และองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านม่วง</p>
<div>
</div>ผู้สูงอายุ, คุณภาพชีวิต, ไทย, ราชบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=138https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/213-cover.jpg
138จุลสารคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท กรณีศึกษา ผู้สูงอายุในจังหวัดราชบุรี<p>
งานวิจัยชิ้นนี้เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท โดยศึกษาทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท รวมทั้งศึกษาบทบาทของหน่วยงานต่าง ๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ผู้สูงอายุในบ้านม่วงส่วนใหญ่เป็นคนมอญโดยกำเนิด ซึ่ง “ปัจจัยภายใน” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ สุขภาพร่างกาย สภาพเศรษฐกิจ ครอบครัว และความสามารถในการปรับตัวของผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในส่วนของ “ปัจจัยภายนอก” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้สูงอายุที่มีความผูกพันกับประเพณีวัฒนธรรมความเป็นมอญและจะส่งผลต่อไปในระยะยาว โดยหน่วยงานที่มีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชุมชนบ้านม่วงมากที่สุด ได้แก่ วัดม่วง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านม่วง และองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านม่วง</p>
<div>
</div>ผู้สูงอายุ, คุณภาพชีวิต, ไทย, ราชบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=138https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/213-cover.jpg
138สูจิบัตรคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท กรณีศึกษา ผู้สูงอายุในจังหวัดราชบุรี<p>
งานวิจัยชิ้นนี้เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท โดยศึกษาทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมชนบท รวมทั้งศึกษาบทบาทของหน่วยงานต่าง ๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ผู้สูงอายุในบ้านม่วงส่วนใหญ่เป็นคนมอญโดยกำเนิด ซึ่ง “ปัจจัยภายใน” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ สุขภาพร่างกาย สภาพเศรษฐกิจ ครอบครัว และความสามารถในการปรับตัวของผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในส่วนของ “ปัจจัยภายนอก” ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้สูงอายุที่มีความผูกพันกับประเพณีวัฒนธรรมความเป็นมอญและจะส่งผลต่อไปในระยะยาว โดยหน่วยงานที่มีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชุมชนบ้านม่วงมากที่สุด ได้แก่ วัดม่วง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านม่วง และองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านม่วง</p>
<div>
</div>ผู้สูงอายุ, คุณภาพชีวิต, ไทย, ราชบุรี4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=138https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/213-cover.jpg
154อื่นๆการศึกษาวิจัยองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ชาวอาข่า ชุมชนอาแย ได้ร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน ผ่านการรวบรวมองค์ความรู้ของชุมชนที่เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์พืช เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจ และสังคมในปัจจุบัน ตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างศักยภาพของคนในชุมชนให้มีความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืนต่อไป ซึ่งจากการจัดทำโครงการวิจัยพบว่า การที่ทำให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการนั้นจะเป็นแนวทางต่อไปในการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชนให้กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้ง รวมไปถึงเป็นการผนวกความร่วมมือของคนในชุมชนทั้งปราชญ์ท้องถิ่นในการเพาะปลูกพืชผักผลไม้และการจัดการทรัพยากรต่างให้กับชุมชนของตนเอง </p>อาข่า, กลุ่มชาติพันธุ์, การปลูกพืช, การเก็บรักษา, องค์ความรู้, ไทย, ภาคเหนือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=154https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/298-cover.jpg
154วารสารการศึกษาวิจัยองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ชาวอาข่า ชุมชนอาแย ได้ร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน ผ่านการรวบรวมองค์ความรู้ของชุมชนที่เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์พืช เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจ และสังคมในปัจจุบัน ตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างศักยภาพของคนในชุมชนให้มีความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืนต่อไป ซึ่งจากการจัดทำโครงการวิจัยพบว่า การที่ทำให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการนั้นจะเป็นแนวทางต่อไปในการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชนให้กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้ง รวมไปถึงเป็นการผนวกความร่วมมือของคนในชุมชนทั้งปราชญ์ท้องถิ่นในการเพาะปลูกพืชผักผลไม้และการจัดการทรัพยากรต่างให้กับชุมชนของตนเอง </p>อาข่า, กลุ่มชาติพันธุ์, การปลูกพืช, การเก็บรักษา, องค์ความรู้, ไทย, ภาคเหนือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=154https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/298-cover.jpg
154บทความการศึกษาวิจัยองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ชาวอาข่า ชุมชนอาแย ได้ร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน ผ่านการรวบรวมองค์ความรู้ของชุมชนที่เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์พืช เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจ และสังคมในปัจจุบัน ตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างศักยภาพของคนในชุมชนให้มีความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืนต่อไป ซึ่งจากการจัดทำโครงการวิจัยพบว่า การที่ทำให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการนั้นจะเป็นแนวทางต่อไปในการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชนให้กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้ง รวมไปถึงเป็นการผนวกความร่วมมือของคนในชุมชนทั้งปราชญ์ท้องถิ่นในการเพาะปลูกพืชผักผลไม้และการจัดการทรัพยากรต่างให้กับชุมชนของตนเอง </p>อาข่า, กลุ่มชาติพันธุ์, การปลูกพืช, การเก็บรักษา, องค์ความรู้, ไทย, ภาคเหนือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=154https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/298-cover.jpg
154วิทยานิพนธ์การศึกษาวิจัยองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ชาวอาข่า ชุมชนอาแย ได้ร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน ผ่านการรวบรวมองค์ความรู้ของชุมชนที่เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์พืช เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจ และสังคมในปัจจุบัน ตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างศักยภาพของคนในชุมชนให้มีความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืนต่อไป ซึ่งจากการจัดทำโครงการวิจัยพบว่า การที่ทำให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการนั้นจะเป็นแนวทางต่อไปในการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชนให้กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้ง รวมไปถึงเป็นการผนวกความร่วมมือของคนในชุมชนทั้งปราชญ์ท้องถิ่นในการเพาะปลูกพืชผักผลไม้และการจัดการทรัพยากรต่างให้กับชุมชนของตนเอง </p>อาข่า, กลุ่มชาติพันธุ์, การปลูกพืช, การเก็บรักษา, องค์ความรู้, ไทย, ภาคเหนือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=154https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/298-cover.jpg
154รายงานงานวิจัยการศึกษาวิจัยองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ชาวอาข่า ชุมชนอาแย ได้ร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน ผ่านการรวบรวมองค์ความรู้ของชุมชนที่เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์พืช เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจ และสังคมในปัจจุบัน ตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างศักยภาพของคนในชุมชนให้มีความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืนต่อไป ซึ่งจากการจัดทำโครงการวิจัยพบว่า การที่ทำให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการนั้นจะเป็นแนวทางต่อไปในการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชนให้กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้ง รวมไปถึงเป็นการผนวกความร่วมมือของคนในชุมชนทั้งปราชญ์ท้องถิ่นในการเพาะปลูกพืชผักผลไม้และการจัดการทรัพยากรต่างให้กับชุมชนของตนเอง </p>อาข่า, กลุ่มชาติพันธุ์, การปลูกพืช, การเก็บรักษา, องค์ความรู้, ไทย, ภาคเหนือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=154https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/298-cover.jpg
154รายงานการศึกษาวิจัยองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ชาวอาข่า ชุมชนอาแย ได้ร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน ผ่านการรวบรวมองค์ความรู้ของชุมชนที่เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์พืช เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจ และสังคมในปัจจุบัน ตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างศักยภาพของคนในชุมชนให้มีความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืนต่อไป ซึ่งจากการจัดทำโครงการวิจัยพบว่า การที่ทำให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการนั้นจะเป็นแนวทางต่อไปในการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชนให้กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้ง รวมไปถึงเป็นการผนวกความร่วมมือของคนในชุมชนทั้งปราชญ์ท้องถิ่นในการเพาะปลูกพืชผักผลไม้และการจัดการทรัพยากรต่างให้กับชุมชนของตนเอง </p>อาข่า, กลุ่มชาติพันธุ์, การปลูกพืช, การเก็บรักษา, องค์ความรู้, ไทย, ภาคเหนือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=154https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/298-cover.jpg
154หนังสือการศึกษาวิจัยองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ชาวอาข่า ชุมชนอาแย ได้ร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน ผ่านการรวบรวมองค์ความรู้ของชุมชนที่เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์พืช เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจ และสังคมในปัจจุบัน ตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างศักยภาพของคนในชุมชนให้มีความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืนต่อไป ซึ่งจากการจัดทำโครงการวิจัยพบว่า การที่ทำให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการนั้นจะเป็นแนวทางต่อไปในการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชนให้กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้ง รวมไปถึงเป็นการผนวกความร่วมมือของคนในชุมชนทั้งปราชญ์ท้องถิ่นในการเพาะปลูกพืชผักผลไม้และการจัดการทรัพยากรต่างให้กับชุมชนของตนเอง </p>อาข่า, กลุ่มชาติพันธุ์, การปลูกพืช, การเก็บรักษา, องค์ความรู้, ไทย, ภาคเหนือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=154https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/298-cover.jpg
154จุลสารการศึกษาวิจัยองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ชาวอาข่า ชุมชนอาแย ได้ร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน ผ่านการรวบรวมองค์ความรู้ของชุมชนที่เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์พืช เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจ และสังคมในปัจจุบัน ตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างศักยภาพของคนในชุมชนให้มีความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืนต่อไป ซึ่งจากการจัดทำโครงการวิจัยพบว่า การที่ทำให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการนั้นจะเป็นแนวทางต่อไปในการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชนให้กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้ง รวมไปถึงเป็นการผนวกความร่วมมือของคนในชุมชนทั้งปราชญ์ท้องถิ่นในการเพาะปลูกพืชผักผลไม้และการจัดการทรัพยากรต่างให้กับชุมชนของตนเอง </p>อาข่า, กลุ่มชาติพันธุ์, การปลูกพืช, การเก็บรักษา, องค์ความรู้, ไทย, ภาคเหนือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=154https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/298-cover.jpg
154สูจิบัตรการศึกษาวิจัยองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า<p>
งานศึกษาชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ชาวอาข่า ชุมชนอาแย ได้ร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน ผ่านการรวบรวมองค์ความรู้ของชุมชนที่เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์พืช เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจ และสังคมในปัจจุบัน ตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างศักยภาพของคนในชุมชนให้มีความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืนต่อไป ซึ่งจากการจัดทำโครงการวิจัยพบว่า การที่ทำให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการนั้นจะเป็นแนวทางต่อไปในการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชนให้กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้ง รวมไปถึงเป็นการผนวกความร่วมมือของคนในชุมชนทั้งปราชญ์ท้องถิ่นในการเพาะปลูกพืชผักผลไม้และการจัดการทรัพยากรต่างให้กับชุมชนของตนเอง </p>อาข่า, กลุ่มชาติพันธุ์, การปลูกพืช, การเก็บรักษา, องค์ความรู้, ไทย, ภาคเหนือ, นักมานุษยวิทยาเดินดิน4 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=154https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/298-cover.jpg
155อื่นๆการเปลี่ยนแปลงประเพณี และพิธีกรรม "เม-ด้ำ-เม-ผี" ของคนไทอาหม รัฐอัสสัม อินเดีย<p>
รัฐอัสสัม เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ พบกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไทอยู่บริเวณดินแดนปลายสุดทางตะวันตก ที่เกิดจากการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนไทจนก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักรไทอาหม อันมีอัตลักษณ์ทางภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีชีวิตในรูปแบบของตนเอง แต่เมื่อรัฐอัสสัมมีบริบทความเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ทำให้อัตลักษณ์ของชาวไทอาหมเปลี่ยนแปลงไป จนบางอย่างได้ถูกลบเลือนสูญหายไปจากความทรงจำและวิถีชีวิตของคนไทอาหม แต่เมื่อสำนึกทางประวัติศาสตร์ถูกรื้อฟื้น ประกอบกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต้องการแยกรัฐอัสสัมเป็นรัฐอิสระ ทำให้ประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ได้ถูกรื้อฟื้นอีกครั้งเพื่อสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ร่วมกันของรัฐอัสสัม โดยเฉพาะประเพณี “เม-ด้ำ-เม-ผี” ถือได้ว่าเป็นประเพณีที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของรัฐอัสสัม </p>ไทอาหม, อัสสัม, อินเดีย, เมด้ำเมผี, ความเป็นอยู่และประเพณี, วัฒนธรรม,8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=155https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/299-cover.jpg
155วารสารการเปลี่ยนแปลงประเพณี และพิธีกรรม "เม-ด้ำ-เม-ผี" ของคนไทอาหม รัฐอัสสัม อินเดีย<p>
รัฐอัสสัม เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ พบกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไทอยู่บริเวณดินแดนปลายสุดทางตะวันตก ที่เกิดจากการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนไทจนก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักรไทอาหม อันมีอัตลักษณ์ทางภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีชีวิตในรูปแบบของตนเอง แต่เมื่อรัฐอัสสัมมีบริบทความเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ทำให้อัตลักษณ์ของชาวไทอาหมเปลี่ยนแปลงไป จนบางอย่างได้ถูกลบเลือนสูญหายไปจากความทรงจำและวิถีชีวิตของคนไทอาหม แต่เมื่อสำนึกทางประวัติศาสตร์ถูกรื้อฟื้น ประกอบกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต้องการแยกรัฐอัสสัมเป็นรัฐอิสระ ทำให้ประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ได้ถูกรื้อฟื้นอีกครั้งเพื่อสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ร่วมกันของรัฐอัสสัม โดยเฉพาะประเพณี “เม-ด้ำ-เม-ผี” ถือได้ว่าเป็นประเพณีที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของรัฐอัสสัม </p>ไทอาหม, อัสสัม, อินเดีย, เมด้ำเมผี, ความเป็นอยู่และประเพณี, วัฒนธรรม,8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=155https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/299-cover.jpg
155บทความการเปลี่ยนแปลงประเพณี และพิธีกรรม "เม-ด้ำ-เม-ผี" ของคนไทอาหม รัฐอัสสัม อินเดีย<p>
รัฐอัสสัม เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ พบกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไทอยู่บริเวณดินแดนปลายสุดทางตะวันตก ที่เกิดจากการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนไทจนก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักรไทอาหม อันมีอัตลักษณ์ทางภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีชีวิตในรูปแบบของตนเอง แต่เมื่อรัฐอัสสัมมีบริบทความเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ทำให้อัตลักษณ์ของชาวไทอาหมเปลี่ยนแปลงไป จนบางอย่างได้ถูกลบเลือนสูญหายไปจากความทรงจำและวิถีชีวิตของคนไทอาหม แต่เมื่อสำนึกทางประวัติศาสตร์ถูกรื้อฟื้น ประกอบกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต้องการแยกรัฐอัสสัมเป็นรัฐอิสระ ทำให้ประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ได้ถูกรื้อฟื้นอีกครั้งเพื่อสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ร่วมกันของรัฐอัสสัม โดยเฉพาะประเพณี “เม-ด้ำ-เม-ผี” ถือได้ว่าเป็นประเพณีที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของรัฐอัสสัม </p>ไทอาหม, อัสสัม, อินเดีย, เมด้ำเมผี, ความเป็นอยู่และประเพณี, วัฒนธรรม,8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=155https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/299-cover.jpg
155วิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงประเพณี และพิธีกรรม "เม-ด้ำ-เม-ผี" ของคนไทอาหม รัฐอัสสัม อินเดีย<p>
รัฐอัสสัม เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ พบกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไทอยู่บริเวณดินแดนปลายสุดทางตะวันตก ที่เกิดจากการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนไทจนก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักรไทอาหม อันมีอัตลักษณ์ทางภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีชีวิตในรูปแบบของตนเอง แต่เมื่อรัฐอัสสัมมีบริบทความเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ทำให้อัตลักษณ์ของชาวไทอาหมเปลี่ยนแปลงไป จนบางอย่างได้ถูกลบเลือนสูญหายไปจากความทรงจำและวิถีชีวิตของคนไทอาหม แต่เมื่อสำนึกทางประวัติศาสตร์ถูกรื้อฟื้น ประกอบกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต้องการแยกรัฐอัสสัมเป็นรัฐอิสระ ทำให้ประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ได้ถูกรื้อฟื้นอีกครั้งเพื่อสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ร่วมกันของรัฐอัสสัม โดยเฉพาะประเพณี “เม-ด้ำ-เม-ผี” ถือได้ว่าเป็นประเพณีที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของรัฐอัสสัม </p>ไทอาหม, อัสสัม, อินเดีย, เมด้ำเมผี, ความเป็นอยู่และประเพณี, วัฒนธรรม,8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=155https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/299-cover.jpg
155รายงานงานวิจัยการเปลี่ยนแปลงประเพณี และพิธีกรรม "เม-ด้ำ-เม-ผี" ของคนไทอาหม รัฐอัสสัม อินเดีย<p>
รัฐอัสสัม เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ พบกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไทอยู่บริเวณดินแดนปลายสุดทางตะวันตก ที่เกิดจากการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนไทจนก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักรไทอาหม อันมีอัตลักษณ์ทางภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีชีวิตในรูปแบบของตนเอง แต่เมื่อรัฐอัสสัมมีบริบทความเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ทำให้อัตลักษณ์ของชาวไทอาหมเปลี่ยนแปลงไป จนบางอย่างได้ถูกลบเลือนสูญหายไปจากความทรงจำและวิถีชีวิตของคนไทอาหม แต่เมื่อสำนึกทางประวัติศาสตร์ถูกรื้อฟื้น ประกอบกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต้องการแยกรัฐอัสสัมเป็นรัฐอิสระ ทำให้ประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ได้ถูกรื้อฟื้นอีกครั้งเพื่อสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ร่วมกันของรัฐอัสสัม โดยเฉพาะประเพณี “เม-ด้ำ-เม-ผี” ถือได้ว่าเป็นประเพณีที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของรัฐอัสสัม </p>ไทอาหม, อัสสัม, อินเดีย, เมด้ำเมผี, ความเป็นอยู่และประเพณี, วัฒนธรรม,8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=155https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/299-cover.jpg
155รายงานการเปลี่ยนแปลงประเพณี และพิธีกรรม "เม-ด้ำ-เม-ผี" ของคนไทอาหม รัฐอัสสัม อินเดีย<p>
รัฐอัสสัม เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ พบกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไทอยู่บริเวณดินแดนปลายสุดทางตะวันตก ที่เกิดจากการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนไทจนก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักรไทอาหม อันมีอัตลักษณ์ทางภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีชีวิตในรูปแบบของตนเอง แต่เมื่อรัฐอัสสัมมีบริบทความเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ทำให้อัตลักษณ์ของชาวไทอาหมเปลี่ยนแปลงไป จนบางอย่างได้ถูกลบเลือนสูญหายไปจากความทรงจำและวิถีชีวิตของคนไทอาหม แต่เมื่อสำนึกทางประวัติศาสตร์ถูกรื้อฟื้น ประกอบกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต้องการแยกรัฐอัสสัมเป็นรัฐอิสระ ทำให้ประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ได้ถูกรื้อฟื้นอีกครั้งเพื่อสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ร่วมกันของรัฐอัสสัม โดยเฉพาะประเพณี “เม-ด้ำ-เม-ผี” ถือได้ว่าเป็นประเพณีที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของรัฐอัสสัม </p>ไทอาหม, อัสสัม, อินเดีย, เมด้ำเมผี, ความเป็นอยู่และประเพณี, วัฒนธรรม,8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=155https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/299-cover.jpg
155หนังสือการเปลี่ยนแปลงประเพณี และพิธีกรรม "เม-ด้ำ-เม-ผี" ของคนไทอาหม รัฐอัสสัม อินเดีย<p>
รัฐอัสสัม เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ พบกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไทอยู่บริเวณดินแดนปลายสุดทางตะวันตก ที่เกิดจากการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนไทจนก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักรไทอาหม อันมีอัตลักษณ์ทางภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีชีวิตในรูปแบบของตนเอง แต่เมื่อรัฐอัสสัมมีบริบทความเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ทำให้อัตลักษณ์ของชาวไทอาหมเปลี่ยนแปลงไป จนบางอย่างได้ถูกลบเลือนสูญหายไปจากความทรงจำและวิถีชีวิตของคนไทอาหม แต่เมื่อสำนึกทางประวัติศาสตร์ถูกรื้อฟื้น ประกอบกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต้องการแยกรัฐอัสสัมเป็นรัฐอิสระ ทำให้ประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ได้ถูกรื้อฟื้นอีกครั้งเพื่อสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ร่วมกันของรัฐอัสสัม โดยเฉพาะประเพณี “เม-ด้ำ-เม-ผี” ถือได้ว่าเป็นประเพณีที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของรัฐอัสสัม </p>ไทอาหม, อัสสัม, อินเดีย, เมด้ำเมผี, ความเป็นอยู่และประเพณี, วัฒนธรรม,8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=155https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/299-cover.jpg
155จุลสารการเปลี่ยนแปลงประเพณี และพิธีกรรม "เม-ด้ำ-เม-ผี" ของคนไทอาหม รัฐอัสสัม อินเดีย<p>
รัฐอัสสัม เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ พบกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไทอยู่บริเวณดินแดนปลายสุดทางตะวันตก ที่เกิดจากการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนไทจนก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักรไทอาหม อันมีอัตลักษณ์ทางภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีชีวิตในรูปแบบของตนเอง แต่เมื่อรัฐอัสสัมมีบริบทความเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ทำให้อัตลักษณ์ของชาวไทอาหมเปลี่ยนแปลงไป จนบางอย่างได้ถูกลบเลือนสูญหายไปจากความทรงจำและวิถีชีวิตของคนไทอาหม แต่เมื่อสำนึกทางประวัติศาสตร์ถูกรื้อฟื้น ประกอบกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต้องการแยกรัฐอัสสัมเป็นรัฐอิสระ ทำให้ประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ได้ถูกรื้อฟื้นอีกครั้งเพื่อสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ร่วมกันของรัฐอัสสัม โดยเฉพาะประเพณี “เม-ด้ำ-เม-ผี” ถือได้ว่าเป็นประเพณีที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของรัฐอัสสัม </p>ไทอาหม, อัสสัม, อินเดีย, เมด้ำเมผี, ความเป็นอยู่และประเพณี, วัฒนธรรม,8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=155https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/299-cover.jpg
155สูจิบัตรการเปลี่ยนแปลงประเพณี และพิธีกรรม "เม-ด้ำ-เม-ผี" ของคนไทอาหม รัฐอัสสัม อินเดีย<p>
รัฐอัสสัม เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ พบกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไทอยู่บริเวณดินแดนปลายสุดทางตะวันตก ที่เกิดจากการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนไทจนก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักรไทอาหม อันมีอัตลักษณ์ทางภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีชีวิตในรูปแบบของตนเอง แต่เมื่อรัฐอัสสัมมีบริบทความเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ทำให้อัตลักษณ์ของชาวไทอาหมเปลี่ยนแปลงไป จนบางอย่างได้ถูกลบเลือนสูญหายไปจากความทรงจำและวิถีชีวิตของคนไทอาหม แต่เมื่อสำนึกทางประวัติศาสตร์ถูกรื้อฟื้น ประกอบกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต้องการแยกรัฐอัสสัมเป็นรัฐอิสระ ทำให้ประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ได้ถูกรื้อฟื้นอีกครั้งเพื่อสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ร่วมกันของรัฐอัสสัม โดยเฉพาะประเพณี “เม-ด้ำ-เม-ผี” ถือได้ว่าเป็นประเพณีที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของรัฐอัสสัม </p>ไทอาหม, อัสสัม, อินเดีย, เมด้ำเมผี, ความเป็นอยู่และประเพณี, วัฒนธรรม,8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=155https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/299-cover.jpg
156อื่นๆการเดินทางของชีวิต: ความหมายต่อความชราภาพและการใช้ชีวิตของกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ กรณีศึกษา บ้านเกาะแรต หมู่ที่12 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน และบ้านหัวถนน ตำบลดอนพุทรา อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม<p>
งานวิจัยชิ้นนี้มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต ความหมายและการปฏิบัติตัวของผู้สูงอายุไทดำ ซึ่งจากการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่าความหมายของความชราภาพในกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ อาจจะเริ่มต้นจากความแตกต่างทั้งทางเพศสภาพที่ทำให้การเดินทางของชีวิต การมีตำแหน่งหน้าที่ บทบาททางสังคมแตกต่างกันออกไป แต่ภายใต้ความเป็นชาติพันธุ์ที่ยึดโยงอยู่บนระบบประเพณี วัฒนธรรมความเชื่อเดียวกันในเรื่องของผีและบรรพบุรุษได้ให้ความหมายต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุไทดำในมิติทางสังคม วัฒนธรรม และชาติพันธุ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้สูงอายุไทดำได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่าในตัวเองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและสังคมวัฒนธรรม</p>
<p>
</p>โซ่ง, ไทดำ, ผู้สูงอายุ, ความเป็นอยู่และประเพณี, นครปฐม8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=156https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/300-cover.jpg
156วารสารการเดินทางของชีวิต: ความหมายต่อความชราภาพและการใช้ชีวิตของกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ กรณีศึกษา บ้านเกาะแรต หมู่ที่12 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน และบ้านหัวถนน ตำบลดอนพุทรา อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม<p>
งานวิจัยชิ้นนี้มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต ความหมายและการปฏิบัติตัวของผู้สูงอายุไทดำ ซึ่งจากการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่าความหมายของความชราภาพในกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ อาจจะเริ่มต้นจากความแตกต่างทั้งทางเพศสภาพที่ทำให้การเดินทางของชีวิต การมีตำแหน่งหน้าที่ บทบาททางสังคมแตกต่างกันออกไป แต่ภายใต้ความเป็นชาติพันธุ์ที่ยึดโยงอยู่บนระบบประเพณี วัฒนธรรมความเชื่อเดียวกันในเรื่องของผีและบรรพบุรุษได้ให้ความหมายต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุไทดำในมิติทางสังคม วัฒนธรรม และชาติพันธุ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้สูงอายุไทดำได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่าในตัวเองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและสังคมวัฒนธรรม</p>
<p>
</p>โซ่ง, ไทดำ, ผู้สูงอายุ, ความเป็นอยู่และประเพณี, นครปฐม8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=156https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/300-cover.jpg
156บทความการเดินทางของชีวิต: ความหมายต่อความชราภาพและการใช้ชีวิตของกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ กรณีศึกษา บ้านเกาะแรต หมู่ที่12 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน และบ้านหัวถนน ตำบลดอนพุทรา อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม<p>
งานวิจัยชิ้นนี้มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต ความหมายและการปฏิบัติตัวของผู้สูงอายุไทดำ ซึ่งจากการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่าความหมายของความชราภาพในกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ อาจจะเริ่มต้นจากความแตกต่างทั้งทางเพศสภาพที่ทำให้การเดินทางของชีวิต การมีตำแหน่งหน้าที่ บทบาททางสังคมแตกต่างกันออกไป แต่ภายใต้ความเป็นชาติพันธุ์ที่ยึดโยงอยู่บนระบบประเพณี วัฒนธรรมความเชื่อเดียวกันในเรื่องของผีและบรรพบุรุษได้ให้ความหมายต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุไทดำในมิติทางสังคม วัฒนธรรม และชาติพันธุ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้สูงอายุไทดำได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่าในตัวเองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและสังคมวัฒนธรรม</p>
<p>
</p>โซ่ง, ไทดำ, ผู้สูงอายุ, ความเป็นอยู่และประเพณี, นครปฐม8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=156https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/300-cover.jpg
156วิทยานิพนธ์การเดินทางของชีวิต: ความหมายต่อความชราภาพและการใช้ชีวิตของกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ กรณีศึกษา บ้านเกาะแรต หมู่ที่12 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน และบ้านหัวถนน ตำบลดอนพุทรา อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม<p>
งานวิจัยชิ้นนี้มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต ความหมายและการปฏิบัติตัวของผู้สูงอายุไทดำ ซึ่งจากการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่าความหมายของความชราภาพในกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ อาจจะเริ่มต้นจากความแตกต่างทั้งทางเพศสภาพที่ทำให้การเดินทางของชีวิต การมีตำแหน่งหน้าที่ บทบาททางสังคมแตกต่างกันออกไป แต่ภายใต้ความเป็นชาติพันธุ์ที่ยึดโยงอยู่บนระบบประเพณี วัฒนธรรมความเชื่อเดียวกันในเรื่องของผีและบรรพบุรุษได้ให้ความหมายต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุไทดำในมิติทางสังคม วัฒนธรรม และชาติพันธุ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้สูงอายุไทดำได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่าในตัวเองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและสังคมวัฒนธรรม</p>
<p>
</p>โซ่ง, ไทดำ, ผู้สูงอายุ, ความเป็นอยู่และประเพณี, นครปฐม8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=156https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/300-cover.jpg
156รายงานงานวิจัยการเดินทางของชีวิต: ความหมายต่อความชราภาพและการใช้ชีวิตของกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ กรณีศึกษา บ้านเกาะแรต หมู่ที่12 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน และบ้านหัวถนน ตำบลดอนพุทรา อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม<p>
งานวิจัยชิ้นนี้มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต ความหมายและการปฏิบัติตัวของผู้สูงอายุไทดำ ซึ่งจากการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่าความหมายของความชราภาพในกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ อาจจะเริ่มต้นจากความแตกต่างทั้งทางเพศสภาพที่ทำให้การเดินทางของชีวิต การมีตำแหน่งหน้าที่ บทบาททางสังคมแตกต่างกันออกไป แต่ภายใต้ความเป็นชาติพันธุ์ที่ยึดโยงอยู่บนระบบประเพณี วัฒนธรรมความเชื่อเดียวกันในเรื่องของผีและบรรพบุรุษได้ให้ความหมายต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุไทดำในมิติทางสังคม วัฒนธรรม และชาติพันธุ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้สูงอายุไทดำได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่าในตัวเองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและสังคมวัฒนธรรม</p>
<p>
</p>โซ่ง, ไทดำ, ผู้สูงอายุ, ความเป็นอยู่และประเพณี, นครปฐม8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=156https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/300-cover.jpg
156รายงานการเดินทางของชีวิต: ความหมายต่อความชราภาพและการใช้ชีวิตของกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ กรณีศึกษา บ้านเกาะแรต หมู่ที่12 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน และบ้านหัวถนน ตำบลดอนพุทรา อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม<p>
งานวิจัยชิ้นนี้มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต ความหมายและการปฏิบัติตัวของผู้สูงอายุไทดำ ซึ่งจากการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่าความหมายของความชราภาพในกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ อาจจะเริ่มต้นจากความแตกต่างทั้งทางเพศสภาพที่ทำให้การเดินทางของชีวิต การมีตำแหน่งหน้าที่ บทบาททางสังคมแตกต่างกันออกไป แต่ภายใต้ความเป็นชาติพันธุ์ที่ยึดโยงอยู่บนระบบประเพณี วัฒนธรรมความเชื่อเดียวกันในเรื่องของผีและบรรพบุรุษได้ให้ความหมายต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุไทดำในมิติทางสังคม วัฒนธรรม และชาติพันธุ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้สูงอายุไทดำได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่าในตัวเองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและสังคมวัฒนธรรม</p>
<p>
</p>โซ่ง, ไทดำ, ผู้สูงอายุ, ความเป็นอยู่และประเพณี, นครปฐม8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=156https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/300-cover.jpg
156หนังสือการเดินทางของชีวิต: ความหมายต่อความชราภาพและการใช้ชีวิตของกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ กรณีศึกษา บ้านเกาะแรต หมู่ที่12 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน และบ้านหัวถนน ตำบลดอนพุทรา อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม<p>
งานวิจัยชิ้นนี้มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต ความหมายและการปฏิบัติตัวของผู้สูงอายุไทดำ ซึ่งจากการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่าความหมายของความชราภาพในกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ อาจจะเริ่มต้นจากความแตกต่างทั้งทางเพศสภาพที่ทำให้การเดินทางของชีวิต การมีตำแหน่งหน้าที่ บทบาททางสังคมแตกต่างกันออกไป แต่ภายใต้ความเป็นชาติพันธุ์ที่ยึดโยงอยู่บนระบบประเพณี วัฒนธรรมความเชื่อเดียวกันในเรื่องของผีและบรรพบุรุษได้ให้ความหมายต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุไทดำในมิติทางสังคม วัฒนธรรม และชาติพันธุ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้สูงอายุไทดำได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่าในตัวเองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและสังคมวัฒนธรรม</p>
<p>
</p>โซ่ง, ไทดำ, ผู้สูงอายุ, ความเป็นอยู่และประเพณี, นครปฐม8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=156https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/300-cover.jpg
156จุลสารการเดินทางของชีวิต: ความหมายต่อความชราภาพและการใช้ชีวิตของกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ กรณีศึกษา บ้านเกาะแรต หมู่ที่12 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน และบ้านหัวถนน ตำบลดอนพุทรา อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม<p>
งานวิจัยชิ้นนี้มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต ความหมายและการปฏิบัติตัวของผู้สูงอายุไทดำ ซึ่งจากการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่าความหมายของความชราภาพในกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ อาจจะเริ่มต้นจากความแตกต่างทั้งทางเพศสภาพที่ทำให้การเดินทางของชีวิต การมีตำแหน่งหน้าที่ บทบาททางสังคมแตกต่างกันออกไป แต่ภายใต้ความเป็นชาติพันธุ์ที่ยึดโยงอยู่บนระบบประเพณี วัฒนธรรมความเชื่อเดียวกันในเรื่องของผีและบรรพบุรุษได้ให้ความหมายต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุไทดำในมิติทางสังคม วัฒนธรรม และชาติพันธุ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้สูงอายุไทดำได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่าในตัวเองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและสังคมวัฒนธรรม</p>
<p>
</p>โซ่ง, ไทดำ, ผู้สูงอายุ, ความเป็นอยู่และประเพณี, นครปฐม8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=156https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/300-cover.jpg
156สูจิบัตรการเดินทางของชีวิต: ความหมายต่อความชราภาพและการใช้ชีวิตของกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ กรณีศึกษา บ้านเกาะแรต หมู่ที่12 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน และบ้านหัวถนน ตำบลดอนพุทรา อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม<p>
งานวิจัยชิ้นนี้มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต ความหมายและการปฏิบัติตัวของผู้สูงอายุไทดำ ซึ่งจากการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่าความหมายของความชราภาพในกลุ่มผู้สูงอายุไทดำ อาจจะเริ่มต้นจากความแตกต่างทั้งทางเพศสภาพที่ทำให้การเดินทางของชีวิต การมีตำแหน่งหน้าที่ บทบาททางสังคมแตกต่างกันออกไป แต่ภายใต้ความเป็นชาติพันธุ์ที่ยึดโยงอยู่บนระบบประเพณี วัฒนธรรมความเชื่อเดียวกันในเรื่องของผีและบรรพบุรุษได้ให้ความหมายต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุไทดำในมิติทางสังคม วัฒนธรรม และชาติพันธุ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้สูงอายุไทดำได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่าในตัวเองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและสังคมวัฒนธรรม</p>
<p>
</p>โซ่ง, ไทดำ, ผู้สูงอายุ, ความเป็นอยู่และประเพณี, นครปฐม8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=156https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/300-cover.jpg
157อื่นๆพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ของลาวโซ่ง/ไทดำจากพิธีกรรมความตาย<p>
งานวิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับพลวัตจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีการปรับตัวในบริบทใหม่ โดยการวิเคราะห์แบบแผนประเพณีและพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวลาวโซ่ง/ไทดำในประเทศไทย ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงพิธีศพจากอิทธิพลเชิงประวัติศาสตร์สังคมที่กลุ่มคนเหล่านี้ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยในช่วงเวลา 200 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งมีความแตกต่างจากพิธีศพที่เกิดขึ้นในสิบสองจุไท แสดงถึงพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีลำดับขั้นตอน ในกระบวนพิธีภายใต้การกำกับของระบบความเชื่อในคติผี ตามจักรวาลทัศน์แบบคู่ขนาดเมืองฟ้า-เมืองลุ่ม อีกทั้งพิธีศพยังแสดงให้เห็นโลกทัศน์ที่ตอกย้ำจิตสำนึกของผู้พลัดถิ่นฐานเดิมของตน และกลายเป็นแกนความผูกพันที่ยึดโยงโดยจิตสำนึกอันเหนี่ยวแน่นของชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำ</p>โซ่ง, ไทดำ, ชาติพันธุ์วิทยา, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีศพ, ความเชื่อ, การนับถือผี, โลกทัศน์, วัฒนธรรมความตาย, พิธีกรรมวิเคราะห์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=157https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/301-cover.jpg
157วารสารพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ของลาวโซ่ง/ไทดำจากพิธีกรรมความตาย<p>
งานวิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับพลวัตจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีการปรับตัวในบริบทใหม่ โดยการวิเคราะห์แบบแผนประเพณีและพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวลาวโซ่ง/ไทดำในประเทศไทย ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงพิธีศพจากอิทธิพลเชิงประวัติศาสตร์สังคมที่กลุ่มคนเหล่านี้ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยในช่วงเวลา 200 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งมีความแตกต่างจากพิธีศพที่เกิดขึ้นในสิบสองจุไท แสดงถึงพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีลำดับขั้นตอน ในกระบวนพิธีภายใต้การกำกับของระบบความเชื่อในคติผี ตามจักรวาลทัศน์แบบคู่ขนาดเมืองฟ้า-เมืองลุ่ม อีกทั้งพิธีศพยังแสดงให้เห็นโลกทัศน์ที่ตอกย้ำจิตสำนึกของผู้พลัดถิ่นฐานเดิมของตน และกลายเป็นแกนความผูกพันที่ยึดโยงโดยจิตสำนึกอันเหนี่ยวแน่นของชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำ</p>โซ่ง, ไทดำ, ชาติพันธุ์วิทยา, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีศพ, ความเชื่อ, การนับถือผี, โลกทัศน์, วัฒนธรรมความตาย, พิธีกรรมวิเคราะห์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=157https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/301-cover.jpg
157บทความพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ของลาวโซ่ง/ไทดำจากพิธีกรรมความตาย<p>
งานวิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับพลวัตจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีการปรับตัวในบริบทใหม่ โดยการวิเคราะห์แบบแผนประเพณีและพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวลาวโซ่ง/ไทดำในประเทศไทย ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงพิธีศพจากอิทธิพลเชิงประวัติศาสตร์สังคมที่กลุ่มคนเหล่านี้ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยในช่วงเวลา 200 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งมีความแตกต่างจากพิธีศพที่เกิดขึ้นในสิบสองจุไท แสดงถึงพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีลำดับขั้นตอน ในกระบวนพิธีภายใต้การกำกับของระบบความเชื่อในคติผี ตามจักรวาลทัศน์แบบคู่ขนาดเมืองฟ้า-เมืองลุ่ม อีกทั้งพิธีศพยังแสดงให้เห็นโลกทัศน์ที่ตอกย้ำจิตสำนึกของผู้พลัดถิ่นฐานเดิมของตน และกลายเป็นแกนความผูกพันที่ยึดโยงโดยจิตสำนึกอันเหนี่ยวแน่นของชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำ</p>โซ่ง, ไทดำ, ชาติพันธุ์วิทยา, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีศพ, ความเชื่อ, การนับถือผี, โลกทัศน์, วัฒนธรรมความตาย, พิธีกรรมวิเคราะห์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=157https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/301-cover.jpg
157วิทยานิพนธ์พลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ของลาวโซ่ง/ไทดำจากพิธีกรรมความตาย<p>
งานวิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับพลวัตจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีการปรับตัวในบริบทใหม่ โดยการวิเคราะห์แบบแผนประเพณีและพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวลาวโซ่ง/ไทดำในประเทศไทย ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงพิธีศพจากอิทธิพลเชิงประวัติศาสตร์สังคมที่กลุ่มคนเหล่านี้ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยในช่วงเวลา 200 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งมีความแตกต่างจากพิธีศพที่เกิดขึ้นในสิบสองจุไท แสดงถึงพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีลำดับขั้นตอน ในกระบวนพิธีภายใต้การกำกับของระบบความเชื่อในคติผี ตามจักรวาลทัศน์แบบคู่ขนาดเมืองฟ้า-เมืองลุ่ม อีกทั้งพิธีศพยังแสดงให้เห็นโลกทัศน์ที่ตอกย้ำจิตสำนึกของผู้พลัดถิ่นฐานเดิมของตน และกลายเป็นแกนความผูกพันที่ยึดโยงโดยจิตสำนึกอันเหนี่ยวแน่นของชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำ</p>โซ่ง, ไทดำ, ชาติพันธุ์วิทยา, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีศพ, ความเชื่อ, การนับถือผี, โลกทัศน์, วัฒนธรรมความตาย, พิธีกรรมวิเคราะห์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=157https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/301-cover.jpg
157รายงานงานวิจัยพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ของลาวโซ่ง/ไทดำจากพิธีกรรมความตาย<p>
งานวิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับพลวัตจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีการปรับตัวในบริบทใหม่ โดยการวิเคราะห์แบบแผนประเพณีและพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวลาวโซ่ง/ไทดำในประเทศไทย ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงพิธีศพจากอิทธิพลเชิงประวัติศาสตร์สังคมที่กลุ่มคนเหล่านี้ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยในช่วงเวลา 200 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งมีความแตกต่างจากพิธีศพที่เกิดขึ้นในสิบสองจุไท แสดงถึงพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีลำดับขั้นตอน ในกระบวนพิธีภายใต้การกำกับของระบบความเชื่อในคติผี ตามจักรวาลทัศน์แบบคู่ขนาดเมืองฟ้า-เมืองลุ่ม อีกทั้งพิธีศพยังแสดงให้เห็นโลกทัศน์ที่ตอกย้ำจิตสำนึกของผู้พลัดถิ่นฐานเดิมของตน และกลายเป็นแกนความผูกพันที่ยึดโยงโดยจิตสำนึกอันเหนี่ยวแน่นของชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำ</p>โซ่ง, ไทดำ, ชาติพันธุ์วิทยา, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีศพ, ความเชื่อ, การนับถือผี, โลกทัศน์, วัฒนธรรมความตาย, พิธีกรรมวิเคราะห์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=157https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/301-cover.jpg
157รายงานพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ของลาวโซ่ง/ไทดำจากพิธีกรรมความตาย<p>
งานวิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับพลวัตจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีการปรับตัวในบริบทใหม่ โดยการวิเคราะห์แบบแผนประเพณีและพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวลาวโซ่ง/ไทดำในประเทศไทย ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงพิธีศพจากอิทธิพลเชิงประวัติศาสตร์สังคมที่กลุ่มคนเหล่านี้ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยในช่วงเวลา 200 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งมีความแตกต่างจากพิธีศพที่เกิดขึ้นในสิบสองจุไท แสดงถึงพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีลำดับขั้นตอน ในกระบวนพิธีภายใต้การกำกับของระบบความเชื่อในคติผี ตามจักรวาลทัศน์แบบคู่ขนาดเมืองฟ้า-เมืองลุ่ม อีกทั้งพิธีศพยังแสดงให้เห็นโลกทัศน์ที่ตอกย้ำจิตสำนึกของผู้พลัดถิ่นฐานเดิมของตน และกลายเป็นแกนความผูกพันที่ยึดโยงโดยจิตสำนึกอันเหนี่ยวแน่นของชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำ</p>โซ่ง, ไทดำ, ชาติพันธุ์วิทยา, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีศพ, ความเชื่อ, การนับถือผี, โลกทัศน์, วัฒนธรรมความตาย, พิธีกรรมวิเคราะห์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=157https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/301-cover.jpg
157หนังสือพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ของลาวโซ่ง/ไทดำจากพิธีกรรมความตาย<p>
งานวิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับพลวัตจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีการปรับตัวในบริบทใหม่ โดยการวิเคราะห์แบบแผนประเพณีและพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวลาวโซ่ง/ไทดำในประเทศไทย ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงพิธีศพจากอิทธิพลเชิงประวัติศาสตร์สังคมที่กลุ่มคนเหล่านี้ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยในช่วงเวลา 200 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งมีความแตกต่างจากพิธีศพที่เกิดขึ้นในสิบสองจุไท แสดงถึงพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีลำดับขั้นตอน ในกระบวนพิธีภายใต้การกำกับของระบบความเชื่อในคติผี ตามจักรวาลทัศน์แบบคู่ขนาดเมืองฟ้า-เมืองลุ่ม อีกทั้งพิธีศพยังแสดงให้เห็นโลกทัศน์ที่ตอกย้ำจิตสำนึกของผู้พลัดถิ่นฐานเดิมของตน และกลายเป็นแกนความผูกพันที่ยึดโยงโดยจิตสำนึกอันเหนี่ยวแน่นของชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำ</p>โซ่ง, ไทดำ, ชาติพันธุ์วิทยา, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีศพ, ความเชื่อ, การนับถือผี, โลกทัศน์, วัฒนธรรมความตาย, พิธีกรรมวิเคราะห์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=157https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/301-cover.jpg
157จุลสารพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ของลาวโซ่ง/ไทดำจากพิธีกรรมความตาย<p>
งานวิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับพลวัตจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีการปรับตัวในบริบทใหม่ โดยการวิเคราะห์แบบแผนประเพณีและพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวลาวโซ่ง/ไทดำในประเทศไทย ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงพิธีศพจากอิทธิพลเชิงประวัติศาสตร์สังคมที่กลุ่มคนเหล่านี้ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยในช่วงเวลา 200 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งมีความแตกต่างจากพิธีศพที่เกิดขึ้นในสิบสองจุไท แสดงถึงพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีลำดับขั้นตอน ในกระบวนพิธีภายใต้การกำกับของระบบความเชื่อในคติผี ตามจักรวาลทัศน์แบบคู่ขนาดเมืองฟ้า-เมืองลุ่ม อีกทั้งพิธีศพยังแสดงให้เห็นโลกทัศน์ที่ตอกย้ำจิตสำนึกของผู้พลัดถิ่นฐานเดิมของตน และกลายเป็นแกนความผูกพันที่ยึดโยงโดยจิตสำนึกอันเหนี่ยวแน่นของชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำ</p>โซ่ง, ไทดำ, ชาติพันธุ์วิทยา, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีศพ, ความเชื่อ, การนับถือผี, โลกทัศน์, วัฒนธรรมความตาย, พิธีกรรมวิเคราะห์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=157https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/301-cover.jpg
157สูจิบัตรพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ของลาวโซ่ง/ไทดำจากพิธีกรรมความตาย<p>
งานวิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับพลวัตจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีการปรับตัวในบริบทใหม่ โดยการวิเคราะห์แบบแผนประเพณีและพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวลาวโซ่ง/ไทดำในประเทศไทย ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงพิธีศพจากอิทธิพลเชิงประวัติศาสตร์สังคมที่กลุ่มคนเหล่านี้ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยในช่วงเวลา 200 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งมีความแตกต่างจากพิธีศพที่เกิดขึ้นในสิบสองจุไท แสดงถึงพลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ที่มีลำดับขั้นตอน ในกระบวนพิธีภายใต้การกำกับของระบบความเชื่อในคติผี ตามจักรวาลทัศน์แบบคู่ขนาดเมืองฟ้า-เมืองลุ่ม อีกทั้งพิธีศพยังแสดงให้เห็นโลกทัศน์ที่ตอกย้ำจิตสำนึกของผู้พลัดถิ่นฐานเดิมของตน และกลายเป็นแกนความผูกพันที่ยึดโยงโดยจิตสำนึกอันเหนี่ยวแน่นของชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำ</p>โซ่ง, ไทดำ, ชาติพันธุ์วิทยา, ความเป็นอยู่และประเพณี, พิธีศพ, ความเชื่อ, การนับถือผี, โลกทัศน์, วัฒนธรรมความตาย, พิธีกรรมวิเคราะห์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=157https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/301-cover.jpg
158อื่นๆการศึกษาเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก<p>
งานวิจัยชิ้นนี้ มีจุดประสงค์ในการเก็บข้อมูลจากพื้นที่ด้วยวิธีสังเกตอย่างมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์ เพื่อสำรวจรวบรวมรายชื่อเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก ซึ่งจากการวิจัยพบว่า คนไทพ่าเกมีอัตลักษณะทางวัฒนธรรมที่มีลักษณะดั้งเดิมเป็นมรดกติดตัวคนไทมาด้วยเมื่อย้ายถิ่นฐานไปยังลุ่มน้ำพรหมบุตรในรัฐอัสสัมมี 4 ประการ คือ 1.) อัตลักษณ์ด้านประวัติศาสตร์ 2.) อัตลักษณ์ด้านวัตนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต 3.) อัตลักษณ์ด้านความเชื่อของคนไทพ่าเก 4.) อัตลักษณ์ด้านภาษา โดยอัตลักษณ์ด้านภาษามีบทบาทอย่างมากในการดำรงวัฒนธรรมของไทพ่า ก่อให้เกิดเอกสารตัวเขียนจำนวนมาก ดังนั้นประเพณีเกี่ยวกับเอกสารตัวเขียน ที่เป็นปัจจัยในการอนุรักษ์เอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก คือ ประเพณีลูลิก และประเพณีแต้มลิก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดการผลิตซ้ำเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก โดยมีการปรับใช้เทคโนโลยี เช่น การถ่ายเอกสาร และคอมพิวเตอร์ มารับใช้คติความเชื่อ ทำให้สะดวกมากขึ้น</p>ไทพ่าเก, อัสสัม, ความเป็นอยู่และประเพณี, อินเดีย, ชาติพันธุ์วิทยา8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=158https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/303-cover.jpg
158วารสารการศึกษาเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก<p>
งานวิจัยชิ้นนี้ มีจุดประสงค์ในการเก็บข้อมูลจากพื้นที่ด้วยวิธีสังเกตอย่างมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์ เพื่อสำรวจรวบรวมรายชื่อเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก ซึ่งจากการวิจัยพบว่า คนไทพ่าเกมีอัตลักษณะทางวัฒนธรรมที่มีลักษณะดั้งเดิมเป็นมรดกติดตัวคนไทมาด้วยเมื่อย้ายถิ่นฐานไปยังลุ่มน้ำพรหมบุตรในรัฐอัสสัมมี 4 ประการ คือ 1.) อัตลักษณ์ด้านประวัติศาสตร์ 2.) อัตลักษณ์ด้านวัตนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต 3.) อัตลักษณ์ด้านความเชื่อของคนไทพ่าเก 4.) อัตลักษณ์ด้านภาษา โดยอัตลักษณ์ด้านภาษามีบทบาทอย่างมากในการดำรงวัฒนธรรมของไทพ่า ก่อให้เกิดเอกสารตัวเขียนจำนวนมาก ดังนั้นประเพณีเกี่ยวกับเอกสารตัวเขียน ที่เป็นปัจจัยในการอนุรักษ์เอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก คือ ประเพณีลูลิก และประเพณีแต้มลิก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดการผลิตซ้ำเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก โดยมีการปรับใช้เทคโนโลยี เช่น การถ่ายเอกสาร และคอมพิวเตอร์ มารับใช้คติความเชื่อ ทำให้สะดวกมากขึ้น</p>ไทพ่าเก, อัสสัม, ความเป็นอยู่และประเพณี, อินเดีย, ชาติพันธุ์วิทยา8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=158https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/303-cover.jpg
158บทความการศึกษาเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก<p>
งานวิจัยชิ้นนี้ มีจุดประสงค์ในการเก็บข้อมูลจากพื้นที่ด้วยวิธีสังเกตอย่างมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์ เพื่อสำรวจรวบรวมรายชื่อเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก ซึ่งจากการวิจัยพบว่า คนไทพ่าเกมีอัตลักษณะทางวัฒนธรรมที่มีลักษณะดั้งเดิมเป็นมรดกติดตัวคนไทมาด้วยเมื่อย้ายถิ่นฐานไปยังลุ่มน้ำพรหมบุตรในรัฐอัสสัมมี 4 ประการ คือ 1.) อัตลักษณ์ด้านประวัติศาสตร์ 2.) อัตลักษณ์ด้านวัตนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต 3.) อัตลักษณ์ด้านความเชื่อของคนไทพ่าเก 4.) อัตลักษณ์ด้านภาษา โดยอัตลักษณ์ด้านภาษามีบทบาทอย่างมากในการดำรงวัฒนธรรมของไทพ่า ก่อให้เกิดเอกสารตัวเขียนจำนวนมาก ดังนั้นประเพณีเกี่ยวกับเอกสารตัวเขียน ที่เป็นปัจจัยในการอนุรักษ์เอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก คือ ประเพณีลูลิก และประเพณีแต้มลิก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดการผลิตซ้ำเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก โดยมีการปรับใช้เทคโนโลยี เช่น การถ่ายเอกสาร และคอมพิวเตอร์ มารับใช้คติความเชื่อ ทำให้สะดวกมากขึ้น</p>ไทพ่าเก, อัสสัม, ความเป็นอยู่และประเพณี, อินเดีย, ชาติพันธุ์วิทยา8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=158https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/303-cover.jpg
158วิทยานิพนธ์การศึกษาเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก<p>
งานวิจัยชิ้นนี้ มีจุดประสงค์ในการเก็บข้อมูลจากพื้นที่ด้วยวิธีสังเกตอย่างมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์ เพื่อสำรวจรวบรวมรายชื่อเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก ซึ่งจากการวิจัยพบว่า คนไทพ่าเกมีอัตลักษณะทางวัฒนธรรมที่มีลักษณะดั้งเดิมเป็นมรดกติดตัวคนไทมาด้วยเมื่อย้ายถิ่นฐานไปยังลุ่มน้ำพรหมบุตรในรัฐอัสสัมมี 4 ประการ คือ 1.) อัตลักษณ์ด้านประวัติศาสตร์ 2.) อัตลักษณ์ด้านวัตนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต 3.) อัตลักษณ์ด้านความเชื่อของคนไทพ่าเก 4.) อัตลักษณ์ด้านภาษา โดยอัตลักษณ์ด้านภาษามีบทบาทอย่างมากในการดำรงวัฒนธรรมของไทพ่า ก่อให้เกิดเอกสารตัวเขียนจำนวนมาก ดังนั้นประเพณีเกี่ยวกับเอกสารตัวเขียน ที่เป็นปัจจัยในการอนุรักษ์เอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก คือ ประเพณีลูลิก และประเพณีแต้มลิก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดการผลิตซ้ำเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก โดยมีการปรับใช้เทคโนโลยี เช่น การถ่ายเอกสาร และคอมพิวเตอร์ มารับใช้คติความเชื่อ ทำให้สะดวกมากขึ้น</p>ไทพ่าเก, อัสสัม, ความเป็นอยู่และประเพณี, อินเดีย, ชาติพันธุ์วิทยา8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=158https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/303-cover.jpg
158รายงานงานวิจัยการศึกษาเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก<p>
งานวิจัยชิ้นนี้ มีจุดประสงค์ในการเก็บข้อมูลจากพื้นที่ด้วยวิธีสังเกตอย่างมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์ เพื่อสำรวจรวบรวมรายชื่อเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก ซึ่งจากการวิจัยพบว่า คนไทพ่าเกมีอัตลักษณะทางวัฒนธรรมที่มีลักษณะดั้งเดิมเป็นมรดกติดตัวคนไทมาด้วยเมื่อย้ายถิ่นฐานไปยังลุ่มน้ำพรหมบุตรในรัฐอัสสัมมี 4 ประการ คือ 1.) อัตลักษณ์ด้านประวัติศาสตร์ 2.) อัตลักษณ์ด้านวัตนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต 3.) อัตลักษณ์ด้านความเชื่อของคนไทพ่าเก 4.) อัตลักษณ์ด้านภาษา โดยอัตลักษณ์ด้านภาษามีบทบาทอย่างมากในการดำรงวัฒนธรรมของไทพ่า ก่อให้เกิดเอกสารตัวเขียนจำนวนมาก ดังนั้นประเพณีเกี่ยวกับเอกสารตัวเขียน ที่เป็นปัจจัยในการอนุรักษ์เอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก คือ ประเพณีลูลิก และประเพณีแต้มลิก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดการผลิตซ้ำเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก โดยมีการปรับใช้เทคโนโลยี เช่น การถ่ายเอกสาร และคอมพิวเตอร์ มารับใช้คติความเชื่อ ทำให้สะดวกมากขึ้น</p>ไทพ่าเก, อัสสัม, ความเป็นอยู่และประเพณี, อินเดีย, ชาติพันธุ์วิทยา8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=158https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/303-cover.jpg
158รายงานการศึกษาเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก<p>
งานวิจัยชิ้นนี้ มีจุดประสงค์ในการเก็บข้อมูลจากพื้นที่ด้วยวิธีสังเกตอย่างมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์ เพื่อสำรวจรวบรวมรายชื่อเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก ซึ่งจากการวิจัยพบว่า คนไทพ่าเกมีอัตลักษณะทางวัฒนธรรมที่มีลักษณะดั้งเดิมเป็นมรดกติดตัวคนไทมาด้วยเมื่อย้ายถิ่นฐานไปยังลุ่มน้ำพรหมบุตรในรัฐอัสสัมมี 4 ประการ คือ 1.) อัตลักษณ์ด้านประวัติศาสตร์ 2.) อัตลักษณ์ด้านวัตนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต 3.) อัตลักษณ์ด้านความเชื่อของคนไทพ่าเก 4.) อัตลักษณ์ด้านภาษา โดยอัตลักษณ์ด้านภาษามีบทบาทอย่างมากในการดำรงวัฒนธรรมของไทพ่า ก่อให้เกิดเอกสารตัวเขียนจำนวนมาก ดังนั้นประเพณีเกี่ยวกับเอกสารตัวเขียน ที่เป็นปัจจัยในการอนุรักษ์เอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก คือ ประเพณีลูลิก และประเพณีแต้มลิก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดการผลิตซ้ำเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก โดยมีการปรับใช้เทคโนโลยี เช่น การถ่ายเอกสาร และคอมพิวเตอร์ มารับใช้คติความเชื่อ ทำให้สะดวกมากขึ้น</p>ไทพ่าเก, อัสสัม, ความเป็นอยู่และประเพณี, อินเดีย, ชาติพันธุ์วิทยา8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=158https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/303-cover.jpg
158หนังสือการศึกษาเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก<p>
งานวิจัยชิ้นนี้ มีจุดประสงค์ในการเก็บข้อมูลจากพื้นที่ด้วยวิธีสังเกตอย่างมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์ เพื่อสำรวจรวบรวมรายชื่อเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก ซึ่งจากการวิจัยพบว่า คนไทพ่าเกมีอัตลักษณะทางวัฒนธรรมที่มีลักษณะดั้งเดิมเป็นมรดกติดตัวคนไทมาด้วยเมื่อย้ายถิ่นฐานไปยังลุ่มน้ำพรหมบุตรในรัฐอัสสัมมี 4 ประการ คือ 1.) อัตลักษณ์ด้านประวัติศาสตร์ 2.) อัตลักษณ์ด้านวัตนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต 3.) อัตลักษณ์ด้านความเชื่อของคนไทพ่าเก 4.) อัตลักษณ์ด้านภาษา โดยอัตลักษณ์ด้านภาษามีบทบาทอย่างมากในการดำรงวัฒนธรรมของไทพ่า ก่อให้เกิดเอกสารตัวเขียนจำนวนมาก ดังนั้นประเพณีเกี่ยวกับเอกสารตัวเขียน ที่เป็นปัจจัยในการอนุรักษ์เอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก คือ ประเพณีลูลิก และประเพณีแต้มลิก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดการผลิตซ้ำเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก โดยมีการปรับใช้เทคโนโลยี เช่น การถ่ายเอกสาร และคอมพิวเตอร์ มารับใช้คติความเชื่อ ทำให้สะดวกมากขึ้น</p>ไทพ่าเก, อัสสัม, ความเป็นอยู่และประเพณี, อินเดีย, ชาติพันธุ์วิทยา8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=158https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/303-cover.jpg
158จุลสารการศึกษาเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก<p>
งานวิจัยชิ้นนี้ มีจุดประสงค์ในการเก็บข้อมูลจากพื้นที่ด้วยวิธีสังเกตอย่างมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์ เพื่อสำรวจรวบรวมรายชื่อเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก ซึ่งจากการวิจัยพบว่า คนไทพ่าเกมีอัตลักษณะทางวัฒนธรรมที่มีลักษณะดั้งเดิมเป็นมรดกติดตัวคนไทมาด้วยเมื่อย้ายถิ่นฐานไปยังลุ่มน้ำพรหมบุตรในรัฐอัสสัมมี 4 ประการ คือ 1.) อัตลักษณ์ด้านประวัติศาสตร์ 2.) อัตลักษณ์ด้านวัตนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต 3.) อัตลักษณ์ด้านความเชื่อของคนไทพ่าเก 4.) อัตลักษณ์ด้านภาษา โดยอัตลักษณ์ด้านภาษามีบทบาทอย่างมากในการดำรงวัฒนธรรมของไทพ่า ก่อให้เกิดเอกสารตัวเขียนจำนวนมาก ดังนั้นประเพณีเกี่ยวกับเอกสารตัวเขียน ที่เป็นปัจจัยในการอนุรักษ์เอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก คือ ประเพณีลูลิก และประเพณีแต้มลิก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดการผลิตซ้ำเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก โดยมีการปรับใช้เทคโนโลยี เช่น การถ่ายเอกสาร และคอมพิวเตอร์ มารับใช้คติความเชื่อ ทำให้สะดวกมากขึ้น</p>ไทพ่าเก, อัสสัม, ความเป็นอยู่และประเพณี, อินเดีย, ชาติพันธุ์วิทยา8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=158https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/303-cover.jpg
158สูจิบัตรการศึกษาเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก<p>
งานวิจัยชิ้นนี้ มีจุดประสงค์ในการเก็บข้อมูลจากพื้นที่ด้วยวิธีสังเกตอย่างมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์ เพื่อสำรวจรวบรวมรายชื่อเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก ซึ่งจากการวิจัยพบว่า คนไทพ่าเกมีอัตลักษณะทางวัฒนธรรมที่มีลักษณะดั้งเดิมเป็นมรดกติดตัวคนไทมาด้วยเมื่อย้ายถิ่นฐานไปยังลุ่มน้ำพรหมบุตรในรัฐอัสสัมมี 4 ประการ คือ 1.) อัตลักษณ์ด้านประวัติศาสตร์ 2.) อัตลักษณ์ด้านวัตนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต 3.) อัตลักษณ์ด้านความเชื่อของคนไทพ่าเก 4.) อัตลักษณ์ด้านภาษา โดยอัตลักษณ์ด้านภาษามีบทบาทอย่างมากในการดำรงวัฒนธรรมของไทพ่า ก่อให้เกิดเอกสารตัวเขียนจำนวนมาก ดังนั้นประเพณีเกี่ยวกับเอกสารตัวเขียน ที่เป็นปัจจัยในการอนุรักษ์เอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก คือ ประเพณีลูลิก และประเพณีแต้มลิก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดการผลิตซ้ำเอกสารตัวเขียนของไทพ่าเก โดยมีการปรับใช้เทคโนโลยี เช่น การถ่ายเอกสาร และคอมพิวเตอร์ มารับใช้คติความเชื่อ ทำให้สะดวกมากขึ้น</p>ไทพ่าเก, อัสสัม, ความเป็นอยู่และประเพณี, อินเดีย, ชาติพันธุ์วิทยา8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=158https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/303-cover.jpg
159อื่นๆมองไทสิบสองปันนากับชาติจีนยุคใหม่ ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อ<p>
สิบสองปันนา ในปัจจุบันถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ภายใต้การบริหารการปกครองของมณฑลยูนาน กลุ่มชาติพันธุ์ “ลื้อ” ที่มีอัตลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรม ภาษา วิถีชีวิต และประเพณีในรูปแบบเฉพาะ แต่ภายใต้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทำให้อัตลักษณ์ของชาวลื้อถูกบดบัง เบียดขับออกไปหลายชั่วอายุคน อัตลักษณ์บางอย่างนั้นสูญหายไปจากความทรงจำ ต่อมาเมื่อเติ้ง เสี่ยวผิงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาได้ใช้นโยบาย 4 ทันสมัย ในการขับเคลื่อนประเทศจีน ประกอบกับการเปิดโอกาสและพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานเพื่อรองรับความเจริญและสรรค์สร้างให้สิบสองปันนาได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว ชาวลื้อซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่จึงต้องปรับตัว รื้อ สร้างอัตลักษณ์ของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อนำมาเป็นทุนทางวัฒนธรรมในการท่องเที่ยวท่ามกลางบริบทความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสิบสองปันนา ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อที่ได้เป็นผู้มีบทบาทต่อการรื้อสร้างอัตลักษณ์ และเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเผชิญยุคการเปลี่ยนผ่านของสิบสองปันนา</p>ไทลื้อ, ชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ผู้นำจารีต, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, เชียงรุ้ง8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=159https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/306-cover.jpg
159วารสารมองไทสิบสองปันนากับชาติจีนยุคใหม่ ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อ<p>
สิบสองปันนา ในปัจจุบันถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ภายใต้การบริหารการปกครองของมณฑลยูนาน กลุ่มชาติพันธุ์ “ลื้อ” ที่มีอัตลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรม ภาษา วิถีชีวิต และประเพณีในรูปแบบเฉพาะ แต่ภายใต้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทำให้อัตลักษณ์ของชาวลื้อถูกบดบัง เบียดขับออกไปหลายชั่วอายุคน อัตลักษณ์บางอย่างนั้นสูญหายไปจากความทรงจำ ต่อมาเมื่อเติ้ง เสี่ยวผิงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาได้ใช้นโยบาย 4 ทันสมัย ในการขับเคลื่อนประเทศจีน ประกอบกับการเปิดโอกาสและพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานเพื่อรองรับความเจริญและสรรค์สร้างให้สิบสองปันนาได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว ชาวลื้อซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่จึงต้องปรับตัว รื้อ สร้างอัตลักษณ์ของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อนำมาเป็นทุนทางวัฒนธรรมในการท่องเที่ยวท่ามกลางบริบทความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสิบสองปันนา ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อที่ได้เป็นผู้มีบทบาทต่อการรื้อสร้างอัตลักษณ์ และเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเผชิญยุคการเปลี่ยนผ่านของสิบสองปันนา</p>ไทลื้อ, ชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ผู้นำจารีต, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, เชียงรุ้ง8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=159https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/306-cover.jpg
159บทความมองไทสิบสองปันนากับชาติจีนยุคใหม่ ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อ<p>
สิบสองปันนา ในปัจจุบันถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ภายใต้การบริหารการปกครองของมณฑลยูนาน กลุ่มชาติพันธุ์ “ลื้อ” ที่มีอัตลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรม ภาษา วิถีชีวิต และประเพณีในรูปแบบเฉพาะ แต่ภายใต้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทำให้อัตลักษณ์ของชาวลื้อถูกบดบัง เบียดขับออกไปหลายชั่วอายุคน อัตลักษณ์บางอย่างนั้นสูญหายไปจากความทรงจำ ต่อมาเมื่อเติ้ง เสี่ยวผิงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาได้ใช้นโยบาย 4 ทันสมัย ในการขับเคลื่อนประเทศจีน ประกอบกับการเปิดโอกาสและพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานเพื่อรองรับความเจริญและสรรค์สร้างให้สิบสองปันนาได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว ชาวลื้อซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่จึงต้องปรับตัว รื้อ สร้างอัตลักษณ์ของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อนำมาเป็นทุนทางวัฒนธรรมในการท่องเที่ยวท่ามกลางบริบทความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสิบสองปันนา ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อที่ได้เป็นผู้มีบทบาทต่อการรื้อสร้างอัตลักษณ์ และเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเผชิญยุคการเปลี่ยนผ่านของสิบสองปันนา</p>ไทลื้อ, ชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ผู้นำจารีต, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, เชียงรุ้ง8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=159https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/306-cover.jpg
159วิทยานิพนธ์มองไทสิบสองปันนากับชาติจีนยุคใหม่ ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อ<p>
สิบสองปันนา ในปัจจุบันถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ภายใต้การบริหารการปกครองของมณฑลยูนาน กลุ่มชาติพันธุ์ “ลื้อ” ที่มีอัตลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรม ภาษา วิถีชีวิต และประเพณีในรูปแบบเฉพาะ แต่ภายใต้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทำให้อัตลักษณ์ของชาวลื้อถูกบดบัง เบียดขับออกไปหลายชั่วอายุคน อัตลักษณ์บางอย่างนั้นสูญหายไปจากความทรงจำ ต่อมาเมื่อเติ้ง เสี่ยวผิงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาได้ใช้นโยบาย 4 ทันสมัย ในการขับเคลื่อนประเทศจีน ประกอบกับการเปิดโอกาสและพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานเพื่อรองรับความเจริญและสรรค์สร้างให้สิบสองปันนาได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว ชาวลื้อซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่จึงต้องปรับตัว รื้อ สร้างอัตลักษณ์ของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อนำมาเป็นทุนทางวัฒนธรรมในการท่องเที่ยวท่ามกลางบริบทความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสิบสองปันนา ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อที่ได้เป็นผู้มีบทบาทต่อการรื้อสร้างอัตลักษณ์ และเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเผชิญยุคการเปลี่ยนผ่านของสิบสองปันนา</p>ไทลื้อ, ชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ผู้นำจารีต, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, เชียงรุ้ง8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=159https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/306-cover.jpg
159รายงานงานวิจัยมองไทสิบสองปันนากับชาติจีนยุคใหม่ ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อ<p>
สิบสองปันนา ในปัจจุบันถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ภายใต้การบริหารการปกครองของมณฑลยูนาน กลุ่มชาติพันธุ์ “ลื้อ” ที่มีอัตลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรม ภาษา วิถีชีวิต และประเพณีในรูปแบบเฉพาะ แต่ภายใต้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทำให้อัตลักษณ์ของชาวลื้อถูกบดบัง เบียดขับออกไปหลายชั่วอายุคน อัตลักษณ์บางอย่างนั้นสูญหายไปจากความทรงจำ ต่อมาเมื่อเติ้ง เสี่ยวผิงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาได้ใช้นโยบาย 4 ทันสมัย ในการขับเคลื่อนประเทศจีน ประกอบกับการเปิดโอกาสและพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานเพื่อรองรับความเจริญและสรรค์สร้างให้สิบสองปันนาได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว ชาวลื้อซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่จึงต้องปรับตัว รื้อ สร้างอัตลักษณ์ของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อนำมาเป็นทุนทางวัฒนธรรมในการท่องเที่ยวท่ามกลางบริบทความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสิบสองปันนา ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อที่ได้เป็นผู้มีบทบาทต่อการรื้อสร้างอัตลักษณ์ และเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเผชิญยุคการเปลี่ยนผ่านของสิบสองปันนา</p>ไทลื้อ, ชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ผู้นำจารีต, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, เชียงรุ้ง8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=159https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/306-cover.jpg
159รายงานมองไทสิบสองปันนากับชาติจีนยุคใหม่ ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อ<p>
สิบสองปันนา ในปัจจุบันถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ภายใต้การบริหารการปกครองของมณฑลยูนาน กลุ่มชาติพันธุ์ “ลื้อ” ที่มีอัตลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรม ภาษา วิถีชีวิต และประเพณีในรูปแบบเฉพาะ แต่ภายใต้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทำให้อัตลักษณ์ของชาวลื้อถูกบดบัง เบียดขับออกไปหลายชั่วอายุคน อัตลักษณ์บางอย่างนั้นสูญหายไปจากความทรงจำ ต่อมาเมื่อเติ้ง เสี่ยวผิงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาได้ใช้นโยบาย 4 ทันสมัย ในการขับเคลื่อนประเทศจีน ประกอบกับการเปิดโอกาสและพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานเพื่อรองรับความเจริญและสรรค์สร้างให้สิบสองปันนาได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว ชาวลื้อซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่จึงต้องปรับตัว รื้อ สร้างอัตลักษณ์ของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อนำมาเป็นทุนทางวัฒนธรรมในการท่องเที่ยวท่ามกลางบริบทความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสิบสองปันนา ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อที่ได้เป็นผู้มีบทบาทต่อการรื้อสร้างอัตลักษณ์ และเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเผชิญยุคการเปลี่ยนผ่านของสิบสองปันนา</p>ไทลื้อ, ชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ผู้นำจารีต, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, เชียงรุ้ง8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=159https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/306-cover.jpg
159หนังสือมองไทสิบสองปันนากับชาติจีนยุคใหม่ ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อ<p>
สิบสองปันนา ในปัจจุบันถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ภายใต้การบริหารการปกครองของมณฑลยูนาน กลุ่มชาติพันธุ์ “ลื้อ” ที่มีอัตลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรม ภาษา วิถีชีวิต และประเพณีในรูปแบบเฉพาะ แต่ภายใต้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทำให้อัตลักษณ์ของชาวลื้อถูกบดบัง เบียดขับออกไปหลายชั่วอายุคน อัตลักษณ์บางอย่างนั้นสูญหายไปจากความทรงจำ ต่อมาเมื่อเติ้ง เสี่ยวผิงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาได้ใช้นโยบาย 4 ทันสมัย ในการขับเคลื่อนประเทศจีน ประกอบกับการเปิดโอกาสและพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานเพื่อรองรับความเจริญและสรรค์สร้างให้สิบสองปันนาได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว ชาวลื้อซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่จึงต้องปรับตัว รื้อ สร้างอัตลักษณ์ของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อนำมาเป็นทุนทางวัฒนธรรมในการท่องเที่ยวท่ามกลางบริบทความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสิบสองปันนา ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อที่ได้เป็นผู้มีบทบาทต่อการรื้อสร้างอัตลักษณ์ และเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเผชิญยุคการเปลี่ยนผ่านของสิบสองปันนา</p>ไทลื้อ, ชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ผู้นำจารีต, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, เชียงรุ้ง8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=159https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/306-cover.jpg
159จุลสารมองไทสิบสองปันนากับชาติจีนยุคใหม่ ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อ<p>
สิบสองปันนา ในปัจจุบันถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ภายใต้การบริหารการปกครองของมณฑลยูนาน กลุ่มชาติพันธุ์ “ลื้อ” ที่มีอัตลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรม ภาษา วิถีชีวิต และประเพณีในรูปแบบเฉพาะ แต่ภายใต้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทำให้อัตลักษณ์ของชาวลื้อถูกบดบัง เบียดขับออกไปหลายชั่วอายุคน อัตลักษณ์บางอย่างนั้นสูญหายไปจากความทรงจำ ต่อมาเมื่อเติ้ง เสี่ยวผิงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาได้ใช้นโยบาย 4 ทันสมัย ในการขับเคลื่อนประเทศจีน ประกอบกับการเปิดโอกาสและพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานเพื่อรองรับความเจริญและสรรค์สร้างให้สิบสองปันนาได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว ชาวลื้อซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่จึงต้องปรับตัว รื้อ สร้างอัตลักษณ์ของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อนำมาเป็นทุนทางวัฒนธรรมในการท่องเที่ยวท่ามกลางบริบทความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสิบสองปันนา ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อที่ได้เป็นผู้มีบทบาทต่อการรื้อสร้างอัตลักษณ์ และเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเผชิญยุคการเปลี่ยนผ่านของสิบสองปันนา</p>ไทลื้อ, ชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ผู้นำจารีต, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, เชียงรุ้ง8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=159https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/306-cover.jpg
159สูจิบัตรมองไทสิบสองปันนากับชาติจีนยุคใหม่ ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อ<p>
สิบสองปันนา ในปัจจุบันถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ภายใต้การบริหารการปกครองของมณฑลยูนาน กลุ่มชาติพันธุ์ “ลื้อ” ที่มีอัตลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรม ภาษา วิถีชีวิต และประเพณีในรูปแบบเฉพาะ แต่ภายใต้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทำให้อัตลักษณ์ของชาวลื้อถูกบดบัง เบียดขับออกไปหลายชั่วอายุคน อัตลักษณ์บางอย่างนั้นสูญหายไปจากความทรงจำ ต่อมาเมื่อเติ้ง เสี่ยวผิงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาได้ใช้นโยบาย 4 ทันสมัย ในการขับเคลื่อนประเทศจีน ประกอบกับการเปิดโอกาสและพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานเพื่อรองรับความเจริญและสรรค์สร้างให้สิบสองปันนาได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว ชาวลื้อซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่จึงต้องปรับตัว รื้อ สร้างอัตลักษณ์ของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อนำมาเป็นทุนทางวัฒนธรรมในการท่องเที่ยวท่ามกลางบริบทความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสิบสองปันนา ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อที่ได้เป็นผู้มีบทบาทต่อการรื้อสร้างอัตลักษณ์ และเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเผชิญยุคการเปลี่ยนผ่านของสิบสองปันนา</p>ไทลื้อ, ชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ผู้นำจารีต, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, เชียงรุ้ง8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=159https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/306-cover.jpg
160อื่นๆภูมิทัศน์ชาติพันธุ์ แผนที่ชุมชนชาติพันธุ์ในกรุงเทพมหานคร<p>
สังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ที่ประกอบร่างมาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์ นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี สาเหตุมาจากการเป็นเมืองท่าในแถบอุษาคเนย์ทำให้มีชนชาติต่าง ๆ เข้ามาทำการติดต่อค้าขาย รวมถึงตั้งรกรากนับแต่นั้นเป็นต้นมา อาทิ ญี่ปุ่น โปรตุเกส จีน รวมถึงการกวาดต้อนเฉลยจากการทำศึกสงครามมาไว้ เช่น ลาว มอญ ญวน เรื่อยมาจนถึงช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแต่ละกลุ่มชน/ชาติพันธุ์จะมีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง รายงานเล่มนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเกี่ยวกับชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในกรุงเทพฯ ในประเด็นเกี่ยวกับศาสนา ประเพณี พิธีกรรม วิถีชีวิต ที่อยู่อาศัย เป็นต้น เพื่อที่จะจัดทำออกมาให้อยู่ในรูปแบบภูมิทัศน์และแผนที่ชุมชนชาติพันธุ์</p>
<p>
</p>กลุ่มชาติพันธุ์, มุสลิม, จีน, มอญ, ลาว, ภูมิทัศน์, ภูมิทัศน์วัฒนธรรม, ธนบุรี, ประวัติศาสตร์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=160https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/307-cover.jpg
160วารสารภูมิทัศน์ชาติพันธุ์ แผนที่ชุมชนชาติพันธุ์ในกรุงเทพมหานคร<p>
สังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ที่ประกอบร่างมาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์ นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี สาเหตุมาจากการเป็นเมืองท่าในแถบอุษาคเนย์ทำให้มีชนชาติต่าง ๆ เข้ามาทำการติดต่อค้าขาย รวมถึงตั้งรกรากนับแต่นั้นเป็นต้นมา อาทิ ญี่ปุ่น โปรตุเกส จีน รวมถึงการกวาดต้อนเฉลยจากการทำศึกสงครามมาไว้ เช่น ลาว มอญ ญวน เรื่อยมาจนถึงช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแต่ละกลุ่มชน/ชาติพันธุ์จะมีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง รายงานเล่มนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเกี่ยวกับชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในกรุงเทพฯ ในประเด็นเกี่ยวกับศาสนา ประเพณี พิธีกรรม วิถีชีวิต ที่อยู่อาศัย เป็นต้น เพื่อที่จะจัดทำออกมาให้อยู่ในรูปแบบภูมิทัศน์และแผนที่ชุมชนชาติพันธุ์</p>
<p>
</p>กลุ่มชาติพันธุ์, มุสลิม, จีน, มอญ, ลาว, ภูมิทัศน์, ภูมิทัศน์วัฒนธรรม, ธนบุรี, ประวัติศาสตร์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=160https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/307-cover.jpg
160บทความภูมิทัศน์ชาติพันธุ์ แผนที่ชุมชนชาติพันธุ์ในกรุงเทพมหานคร<p>
สังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ที่ประกอบร่างมาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์ นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี สาเหตุมาจากการเป็นเมืองท่าในแถบอุษาคเนย์ทำให้มีชนชาติต่าง ๆ เข้ามาทำการติดต่อค้าขาย รวมถึงตั้งรกรากนับแต่นั้นเป็นต้นมา อาทิ ญี่ปุ่น โปรตุเกส จีน รวมถึงการกวาดต้อนเฉลยจากการทำศึกสงครามมาไว้ เช่น ลาว มอญ ญวน เรื่อยมาจนถึงช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแต่ละกลุ่มชน/ชาติพันธุ์จะมีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง รายงานเล่มนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเกี่ยวกับชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในกรุงเทพฯ ในประเด็นเกี่ยวกับศาสนา ประเพณี พิธีกรรม วิถีชีวิต ที่อยู่อาศัย เป็นต้น เพื่อที่จะจัดทำออกมาให้อยู่ในรูปแบบภูมิทัศน์และแผนที่ชุมชนชาติพันธุ์</p>
<p>
</p>กลุ่มชาติพันธุ์, มุสลิม, จีน, มอญ, ลาว, ภูมิทัศน์, ภูมิทัศน์วัฒนธรรม, ธนบุรี, ประวัติศาสตร์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=160https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/307-cover.jpg
160วิทยานิพนธ์ภูมิทัศน์ชาติพันธุ์ แผนที่ชุมชนชาติพันธุ์ในกรุงเทพมหานคร<p>
สังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ที่ประกอบร่างมาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์ นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี สาเหตุมาจากการเป็นเมืองท่าในแถบอุษาคเนย์ทำให้มีชนชาติต่าง ๆ เข้ามาทำการติดต่อค้าขาย รวมถึงตั้งรกรากนับแต่นั้นเป็นต้นมา อาทิ ญี่ปุ่น โปรตุเกส จีน รวมถึงการกวาดต้อนเฉลยจากการทำศึกสงครามมาไว้ เช่น ลาว มอญ ญวน เรื่อยมาจนถึงช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแต่ละกลุ่มชน/ชาติพันธุ์จะมีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง รายงานเล่มนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเกี่ยวกับชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในกรุงเทพฯ ในประเด็นเกี่ยวกับศาสนา ประเพณี พิธีกรรม วิถีชีวิต ที่อยู่อาศัย เป็นต้น เพื่อที่จะจัดทำออกมาให้อยู่ในรูปแบบภูมิทัศน์และแผนที่ชุมชนชาติพันธุ์</p>
<p>
</p>กลุ่มชาติพันธุ์, มุสลิม, จีน, มอญ, ลาว, ภูมิทัศน์, ภูมิทัศน์วัฒนธรรม, ธนบุรี, ประวัติศาสตร์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=160https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/307-cover.jpg
160รายงานงานวิจัยภูมิทัศน์ชาติพันธุ์ แผนที่ชุมชนชาติพันธุ์ในกรุงเทพมหานคร<p>
สังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ที่ประกอบร่างมาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์ นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี สาเหตุมาจากการเป็นเมืองท่าในแถบอุษาคเนย์ทำให้มีชนชาติต่าง ๆ เข้ามาทำการติดต่อค้าขาย รวมถึงตั้งรกรากนับแต่นั้นเป็นต้นมา อาทิ ญี่ปุ่น โปรตุเกส จีน รวมถึงการกวาดต้อนเฉลยจากการทำศึกสงครามมาไว้ เช่น ลาว มอญ ญวน เรื่อยมาจนถึงช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแต่ละกลุ่มชน/ชาติพันธุ์จะมีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง รายงานเล่มนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเกี่ยวกับชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในกรุงเทพฯ ในประเด็นเกี่ยวกับศาสนา ประเพณี พิธีกรรม วิถีชีวิต ที่อยู่อาศัย เป็นต้น เพื่อที่จะจัดทำออกมาให้อยู่ในรูปแบบภูมิทัศน์และแผนที่ชุมชนชาติพันธุ์</p>
<p>
</p>กลุ่มชาติพันธุ์, มุสลิม, จีน, มอญ, ลาว, ภูมิทัศน์, ภูมิทัศน์วัฒนธรรม, ธนบุรี, ประวัติศาสตร์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=160https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/307-cover.jpg
160รายงานภูมิทัศน์ชาติพันธุ์ แผนที่ชุมชนชาติพันธุ์ในกรุงเทพมหานคร<p>
สังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ที่ประกอบร่างมาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์ นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี สาเหตุมาจากการเป็นเมืองท่าในแถบอุษาคเนย์ทำให้มีชนชาติต่าง ๆ เข้ามาทำการติดต่อค้าขาย รวมถึงตั้งรกรากนับแต่นั้นเป็นต้นมา อาทิ ญี่ปุ่น โปรตุเกส จีน รวมถึงการกวาดต้อนเฉลยจากการทำศึกสงครามมาไว้ เช่น ลาว มอญ ญวน เรื่อยมาจนถึงช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแต่ละกลุ่มชน/ชาติพันธุ์จะมีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง รายงานเล่มนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเกี่ยวกับชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในกรุงเทพฯ ในประเด็นเกี่ยวกับศาสนา ประเพณี พิธีกรรม วิถีชีวิต ที่อยู่อาศัย เป็นต้น เพื่อที่จะจัดทำออกมาให้อยู่ในรูปแบบภูมิทัศน์และแผนที่ชุมชนชาติพันธุ์</p>
<p>
</p>กลุ่มชาติพันธุ์, มุสลิม, จีน, มอญ, ลาว, ภูมิทัศน์, ภูมิทัศน์วัฒนธรรม, ธนบุรี, ประวัติศาสตร์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=160https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/307-cover.jpg
160หนังสือภูมิทัศน์ชาติพันธุ์ แผนที่ชุมชนชาติพันธุ์ในกรุงเทพมหานคร<p>
สังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ที่ประกอบร่างมาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์ นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี สาเหตุมาจากการเป็นเมืองท่าในแถบอุษาคเนย์ทำให้มีชนชาติต่าง ๆ เข้ามาทำการติดต่อค้าขาย รวมถึงตั้งรกรากนับแต่นั้นเป็นต้นมา อาทิ ญี่ปุ่น โปรตุเกส จีน รวมถึงการกวาดต้อนเฉลยจากการทำศึกสงครามมาไว้ เช่น ลาว มอญ ญวน เรื่อยมาจนถึงช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแต่ละกลุ่มชน/ชาติพันธุ์จะมีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง รายงานเล่มนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเกี่ยวกับชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในกรุงเทพฯ ในประเด็นเกี่ยวกับศาสนา ประเพณี พิธีกรรม วิถีชีวิต ที่อยู่อาศัย เป็นต้น เพื่อที่จะจัดทำออกมาให้อยู่ในรูปแบบภูมิทัศน์และแผนที่ชุมชนชาติพันธุ์</p>
<p>
</p>กลุ่มชาติพันธุ์, มุสลิม, จีน, มอญ, ลาว, ภูมิทัศน์, ภูมิทัศน์วัฒนธรรม, ธนบุรี, ประวัติศาสตร์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=160https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/307-cover.jpg
160จุลสารภูมิทัศน์ชาติพันธุ์ แผนที่ชุมชนชาติพันธุ์ในกรุงเทพมหานคร<p>
สังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ที่ประกอบร่างมาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์ นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี สาเหตุมาจากการเป็นเมืองท่าในแถบอุษาคเนย์ทำให้มีชนชาติต่าง ๆ เข้ามาทำการติดต่อค้าขาย รวมถึงตั้งรกรากนับแต่นั้นเป็นต้นมา อาทิ ญี่ปุ่น โปรตุเกส จีน รวมถึงการกวาดต้อนเฉลยจากการทำศึกสงครามมาไว้ เช่น ลาว มอญ ญวน เรื่อยมาจนถึงช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแต่ละกลุ่มชน/ชาติพันธุ์จะมีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง รายงานเล่มนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเกี่ยวกับชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในกรุงเทพฯ ในประเด็นเกี่ยวกับศาสนา ประเพณี พิธีกรรม วิถีชีวิต ที่อยู่อาศัย เป็นต้น เพื่อที่จะจัดทำออกมาให้อยู่ในรูปแบบภูมิทัศน์และแผนที่ชุมชนชาติพันธุ์</p>
<p>
</p>กลุ่มชาติพันธุ์, มุสลิม, จีน, มอญ, ลาว, ภูมิทัศน์, ภูมิทัศน์วัฒนธรรม, ธนบุรี, ประวัติศาสตร์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=160https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/307-cover.jpg
160สูจิบัตรภูมิทัศน์ชาติพันธุ์ แผนที่ชุมชนชาติพันธุ์ในกรุงเทพมหานคร<p>
สังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ที่ประกอบร่างมาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์ นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี สาเหตุมาจากการเป็นเมืองท่าในแถบอุษาคเนย์ทำให้มีชนชาติต่าง ๆ เข้ามาทำการติดต่อค้าขาย รวมถึงตั้งรกรากนับแต่นั้นเป็นต้นมา อาทิ ญี่ปุ่น โปรตุเกส จีน รวมถึงการกวาดต้อนเฉลยจากการทำศึกสงครามมาไว้ เช่น ลาว มอญ ญวน เรื่อยมาจนถึงช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแต่ละกลุ่มชน/ชาติพันธุ์จะมีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง รายงานเล่มนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเกี่ยวกับชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในกรุงเทพฯ ในประเด็นเกี่ยวกับศาสนา ประเพณี พิธีกรรม วิถีชีวิต ที่อยู่อาศัย เป็นต้น เพื่อที่จะจัดทำออกมาให้อยู่ในรูปแบบภูมิทัศน์และแผนที่ชุมชนชาติพันธุ์</p>
<p>
</p>กลุ่มชาติพันธุ์, มุสลิม, จีน, มอญ, ลาว, ภูมิทัศน์, ภูมิทัศน์วัฒนธรรม, ธนบุรี, ประวัติศาสตร์8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=160https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/307-cover.jpg
161อื่นๆสวนชานเมืองสู่สวนกลางเมือง: การดำรงอยู่ของการทำสวนในพื้นที่ธนบุรี<p>
ความเจริญและความเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยอย่างกรุงเทพมหานคร ทำให้ประชากรจากทั่วภูมิภาคทุกสารทิศ อพยพเข้ามาทำงานเนื่องจากความเป็นศูนย์กลางอย่างไม่ขาดสาย ทำให้กรุงเทพฯ มีปัญหาเรื่องความแออัดของประชากร และการจัดสรรที่ดินสำหรับใช้ประโยชน์ไม่เพียงพอ พื้นที่ความเป็นเมืองจึงต้องขยายออกไปแถบชานเมืองแทน อาทิ แถบภาษีเจริญ บางขุนเทียน ราษฎร์บูรณะ เป็นต้น ทำให้พื้นที่การเกษตรอันเป็นพื้นที่ที่มีอยู่เดิมมาของชานเมืองกรุงเทพฯ นั้นถูกรุกล้ำด้วยโครงการบ้านจัดสรร การตัดเส้นทางถนนผ่าน โรงงานต่าง ๆ ประกอบกับค่านิยมวิถีชีวิตยุคใหม่ที่เห็นอาชีพเกษตรกรมีรายได้น้อย ทำให้เกิดภาวะการลดลงของพื้นที่ที่ทำสวน เพาะปลูกเพื่อการเกษตรลดลงเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการศึกษาถึงการปรับตัวให้การดำรงของพื้นที่สวนเข้ากับบริบทความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ของพื้นที่สวนแถบบริเวณฝั่งธนบุรีหรือแถบชานเมืองกรุงเทพฯ</p>
<p>
</p>การทำสวน, นิเวศวิทยาการเมือง, เกษตรกรรม, เกษตรกร, เศรษฐกิจ8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=161https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/302-cover.jpg
161วารสารสวนชานเมืองสู่สวนกลางเมือง: การดำรงอยู่ของการทำสวนในพื้นที่ธนบุรี<p>
ความเจริญและความเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยอย่างกรุงเทพมหานคร ทำให้ประชากรจากทั่วภูมิภาคทุกสารทิศ อพยพเข้ามาทำงานเนื่องจากความเป็นศูนย์กลางอย่างไม่ขาดสาย ทำให้กรุงเทพฯ มีปัญหาเรื่องความแออัดของประชากร และการจัดสรรที่ดินสำหรับใช้ประโยชน์ไม่เพียงพอ พื้นที่ความเป็นเมืองจึงต้องขยายออกไปแถบชานเมืองแทน อาทิ แถบภาษีเจริญ บางขุนเทียน ราษฎร์บูรณะ เป็นต้น ทำให้พื้นที่การเกษตรอันเป็นพื้นที่ที่มีอยู่เดิมมาของชานเมืองกรุงเทพฯ นั้นถูกรุกล้ำด้วยโครงการบ้านจัดสรร การตัดเส้นทางถนนผ่าน โรงงานต่าง ๆ ประกอบกับค่านิยมวิถีชีวิตยุคใหม่ที่เห็นอาชีพเกษตรกรมีรายได้น้อย ทำให้เกิดภาวะการลดลงของพื้นที่ที่ทำสวน เพาะปลูกเพื่อการเกษตรลดลงเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการศึกษาถึงการปรับตัวให้การดำรงของพื้นที่สวนเข้ากับบริบทความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ของพื้นที่สวนแถบบริเวณฝั่งธนบุรีหรือแถบชานเมืองกรุงเทพฯ</p>
<p>
</p>การทำสวน, นิเวศวิทยาการเมือง, เกษตรกรรม, เกษตรกร, เศรษฐกิจ8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=161https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/302-cover.jpg
161บทความสวนชานเมืองสู่สวนกลางเมือง: การดำรงอยู่ของการทำสวนในพื้นที่ธนบุรี<p>
ความเจริญและความเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยอย่างกรุงเทพมหานคร ทำให้ประชากรจากทั่วภูมิภาคทุกสารทิศ อพยพเข้ามาทำงานเนื่องจากความเป็นศูนย์กลางอย่างไม่ขาดสาย ทำให้กรุงเทพฯ มีปัญหาเรื่องความแออัดของประชากร และการจัดสรรที่ดินสำหรับใช้ประโยชน์ไม่เพียงพอ พื้นที่ความเป็นเมืองจึงต้องขยายออกไปแถบชานเมืองแทน อาทิ แถบภาษีเจริญ บางขุนเทียน ราษฎร์บูรณะ เป็นต้น ทำให้พื้นที่การเกษตรอันเป็นพื้นที่ที่มีอยู่เดิมมาของชานเมืองกรุงเทพฯ นั้นถูกรุกล้ำด้วยโครงการบ้านจัดสรร การตัดเส้นทางถนนผ่าน โรงงานต่าง ๆ ประกอบกับค่านิยมวิถีชีวิตยุคใหม่ที่เห็นอาชีพเกษตรกรมีรายได้น้อย ทำให้เกิดภาวะการลดลงของพื้นที่ที่ทำสวน เพาะปลูกเพื่อการเกษตรลดลงเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการศึกษาถึงการปรับตัวให้การดำรงของพื้นที่สวนเข้ากับบริบทความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ของพื้นที่สวนแถบบริเวณฝั่งธนบุรีหรือแถบชานเมืองกรุงเทพฯ</p>
<p>
</p>การทำสวน, นิเวศวิทยาการเมือง, เกษตรกรรม, เกษตรกร, เศรษฐกิจ8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=161https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/302-cover.jpg
161วิทยานิพนธ์สวนชานเมืองสู่สวนกลางเมือง: การดำรงอยู่ของการทำสวนในพื้นที่ธนบุรี<p>
ความเจริญและความเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยอย่างกรุงเทพมหานคร ทำให้ประชากรจากทั่วภูมิภาคทุกสารทิศ อพยพเข้ามาทำงานเนื่องจากความเป็นศูนย์กลางอย่างไม่ขาดสาย ทำให้กรุงเทพฯ มีปัญหาเรื่องความแออัดของประชากร และการจัดสรรที่ดินสำหรับใช้ประโยชน์ไม่เพียงพอ พื้นที่ความเป็นเมืองจึงต้องขยายออกไปแถบชานเมืองแทน อาทิ แถบภาษีเจริญ บางขุนเทียน ราษฎร์บูรณะ เป็นต้น ทำให้พื้นที่การเกษตรอันเป็นพื้นที่ที่มีอยู่เดิมมาของชานเมืองกรุงเทพฯ นั้นถูกรุกล้ำด้วยโครงการบ้านจัดสรร การตัดเส้นทางถนนผ่าน โรงงานต่าง ๆ ประกอบกับค่านิยมวิถีชีวิตยุคใหม่ที่เห็นอาชีพเกษตรกรมีรายได้น้อย ทำให้เกิดภาวะการลดลงของพื้นที่ที่ทำสวน เพาะปลูกเพื่อการเกษตรลดลงเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการศึกษาถึงการปรับตัวให้การดำรงของพื้นที่สวนเข้ากับบริบทความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ของพื้นที่สวนแถบบริเวณฝั่งธนบุรีหรือแถบชานเมืองกรุงเทพฯ</p>
<p>
</p>การทำสวน, นิเวศวิทยาการเมือง, เกษตรกรรม, เกษตรกร, เศรษฐกิจ8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=161https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/302-cover.jpg
161รายงานงานวิจัยสวนชานเมืองสู่สวนกลางเมือง: การดำรงอยู่ของการทำสวนในพื้นที่ธนบุรี<p>
ความเจริญและความเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยอย่างกรุงเทพมหานคร ทำให้ประชากรจากทั่วภูมิภาคทุกสารทิศ อพยพเข้ามาทำงานเนื่องจากความเป็นศูนย์กลางอย่างไม่ขาดสาย ทำให้กรุงเทพฯ มีปัญหาเรื่องความแออัดของประชากร และการจัดสรรที่ดินสำหรับใช้ประโยชน์ไม่เพียงพอ พื้นที่ความเป็นเมืองจึงต้องขยายออกไปแถบชานเมืองแทน อาทิ แถบภาษีเจริญ บางขุนเทียน ราษฎร์บูรณะ เป็นต้น ทำให้พื้นที่การเกษตรอันเป็นพื้นที่ที่มีอยู่เดิมมาของชานเมืองกรุงเทพฯ นั้นถูกรุกล้ำด้วยโครงการบ้านจัดสรร การตัดเส้นทางถนนผ่าน โรงงานต่าง ๆ ประกอบกับค่านิยมวิถีชีวิตยุคใหม่ที่เห็นอาชีพเกษตรกรมีรายได้น้อย ทำให้เกิดภาวะการลดลงของพื้นที่ที่ทำสวน เพาะปลูกเพื่อการเกษตรลดลงเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการศึกษาถึงการปรับตัวให้การดำรงของพื้นที่สวนเข้ากับบริบทความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ของพื้นที่สวนแถบบริเวณฝั่งธนบุรีหรือแถบชานเมืองกรุงเทพฯ</p>
<p>
</p>การทำสวน, นิเวศวิทยาการเมือง, เกษตรกรรม, เกษตรกร, เศรษฐกิจ8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=161https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/302-cover.jpg
161รายงานสวนชานเมืองสู่สวนกลางเมือง: การดำรงอยู่ของการทำสวนในพื้นที่ธนบุรี<p>
ความเจริญและความเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยอย่างกรุงเทพมหานคร ทำให้ประชากรจากทั่วภูมิภาคทุกสารทิศ อพยพเข้ามาทำงานเนื่องจากความเป็นศูนย์กลางอย่างไม่ขาดสาย ทำให้กรุงเทพฯ มีปัญหาเรื่องความแออัดของประชากร และการจัดสรรที่ดินสำหรับใช้ประโยชน์ไม่เพียงพอ พื้นที่ความเป็นเมืองจึงต้องขยายออกไปแถบชานเมืองแทน อาทิ แถบภาษีเจริญ บางขุนเทียน ราษฎร์บูรณะ เป็นต้น ทำให้พื้นที่การเกษตรอันเป็นพื้นที่ที่มีอยู่เดิมมาของชานเมืองกรุงเทพฯ นั้นถูกรุกล้ำด้วยโครงการบ้านจัดสรร การตัดเส้นทางถนนผ่าน โรงงานต่าง ๆ ประกอบกับค่านิยมวิถีชีวิตยุคใหม่ที่เห็นอาชีพเกษตรกรมีรายได้น้อย ทำให้เกิดภาวะการลดลงของพื้นที่ที่ทำสวน เพาะปลูกเพื่อการเกษตรลดลงเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการศึกษาถึงการปรับตัวให้การดำรงของพื้นที่สวนเข้ากับบริบทความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ของพื้นที่สวนแถบบริเวณฝั่งธนบุรีหรือแถบชานเมืองกรุงเทพฯ</p>
<p>
</p>การทำสวน, นิเวศวิทยาการเมือง, เกษตรกรรม, เกษตรกร, เศรษฐกิจ8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=161https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/302-cover.jpg
161หนังสือสวนชานเมืองสู่สวนกลางเมือง: การดำรงอยู่ของการทำสวนในพื้นที่ธนบุรี<p>
ความเจริญและความเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยอย่างกรุงเทพมหานคร ทำให้ประชากรจากทั่วภูมิภาคทุกสารทิศ อพยพเข้ามาทำงานเนื่องจากความเป็นศูนย์กลางอย่างไม่ขาดสาย ทำให้กรุงเทพฯ มีปัญหาเรื่องความแออัดของประชากร และการจัดสรรที่ดินสำหรับใช้ประโยชน์ไม่เพียงพอ พื้นที่ความเป็นเมืองจึงต้องขยายออกไปแถบชานเมืองแทน อาทิ แถบภาษีเจริญ บางขุนเทียน ราษฎร์บูรณะ เป็นต้น ทำให้พื้นที่การเกษตรอันเป็นพื้นที่ที่มีอยู่เดิมมาของชานเมืองกรุงเทพฯ นั้นถูกรุกล้ำด้วยโครงการบ้านจัดสรร การตัดเส้นทางถนนผ่าน โรงงานต่าง ๆ ประกอบกับค่านิยมวิถีชีวิตยุคใหม่ที่เห็นอาชีพเกษตรกรมีรายได้น้อย ทำให้เกิดภาวะการลดลงของพื้นที่ที่ทำสวน เพาะปลูกเพื่อการเกษตรลดลงเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการศึกษาถึงการปรับตัวให้การดำรงของพื้นที่สวนเข้ากับบริบทความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ของพื้นที่สวนแถบบริเวณฝั่งธนบุรีหรือแถบชานเมืองกรุงเทพฯ</p>
<p>
</p>การทำสวน, นิเวศวิทยาการเมือง, เกษตรกรรม, เกษตรกร, เศรษฐกิจ8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=161https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/302-cover.jpg
161จุลสารสวนชานเมืองสู่สวนกลางเมือง: การดำรงอยู่ของการทำสวนในพื้นที่ธนบุรี<p>
ความเจริญและความเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยอย่างกรุงเทพมหานคร ทำให้ประชากรจากทั่วภูมิภาคทุกสารทิศ อพยพเข้ามาทำงานเนื่องจากความเป็นศูนย์กลางอย่างไม่ขาดสาย ทำให้กรุงเทพฯ มีปัญหาเรื่องความแออัดของประชากร และการจัดสรรที่ดินสำหรับใช้ประโยชน์ไม่เพียงพอ พื้นที่ความเป็นเมืองจึงต้องขยายออกไปแถบชานเมืองแทน อาทิ แถบภาษีเจริญ บางขุนเทียน ราษฎร์บูรณะ เป็นต้น ทำให้พื้นที่การเกษตรอันเป็นพื้นที่ที่มีอยู่เดิมมาของชานเมืองกรุงเทพฯ นั้นถูกรุกล้ำด้วยโครงการบ้านจัดสรร การตัดเส้นทางถนนผ่าน โรงงานต่าง ๆ ประกอบกับค่านิยมวิถีชีวิตยุคใหม่ที่เห็นอาชีพเกษตรกรมีรายได้น้อย ทำให้เกิดภาวะการลดลงของพื้นที่ที่ทำสวน เพาะปลูกเพื่อการเกษตรลดลงเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการศึกษาถึงการปรับตัวให้การดำรงของพื้นที่สวนเข้ากับบริบทความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ของพื้นที่สวนแถบบริเวณฝั่งธนบุรีหรือแถบชานเมืองกรุงเทพฯ</p>
<p>
</p>การทำสวน, นิเวศวิทยาการเมือง, เกษตรกรรม, เกษตรกร, เศรษฐกิจ8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=161https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/302-cover.jpg
161สูจิบัตรสวนชานเมืองสู่สวนกลางเมือง: การดำรงอยู่ของการทำสวนในพื้นที่ธนบุรี<p>
ความเจริญและความเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยอย่างกรุงเทพมหานคร ทำให้ประชากรจากทั่วภูมิภาคทุกสารทิศ อพยพเข้ามาทำงานเนื่องจากความเป็นศูนย์กลางอย่างไม่ขาดสาย ทำให้กรุงเทพฯ มีปัญหาเรื่องความแออัดของประชากร และการจัดสรรที่ดินสำหรับใช้ประโยชน์ไม่เพียงพอ พื้นที่ความเป็นเมืองจึงต้องขยายออกไปแถบชานเมืองแทน อาทิ แถบภาษีเจริญ บางขุนเทียน ราษฎร์บูรณะ เป็นต้น ทำให้พื้นที่การเกษตรอันเป็นพื้นที่ที่มีอยู่เดิมมาของชานเมืองกรุงเทพฯ นั้นถูกรุกล้ำด้วยโครงการบ้านจัดสรร การตัดเส้นทางถนนผ่าน โรงงานต่าง ๆ ประกอบกับค่านิยมวิถีชีวิตยุคใหม่ที่เห็นอาชีพเกษตรกรมีรายได้น้อย ทำให้เกิดภาวะการลดลงของพื้นที่ที่ทำสวน เพาะปลูกเพื่อการเกษตรลดลงเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการศึกษาถึงการปรับตัวให้การดำรงของพื้นที่สวนเข้ากับบริบทความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ของพื้นที่สวนแถบบริเวณฝั่งธนบุรีหรือแถบชานเมืองกรุงเทพฯ</p>
<p>
</p>การทำสวน, นิเวศวิทยาการเมือง, เกษตรกรรม, เกษตรกร, เศรษฐกิจ8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=161https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/302-cover.jpg
162อื่นๆ"ความเป็นเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าและผู้คนย่านธนบุรี" กรณีศึกษาชุมชนริมน้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ทางสังคม การก่อตั้งถิ่นฐานของผู้คนฝั่งธนบุรี ในบริบทช่วงเวลารัตนโกสินทร์จนถึง พ.ศ. 2500 และศึกษาทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจฝั่งธนบุรี ในฐานะเป็นแหล่งทรัพยากรที่ส่งเสริมและสนับสนุนพื้นที่กรุงเทพฯ ในบริเวณต่าง ๆ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ธนบุรีถือเป็นชุมชนที่มีศูนย์กลางทางการค้า เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำเป็นศูนย์กลางในการเดินทาง อีกทั้งยังมีเส้นทางส่งเสริมจากการขุดคลองต่าง ๆ เพื่อเชื่อมแม่น้ำเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถสัญจรทางน้ำได้อย่างทั่วถึงไปยังในชุมชนต่าง ๆ ทำให้เกิดการค้าขายที่คึกคัก และเกิดเครือข่ายการค้าขึ้นมาระหว่างพื้นที่เมืองและพื้นที่หัวเมือง ประกอบกับเครือข่ายการค้ากับต่างประเทศ ดังเห็นได้จากหลังสนธิสัญญาเบาว์ริง เกิดขึ้นได้ยกเลิกการผูกขาดสินค้าบางประเภท ส่งผลให้การค้าขายของไทยเริ่มขยายเครือข่ายทางการค้าออกไปสู่ต่างประเทศมากยิ่งขึ้น</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์บอกเล่า, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, กรุงรัตนโกสินทร์, ธนบุรี8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=162https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/305-cover.jpg
162วารสาร"ความเป็นเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าและผู้คนย่านธนบุรี" กรณีศึกษาชุมชนริมน้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ทางสังคม การก่อตั้งถิ่นฐานของผู้คนฝั่งธนบุรี ในบริบทช่วงเวลารัตนโกสินทร์จนถึง พ.ศ. 2500 และศึกษาทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจฝั่งธนบุรี ในฐานะเป็นแหล่งทรัพยากรที่ส่งเสริมและสนับสนุนพื้นที่กรุงเทพฯ ในบริเวณต่าง ๆ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ธนบุรีถือเป็นชุมชนที่มีศูนย์กลางทางการค้า เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำเป็นศูนย์กลางในการเดินทาง อีกทั้งยังมีเส้นทางส่งเสริมจากการขุดคลองต่าง ๆ เพื่อเชื่อมแม่น้ำเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถสัญจรทางน้ำได้อย่างทั่วถึงไปยังในชุมชนต่าง ๆ ทำให้เกิดการค้าขายที่คึกคัก และเกิดเครือข่ายการค้าขึ้นมาระหว่างพื้นที่เมืองและพื้นที่หัวเมือง ประกอบกับเครือข่ายการค้ากับต่างประเทศ ดังเห็นได้จากหลังสนธิสัญญาเบาว์ริง เกิดขึ้นได้ยกเลิกการผูกขาดสินค้าบางประเภท ส่งผลให้การค้าขายของไทยเริ่มขยายเครือข่ายทางการค้าออกไปสู่ต่างประเทศมากยิ่งขึ้น</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์บอกเล่า, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, กรุงรัตนโกสินทร์, ธนบุรี8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=162https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/305-cover.jpg
162บทความ"ความเป็นเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าและผู้คนย่านธนบุรี" กรณีศึกษาชุมชนริมน้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ทางสังคม การก่อตั้งถิ่นฐานของผู้คนฝั่งธนบุรี ในบริบทช่วงเวลารัตนโกสินทร์จนถึง พ.ศ. 2500 และศึกษาทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจฝั่งธนบุรี ในฐานะเป็นแหล่งทรัพยากรที่ส่งเสริมและสนับสนุนพื้นที่กรุงเทพฯ ในบริเวณต่าง ๆ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ธนบุรีถือเป็นชุมชนที่มีศูนย์กลางทางการค้า เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำเป็นศูนย์กลางในการเดินทาง อีกทั้งยังมีเส้นทางส่งเสริมจากการขุดคลองต่าง ๆ เพื่อเชื่อมแม่น้ำเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถสัญจรทางน้ำได้อย่างทั่วถึงไปยังในชุมชนต่าง ๆ ทำให้เกิดการค้าขายที่คึกคัก และเกิดเครือข่ายการค้าขึ้นมาระหว่างพื้นที่เมืองและพื้นที่หัวเมือง ประกอบกับเครือข่ายการค้ากับต่างประเทศ ดังเห็นได้จากหลังสนธิสัญญาเบาว์ริง เกิดขึ้นได้ยกเลิกการผูกขาดสินค้าบางประเภท ส่งผลให้การค้าขายของไทยเริ่มขยายเครือข่ายทางการค้าออกไปสู่ต่างประเทศมากยิ่งขึ้น</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์บอกเล่า, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, กรุงรัตนโกสินทร์, ธนบุรี8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=162https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/305-cover.jpg
162วิทยานิพนธ์"ความเป็นเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าและผู้คนย่านธนบุรี" กรณีศึกษาชุมชนริมน้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ทางสังคม การก่อตั้งถิ่นฐานของผู้คนฝั่งธนบุรี ในบริบทช่วงเวลารัตนโกสินทร์จนถึง พ.ศ. 2500 และศึกษาทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจฝั่งธนบุรี ในฐานะเป็นแหล่งทรัพยากรที่ส่งเสริมและสนับสนุนพื้นที่กรุงเทพฯ ในบริเวณต่าง ๆ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ธนบุรีถือเป็นชุมชนที่มีศูนย์กลางทางการค้า เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำเป็นศูนย์กลางในการเดินทาง อีกทั้งยังมีเส้นทางส่งเสริมจากการขุดคลองต่าง ๆ เพื่อเชื่อมแม่น้ำเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถสัญจรทางน้ำได้อย่างทั่วถึงไปยังในชุมชนต่าง ๆ ทำให้เกิดการค้าขายที่คึกคัก และเกิดเครือข่ายการค้าขึ้นมาระหว่างพื้นที่เมืองและพื้นที่หัวเมือง ประกอบกับเครือข่ายการค้ากับต่างประเทศ ดังเห็นได้จากหลังสนธิสัญญาเบาว์ริง เกิดขึ้นได้ยกเลิกการผูกขาดสินค้าบางประเภท ส่งผลให้การค้าขายของไทยเริ่มขยายเครือข่ายทางการค้าออกไปสู่ต่างประเทศมากยิ่งขึ้น</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์บอกเล่า, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, กรุงรัตนโกสินทร์, ธนบุรี8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=162https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/305-cover.jpg
162รายงานงานวิจัย"ความเป็นเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าและผู้คนย่านธนบุรี" กรณีศึกษาชุมชนริมน้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ทางสังคม การก่อตั้งถิ่นฐานของผู้คนฝั่งธนบุรี ในบริบทช่วงเวลารัตนโกสินทร์จนถึง พ.ศ. 2500 และศึกษาทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจฝั่งธนบุรี ในฐานะเป็นแหล่งทรัพยากรที่ส่งเสริมและสนับสนุนพื้นที่กรุงเทพฯ ในบริเวณต่าง ๆ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ธนบุรีถือเป็นชุมชนที่มีศูนย์กลางทางการค้า เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำเป็นศูนย์กลางในการเดินทาง อีกทั้งยังมีเส้นทางส่งเสริมจากการขุดคลองต่าง ๆ เพื่อเชื่อมแม่น้ำเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถสัญจรทางน้ำได้อย่างทั่วถึงไปยังในชุมชนต่าง ๆ ทำให้เกิดการค้าขายที่คึกคัก และเกิดเครือข่ายการค้าขึ้นมาระหว่างพื้นที่เมืองและพื้นที่หัวเมือง ประกอบกับเครือข่ายการค้ากับต่างประเทศ ดังเห็นได้จากหลังสนธิสัญญาเบาว์ริง เกิดขึ้นได้ยกเลิกการผูกขาดสินค้าบางประเภท ส่งผลให้การค้าขายของไทยเริ่มขยายเครือข่ายทางการค้าออกไปสู่ต่างประเทศมากยิ่งขึ้น</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์บอกเล่า, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, กรุงรัตนโกสินทร์, ธนบุรี8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=162https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/305-cover.jpg
162รายงาน"ความเป็นเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าและผู้คนย่านธนบุรี" กรณีศึกษาชุมชนริมน้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ทางสังคม การก่อตั้งถิ่นฐานของผู้คนฝั่งธนบุรี ในบริบทช่วงเวลารัตนโกสินทร์จนถึง พ.ศ. 2500 และศึกษาทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจฝั่งธนบุรี ในฐานะเป็นแหล่งทรัพยากรที่ส่งเสริมและสนับสนุนพื้นที่กรุงเทพฯ ในบริเวณต่าง ๆ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ธนบุรีถือเป็นชุมชนที่มีศูนย์กลางทางการค้า เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำเป็นศูนย์กลางในการเดินทาง อีกทั้งยังมีเส้นทางส่งเสริมจากการขุดคลองต่าง ๆ เพื่อเชื่อมแม่น้ำเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถสัญจรทางน้ำได้อย่างทั่วถึงไปยังในชุมชนต่าง ๆ ทำให้เกิดการค้าขายที่คึกคัก และเกิดเครือข่ายการค้าขึ้นมาระหว่างพื้นที่เมืองและพื้นที่หัวเมือง ประกอบกับเครือข่ายการค้ากับต่างประเทศ ดังเห็นได้จากหลังสนธิสัญญาเบาว์ริง เกิดขึ้นได้ยกเลิกการผูกขาดสินค้าบางประเภท ส่งผลให้การค้าขายของไทยเริ่มขยายเครือข่ายทางการค้าออกไปสู่ต่างประเทศมากยิ่งขึ้น</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์บอกเล่า, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, กรุงรัตนโกสินทร์, ธนบุรี8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=162https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/305-cover.jpg
162หนังสือ"ความเป็นเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าและผู้คนย่านธนบุรี" กรณีศึกษาชุมชนริมน้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ทางสังคม การก่อตั้งถิ่นฐานของผู้คนฝั่งธนบุรี ในบริบทช่วงเวลารัตนโกสินทร์จนถึง พ.ศ. 2500 และศึกษาทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจฝั่งธนบุรี ในฐานะเป็นแหล่งทรัพยากรที่ส่งเสริมและสนับสนุนพื้นที่กรุงเทพฯ ในบริเวณต่าง ๆ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ธนบุรีถือเป็นชุมชนที่มีศูนย์กลางทางการค้า เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำเป็นศูนย์กลางในการเดินทาง อีกทั้งยังมีเส้นทางส่งเสริมจากการขุดคลองต่าง ๆ เพื่อเชื่อมแม่น้ำเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถสัญจรทางน้ำได้อย่างทั่วถึงไปยังในชุมชนต่าง ๆ ทำให้เกิดการค้าขายที่คึกคัก และเกิดเครือข่ายการค้าขึ้นมาระหว่างพื้นที่เมืองและพื้นที่หัวเมือง ประกอบกับเครือข่ายการค้ากับต่างประเทศ ดังเห็นได้จากหลังสนธิสัญญาเบาว์ริง เกิดขึ้นได้ยกเลิกการผูกขาดสินค้าบางประเภท ส่งผลให้การค้าขายของไทยเริ่มขยายเครือข่ายทางการค้าออกไปสู่ต่างประเทศมากยิ่งขึ้น</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์บอกเล่า, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, กรุงรัตนโกสินทร์, ธนบุรี8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=162https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/305-cover.jpg
162จุลสาร"ความเป็นเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าและผู้คนย่านธนบุรี" กรณีศึกษาชุมชนริมน้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ทางสังคม การก่อตั้งถิ่นฐานของผู้คนฝั่งธนบุรี ในบริบทช่วงเวลารัตนโกสินทร์จนถึง พ.ศ. 2500 และศึกษาทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจฝั่งธนบุรี ในฐานะเป็นแหล่งทรัพยากรที่ส่งเสริมและสนับสนุนพื้นที่กรุงเทพฯ ในบริเวณต่าง ๆ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ธนบุรีถือเป็นชุมชนที่มีศูนย์กลางทางการค้า เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำเป็นศูนย์กลางในการเดินทาง อีกทั้งยังมีเส้นทางส่งเสริมจากการขุดคลองต่าง ๆ เพื่อเชื่อมแม่น้ำเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถสัญจรทางน้ำได้อย่างทั่วถึงไปยังในชุมชนต่าง ๆ ทำให้เกิดการค้าขายที่คึกคัก และเกิดเครือข่ายการค้าขึ้นมาระหว่างพื้นที่เมืองและพื้นที่หัวเมือง ประกอบกับเครือข่ายการค้ากับต่างประเทศ ดังเห็นได้จากหลังสนธิสัญญาเบาว์ริง เกิดขึ้นได้ยกเลิกการผูกขาดสินค้าบางประเภท ส่งผลให้การค้าขายของไทยเริ่มขยายเครือข่ายทางการค้าออกไปสู่ต่างประเทศมากยิ่งขึ้น</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์บอกเล่า, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, กรุงรัตนโกสินทร์, ธนบุรี8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=162https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/305-cover.jpg
162สูจิบัตร"ความเป็นเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าและผู้คนย่านธนบุรี" กรณีศึกษาชุมชนริมน้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี<p>
งานศึกษาชิ้นนี้ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ทางสังคม การก่อตั้งถิ่นฐานของผู้คนฝั่งธนบุรี ในบริบทช่วงเวลารัตนโกสินทร์จนถึง พ.ศ. 2500 และศึกษาทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจฝั่งธนบุรี ในฐานะเป็นแหล่งทรัพยากรที่ส่งเสริมและสนับสนุนพื้นที่กรุงเทพฯ ในบริเวณต่าง ๆ ซึ่งจากการศึกษาทำให้เห็นว่า ธนบุรีถือเป็นชุมชนที่มีศูนย์กลางทางการค้า เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำเป็นศูนย์กลางในการเดินทาง อีกทั้งยังมีเส้นทางส่งเสริมจากการขุดคลองต่าง ๆ เพื่อเชื่อมแม่น้ำเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถสัญจรทางน้ำได้อย่างทั่วถึงไปยังในชุมชนต่าง ๆ ทำให้เกิดการค้าขายที่คึกคัก และเกิดเครือข่ายการค้าขึ้นมาระหว่างพื้นที่เมืองและพื้นที่หัวเมือง ประกอบกับเครือข่ายการค้ากับต่างประเทศ ดังเห็นได้จากหลังสนธิสัญญาเบาว์ริง เกิดขึ้นได้ยกเลิกการผูกขาดสินค้าบางประเภท ส่งผลให้การค้าขายของไทยเริ่มขยายเครือข่ายทางการค้าออกไปสู่ต่างประเทศมากยิ่งขึ้น</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์บอกเล่า, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, กรุงรัตนโกสินทร์, ธนบุรี8 พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=162https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/305-cover.jpg
163อื่นๆการค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย: หลักฐานโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทย<p>
หลักฐานทางโบราณคดี ที่ประกอบไปด้วย โบราณสถาน โบราณวัตถุ และนิเวศวัตถุ นับว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สามารถบ่งบอกพัฒนาการ บริบทความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการปฏิสัมพันธ์ติดต่อสื่อสารกันระหว่างชุมชนหรือเมืองตามประวัติศาสตร์ที่ได้ปรากฏจากหลักฐาน รายงานวิจัยเล่มนี้จึงต้องการที่จะศึกษาในประเด็นของ การค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ที่อยู่ในช่วงเวลาระหว่าง ประมาณ 2500-1500 ปีก่อน โดยใช้หลักฐานทางโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทยเป็นตัวบ่งชี้</p>
<p>
</p>เส้นทางการค้า, ประวัติศาสตร์, ก่อนประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, การขุดค้นทางโบราณคดี, ไทย, ภาคกลาง7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=163https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/308-cover.jpg
163วารสารการค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย: หลักฐานโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทย<p>
หลักฐานทางโบราณคดี ที่ประกอบไปด้วย โบราณสถาน โบราณวัตถุ และนิเวศวัตถุ นับว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สามารถบ่งบอกพัฒนาการ บริบทความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการปฏิสัมพันธ์ติดต่อสื่อสารกันระหว่างชุมชนหรือเมืองตามประวัติศาสตร์ที่ได้ปรากฏจากหลักฐาน รายงานวิจัยเล่มนี้จึงต้องการที่จะศึกษาในประเด็นของ การค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ที่อยู่ในช่วงเวลาระหว่าง ประมาณ 2500-1500 ปีก่อน โดยใช้หลักฐานทางโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทยเป็นตัวบ่งชี้</p>
<p>
</p>เส้นทางการค้า, ประวัติศาสตร์, ก่อนประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, การขุดค้นทางโบราณคดี, ไทย, ภาคกลาง7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=163https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/308-cover.jpg
163บทความการค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย: หลักฐานโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทย<p>
หลักฐานทางโบราณคดี ที่ประกอบไปด้วย โบราณสถาน โบราณวัตถุ และนิเวศวัตถุ นับว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สามารถบ่งบอกพัฒนาการ บริบทความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการปฏิสัมพันธ์ติดต่อสื่อสารกันระหว่างชุมชนหรือเมืองตามประวัติศาสตร์ที่ได้ปรากฏจากหลักฐาน รายงานวิจัยเล่มนี้จึงต้องการที่จะศึกษาในประเด็นของ การค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ที่อยู่ในช่วงเวลาระหว่าง ประมาณ 2500-1500 ปีก่อน โดยใช้หลักฐานทางโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทยเป็นตัวบ่งชี้</p>
<p>
</p>เส้นทางการค้า, ประวัติศาสตร์, ก่อนประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, การขุดค้นทางโบราณคดี, ไทย, ภาคกลาง7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=163https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/308-cover.jpg
163วิทยานิพนธ์การค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย: หลักฐานโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทย<p>
หลักฐานทางโบราณคดี ที่ประกอบไปด้วย โบราณสถาน โบราณวัตถุ และนิเวศวัตถุ นับว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สามารถบ่งบอกพัฒนาการ บริบทความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการปฏิสัมพันธ์ติดต่อสื่อสารกันระหว่างชุมชนหรือเมืองตามประวัติศาสตร์ที่ได้ปรากฏจากหลักฐาน รายงานวิจัยเล่มนี้จึงต้องการที่จะศึกษาในประเด็นของ การค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ที่อยู่ในช่วงเวลาระหว่าง ประมาณ 2500-1500 ปีก่อน โดยใช้หลักฐานทางโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทยเป็นตัวบ่งชี้</p>
<p>
</p>เส้นทางการค้า, ประวัติศาสตร์, ก่อนประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, การขุดค้นทางโบราณคดี, ไทย, ภาคกลาง7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=163https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/308-cover.jpg
163รายงานงานวิจัยการค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย: หลักฐานโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทย<p>
หลักฐานทางโบราณคดี ที่ประกอบไปด้วย โบราณสถาน โบราณวัตถุ และนิเวศวัตถุ นับว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สามารถบ่งบอกพัฒนาการ บริบทความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการปฏิสัมพันธ์ติดต่อสื่อสารกันระหว่างชุมชนหรือเมืองตามประวัติศาสตร์ที่ได้ปรากฏจากหลักฐาน รายงานวิจัยเล่มนี้จึงต้องการที่จะศึกษาในประเด็นของ การค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ที่อยู่ในช่วงเวลาระหว่าง ประมาณ 2500-1500 ปีก่อน โดยใช้หลักฐานทางโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทยเป็นตัวบ่งชี้</p>
<p>
</p>เส้นทางการค้า, ประวัติศาสตร์, ก่อนประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, การขุดค้นทางโบราณคดี, ไทย, ภาคกลาง7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=163https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/308-cover.jpg
163รายงานการค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย: หลักฐานโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทย<p>
หลักฐานทางโบราณคดี ที่ประกอบไปด้วย โบราณสถาน โบราณวัตถุ และนิเวศวัตถุ นับว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สามารถบ่งบอกพัฒนาการ บริบทความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการปฏิสัมพันธ์ติดต่อสื่อสารกันระหว่างชุมชนหรือเมืองตามประวัติศาสตร์ที่ได้ปรากฏจากหลักฐาน รายงานวิจัยเล่มนี้จึงต้องการที่จะศึกษาในประเด็นของ การค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ที่อยู่ในช่วงเวลาระหว่าง ประมาณ 2500-1500 ปีก่อน โดยใช้หลักฐานทางโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทยเป็นตัวบ่งชี้</p>
<p>
</p>เส้นทางการค้า, ประวัติศาสตร์, ก่อนประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, การขุดค้นทางโบราณคดี, ไทย, ภาคกลาง7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=163https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/308-cover.jpg
163หนังสือการค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย: หลักฐานโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทย<p>
หลักฐานทางโบราณคดี ที่ประกอบไปด้วย โบราณสถาน โบราณวัตถุ และนิเวศวัตถุ นับว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สามารถบ่งบอกพัฒนาการ บริบทความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการปฏิสัมพันธ์ติดต่อสื่อสารกันระหว่างชุมชนหรือเมืองตามประวัติศาสตร์ที่ได้ปรากฏจากหลักฐาน รายงานวิจัยเล่มนี้จึงต้องการที่จะศึกษาในประเด็นของ การค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ที่อยู่ในช่วงเวลาระหว่าง ประมาณ 2500-1500 ปีก่อน โดยใช้หลักฐานทางโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทยเป็นตัวบ่งชี้</p>
<p>
</p>เส้นทางการค้า, ประวัติศาสตร์, ก่อนประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, การขุดค้นทางโบราณคดี, ไทย, ภาคกลาง7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=163https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/308-cover.jpg
163จุลสารการค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย: หลักฐานโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทย<p>
หลักฐานทางโบราณคดี ที่ประกอบไปด้วย โบราณสถาน โบราณวัตถุ และนิเวศวัตถุ นับว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สามารถบ่งบอกพัฒนาการ บริบทความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการปฏิสัมพันธ์ติดต่อสื่อสารกันระหว่างชุมชนหรือเมืองตามประวัติศาสตร์ที่ได้ปรากฏจากหลักฐาน รายงานวิจัยเล่มนี้จึงต้องการที่จะศึกษาในประเด็นของ การค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ที่อยู่ในช่วงเวลาระหว่าง ประมาณ 2500-1500 ปีก่อน โดยใช้หลักฐานทางโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทยเป็นตัวบ่งชี้</p>
<p>
</p>เส้นทางการค้า, ประวัติศาสตร์, ก่อนประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, การขุดค้นทางโบราณคดี, ไทย, ภาคกลาง7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=163https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/308-cover.jpg
163สูจิบัตรการค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย: หลักฐานโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทย<p>
หลักฐานทางโบราณคดี ที่ประกอบไปด้วย โบราณสถาน โบราณวัตถุ และนิเวศวัตถุ นับว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สามารถบ่งบอกพัฒนาการ บริบทความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการปฏิสัมพันธ์ติดต่อสื่อสารกันระหว่างชุมชนหรือเมืองตามประวัติศาสตร์ที่ได้ปรากฏจากหลักฐาน รายงานวิจัยเล่มนี้จึงต้องการที่จะศึกษาในประเด็นของ การค้าทางไกลยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ที่อยู่ในช่วงเวลาระหว่าง ประมาณ 2500-1500 ปีก่อน โดยใช้หลักฐานทางโบราณคดีจากภาคกลางของประเทศไทยเป็นตัวบ่งชี้</p>
<p>
</p>เส้นทางการค้า, ประวัติศาสตร์, ก่อนประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ, การขุดค้นทางโบราณคดี, ไทย, ภาคกลาง7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=163https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/308-cover.jpg
164อื่นๆข้อมูลระบบลำน้ำสมัยอยุธยาจากการสำรวจและตรวจสอบภาคสนาม<p>
แม่น้ำ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของรัฐในสมัยจารีต เพราะแม่น้ำมีความสำคัญทั้งในแง่ของ การเพาะปลูกและหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในเมืองได้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี เป็นเส้นทางสายหลักสำหรับใช้ในการติดต่อสัมพันธ์ค้าขายกับทั้งสังคมภายในและภายนอก เป็นพื้นที่ที่ผู้คนในอดีตนิยมตั้งถิ่นฐานกัน จึงสามารถกล่าวได้ว่า แม่น้ำนั้นเป็นรากฐานของการเชื่อมต่อการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง โดยเฉพาะอาณาจักร “อยุธยา” เป็นราชธานีมีโครงข่ายลำน้ำเชื่อมโยงถึงกันหลายสาย จนได้รับขนานนามว่า “เวนิชตะวันออก” และด้วยระยะเวลากว่า 417 ปีที่ผ่านมาของอาณาจักรอยุธยา มีการขุดคูคลองเส้นทางน้ำหลายสาย บ้างก็มีการจดบันทึกไว้ รายงานเล่มนี้จึงต้องการศึกษาถึง ระบบลำน้ำสมัยอยุธยา เพื่อทำความเข้าใจถึงความสำคัญของแม่น้ำ ที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงในสมัยอยุธยา</p>
<p>
</p>อยุธยา, ย่าน, ลำน้ำ, คลอง, เส้นทางน้ำ, ภูมิศาสตร์, แผนที่, การสำรวจและตรวจสอบ, พระราชพิธี, พิธี7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=164https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/310-cover.jpg
164วารสารข้อมูลระบบลำน้ำสมัยอยุธยาจากการสำรวจและตรวจสอบภาคสนาม<p>
แม่น้ำ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของรัฐในสมัยจารีต เพราะแม่น้ำมีความสำคัญทั้งในแง่ของ การเพาะปลูกและหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในเมืองได้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี เป็นเส้นทางสายหลักสำหรับใช้ในการติดต่อสัมพันธ์ค้าขายกับทั้งสังคมภายในและภายนอก เป็นพื้นที่ที่ผู้คนในอดีตนิยมตั้งถิ่นฐานกัน จึงสามารถกล่าวได้ว่า แม่น้ำนั้นเป็นรากฐานของการเชื่อมต่อการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง โดยเฉพาะอาณาจักร “อยุธยา” เป็นราชธานีมีโครงข่ายลำน้ำเชื่อมโยงถึงกันหลายสาย จนได้รับขนานนามว่า “เวนิชตะวันออก” และด้วยระยะเวลากว่า 417 ปีที่ผ่านมาของอาณาจักรอยุธยา มีการขุดคูคลองเส้นทางน้ำหลายสาย บ้างก็มีการจดบันทึกไว้ รายงานเล่มนี้จึงต้องการศึกษาถึง ระบบลำน้ำสมัยอยุธยา เพื่อทำความเข้าใจถึงความสำคัญของแม่น้ำ ที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงในสมัยอยุธยา</p>
<p>
</p>อยุธยา, ย่าน, ลำน้ำ, คลอง, เส้นทางน้ำ, ภูมิศาสตร์, แผนที่, การสำรวจและตรวจสอบ, พระราชพิธี, พิธี7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=164https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/310-cover.jpg
164บทความข้อมูลระบบลำน้ำสมัยอยุธยาจากการสำรวจและตรวจสอบภาคสนาม<p>
แม่น้ำ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของรัฐในสมัยจารีต เพราะแม่น้ำมีความสำคัญทั้งในแง่ของ การเพาะปลูกและหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในเมืองได้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี เป็นเส้นทางสายหลักสำหรับใช้ในการติดต่อสัมพันธ์ค้าขายกับทั้งสังคมภายในและภายนอก เป็นพื้นที่ที่ผู้คนในอดีตนิยมตั้งถิ่นฐานกัน จึงสามารถกล่าวได้ว่า แม่น้ำนั้นเป็นรากฐานของการเชื่อมต่อการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง โดยเฉพาะอาณาจักร “อยุธยา” เป็นราชธานีมีโครงข่ายลำน้ำเชื่อมโยงถึงกันหลายสาย จนได้รับขนานนามว่า “เวนิชตะวันออก” และด้วยระยะเวลากว่า 417 ปีที่ผ่านมาของอาณาจักรอยุธยา มีการขุดคูคลองเส้นทางน้ำหลายสาย บ้างก็มีการจดบันทึกไว้ รายงานเล่มนี้จึงต้องการศึกษาถึง ระบบลำน้ำสมัยอยุธยา เพื่อทำความเข้าใจถึงความสำคัญของแม่น้ำ ที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงในสมัยอยุธยา</p>
<p>
</p>อยุธยา, ย่าน, ลำน้ำ, คลอง, เส้นทางน้ำ, ภูมิศาสตร์, แผนที่, การสำรวจและตรวจสอบ, พระราชพิธี, พิธี7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=164https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/310-cover.jpg
164วิทยานิพนธ์ข้อมูลระบบลำน้ำสมัยอยุธยาจากการสำรวจและตรวจสอบภาคสนาม<p>
แม่น้ำ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของรัฐในสมัยจารีต เพราะแม่น้ำมีความสำคัญทั้งในแง่ของ การเพาะปลูกและหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในเมืองได้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี เป็นเส้นทางสายหลักสำหรับใช้ในการติดต่อสัมพันธ์ค้าขายกับทั้งสังคมภายในและภายนอก เป็นพื้นที่ที่ผู้คนในอดีตนิยมตั้งถิ่นฐานกัน จึงสามารถกล่าวได้ว่า แม่น้ำนั้นเป็นรากฐานของการเชื่อมต่อการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง โดยเฉพาะอาณาจักร “อยุธยา” เป็นราชธานีมีโครงข่ายลำน้ำเชื่อมโยงถึงกันหลายสาย จนได้รับขนานนามว่า “เวนิชตะวันออก” และด้วยระยะเวลากว่า 417 ปีที่ผ่านมาของอาณาจักรอยุธยา มีการขุดคูคลองเส้นทางน้ำหลายสาย บ้างก็มีการจดบันทึกไว้ รายงานเล่มนี้จึงต้องการศึกษาถึง ระบบลำน้ำสมัยอยุธยา เพื่อทำความเข้าใจถึงความสำคัญของแม่น้ำ ที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงในสมัยอยุธยา</p>
<p>
</p>อยุธยา, ย่าน, ลำน้ำ, คลอง, เส้นทางน้ำ, ภูมิศาสตร์, แผนที่, การสำรวจและตรวจสอบ, พระราชพิธี, พิธี7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=164https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/310-cover.jpg
164รายงานงานวิจัยข้อมูลระบบลำน้ำสมัยอยุธยาจากการสำรวจและตรวจสอบภาคสนาม<p>
แม่น้ำ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของรัฐในสมัยจารีต เพราะแม่น้ำมีความสำคัญทั้งในแง่ของ การเพาะปลูกและหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในเมืองได้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี เป็นเส้นทางสายหลักสำหรับใช้ในการติดต่อสัมพันธ์ค้าขายกับทั้งสังคมภายในและภายนอก เป็นพื้นที่ที่ผู้คนในอดีตนิยมตั้งถิ่นฐานกัน จึงสามารถกล่าวได้ว่า แม่น้ำนั้นเป็นรากฐานของการเชื่อมต่อการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง โดยเฉพาะอาณาจักร “อยุธยา” เป็นราชธานีมีโครงข่ายลำน้ำเชื่อมโยงถึงกันหลายสาย จนได้รับขนานนามว่า “เวนิชตะวันออก” และด้วยระยะเวลากว่า 417 ปีที่ผ่านมาของอาณาจักรอยุธยา มีการขุดคูคลองเส้นทางน้ำหลายสาย บ้างก็มีการจดบันทึกไว้ รายงานเล่มนี้จึงต้องการศึกษาถึง ระบบลำน้ำสมัยอยุธยา เพื่อทำความเข้าใจถึงความสำคัญของแม่น้ำ ที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงในสมัยอยุธยา</p>
<p>
</p>อยุธยา, ย่าน, ลำน้ำ, คลอง, เส้นทางน้ำ, ภูมิศาสตร์, แผนที่, การสำรวจและตรวจสอบ, พระราชพิธี, พิธี7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=164https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/310-cover.jpg
164รายงานข้อมูลระบบลำน้ำสมัยอยุธยาจากการสำรวจและตรวจสอบภาคสนาม<p>
แม่น้ำ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของรัฐในสมัยจารีต เพราะแม่น้ำมีความสำคัญทั้งในแง่ของ การเพาะปลูกและหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในเมืองได้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี เป็นเส้นทางสายหลักสำหรับใช้ในการติดต่อสัมพันธ์ค้าขายกับทั้งสังคมภายในและภายนอก เป็นพื้นที่ที่ผู้คนในอดีตนิยมตั้งถิ่นฐานกัน จึงสามารถกล่าวได้ว่า แม่น้ำนั้นเป็นรากฐานของการเชื่อมต่อการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง โดยเฉพาะอาณาจักร “อยุธยา” เป็นราชธานีมีโครงข่ายลำน้ำเชื่อมโยงถึงกันหลายสาย จนได้รับขนานนามว่า “เวนิชตะวันออก” และด้วยระยะเวลากว่า 417 ปีที่ผ่านมาของอาณาจักรอยุธยา มีการขุดคูคลองเส้นทางน้ำหลายสาย บ้างก็มีการจดบันทึกไว้ รายงานเล่มนี้จึงต้องการศึกษาถึง ระบบลำน้ำสมัยอยุธยา เพื่อทำความเข้าใจถึงความสำคัญของแม่น้ำ ที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงในสมัยอยุธยา</p>
<p>
</p>อยุธยา, ย่าน, ลำน้ำ, คลอง, เส้นทางน้ำ, ภูมิศาสตร์, แผนที่, การสำรวจและตรวจสอบ, พระราชพิธี, พิธี7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=164https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/310-cover.jpg
164หนังสือข้อมูลระบบลำน้ำสมัยอยุธยาจากการสำรวจและตรวจสอบภาคสนาม<p>
แม่น้ำ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของรัฐในสมัยจารีต เพราะแม่น้ำมีความสำคัญทั้งในแง่ของ การเพาะปลูกและหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในเมืองได้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี เป็นเส้นทางสายหลักสำหรับใช้ในการติดต่อสัมพันธ์ค้าขายกับทั้งสังคมภายในและภายนอก เป็นพื้นที่ที่ผู้คนในอดีตนิยมตั้งถิ่นฐานกัน จึงสามารถกล่าวได้ว่า แม่น้ำนั้นเป็นรากฐานของการเชื่อมต่อการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง โดยเฉพาะอาณาจักร “อยุธยา” เป็นราชธานีมีโครงข่ายลำน้ำเชื่อมโยงถึงกันหลายสาย จนได้รับขนานนามว่า “เวนิชตะวันออก” และด้วยระยะเวลากว่า 417 ปีที่ผ่านมาของอาณาจักรอยุธยา มีการขุดคูคลองเส้นทางน้ำหลายสาย บ้างก็มีการจดบันทึกไว้ รายงานเล่มนี้จึงต้องการศึกษาถึง ระบบลำน้ำสมัยอยุธยา เพื่อทำความเข้าใจถึงความสำคัญของแม่น้ำ ที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงในสมัยอยุธยา</p>
<p>
</p>อยุธยา, ย่าน, ลำน้ำ, คลอง, เส้นทางน้ำ, ภูมิศาสตร์, แผนที่, การสำรวจและตรวจสอบ, พระราชพิธี, พิธี7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=164https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/310-cover.jpg
164จุลสารข้อมูลระบบลำน้ำสมัยอยุธยาจากการสำรวจและตรวจสอบภาคสนาม<p>
แม่น้ำ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของรัฐในสมัยจารีต เพราะแม่น้ำมีความสำคัญทั้งในแง่ของ การเพาะปลูกและหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในเมืองได้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี เป็นเส้นทางสายหลักสำหรับใช้ในการติดต่อสัมพันธ์ค้าขายกับทั้งสังคมภายในและภายนอก เป็นพื้นที่ที่ผู้คนในอดีตนิยมตั้งถิ่นฐานกัน จึงสามารถกล่าวได้ว่า แม่น้ำนั้นเป็นรากฐานของการเชื่อมต่อการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง โดยเฉพาะอาณาจักร “อยุธยา” เป็นราชธานีมีโครงข่ายลำน้ำเชื่อมโยงถึงกันหลายสาย จนได้รับขนานนามว่า “เวนิชตะวันออก” และด้วยระยะเวลากว่า 417 ปีที่ผ่านมาของอาณาจักรอยุธยา มีการขุดคูคลองเส้นทางน้ำหลายสาย บ้างก็มีการจดบันทึกไว้ รายงานเล่มนี้จึงต้องการศึกษาถึง ระบบลำน้ำสมัยอยุธยา เพื่อทำความเข้าใจถึงความสำคัญของแม่น้ำ ที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงในสมัยอยุธยา</p>
<p>
</p>อยุธยา, ย่าน, ลำน้ำ, คลอง, เส้นทางน้ำ, ภูมิศาสตร์, แผนที่, การสำรวจและตรวจสอบ, พระราชพิธี, พิธี7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=164https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/310-cover.jpg
164สูจิบัตรข้อมูลระบบลำน้ำสมัยอยุธยาจากการสำรวจและตรวจสอบภาคสนาม<p>
แม่น้ำ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของรัฐในสมัยจารีต เพราะแม่น้ำมีความสำคัญทั้งในแง่ของ การเพาะปลูกและหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในเมืองได้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี เป็นเส้นทางสายหลักสำหรับใช้ในการติดต่อสัมพันธ์ค้าขายกับทั้งสังคมภายในและภายนอก เป็นพื้นที่ที่ผู้คนในอดีตนิยมตั้งถิ่นฐานกัน จึงสามารถกล่าวได้ว่า แม่น้ำนั้นเป็นรากฐานของการเชื่อมต่อการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง โดยเฉพาะอาณาจักร “อยุธยา” เป็นราชธานีมีโครงข่ายลำน้ำเชื่อมโยงถึงกันหลายสาย จนได้รับขนานนามว่า “เวนิชตะวันออก” และด้วยระยะเวลากว่า 417 ปีที่ผ่านมาของอาณาจักรอยุธยา มีการขุดคูคลองเส้นทางน้ำหลายสาย บ้างก็มีการจดบันทึกไว้ รายงานเล่มนี้จึงต้องการศึกษาถึง ระบบลำน้ำสมัยอยุธยา เพื่อทำความเข้าใจถึงความสำคัญของแม่น้ำ ที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงในสมัยอยุธยา</p>
<p>
</p>อยุธยา, ย่าน, ลำน้ำ, คลอง, เส้นทางน้ำ, ภูมิศาสตร์, แผนที่, การสำรวจและตรวจสอบ, พระราชพิธี, พิธี7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=164https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/310-cover.jpg
165อื่นๆการแปลและการศึกษาเอกสารจีนโบราณกับไทยในบริบทของเส้นทางสายไหม<p>
จีนเป็นหนึ่งในชนชาติที่มีสำนึกทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเห็นได้จากทักษะการจดบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ทั้งจากเอกสารหรือจดหมายเหตุของราชสำนักจีน ขณะเดียวกันในแง่ของความสัมพันธ์ ประเทศไทยหากนับตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันได้มีความสัมพันธ์กับจีน ในบริบททางการฑูตและเศรษฐกิจมาแล้วกว่า 2000 ปี ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากบันทึกหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ของจีนนั้น ค่อนข้างมีความแม่นยำ เที่ยงตรง และน่าเชื่อถือได้ จึงเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ค้นคว้า ประวัติศาสตร์ไทย ในแง่ของการตรวจสอบข้อมูลที่ยังมีความคลุมเครือ น่าสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการคัดเลือก ชำระ และแปลเอกสารจีนโบราณที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการใช้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล อันเป็นที่มาของรายงานการวิจัยเล่มนี้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์, จดหมายเหตุ, การค้ากับต่างประเทศ, ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ, จีน, ไทย7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=165https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/311-cover.jpg
165วารสารการแปลและการศึกษาเอกสารจีนโบราณกับไทยในบริบทของเส้นทางสายไหม<p>
จีนเป็นหนึ่งในชนชาติที่มีสำนึกทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเห็นได้จากทักษะการจดบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ทั้งจากเอกสารหรือจดหมายเหตุของราชสำนักจีน ขณะเดียวกันในแง่ของความสัมพันธ์ ประเทศไทยหากนับตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันได้มีความสัมพันธ์กับจีน ในบริบททางการฑูตและเศรษฐกิจมาแล้วกว่า 2000 ปี ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากบันทึกหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ของจีนนั้น ค่อนข้างมีความแม่นยำ เที่ยงตรง และน่าเชื่อถือได้ จึงเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ค้นคว้า ประวัติศาสตร์ไทย ในแง่ของการตรวจสอบข้อมูลที่ยังมีความคลุมเครือ น่าสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการคัดเลือก ชำระ และแปลเอกสารจีนโบราณที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการใช้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล อันเป็นที่มาของรายงานการวิจัยเล่มนี้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์, จดหมายเหตุ, การค้ากับต่างประเทศ, ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ, จีน, ไทย7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=165https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/311-cover.jpg
165บทความการแปลและการศึกษาเอกสารจีนโบราณกับไทยในบริบทของเส้นทางสายไหม<p>
จีนเป็นหนึ่งในชนชาติที่มีสำนึกทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเห็นได้จากทักษะการจดบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ทั้งจากเอกสารหรือจดหมายเหตุของราชสำนักจีน ขณะเดียวกันในแง่ของความสัมพันธ์ ประเทศไทยหากนับตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันได้มีความสัมพันธ์กับจีน ในบริบททางการฑูตและเศรษฐกิจมาแล้วกว่า 2000 ปี ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากบันทึกหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ของจีนนั้น ค่อนข้างมีความแม่นยำ เที่ยงตรง และน่าเชื่อถือได้ จึงเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ค้นคว้า ประวัติศาสตร์ไทย ในแง่ของการตรวจสอบข้อมูลที่ยังมีความคลุมเครือ น่าสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการคัดเลือก ชำระ และแปลเอกสารจีนโบราณที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการใช้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล อันเป็นที่มาของรายงานการวิจัยเล่มนี้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์, จดหมายเหตุ, การค้ากับต่างประเทศ, ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ, จีน, ไทย7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=165https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/311-cover.jpg
165วิทยานิพนธ์การแปลและการศึกษาเอกสารจีนโบราณกับไทยในบริบทของเส้นทางสายไหม<p>
จีนเป็นหนึ่งในชนชาติที่มีสำนึกทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเห็นได้จากทักษะการจดบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ทั้งจากเอกสารหรือจดหมายเหตุของราชสำนักจีน ขณะเดียวกันในแง่ของความสัมพันธ์ ประเทศไทยหากนับตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันได้มีความสัมพันธ์กับจีน ในบริบททางการฑูตและเศรษฐกิจมาแล้วกว่า 2000 ปี ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากบันทึกหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ของจีนนั้น ค่อนข้างมีความแม่นยำ เที่ยงตรง และน่าเชื่อถือได้ จึงเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ค้นคว้า ประวัติศาสตร์ไทย ในแง่ของการตรวจสอบข้อมูลที่ยังมีความคลุมเครือ น่าสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการคัดเลือก ชำระ และแปลเอกสารจีนโบราณที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการใช้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล อันเป็นที่มาของรายงานการวิจัยเล่มนี้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์, จดหมายเหตุ, การค้ากับต่างประเทศ, ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ, จีน, ไทย7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=165https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/311-cover.jpg
165รายงานงานวิจัยการแปลและการศึกษาเอกสารจีนโบราณกับไทยในบริบทของเส้นทางสายไหม<p>
จีนเป็นหนึ่งในชนชาติที่มีสำนึกทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเห็นได้จากทักษะการจดบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ทั้งจากเอกสารหรือจดหมายเหตุของราชสำนักจีน ขณะเดียวกันในแง่ของความสัมพันธ์ ประเทศไทยหากนับตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันได้มีความสัมพันธ์กับจีน ในบริบททางการฑูตและเศรษฐกิจมาแล้วกว่า 2000 ปี ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากบันทึกหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ของจีนนั้น ค่อนข้างมีความแม่นยำ เที่ยงตรง และน่าเชื่อถือได้ จึงเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ค้นคว้า ประวัติศาสตร์ไทย ในแง่ของการตรวจสอบข้อมูลที่ยังมีความคลุมเครือ น่าสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการคัดเลือก ชำระ และแปลเอกสารจีนโบราณที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการใช้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล อันเป็นที่มาของรายงานการวิจัยเล่มนี้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์, จดหมายเหตุ, การค้ากับต่างประเทศ, ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ, จีน, ไทย7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=165https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/311-cover.jpg
165รายงานการแปลและการศึกษาเอกสารจีนโบราณกับไทยในบริบทของเส้นทางสายไหม<p>
จีนเป็นหนึ่งในชนชาติที่มีสำนึกทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเห็นได้จากทักษะการจดบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ทั้งจากเอกสารหรือจดหมายเหตุของราชสำนักจีน ขณะเดียวกันในแง่ของความสัมพันธ์ ประเทศไทยหากนับตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันได้มีความสัมพันธ์กับจีน ในบริบททางการฑูตและเศรษฐกิจมาแล้วกว่า 2000 ปี ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากบันทึกหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ของจีนนั้น ค่อนข้างมีความแม่นยำ เที่ยงตรง และน่าเชื่อถือได้ จึงเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ค้นคว้า ประวัติศาสตร์ไทย ในแง่ของการตรวจสอบข้อมูลที่ยังมีความคลุมเครือ น่าสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการคัดเลือก ชำระ และแปลเอกสารจีนโบราณที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการใช้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล อันเป็นที่มาของรายงานการวิจัยเล่มนี้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์, จดหมายเหตุ, การค้ากับต่างประเทศ, ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ, จีน, ไทย7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=165https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/311-cover.jpg
165หนังสือการแปลและการศึกษาเอกสารจีนโบราณกับไทยในบริบทของเส้นทางสายไหม<p>
จีนเป็นหนึ่งในชนชาติที่มีสำนึกทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเห็นได้จากทักษะการจดบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ทั้งจากเอกสารหรือจดหมายเหตุของราชสำนักจีน ขณะเดียวกันในแง่ของความสัมพันธ์ ประเทศไทยหากนับตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันได้มีความสัมพันธ์กับจีน ในบริบททางการฑูตและเศรษฐกิจมาแล้วกว่า 2000 ปี ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากบันทึกหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ของจีนนั้น ค่อนข้างมีความแม่นยำ เที่ยงตรง และน่าเชื่อถือได้ จึงเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ค้นคว้า ประวัติศาสตร์ไทย ในแง่ของการตรวจสอบข้อมูลที่ยังมีความคลุมเครือ น่าสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการคัดเลือก ชำระ และแปลเอกสารจีนโบราณที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการใช้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล อันเป็นที่มาของรายงานการวิจัยเล่มนี้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์, จดหมายเหตุ, การค้ากับต่างประเทศ, ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ, จีน, ไทย7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=165https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/311-cover.jpg
165จุลสารการแปลและการศึกษาเอกสารจีนโบราณกับไทยในบริบทของเส้นทางสายไหม<p>
จีนเป็นหนึ่งในชนชาติที่มีสำนึกทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเห็นได้จากทักษะการจดบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ทั้งจากเอกสารหรือจดหมายเหตุของราชสำนักจีน ขณะเดียวกันในแง่ของความสัมพันธ์ ประเทศไทยหากนับตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันได้มีความสัมพันธ์กับจีน ในบริบททางการฑูตและเศรษฐกิจมาแล้วกว่า 2000 ปี ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากบันทึกหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ของจีนนั้น ค่อนข้างมีความแม่นยำ เที่ยงตรง และน่าเชื่อถือได้ จึงเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ค้นคว้า ประวัติศาสตร์ไทย ในแง่ของการตรวจสอบข้อมูลที่ยังมีความคลุมเครือ น่าสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการคัดเลือก ชำระ และแปลเอกสารจีนโบราณที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการใช้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล อันเป็นที่มาของรายงานการวิจัยเล่มนี้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์, จดหมายเหตุ, การค้ากับต่างประเทศ, ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ, จีน, ไทย7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=165https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/311-cover.jpg
165สูจิบัตรการแปลและการศึกษาเอกสารจีนโบราณกับไทยในบริบทของเส้นทางสายไหม<p>
จีนเป็นหนึ่งในชนชาติที่มีสำนึกทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเห็นได้จากทักษะการจดบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ทั้งจากเอกสารหรือจดหมายเหตุของราชสำนักจีน ขณะเดียวกันในแง่ของความสัมพันธ์ ประเทศไทยหากนับตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันได้มีความสัมพันธ์กับจีน ในบริบททางการฑูตและเศรษฐกิจมาแล้วกว่า 2000 ปี ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากบันทึกหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ของจีนนั้น ค่อนข้างมีความแม่นยำ เที่ยงตรง และน่าเชื่อถือได้ จึงเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ค้นคว้า ประวัติศาสตร์ไทย ในแง่ของการตรวจสอบข้อมูลที่ยังมีความคลุมเครือ น่าสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการคัดเลือก ชำระ และแปลเอกสารจีนโบราณที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการใช้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล อันเป็นที่มาของรายงานการวิจัยเล่มนี้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์, จดหมายเหตุ, การค้ากับต่างประเทศ, ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ, จีน, ไทย7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=165https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/311-cover.jpg
166อื่นๆศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ศึกษา ศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5 ที่ได้มีพระราชดำริให้สร้างอนุสรณ์สถานที่ไปเสด็จยังที่ต่าง ๆ ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ ปูชนียสถาน และสิ่งสาธารณูปโภคเพื่อเป็นประโยชน์แก่ราษฎรในพื้นที่ เพื่อแสดงออกถึงนัยยะทางการเมือง และเพื่อรองรับการพัฒนาของเมืองจากการขยายตัวทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ อันเป็นหลักฐานทางศิลปกรรมที่ปรากฎร่องรอยมาอยู่จนถึงปัจจุบัน</p>
<p>
</p>ศิลปกรรม, ชายฝั่งทะเลตะวันออก, ประวัติศาสต์ศิลปะ, รัชกาลที่ 4, รัชกาลที่ 525 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=166https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/210-cover.jpg
166วารสารศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ศึกษา ศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5 ที่ได้มีพระราชดำริให้สร้างอนุสรณ์สถานที่ไปเสด็จยังที่ต่าง ๆ ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ ปูชนียสถาน และสิ่งสาธารณูปโภคเพื่อเป็นประโยชน์แก่ราษฎรในพื้นที่ เพื่อแสดงออกถึงนัยยะทางการเมือง และเพื่อรองรับการพัฒนาของเมืองจากการขยายตัวทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ อันเป็นหลักฐานทางศิลปกรรมที่ปรากฎร่องรอยมาอยู่จนถึงปัจจุบัน</p>
<p>
</p>ศิลปกรรม, ชายฝั่งทะเลตะวันออก, ประวัติศาสต์ศิลปะ, รัชกาลที่ 4, รัชกาลที่ 525 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=166https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/210-cover.jpg
166บทความศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ศึกษา ศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5 ที่ได้มีพระราชดำริให้สร้างอนุสรณ์สถานที่ไปเสด็จยังที่ต่าง ๆ ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ ปูชนียสถาน และสิ่งสาธารณูปโภคเพื่อเป็นประโยชน์แก่ราษฎรในพื้นที่ เพื่อแสดงออกถึงนัยยะทางการเมือง และเพื่อรองรับการพัฒนาของเมืองจากการขยายตัวทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ อันเป็นหลักฐานทางศิลปกรรมที่ปรากฎร่องรอยมาอยู่จนถึงปัจจุบัน</p>
<p>
</p>ศิลปกรรม, ชายฝั่งทะเลตะวันออก, ประวัติศาสต์ศิลปะ, รัชกาลที่ 4, รัชกาลที่ 525 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=166https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/210-cover.jpg
166วิทยานิพนธ์ศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ศึกษา ศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5 ที่ได้มีพระราชดำริให้สร้างอนุสรณ์สถานที่ไปเสด็จยังที่ต่าง ๆ ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ ปูชนียสถาน และสิ่งสาธารณูปโภคเพื่อเป็นประโยชน์แก่ราษฎรในพื้นที่ เพื่อแสดงออกถึงนัยยะทางการเมือง และเพื่อรองรับการพัฒนาของเมืองจากการขยายตัวทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ อันเป็นหลักฐานทางศิลปกรรมที่ปรากฎร่องรอยมาอยู่จนถึงปัจจุบัน</p>
<p>
</p>ศิลปกรรม, ชายฝั่งทะเลตะวันออก, ประวัติศาสต์ศิลปะ, รัชกาลที่ 4, รัชกาลที่ 525 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=166https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/210-cover.jpg
166รายงานงานวิจัยศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ศึกษา ศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5 ที่ได้มีพระราชดำริให้สร้างอนุสรณ์สถานที่ไปเสด็จยังที่ต่าง ๆ ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ ปูชนียสถาน และสิ่งสาธารณูปโภคเพื่อเป็นประโยชน์แก่ราษฎรในพื้นที่ เพื่อแสดงออกถึงนัยยะทางการเมือง และเพื่อรองรับการพัฒนาของเมืองจากการขยายตัวทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ อันเป็นหลักฐานทางศิลปกรรมที่ปรากฎร่องรอยมาอยู่จนถึงปัจจุบัน</p>
<p>
</p>ศิลปกรรม, ชายฝั่งทะเลตะวันออก, ประวัติศาสต์ศิลปะ, รัชกาลที่ 4, รัชกาลที่ 525 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=166https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/210-cover.jpg
166รายงานศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ศึกษา ศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5 ที่ได้มีพระราชดำริให้สร้างอนุสรณ์สถานที่ไปเสด็จยังที่ต่าง ๆ ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ ปูชนียสถาน และสิ่งสาธารณูปโภคเพื่อเป็นประโยชน์แก่ราษฎรในพื้นที่ เพื่อแสดงออกถึงนัยยะทางการเมือง และเพื่อรองรับการพัฒนาของเมืองจากการขยายตัวทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ อันเป็นหลักฐานทางศิลปกรรมที่ปรากฎร่องรอยมาอยู่จนถึงปัจจุบัน</p>
<p>
</p>ศิลปกรรม, ชายฝั่งทะเลตะวันออก, ประวัติศาสต์ศิลปะ, รัชกาลที่ 4, รัชกาลที่ 525 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=166https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/210-cover.jpg
166หนังสือศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ศึกษา ศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5 ที่ได้มีพระราชดำริให้สร้างอนุสรณ์สถานที่ไปเสด็จยังที่ต่าง ๆ ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ ปูชนียสถาน และสิ่งสาธารณูปโภคเพื่อเป็นประโยชน์แก่ราษฎรในพื้นที่ เพื่อแสดงออกถึงนัยยะทางการเมือง และเพื่อรองรับการพัฒนาของเมืองจากการขยายตัวทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ อันเป็นหลักฐานทางศิลปกรรมที่ปรากฎร่องรอยมาอยู่จนถึงปัจจุบัน</p>
<p>
</p>ศิลปกรรม, ชายฝั่งทะเลตะวันออก, ประวัติศาสต์ศิลปะ, รัชกาลที่ 4, รัชกาลที่ 525 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=166https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/210-cover.jpg
166จุลสารศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ศึกษา ศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5 ที่ได้มีพระราชดำริให้สร้างอนุสรณ์สถานที่ไปเสด็จยังที่ต่าง ๆ ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ ปูชนียสถาน และสิ่งสาธารณูปโภคเพื่อเป็นประโยชน์แก่ราษฎรในพื้นที่ เพื่อแสดงออกถึงนัยยะทางการเมือง และเพื่อรองรับการพัฒนาของเมืองจากการขยายตัวทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ อันเป็นหลักฐานทางศิลปกรรมที่ปรากฎร่องรอยมาอยู่จนถึงปัจจุบัน</p>
<p>
</p>ศิลปกรรม, ชายฝั่งทะเลตะวันออก, ประวัติศาสต์ศิลปะ, รัชกาลที่ 4, รัชกาลที่ 525 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=166https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/210-cover.jpg
166สูจิบัตรศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5<p>
รายงานการวิจัยเล่มนี้ศึกษา ศิลปกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4-5 ที่ได้มีพระราชดำริให้สร้างอนุสรณ์สถานที่ไปเสด็จยังที่ต่าง ๆ ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ ปูชนียสถาน และสิ่งสาธารณูปโภคเพื่อเป็นประโยชน์แก่ราษฎรในพื้นที่ เพื่อแสดงออกถึงนัยยะทางการเมือง และเพื่อรองรับการพัฒนาของเมืองจากการขยายตัวทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ อันเป็นหลักฐานทางศิลปกรรมที่ปรากฎร่องรอยมาอยู่จนถึงปัจจุบัน</p>
<p>
</p>ศิลปกรรม, ชายฝั่งทะเลตะวันออก, ประวัติศาสต์ศิลปะ, รัชกาลที่ 4, รัชกาลที่ 525 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=166https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/210-cover.jpg
167อื่นๆบทบาทของลังกาทวีปในฐานะศูนย์กลางพุทธศาสนาต่อพุทธศิลป์ไทย<p>
ศรีลังกาถือว่าเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาท (หินยาน) มานับตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทำการสังคายนาพระพุทธศาสนาครั้งที่ 3 ขึ้น ด้วยความเจริญและความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนาในศรีลังกานี้ ทำให้บ้านเมืองต่าง ๆ ในประเทศไทยจึงเลือกที่จะรับเอาพุทธศาสนาจากศรีลังกาเข้ามาประดิษฐาน ณ บ้านเมืองของตน ทำให้กรอบของความคิด ความเชื่อ และพุทธศิลป์ ดำเนินในแนวทางตามพุทธศาสนาแบบลังกาที่ได้เลือกรับเข้ามา ที่เห็นได้ชัด คือ นับตั้งแต่สมัยทราวดี สุโขทัย ล้านนา อยุธยา (ตอนต้น) และเมื่อสมัยอยุธยาตอนปลาย พุทธศาสนาแบบลังกาได้เกิดความเสื่อมลง มีการปรับรูปแบบแนวคิดจากการผสมความเชื่อแบบพุทธศาสนาลังกากับพุทธศาสนาแบบขอม ซึ่งตกค้างมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้า เข้ามาเป็นรูปแบบของตนเองในแง่รูปแบบความคิด ความเชื่อ แต่พุทธศิลป์ยังคงยึดถือตามแบบความยิ่งใหญ่ของลังกา จนมาถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาแบบลังกาเข้ามาอีกครั้ง จากการอัญเชิญปูชนียวัตถุเข้ามา อาทิ พระพุทธรูป พระบรมสารีริกธาตุ เป็นต้น จนถึงในช่วงเวลาต่อมาบทบาทของพุทธศาสนาในลังกาค่อย ๆ ลดอิทธิพลลง และถูกแทนที่ด้วยประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดีย</p>
<p>
</p>พุทธศิลป์, ศรีลังกา, พุทธศาสนาลังกาวงศ์25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=167https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/211-cover.jpg
167วารสารบทบาทของลังกาทวีปในฐานะศูนย์กลางพุทธศาสนาต่อพุทธศิลป์ไทย<p>
ศรีลังกาถือว่าเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาท (หินยาน) มานับตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทำการสังคายนาพระพุทธศาสนาครั้งที่ 3 ขึ้น ด้วยความเจริญและความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนาในศรีลังกานี้ ทำให้บ้านเมืองต่าง ๆ ในประเทศไทยจึงเลือกที่จะรับเอาพุทธศาสนาจากศรีลังกาเข้ามาประดิษฐาน ณ บ้านเมืองของตน ทำให้กรอบของความคิด ความเชื่อ และพุทธศิลป์ ดำเนินในแนวทางตามพุทธศาสนาแบบลังกาที่ได้เลือกรับเข้ามา ที่เห็นได้ชัด คือ นับตั้งแต่สมัยทราวดี สุโขทัย ล้านนา อยุธยา (ตอนต้น) และเมื่อสมัยอยุธยาตอนปลาย พุทธศาสนาแบบลังกาได้เกิดความเสื่อมลง มีการปรับรูปแบบแนวคิดจากการผสมความเชื่อแบบพุทธศาสนาลังกากับพุทธศาสนาแบบขอม ซึ่งตกค้างมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้า เข้ามาเป็นรูปแบบของตนเองในแง่รูปแบบความคิด ความเชื่อ แต่พุทธศิลป์ยังคงยึดถือตามแบบความยิ่งใหญ่ของลังกา จนมาถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาแบบลังกาเข้ามาอีกครั้ง จากการอัญเชิญปูชนียวัตถุเข้ามา อาทิ พระพุทธรูป พระบรมสารีริกธาตุ เป็นต้น จนถึงในช่วงเวลาต่อมาบทบาทของพุทธศาสนาในลังกาค่อย ๆ ลดอิทธิพลลง และถูกแทนที่ด้วยประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดีย</p>
<p>
</p>พุทธศิลป์, ศรีลังกา, พุทธศาสนาลังกาวงศ์25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=167https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/211-cover.jpg
167บทความบทบาทของลังกาทวีปในฐานะศูนย์กลางพุทธศาสนาต่อพุทธศิลป์ไทย<p>
ศรีลังกาถือว่าเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาท (หินยาน) มานับตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทำการสังคายนาพระพุทธศาสนาครั้งที่ 3 ขึ้น ด้วยความเจริญและความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนาในศรีลังกานี้ ทำให้บ้านเมืองต่าง ๆ ในประเทศไทยจึงเลือกที่จะรับเอาพุทธศาสนาจากศรีลังกาเข้ามาประดิษฐาน ณ บ้านเมืองของตน ทำให้กรอบของความคิด ความเชื่อ และพุทธศิลป์ ดำเนินในแนวทางตามพุทธศาสนาแบบลังกาที่ได้เลือกรับเข้ามา ที่เห็นได้ชัด คือ นับตั้งแต่สมัยทราวดี สุโขทัย ล้านนา อยุธยา (ตอนต้น) และเมื่อสมัยอยุธยาตอนปลาย พุทธศาสนาแบบลังกาได้เกิดความเสื่อมลง มีการปรับรูปแบบแนวคิดจากการผสมความเชื่อแบบพุทธศาสนาลังกากับพุทธศาสนาแบบขอม ซึ่งตกค้างมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้า เข้ามาเป็นรูปแบบของตนเองในแง่รูปแบบความคิด ความเชื่อ แต่พุทธศิลป์ยังคงยึดถือตามแบบความยิ่งใหญ่ของลังกา จนมาถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาแบบลังกาเข้ามาอีกครั้ง จากการอัญเชิญปูชนียวัตถุเข้ามา อาทิ พระพุทธรูป พระบรมสารีริกธาตุ เป็นต้น จนถึงในช่วงเวลาต่อมาบทบาทของพุทธศาสนาในลังกาค่อย ๆ ลดอิทธิพลลง และถูกแทนที่ด้วยประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดีย</p>
<p>
</p>พุทธศิลป์, ศรีลังกา, พุทธศาสนาลังกาวงศ์25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=167https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/211-cover.jpg
167วิทยานิพนธ์บทบาทของลังกาทวีปในฐานะศูนย์กลางพุทธศาสนาต่อพุทธศิลป์ไทย<p>
ศรีลังกาถือว่าเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาท (หินยาน) มานับตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทำการสังคายนาพระพุทธศาสนาครั้งที่ 3 ขึ้น ด้วยความเจริญและความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนาในศรีลังกานี้ ทำให้บ้านเมืองต่าง ๆ ในประเทศไทยจึงเลือกที่จะรับเอาพุทธศาสนาจากศรีลังกาเข้ามาประดิษฐาน ณ บ้านเมืองของตน ทำให้กรอบของความคิด ความเชื่อ และพุทธศิลป์ ดำเนินในแนวทางตามพุทธศาสนาแบบลังกาที่ได้เลือกรับเข้ามา ที่เห็นได้ชัด คือ นับตั้งแต่สมัยทราวดี สุโขทัย ล้านนา อยุธยา (ตอนต้น) และเมื่อสมัยอยุธยาตอนปลาย พุทธศาสนาแบบลังกาได้เกิดความเสื่อมลง มีการปรับรูปแบบแนวคิดจากการผสมความเชื่อแบบพุทธศาสนาลังกากับพุทธศาสนาแบบขอม ซึ่งตกค้างมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้า เข้ามาเป็นรูปแบบของตนเองในแง่รูปแบบความคิด ความเชื่อ แต่พุทธศิลป์ยังคงยึดถือตามแบบความยิ่งใหญ่ของลังกา จนมาถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาแบบลังกาเข้ามาอีกครั้ง จากการอัญเชิญปูชนียวัตถุเข้ามา อาทิ พระพุทธรูป พระบรมสารีริกธาตุ เป็นต้น จนถึงในช่วงเวลาต่อมาบทบาทของพุทธศาสนาในลังกาค่อย ๆ ลดอิทธิพลลง และถูกแทนที่ด้วยประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดีย</p>
<p>
</p>พุทธศิลป์, ศรีลังกา, พุทธศาสนาลังกาวงศ์25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=167https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/211-cover.jpg
167รายงานงานวิจัยบทบาทของลังกาทวีปในฐานะศูนย์กลางพุทธศาสนาต่อพุทธศิลป์ไทย<p>
ศรีลังกาถือว่าเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาท (หินยาน) มานับตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทำการสังคายนาพระพุทธศาสนาครั้งที่ 3 ขึ้น ด้วยความเจริญและความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนาในศรีลังกานี้ ทำให้บ้านเมืองต่าง ๆ ในประเทศไทยจึงเลือกที่จะรับเอาพุทธศาสนาจากศรีลังกาเข้ามาประดิษฐาน ณ บ้านเมืองของตน ทำให้กรอบของความคิด ความเชื่อ และพุทธศิลป์ ดำเนินในแนวทางตามพุทธศาสนาแบบลังกาที่ได้เลือกรับเข้ามา ที่เห็นได้ชัด คือ นับตั้งแต่สมัยทราวดี สุโขทัย ล้านนา อยุธยา (ตอนต้น) และเมื่อสมัยอยุธยาตอนปลาย พุทธศาสนาแบบลังกาได้เกิดความเสื่อมลง มีการปรับรูปแบบแนวคิดจากการผสมความเชื่อแบบพุทธศาสนาลังกากับพุทธศาสนาแบบขอม ซึ่งตกค้างมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้า เข้ามาเป็นรูปแบบของตนเองในแง่รูปแบบความคิด ความเชื่อ แต่พุทธศิลป์ยังคงยึดถือตามแบบความยิ่งใหญ่ของลังกา จนมาถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาแบบลังกาเข้ามาอีกครั้ง จากการอัญเชิญปูชนียวัตถุเข้ามา อาทิ พระพุทธรูป พระบรมสารีริกธาตุ เป็นต้น จนถึงในช่วงเวลาต่อมาบทบาทของพุทธศาสนาในลังกาค่อย ๆ ลดอิทธิพลลง และถูกแทนที่ด้วยประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดีย</p>
<p>
</p>พุทธศิลป์, ศรีลังกา, พุทธศาสนาลังกาวงศ์25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=167https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/211-cover.jpg
167รายงานบทบาทของลังกาทวีปในฐานะศูนย์กลางพุทธศาสนาต่อพุทธศิลป์ไทย<p>
ศรีลังกาถือว่าเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาท (หินยาน) มานับตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทำการสังคายนาพระพุทธศาสนาครั้งที่ 3 ขึ้น ด้วยความเจริญและความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนาในศรีลังกานี้ ทำให้บ้านเมืองต่าง ๆ ในประเทศไทยจึงเลือกที่จะรับเอาพุทธศาสนาจากศรีลังกาเข้ามาประดิษฐาน ณ บ้านเมืองของตน ทำให้กรอบของความคิด ความเชื่อ และพุทธศิลป์ ดำเนินในแนวทางตามพุทธศาสนาแบบลังกาที่ได้เลือกรับเข้ามา ที่เห็นได้ชัด คือ นับตั้งแต่สมัยทราวดี สุโขทัย ล้านนา อยุธยา (ตอนต้น) และเมื่อสมัยอยุธยาตอนปลาย พุทธศาสนาแบบลังกาได้เกิดความเสื่อมลง มีการปรับรูปแบบแนวคิดจากการผสมความเชื่อแบบพุทธศาสนาลังกากับพุทธศาสนาแบบขอม ซึ่งตกค้างมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้า เข้ามาเป็นรูปแบบของตนเองในแง่รูปแบบความคิด ความเชื่อ แต่พุทธศิลป์ยังคงยึดถือตามแบบความยิ่งใหญ่ของลังกา จนมาถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาแบบลังกาเข้ามาอีกครั้ง จากการอัญเชิญปูชนียวัตถุเข้ามา อาทิ พระพุทธรูป พระบรมสารีริกธาตุ เป็นต้น จนถึงในช่วงเวลาต่อมาบทบาทของพุทธศาสนาในลังกาค่อย ๆ ลดอิทธิพลลง และถูกแทนที่ด้วยประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดีย</p>
<p>
</p>พุทธศิลป์, ศรีลังกา, พุทธศาสนาลังกาวงศ์25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=167https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/211-cover.jpg
167หนังสือบทบาทของลังกาทวีปในฐานะศูนย์กลางพุทธศาสนาต่อพุทธศิลป์ไทย<p>
ศรีลังกาถือว่าเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาท (หินยาน) มานับตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทำการสังคายนาพระพุทธศาสนาครั้งที่ 3 ขึ้น ด้วยความเจริญและความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนาในศรีลังกานี้ ทำให้บ้านเมืองต่าง ๆ ในประเทศไทยจึงเลือกที่จะรับเอาพุทธศาสนาจากศรีลังกาเข้ามาประดิษฐาน ณ บ้านเมืองของตน ทำให้กรอบของความคิด ความเชื่อ และพุทธศิลป์ ดำเนินในแนวทางตามพุทธศาสนาแบบลังกาที่ได้เลือกรับเข้ามา ที่เห็นได้ชัด คือ นับตั้งแต่สมัยทราวดี สุโขทัย ล้านนา อยุธยา (ตอนต้น) และเมื่อสมัยอยุธยาตอนปลาย พุทธศาสนาแบบลังกาได้เกิดความเสื่อมลง มีการปรับรูปแบบแนวคิดจากการผสมความเชื่อแบบพุทธศาสนาลังกากับพุทธศาสนาแบบขอม ซึ่งตกค้างมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้า เข้ามาเป็นรูปแบบของตนเองในแง่รูปแบบความคิด ความเชื่อ แต่พุทธศิลป์ยังคงยึดถือตามแบบความยิ่งใหญ่ของลังกา จนมาถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาแบบลังกาเข้ามาอีกครั้ง จากการอัญเชิญปูชนียวัตถุเข้ามา อาทิ พระพุทธรูป พระบรมสารีริกธาตุ เป็นต้น จนถึงในช่วงเวลาต่อมาบทบาทของพุทธศาสนาในลังกาค่อย ๆ ลดอิทธิพลลง และถูกแทนที่ด้วยประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดีย</p>
<p>
</p>พุทธศิลป์, ศรีลังกา, พุทธศาสนาลังกาวงศ์25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=167https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/211-cover.jpg
167จุลสารบทบาทของลังกาทวีปในฐานะศูนย์กลางพุทธศาสนาต่อพุทธศิลป์ไทย<p>
ศรีลังกาถือว่าเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาท (หินยาน) มานับตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทำการสังคายนาพระพุทธศาสนาครั้งที่ 3 ขึ้น ด้วยความเจริญและความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนาในศรีลังกานี้ ทำให้บ้านเมืองต่าง ๆ ในประเทศไทยจึงเลือกที่จะรับเอาพุทธศาสนาจากศรีลังกาเข้ามาประดิษฐาน ณ บ้านเมืองของตน ทำให้กรอบของความคิด ความเชื่อ และพุทธศิลป์ ดำเนินในแนวทางตามพุทธศาสนาแบบลังกาที่ได้เลือกรับเข้ามา ที่เห็นได้ชัด คือ นับตั้งแต่สมัยทราวดี สุโขทัย ล้านนา อยุธยา (ตอนต้น) และเมื่อสมัยอยุธยาตอนปลาย พุทธศาสนาแบบลังกาได้เกิดความเสื่อมลง มีการปรับรูปแบบแนวคิดจากการผสมความเชื่อแบบพุทธศาสนาลังกากับพุทธศาสนาแบบขอม ซึ่งตกค้างมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้า เข้ามาเป็นรูปแบบของตนเองในแง่รูปแบบความคิด ความเชื่อ แต่พุทธศิลป์ยังคงยึดถือตามแบบความยิ่งใหญ่ของลังกา จนมาถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาแบบลังกาเข้ามาอีกครั้ง จากการอัญเชิญปูชนียวัตถุเข้ามา อาทิ พระพุทธรูป พระบรมสารีริกธาตุ เป็นต้น จนถึงในช่วงเวลาต่อมาบทบาทของพุทธศาสนาในลังกาค่อย ๆ ลดอิทธิพลลง และถูกแทนที่ด้วยประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดีย</p>
<p>
</p>พุทธศิลป์, ศรีลังกา, พุทธศาสนาลังกาวงศ์25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=167https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/211-cover.jpg
167สูจิบัตรบทบาทของลังกาทวีปในฐานะศูนย์กลางพุทธศาสนาต่อพุทธศิลป์ไทย<p>
ศรีลังกาถือว่าเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาท (หินยาน) มานับตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทำการสังคายนาพระพุทธศาสนาครั้งที่ 3 ขึ้น ด้วยความเจริญและความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนาในศรีลังกานี้ ทำให้บ้านเมืองต่าง ๆ ในประเทศไทยจึงเลือกที่จะรับเอาพุทธศาสนาจากศรีลังกาเข้ามาประดิษฐาน ณ บ้านเมืองของตน ทำให้กรอบของความคิด ความเชื่อ และพุทธศิลป์ ดำเนินในแนวทางตามพุทธศาสนาแบบลังกาที่ได้เลือกรับเข้ามา ที่เห็นได้ชัด คือ นับตั้งแต่สมัยทราวดี สุโขทัย ล้านนา อยุธยา (ตอนต้น) และเมื่อสมัยอยุธยาตอนปลาย พุทธศาสนาแบบลังกาได้เกิดความเสื่อมลง มีการปรับรูปแบบแนวคิดจากการผสมความเชื่อแบบพุทธศาสนาลังกากับพุทธศาสนาแบบขอม ซึ่งตกค้างมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้า เข้ามาเป็นรูปแบบของตนเองในแง่รูปแบบความคิด ความเชื่อ แต่พุทธศิลป์ยังคงยึดถือตามแบบความยิ่งใหญ่ของลังกา จนมาถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาแบบลังกาเข้ามาอีกครั้ง จากการอัญเชิญปูชนียวัตถุเข้ามา อาทิ พระพุทธรูป พระบรมสารีริกธาตุ เป็นต้น จนถึงในช่วงเวลาต่อมาบทบาทของพุทธศาสนาในลังกาค่อย ๆ ลดอิทธิพลลง และถูกแทนที่ด้วยประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดีย</p>
<p>
</p>พุทธศิลป์, ศรีลังกา, พุทธศาสนาลังกาวงศ์25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=167https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/211-cover.jpg
187อื่นๆความหลากหลายพันธุ์พืช ไร่หมุนเวียนและผู้หญิง ความเป็นหนึ่งที่สืบทอดความคงอยู่ของความหลากหลายพันธุ์พืช ภายใต้โครงการจัดการสิ่งแวดล้อมและไร่หมุนเวียน<p>
"ไร่หมุนเวียน" เป็นวิถีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาในการดำรงชีวิตของชาวกะเหรี่ยง ผู้หญิงมีความผูกพันกับไร่หมุนเวียนมากกว่าผู้ชาย อาจเพราะเวลาส่วนใหญ่ผู้หญิงจะอยู่กับไร่ตลอดเวลา ตั้งแต่การคัดพันธุ์พืช กระบวนการเก็บรักษาสายพันธุ์พืชชนิดต่างๆ ไปจนถึงการลงมือปลูกและเก็บผลผลิตล้วนเป็นบทบาทของผู้หญิงตลอดทั้งกระบวน จนอาจกล่าวได้ว่า "ไร่หมุนเวียนเป็นมารดาแห่งพันธุ์พืช ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นมารดาของไร่หมุนเวียน" </p>วิถีชีวิต,ไร่หมุนเวียน, การเกษตร, ชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง28 มีนาคม พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=187https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/332-cover.jpg
187วารสารความหลากหลายพันธุ์พืช ไร่หมุนเวียนและผู้หญิง ความเป็นหนึ่งที่สืบทอดความคงอยู่ของความหลากหลายพันธุ์พืช ภายใต้โครงการจัดการสิ่งแวดล้อมและไร่หมุนเวียน<p>
"ไร่หมุนเวียน" เป็นวิถีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาในการดำรงชีวิตของชาวกะเหรี่ยง ผู้หญิงมีความผูกพันกับไร่หมุนเวียนมากกว่าผู้ชาย อาจเพราะเวลาส่วนใหญ่ผู้หญิงจะอยู่กับไร่ตลอดเวลา ตั้งแต่การคัดพันธุ์พืช กระบวนการเก็บรักษาสายพันธุ์พืชชนิดต่างๆ ไปจนถึงการลงมือปลูกและเก็บผลผลิตล้วนเป็นบทบาทของผู้หญิงตลอดทั้งกระบวน จนอาจกล่าวได้ว่า "ไร่หมุนเวียนเป็นมารดาแห่งพันธุ์พืช ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นมารดาของไร่หมุนเวียน" </p>วิถีชีวิต,ไร่หมุนเวียน, การเกษตร, ชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง28 มีนาคม พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=187https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/332-cover.jpg
187บทความความหลากหลายพันธุ์พืช ไร่หมุนเวียนและผู้หญิง ความเป็นหนึ่งที่สืบทอดความคงอยู่ของความหลากหลายพันธุ์พืช ภายใต้โครงการจัดการสิ่งแวดล้อมและไร่หมุนเวียน<p>
"ไร่หมุนเวียน" เป็นวิถีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาในการดำรงชีวิตของชาวกะเหรี่ยง ผู้หญิงมีความผูกพันกับไร่หมุนเวียนมากกว่าผู้ชาย อาจเพราะเวลาส่วนใหญ่ผู้หญิงจะอยู่กับไร่ตลอดเวลา ตั้งแต่การคัดพันธุ์พืช กระบวนการเก็บรักษาสายพันธุ์พืชชนิดต่างๆ ไปจนถึงการลงมือปลูกและเก็บผลผลิตล้วนเป็นบทบาทของผู้หญิงตลอดทั้งกระบวน จนอาจกล่าวได้ว่า "ไร่หมุนเวียนเป็นมารดาแห่งพันธุ์พืช ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นมารดาของไร่หมุนเวียน" </p>วิถีชีวิต,ไร่หมุนเวียน, การเกษตร, ชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง28 มีนาคม พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=187https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/332-cover.jpg
187วิทยานิพนธ์ความหลากหลายพันธุ์พืช ไร่หมุนเวียนและผู้หญิง ความเป็นหนึ่งที่สืบทอดความคงอยู่ของความหลากหลายพันธุ์พืช ภายใต้โครงการจัดการสิ่งแวดล้อมและไร่หมุนเวียน<p>
"ไร่หมุนเวียน" เป็นวิถีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาในการดำรงชีวิตของชาวกะเหรี่ยง ผู้หญิงมีความผูกพันกับไร่หมุนเวียนมากกว่าผู้ชาย อาจเพราะเวลาส่วนใหญ่ผู้หญิงจะอยู่กับไร่ตลอดเวลา ตั้งแต่การคัดพันธุ์พืช กระบวนการเก็บรักษาสายพันธุ์พืชชนิดต่างๆ ไปจนถึงการลงมือปลูกและเก็บผลผลิตล้วนเป็นบทบาทของผู้หญิงตลอดทั้งกระบวน จนอาจกล่าวได้ว่า "ไร่หมุนเวียนเป็นมารดาแห่งพันธุ์พืช ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นมารดาของไร่หมุนเวียน" </p>วิถีชีวิต,ไร่หมุนเวียน, การเกษตร, ชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง28 มีนาคม พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=187https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/332-cover.jpg
187รายงานงานวิจัยความหลากหลายพันธุ์พืช ไร่หมุนเวียนและผู้หญิง ความเป็นหนึ่งที่สืบทอดความคงอยู่ของความหลากหลายพันธุ์พืช ภายใต้โครงการจัดการสิ่งแวดล้อมและไร่หมุนเวียน<p>
"ไร่หมุนเวียน" เป็นวิถีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาในการดำรงชีวิตของชาวกะเหรี่ยง ผู้หญิงมีความผูกพันกับไร่หมุนเวียนมากกว่าผู้ชาย อาจเพราะเวลาส่วนใหญ่ผู้หญิงจะอยู่กับไร่ตลอดเวลา ตั้งแต่การคัดพันธุ์พืช กระบวนการเก็บรักษาสายพันธุ์พืชชนิดต่างๆ ไปจนถึงการลงมือปลูกและเก็บผลผลิตล้วนเป็นบทบาทของผู้หญิงตลอดทั้งกระบวน จนอาจกล่าวได้ว่า "ไร่หมุนเวียนเป็นมารดาแห่งพันธุ์พืช ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นมารดาของไร่หมุนเวียน" </p>วิถีชีวิต,ไร่หมุนเวียน, การเกษตร, ชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง28 มีนาคม พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=187https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/332-cover.jpg
187รายงานความหลากหลายพันธุ์พืช ไร่หมุนเวียนและผู้หญิง ความเป็นหนึ่งที่สืบทอดความคงอยู่ของความหลากหลายพันธุ์พืช ภายใต้โครงการจัดการสิ่งแวดล้อมและไร่หมุนเวียน<p>
"ไร่หมุนเวียน" เป็นวิถีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาในการดำรงชีวิตของชาวกะเหรี่ยง ผู้หญิงมีความผูกพันกับไร่หมุนเวียนมากกว่าผู้ชาย อาจเพราะเวลาส่วนใหญ่ผู้หญิงจะอยู่กับไร่ตลอดเวลา ตั้งแต่การคัดพันธุ์พืช กระบวนการเก็บรักษาสายพันธุ์พืชชนิดต่างๆ ไปจนถึงการลงมือปลูกและเก็บผลผลิตล้วนเป็นบทบาทของผู้หญิงตลอดทั้งกระบวน จนอาจกล่าวได้ว่า "ไร่หมุนเวียนเป็นมารดาแห่งพันธุ์พืช ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นมารดาของไร่หมุนเวียน" </p>วิถีชีวิต,ไร่หมุนเวียน, การเกษตร, ชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง28 มีนาคม พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=187https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/332-cover.jpg
187หนังสือความหลากหลายพันธุ์พืช ไร่หมุนเวียนและผู้หญิง ความเป็นหนึ่งที่สืบทอดความคงอยู่ของความหลากหลายพันธุ์พืช ภายใต้โครงการจัดการสิ่งแวดล้อมและไร่หมุนเวียน<p>
"ไร่หมุนเวียน" เป็นวิถีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาในการดำรงชีวิตของชาวกะเหรี่ยง ผู้หญิงมีความผูกพันกับไร่หมุนเวียนมากกว่าผู้ชาย อาจเพราะเวลาส่วนใหญ่ผู้หญิงจะอยู่กับไร่ตลอดเวลา ตั้งแต่การคัดพันธุ์พืช กระบวนการเก็บรักษาสายพันธุ์พืชชนิดต่างๆ ไปจนถึงการลงมือปลูกและเก็บผลผลิตล้วนเป็นบทบาทของผู้หญิงตลอดทั้งกระบวน จนอาจกล่าวได้ว่า "ไร่หมุนเวียนเป็นมารดาแห่งพันธุ์พืช ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นมารดาของไร่หมุนเวียน" </p>วิถีชีวิต,ไร่หมุนเวียน, การเกษตร, ชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง28 มีนาคม พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=187https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/332-cover.jpg
187จุลสารความหลากหลายพันธุ์พืช ไร่หมุนเวียนและผู้หญิง ความเป็นหนึ่งที่สืบทอดความคงอยู่ของความหลากหลายพันธุ์พืช ภายใต้โครงการจัดการสิ่งแวดล้อมและไร่หมุนเวียน<p>
"ไร่หมุนเวียน" เป็นวิถีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาในการดำรงชีวิตของชาวกะเหรี่ยง ผู้หญิงมีความผูกพันกับไร่หมุนเวียนมากกว่าผู้ชาย อาจเพราะเวลาส่วนใหญ่ผู้หญิงจะอยู่กับไร่ตลอดเวลา ตั้งแต่การคัดพันธุ์พืช กระบวนการเก็บรักษาสายพันธุ์พืชชนิดต่างๆ ไปจนถึงการลงมือปลูกและเก็บผลผลิตล้วนเป็นบทบาทของผู้หญิงตลอดทั้งกระบวน จนอาจกล่าวได้ว่า "ไร่หมุนเวียนเป็นมารดาแห่งพันธุ์พืช ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นมารดาของไร่หมุนเวียน" </p>วิถีชีวิต,ไร่หมุนเวียน, การเกษตร, ชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง28 มีนาคม พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=187https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/332-cover.jpg
187สูจิบัตรความหลากหลายพันธุ์พืช ไร่หมุนเวียนและผู้หญิง ความเป็นหนึ่งที่สืบทอดความคงอยู่ของความหลากหลายพันธุ์พืช ภายใต้โครงการจัดการสิ่งแวดล้อมและไร่หมุนเวียน<p>
"ไร่หมุนเวียน" เป็นวิถีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาในการดำรงชีวิตของชาวกะเหรี่ยง ผู้หญิงมีความผูกพันกับไร่หมุนเวียนมากกว่าผู้ชาย อาจเพราะเวลาส่วนใหญ่ผู้หญิงจะอยู่กับไร่ตลอดเวลา ตั้งแต่การคัดพันธุ์พืช กระบวนการเก็บรักษาสายพันธุ์พืชชนิดต่างๆ ไปจนถึงการลงมือปลูกและเก็บผลผลิตล้วนเป็นบทบาทของผู้หญิงตลอดทั้งกระบวน จนอาจกล่าวได้ว่า "ไร่หมุนเวียนเป็นมารดาแห่งพันธุ์พืช ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นมารดาของไร่หมุนเวียน" </p>วิถีชีวิต,ไร่หมุนเวียน, การเกษตร, ชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง28 มีนาคม พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=187https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/332-cover.jpg
218อื่นๆแนวทางการส่งเสริมศักยภาพชุมชนมอญเจ็ดริ้วในการจัดการวัฒนธรรม<p>
ชุมชนเจ็ดริ้วมีระบบความเชื่อของชาวมอญที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ การมีสำนึกร่วมกันของคนในชุมชน โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับผีมอญ ประเพณี และการใช้ภาษา นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการฟื้นฟู อนุรักษ์ และถ่ายทอดวัฒนธรรม ทั้งยังพบว่าภูมิปัญญาพื้นบ้านอย่างการปักผ้าสไบมอญได้เป็นที่ยอมรับของคนทั้งจากภายในและภายนอกชุมชน รวมทั้งการได้รับรางวัลก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและสามารถขายเป็นสินค้าสร้างรายได้ อย่างไรก็ดีชุมชนเจ็ดริ้วมีศักยภาพในการจัดการวัฒนธรรมที่น่าสนใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาและข้อจำกัด ตามที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ไว้ถึงแนวทางในการส่งเสริมศักยภาพของชุมชนในการจัดการวัฒนธรรมดังกล่าว</p>มอญ, ชาติพันธุ์, เจ็ดริ้ว, วัฒนธรรมและประเพณี, การจัดการวัฒนธรรม10 เมษายน พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=218https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/312-cover.jpg
218วารสารแนวทางการส่งเสริมศักยภาพชุมชนมอญเจ็ดริ้วในการจัดการวัฒนธรรม<p>
ชุมชนเจ็ดริ้วมีระบบความเชื่อของชาวมอญที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ การมีสำนึกร่วมกันของคนในชุมชน โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับผีมอญ ประเพณี และการใช้ภาษา นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการฟื้นฟู อนุรักษ์ และถ่ายทอดวัฒนธรรม ทั้งยังพบว่าภูมิปัญญาพื้นบ้านอย่างการปักผ้าสไบมอญได้เป็นที่ยอมรับของคนทั้งจากภายในและภายนอกชุมชน รวมทั้งการได้รับรางวัลก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและสามารถขายเป็นสินค้าสร้างรายได้ อย่างไรก็ดีชุมชนเจ็ดริ้วมีศักยภาพในการจัดการวัฒนธรรมที่น่าสนใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาและข้อจำกัด ตามที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ไว้ถึงแนวทางในการส่งเสริมศักยภาพของชุมชนในการจัดการวัฒนธรรมดังกล่าว</p>มอญ, ชาติพันธุ์, เจ็ดริ้ว, วัฒนธรรมและประเพณี, การจัดการวัฒนธรรม10 เมษายน พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=218https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/312-cover.jpg
218บทความแนวทางการส่งเสริมศักยภาพชุมชนมอญเจ็ดริ้วในการจัดการวัฒนธรรม<p>
ชุมชนเจ็ดริ้วมีระบบความเชื่อของชาวมอญที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ การมีสำนึกร่วมกันของคนในชุมชน โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับผีมอญ ประเพณี และการใช้ภาษา นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการฟื้นฟู อนุรักษ์ และถ่ายทอดวัฒนธรรม ทั้งยังพบว่าภูมิปัญญาพื้นบ้านอย่างการปักผ้าสไบมอญได้เป็นที่ยอมรับของคนทั้งจากภายในและภายนอกชุมชน รวมทั้งการได้รับรางวัลก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและสามารถขายเป็นสินค้าสร้างรายได้ อย่างไรก็ดีชุมชนเจ็ดริ้วมีศักยภาพในการจัดการวัฒนธรรมที่น่าสนใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาและข้อจำกัด ตามที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ไว้ถึงแนวทางในการส่งเสริมศักยภาพของชุมชนในการจัดการวัฒนธรรมดังกล่าว</p>มอญ, ชาติพันธุ์, เจ็ดริ้ว, วัฒนธรรมและประเพณี, การจัดการวัฒนธรรม10 เมษายน พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=218https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/312-cover.jpg
218วิทยานิพนธ์แนวทางการส่งเสริมศักยภาพชุมชนมอญเจ็ดริ้วในการจัดการวัฒนธรรม<p>
ชุมชนเจ็ดริ้วมีระบบความเชื่อของชาวมอญที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ การมีสำนึกร่วมกันของคนในชุมชน โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับผีมอญ ประเพณี และการใช้ภาษา นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการฟื้นฟู อนุรักษ์ และถ่ายทอดวัฒนธรรม ทั้งยังพบว่าภูมิปัญญาพื้นบ้านอย่างการปักผ้าสไบมอญได้เป็นที่ยอมรับของคนทั้งจากภายในและภายนอกชุมชน รวมทั้งการได้รับรางวัลก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและสามารถขายเป็นสินค้าสร้างรายได้ อย่างไรก็ดีชุมชนเจ็ดริ้วมีศักยภาพในการจัดการวัฒนธรรมที่น่าสนใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาและข้อจำกัด ตามที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ไว้ถึงแนวทางในการส่งเสริมศักยภาพของชุมชนในการจัดการวัฒนธรรมดังกล่าว</p>มอญ, ชาติพันธุ์, เจ็ดริ้ว, วัฒนธรรมและประเพณี, การจัดการวัฒนธรรม10 เมษายน พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=218https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/312-cover.jpg
218รายงานงานวิจัยแนวทางการส่งเสริมศักยภาพชุมชนมอญเจ็ดริ้วในการจัดการวัฒนธรรม<p>
ชุมชนเจ็ดริ้วมีระบบความเชื่อของชาวมอญที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ การมีสำนึกร่วมกันของคนในชุมชน โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับผีมอญ ประเพณี และการใช้ภาษา นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการฟื้นฟู อนุรักษ์ และถ่ายทอดวัฒนธรรม ทั้งยังพบว่าภูมิปัญญาพื้นบ้านอย่างการปักผ้าสไบมอญได้เป็นที่ยอมรับของคนทั้งจากภายในและภายนอกชุมชน รวมทั้งการได้รับรางวัลก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและสามารถขายเป็นสินค้าสร้างรายได้ อย่างไรก็ดีชุมชนเจ็ดริ้วมีศักยภาพในการจัดการวัฒนธรรมที่น่าสนใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาและข้อจำกัด ตามที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ไว้ถึงแนวทางในการส่งเสริมศักยภาพของชุมชนในการจัดการวัฒนธรรมดังกล่าว</p>มอญ, ชาติพันธุ์, เจ็ดริ้ว, วัฒนธรรมและประเพณี, การจัดการวัฒนธรรม10 เมษายน พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=218https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/312-cover.jpg
218รายงานแนวทางการส่งเสริมศักยภาพชุมชนมอญเจ็ดริ้วในการจัดการวัฒนธรรม<p>
ชุมชนเจ็ดริ้วมีระบบความเชื่อของชาวมอญที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ การมีสำนึกร่วมกันของคนในชุมชน โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับผีมอญ ประเพณี และการใช้ภาษา นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการฟื้นฟู อนุรักษ์ และถ่ายทอดวัฒนธรรม ทั้งยังพบว่าภูมิปัญญาพื้นบ้านอย่างการปักผ้าสไบมอญได้เป็นที่ยอมรับของคนทั้งจากภายในและภายนอกชุมชน รวมทั้งการได้รับรางวัลก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและสามารถขายเป็นสินค้าสร้างรายได้ อย่างไรก็ดีชุมชนเจ็ดริ้วมีศักยภาพในการจัดการวัฒนธรรมที่น่าสนใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาและข้อจำกัด ตามที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ไว้ถึงแนวทางในการส่งเสริมศักยภาพของชุมชนในการจัดการวัฒนธรรมดังกล่าว</p>มอญ, ชาติพันธุ์, เจ็ดริ้ว, วัฒนธรรมและประเพณี, การจัดการวัฒนธรรม10 เมษายน พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=218https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/312-cover.jpg
218หนังสือแนวทางการส่งเสริมศักยภาพชุมชนมอญเจ็ดริ้วในการจัดการวัฒนธรรม<p>
ชุมชนเจ็ดริ้วมีระบบความเชื่อของชาวมอญที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ การมีสำนึกร่วมกันของคนในชุมชน โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับผีมอญ ประเพณี และการใช้ภาษา นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการฟื้นฟู อนุรักษ์ และถ่ายทอดวัฒนธรรม ทั้งยังพบว่าภูมิปัญญาพื้นบ้านอย่างการปักผ้าสไบมอญได้เป็นที่ยอมรับของคนทั้งจากภายในและภายนอกชุมชน รวมทั้งการได้รับรางวัลก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและสามารถขายเป็นสินค้าสร้างรายได้ อย่างไรก็ดีชุมชนเจ็ดริ้วมีศักยภาพในการจัดการวัฒนธรรมที่น่าสนใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาและข้อจำกัด ตามที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ไว้ถึงแนวทางในการส่งเสริมศักยภาพของชุมชนในการจัดการวัฒนธรรมดังกล่าว</p>มอญ, ชาติพันธุ์, เจ็ดริ้ว, วัฒนธรรมและประเพณี, การจัดการวัฒนธรรม10 เมษายน พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=218https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/312-cover.jpg
218จุลสารแนวทางการส่งเสริมศักยภาพชุมชนมอญเจ็ดริ้วในการจัดการวัฒนธรรม<p>
ชุมชนเจ็ดริ้วมีระบบความเชื่อของชาวมอญที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ การมีสำนึกร่วมกันของคนในชุมชน โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับผีมอญ ประเพณี และการใช้ภาษา นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการฟื้นฟู อนุรักษ์ และถ่ายทอดวัฒนธรรม ทั้งยังพบว่าภูมิปัญญาพื้นบ้านอย่างการปักผ้าสไบมอญได้เป็นที่ยอมรับของคนทั้งจากภายในและภายนอกชุมชน รวมทั้งการได้รับรางวัลก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและสามารถขายเป็นสินค้าสร้างรายได้ อย่างไรก็ดีชุมชนเจ็ดริ้วมีศักยภาพในการจัดการวัฒนธรรมที่น่าสนใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาและข้อจำกัด ตามที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ไว้ถึงแนวทางในการส่งเสริมศักยภาพของชุมชนในการจัดการวัฒนธรรมดังกล่าว</p>มอญ, ชาติพันธุ์, เจ็ดริ้ว, วัฒนธรรมและประเพณี, การจัดการวัฒนธรรม10 เมษายน พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=218https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/312-cover.jpg
218สูจิบัตรแนวทางการส่งเสริมศักยภาพชุมชนมอญเจ็ดริ้วในการจัดการวัฒนธรรม<p>
ชุมชนเจ็ดริ้วมีระบบความเชื่อของชาวมอญที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ การมีสำนึกร่วมกันของคนในชุมชน โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับผีมอญ ประเพณี และการใช้ภาษา นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการฟื้นฟู อนุรักษ์ และถ่ายทอดวัฒนธรรม ทั้งยังพบว่าภูมิปัญญาพื้นบ้านอย่างการปักผ้าสไบมอญได้เป็นที่ยอมรับของคนทั้งจากภายในและภายนอกชุมชน รวมทั้งการได้รับรางวัลก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและสามารถขายเป็นสินค้าสร้างรายได้ อย่างไรก็ดีชุมชนเจ็ดริ้วมีศักยภาพในการจัดการวัฒนธรรมที่น่าสนใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาและข้อจำกัด ตามที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ไว้ถึงแนวทางในการส่งเสริมศักยภาพของชุมชนในการจัดการวัฒนธรรมดังกล่าว</p>มอญ, ชาติพันธุ์, เจ็ดริ้ว, วัฒนธรรมและประเพณี, การจัดการวัฒนธรรม10 เมษายน พ.ศ. 2562ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=218https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/312-cover.jpg
220อื่นๆค่ายเยาวชนรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ครั้งที่ 14<p>
ในปัจจุบันรากเหง้าและจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมถูกลดทอนลง เช่นเดียวกับการอนุรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรม ที่ไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนมากนัก เพื่อเป็นการปลูกฝังให้เกิดความสำนึกในเรื่องนี้ ทางชมรมโบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ได้เล็งเห็นความสำคัญของการให้ความรู้ ความคิด และปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านต่อเยาวชน ผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์และการลงพื้นที่จริง โดยเลือกพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดกำแพงเพชร เป็นสถานที่ดำเนินงาน ด้วยเป็นทั้งสถานที่ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนเข้าใจกระบวนการศึกษาทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ มานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเบื้องต้น</p>การอนุรักษ์, โบราณคดี, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมพื้นบ้าน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=220https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/363-cover.jpg
220วารสารค่ายเยาวชนรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ครั้งที่ 14<p>
ในปัจจุบันรากเหง้าและจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมถูกลดทอนลง เช่นเดียวกับการอนุรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรม ที่ไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนมากนัก เพื่อเป็นการปลูกฝังให้เกิดความสำนึกในเรื่องนี้ ทางชมรมโบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ได้เล็งเห็นความสำคัญของการให้ความรู้ ความคิด และปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านต่อเยาวชน ผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์และการลงพื้นที่จริง โดยเลือกพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดกำแพงเพชร เป็นสถานที่ดำเนินงาน ด้วยเป็นทั้งสถานที่ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนเข้าใจกระบวนการศึกษาทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ มานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเบื้องต้น</p>การอนุรักษ์, โบราณคดี, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมพื้นบ้าน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=220https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/363-cover.jpg
220บทความค่ายเยาวชนรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ครั้งที่ 14<p>
ในปัจจุบันรากเหง้าและจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมถูกลดทอนลง เช่นเดียวกับการอนุรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรม ที่ไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนมากนัก เพื่อเป็นการปลูกฝังให้เกิดความสำนึกในเรื่องนี้ ทางชมรมโบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ได้เล็งเห็นความสำคัญของการให้ความรู้ ความคิด และปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านต่อเยาวชน ผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์และการลงพื้นที่จริง โดยเลือกพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดกำแพงเพชร เป็นสถานที่ดำเนินงาน ด้วยเป็นทั้งสถานที่ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนเข้าใจกระบวนการศึกษาทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ มานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเบื้องต้น</p>การอนุรักษ์, โบราณคดี, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมพื้นบ้าน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=220https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/363-cover.jpg
220วิทยานิพนธ์ค่ายเยาวชนรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ครั้งที่ 14<p>
ในปัจจุบันรากเหง้าและจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมถูกลดทอนลง เช่นเดียวกับการอนุรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรม ที่ไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนมากนัก เพื่อเป็นการปลูกฝังให้เกิดความสำนึกในเรื่องนี้ ทางชมรมโบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ได้เล็งเห็นความสำคัญของการให้ความรู้ ความคิด และปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านต่อเยาวชน ผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์และการลงพื้นที่จริง โดยเลือกพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดกำแพงเพชร เป็นสถานที่ดำเนินงาน ด้วยเป็นทั้งสถานที่ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนเข้าใจกระบวนการศึกษาทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ มานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเบื้องต้น</p>การอนุรักษ์, โบราณคดี, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมพื้นบ้าน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=220https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/363-cover.jpg
220รายงานงานวิจัยค่ายเยาวชนรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ครั้งที่ 14<p>
ในปัจจุบันรากเหง้าและจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมถูกลดทอนลง เช่นเดียวกับการอนุรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรม ที่ไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนมากนัก เพื่อเป็นการปลูกฝังให้เกิดความสำนึกในเรื่องนี้ ทางชมรมโบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ได้เล็งเห็นความสำคัญของการให้ความรู้ ความคิด และปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านต่อเยาวชน ผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์และการลงพื้นที่จริง โดยเลือกพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดกำแพงเพชร เป็นสถานที่ดำเนินงาน ด้วยเป็นทั้งสถานที่ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนเข้าใจกระบวนการศึกษาทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ มานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเบื้องต้น</p>การอนุรักษ์, โบราณคดี, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมพื้นบ้าน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=220https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/363-cover.jpg
220รายงานค่ายเยาวชนรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ครั้งที่ 14<p>
ในปัจจุบันรากเหง้าและจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมถูกลดทอนลง เช่นเดียวกับการอนุรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรม ที่ไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนมากนัก เพื่อเป็นการปลูกฝังให้เกิดความสำนึกในเรื่องนี้ ทางชมรมโบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ได้เล็งเห็นความสำคัญของการให้ความรู้ ความคิด และปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านต่อเยาวชน ผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์และการลงพื้นที่จริง โดยเลือกพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดกำแพงเพชร เป็นสถานที่ดำเนินงาน ด้วยเป็นทั้งสถานที่ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนเข้าใจกระบวนการศึกษาทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ มานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเบื้องต้น</p>การอนุรักษ์, โบราณคดี, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมพื้นบ้าน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=220https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/363-cover.jpg
220หนังสือค่ายเยาวชนรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ครั้งที่ 14<p>
ในปัจจุบันรากเหง้าและจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมถูกลดทอนลง เช่นเดียวกับการอนุรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรม ที่ไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนมากนัก เพื่อเป็นการปลูกฝังให้เกิดความสำนึกในเรื่องนี้ ทางชมรมโบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ได้เล็งเห็นความสำคัญของการให้ความรู้ ความคิด และปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านต่อเยาวชน ผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์และการลงพื้นที่จริง โดยเลือกพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดกำแพงเพชร เป็นสถานที่ดำเนินงาน ด้วยเป็นทั้งสถานที่ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนเข้าใจกระบวนการศึกษาทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ มานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเบื้องต้น</p>การอนุรักษ์, โบราณคดี, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมพื้นบ้าน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=220https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/363-cover.jpg
220จุลสารค่ายเยาวชนรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ครั้งที่ 14<p>
ในปัจจุบันรากเหง้าและจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมถูกลดทอนลง เช่นเดียวกับการอนุรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรม ที่ไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนมากนัก เพื่อเป็นการปลูกฝังให้เกิดความสำนึกในเรื่องนี้ ทางชมรมโบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ได้เล็งเห็นความสำคัญของการให้ความรู้ ความคิด และปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านต่อเยาวชน ผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์และการลงพื้นที่จริง โดยเลือกพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดกำแพงเพชร เป็นสถานที่ดำเนินงาน ด้วยเป็นทั้งสถานที่ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนเข้าใจกระบวนการศึกษาทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ มานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเบื้องต้น</p>การอนุรักษ์, โบราณคดี, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมพื้นบ้าน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=220https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/363-cover.jpg
220สูจิบัตรค่ายเยาวชนรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ครั้งที่ 14<p>
ในปัจจุบันรากเหง้าและจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมถูกลดทอนลง เช่นเดียวกับการอนุรักษ์ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรม ที่ไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนมากนัก เพื่อเป็นการปลูกฝังให้เกิดความสำนึกในเรื่องนี้ ทางชมรมโบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ได้เล็งเห็นความสำคัญของการให้ความรู้ ความคิด และปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านต่อเยาวชน ผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์และการลงพื้นที่จริง โดยเลือกพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดกำแพงเพชร เป็นสถานที่ดำเนินงาน ด้วยเป็นทั้งสถานที่ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนเข้าใจกระบวนการศึกษาทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ มานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเบื้องต้น</p>การอนุรักษ์, โบราณคดี, วัฒนธรรม, วัฒนธรรมพื้นบ้าน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=220https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/363-cover.jpg
221อื่นๆชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนในคนนอกคนกลางและคนอื่น<p>
โครงการ <em>ชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนใน คนนอก คนกลางและคนอื่น </em>เป็นโครงการที่มุ่งเน้นศึกษาบริบทอื่นของภาพถ่ายในเชิงมานุษยวิทยาอันสามารถนำไปสู่มุมมอง แง่มุมการศึกษาที่แปลกใหม่กว่าการยืนยันรูปธรรมของชุมชนหรือการมีอยู่ของวัตถุหนึ่งผ่าน การศึกษาซึ่งผสมผสานกับมุมมองทางประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่ร่วมพิจารณาบทบาทระหว่างภายถ่ายกับผู้คนในชุมชน ประกอบการลงพื้นที่สำรวจข้อมูล ซึ่งได้เลือกพื้นที่ชุมชนบ้านโนนม่วง ตำบลวังไชย อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เป็นพื้นที่ในการศึกษาเนื่องจากชุมชนบ้านโนนม่วงเป็นชุมชนที่ไม่ปรากฏอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มอย่างเด่นชัดซึ่งเป็นลักษณะของชุมชนที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการเชิงทดลองในครั้งนี้ โดยได้แบ่งรูปแบบกิจกรรมการถ่ายภาพออกเป็นสามรูปแบบ ประการแรก เป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายนอกที่กระทำต่อพื้นที่และผู้คนภายในชุมชน ประการที่สอง ความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายในต่อพื้นที่และบุคคลภายในชุมชนด้วยกันเองซึ่งแบ่งออกเป็นสองหัวข้อคือ ‘ความงาม’ และ ‘แม่’ ประการที่สาม ความสัมพันธ์ในรูปแบบอิสระภายใต้เงื่อนไขความก่ำกึ่งของสถานะคนนอก-คนใน</p>ภาพถ่าย, ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ชุมชน, บ้านโนนม่วง, มหาสารคาม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=221https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/364-cover.jpg
221วารสารชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนในคนนอกคนกลางและคนอื่น<p>
โครงการ <em>ชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนใน คนนอก คนกลางและคนอื่น </em>เป็นโครงการที่มุ่งเน้นศึกษาบริบทอื่นของภาพถ่ายในเชิงมานุษยวิทยาอันสามารถนำไปสู่มุมมอง แง่มุมการศึกษาที่แปลกใหม่กว่าการยืนยันรูปธรรมของชุมชนหรือการมีอยู่ของวัตถุหนึ่งผ่าน การศึกษาซึ่งผสมผสานกับมุมมองทางประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่ร่วมพิจารณาบทบาทระหว่างภายถ่ายกับผู้คนในชุมชน ประกอบการลงพื้นที่สำรวจข้อมูล ซึ่งได้เลือกพื้นที่ชุมชนบ้านโนนม่วง ตำบลวังไชย อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เป็นพื้นที่ในการศึกษาเนื่องจากชุมชนบ้านโนนม่วงเป็นชุมชนที่ไม่ปรากฏอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มอย่างเด่นชัดซึ่งเป็นลักษณะของชุมชนที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการเชิงทดลองในครั้งนี้ โดยได้แบ่งรูปแบบกิจกรรมการถ่ายภาพออกเป็นสามรูปแบบ ประการแรก เป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายนอกที่กระทำต่อพื้นที่และผู้คนภายในชุมชน ประการที่สอง ความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายในต่อพื้นที่และบุคคลภายในชุมชนด้วยกันเองซึ่งแบ่งออกเป็นสองหัวข้อคือ ‘ความงาม’ และ ‘แม่’ ประการที่สาม ความสัมพันธ์ในรูปแบบอิสระภายใต้เงื่อนไขความก่ำกึ่งของสถานะคนนอก-คนใน</p>ภาพถ่าย, ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ชุมชน, บ้านโนนม่วง, มหาสารคาม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=221https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/364-cover.jpg
221บทความชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนในคนนอกคนกลางและคนอื่น<p>
โครงการ <em>ชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนใน คนนอก คนกลางและคนอื่น </em>เป็นโครงการที่มุ่งเน้นศึกษาบริบทอื่นของภาพถ่ายในเชิงมานุษยวิทยาอันสามารถนำไปสู่มุมมอง แง่มุมการศึกษาที่แปลกใหม่กว่าการยืนยันรูปธรรมของชุมชนหรือการมีอยู่ของวัตถุหนึ่งผ่าน การศึกษาซึ่งผสมผสานกับมุมมองทางประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่ร่วมพิจารณาบทบาทระหว่างภายถ่ายกับผู้คนในชุมชน ประกอบการลงพื้นที่สำรวจข้อมูล ซึ่งได้เลือกพื้นที่ชุมชนบ้านโนนม่วง ตำบลวังไชย อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เป็นพื้นที่ในการศึกษาเนื่องจากชุมชนบ้านโนนม่วงเป็นชุมชนที่ไม่ปรากฏอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มอย่างเด่นชัดซึ่งเป็นลักษณะของชุมชนที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการเชิงทดลองในครั้งนี้ โดยได้แบ่งรูปแบบกิจกรรมการถ่ายภาพออกเป็นสามรูปแบบ ประการแรก เป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายนอกที่กระทำต่อพื้นที่และผู้คนภายในชุมชน ประการที่สอง ความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายในต่อพื้นที่และบุคคลภายในชุมชนด้วยกันเองซึ่งแบ่งออกเป็นสองหัวข้อคือ ‘ความงาม’ และ ‘แม่’ ประการที่สาม ความสัมพันธ์ในรูปแบบอิสระภายใต้เงื่อนไขความก่ำกึ่งของสถานะคนนอก-คนใน</p>ภาพถ่าย, ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ชุมชน, บ้านโนนม่วง, มหาสารคาม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=221https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/364-cover.jpg
221วิทยานิพนธ์ชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนในคนนอกคนกลางและคนอื่น<p>
โครงการ <em>ชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนใน คนนอก คนกลางและคนอื่น </em>เป็นโครงการที่มุ่งเน้นศึกษาบริบทอื่นของภาพถ่ายในเชิงมานุษยวิทยาอันสามารถนำไปสู่มุมมอง แง่มุมการศึกษาที่แปลกใหม่กว่าการยืนยันรูปธรรมของชุมชนหรือการมีอยู่ของวัตถุหนึ่งผ่าน การศึกษาซึ่งผสมผสานกับมุมมองทางประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่ร่วมพิจารณาบทบาทระหว่างภายถ่ายกับผู้คนในชุมชน ประกอบการลงพื้นที่สำรวจข้อมูล ซึ่งได้เลือกพื้นที่ชุมชนบ้านโนนม่วง ตำบลวังไชย อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เป็นพื้นที่ในการศึกษาเนื่องจากชุมชนบ้านโนนม่วงเป็นชุมชนที่ไม่ปรากฏอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มอย่างเด่นชัดซึ่งเป็นลักษณะของชุมชนที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการเชิงทดลองในครั้งนี้ โดยได้แบ่งรูปแบบกิจกรรมการถ่ายภาพออกเป็นสามรูปแบบ ประการแรก เป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายนอกที่กระทำต่อพื้นที่และผู้คนภายในชุมชน ประการที่สอง ความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายในต่อพื้นที่และบุคคลภายในชุมชนด้วยกันเองซึ่งแบ่งออกเป็นสองหัวข้อคือ ‘ความงาม’ และ ‘แม่’ ประการที่สาม ความสัมพันธ์ในรูปแบบอิสระภายใต้เงื่อนไขความก่ำกึ่งของสถานะคนนอก-คนใน</p>ภาพถ่าย, ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ชุมชน, บ้านโนนม่วง, มหาสารคาม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=221https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/364-cover.jpg
221รายงานงานวิจัยชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนในคนนอกคนกลางและคนอื่น<p>
โครงการ <em>ชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนใน คนนอก คนกลางและคนอื่น </em>เป็นโครงการที่มุ่งเน้นศึกษาบริบทอื่นของภาพถ่ายในเชิงมานุษยวิทยาอันสามารถนำไปสู่มุมมอง แง่มุมการศึกษาที่แปลกใหม่กว่าการยืนยันรูปธรรมของชุมชนหรือการมีอยู่ของวัตถุหนึ่งผ่าน การศึกษาซึ่งผสมผสานกับมุมมองทางประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่ร่วมพิจารณาบทบาทระหว่างภายถ่ายกับผู้คนในชุมชน ประกอบการลงพื้นที่สำรวจข้อมูล ซึ่งได้เลือกพื้นที่ชุมชนบ้านโนนม่วง ตำบลวังไชย อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เป็นพื้นที่ในการศึกษาเนื่องจากชุมชนบ้านโนนม่วงเป็นชุมชนที่ไม่ปรากฏอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มอย่างเด่นชัดซึ่งเป็นลักษณะของชุมชนที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการเชิงทดลองในครั้งนี้ โดยได้แบ่งรูปแบบกิจกรรมการถ่ายภาพออกเป็นสามรูปแบบ ประการแรก เป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายนอกที่กระทำต่อพื้นที่และผู้คนภายในชุมชน ประการที่สอง ความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายในต่อพื้นที่และบุคคลภายในชุมชนด้วยกันเองซึ่งแบ่งออกเป็นสองหัวข้อคือ ‘ความงาม’ และ ‘แม่’ ประการที่สาม ความสัมพันธ์ในรูปแบบอิสระภายใต้เงื่อนไขความก่ำกึ่งของสถานะคนนอก-คนใน</p>ภาพถ่าย, ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ชุมชน, บ้านโนนม่วง, มหาสารคาม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=221https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/364-cover.jpg
221รายงานชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนในคนนอกคนกลางและคนอื่น<p>
โครงการ <em>ชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนใน คนนอก คนกลางและคนอื่น </em>เป็นโครงการที่มุ่งเน้นศึกษาบริบทอื่นของภาพถ่ายในเชิงมานุษยวิทยาอันสามารถนำไปสู่มุมมอง แง่มุมการศึกษาที่แปลกใหม่กว่าการยืนยันรูปธรรมของชุมชนหรือการมีอยู่ของวัตถุหนึ่งผ่าน การศึกษาซึ่งผสมผสานกับมุมมองทางประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่ร่วมพิจารณาบทบาทระหว่างภายถ่ายกับผู้คนในชุมชน ประกอบการลงพื้นที่สำรวจข้อมูล ซึ่งได้เลือกพื้นที่ชุมชนบ้านโนนม่วง ตำบลวังไชย อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เป็นพื้นที่ในการศึกษาเนื่องจากชุมชนบ้านโนนม่วงเป็นชุมชนที่ไม่ปรากฏอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มอย่างเด่นชัดซึ่งเป็นลักษณะของชุมชนที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการเชิงทดลองในครั้งนี้ โดยได้แบ่งรูปแบบกิจกรรมการถ่ายภาพออกเป็นสามรูปแบบ ประการแรก เป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายนอกที่กระทำต่อพื้นที่และผู้คนภายในชุมชน ประการที่สอง ความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายในต่อพื้นที่และบุคคลภายในชุมชนด้วยกันเองซึ่งแบ่งออกเป็นสองหัวข้อคือ ‘ความงาม’ และ ‘แม่’ ประการที่สาม ความสัมพันธ์ในรูปแบบอิสระภายใต้เงื่อนไขความก่ำกึ่งของสถานะคนนอก-คนใน</p>ภาพถ่าย, ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ชุมชน, บ้านโนนม่วง, มหาสารคาม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=221https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/364-cover.jpg
221หนังสือชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนในคนนอกคนกลางและคนอื่น<p>
โครงการ <em>ชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนใน คนนอก คนกลางและคนอื่น </em>เป็นโครงการที่มุ่งเน้นศึกษาบริบทอื่นของภาพถ่ายในเชิงมานุษยวิทยาอันสามารถนำไปสู่มุมมอง แง่มุมการศึกษาที่แปลกใหม่กว่าการยืนยันรูปธรรมของชุมชนหรือการมีอยู่ของวัตถุหนึ่งผ่าน การศึกษาซึ่งผสมผสานกับมุมมองทางประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่ร่วมพิจารณาบทบาทระหว่างภายถ่ายกับผู้คนในชุมชน ประกอบการลงพื้นที่สำรวจข้อมูล ซึ่งได้เลือกพื้นที่ชุมชนบ้านโนนม่วง ตำบลวังไชย อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เป็นพื้นที่ในการศึกษาเนื่องจากชุมชนบ้านโนนม่วงเป็นชุมชนที่ไม่ปรากฏอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มอย่างเด่นชัดซึ่งเป็นลักษณะของชุมชนที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการเชิงทดลองในครั้งนี้ โดยได้แบ่งรูปแบบกิจกรรมการถ่ายภาพออกเป็นสามรูปแบบ ประการแรก เป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายนอกที่กระทำต่อพื้นที่และผู้คนภายในชุมชน ประการที่สอง ความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายในต่อพื้นที่และบุคคลภายในชุมชนด้วยกันเองซึ่งแบ่งออกเป็นสองหัวข้อคือ ‘ความงาม’ และ ‘แม่’ ประการที่สาม ความสัมพันธ์ในรูปแบบอิสระภายใต้เงื่อนไขความก่ำกึ่งของสถานะคนนอก-คนใน</p>ภาพถ่าย, ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ชุมชน, บ้านโนนม่วง, มหาสารคาม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=221https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/364-cover.jpg
221จุลสารชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนในคนนอกคนกลางและคนอื่น<p>
โครงการ <em>ชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนใน คนนอก คนกลางและคนอื่น </em>เป็นโครงการที่มุ่งเน้นศึกษาบริบทอื่นของภาพถ่ายในเชิงมานุษยวิทยาอันสามารถนำไปสู่มุมมอง แง่มุมการศึกษาที่แปลกใหม่กว่าการยืนยันรูปธรรมของชุมชนหรือการมีอยู่ของวัตถุหนึ่งผ่าน การศึกษาซึ่งผสมผสานกับมุมมองทางประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่ร่วมพิจารณาบทบาทระหว่างภายถ่ายกับผู้คนในชุมชน ประกอบการลงพื้นที่สำรวจข้อมูล ซึ่งได้เลือกพื้นที่ชุมชนบ้านโนนม่วง ตำบลวังไชย อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เป็นพื้นที่ในการศึกษาเนื่องจากชุมชนบ้านโนนม่วงเป็นชุมชนที่ไม่ปรากฏอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มอย่างเด่นชัดซึ่งเป็นลักษณะของชุมชนที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการเชิงทดลองในครั้งนี้ โดยได้แบ่งรูปแบบกิจกรรมการถ่ายภาพออกเป็นสามรูปแบบ ประการแรก เป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายนอกที่กระทำต่อพื้นที่และผู้คนภายในชุมชน ประการที่สอง ความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายในต่อพื้นที่และบุคคลภายในชุมชนด้วยกันเองซึ่งแบ่งออกเป็นสองหัวข้อคือ ‘ความงาม’ และ ‘แม่’ ประการที่สาม ความสัมพันธ์ในรูปแบบอิสระภายใต้เงื่อนไขความก่ำกึ่งของสถานะคนนอก-คนใน</p>ภาพถ่าย, ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ชุมชน, บ้านโนนม่วง, มหาสารคาม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=221https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/364-cover.jpg
221สูจิบัตรชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนในคนนอกคนกลางและคนอื่น<p>
โครงการ <em>ชุมชนในภาพถ่ายจากภาพถ่ายในชุมชน : คนละมุมมองเดียวกันผ่านภาพถ่ายคนใน คนนอก คนกลางและคนอื่น </em>เป็นโครงการที่มุ่งเน้นศึกษาบริบทอื่นของภาพถ่ายในเชิงมานุษยวิทยาอันสามารถนำไปสู่มุมมอง แง่มุมการศึกษาที่แปลกใหม่กว่าการยืนยันรูปธรรมของชุมชนหรือการมีอยู่ของวัตถุหนึ่งผ่าน การศึกษาซึ่งผสมผสานกับมุมมองทางประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่ร่วมพิจารณาบทบาทระหว่างภายถ่ายกับผู้คนในชุมชน ประกอบการลงพื้นที่สำรวจข้อมูล ซึ่งได้เลือกพื้นที่ชุมชนบ้านโนนม่วง ตำบลวังไชย อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เป็นพื้นที่ในการศึกษาเนื่องจากชุมชนบ้านโนนม่วงเป็นชุมชนที่ไม่ปรากฏอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มอย่างเด่นชัดซึ่งเป็นลักษณะของชุมชนที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการเชิงทดลองในครั้งนี้ โดยได้แบ่งรูปแบบกิจกรรมการถ่ายภาพออกเป็นสามรูปแบบ ประการแรก เป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายนอกที่กระทำต่อพื้นที่และผู้คนภายในชุมชน ประการที่สอง ความสัมพันธ์ในรูปแบบมุมมองสายตาของบุคคลภายในต่อพื้นที่และบุคคลภายในชุมชนด้วยกันเองซึ่งแบ่งออกเป็นสองหัวข้อคือ ‘ความงาม’ และ ‘แม่’ ประการที่สาม ความสัมพันธ์ในรูปแบบอิสระภายใต้เงื่อนไขความก่ำกึ่งของสถานะคนนอก-คนใน</p>ภาพถ่าย, ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ชุมชน, บ้านโนนม่วง, มหาสารคาม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=221https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/364-cover.jpg
222อื่นๆโครงการผู้แทนการประชุมเชิงนโยบายของสุดยอดผู้นำอาเซียนรุ่นใหม่ 2562<p>
โครงการ Young ASEAN Leaders Policy Initiative (YALPI) เป็นการรวมกลุ่มนักศึกษาและตัวแทนจากประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นพลังในการผลักดันนโยบายทางการเมืองของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนในอนาคต ซึ่งการประชุมครั้งนี้ได้คัดสรรประเด็นทางการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ 1.การก่อการร้าย 2.การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม 3.ระบบสวัสดิการ 4.ความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยผู้เข้าร่วมประชุมจะต้องวิเคราะห์ประเด็นข้างต้นเพื่อนำมาซึ่งข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ รวมทั้งการเผยแพร่และนำเสนอนโยบายซึ่งเป็นผลงานของผู้เข้าร่วมประชุมต่อผู้นำทางการเมืองอีกด้วย</p>นโยบายการเมือง, อาเซียน, ประชาคมสังคม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=222https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/365-cover.jpg
222วารสารโครงการผู้แทนการประชุมเชิงนโยบายของสุดยอดผู้นำอาเซียนรุ่นใหม่ 2562<p>
โครงการ Young ASEAN Leaders Policy Initiative (YALPI) เป็นการรวมกลุ่มนักศึกษาและตัวแทนจากประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นพลังในการผลักดันนโยบายทางการเมืองของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนในอนาคต ซึ่งการประชุมครั้งนี้ได้คัดสรรประเด็นทางการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ 1.การก่อการร้าย 2.การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม 3.ระบบสวัสดิการ 4.ความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยผู้เข้าร่วมประชุมจะต้องวิเคราะห์ประเด็นข้างต้นเพื่อนำมาซึ่งข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ รวมทั้งการเผยแพร่และนำเสนอนโยบายซึ่งเป็นผลงานของผู้เข้าร่วมประชุมต่อผู้นำทางการเมืองอีกด้วย</p>นโยบายการเมือง, อาเซียน, ประชาคมสังคม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=222https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/365-cover.jpg
222บทความโครงการผู้แทนการประชุมเชิงนโยบายของสุดยอดผู้นำอาเซียนรุ่นใหม่ 2562<p>
โครงการ Young ASEAN Leaders Policy Initiative (YALPI) เป็นการรวมกลุ่มนักศึกษาและตัวแทนจากประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นพลังในการผลักดันนโยบายทางการเมืองของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนในอนาคต ซึ่งการประชุมครั้งนี้ได้คัดสรรประเด็นทางการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ 1.การก่อการร้าย 2.การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม 3.ระบบสวัสดิการ 4.ความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยผู้เข้าร่วมประชุมจะต้องวิเคราะห์ประเด็นข้างต้นเพื่อนำมาซึ่งข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ รวมทั้งการเผยแพร่และนำเสนอนโยบายซึ่งเป็นผลงานของผู้เข้าร่วมประชุมต่อผู้นำทางการเมืองอีกด้วย</p>นโยบายการเมือง, อาเซียน, ประชาคมสังคม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=222https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/365-cover.jpg
222วิทยานิพนธ์โครงการผู้แทนการประชุมเชิงนโยบายของสุดยอดผู้นำอาเซียนรุ่นใหม่ 2562<p>
โครงการ Young ASEAN Leaders Policy Initiative (YALPI) เป็นการรวมกลุ่มนักศึกษาและตัวแทนจากประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นพลังในการผลักดันนโยบายทางการเมืองของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนในอนาคต ซึ่งการประชุมครั้งนี้ได้คัดสรรประเด็นทางการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ 1.การก่อการร้าย 2.การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม 3.ระบบสวัสดิการ 4.ความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยผู้เข้าร่วมประชุมจะต้องวิเคราะห์ประเด็นข้างต้นเพื่อนำมาซึ่งข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ รวมทั้งการเผยแพร่และนำเสนอนโยบายซึ่งเป็นผลงานของผู้เข้าร่วมประชุมต่อผู้นำทางการเมืองอีกด้วย</p>นโยบายการเมือง, อาเซียน, ประชาคมสังคม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=222https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/365-cover.jpg
222รายงานงานวิจัยโครงการผู้แทนการประชุมเชิงนโยบายของสุดยอดผู้นำอาเซียนรุ่นใหม่ 2562<p>
โครงการ Young ASEAN Leaders Policy Initiative (YALPI) เป็นการรวมกลุ่มนักศึกษาและตัวแทนจากประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นพลังในการผลักดันนโยบายทางการเมืองของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนในอนาคต ซึ่งการประชุมครั้งนี้ได้คัดสรรประเด็นทางการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ 1.การก่อการร้าย 2.การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม 3.ระบบสวัสดิการ 4.ความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยผู้เข้าร่วมประชุมจะต้องวิเคราะห์ประเด็นข้างต้นเพื่อนำมาซึ่งข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ รวมทั้งการเผยแพร่และนำเสนอนโยบายซึ่งเป็นผลงานของผู้เข้าร่วมประชุมต่อผู้นำทางการเมืองอีกด้วย</p>นโยบายการเมือง, อาเซียน, ประชาคมสังคม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=222https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/365-cover.jpg
222รายงานโครงการผู้แทนการประชุมเชิงนโยบายของสุดยอดผู้นำอาเซียนรุ่นใหม่ 2562<p>
โครงการ Young ASEAN Leaders Policy Initiative (YALPI) เป็นการรวมกลุ่มนักศึกษาและตัวแทนจากประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นพลังในการผลักดันนโยบายทางการเมืองของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนในอนาคต ซึ่งการประชุมครั้งนี้ได้คัดสรรประเด็นทางการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ 1.การก่อการร้าย 2.การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม 3.ระบบสวัสดิการ 4.ความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยผู้เข้าร่วมประชุมจะต้องวิเคราะห์ประเด็นข้างต้นเพื่อนำมาซึ่งข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ รวมทั้งการเผยแพร่และนำเสนอนโยบายซึ่งเป็นผลงานของผู้เข้าร่วมประชุมต่อผู้นำทางการเมืองอีกด้วย</p>นโยบายการเมือง, อาเซียน, ประชาคมสังคม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=222https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/365-cover.jpg
222หนังสือโครงการผู้แทนการประชุมเชิงนโยบายของสุดยอดผู้นำอาเซียนรุ่นใหม่ 2562<p>
โครงการ Young ASEAN Leaders Policy Initiative (YALPI) เป็นการรวมกลุ่มนักศึกษาและตัวแทนจากประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นพลังในการผลักดันนโยบายทางการเมืองของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนในอนาคต ซึ่งการประชุมครั้งนี้ได้คัดสรรประเด็นทางการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ 1.การก่อการร้าย 2.การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม 3.ระบบสวัสดิการ 4.ความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยผู้เข้าร่วมประชุมจะต้องวิเคราะห์ประเด็นข้างต้นเพื่อนำมาซึ่งข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ รวมทั้งการเผยแพร่และนำเสนอนโยบายซึ่งเป็นผลงานของผู้เข้าร่วมประชุมต่อผู้นำทางการเมืองอีกด้วย</p>นโยบายการเมือง, อาเซียน, ประชาคมสังคม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=222https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/365-cover.jpg
222จุลสารโครงการผู้แทนการประชุมเชิงนโยบายของสุดยอดผู้นำอาเซียนรุ่นใหม่ 2562<p>
โครงการ Young ASEAN Leaders Policy Initiative (YALPI) เป็นการรวมกลุ่มนักศึกษาและตัวแทนจากประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นพลังในการผลักดันนโยบายทางการเมืองของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนในอนาคต ซึ่งการประชุมครั้งนี้ได้คัดสรรประเด็นทางการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ 1.การก่อการร้าย 2.การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม 3.ระบบสวัสดิการ 4.ความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยผู้เข้าร่วมประชุมจะต้องวิเคราะห์ประเด็นข้างต้นเพื่อนำมาซึ่งข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ รวมทั้งการเผยแพร่และนำเสนอนโยบายซึ่งเป็นผลงานของผู้เข้าร่วมประชุมต่อผู้นำทางการเมืองอีกด้วย</p>นโยบายการเมือง, อาเซียน, ประชาคมสังคม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=222https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/365-cover.jpg
222สูจิบัตรโครงการผู้แทนการประชุมเชิงนโยบายของสุดยอดผู้นำอาเซียนรุ่นใหม่ 2562<p>
โครงการ Young ASEAN Leaders Policy Initiative (YALPI) เป็นการรวมกลุ่มนักศึกษาและตัวแทนจากประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นพลังในการผลักดันนโยบายทางการเมืองของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนในอนาคต ซึ่งการประชุมครั้งนี้ได้คัดสรรประเด็นทางการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ 1.การก่อการร้าย 2.การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม 3.ระบบสวัสดิการ 4.ความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยผู้เข้าร่วมประชุมจะต้องวิเคราะห์ประเด็นข้างต้นเพื่อนำมาซึ่งข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ รวมทั้งการเผยแพร่และนำเสนอนโยบายซึ่งเป็นผลงานของผู้เข้าร่วมประชุมต่อผู้นำทางการเมืองอีกด้วย</p>นโยบายการเมือง, อาเซียน, ประชาคมสังคม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=222https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/365-cover.jpg
223อื่นๆการพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน<p>
ชุมชนตรอกสลักหิน ชุมชนใกล้ศูนย์กลางทางการค้าของกรุงเทพมหานคร แม้จะมีขนาดเล็กแต่มีมนต์เสน่ห์และเรื่องราวที่น่าค้นหาซ่อนอยู่ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ความเชื่อ รวมถึงวิถีชีวิตของคนในชุมชนที่ยังคงรอให้ทุกคนเข้ามาค้นหา และเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากในชุมชนแห่งนี้ โครงการ การพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาและเรียบเรียงประวัติศาสตร์ชุมชนอย่างมีส่วนร่วมกับคนในท้องถิ่น 2) เพื่อปลูกฝังให้คนในท้องถิ่นเห็นคุณค่าของชุมชนผ่านการพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนร่วมกัน 3) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชนโดยพัฒนาเป็นพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์สำหรับบุคคลทั่วไป และมีวิธีการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการสอบถาม สัมภาษณ์จากสมาชิกในชุมชน ปราชญ์ชาวบ้านและนักวิชาการ ระยะที่ 2 ออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ ร่วมกับคนในชุมชน ระยะที่ 3 เผยแพร่ประวัติศาสตร์ชุมชน ผ่านการจัดกิจกรรม “Trail (Tale) of ตรอกสลักหิน” และระยะที่ 4 ประเมินและสรุปผลโครงการ กลุ่มเป้าหมายของโครงการ คือ สมาชิกชุมชนตรอกสลักหินและบุคคลภายนอกชุมชน จากโครงการนี้ทำให้ผู้ใหญ่ในชุมชนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นสามารถรำลึกถึงอดีต บอกเล่าข้อมูลของชุมชนและถ่ายทอดออกมาผ่านประสบการณ์ที่ได้รับเพื่อส่งต่อไปยังเด็ก ๆ ในชุมชนที่เข้าร่วมการทำยุววิจัยเป็นผู้สัมภาษณ์ได้รับทราบ และเด็ก ๆ ยังสามารถบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้แก่บุคคลภายนอกได้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ชุมชนตรอกสลักหิน, เส้นทางการเรียนรู้4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=223https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/366-cover.jpg
223วารสารการพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน<p>
ชุมชนตรอกสลักหิน ชุมชนใกล้ศูนย์กลางทางการค้าของกรุงเทพมหานคร แม้จะมีขนาดเล็กแต่มีมนต์เสน่ห์และเรื่องราวที่น่าค้นหาซ่อนอยู่ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ความเชื่อ รวมถึงวิถีชีวิตของคนในชุมชนที่ยังคงรอให้ทุกคนเข้ามาค้นหา และเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากในชุมชนแห่งนี้ โครงการ การพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาและเรียบเรียงประวัติศาสตร์ชุมชนอย่างมีส่วนร่วมกับคนในท้องถิ่น 2) เพื่อปลูกฝังให้คนในท้องถิ่นเห็นคุณค่าของชุมชนผ่านการพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนร่วมกัน 3) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชนโดยพัฒนาเป็นพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์สำหรับบุคคลทั่วไป และมีวิธีการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการสอบถาม สัมภาษณ์จากสมาชิกในชุมชน ปราชญ์ชาวบ้านและนักวิชาการ ระยะที่ 2 ออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ ร่วมกับคนในชุมชน ระยะที่ 3 เผยแพร่ประวัติศาสตร์ชุมชน ผ่านการจัดกิจกรรม “Trail (Tale) of ตรอกสลักหิน” และระยะที่ 4 ประเมินและสรุปผลโครงการ กลุ่มเป้าหมายของโครงการ คือ สมาชิกชุมชนตรอกสลักหินและบุคคลภายนอกชุมชน จากโครงการนี้ทำให้ผู้ใหญ่ในชุมชนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นสามารถรำลึกถึงอดีต บอกเล่าข้อมูลของชุมชนและถ่ายทอดออกมาผ่านประสบการณ์ที่ได้รับเพื่อส่งต่อไปยังเด็ก ๆ ในชุมชนที่เข้าร่วมการทำยุววิจัยเป็นผู้สัมภาษณ์ได้รับทราบ และเด็ก ๆ ยังสามารถบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้แก่บุคคลภายนอกได้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ชุมชนตรอกสลักหิน, เส้นทางการเรียนรู้4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=223https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/366-cover.jpg
223บทความการพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน<p>
ชุมชนตรอกสลักหิน ชุมชนใกล้ศูนย์กลางทางการค้าของกรุงเทพมหานคร แม้จะมีขนาดเล็กแต่มีมนต์เสน่ห์และเรื่องราวที่น่าค้นหาซ่อนอยู่ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ความเชื่อ รวมถึงวิถีชีวิตของคนในชุมชนที่ยังคงรอให้ทุกคนเข้ามาค้นหา และเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากในชุมชนแห่งนี้ โครงการ การพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาและเรียบเรียงประวัติศาสตร์ชุมชนอย่างมีส่วนร่วมกับคนในท้องถิ่น 2) เพื่อปลูกฝังให้คนในท้องถิ่นเห็นคุณค่าของชุมชนผ่านการพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนร่วมกัน 3) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชนโดยพัฒนาเป็นพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์สำหรับบุคคลทั่วไป และมีวิธีการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการสอบถาม สัมภาษณ์จากสมาชิกในชุมชน ปราชญ์ชาวบ้านและนักวิชาการ ระยะที่ 2 ออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ ร่วมกับคนในชุมชน ระยะที่ 3 เผยแพร่ประวัติศาสตร์ชุมชน ผ่านการจัดกิจกรรม “Trail (Tale) of ตรอกสลักหิน” และระยะที่ 4 ประเมินและสรุปผลโครงการ กลุ่มเป้าหมายของโครงการ คือ สมาชิกชุมชนตรอกสลักหินและบุคคลภายนอกชุมชน จากโครงการนี้ทำให้ผู้ใหญ่ในชุมชนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นสามารถรำลึกถึงอดีต บอกเล่าข้อมูลของชุมชนและถ่ายทอดออกมาผ่านประสบการณ์ที่ได้รับเพื่อส่งต่อไปยังเด็ก ๆ ในชุมชนที่เข้าร่วมการทำยุววิจัยเป็นผู้สัมภาษณ์ได้รับทราบ และเด็ก ๆ ยังสามารถบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้แก่บุคคลภายนอกได้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ชุมชนตรอกสลักหิน, เส้นทางการเรียนรู้4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=223https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/366-cover.jpg
223วิทยานิพนธ์การพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน<p>
ชุมชนตรอกสลักหิน ชุมชนใกล้ศูนย์กลางทางการค้าของกรุงเทพมหานคร แม้จะมีขนาดเล็กแต่มีมนต์เสน่ห์และเรื่องราวที่น่าค้นหาซ่อนอยู่ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ความเชื่อ รวมถึงวิถีชีวิตของคนในชุมชนที่ยังคงรอให้ทุกคนเข้ามาค้นหา และเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากในชุมชนแห่งนี้ โครงการ การพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาและเรียบเรียงประวัติศาสตร์ชุมชนอย่างมีส่วนร่วมกับคนในท้องถิ่น 2) เพื่อปลูกฝังให้คนในท้องถิ่นเห็นคุณค่าของชุมชนผ่านการพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนร่วมกัน 3) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชนโดยพัฒนาเป็นพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์สำหรับบุคคลทั่วไป และมีวิธีการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการสอบถาม สัมภาษณ์จากสมาชิกในชุมชน ปราชญ์ชาวบ้านและนักวิชาการ ระยะที่ 2 ออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ ร่วมกับคนในชุมชน ระยะที่ 3 เผยแพร่ประวัติศาสตร์ชุมชน ผ่านการจัดกิจกรรม “Trail (Tale) of ตรอกสลักหิน” และระยะที่ 4 ประเมินและสรุปผลโครงการ กลุ่มเป้าหมายของโครงการ คือ สมาชิกชุมชนตรอกสลักหินและบุคคลภายนอกชุมชน จากโครงการนี้ทำให้ผู้ใหญ่ในชุมชนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นสามารถรำลึกถึงอดีต บอกเล่าข้อมูลของชุมชนและถ่ายทอดออกมาผ่านประสบการณ์ที่ได้รับเพื่อส่งต่อไปยังเด็ก ๆ ในชุมชนที่เข้าร่วมการทำยุววิจัยเป็นผู้สัมภาษณ์ได้รับทราบ และเด็ก ๆ ยังสามารถบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้แก่บุคคลภายนอกได้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ชุมชนตรอกสลักหิน, เส้นทางการเรียนรู้4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=223https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/366-cover.jpg
223รายงานงานวิจัยการพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน<p>
ชุมชนตรอกสลักหิน ชุมชนใกล้ศูนย์กลางทางการค้าของกรุงเทพมหานคร แม้จะมีขนาดเล็กแต่มีมนต์เสน่ห์และเรื่องราวที่น่าค้นหาซ่อนอยู่ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ความเชื่อ รวมถึงวิถีชีวิตของคนในชุมชนที่ยังคงรอให้ทุกคนเข้ามาค้นหา และเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากในชุมชนแห่งนี้ โครงการ การพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาและเรียบเรียงประวัติศาสตร์ชุมชนอย่างมีส่วนร่วมกับคนในท้องถิ่น 2) เพื่อปลูกฝังให้คนในท้องถิ่นเห็นคุณค่าของชุมชนผ่านการพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนร่วมกัน 3) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชนโดยพัฒนาเป็นพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์สำหรับบุคคลทั่วไป และมีวิธีการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการสอบถาม สัมภาษณ์จากสมาชิกในชุมชน ปราชญ์ชาวบ้านและนักวิชาการ ระยะที่ 2 ออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ ร่วมกับคนในชุมชน ระยะที่ 3 เผยแพร่ประวัติศาสตร์ชุมชน ผ่านการจัดกิจกรรม “Trail (Tale) of ตรอกสลักหิน” และระยะที่ 4 ประเมินและสรุปผลโครงการ กลุ่มเป้าหมายของโครงการ คือ สมาชิกชุมชนตรอกสลักหินและบุคคลภายนอกชุมชน จากโครงการนี้ทำให้ผู้ใหญ่ในชุมชนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นสามารถรำลึกถึงอดีต บอกเล่าข้อมูลของชุมชนและถ่ายทอดออกมาผ่านประสบการณ์ที่ได้รับเพื่อส่งต่อไปยังเด็ก ๆ ในชุมชนที่เข้าร่วมการทำยุววิจัยเป็นผู้สัมภาษณ์ได้รับทราบ และเด็ก ๆ ยังสามารถบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้แก่บุคคลภายนอกได้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ชุมชนตรอกสลักหิน, เส้นทางการเรียนรู้4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=223https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/366-cover.jpg
223รายงานการพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน<p>
ชุมชนตรอกสลักหิน ชุมชนใกล้ศูนย์กลางทางการค้าของกรุงเทพมหานคร แม้จะมีขนาดเล็กแต่มีมนต์เสน่ห์และเรื่องราวที่น่าค้นหาซ่อนอยู่ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ความเชื่อ รวมถึงวิถีชีวิตของคนในชุมชนที่ยังคงรอให้ทุกคนเข้ามาค้นหา และเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากในชุมชนแห่งนี้ โครงการ การพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาและเรียบเรียงประวัติศาสตร์ชุมชนอย่างมีส่วนร่วมกับคนในท้องถิ่น 2) เพื่อปลูกฝังให้คนในท้องถิ่นเห็นคุณค่าของชุมชนผ่านการพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนร่วมกัน 3) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชนโดยพัฒนาเป็นพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์สำหรับบุคคลทั่วไป และมีวิธีการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการสอบถาม สัมภาษณ์จากสมาชิกในชุมชน ปราชญ์ชาวบ้านและนักวิชาการ ระยะที่ 2 ออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ ร่วมกับคนในชุมชน ระยะที่ 3 เผยแพร่ประวัติศาสตร์ชุมชน ผ่านการจัดกิจกรรม “Trail (Tale) of ตรอกสลักหิน” และระยะที่ 4 ประเมินและสรุปผลโครงการ กลุ่มเป้าหมายของโครงการ คือ สมาชิกชุมชนตรอกสลักหินและบุคคลภายนอกชุมชน จากโครงการนี้ทำให้ผู้ใหญ่ในชุมชนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นสามารถรำลึกถึงอดีต บอกเล่าข้อมูลของชุมชนและถ่ายทอดออกมาผ่านประสบการณ์ที่ได้รับเพื่อส่งต่อไปยังเด็ก ๆ ในชุมชนที่เข้าร่วมการทำยุววิจัยเป็นผู้สัมภาษณ์ได้รับทราบ และเด็ก ๆ ยังสามารถบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้แก่บุคคลภายนอกได้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ชุมชนตรอกสลักหิน, เส้นทางการเรียนรู้4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=223https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/366-cover.jpg
223หนังสือการพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน<p>
ชุมชนตรอกสลักหิน ชุมชนใกล้ศูนย์กลางทางการค้าของกรุงเทพมหานคร แม้จะมีขนาดเล็กแต่มีมนต์เสน่ห์และเรื่องราวที่น่าค้นหาซ่อนอยู่ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ความเชื่อ รวมถึงวิถีชีวิตของคนในชุมชนที่ยังคงรอให้ทุกคนเข้ามาค้นหา และเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากในชุมชนแห่งนี้ โครงการ การพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาและเรียบเรียงประวัติศาสตร์ชุมชนอย่างมีส่วนร่วมกับคนในท้องถิ่น 2) เพื่อปลูกฝังให้คนในท้องถิ่นเห็นคุณค่าของชุมชนผ่านการพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนร่วมกัน 3) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชนโดยพัฒนาเป็นพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์สำหรับบุคคลทั่วไป และมีวิธีการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการสอบถาม สัมภาษณ์จากสมาชิกในชุมชน ปราชญ์ชาวบ้านและนักวิชาการ ระยะที่ 2 ออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ ร่วมกับคนในชุมชน ระยะที่ 3 เผยแพร่ประวัติศาสตร์ชุมชน ผ่านการจัดกิจกรรม “Trail (Tale) of ตรอกสลักหิน” และระยะที่ 4 ประเมินและสรุปผลโครงการ กลุ่มเป้าหมายของโครงการ คือ สมาชิกชุมชนตรอกสลักหินและบุคคลภายนอกชุมชน จากโครงการนี้ทำให้ผู้ใหญ่ในชุมชนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นสามารถรำลึกถึงอดีต บอกเล่าข้อมูลของชุมชนและถ่ายทอดออกมาผ่านประสบการณ์ที่ได้รับเพื่อส่งต่อไปยังเด็ก ๆ ในชุมชนที่เข้าร่วมการทำยุววิจัยเป็นผู้สัมภาษณ์ได้รับทราบ และเด็ก ๆ ยังสามารถบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้แก่บุคคลภายนอกได้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ชุมชนตรอกสลักหิน, เส้นทางการเรียนรู้4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=223https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/366-cover.jpg
223จุลสารการพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน<p>
ชุมชนตรอกสลักหิน ชุมชนใกล้ศูนย์กลางทางการค้าของกรุงเทพมหานคร แม้จะมีขนาดเล็กแต่มีมนต์เสน่ห์และเรื่องราวที่น่าค้นหาซ่อนอยู่ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ความเชื่อ รวมถึงวิถีชีวิตของคนในชุมชนที่ยังคงรอให้ทุกคนเข้ามาค้นหา และเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากในชุมชนแห่งนี้ โครงการ การพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาและเรียบเรียงประวัติศาสตร์ชุมชนอย่างมีส่วนร่วมกับคนในท้องถิ่น 2) เพื่อปลูกฝังให้คนในท้องถิ่นเห็นคุณค่าของชุมชนผ่านการพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนร่วมกัน 3) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชนโดยพัฒนาเป็นพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์สำหรับบุคคลทั่วไป และมีวิธีการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการสอบถาม สัมภาษณ์จากสมาชิกในชุมชน ปราชญ์ชาวบ้านและนักวิชาการ ระยะที่ 2 ออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ ร่วมกับคนในชุมชน ระยะที่ 3 เผยแพร่ประวัติศาสตร์ชุมชน ผ่านการจัดกิจกรรม “Trail (Tale) of ตรอกสลักหิน” และระยะที่ 4 ประเมินและสรุปผลโครงการ กลุ่มเป้าหมายของโครงการ คือ สมาชิกชุมชนตรอกสลักหินและบุคคลภายนอกชุมชน จากโครงการนี้ทำให้ผู้ใหญ่ในชุมชนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นสามารถรำลึกถึงอดีต บอกเล่าข้อมูลของชุมชนและถ่ายทอดออกมาผ่านประสบการณ์ที่ได้รับเพื่อส่งต่อไปยังเด็ก ๆ ในชุมชนที่เข้าร่วมการทำยุววิจัยเป็นผู้สัมภาษณ์ได้รับทราบ และเด็ก ๆ ยังสามารถบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้แก่บุคคลภายนอกได้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ชุมชนตรอกสลักหิน, เส้นทางการเรียนรู้4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=223https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/366-cover.jpg
223สูจิบัตรการพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน<p>
ชุมชนตรอกสลักหิน ชุมชนใกล้ศูนย์กลางทางการค้าของกรุงเทพมหานคร แม้จะมีขนาดเล็กแต่มีมนต์เสน่ห์และเรื่องราวที่น่าค้นหาซ่อนอยู่ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ความเชื่อ รวมถึงวิถีชีวิตของคนในชุมชนที่ยังคงรอให้ทุกคนเข้ามาค้นหา และเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากในชุมชนแห่งนี้ โครงการ การพัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนตรอกสลักหิน โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาและเรียบเรียงประวัติศาสตร์ชุมชนอย่างมีส่วนร่วมกับคนในท้องถิ่น 2) เพื่อปลูกฝังให้คนในท้องถิ่นเห็นคุณค่าของชุมชนผ่านการพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนร่วมกัน 3) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชนโดยพัฒนาเป็นพื้นที่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์สำหรับบุคคลทั่วไป และมีวิธีการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการสอบถาม สัมภาษณ์จากสมาชิกในชุมชน ปราชญ์ชาวบ้านและนักวิชาการ ระยะที่ 2 ออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ ร่วมกับคนในชุมชน ระยะที่ 3 เผยแพร่ประวัติศาสตร์ชุมชน ผ่านการจัดกิจกรรม “Trail (Tale) of ตรอกสลักหิน” และระยะที่ 4 ประเมินและสรุปผลโครงการ กลุ่มเป้าหมายของโครงการ คือ สมาชิกชุมชนตรอกสลักหินและบุคคลภายนอกชุมชน จากโครงการนี้ทำให้ผู้ใหญ่ในชุมชนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นสามารถรำลึกถึงอดีต บอกเล่าข้อมูลของชุมชนและถ่ายทอดออกมาผ่านประสบการณ์ที่ได้รับเพื่อส่งต่อไปยังเด็ก ๆ ในชุมชนที่เข้าร่วมการทำยุววิจัยเป็นผู้สัมภาษณ์ได้รับทราบ และเด็ก ๆ ยังสามารถบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้แก่บุคคลภายนอกได้</p>
<p>
</p>ประวัติศาสตร์ชุมชน, ชุมชนตรอกสลักหิน, เส้นทางการเรียนรู้4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=223https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/366-cover.jpg
224อื่นๆการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือ เพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง<p>
โครงการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมศึกษาในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือเพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง เป็นโครงการที่มุ่งหวังเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาครูสังคมศึกษาได้ลงพื้นที่ภาคสนามในการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองผ่านเครื่องมือทางมานุษยวิทยาที่จะช่วยให้เกิดการศึกษาเชิงลึก (Deep Study) จากนั้นพัฒนาองค์ความรู้ที่ได้ออกมาเป็นบทความทางวิชาการ และจัดประชุมเสวนาทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ อันจะเป็นการสร้างเครือข่ายและพื้นที่ให้กับนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันและในอนาคตจะได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาเพื่อท้องถิ่นร่วมกันต่อไป</p>มานุษยวิทยา, บทความ, การศึกษา, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=224https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/367-cover.jpg
224วารสารการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือ เพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง<p>
โครงการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมศึกษาในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือเพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง เป็นโครงการที่มุ่งหวังเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาครูสังคมศึกษาได้ลงพื้นที่ภาคสนามในการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองผ่านเครื่องมือทางมานุษยวิทยาที่จะช่วยให้เกิดการศึกษาเชิงลึก (Deep Study) จากนั้นพัฒนาองค์ความรู้ที่ได้ออกมาเป็นบทความทางวิชาการ และจัดประชุมเสวนาทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ อันจะเป็นการสร้างเครือข่ายและพื้นที่ให้กับนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันและในอนาคตจะได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาเพื่อท้องถิ่นร่วมกันต่อไป</p>มานุษยวิทยา, บทความ, การศึกษา, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=224https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/367-cover.jpg
224บทความการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือ เพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง<p>
โครงการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมศึกษาในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือเพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง เป็นโครงการที่มุ่งหวังเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาครูสังคมศึกษาได้ลงพื้นที่ภาคสนามในการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองผ่านเครื่องมือทางมานุษยวิทยาที่จะช่วยให้เกิดการศึกษาเชิงลึก (Deep Study) จากนั้นพัฒนาองค์ความรู้ที่ได้ออกมาเป็นบทความทางวิชาการ และจัดประชุมเสวนาทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ อันจะเป็นการสร้างเครือข่ายและพื้นที่ให้กับนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันและในอนาคตจะได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาเพื่อท้องถิ่นร่วมกันต่อไป</p>มานุษยวิทยา, บทความ, การศึกษา, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=224https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/367-cover.jpg
224วิทยานิพนธ์การพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือ เพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง<p>
โครงการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมศึกษาในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือเพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง เป็นโครงการที่มุ่งหวังเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาครูสังคมศึกษาได้ลงพื้นที่ภาคสนามในการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองผ่านเครื่องมือทางมานุษยวิทยาที่จะช่วยให้เกิดการศึกษาเชิงลึก (Deep Study) จากนั้นพัฒนาองค์ความรู้ที่ได้ออกมาเป็นบทความทางวิชาการ และจัดประชุมเสวนาทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ อันจะเป็นการสร้างเครือข่ายและพื้นที่ให้กับนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันและในอนาคตจะได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาเพื่อท้องถิ่นร่วมกันต่อไป</p>มานุษยวิทยา, บทความ, การศึกษา, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=224https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/367-cover.jpg
224รายงานงานวิจัยการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือ เพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง<p>
โครงการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมศึกษาในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือเพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง เป็นโครงการที่มุ่งหวังเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาครูสังคมศึกษาได้ลงพื้นที่ภาคสนามในการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองผ่านเครื่องมือทางมานุษยวิทยาที่จะช่วยให้เกิดการศึกษาเชิงลึก (Deep Study) จากนั้นพัฒนาองค์ความรู้ที่ได้ออกมาเป็นบทความทางวิชาการ และจัดประชุมเสวนาทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ อันจะเป็นการสร้างเครือข่ายและพื้นที่ให้กับนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันและในอนาคตจะได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาเพื่อท้องถิ่นร่วมกันต่อไป</p>มานุษยวิทยา, บทความ, การศึกษา, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=224https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/367-cover.jpg
224รายงานการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือ เพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง<p>
โครงการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมศึกษาในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือเพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง เป็นโครงการที่มุ่งหวังเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาครูสังคมศึกษาได้ลงพื้นที่ภาคสนามในการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองผ่านเครื่องมือทางมานุษยวิทยาที่จะช่วยให้เกิดการศึกษาเชิงลึก (Deep Study) จากนั้นพัฒนาองค์ความรู้ที่ได้ออกมาเป็นบทความทางวิชาการ และจัดประชุมเสวนาทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ อันจะเป็นการสร้างเครือข่ายและพื้นที่ให้กับนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันและในอนาคตจะได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาเพื่อท้องถิ่นร่วมกันต่อไป</p>มานุษยวิทยา, บทความ, การศึกษา, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=224https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/367-cover.jpg
224หนังสือการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือ เพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง<p>
โครงการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมศึกษาในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือเพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง เป็นโครงการที่มุ่งหวังเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาครูสังคมศึกษาได้ลงพื้นที่ภาคสนามในการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองผ่านเครื่องมือทางมานุษยวิทยาที่จะช่วยให้เกิดการศึกษาเชิงลึก (Deep Study) จากนั้นพัฒนาองค์ความรู้ที่ได้ออกมาเป็นบทความทางวิชาการ และจัดประชุมเสวนาทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ อันจะเป็นการสร้างเครือข่ายและพื้นที่ให้กับนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันและในอนาคตจะได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาเพื่อท้องถิ่นร่วมกันต่อไป</p>มานุษยวิทยา, บทความ, การศึกษา, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=224https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/367-cover.jpg
224จุลสารการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือ เพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง<p>
โครงการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมศึกษาในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือเพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง เป็นโครงการที่มุ่งหวังเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาครูสังคมศึกษาได้ลงพื้นที่ภาคสนามในการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองผ่านเครื่องมือทางมานุษยวิทยาที่จะช่วยให้เกิดการศึกษาเชิงลึก (Deep Study) จากนั้นพัฒนาองค์ความรู้ที่ได้ออกมาเป็นบทความทางวิชาการ และจัดประชุมเสวนาทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ อันจะเป็นการสร้างเครือข่ายและพื้นที่ให้กับนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันและในอนาคตจะได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาเพื่อท้องถิ่นร่วมกันต่อไป</p>มานุษยวิทยา, บทความ, การศึกษา, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=224https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/367-cover.jpg
224สูจิบัตรการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือ เพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง<p>
โครงการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาครูสังคมศึกษาในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือเพื่อการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง เป็นโครงการที่มุ่งหวังเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาครูสังคมศึกษาได้ลงพื้นที่ภาคสนามในการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และองค์ความรู้เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองผ่านเครื่องมือทางมานุษยวิทยาที่จะช่วยให้เกิดการศึกษาเชิงลึก (Deep Study) จากนั้นพัฒนาองค์ความรู้ที่ได้ออกมาเป็นบทความทางวิชาการ และจัดประชุมเสวนาทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ อันจะเป็นการสร้างเครือข่ายและพื้นที่ให้กับนักศึกษาครูสังคมในกลุ่มราชภัฏภาคเหนือได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันและในอนาคตจะได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาเพื่อท้องถิ่นร่วมกันต่อไป</p>มานุษยวิทยา, บทความ, การศึกษา, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=224https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/367-cover.jpg
225อื่นๆที่นี่หมู่บ้านป่าคา (เตี้ยเก้ง) ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอคลองสาน จังหวัดกำแพงเพชร<p>
หนังสือเล่มนี้เป็นผลผลิตปลายทางของโครงการค่ายเรียนรู้วิถีม้งป่าคา ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักศึกษา ให้ได้มีโอกาสลงพื้นที่เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมผ่านเครื่องมือที่นำมาบูรณาการ พร้อมทั้งกิจกรรม work shop การผลิตคลิปวิดิโอสั้นเชิงสารคดี และกิจกรรมถอดบทเรียน และการทำ SWOT จากข้อมูลที่ได้จากการจัดกิจกรรมค่ายเรียนรู้วิถีชีวิตม้งป่าคา ณ ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร</p>วิถีชีวิต, วัฒนธรรม, ม้ง, ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=225https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/368-cover.jpg
225วารสารที่นี่หมู่บ้านป่าคา (เตี้ยเก้ง) ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอคลองสาน จังหวัดกำแพงเพชร<p>
หนังสือเล่มนี้เป็นผลผลิตปลายทางของโครงการค่ายเรียนรู้วิถีม้งป่าคา ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักศึกษา ให้ได้มีโอกาสลงพื้นที่เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมผ่านเครื่องมือที่นำมาบูรณาการ พร้อมทั้งกิจกรรม work shop การผลิตคลิปวิดิโอสั้นเชิงสารคดี และกิจกรรมถอดบทเรียน และการทำ SWOT จากข้อมูลที่ได้จากการจัดกิจกรรมค่ายเรียนรู้วิถีชีวิตม้งป่าคา ณ ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร</p>วิถีชีวิต, วัฒนธรรม, ม้ง, ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=225https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/368-cover.jpg
225บทความที่นี่หมู่บ้านป่าคา (เตี้ยเก้ง) ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอคลองสาน จังหวัดกำแพงเพชร<p>
หนังสือเล่มนี้เป็นผลผลิตปลายทางของโครงการค่ายเรียนรู้วิถีม้งป่าคา ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักศึกษา ให้ได้มีโอกาสลงพื้นที่เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมผ่านเครื่องมือที่นำมาบูรณาการ พร้อมทั้งกิจกรรม work shop การผลิตคลิปวิดิโอสั้นเชิงสารคดี และกิจกรรมถอดบทเรียน และการทำ SWOT จากข้อมูลที่ได้จากการจัดกิจกรรมค่ายเรียนรู้วิถีชีวิตม้งป่าคา ณ ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร</p>วิถีชีวิต, วัฒนธรรม, ม้ง, ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=225https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/368-cover.jpg
225วิทยานิพนธ์ที่นี่หมู่บ้านป่าคา (เตี้ยเก้ง) ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอคลองสาน จังหวัดกำแพงเพชร<p>
หนังสือเล่มนี้เป็นผลผลิตปลายทางของโครงการค่ายเรียนรู้วิถีม้งป่าคา ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักศึกษา ให้ได้มีโอกาสลงพื้นที่เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมผ่านเครื่องมือที่นำมาบูรณาการ พร้อมทั้งกิจกรรม work shop การผลิตคลิปวิดิโอสั้นเชิงสารคดี และกิจกรรมถอดบทเรียน และการทำ SWOT จากข้อมูลที่ได้จากการจัดกิจกรรมค่ายเรียนรู้วิถีชีวิตม้งป่าคา ณ ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร</p>วิถีชีวิต, วัฒนธรรม, ม้ง, ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=225https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/368-cover.jpg
225รายงานงานวิจัยที่นี่หมู่บ้านป่าคา (เตี้ยเก้ง) ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอคลองสาน จังหวัดกำแพงเพชร<p>
หนังสือเล่มนี้เป็นผลผลิตปลายทางของโครงการค่ายเรียนรู้วิถีม้งป่าคา ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักศึกษา ให้ได้มีโอกาสลงพื้นที่เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมผ่านเครื่องมือที่นำมาบูรณาการ พร้อมทั้งกิจกรรม work shop การผลิตคลิปวิดิโอสั้นเชิงสารคดี และกิจกรรมถอดบทเรียน และการทำ SWOT จากข้อมูลที่ได้จากการจัดกิจกรรมค่ายเรียนรู้วิถีชีวิตม้งป่าคา ณ ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร</p>วิถีชีวิต, วัฒนธรรม, ม้ง, ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=225https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/368-cover.jpg
225รายงานที่นี่หมู่บ้านป่าคา (เตี้ยเก้ง) ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอคลองสาน จังหวัดกำแพงเพชร<p>
หนังสือเล่มนี้เป็นผลผลิตปลายทางของโครงการค่ายเรียนรู้วิถีม้งป่าคา ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักศึกษา ให้ได้มีโอกาสลงพื้นที่เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมผ่านเครื่องมือที่นำมาบูรณาการ พร้อมทั้งกิจกรรม work shop การผลิตคลิปวิดิโอสั้นเชิงสารคดี และกิจกรรมถอดบทเรียน และการทำ SWOT จากข้อมูลที่ได้จากการจัดกิจกรรมค่ายเรียนรู้วิถีชีวิตม้งป่าคา ณ ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร</p>วิถีชีวิต, วัฒนธรรม, ม้ง, ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=225https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/368-cover.jpg
225หนังสือที่นี่หมู่บ้านป่าคา (เตี้ยเก้ง) ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอคลองสาน จังหวัดกำแพงเพชร<p>
หนังสือเล่มนี้เป็นผลผลิตปลายทางของโครงการค่ายเรียนรู้วิถีม้งป่าคา ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักศึกษา ให้ได้มีโอกาสลงพื้นที่เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมผ่านเครื่องมือที่นำมาบูรณาการ พร้อมทั้งกิจกรรม work shop การผลิตคลิปวิดิโอสั้นเชิงสารคดี และกิจกรรมถอดบทเรียน และการทำ SWOT จากข้อมูลที่ได้จากการจัดกิจกรรมค่ายเรียนรู้วิถีชีวิตม้งป่าคา ณ ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร</p>วิถีชีวิต, วัฒนธรรม, ม้ง, ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=225https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/368-cover.jpg
225จุลสารที่นี่หมู่บ้านป่าคา (เตี้ยเก้ง) ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอคลองสาน จังหวัดกำแพงเพชร<p>
หนังสือเล่มนี้เป็นผลผลิตปลายทางของโครงการค่ายเรียนรู้วิถีม้งป่าคา ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักศึกษา ให้ได้มีโอกาสลงพื้นที่เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมผ่านเครื่องมือที่นำมาบูรณาการ พร้อมทั้งกิจกรรม work shop การผลิตคลิปวิดิโอสั้นเชิงสารคดี และกิจกรรมถอดบทเรียน และการทำ SWOT จากข้อมูลที่ได้จากการจัดกิจกรรมค่ายเรียนรู้วิถีชีวิตม้งป่าคา ณ ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร</p>วิถีชีวิต, วัฒนธรรม, ม้ง, ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=225https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/368-cover.jpg
225สูจิบัตรที่นี่หมู่บ้านป่าคา (เตี้ยเก้ง) ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอคลองสาน จังหวัดกำแพงเพชร<p>
หนังสือเล่มนี้เป็นผลผลิตปลายทางของโครงการค่ายเรียนรู้วิถีม้งป่าคา ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักศึกษา ให้ได้มีโอกาสลงพื้นที่เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมผ่านเครื่องมือที่นำมาบูรณาการ พร้อมทั้งกิจกรรม work shop การผลิตคลิปวิดิโอสั้นเชิงสารคดี และกิจกรรมถอดบทเรียน และการทำ SWOT จากข้อมูลที่ได้จากการจัดกิจกรรมค่ายเรียนรู้วิถีชีวิตม้งป่าคา ณ ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร</p>วิถีชีวิต, วัฒนธรรม, ม้ง, ชาติพันธุ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=225https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/368-cover.jpg
226อื่นๆชุมชนนักปฏิบัติการเรียนรู้สหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์สำหรับนักการศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง: จากห้องเรียนทฤษฎีสู่พื้นที่ปฏิบัติการทางสังคม<p>
โครงการนี้ได้จัดขึ้นเพื่อฝึกทักษะสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้เชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ นำไปสู่การเผยแพร่สู่สาธารณะชนต่อบุคคลที่เข้าร่วม รวมไปถึงนักศึกษาที่จัดทำกิจกรรมและนำความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ให้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป เพื่อสร้างการตระหนักรู้และเข้าใจต่อประเด็นการศึกษาในมิติสังคม เศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมด้วยมุมมองสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ผ่านการจัดกิจกรรม ได้แก่ 1. การเสวนาในหัวข้อ “ชุดนักเรียน…เท่าเทียมหรือเท่าทุน? : ว่าด้วยสิทธิและความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเชิงเสรีนิยมใหม่” 2. การเสวนาในหัวข้อ “ชำแหละวาทกรรมการศึกษา : การครอบงำของภาษาในโรงเรียน” 3.ค่าย ActivisionX Season 1 ตอน Level Up และ 4. วิดีทัศน์เรื่อง “การศึกษาของชาติพันธุ์ : รัฐสวัสดิการ” ซึ่งเป็นการดำเนินการกิจกรรมแบบสาธารณะเพื่อหวังผลในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์</p>ปฏิบัติการทางสังคม, สังคม, วัฒนธรรม, การศึกษา4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=226https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/369-cover.jpg
226วารสารชุมชนนักปฏิบัติการเรียนรู้สหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์สำหรับนักการศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง: จากห้องเรียนทฤษฎีสู่พื้นที่ปฏิบัติการทางสังคม<p>
โครงการนี้ได้จัดขึ้นเพื่อฝึกทักษะสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้เชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ นำไปสู่การเผยแพร่สู่สาธารณะชนต่อบุคคลที่เข้าร่วม รวมไปถึงนักศึกษาที่จัดทำกิจกรรมและนำความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ให้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป เพื่อสร้างการตระหนักรู้และเข้าใจต่อประเด็นการศึกษาในมิติสังคม เศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมด้วยมุมมองสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ผ่านการจัดกิจกรรม ได้แก่ 1. การเสวนาในหัวข้อ “ชุดนักเรียน…เท่าเทียมหรือเท่าทุน? : ว่าด้วยสิทธิและความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเชิงเสรีนิยมใหม่” 2. การเสวนาในหัวข้อ “ชำแหละวาทกรรมการศึกษา : การครอบงำของภาษาในโรงเรียน” 3.ค่าย ActivisionX Season 1 ตอน Level Up และ 4. วิดีทัศน์เรื่อง “การศึกษาของชาติพันธุ์ : รัฐสวัสดิการ” ซึ่งเป็นการดำเนินการกิจกรรมแบบสาธารณะเพื่อหวังผลในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์</p>ปฏิบัติการทางสังคม, สังคม, วัฒนธรรม, การศึกษา4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=226https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/369-cover.jpg
226บทความชุมชนนักปฏิบัติการเรียนรู้สหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์สำหรับนักการศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง: จากห้องเรียนทฤษฎีสู่พื้นที่ปฏิบัติการทางสังคม<p>
โครงการนี้ได้จัดขึ้นเพื่อฝึกทักษะสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้เชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ นำไปสู่การเผยแพร่สู่สาธารณะชนต่อบุคคลที่เข้าร่วม รวมไปถึงนักศึกษาที่จัดทำกิจกรรมและนำความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ให้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป เพื่อสร้างการตระหนักรู้และเข้าใจต่อประเด็นการศึกษาในมิติสังคม เศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมด้วยมุมมองสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ผ่านการจัดกิจกรรม ได้แก่ 1. การเสวนาในหัวข้อ “ชุดนักเรียน…เท่าเทียมหรือเท่าทุน? : ว่าด้วยสิทธิและความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเชิงเสรีนิยมใหม่” 2. การเสวนาในหัวข้อ “ชำแหละวาทกรรมการศึกษา : การครอบงำของภาษาในโรงเรียน” 3.ค่าย ActivisionX Season 1 ตอน Level Up และ 4. วิดีทัศน์เรื่อง “การศึกษาของชาติพันธุ์ : รัฐสวัสดิการ” ซึ่งเป็นการดำเนินการกิจกรรมแบบสาธารณะเพื่อหวังผลในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์</p>ปฏิบัติการทางสังคม, สังคม, วัฒนธรรม, การศึกษา4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=226https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/369-cover.jpg
226วิทยานิพนธ์ชุมชนนักปฏิบัติการเรียนรู้สหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์สำหรับนักการศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง: จากห้องเรียนทฤษฎีสู่พื้นที่ปฏิบัติการทางสังคม<p>
โครงการนี้ได้จัดขึ้นเพื่อฝึกทักษะสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้เชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ นำไปสู่การเผยแพร่สู่สาธารณะชนต่อบุคคลที่เข้าร่วม รวมไปถึงนักศึกษาที่จัดทำกิจกรรมและนำความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ให้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป เพื่อสร้างการตระหนักรู้และเข้าใจต่อประเด็นการศึกษาในมิติสังคม เศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมด้วยมุมมองสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ผ่านการจัดกิจกรรม ได้แก่ 1. การเสวนาในหัวข้อ “ชุดนักเรียน…เท่าเทียมหรือเท่าทุน? : ว่าด้วยสิทธิและความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเชิงเสรีนิยมใหม่” 2. การเสวนาในหัวข้อ “ชำแหละวาทกรรมการศึกษา : การครอบงำของภาษาในโรงเรียน” 3.ค่าย ActivisionX Season 1 ตอน Level Up และ 4. วิดีทัศน์เรื่อง “การศึกษาของชาติพันธุ์ : รัฐสวัสดิการ” ซึ่งเป็นการดำเนินการกิจกรรมแบบสาธารณะเพื่อหวังผลในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์</p>ปฏิบัติการทางสังคม, สังคม, วัฒนธรรม, การศึกษา4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=226https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/369-cover.jpg
226รายงานงานวิจัยชุมชนนักปฏิบัติการเรียนรู้สหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์สำหรับนักการศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง: จากห้องเรียนทฤษฎีสู่พื้นที่ปฏิบัติการทางสังคม<p>
โครงการนี้ได้จัดขึ้นเพื่อฝึกทักษะสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้เชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ นำไปสู่การเผยแพร่สู่สาธารณะชนต่อบุคคลที่เข้าร่วม รวมไปถึงนักศึกษาที่จัดทำกิจกรรมและนำความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ให้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป เพื่อสร้างการตระหนักรู้และเข้าใจต่อประเด็นการศึกษาในมิติสังคม เศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมด้วยมุมมองสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ผ่านการจัดกิจกรรม ได้แก่ 1. การเสวนาในหัวข้อ “ชุดนักเรียน…เท่าเทียมหรือเท่าทุน? : ว่าด้วยสิทธิและความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเชิงเสรีนิยมใหม่” 2. การเสวนาในหัวข้อ “ชำแหละวาทกรรมการศึกษา : การครอบงำของภาษาในโรงเรียน” 3.ค่าย ActivisionX Season 1 ตอน Level Up และ 4. วิดีทัศน์เรื่อง “การศึกษาของชาติพันธุ์ : รัฐสวัสดิการ” ซึ่งเป็นการดำเนินการกิจกรรมแบบสาธารณะเพื่อหวังผลในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์</p>ปฏิบัติการทางสังคม, สังคม, วัฒนธรรม, การศึกษา4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=226https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/369-cover.jpg
226รายงานชุมชนนักปฏิบัติการเรียนรู้สหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์สำหรับนักการศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง: จากห้องเรียนทฤษฎีสู่พื้นที่ปฏิบัติการทางสังคม<p>
โครงการนี้ได้จัดขึ้นเพื่อฝึกทักษะสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้เชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ นำไปสู่การเผยแพร่สู่สาธารณะชนต่อบุคคลที่เข้าร่วม รวมไปถึงนักศึกษาที่จัดทำกิจกรรมและนำความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ให้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป เพื่อสร้างการตระหนักรู้และเข้าใจต่อประเด็นการศึกษาในมิติสังคม เศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมด้วยมุมมองสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ผ่านการจัดกิจกรรม ได้แก่ 1. การเสวนาในหัวข้อ “ชุดนักเรียน…เท่าเทียมหรือเท่าทุน? : ว่าด้วยสิทธิและความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเชิงเสรีนิยมใหม่” 2. การเสวนาในหัวข้อ “ชำแหละวาทกรรมการศึกษา : การครอบงำของภาษาในโรงเรียน” 3.ค่าย ActivisionX Season 1 ตอน Level Up และ 4. วิดีทัศน์เรื่อง “การศึกษาของชาติพันธุ์ : รัฐสวัสดิการ” ซึ่งเป็นการดำเนินการกิจกรรมแบบสาธารณะเพื่อหวังผลในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์</p>ปฏิบัติการทางสังคม, สังคม, วัฒนธรรม, การศึกษา4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=226https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/369-cover.jpg
226หนังสือชุมชนนักปฏิบัติการเรียนรู้สหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์สำหรับนักการศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง: จากห้องเรียนทฤษฎีสู่พื้นที่ปฏิบัติการทางสังคม<p>
โครงการนี้ได้จัดขึ้นเพื่อฝึกทักษะสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้เชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ นำไปสู่การเผยแพร่สู่สาธารณะชนต่อบุคคลที่เข้าร่วม รวมไปถึงนักศึกษาที่จัดทำกิจกรรมและนำความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ให้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป เพื่อสร้างการตระหนักรู้และเข้าใจต่อประเด็นการศึกษาในมิติสังคม เศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมด้วยมุมมองสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ผ่านการจัดกิจกรรม ได้แก่ 1. การเสวนาในหัวข้อ “ชุดนักเรียน…เท่าเทียมหรือเท่าทุน? : ว่าด้วยสิทธิและความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเชิงเสรีนิยมใหม่” 2. การเสวนาในหัวข้อ “ชำแหละวาทกรรมการศึกษา : การครอบงำของภาษาในโรงเรียน” 3.ค่าย ActivisionX Season 1 ตอน Level Up และ 4. วิดีทัศน์เรื่อง “การศึกษาของชาติพันธุ์ : รัฐสวัสดิการ” ซึ่งเป็นการดำเนินการกิจกรรมแบบสาธารณะเพื่อหวังผลในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์</p>ปฏิบัติการทางสังคม, สังคม, วัฒนธรรม, การศึกษา4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=226https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/369-cover.jpg
226จุลสารชุมชนนักปฏิบัติการเรียนรู้สหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์สำหรับนักการศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง: จากห้องเรียนทฤษฎีสู่พื้นที่ปฏิบัติการทางสังคม<p>
โครงการนี้ได้จัดขึ้นเพื่อฝึกทักษะสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้เชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ นำไปสู่การเผยแพร่สู่สาธารณะชนต่อบุคคลที่เข้าร่วม รวมไปถึงนักศึกษาที่จัดทำกิจกรรมและนำความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ให้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป เพื่อสร้างการตระหนักรู้และเข้าใจต่อประเด็นการศึกษาในมิติสังคม เศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมด้วยมุมมองสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ผ่านการจัดกิจกรรม ได้แก่ 1. การเสวนาในหัวข้อ “ชุดนักเรียน…เท่าเทียมหรือเท่าทุน? : ว่าด้วยสิทธิและความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเชิงเสรีนิยมใหม่” 2. การเสวนาในหัวข้อ “ชำแหละวาทกรรมการศึกษา : การครอบงำของภาษาในโรงเรียน” 3.ค่าย ActivisionX Season 1 ตอน Level Up และ 4. วิดีทัศน์เรื่อง “การศึกษาของชาติพันธุ์ : รัฐสวัสดิการ” ซึ่งเป็นการดำเนินการกิจกรรมแบบสาธารณะเพื่อหวังผลในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์</p>ปฏิบัติการทางสังคม, สังคม, วัฒนธรรม, การศึกษา4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=226https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/369-cover.jpg
226สูจิบัตรชุมชนนักปฏิบัติการเรียนรู้สหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์สำหรับนักการศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง: จากห้องเรียนทฤษฎีสู่พื้นที่ปฏิบัติการทางสังคม<p>
โครงการนี้ได้จัดขึ้นเพื่อฝึกทักษะสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้เชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ นำไปสู่การเผยแพร่สู่สาธารณะชนต่อบุคคลที่เข้าร่วม รวมไปถึงนักศึกษาที่จัดทำกิจกรรมและนำความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ให้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป เพื่อสร้างการตระหนักรู้และเข้าใจต่อประเด็นการศึกษาในมิติสังคม เศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมด้วยมุมมองสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ผ่านการจัดกิจกรรม ได้แก่ 1. การเสวนาในหัวข้อ “ชุดนักเรียน…เท่าเทียมหรือเท่าทุน? : ว่าด้วยสิทธิและความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเชิงเสรีนิยมใหม่” 2. การเสวนาในหัวข้อ “ชำแหละวาทกรรมการศึกษา : การครอบงำของภาษาในโรงเรียน” 3.ค่าย ActivisionX Season 1 ตอน Level Up และ 4. วิดีทัศน์เรื่อง “การศึกษาของชาติพันธุ์ : รัฐสวัสดิการ” ซึ่งเป็นการดำเนินการกิจกรรมแบบสาธารณะเพื่อหวังผลในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเชิงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์</p>ปฏิบัติการทางสังคม, สังคม, วัฒนธรรม, การศึกษา4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=226https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/369-cover.jpg
227อื่นๆการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นโดยการสังเกต การสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลประกอบไปด้วย กลุ่มของผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้สูงอายุ รวมไปถึงเด็กและเยาวชน ในชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีประวัติหมู่บ้านที่เล่าขานกันมายาวนาน ประกอบกับได้มีการจัดเสวนาทางวิชาการและนิทรรศการเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวและอัตลักษณ์หัตถกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งแก่สาธารณะ</p>ม้ง, กลุ่มชาติพันธุ์, หัตถกรรม, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=227https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/370-cover.jpg
227วารสารการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นโดยการสังเกต การสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลประกอบไปด้วย กลุ่มของผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้สูงอายุ รวมไปถึงเด็กและเยาวชน ในชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีประวัติหมู่บ้านที่เล่าขานกันมายาวนาน ประกอบกับได้มีการจัดเสวนาทางวิชาการและนิทรรศการเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวและอัตลักษณ์หัตถกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งแก่สาธารณะ</p>ม้ง, กลุ่มชาติพันธุ์, หัตถกรรม, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=227https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/370-cover.jpg
227บทความการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นโดยการสังเกต การสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลประกอบไปด้วย กลุ่มของผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้สูงอายุ รวมไปถึงเด็กและเยาวชน ในชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีประวัติหมู่บ้านที่เล่าขานกันมายาวนาน ประกอบกับได้มีการจัดเสวนาทางวิชาการและนิทรรศการเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวและอัตลักษณ์หัตถกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งแก่สาธารณะ</p>ม้ง, กลุ่มชาติพันธุ์, หัตถกรรม, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=227https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/370-cover.jpg
227วิทยานิพนธ์การรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นโดยการสังเกต การสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลประกอบไปด้วย กลุ่มของผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้สูงอายุ รวมไปถึงเด็กและเยาวชน ในชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีประวัติหมู่บ้านที่เล่าขานกันมายาวนาน ประกอบกับได้มีการจัดเสวนาทางวิชาการและนิทรรศการเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวและอัตลักษณ์หัตถกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งแก่สาธารณะ</p>ม้ง, กลุ่มชาติพันธุ์, หัตถกรรม, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=227https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/370-cover.jpg
227รายงานงานวิจัยการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นโดยการสังเกต การสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลประกอบไปด้วย กลุ่มของผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้สูงอายุ รวมไปถึงเด็กและเยาวชน ในชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีประวัติหมู่บ้านที่เล่าขานกันมายาวนาน ประกอบกับได้มีการจัดเสวนาทางวิชาการและนิทรรศการเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวและอัตลักษณ์หัตถกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งแก่สาธารณะ</p>ม้ง, กลุ่มชาติพันธุ์, หัตถกรรม, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=227https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/370-cover.jpg
227รายงานการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นโดยการสังเกต การสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลประกอบไปด้วย กลุ่มของผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้สูงอายุ รวมไปถึงเด็กและเยาวชน ในชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีประวัติหมู่บ้านที่เล่าขานกันมายาวนาน ประกอบกับได้มีการจัดเสวนาทางวิชาการและนิทรรศการเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวและอัตลักษณ์หัตถกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งแก่สาธารณะ</p>ม้ง, กลุ่มชาติพันธุ์, หัตถกรรม, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=227https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/370-cover.jpg
227หนังสือการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นโดยการสังเกต การสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลประกอบไปด้วย กลุ่มของผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้สูงอายุ รวมไปถึงเด็กและเยาวชน ในชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีประวัติหมู่บ้านที่เล่าขานกันมายาวนาน ประกอบกับได้มีการจัดเสวนาทางวิชาการและนิทรรศการเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวและอัตลักษณ์หัตถกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งแก่สาธารณะ</p>ม้ง, กลุ่มชาติพันธุ์, หัตถกรรม, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=227https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/370-cover.jpg
227จุลสารการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นโดยการสังเกต การสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลประกอบไปด้วย กลุ่มของผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้สูงอายุ รวมไปถึงเด็กและเยาวชน ในชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีประวัติหมู่บ้านที่เล่าขานกันมายาวนาน ประกอบกับได้มีการจัดเสวนาทางวิชาการและนิทรรศการเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวและอัตลักษณ์หัตถกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งแก่สาธารณะ</p>ม้ง, กลุ่มชาติพันธุ์, หัตถกรรม, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=227https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/370-cover.jpg
227สูจิบัตรการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการรวบรวมภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นโดยการสังเกต การสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลประกอบไปด้วย กลุ่มของผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้สูงอายุ รวมไปถึงเด็กและเยาวชน ในชุมชนขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีประวัติหมู่บ้านที่เล่าขานกันมายาวนาน ประกอบกับได้มีการจัดเสวนาทางวิชาการและนิทรรศการเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวและอัตลักษณ์หัตถกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งแก่สาธารณะ</p>ม้ง, กลุ่มชาติพันธุ์, หัตถกรรม, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=227https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/370-cover.jpg
228อื่นๆการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยาย ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยายชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ดำเนินการโดยนักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เพื่อเก็บรวบรวมองค์ความรู้ทางด้านวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม จัดทำหนังสือภาพถ่ายพร้อมคำบรรยายทางวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม และจัดเวทีคืนความรู้สู่ชุมชนนำเสนอข้อมูลพื้นที่พหุวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างไรก็ดี ในภายหลังพื้นที่ที่ได้กำหนดไว้นั้นไม่สามารถเข้าไปดำเนินกิจกรรมได้ เนื่องจากข้อจำกัดของระยะห่างของแต่ละหมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ดำเนินโครงการจึงได้มีการระบุพื้นที่ใหม่ โดยอยู่ในอำเภอและจังหวัดเดียวกัน ซึ่งก็คือ ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน) บ้านหนองแขม ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรมที่มีการอยู่ร่วมกันของ 4 กลุ่มชาติพันธุ์อันได้แก่ ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน ซึ่งมีความหลากหลายทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 4 กลุ่มอยู่ร่วมกัน โดยยังคงรักษาวัฒนธรรมเดิมของแต่ละกลุ่ม อาทิ ความเชื่อที่เกี่ยวกับบรรพบุรุษ การประกอบประเพณีพิธีกรรมตามวาระสำคัญ อย่างไรก็ดี พบความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนับถือศาสนา การแลกรับปรับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ และการได้รับอิทธิพลจากภายนอกชุมชน </p>ลาหู่, ลีซู, กลุ่มชาติพันธุ์, พหุวัฒนธรรม, เชียงใหม่4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=228https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/371-cover.jpg
228วารสารการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยาย ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยายชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ดำเนินการโดยนักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เพื่อเก็บรวบรวมองค์ความรู้ทางด้านวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม จัดทำหนังสือภาพถ่ายพร้อมคำบรรยายทางวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม และจัดเวทีคืนความรู้สู่ชุมชนนำเสนอข้อมูลพื้นที่พหุวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างไรก็ดี ในภายหลังพื้นที่ที่ได้กำหนดไว้นั้นไม่สามารถเข้าไปดำเนินกิจกรรมได้ เนื่องจากข้อจำกัดของระยะห่างของแต่ละหมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ดำเนินโครงการจึงได้มีการระบุพื้นที่ใหม่ โดยอยู่ในอำเภอและจังหวัดเดียวกัน ซึ่งก็คือ ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน) บ้านหนองแขม ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรมที่มีการอยู่ร่วมกันของ 4 กลุ่มชาติพันธุ์อันได้แก่ ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน ซึ่งมีความหลากหลายทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 4 กลุ่มอยู่ร่วมกัน โดยยังคงรักษาวัฒนธรรมเดิมของแต่ละกลุ่ม อาทิ ความเชื่อที่เกี่ยวกับบรรพบุรุษ การประกอบประเพณีพิธีกรรมตามวาระสำคัญ อย่างไรก็ดี พบความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนับถือศาสนา การแลกรับปรับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ และการได้รับอิทธิพลจากภายนอกชุมชน </p>ลาหู่, ลีซู, กลุ่มชาติพันธุ์, พหุวัฒนธรรม, เชียงใหม่4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=228https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/371-cover.jpg
228บทความการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยาย ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยายชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ดำเนินการโดยนักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เพื่อเก็บรวบรวมองค์ความรู้ทางด้านวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม จัดทำหนังสือภาพถ่ายพร้อมคำบรรยายทางวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม และจัดเวทีคืนความรู้สู่ชุมชนนำเสนอข้อมูลพื้นที่พหุวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างไรก็ดี ในภายหลังพื้นที่ที่ได้กำหนดไว้นั้นไม่สามารถเข้าไปดำเนินกิจกรรมได้ เนื่องจากข้อจำกัดของระยะห่างของแต่ละหมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ดำเนินโครงการจึงได้มีการระบุพื้นที่ใหม่ โดยอยู่ในอำเภอและจังหวัดเดียวกัน ซึ่งก็คือ ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน) บ้านหนองแขม ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรมที่มีการอยู่ร่วมกันของ 4 กลุ่มชาติพันธุ์อันได้แก่ ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน ซึ่งมีความหลากหลายทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 4 กลุ่มอยู่ร่วมกัน โดยยังคงรักษาวัฒนธรรมเดิมของแต่ละกลุ่ม อาทิ ความเชื่อที่เกี่ยวกับบรรพบุรุษ การประกอบประเพณีพิธีกรรมตามวาระสำคัญ อย่างไรก็ดี พบความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนับถือศาสนา การแลกรับปรับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ และการได้รับอิทธิพลจากภายนอกชุมชน </p>ลาหู่, ลีซู, กลุ่มชาติพันธุ์, พหุวัฒนธรรม, เชียงใหม่4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=228https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/371-cover.jpg
228วิทยานิพนธ์การเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยาย ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยายชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ดำเนินการโดยนักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เพื่อเก็บรวบรวมองค์ความรู้ทางด้านวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม จัดทำหนังสือภาพถ่ายพร้อมคำบรรยายทางวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม และจัดเวทีคืนความรู้สู่ชุมชนนำเสนอข้อมูลพื้นที่พหุวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างไรก็ดี ในภายหลังพื้นที่ที่ได้กำหนดไว้นั้นไม่สามารถเข้าไปดำเนินกิจกรรมได้ เนื่องจากข้อจำกัดของระยะห่างของแต่ละหมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ดำเนินโครงการจึงได้มีการระบุพื้นที่ใหม่ โดยอยู่ในอำเภอและจังหวัดเดียวกัน ซึ่งก็คือ ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน) บ้านหนองแขม ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรมที่มีการอยู่ร่วมกันของ 4 กลุ่มชาติพันธุ์อันได้แก่ ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน ซึ่งมีความหลากหลายทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 4 กลุ่มอยู่ร่วมกัน โดยยังคงรักษาวัฒนธรรมเดิมของแต่ละกลุ่ม อาทิ ความเชื่อที่เกี่ยวกับบรรพบุรุษ การประกอบประเพณีพิธีกรรมตามวาระสำคัญ อย่างไรก็ดี พบความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนับถือศาสนา การแลกรับปรับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ และการได้รับอิทธิพลจากภายนอกชุมชน </p>ลาหู่, ลีซู, กลุ่มชาติพันธุ์, พหุวัฒนธรรม, เชียงใหม่4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=228https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/371-cover.jpg
228รายงานงานวิจัยการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยาย ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยายชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ดำเนินการโดยนักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เพื่อเก็บรวบรวมองค์ความรู้ทางด้านวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม จัดทำหนังสือภาพถ่ายพร้อมคำบรรยายทางวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม และจัดเวทีคืนความรู้สู่ชุมชนนำเสนอข้อมูลพื้นที่พหุวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างไรก็ดี ในภายหลังพื้นที่ที่ได้กำหนดไว้นั้นไม่สามารถเข้าไปดำเนินกิจกรรมได้ เนื่องจากข้อจำกัดของระยะห่างของแต่ละหมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ดำเนินโครงการจึงได้มีการระบุพื้นที่ใหม่ โดยอยู่ในอำเภอและจังหวัดเดียวกัน ซึ่งก็คือ ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน) บ้านหนองแขม ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรมที่มีการอยู่ร่วมกันของ 4 กลุ่มชาติพันธุ์อันได้แก่ ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน ซึ่งมีความหลากหลายทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 4 กลุ่มอยู่ร่วมกัน โดยยังคงรักษาวัฒนธรรมเดิมของแต่ละกลุ่ม อาทิ ความเชื่อที่เกี่ยวกับบรรพบุรุษ การประกอบประเพณีพิธีกรรมตามวาระสำคัญ อย่างไรก็ดี พบความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนับถือศาสนา การแลกรับปรับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ และการได้รับอิทธิพลจากภายนอกชุมชน </p>ลาหู่, ลีซู, กลุ่มชาติพันธุ์, พหุวัฒนธรรม, เชียงใหม่4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=228https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/371-cover.jpg
228รายงานการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยาย ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยายชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ดำเนินการโดยนักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เพื่อเก็บรวบรวมองค์ความรู้ทางด้านวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม จัดทำหนังสือภาพถ่ายพร้อมคำบรรยายทางวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม และจัดเวทีคืนความรู้สู่ชุมชนนำเสนอข้อมูลพื้นที่พหุวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างไรก็ดี ในภายหลังพื้นที่ที่ได้กำหนดไว้นั้นไม่สามารถเข้าไปดำเนินกิจกรรมได้ เนื่องจากข้อจำกัดของระยะห่างของแต่ละหมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ดำเนินโครงการจึงได้มีการระบุพื้นที่ใหม่ โดยอยู่ในอำเภอและจังหวัดเดียวกัน ซึ่งก็คือ ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน) บ้านหนองแขม ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรมที่มีการอยู่ร่วมกันของ 4 กลุ่มชาติพันธุ์อันได้แก่ ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน ซึ่งมีความหลากหลายทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 4 กลุ่มอยู่ร่วมกัน โดยยังคงรักษาวัฒนธรรมเดิมของแต่ละกลุ่ม อาทิ ความเชื่อที่เกี่ยวกับบรรพบุรุษ การประกอบประเพณีพิธีกรรมตามวาระสำคัญ อย่างไรก็ดี พบความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนับถือศาสนา การแลกรับปรับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ และการได้รับอิทธิพลจากภายนอกชุมชน </p>ลาหู่, ลีซู, กลุ่มชาติพันธุ์, พหุวัฒนธรรม, เชียงใหม่4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=228https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/371-cover.jpg
228หนังสือการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยาย ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยายชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ดำเนินการโดยนักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เพื่อเก็บรวบรวมองค์ความรู้ทางด้านวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม จัดทำหนังสือภาพถ่ายพร้อมคำบรรยายทางวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม และจัดเวทีคืนความรู้สู่ชุมชนนำเสนอข้อมูลพื้นที่พหุวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างไรก็ดี ในภายหลังพื้นที่ที่ได้กำหนดไว้นั้นไม่สามารถเข้าไปดำเนินกิจกรรมได้ เนื่องจากข้อจำกัดของระยะห่างของแต่ละหมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ดำเนินโครงการจึงได้มีการระบุพื้นที่ใหม่ โดยอยู่ในอำเภอและจังหวัดเดียวกัน ซึ่งก็คือ ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน) บ้านหนองแขม ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรมที่มีการอยู่ร่วมกันของ 4 กลุ่มชาติพันธุ์อันได้แก่ ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน ซึ่งมีความหลากหลายทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 4 กลุ่มอยู่ร่วมกัน โดยยังคงรักษาวัฒนธรรมเดิมของแต่ละกลุ่ม อาทิ ความเชื่อที่เกี่ยวกับบรรพบุรุษ การประกอบประเพณีพิธีกรรมตามวาระสำคัญ อย่างไรก็ดี พบความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนับถือศาสนา การแลกรับปรับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ และการได้รับอิทธิพลจากภายนอกชุมชน </p>ลาหู่, ลีซู, กลุ่มชาติพันธุ์, พหุวัฒนธรรม, เชียงใหม่4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=228https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/371-cover.jpg
228จุลสารการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยาย ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยายชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ดำเนินการโดยนักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เพื่อเก็บรวบรวมองค์ความรู้ทางด้านวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม จัดทำหนังสือภาพถ่ายพร้อมคำบรรยายทางวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม และจัดเวทีคืนความรู้สู่ชุมชนนำเสนอข้อมูลพื้นที่พหุวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างไรก็ดี ในภายหลังพื้นที่ที่ได้กำหนดไว้นั้นไม่สามารถเข้าไปดำเนินกิจกรรมได้ เนื่องจากข้อจำกัดของระยะห่างของแต่ละหมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ดำเนินโครงการจึงได้มีการระบุพื้นที่ใหม่ โดยอยู่ในอำเภอและจังหวัดเดียวกัน ซึ่งก็คือ ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน) บ้านหนองแขม ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรมที่มีการอยู่ร่วมกันของ 4 กลุ่มชาติพันธุ์อันได้แก่ ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน ซึ่งมีความหลากหลายทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 4 กลุ่มอยู่ร่วมกัน โดยยังคงรักษาวัฒนธรรมเดิมของแต่ละกลุ่ม อาทิ ความเชื่อที่เกี่ยวกับบรรพบุรุษ การประกอบประเพณีพิธีกรรมตามวาระสำคัญ อย่างไรก็ดี พบความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนับถือศาสนา การแลกรับปรับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ และการได้รับอิทธิพลจากภายนอกชุมชน </p>ลาหู่, ลีซู, กลุ่มชาติพันธุ์, พหุวัฒนธรรม, เชียงใหม่4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=228https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/371-cover.jpg
228สูจิบัตรการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยาย ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำหนังสือภาพถ่ายประกอบคำบรรยายชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลาหู่ ลีซู และม้ง) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ดำเนินการโดยนักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เพื่อเก็บรวบรวมองค์ความรู้ทางด้านวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม จัดทำหนังสือภาพถ่ายพร้อมคำบรรยายทางวัฒนธรรมของพื้นที่พหุวัฒนธรรม และจัดเวทีคืนความรู้สู่ชุมชนนำเสนอข้อมูลพื้นที่พหุวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างไรก็ดี ในภายหลังพื้นที่ที่ได้กำหนดไว้นั้นไม่สามารถเข้าไปดำเนินกิจกรรมได้ เนื่องจากข้อจำกัดของระยะห่างของแต่ละหมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ดำเนินโครงการจึงได้มีการระบุพื้นที่ใหม่ โดยอยู่ในอำเภอและจังหวัดเดียวกัน ซึ่งก็คือ ชุมชนพหุวัฒนธรรม (ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน) บ้านหนองแขม ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรมที่มีการอยู่ร่วมกันของ 4 กลุ่มชาติพันธุ์อันได้แก่ ลีซู ลาหู่ ไทใหญ่ และจีน ซึ่งมีความหลากหลายทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 4 กลุ่มอยู่ร่วมกัน โดยยังคงรักษาวัฒนธรรมเดิมของแต่ละกลุ่ม อาทิ ความเชื่อที่เกี่ยวกับบรรพบุรุษ การประกอบประเพณีพิธีกรรมตามวาระสำคัญ อย่างไรก็ดี พบความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนับถือศาสนา การแลกรับปรับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ และการได้รับอิทธิพลจากภายนอกชุมชน </p>ลาหู่, ลีซู, กลุ่มชาติพันธุ์, พหุวัฒนธรรม, เชียงใหม่4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=228https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/371-cover.jpg
229อื่นๆนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<div>
พื้นที่ชุมชนชาวปกาเกอะญอ หมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ภาคสนามที่นักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้เข้าไปฝึกปฏิบัติการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวัฒนธรรมเป็นระยะเวลาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 มีการเก็บรวบรวมข้อมูลในพื้นที่ดังกล่าวไว้เป็นจำนวนมากและเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ซึ่งประกอบไปด้วย ข้อมูลแผนที่หมู่บ้าน ข้อมูลผังเครือญาติ ข้อมูลปฏิทินชุมชน ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนในมิติต่าง ๆ ทั้งการอพยพ เศรษฐกิจ สาธารณูปโภค การศึกษา ความเชื่อและศาสนา ข้อมูลภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้านในประเด็นต่าง ๆ เช่น ประเพณี สถาปัตยกรรม การฟ้อนดาบ ด้วยความพร้อมของข้อมูลที่กล่าวมาจึงนำมาสู่แนวคิดในการจัดการข้อมูลภาคสนาม ภายใต้โครงการนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อจัดการเรียบเรียงและตรวจสอบความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอโดยการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน และเพื่อจัดทำนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบัน ชุมชนชาวปกาเกอะญอ ในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) </div>
<div>
</div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, วัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ชุมชน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=229https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/372-cover.jpg
229วารสารนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<div>
พื้นที่ชุมชนชาวปกาเกอะญอ หมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ภาคสนามที่นักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้เข้าไปฝึกปฏิบัติการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวัฒนธรรมเป็นระยะเวลาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 มีการเก็บรวบรวมข้อมูลในพื้นที่ดังกล่าวไว้เป็นจำนวนมากและเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ซึ่งประกอบไปด้วย ข้อมูลแผนที่หมู่บ้าน ข้อมูลผังเครือญาติ ข้อมูลปฏิทินชุมชน ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนในมิติต่าง ๆ ทั้งการอพยพ เศรษฐกิจ สาธารณูปโภค การศึกษา ความเชื่อและศาสนา ข้อมูลภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้านในประเด็นต่าง ๆ เช่น ประเพณี สถาปัตยกรรม การฟ้อนดาบ ด้วยความพร้อมของข้อมูลที่กล่าวมาจึงนำมาสู่แนวคิดในการจัดการข้อมูลภาคสนาม ภายใต้โครงการนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อจัดการเรียบเรียงและตรวจสอบความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอโดยการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน และเพื่อจัดทำนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบัน ชุมชนชาวปกาเกอะญอ ในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) </div>
<div>
</div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, วัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ชุมชน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=229https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/372-cover.jpg
229บทความนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<div>
พื้นที่ชุมชนชาวปกาเกอะญอ หมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ภาคสนามที่นักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้เข้าไปฝึกปฏิบัติการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวัฒนธรรมเป็นระยะเวลาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 มีการเก็บรวบรวมข้อมูลในพื้นที่ดังกล่าวไว้เป็นจำนวนมากและเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ซึ่งประกอบไปด้วย ข้อมูลแผนที่หมู่บ้าน ข้อมูลผังเครือญาติ ข้อมูลปฏิทินชุมชน ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนในมิติต่าง ๆ ทั้งการอพยพ เศรษฐกิจ สาธารณูปโภค การศึกษา ความเชื่อและศาสนา ข้อมูลภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้านในประเด็นต่าง ๆ เช่น ประเพณี สถาปัตยกรรม การฟ้อนดาบ ด้วยความพร้อมของข้อมูลที่กล่าวมาจึงนำมาสู่แนวคิดในการจัดการข้อมูลภาคสนาม ภายใต้โครงการนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อจัดการเรียบเรียงและตรวจสอบความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอโดยการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน และเพื่อจัดทำนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบัน ชุมชนชาวปกาเกอะญอ ในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) </div>
<div>
</div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, วัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ชุมชน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=229https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/372-cover.jpg
229วิทยานิพนธ์นิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<div>
พื้นที่ชุมชนชาวปกาเกอะญอ หมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ภาคสนามที่นักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้เข้าไปฝึกปฏิบัติการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวัฒนธรรมเป็นระยะเวลาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 มีการเก็บรวบรวมข้อมูลในพื้นที่ดังกล่าวไว้เป็นจำนวนมากและเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ซึ่งประกอบไปด้วย ข้อมูลแผนที่หมู่บ้าน ข้อมูลผังเครือญาติ ข้อมูลปฏิทินชุมชน ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนในมิติต่าง ๆ ทั้งการอพยพ เศรษฐกิจ สาธารณูปโภค การศึกษา ความเชื่อและศาสนา ข้อมูลภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้านในประเด็นต่าง ๆ เช่น ประเพณี สถาปัตยกรรม การฟ้อนดาบ ด้วยความพร้อมของข้อมูลที่กล่าวมาจึงนำมาสู่แนวคิดในการจัดการข้อมูลภาคสนาม ภายใต้โครงการนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อจัดการเรียบเรียงและตรวจสอบความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอโดยการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน และเพื่อจัดทำนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบัน ชุมชนชาวปกาเกอะญอ ในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) </div>
<div>
</div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, วัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ชุมชน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=229https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/372-cover.jpg
229รายงานงานวิจัยนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<div>
พื้นที่ชุมชนชาวปกาเกอะญอ หมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ภาคสนามที่นักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้เข้าไปฝึกปฏิบัติการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวัฒนธรรมเป็นระยะเวลาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 มีการเก็บรวบรวมข้อมูลในพื้นที่ดังกล่าวไว้เป็นจำนวนมากและเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ซึ่งประกอบไปด้วย ข้อมูลแผนที่หมู่บ้าน ข้อมูลผังเครือญาติ ข้อมูลปฏิทินชุมชน ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนในมิติต่าง ๆ ทั้งการอพยพ เศรษฐกิจ สาธารณูปโภค การศึกษา ความเชื่อและศาสนา ข้อมูลภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้านในประเด็นต่าง ๆ เช่น ประเพณี สถาปัตยกรรม การฟ้อนดาบ ด้วยความพร้อมของข้อมูลที่กล่าวมาจึงนำมาสู่แนวคิดในการจัดการข้อมูลภาคสนาม ภายใต้โครงการนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อจัดการเรียบเรียงและตรวจสอบความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอโดยการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน และเพื่อจัดทำนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบัน ชุมชนชาวปกาเกอะญอ ในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) </div>
<div>
</div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, วัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ชุมชน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=229https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/372-cover.jpg
229รายงานนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<div>
พื้นที่ชุมชนชาวปกาเกอะญอ หมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ภาคสนามที่นักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้เข้าไปฝึกปฏิบัติการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวัฒนธรรมเป็นระยะเวลาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 มีการเก็บรวบรวมข้อมูลในพื้นที่ดังกล่าวไว้เป็นจำนวนมากและเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ซึ่งประกอบไปด้วย ข้อมูลแผนที่หมู่บ้าน ข้อมูลผังเครือญาติ ข้อมูลปฏิทินชุมชน ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนในมิติต่าง ๆ ทั้งการอพยพ เศรษฐกิจ สาธารณูปโภค การศึกษา ความเชื่อและศาสนา ข้อมูลภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้านในประเด็นต่าง ๆ เช่น ประเพณี สถาปัตยกรรม การฟ้อนดาบ ด้วยความพร้อมของข้อมูลที่กล่าวมาจึงนำมาสู่แนวคิดในการจัดการข้อมูลภาคสนาม ภายใต้โครงการนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อจัดการเรียบเรียงและตรวจสอบความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอโดยการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน และเพื่อจัดทำนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบัน ชุมชนชาวปกาเกอะญอ ในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) </div>
<div>
</div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, วัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ชุมชน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=229https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/372-cover.jpg
229หนังสือนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<div>
พื้นที่ชุมชนชาวปกาเกอะญอ หมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ภาคสนามที่นักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้เข้าไปฝึกปฏิบัติการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวัฒนธรรมเป็นระยะเวลาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 มีการเก็บรวบรวมข้อมูลในพื้นที่ดังกล่าวไว้เป็นจำนวนมากและเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ซึ่งประกอบไปด้วย ข้อมูลแผนที่หมู่บ้าน ข้อมูลผังเครือญาติ ข้อมูลปฏิทินชุมชน ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนในมิติต่าง ๆ ทั้งการอพยพ เศรษฐกิจ สาธารณูปโภค การศึกษา ความเชื่อและศาสนา ข้อมูลภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้านในประเด็นต่าง ๆ เช่น ประเพณี สถาปัตยกรรม การฟ้อนดาบ ด้วยความพร้อมของข้อมูลที่กล่าวมาจึงนำมาสู่แนวคิดในการจัดการข้อมูลภาคสนาม ภายใต้โครงการนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อจัดการเรียบเรียงและตรวจสอบความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอโดยการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน และเพื่อจัดทำนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบัน ชุมชนชาวปกาเกอะญอ ในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) </div>
<div>
</div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, วัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ชุมชน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=229https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/372-cover.jpg
229จุลสารนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<div>
พื้นที่ชุมชนชาวปกาเกอะญอ หมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ภาคสนามที่นักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้เข้าไปฝึกปฏิบัติการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวัฒนธรรมเป็นระยะเวลาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 มีการเก็บรวบรวมข้อมูลในพื้นที่ดังกล่าวไว้เป็นจำนวนมากและเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ซึ่งประกอบไปด้วย ข้อมูลแผนที่หมู่บ้าน ข้อมูลผังเครือญาติ ข้อมูลปฏิทินชุมชน ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนในมิติต่าง ๆ ทั้งการอพยพ เศรษฐกิจ สาธารณูปโภค การศึกษา ความเชื่อและศาสนา ข้อมูลภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้านในประเด็นต่าง ๆ เช่น ประเพณี สถาปัตยกรรม การฟ้อนดาบ ด้วยความพร้อมของข้อมูลที่กล่าวมาจึงนำมาสู่แนวคิดในการจัดการข้อมูลภาคสนาม ภายใต้โครงการนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อจัดการเรียบเรียงและตรวจสอบความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอโดยการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน และเพื่อจัดทำนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบัน ชุมชนชาวปกาเกอะญอ ในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) </div>
<div>
</div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, วัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ชุมชน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=229https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/372-cover.jpg
229สูจิบัตรนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<div>
พื้นที่ชุมชนชาวปกาเกอะญอ หมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ภาคสนามที่นักศึกษาสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้เข้าไปฝึกปฏิบัติการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวัฒนธรรมเป็นระยะเวลาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 มีการเก็บรวบรวมข้อมูลในพื้นที่ดังกล่าวไว้เป็นจำนวนมากและเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ซึ่งประกอบไปด้วย ข้อมูลแผนที่หมู่บ้าน ข้อมูลผังเครือญาติ ข้อมูลปฏิทินชุมชน ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนในมิติต่าง ๆ ทั้งการอพยพ เศรษฐกิจ สาธารณูปโภค การศึกษา ความเชื่อและศาสนา ข้อมูลภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้านในประเด็นต่าง ๆ เช่น ประเพณี สถาปัตยกรรม การฟ้อนดาบ ด้วยความพร้อมของข้อมูลที่กล่าวมาจึงนำมาสู่แนวคิดในการจัดการข้อมูลภาคสนาม ภายใต้โครงการนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบันชุมชนชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการสนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อจัดการเรียบเรียงและตรวจสอบความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอโดยการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน และเพื่อจัดทำนิทรรศการและหนังสือชุดประวัติศาสตร์และพลวัตวัฒนธรรม: จากอดีตสู่ปัจจุบัน ชุมชนชาวปกาเกอะญอ ในหมู่บ้านแม่ขะปู (เปียง) </div>
<div>
</div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, วัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ชุมชน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=229https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/372-cover.jpg
230อื่นๆ"ปาสะโฮโพ" รักวิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนสันโป่ง<div>
ชุมชนบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง เป็นชุมชนที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ซึ่งประกอบอาชีพทางการเกษตรเป็นหลักและมีการทำไร่หมุนเวียน ปลูกพืชผักสวนครัวตามฤดูกาล และเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อบริโภคภายในครัวเรือนมากกว่าการค้าขายรวมถึงมีวัฒนธรรม ภาษาพูด การแต่งกายที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวปกาเกอะญอ นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมและความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนซึ่งมีอยู่หลากหลายพิธี หากแต่ปัจจุบันกลับพบว่าพิธีกรรมและวิถีการดำรงชีวิตของชาวปกาเกอะญอบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง คลี่คลายลงเนื่องด้วยมีการเปิดรับวัฒนธรรมจากภายนอกชุมชนมากขึ้น ทำให้พิธีกรรมดั้งเดิมที่เป็นความเชื่อของคนในชุมชนได้ลดบทบาทลงไป จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการหลงลืมทางพิธีกรรมดั้งเดิม จากปรากฏการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นจึงทำให้พิธีกรรมความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอบ้านสันโป่งไม่ได้รับความสนใจในการเข้าร่วมจากกลุ่มเด็กและเยาวชนมากนัก อีกทั้งไม่เข้าใจแบบแผนการดำเนินชีวิตของชาวปกาเกอะญอที่ผู้ใหญ่วางไว้ให้ รวมถึงทัศนคติของเด็กและเยาวชนก็เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมภายนอก ดังนั้นเพื่อให้เยาวชนและชุมชนได้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญของพิธีกรรมมีความเข้าใจในรากเหง้า ความเป็นพิธีกรรมดั้งเดิม ตลอดจนมีการศึกษาเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตของชุมชนซึ่งถือเป็นมรดกทางพิธีกรรมที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์และรักษาให้คงอยู่นั้น จึงได้จัดทำโครงการ “ปาสะโฮโพ” รักษ์วิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนบ้านสันโป่งขึ้นเพื่อการสืบสานและอนุรักษ์มรดกทางพิธีกรรมของชุมชน ทั้งพิธีกรรมทางครอบครัว พิธีกรรมทางเกษตรและพิธีกรรมในชุมชน </div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิธีกรรม, ความเชื่อ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=230https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/373-cover.jpg
230วารสาร"ปาสะโฮโพ" รักวิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนสันโป่ง<div>
ชุมชนบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง เป็นชุมชนที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ซึ่งประกอบอาชีพทางการเกษตรเป็นหลักและมีการทำไร่หมุนเวียน ปลูกพืชผักสวนครัวตามฤดูกาล และเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อบริโภคภายในครัวเรือนมากกว่าการค้าขายรวมถึงมีวัฒนธรรม ภาษาพูด การแต่งกายที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวปกาเกอะญอ นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมและความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนซึ่งมีอยู่หลากหลายพิธี หากแต่ปัจจุบันกลับพบว่าพิธีกรรมและวิถีการดำรงชีวิตของชาวปกาเกอะญอบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง คลี่คลายลงเนื่องด้วยมีการเปิดรับวัฒนธรรมจากภายนอกชุมชนมากขึ้น ทำให้พิธีกรรมดั้งเดิมที่เป็นความเชื่อของคนในชุมชนได้ลดบทบาทลงไป จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการหลงลืมทางพิธีกรรมดั้งเดิม จากปรากฏการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นจึงทำให้พิธีกรรมความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอบ้านสันโป่งไม่ได้รับความสนใจในการเข้าร่วมจากกลุ่มเด็กและเยาวชนมากนัก อีกทั้งไม่เข้าใจแบบแผนการดำเนินชีวิตของชาวปกาเกอะญอที่ผู้ใหญ่วางไว้ให้ รวมถึงทัศนคติของเด็กและเยาวชนก็เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมภายนอก ดังนั้นเพื่อให้เยาวชนและชุมชนได้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญของพิธีกรรมมีความเข้าใจในรากเหง้า ความเป็นพิธีกรรมดั้งเดิม ตลอดจนมีการศึกษาเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตของชุมชนซึ่งถือเป็นมรดกทางพิธีกรรมที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์และรักษาให้คงอยู่นั้น จึงได้จัดทำโครงการ “ปาสะโฮโพ” รักษ์วิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนบ้านสันโป่งขึ้นเพื่อการสืบสานและอนุรักษ์มรดกทางพิธีกรรมของชุมชน ทั้งพิธีกรรมทางครอบครัว พิธีกรรมทางเกษตรและพิธีกรรมในชุมชน </div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิธีกรรม, ความเชื่อ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=230https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/373-cover.jpg
230บทความ"ปาสะโฮโพ" รักวิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนสันโป่ง<div>
ชุมชนบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง เป็นชุมชนที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ซึ่งประกอบอาชีพทางการเกษตรเป็นหลักและมีการทำไร่หมุนเวียน ปลูกพืชผักสวนครัวตามฤดูกาล และเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อบริโภคภายในครัวเรือนมากกว่าการค้าขายรวมถึงมีวัฒนธรรม ภาษาพูด การแต่งกายที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวปกาเกอะญอ นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมและความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนซึ่งมีอยู่หลากหลายพิธี หากแต่ปัจจุบันกลับพบว่าพิธีกรรมและวิถีการดำรงชีวิตของชาวปกาเกอะญอบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง คลี่คลายลงเนื่องด้วยมีการเปิดรับวัฒนธรรมจากภายนอกชุมชนมากขึ้น ทำให้พิธีกรรมดั้งเดิมที่เป็นความเชื่อของคนในชุมชนได้ลดบทบาทลงไป จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการหลงลืมทางพิธีกรรมดั้งเดิม จากปรากฏการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นจึงทำให้พิธีกรรมความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอบ้านสันโป่งไม่ได้รับความสนใจในการเข้าร่วมจากกลุ่มเด็กและเยาวชนมากนัก อีกทั้งไม่เข้าใจแบบแผนการดำเนินชีวิตของชาวปกาเกอะญอที่ผู้ใหญ่วางไว้ให้ รวมถึงทัศนคติของเด็กและเยาวชนก็เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมภายนอก ดังนั้นเพื่อให้เยาวชนและชุมชนได้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญของพิธีกรรมมีความเข้าใจในรากเหง้า ความเป็นพิธีกรรมดั้งเดิม ตลอดจนมีการศึกษาเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตของชุมชนซึ่งถือเป็นมรดกทางพิธีกรรมที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์และรักษาให้คงอยู่นั้น จึงได้จัดทำโครงการ “ปาสะโฮโพ” รักษ์วิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนบ้านสันโป่งขึ้นเพื่อการสืบสานและอนุรักษ์มรดกทางพิธีกรรมของชุมชน ทั้งพิธีกรรมทางครอบครัว พิธีกรรมทางเกษตรและพิธีกรรมในชุมชน </div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิธีกรรม, ความเชื่อ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=230https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/373-cover.jpg
230วิทยานิพนธ์"ปาสะโฮโพ" รักวิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนสันโป่ง<div>
ชุมชนบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง เป็นชุมชนที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ซึ่งประกอบอาชีพทางการเกษตรเป็นหลักและมีการทำไร่หมุนเวียน ปลูกพืชผักสวนครัวตามฤดูกาล และเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อบริโภคภายในครัวเรือนมากกว่าการค้าขายรวมถึงมีวัฒนธรรม ภาษาพูด การแต่งกายที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวปกาเกอะญอ นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมและความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนซึ่งมีอยู่หลากหลายพิธี หากแต่ปัจจุบันกลับพบว่าพิธีกรรมและวิถีการดำรงชีวิตของชาวปกาเกอะญอบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง คลี่คลายลงเนื่องด้วยมีการเปิดรับวัฒนธรรมจากภายนอกชุมชนมากขึ้น ทำให้พิธีกรรมดั้งเดิมที่เป็นความเชื่อของคนในชุมชนได้ลดบทบาทลงไป จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการหลงลืมทางพิธีกรรมดั้งเดิม จากปรากฏการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นจึงทำให้พิธีกรรมความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอบ้านสันโป่งไม่ได้รับความสนใจในการเข้าร่วมจากกลุ่มเด็กและเยาวชนมากนัก อีกทั้งไม่เข้าใจแบบแผนการดำเนินชีวิตของชาวปกาเกอะญอที่ผู้ใหญ่วางไว้ให้ รวมถึงทัศนคติของเด็กและเยาวชนก็เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมภายนอก ดังนั้นเพื่อให้เยาวชนและชุมชนได้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญของพิธีกรรมมีความเข้าใจในรากเหง้า ความเป็นพิธีกรรมดั้งเดิม ตลอดจนมีการศึกษาเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตของชุมชนซึ่งถือเป็นมรดกทางพิธีกรรมที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์และรักษาให้คงอยู่นั้น จึงได้จัดทำโครงการ “ปาสะโฮโพ” รักษ์วิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนบ้านสันโป่งขึ้นเพื่อการสืบสานและอนุรักษ์มรดกทางพิธีกรรมของชุมชน ทั้งพิธีกรรมทางครอบครัว พิธีกรรมทางเกษตรและพิธีกรรมในชุมชน </div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิธีกรรม, ความเชื่อ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=230https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/373-cover.jpg
230รายงานงานวิจัย"ปาสะโฮโพ" รักวิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนสันโป่ง<div>
ชุมชนบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง เป็นชุมชนที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ซึ่งประกอบอาชีพทางการเกษตรเป็นหลักและมีการทำไร่หมุนเวียน ปลูกพืชผักสวนครัวตามฤดูกาล และเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อบริโภคภายในครัวเรือนมากกว่าการค้าขายรวมถึงมีวัฒนธรรม ภาษาพูด การแต่งกายที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวปกาเกอะญอ นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมและความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนซึ่งมีอยู่หลากหลายพิธี หากแต่ปัจจุบันกลับพบว่าพิธีกรรมและวิถีการดำรงชีวิตของชาวปกาเกอะญอบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง คลี่คลายลงเนื่องด้วยมีการเปิดรับวัฒนธรรมจากภายนอกชุมชนมากขึ้น ทำให้พิธีกรรมดั้งเดิมที่เป็นความเชื่อของคนในชุมชนได้ลดบทบาทลงไป จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการหลงลืมทางพิธีกรรมดั้งเดิม จากปรากฏการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นจึงทำให้พิธีกรรมความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอบ้านสันโป่งไม่ได้รับความสนใจในการเข้าร่วมจากกลุ่มเด็กและเยาวชนมากนัก อีกทั้งไม่เข้าใจแบบแผนการดำเนินชีวิตของชาวปกาเกอะญอที่ผู้ใหญ่วางไว้ให้ รวมถึงทัศนคติของเด็กและเยาวชนก็เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมภายนอก ดังนั้นเพื่อให้เยาวชนและชุมชนได้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญของพิธีกรรมมีความเข้าใจในรากเหง้า ความเป็นพิธีกรรมดั้งเดิม ตลอดจนมีการศึกษาเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตของชุมชนซึ่งถือเป็นมรดกทางพิธีกรรมที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์และรักษาให้คงอยู่นั้น จึงได้จัดทำโครงการ “ปาสะโฮโพ” รักษ์วิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนบ้านสันโป่งขึ้นเพื่อการสืบสานและอนุรักษ์มรดกทางพิธีกรรมของชุมชน ทั้งพิธีกรรมทางครอบครัว พิธีกรรมทางเกษตรและพิธีกรรมในชุมชน </div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิธีกรรม, ความเชื่อ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=230https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/373-cover.jpg
230รายงาน"ปาสะโฮโพ" รักวิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนสันโป่ง<div>
ชุมชนบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง เป็นชุมชนที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ซึ่งประกอบอาชีพทางการเกษตรเป็นหลักและมีการทำไร่หมุนเวียน ปลูกพืชผักสวนครัวตามฤดูกาล และเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อบริโภคภายในครัวเรือนมากกว่าการค้าขายรวมถึงมีวัฒนธรรม ภาษาพูด การแต่งกายที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวปกาเกอะญอ นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมและความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนซึ่งมีอยู่หลากหลายพิธี หากแต่ปัจจุบันกลับพบว่าพิธีกรรมและวิถีการดำรงชีวิตของชาวปกาเกอะญอบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง คลี่คลายลงเนื่องด้วยมีการเปิดรับวัฒนธรรมจากภายนอกชุมชนมากขึ้น ทำให้พิธีกรรมดั้งเดิมที่เป็นความเชื่อของคนในชุมชนได้ลดบทบาทลงไป จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการหลงลืมทางพิธีกรรมดั้งเดิม จากปรากฏการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นจึงทำให้พิธีกรรมความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอบ้านสันโป่งไม่ได้รับความสนใจในการเข้าร่วมจากกลุ่มเด็กและเยาวชนมากนัก อีกทั้งไม่เข้าใจแบบแผนการดำเนินชีวิตของชาวปกาเกอะญอที่ผู้ใหญ่วางไว้ให้ รวมถึงทัศนคติของเด็กและเยาวชนก็เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมภายนอก ดังนั้นเพื่อให้เยาวชนและชุมชนได้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญของพิธีกรรมมีความเข้าใจในรากเหง้า ความเป็นพิธีกรรมดั้งเดิม ตลอดจนมีการศึกษาเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตของชุมชนซึ่งถือเป็นมรดกทางพิธีกรรมที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์และรักษาให้คงอยู่นั้น จึงได้จัดทำโครงการ “ปาสะโฮโพ” รักษ์วิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนบ้านสันโป่งขึ้นเพื่อการสืบสานและอนุรักษ์มรดกทางพิธีกรรมของชุมชน ทั้งพิธีกรรมทางครอบครัว พิธีกรรมทางเกษตรและพิธีกรรมในชุมชน </div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิธีกรรม, ความเชื่อ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=230https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/373-cover.jpg
230หนังสือ"ปาสะโฮโพ" รักวิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนสันโป่ง<div>
ชุมชนบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง เป็นชุมชนที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ซึ่งประกอบอาชีพทางการเกษตรเป็นหลักและมีการทำไร่หมุนเวียน ปลูกพืชผักสวนครัวตามฤดูกาล และเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อบริโภคภายในครัวเรือนมากกว่าการค้าขายรวมถึงมีวัฒนธรรม ภาษาพูด การแต่งกายที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวปกาเกอะญอ นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมและความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนซึ่งมีอยู่หลากหลายพิธี หากแต่ปัจจุบันกลับพบว่าพิธีกรรมและวิถีการดำรงชีวิตของชาวปกาเกอะญอบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง คลี่คลายลงเนื่องด้วยมีการเปิดรับวัฒนธรรมจากภายนอกชุมชนมากขึ้น ทำให้พิธีกรรมดั้งเดิมที่เป็นความเชื่อของคนในชุมชนได้ลดบทบาทลงไป จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการหลงลืมทางพิธีกรรมดั้งเดิม จากปรากฏการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นจึงทำให้พิธีกรรมความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอบ้านสันโป่งไม่ได้รับความสนใจในการเข้าร่วมจากกลุ่มเด็กและเยาวชนมากนัก อีกทั้งไม่เข้าใจแบบแผนการดำเนินชีวิตของชาวปกาเกอะญอที่ผู้ใหญ่วางไว้ให้ รวมถึงทัศนคติของเด็กและเยาวชนก็เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมภายนอก ดังนั้นเพื่อให้เยาวชนและชุมชนได้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญของพิธีกรรมมีความเข้าใจในรากเหง้า ความเป็นพิธีกรรมดั้งเดิม ตลอดจนมีการศึกษาเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตของชุมชนซึ่งถือเป็นมรดกทางพิธีกรรมที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์และรักษาให้คงอยู่นั้น จึงได้จัดทำโครงการ “ปาสะโฮโพ” รักษ์วิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนบ้านสันโป่งขึ้นเพื่อการสืบสานและอนุรักษ์มรดกทางพิธีกรรมของชุมชน ทั้งพิธีกรรมทางครอบครัว พิธีกรรมทางเกษตรและพิธีกรรมในชุมชน </div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิธีกรรม, ความเชื่อ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=230https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/373-cover.jpg
230จุลสาร"ปาสะโฮโพ" รักวิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนสันโป่ง<div>
ชุมชนบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง เป็นชุมชนที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ซึ่งประกอบอาชีพทางการเกษตรเป็นหลักและมีการทำไร่หมุนเวียน ปลูกพืชผักสวนครัวตามฤดูกาล และเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อบริโภคภายในครัวเรือนมากกว่าการค้าขายรวมถึงมีวัฒนธรรม ภาษาพูด การแต่งกายที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวปกาเกอะญอ นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมและความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนซึ่งมีอยู่หลากหลายพิธี หากแต่ปัจจุบันกลับพบว่าพิธีกรรมและวิถีการดำรงชีวิตของชาวปกาเกอะญอบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง คลี่คลายลงเนื่องด้วยมีการเปิดรับวัฒนธรรมจากภายนอกชุมชนมากขึ้น ทำให้พิธีกรรมดั้งเดิมที่เป็นความเชื่อของคนในชุมชนได้ลดบทบาทลงไป จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการหลงลืมทางพิธีกรรมดั้งเดิม จากปรากฏการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นจึงทำให้พิธีกรรมความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอบ้านสันโป่งไม่ได้รับความสนใจในการเข้าร่วมจากกลุ่มเด็กและเยาวชนมากนัก อีกทั้งไม่เข้าใจแบบแผนการดำเนินชีวิตของชาวปกาเกอะญอที่ผู้ใหญ่วางไว้ให้ รวมถึงทัศนคติของเด็กและเยาวชนก็เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมภายนอก ดังนั้นเพื่อให้เยาวชนและชุมชนได้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญของพิธีกรรมมีความเข้าใจในรากเหง้า ความเป็นพิธีกรรมดั้งเดิม ตลอดจนมีการศึกษาเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตของชุมชนซึ่งถือเป็นมรดกทางพิธีกรรมที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์และรักษาให้คงอยู่นั้น จึงได้จัดทำโครงการ “ปาสะโฮโพ” รักษ์วิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนบ้านสันโป่งขึ้นเพื่อการสืบสานและอนุรักษ์มรดกทางพิธีกรรมของชุมชน ทั้งพิธีกรรมทางครอบครัว พิธีกรรมทางเกษตรและพิธีกรรมในชุมชน </div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิธีกรรม, ความเชื่อ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=230https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/373-cover.jpg
230สูจิบัตร"ปาสะโฮโพ" รักวิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนสันโป่ง<div>
ชุมชนบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง เป็นชุมชนที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ซึ่งประกอบอาชีพทางการเกษตรเป็นหลักและมีการทำไร่หมุนเวียน ปลูกพืชผักสวนครัวตามฤดูกาล และเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อบริโภคภายในครัวเรือนมากกว่าการค้าขายรวมถึงมีวัฒนธรรม ภาษาพูด การแต่งกายที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวปกาเกอะญอ นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมและความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนซึ่งมีอยู่หลากหลายพิธี หากแต่ปัจจุบันกลับพบว่าพิธีกรรมและวิถีการดำรงชีวิตของชาวปกาเกอะญอบ้านสันโป่ง ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง คลี่คลายลงเนื่องด้วยมีการเปิดรับวัฒนธรรมจากภายนอกชุมชนมากขึ้น ทำให้พิธีกรรมดั้งเดิมที่เป็นความเชื่อของคนในชุมชนได้ลดบทบาทลงไป จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการหลงลืมทางพิธีกรรมดั้งเดิม จากปรากฏการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นจึงทำให้พิธีกรรมความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอบ้านสันโป่งไม่ได้รับความสนใจในการเข้าร่วมจากกลุ่มเด็กและเยาวชนมากนัก อีกทั้งไม่เข้าใจแบบแผนการดำเนินชีวิตของชาวปกาเกอะญอที่ผู้ใหญ่วางไว้ให้ รวมถึงทัศนคติของเด็กและเยาวชนก็เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมภายนอก ดังนั้นเพื่อให้เยาวชนและชุมชนได้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญของพิธีกรรมมีความเข้าใจในรากเหง้า ความเป็นพิธีกรรมดั้งเดิม ตลอดจนมีการศึกษาเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตของชุมชนซึ่งถือเป็นมรดกทางพิธีกรรมที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์และรักษาให้คงอยู่นั้น จึงได้จัดทำโครงการ “ปาสะโฮโพ” รักษ์วิถีปกาเกอะญอ ร่วมสานต่อพิธีกรรมของคนบ้านสันโป่งขึ้นเพื่อการสืบสานและอนุรักษ์มรดกทางพิธีกรรมของชุมชน ทั้งพิธีกรรมทางครอบครัว พิธีกรรมทางเกษตรและพิธีกรรมในชุมชน </div>ปกาเกอะญอ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิธีกรรม, ความเชื่อ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=230https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/373-cover.jpg
231อื่นๆการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าสมุนไพรชุมชนสู่อุทยานการเรียนรู้สินไซ: กรณีศึกษาสวนป่าดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสน (สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ร.9) บ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น<p>
ชุมชนบ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นพื้นที่ชุมชนชาติพันธุ์ลาวในอีสานอีกชุมชนหนึ่ง ซึ่งยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีฮีตสิบสอง-คองสิบสี่ไว้อย่างเหนียวแน่น อีกทั้งยังคงปฏิบัติตามคติความเชื่อดั้งเดิมในการบูชาผีปู่ตา โดยการจัดแบ่งพื้นที่ป่าชุมชนทางด้านทิศทิศตะวันออกของหมู่บ้าน เป็นที่ตั้งของดอนปู่ตาโดยมีเจ้าปู่คำแสน ซึ่งเชื่อว่าเป็นผีปู่ตาหลักในการปกปักรักษาและคุ้มครองชาวบ้านห้วยหว้า แต่ด้วยระยะเวลาที่ล่วงเลย สถานที่แห่งนี้จึงถูกปล่อยร้างขาดการบำรุงรักษา เช่นเดียวกับศิลปวัฒนธรรมการแสดงแบบดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน หมอลำกลอนสินไซที่ไม่ได้รับการเหลียวแลและอนุรักษ์ ซึ่งในอดีตนั้นบ้านห้วยหว้าเคยมีคณะหมอลำสินไซและหมอลำเพลินในหมู่บ้านถึง 5 คณะ ถึงแม้ปัจจุบันนี้ทุกคณะจะได้ยุบคณะไปแล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันได้เกิดการรวมกลุ่มหมอลำสินไซภายในหมู่บ้านในนาม “กลุ่มอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมหมอลำสินไซ” โดยวรรณกรรมสินไซถือเป็นสุดยอดแห่งวรรณกรรมของคนลาวและคนลาวในอีสานสมัยก่อน ที่ได้รับการบอกเล่าสืบทอดต่อๆ กันมานับหลายร้อยปี ถือเป็นจิตวิญญาณของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในการบอกเล่าเรื่องราวธรรมมะทางพระพุทธศาสนาผ่านวรรณกรรม นับว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษชาติพันธุ์ลาวที่ได้สะท้อนหลักธรรมคำสอนเอาไว้และส่งต่อให้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ จากสภาพการณ์ที่กล่าวจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และ ฟื้นฟูดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสนให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์และสามารถพัฒนาเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ ของชาวบ้านห้วยหว้าและเป็นศูนย์รวมความศรัทธาแห่งความเชื่อดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน ให้ยังคงดำรงอยู่ต่อไป</p>การอนุรักษ์, กลุ่มชาติพันธุ์, วรรณกรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=231https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/374-cover.jpg
231วารสารการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าสมุนไพรชุมชนสู่อุทยานการเรียนรู้สินไซ: กรณีศึกษาสวนป่าดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสน (สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ร.9) บ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น<p>
ชุมชนบ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นพื้นที่ชุมชนชาติพันธุ์ลาวในอีสานอีกชุมชนหนึ่ง ซึ่งยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีฮีตสิบสอง-คองสิบสี่ไว้อย่างเหนียวแน่น อีกทั้งยังคงปฏิบัติตามคติความเชื่อดั้งเดิมในการบูชาผีปู่ตา โดยการจัดแบ่งพื้นที่ป่าชุมชนทางด้านทิศทิศตะวันออกของหมู่บ้าน เป็นที่ตั้งของดอนปู่ตาโดยมีเจ้าปู่คำแสน ซึ่งเชื่อว่าเป็นผีปู่ตาหลักในการปกปักรักษาและคุ้มครองชาวบ้านห้วยหว้า แต่ด้วยระยะเวลาที่ล่วงเลย สถานที่แห่งนี้จึงถูกปล่อยร้างขาดการบำรุงรักษา เช่นเดียวกับศิลปวัฒนธรรมการแสดงแบบดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน หมอลำกลอนสินไซที่ไม่ได้รับการเหลียวแลและอนุรักษ์ ซึ่งในอดีตนั้นบ้านห้วยหว้าเคยมีคณะหมอลำสินไซและหมอลำเพลินในหมู่บ้านถึง 5 คณะ ถึงแม้ปัจจุบันนี้ทุกคณะจะได้ยุบคณะไปแล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันได้เกิดการรวมกลุ่มหมอลำสินไซภายในหมู่บ้านในนาม “กลุ่มอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมหมอลำสินไซ” โดยวรรณกรรมสินไซถือเป็นสุดยอดแห่งวรรณกรรมของคนลาวและคนลาวในอีสานสมัยก่อน ที่ได้รับการบอกเล่าสืบทอดต่อๆ กันมานับหลายร้อยปี ถือเป็นจิตวิญญาณของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในการบอกเล่าเรื่องราวธรรมมะทางพระพุทธศาสนาผ่านวรรณกรรม นับว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษชาติพันธุ์ลาวที่ได้สะท้อนหลักธรรมคำสอนเอาไว้และส่งต่อให้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ จากสภาพการณ์ที่กล่าวจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และ ฟื้นฟูดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสนให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์และสามารถพัฒนาเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ ของชาวบ้านห้วยหว้าและเป็นศูนย์รวมความศรัทธาแห่งความเชื่อดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน ให้ยังคงดำรงอยู่ต่อไป</p>การอนุรักษ์, กลุ่มชาติพันธุ์, วรรณกรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=231https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/374-cover.jpg
231บทความการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าสมุนไพรชุมชนสู่อุทยานการเรียนรู้สินไซ: กรณีศึกษาสวนป่าดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสน (สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ร.9) บ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น<p>
ชุมชนบ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นพื้นที่ชุมชนชาติพันธุ์ลาวในอีสานอีกชุมชนหนึ่ง ซึ่งยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีฮีตสิบสอง-คองสิบสี่ไว้อย่างเหนียวแน่น อีกทั้งยังคงปฏิบัติตามคติความเชื่อดั้งเดิมในการบูชาผีปู่ตา โดยการจัดแบ่งพื้นที่ป่าชุมชนทางด้านทิศทิศตะวันออกของหมู่บ้าน เป็นที่ตั้งของดอนปู่ตาโดยมีเจ้าปู่คำแสน ซึ่งเชื่อว่าเป็นผีปู่ตาหลักในการปกปักรักษาและคุ้มครองชาวบ้านห้วยหว้า แต่ด้วยระยะเวลาที่ล่วงเลย สถานที่แห่งนี้จึงถูกปล่อยร้างขาดการบำรุงรักษา เช่นเดียวกับศิลปวัฒนธรรมการแสดงแบบดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน หมอลำกลอนสินไซที่ไม่ได้รับการเหลียวแลและอนุรักษ์ ซึ่งในอดีตนั้นบ้านห้วยหว้าเคยมีคณะหมอลำสินไซและหมอลำเพลินในหมู่บ้านถึง 5 คณะ ถึงแม้ปัจจุบันนี้ทุกคณะจะได้ยุบคณะไปแล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันได้เกิดการรวมกลุ่มหมอลำสินไซภายในหมู่บ้านในนาม “กลุ่มอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมหมอลำสินไซ” โดยวรรณกรรมสินไซถือเป็นสุดยอดแห่งวรรณกรรมของคนลาวและคนลาวในอีสานสมัยก่อน ที่ได้รับการบอกเล่าสืบทอดต่อๆ กันมานับหลายร้อยปี ถือเป็นจิตวิญญาณของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในการบอกเล่าเรื่องราวธรรมมะทางพระพุทธศาสนาผ่านวรรณกรรม นับว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษชาติพันธุ์ลาวที่ได้สะท้อนหลักธรรมคำสอนเอาไว้และส่งต่อให้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ จากสภาพการณ์ที่กล่าวจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และ ฟื้นฟูดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสนให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์และสามารถพัฒนาเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ ของชาวบ้านห้วยหว้าและเป็นศูนย์รวมความศรัทธาแห่งความเชื่อดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน ให้ยังคงดำรงอยู่ต่อไป</p>การอนุรักษ์, กลุ่มชาติพันธุ์, วรรณกรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=231https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/374-cover.jpg
231วิทยานิพนธ์การอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าสมุนไพรชุมชนสู่อุทยานการเรียนรู้สินไซ: กรณีศึกษาสวนป่าดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสน (สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ร.9) บ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น<p>
ชุมชนบ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นพื้นที่ชุมชนชาติพันธุ์ลาวในอีสานอีกชุมชนหนึ่ง ซึ่งยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีฮีตสิบสอง-คองสิบสี่ไว้อย่างเหนียวแน่น อีกทั้งยังคงปฏิบัติตามคติความเชื่อดั้งเดิมในการบูชาผีปู่ตา โดยการจัดแบ่งพื้นที่ป่าชุมชนทางด้านทิศทิศตะวันออกของหมู่บ้าน เป็นที่ตั้งของดอนปู่ตาโดยมีเจ้าปู่คำแสน ซึ่งเชื่อว่าเป็นผีปู่ตาหลักในการปกปักรักษาและคุ้มครองชาวบ้านห้วยหว้า แต่ด้วยระยะเวลาที่ล่วงเลย สถานที่แห่งนี้จึงถูกปล่อยร้างขาดการบำรุงรักษา เช่นเดียวกับศิลปวัฒนธรรมการแสดงแบบดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน หมอลำกลอนสินไซที่ไม่ได้รับการเหลียวแลและอนุรักษ์ ซึ่งในอดีตนั้นบ้านห้วยหว้าเคยมีคณะหมอลำสินไซและหมอลำเพลินในหมู่บ้านถึง 5 คณะ ถึงแม้ปัจจุบันนี้ทุกคณะจะได้ยุบคณะไปแล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันได้เกิดการรวมกลุ่มหมอลำสินไซภายในหมู่บ้านในนาม “กลุ่มอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมหมอลำสินไซ” โดยวรรณกรรมสินไซถือเป็นสุดยอดแห่งวรรณกรรมของคนลาวและคนลาวในอีสานสมัยก่อน ที่ได้รับการบอกเล่าสืบทอดต่อๆ กันมานับหลายร้อยปี ถือเป็นจิตวิญญาณของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในการบอกเล่าเรื่องราวธรรมมะทางพระพุทธศาสนาผ่านวรรณกรรม นับว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษชาติพันธุ์ลาวที่ได้สะท้อนหลักธรรมคำสอนเอาไว้และส่งต่อให้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ จากสภาพการณ์ที่กล่าวจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และ ฟื้นฟูดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสนให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์และสามารถพัฒนาเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ ของชาวบ้านห้วยหว้าและเป็นศูนย์รวมความศรัทธาแห่งความเชื่อดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน ให้ยังคงดำรงอยู่ต่อไป</p>การอนุรักษ์, กลุ่มชาติพันธุ์, วรรณกรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=231https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/374-cover.jpg
231รายงานงานวิจัยการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าสมุนไพรชุมชนสู่อุทยานการเรียนรู้สินไซ: กรณีศึกษาสวนป่าดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสน (สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ร.9) บ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น<p>
ชุมชนบ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นพื้นที่ชุมชนชาติพันธุ์ลาวในอีสานอีกชุมชนหนึ่ง ซึ่งยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีฮีตสิบสอง-คองสิบสี่ไว้อย่างเหนียวแน่น อีกทั้งยังคงปฏิบัติตามคติความเชื่อดั้งเดิมในการบูชาผีปู่ตา โดยการจัดแบ่งพื้นที่ป่าชุมชนทางด้านทิศทิศตะวันออกของหมู่บ้าน เป็นที่ตั้งของดอนปู่ตาโดยมีเจ้าปู่คำแสน ซึ่งเชื่อว่าเป็นผีปู่ตาหลักในการปกปักรักษาและคุ้มครองชาวบ้านห้วยหว้า แต่ด้วยระยะเวลาที่ล่วงเลย สถานที่แห่งนี้จึงถูกปล่อยร้างขาดการบำรุงรักษา เช่นเดียวกับศิลปวัฒนธรรมการแสดงแบบดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน หมอลำกลอนสินไซที่ไม่ได้รับการเหลียวแลและอนุรักษ์ ซึ่งในอดีตนั้นบ้านห้วยหว้าเคยมีคณะหมอลำสินไซและหมอลำเพลินในหมู่บ้านถึง 5 คณะ ถึงแม้ปัจจุบันนี้ทุกคณะจะได้ยุบคณะไปแล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันได้เกิดการรวมกลุ่มหมอลำสินไซภายในหมู่บ้านในนาม “กลุ่มอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมหมอลำสินไซ” โดยวรรณกรรมสินไซถือเป็นสุดยอดแห่งวรรณกรรมของคนลาวและคนลาวในอีสานสมัยก่อน ที่ได้รับการบอกเล่าสืบทอดต่อๆ กันมานับหลายร้อยปี ถือเป็นจิตวิญญาณของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในการบอกเล่าเรื่องราวธรรมมะทางพระพุทธศาสนาผ่านวรรณกรรม นับว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษชาติพันธุ์ลาวที่ได้สะท้อนหลักธรรมคำสอนเอาไว้และส่งต่อให้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ จากสภาพการณ์ที่กล่าวจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และ ฟื้นฟูดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสนให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์และสามารถพัฒนาเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ ของชาวบ้านห้วยหว้าและเป็นศูนย์รวมความศรัทธาแห่งความเชื่อดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน ให้ยังคงดำรงอยู่ต่อไป</p>การอนุรักษ์, กลุ่มชาติพันธุ์, วรรณกรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=231https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/374-cover.jpg
231รายงานการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าสมุนไพรชุมชนสู่อุทยานการเรียนรู้สินไซ: กรณีศึกษาสวนป่าดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสน (สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ร.9) บ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น<p>
ชุมชนบ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นพื้นที่ชุมชนชาติพันธุ์ลาวในอีสานอีกชุมชนหนึ่ง ซึ่งยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีฮีตสิบสอง-คองสิบสี่ไว้อย่างเหนียวแน่น อีกทั้งยังคงปฏิบัติตามคติความเชื่อดั้งเดิมในการบูชาผีปู่ตา โดยการจัดแบ่งพื้นที่ป่าชุมชนทางด้านทิศทิศตะวันออกของหมู่บ้าน เป็นที่ตั้งของดอนปู่ตาโดยมีเจ้าปู่คำแสน ซึ่งเชื่อว่าเป็นผีปู่ตาหลักในการปกปักรักษาและคุ้มครองชาวบ้านห้วยหว้า แต่ด้วยระยะเวลาที่ล่วงเลย สถานที่แห่งนี้จึงถูกปล่อยร้างขาดการบำรุงรักษา เช่นเดียวกับศิลปวัฒนธรรมการแสดงแบบดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน หมอลำกลอนสินไซที่ไม่ได้รับการเหลียวแลและอนุรักษ์ ซึ่งในอดีตนั้นบ้านห้วยหว้าเคยมีคณะหมอลำสินไซและหมอลำเพลินในหมู่บ้านถึง 5 คณะ ถึงแม้ปัจจุบันนี้ทุกคณะจะได้ยุบคณะไปแล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันได้เกิดการรวมกลุ่มหมอลำสินไซภายในหมู่บ้านในนาม “กลุ่มอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมหมอลำสินไซ” โดยวรรณกรรมสินไซถือเป็นสุดยอดแห่งวรรณกรรมของคนลาวและคนลาวในอีสานสมัยก่อน ที่ได้รับการบอกเล่าสืบทอดต่อๆ กันมานับหลายร้อยปี ถือเป็นจิตวิญญาณของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในการบอกเล่าเรื่องราวธรรมมะทางพระพุทธศาสนาผ่านวรรณกรรม นับว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษชาติพันธุ์ลาวที่ได้สะท้อนหลักธรรมคำสอนเอาไว้และส่งต่อให้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ จากสภาพการณ์ที่กล่าวจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และ ฟื้นฟูดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสนให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์และสามารถพัฒนาเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ ของชาวบ้านห้วยหว้าและเป็นศูนย์รวมความศรัทธาแห่งความเชื่อดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน ให้ยังคงดำรงอยู่ต่อไป</p>การอนุรักษ์, กลุ่มชาติพันธุ์, วรรณกรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=231https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/374-cover.jpg
231หนังสือการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าสมุนไพรชุมชนสู่อุทยานการเรียนรู้สินไซ: กรณีศึกษาสวนป่าดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสน (สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ร.9) บ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น<p>
ชุมชนบ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นพื้นที่ชุมชนชาติพันธุ์ลาวในอีสานอีกชุมชนหนึ่ง ซึ่งยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีฮีตสิบสอง-คองสิบสี่ไว้อย่างเหนียวแน่น อีกทั้งยังคงปฏิบัติตามคติความเชื่อดั้งเดิมในการบูชาผีปู่ตา โดยการจัดแบ่งพื้นที่ป่าชุมชนทางด้านทิศทิศตะวันออกของหมู่บ้าน เป็นที่ตั้งของดอนปู่ตาโดยมีเจ้าปู่คำแสน ซึ่งเชื่อว่าเป็นผีปู่ตาหลักในการปกปักรักษาและคุ้มครองชาวบ้านห้วยหว้า แต่ด้วยระยะเวลาที่ล่วงเลย สถานที่แห่งนี้จึงถูกปล่อยร้างขาดการบำรุงรักษา เช่นเดียวกับศิลปวัฒนธรรมการแสดงแบบดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน หมอลำกลอนสินไซที่ไม่ได้รับการเหลียวแลและอนุรักษ์ ซึ่งในอดีตนั้นบ้านห้วยหว้าเคยมีคณะหมอลำสินไซและหมอลำเพลินในหมู่บ้านถึง 5 คณะ ถึงแม้ปัจจุบันนี้ทุกคณะจะได้ยุบคณะไปแล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันได้เกิดการรวมกลุ่มหมอลำสินไซภายในหมู่บ้านในนาม “กลุ่มอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมหมอลำสินไซ” โดยวรรณกรรมสินไซถือเป็นสุดยอดแห่งวรรณกรรมของคนลาวและคนลาวในอีสานสมัยก่อน ที่ได้รับการบอกเล่าสืบทอดต่อๆ กันมานับหลายร้อยปี ถือเป็นจิตวิญญาณของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในการบอกเล่าเรื่องราวธรรมมะทางพระพุทธศาสนาผ่านวรรณกรรม นับว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษชาติพันธุ์ลาวที่ได้สะท้อนหลักธรรมคำสอนเอาไว้และส่งต่อให้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ จากสภาพการณ์ที่กล่าวจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และ ฟื้นฟูดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสนให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์และสามารถพัฒนาเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ ของชาวบ้านห้วยหว้าและเป็นศูนย์รวมความศรัทธาแห่งความเชื่อดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน ให้ยังคงดำรงอยู่ต่อไป</p>การอนุรักษ์, กลุ่มชาติพันธุ์, วรรณกรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=231https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/374-cover.jpg
231จุลสารการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าสมุนไพรชุมชนสู่อุทยานการเรียนรู้สินไซ: กรณีศึกษาสวนป่าดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสน (สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ร.9) บ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น<p>
ชุมชนบ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นพื้นที่ชุมชนชาติพันธุ์ลาวในอีสานอีกชุมชนหนึ่ง ซึ่งยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีฮีตสิบสอง-คองสิบสี่ไว้อย่างเหนียวแน่น อีกทั้งยังคงปฏิบัติตามคติความเชื่อดั้งเดิมในการบูชาผีปู่ตา โดยการจัดแบ่งพื้นที่ป่าชุมชนทางด้านทิศทิศตะวันออกของหมู่บ้าน เป็นที่ตั้งของดอนปู่ตาโดยมีเจ้าปู่คำแสน ซึ่งเชื่อว่าเป็นผีปู่ตาหลักในการปกปักรักษาและคุ้มครองชาวบ้านห้วยหว้า แต่ด้วยระยะเวลาที่ล่วงเลย สถานที่แห่งนี้จึงถูกปล่อยร้างขาดการบำรุงรักษา เช่นเดียวกับศิลปวัฒนธรรมการแสดงแบบดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน หมอลำกลอนสินไซที่ไม่ได้รับการเหลียวแลและอนุรักษ์ ซึ่งในอดีตนั้นบ้านห้วยหว้าเคยมีคณะหมอลำสินไซและหมอลำเพลินในหมู่บ้านถึง 5 คณะ ถึงแม้ปัจจุบันนี้ทุกคณะจะได้ยุบคณะไปแล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันได้เกิดการรวมกลุ่มหมอลำสินไซภายในหมู่บ้านในนาม “กลุ่มอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมหมอลำสินไซ” โดยวรรณกรรมสินไซถือเป็นสุดยอดแห่งวรรณกรรมของคนลาวและคนลาวในอีสานสมัยก่อน ที่ได้รับการบอกเล่าสืบทอดต่อๆ กันมานับหลายร้อยปี ถือเป็นจิตวิญญาณของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในการบอกเล่าเรื่องราวธรรมมะทางพระพุทธศาสนาผ่านวรรณกรรม นับว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษชาติพันธุ์ลาวที่ได้สะท้อนหลักธรรมคำสอนเอาไว้และส่งต่อให้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ จากสภาพการณ์ที่กล่าวจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และ ฟื้นฟูดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสนให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์และสามารถพัฒนาเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ ของชาวบ้านห้วยหว้าและเป็นศูนย์รวมความศรัทธาแห่งความเชื่อดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน ให้ยังคงดำรงอยู่ต่อไป</p>การอนุรักษ์, กลุ่มชาติพันธุ์, วรรณกรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=231https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/374-cover.jpg
231สูจิบัตรการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าสมุนไพรชุมชนสู่อุทยานการเรียนรู้สินไซ: กรณีศึกษาสวนป่าดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสน (สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ร.9) บ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น<p>
ชุมชนบ้านห้วยหว้า ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นพื้นที่ชุมชนชาติพันธุ์ลาวในอีสานอีกชุมชนหนึ่ง ซึ่งยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีฮีตสิบสอง-คองสิบสี่ไว้อย่างเหนียวแน่น อีกทั้งยังคงปฏิบัติตามคติความเชื่อดั้งเดิมในการบูชาผีปู่ตา โดยการจัดแบ่งพื้นที่ป่าชุมชนทางด้านทิศทิศตะวันออกของหมู่บ้าน เป็นที่ตั้งของดอนปู่ตาโดยมีเจ้าปู่คำแสน ซึ่งเชื่อว่าเป็นผีปู่ตาหลักในการปกปักรักษาและคุ้มครองชาวบ้านห้วยหว้า แต่ด้วยระยะเวลาที่ล่วงเลย สถานที่แห่งนี้จึงถูกปล่อยร้างขาดการบำรุงรักษา เช่นเดียวกับศิลปวัฒนธรรมการแสดงแบบดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน หมอลำกลอนสินไซที่ไม่ได้รับการเหลียวแลและอนุรักษ์ ซึ่งในอดีตนั้นบ้านห้วยหว้าเคยมีคณะหมอลำสินไซและหมอลำเพลินในหมู่บ้านถึง 5 คณะ ถึงแม้ปัจจุบันนี้ทุกคณะจะได้ยุบคณะไปแล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันได้เกิดการรวมกลุ่มหมอลำสินไซภายในหมู่บ้านในนาม “กลุ่มอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมหมอลำสินไซ” โดยวรรณกรรมสินไซถือเป็นสุดยอดแห่งวรรณกรรมของคนลาวและคนลาวในอีสานสมัยก่อน ที่ได้รับการบอกเล่าสืบทอดต่อๆ กันมานับหลายร้อยปี ถือเป็นจิตวิญญาณของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในการบอกเล่าเรื่องราวธรรมมะทางพระพุทธศาสนาผ่านวรรณกรรม นับว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษชาติพันธุ์ลาวที่ได้สะท้อนหลักธรรมคำสอนเอาไว้และส่งต่อให้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ จากสภาพการณ์ที่กล่าวจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และ ฟื้นฟูดอนปู่ตาเจ้าปู่คำแสนให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์และสามารถพัฒนาเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ ของชาวบ้านห้วยหว้าและเป็นศูนย์รวมความศรัทธาแห่งความเชื่อดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในอีสาน ให้ยังคงดำรงอยู่ต่อไป</p>การอนุรักษ์, กลุ่มชาติพันธุ์, วรรณกรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=231https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/374-cover.jpg
232อื่นๆมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง<p>
“มันนิ” กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดสตูล ชาวมันนิส่วนมากยังคงดำรงชีวิตแบบดั้งเดิมที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษ การทำมาหากินของมันนิยังคงอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ปัจจุบันกระแสการท่องเที่ยวได้หลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น อีกทั้งพวกเขาต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตเข้าร่วมกับชาวบ้านเพราะแหล่งอาหารและปัจจัยพื้นฐานเกี่ยวกับการดำรงชีพในป่าเริ่มลดลงจากกระแสการพัฒนาแนวใหม่ โครงการมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง จึงดำเนินกิจกรรมขึ้นเพื่อเรียนรู้เข้าใจเรื่องราวของชาวมันนิ กิจกรรมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก เป็นการศึกษาถึงวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์มันนิในพื้นที่ศึกษา ส่วนที่สอง เป็นการจัดสัมมนาวิชาการในลักษณะของนิทรรศการเคลื่อนที่นำเสนอชีวิตเรื่องราวของชาวมันนิให้รับรู้เป็นวงกว้าง เพื่อการนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาในอนาคต</p>มันนิ, กลุ่มชาติพันธุ์, วิถีชีวิต, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=232https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/375-cover.jpg
232วารสารมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง<p>
“มันนิ” กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดสตูล ชาวมันนิส่วนมากยังคงดำรงชีวิตแบบดั้งเดิมที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษ การทำมาหากินของมันนิยังคงอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ปัจจุบันกระแสการท่องเที่ยวได้หลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น อีกทั้งพวกเขาต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตเข้าร่วมกับชาวบ้านเพราะแหล่งอาหารและปัจจัยพื้นฐานเกี่ยวกับการดำรงชีพในป่าเริ่มลดลงจากกระแสการพัฒนาแนวใหม่ โครงการมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง จึงดำเนินกิจกรรมขึ้นเพื่อเรียนรู้เข้าใจเรื่องราวของชาวมันนิ กิจกรรมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก เป็นการศึกษาถึงวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์มันนิในพื้นที่ศึกษา ส่วนที่สอง เป็นการจัดสัมมนาวิชาการในลักษณะของนิทรรศการเคลื่อนที่นำเสนอชีวิตเรื่องราวของชาวมันนิให้รับรู้เป็นวงกว้าง เพื่อการนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาในอนาคต</p>มันนิ, กลุ่มชาติพันธุ์, วิถีชีวิต, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=232https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/375-cover.jpg
232บทความมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง<p>
“มันนิ” กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดสตูล ชาวมันนิส่วนมากยังคงดำรงชีวิตแบบดั้งเดิมที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษ การทำมาหากินของมันนิยังคงอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ปัจจุบันกระแสการท่องเที่ยวได้หลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น อีกทั้งพวกเขาต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตเข้าร่วมกับชาวบ้านเพราะแหล่งอาหารและปัจจัยพื้นฐานเกี่ยวกับการดำรงชีพในป่าเริ่มลดลงจากกระแสการพัฒนาแนวใหม่ โครงการมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง จึงดำเนินกิจกรรมขึ้นเพื่อเรียนรู้เข้าใจเรื่องราวของชาวมันนิ กิจกรรมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก เป็นการศึกษาถึงวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์มันนิในพื้นที่ศึกษา ส่วนที่สอง เป็นการจัดสัมมนาวิชาการในลักษณะของนิทรรศการเคลื่อนที่นำเสนอชีวิตเรื่องราวของชาวมันนิให้รับรู้เป็นวงกว้าง เพื่อการนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาในอนาคต</p>มันนิ, กลุ่มชาติพันธุ์, วิถีชีวิต, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=232https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/375-cover.jpg
232วิทยานิพนธ์มันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง<p>
“มันนิ” กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดสตูล ชาวมันนิส่วนมากยังคงดำรงชีวิตแบบดั้งเดิมที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษ การทำมาหากินของมันนิยังคงอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ปัจจุบันกระแสการท่องเที่ยวได้หลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น อีกทั้งพวกเขาต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตเข้าร่วมกับชาวบ้านเพราะแหล่งอาหารและปัจจัยพื้นฐานเกี่ยวกับการดำรงชีพในป่าเริ่มลดลงจากกระแสการพัฒนาแนวใหม่ โครงการมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง จึงดำเนินกิจกรรมขึ้นเพื่อเรียนรู้เข้าใจเรื่องราวของชาวมันนิ กิจกรรมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก เป็นการศึกษาถึงวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์มันนิในพื้นที่ศึกษา ส่วนที่สอง เป็นการจัดสัมมนาวิชาการในลักษณะของนิทรรศการเคลื่อนที่นำเสนอชีวิตเรื่องราวของชาวมันนิให้รับรู้เป็นวงกว้าง เพื่อการนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาในอนาคต</p>มันนิ, กลุ่มชาติพันธุ์, วิถีชีวิต, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=232https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/375-cover.jpg
232รายงานงานวิจัยมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง<p>
“มันนิ” กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดสตูล ชาวมันนิส่วนมากยังคงดำรงชีวิตแบบดั้งเดิมที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษ การทำมาหากินของมันนิยังคงอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ปัจจุบันกระแสการท่องเที่ยวได้หลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น อีกทั้งพวกเขาต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตเข้าร่วมกับชาวบ้านเพราะแหล่งอาหารและปัจจัยพื้นฐานเกี่ยวกับการดำรงชีพในป่าเริ่มลดลงจากกระแสการพัฒนาแนวใหม่ โครงการมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง จึงดำเนินกิจกรรมขึ้นเพื่อเรียนรู้เข้าใจเรื่องราวของชาวมันนิ กิจกรรมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก เป็นการศึกษาถึงวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์มันนิในพื้นที่ศึกษา ส่วนที่สอง เป็นการจัดสัมมนาวิชาการในลักษณะของนิทรรศการเคลื่อนที่นำเสนอชีวิตเรื่องราวของชาวมันนิให้รับรู้เป็นวงกว้าง เพื่อการนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาในอนาคต</p>มันนิ, กลุ่มชาติพันธุ์, วิถีชีวิต, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=232https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/375-cover.jpg
232รายงานมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง<p>
“มันนิ” กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดสตูล ชาวมันนิส่วนมากยังคงดำรงชีวิตแบบดั้งเดิมที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษ การทำมาหากินของมันนิยังคงอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ปัจจุบันกระแสการท่องเที่ยวได้หลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น อีกทั้งพวกเขาต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตเข้าร่วมกับชาวบ้านเพราะแหล่งอาหารและปัจจัยพื้นฐานเกี่ยวกับการดำรงชีพในป่าเริ่มลดลงจากกระแสการพัฒนาแนวใหม่ โครงการมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง จึงดำเนินกิจกรรมขึ้นเพื่อเรียนรู้เข้าใจเรื่องราวของชาวมันนิ กิจกรรมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก เป็นการศึกษาถึงวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์มันนิในพื้นที่ศึกษา ส่วนที่สอง เป็นการจัดสัมมนาวิชาการในลักษณะของนิทรรศการเคลื่อนที่นำเสนอชีวิตเรื่องราวของชาวมันนิให้รับรู้เป็นวงกว้าง เพื่อการนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาในอนาคต</p>มันนิ, กลุ่มชาติพันธุ์, วิถีชีวิต, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=232https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/375-cover.jpg
232หนังสือมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง<p>
“มันนิ” กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดสตูล ชาวมันนิส่วนมากยังคงดำรงชีวิตแบบดั้งเดิมที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษ การทำมาหากินของมันนิยังคงอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ปัจจุบันกระแสการท่องเที่ยวได้หลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น อีกทั้งพวกเขาต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตเข้าร่วมกับชาวบ้านเพราะแหล่งอาหารและปัจจัยพื้นฐานเกี่ยวกับการดำรงชีพในป่าเริ่มลดลงจากกระแสการพัฒนาแนวใหม่ โครงการมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง จึงดำเนินกิจกรรมขึ้นเพื่อเรียนรู้เข้าใจเรื่องราวของชาวมันนิ กิจกรรมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก เป็นการศึกษาถึงวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์มันนิในพื้นที่ศึกษา ส่วนที่สอง เป็นการจัดสัมมนาวิชาการในลักษณะของนิทรรศการเคลื่อนที่นำเสนอชีวิตเรื่องราวของชาวมันนิให้รับรู้เป็นวงกว้าง เพื่อการนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาในอนาคต</p>มันนิ, กลุ่มชาติพันธุ์, วิถีชีวิต, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=232https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/375-cover.jpg
232จุลสารมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง<p>
“มันนิ” กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดสตูล ชาวมันนิส่วนมากยังคงดำรงชีวิตแบบดั้งเดิมที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษ การทำมาหากินของมันนิยังคงอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ปัจจุบันกระแสการท่องเที่ยวได้หลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น อีกทั้งพวกเขาต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตเข้าร่วมกับชาวบ้านเพราะแหล่งอาหารและปัจจัยพื้นฐานเกี่ยวกับการดำรงชีพในป่าเริ่มลดลงจากกระแสการพัฒนาแนวใหม่ โครงการมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง จึงดำเนินกิจกรรมขึ้นเพื่อเรียนรู้เข้าใจเรื่องราวของชาวมันนิ กิจกรรมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก เป็นการศึกษาถึงวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์มันนิในพื้นที่ศึกษา ส่วนที่สอง เป็นการจัดสัมมนาวิชาการในลักษณะของนิทรรศการเคลื่อนที่นำเสนอชีวิตเรื่องราวของชาวมันนิให้รับรู้เป็นวงกว้าง เพื่อการนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาในอนาคต</p>มันนิ, กลุ่มชาติพันธุ์, วิถีชีวิต, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=232https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/375-cover.jpg
232สูจิบัตรมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง<p>
“มันนิ” กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดสตูล ชาวมันนิส่วนมากยังคงดำรงชีวิตแบบดั้งเดิมที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษ การทำมาหากินของมันนิยังคงอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ปัจจุบันกระแสการท่องเที่ยวได้หลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น อีกทั้งพวกเขาต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตเข้าร่วมกับชาวบ้านเพราะแหล่งอาหารและปัจจัยพื้นฐานเกี่ยวกับการดำรงชีพในป่าเริ่มลดลงจากกระแสการพัฒนาแนวใหม่ โครงการมันนิภูบรรทัดในกระแสความเปลี่ยนแปลง จึงดำเนินกิจกรรมขึ้นเพื่อเรียนรู้เข้าใจเรื่องราวของชาวมันนิ กิจกรรมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก เป็นการศึกษาถึงวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์มันนิในพื้นที่ศึกษา ส่วนที่สอง เป็นการจัดสัมมนาวิชาการในลักษณะของนิทรรศการเคลื่อนที่นำเสนอชีวิตเรื่องราวของชาวมันนิให้รับรู้เป็นวงกว้าง เพื่อการนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาในอนาคต</p>มันนิ, กลุ่มชาติพันธุ์, วิถีชีวิต, นิทรรศการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=232https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/375-cover.jpg
233อื่นๆค่ายวิชาการบูรณาการโบราณคดี ครั้งที่ 6<p>
ค่ายวิชาการโบราณคดีครั้งที่ 6 ตอน จับเกรียงเกี่ยวข้าว ร้องเล่าเมืองสุพรรณ จัดทำขึ้นโดยคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ระหว่างวันที่ 4-7 เมษายน 2562 ณ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีรูปแบบกิจกรรมเน้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการศึกษาเรียนรู้และเก็บข้อมูลทางวิชาการผ่านหลักฐานโบราณคดี ภายในวัดศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง โบราณสถานหมายเลข 2 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย และเก็บข้อมูลผ่านการลงพื้นที่สังเกตการณ์วิถีชาวบ้านพื้นถิ่นในตลาดเก้าห้อง ซึ่งมีเป้าหมายให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ตระหนักถึงความสำคัญของข้าวและวัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยใช้วิธีการเรียนรู้ด้วยวิธีทางโบราณคดี เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนเห็นคุณค่า มรดกวัฒนธรรม และสามารถสืบสานประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นอันดีงามได้</p>โบราณคดี, พิพิธภัณฑ์, แหล่งโบราณคดี, ค่ายวิชาการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=233https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/376-cover.jpg
233วารสารค่ายวิชาการบูรณาการโบราณคดี ครั้งที่ 6<p>
ค่ายวิชาการโบราณคดีครั้งที่ 6 ตอน จับเกรียงเกี่ยวข้าว ร้องเล่าเมืองสุพรรณ จัดทำขึ้นโดยคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ระหว่างวันที่ 4-7 เมษายน 2562 ณ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีรูปแบบกิจกรรมเน้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการศึกษาเรียนรู้และเก็บข้อมูลทางวิชาการผ่านหลักฐานโบราณคดี ภายในวัดศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง โบราณสถานหมายเลข 2 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย และเก็บข้อมูลผ่านการลงพื้นที่สังเกตการณ์วิถีชาวบ้านพื้นถิ่นในตลาดเก้าห้อง ซึ่งมีเป้าหมายให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ตระหนักถึงความสำคัญของข้าวและวัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยใช้วิธีการเรียนรู้ด้วยวิธีทางโบราณคดี เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนเห็นคุณค่า มรดกวัฒนธรรม และสามารถสืบสานประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นอันดีงามได้</p>โบราณคดี, พิพิธภัณฑ์, แหล่งโบราณคดี, ค่ายวิชาการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=233https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/376-cover.jpg
233บทความค่ายวิชาการบูรณาการโบราณคดี ครั้งที่ 6<p>
ค่ายวิชาการโบราณคดีครั้งที่ 6 ตอน จับเกรียงเกี่ยวข้าว ร้องเล่าเมืองสุพรรณ จัดทำขึ้นโดยคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ระหว่างวันที่ 4-7 เมษายน 2562 ณ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีรูปแบบกิจกรรมเน้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการศึกษาเรียนรู้และเก็บข้อมูลทางวิชาการผ่านหลักฐานโบราณคดี ภายในวัดศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง โบราณสถานหมายเลข 2 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย และเก็บข้อมูลผ่านการลงพื้นที่สังเกตการณ์วิถีชาวบ้านพื้นถิ่นในตลาดเก้าห้อง ซึ่งมีเป้าหมายให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ตระหนักถึงความสำคัญของข้าวและวัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยใช้วิธีการเรียนรู้ด้วยวิธีทางโบราณคดี เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนเห็นคุณค่า มรดกวัฒนธรรม และสามารถสืบสานประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นอันดีงามได้</p>โบราณคดี, พิพิธภัณฑ์, แหล่งโบราณคดี, ค่ายวิชาการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=233https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/376-cover.jpg
233วิทยานิพนธ์ค่ายวิชาการบูรณาการโบราณคดี ครั้งที่ 6<p>
ค่ายวิชาการโบราณคดีครั้งที่ 6 ตอน จับเกรียงเกี่ยวข้าว ร้องเล่าเมืองสุพรรณ จัดทำขึ้นโดยคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ระหว่างวันที่ 4-7 เมษายน 2562 ณ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีรูปแบบกิจกรรมเน้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการศึกษาเรียนรู้และเก็บข้อมูลทางวิชาการผ่านหลักฐานโบราณคดี ภายในวัดศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง โบราณสถานหมายเลข 2 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย และเก็บข้อมูลผ่านการลงพื้นที่สังเกตการณ์วิถีชาวบ้านพื้นถิ่นในตลาดเก้าห้อง ซึ่งมีเป้าหมายให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ตระหนักถึงความสำคัญของข้าวและวัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยใช้วิธีการเรียนรู้ด้วยวิธีทางโบราณคดี เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนเห็นคุณค่า มรดกวัฒนธรรม และสามารถสืบสานประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นอันดีงามได้</p>โบราณคดี, พิพิธภัณฑ์, แหล่งโบราณคดี, ค่ายวิชาการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=233https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/376-cover.jpg
233รายงานงานวิจัยค่ายวิชาการบูรณาการโบราณคดี ครั้งที่ 6<p>
ค่ายวิชาการโบราณคดีครั้งที่ 6 ตอน จับเกรียงเกี่ยวข้าว ร้องเล่าเมืองสุพรรณ จัดทำขึ้นโดยคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ระหว่างวันที่ 4-7 เมษายน 2562 ณ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีรูปแบบกิจกรรมเน้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการศึกษาเรียนรู้และเก็บข้อมูลทางวิชาการผ่านหลักฐานโบราณคดี ภายในวัดศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง โบราณสถานหมายเลข 2 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย และเก็บข้อมูลผ่านการลงพื้นที่สังเกตการณ์วิถีชาวบ้านพื้นถิ่นในตลาดเก้าห้อง ซึ่งมีเป้าหมายให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ตระหนักถึงความสำคัญของข้าวและวัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยใช้วิธีการเรียนรู้ด้วยวิธีทางโบราณคดี เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนเห็นคุณค่า มรดกวัฒนธรรม และสามารถสืบสานประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นอันดีงามได้</p>โบราณคดี, พิพิธภัณฑ์, แหล่งโบราณคดี, ค่ายวิชาการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=233https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/376-cover.jpg
233รายงานค่ายวิชาการบูรณาการโบราณคดี ครั้งที่ 6<p>
ค่ายวิชาการโบราณคดีครั้งที่ 6 ตอน จับเกรียงเกี่ยวข้าว ร้องเล่าเมืองสุพรรณ จัดทำขึ้นโดยคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ระหว่างวันที่ 4-7 เมษายน 2562 ณ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีรูปแบบกิจกรรมเน้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการศึกษาเรียนรู้และเก็บข้อมูลทางวิชาการผ่านหลักฐานโบราณคดี ภายในวัดศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง โบราณสถานหมายเลข 2 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย และเก็บข้อมูลผ่านการลงพื้นที่สังเกตการณ์วิถีชาวบ้านพื้นถิ่นในตลาดเก้าห้อง ซึ่งมีเป้าหมายให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ตระหนักถึงความสำคัญของข้าวและวัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยใช้วิธีการเรียนรู้ด้วยวิธีทางโบราณคดี เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนเห็นคุณค่า มรดกวัฒนธรรม และสามารถสืบสานประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นอันดีงามได้</p>โบราณคดี, พิพิธภัณฑ์, แหล่งโบราณคดี, ค่ายวิชาการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=233https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/376-cover.jpg
233หนังสือค่ายวิชาการบูรณาการโบราณคดี ครั้งที่ 6<p>
ค่ายวิชาการโบราณคดีครั้งที่ 6 ตอน จับเกรียงเกี่ยวข้าว ร้องเล่าเมืองสุพรรณ จัดทำขึ้นโดยคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ระหว่างวันที่ 4-7 เมษายน 2562 ณ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีรูปแบบกิจกรรมเน้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการศึกษาเรียนรู้และเก็บข้อมูลทางวิชาการผ่านหลักฐานโบราณคดี ภายในวัดศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง โบราณสถานหมายเลข 2 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย และเก็บข้อมูลผ่านการลงพื้นที่สังเกตการณ์วิถีชาวบ้านพื้นถิ่นในตลาดเก้าห้อง ซึ่งมีเป้าหมายให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ตระหนักถึงความสำคัญของข้าวและวัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยใช้วิธีการเรียนรู้ด้วยวิธีทางโบราณคดี เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนเห็นคุณค่า มรดกวัฒนธรรม และสามารถสืบสานประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นอันดีงามได้</p>โบราณคดี, พิพิธภัณฑ์, แหล่งโบราณคดี, ค่ายวิชาการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=233https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/376-cover.jpg
233จุลสารค่ายวิชาการบูรณาการโบราณคดี ครั้งที่ 6<p>
ค่ายวิชาการโบราณคดีครั้งที่ 6 ตอน จับเกรียงเกี่ยวข้าว ร้องเล่าเมืองสุพรรณ จัดทำขึ้นโดยคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ระหว่างวันที่ 4-7 เมษายน 2562 ณ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีรูปแบบกิจกรรมเน้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการศึกษาเรียนรู้และเก็บข้อมูลทางวิชาการผ่านหลักฐานโบราณคดี ภายในวัดศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง โบราณสถานหมายเลข 2 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย และเก็บข้อมูลผ่านการลงพื้นที่สังเกตการณ์วิถีชาวบ้านพื้นถิ่นในตลาดเก้าห้อง ซึ่งมีเป้าหมายให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ตระหนักถึงความสำคัญของข้าวและวัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยใช้วิธีการเรียนรู้ด้วยวิธีทางโบราณคดี เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนเห็นคุณค่า มรดกวัฒนธรรม และสามารถสืบสานประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นอันดีงามได้</p>โบราณคดี, พิพิธภัณฑ์, แหล่งโบราณคดี, ค่ายวิชาการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=233https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/376-cover.jpg
233สูจิบัตรค่ายวิชาการบูรณาการโบราณคดี ครั้งที่ 6<p>
ค่ายวิชาการโบราณคดีครั้งที่ 6 ตอน จับเกรียงเกี่ยวข้าว ร้องเล่าเมืองสุพรรณ จัดทำขึ้นโดยคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ระหว่างวันที่ 4-7 เมษายน 2562 ณ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีรูปแบบกิจกรรมเน้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการศึกษาเรียนรู้และเก็บข้อมูลทางวิชาการผ่านหลักฐานโบราณคดี ภายในวัดศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง โบราณสถานหมายเลข 2 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย และเก็บข้อมูลผ่านการลงพื้นที่สังเกตการณ์วิถีชาวบ้านพื้นถิ่นในตลาดเก้าห้อง ซึ่งมีเป้าหมายให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ตระหนักถึงความสำคัญของข้าวและวัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยใช้วิธีการเรียนรู้ด้วยวิธีทางโบราณคดี เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนเห็นคุณค่า มรดกวัฒนธรรม และสามารถสืบสานประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นอันดีงามได้</p>โบราณคดี, พิพิธภัณฑ์, แหล่งโบราณคดี, ค่ายวิชาการ4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=233https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/376-cover.jpg
234อื่นๆชาวโอรังอัสลี ภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย<div>
โอรังอัสลีในจังหวัดยะลาและนราธิวาสอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าของเทือกเขาสันกะลาคีรี ซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรขนาดใหญ่ คาบสมุทรมลายูหรือแหลมมลายู ชาวมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกเทือกเขาสันกาลาคีรีในภาษามลายูว่า "บูกิตบือชา" และในงานศึกษานี้พื้นที่ศึกษาเกือบทั้งหมดอยู่ในอุทยานแห่งชาติบางลางและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลาและบางส่วนอยู่ในพื้นที่ชุมชนรอบป่า ซึ่งโอรังอัสลีมีความสัมพันธ์ในสภาพแวดล้อมตนเองอย่างเข้มข้นพวกเขาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีพื้นฐานและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการยังชีพเพื่อความอยู่รอด สามารถพัฒนาความเชี่ยวชาญจากสังคมล่าสัตว์และเก็บหาของป่าเข้าสู่โลกทันสมัยหลากหลายมิติ จากสภาพแวดล้อมที่อาศัยที่อุดมสมบูรณ์แวดล้อมด้วยสรรพสัตว์ พรรณไม้ ภายหลังรัฐบาลไทยได้สร้างเขื่อนบางลางทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ส่งผลต่อการลดลงของความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางถนนเข้าสู่ใจกลางป่า เส้นทางเรือที่เปิดให้คนเดินทางเข้าพื้นที่ แต่กระนั้นแม้ระบบนิเวศน์เปลี่ยนแปลงไปพวกเขาจำนวนหนึ่งก็สามารถปรับตัวกับการอาศัยในสภาพแวดล้อมระบบนิเวศทางน้ำ ค้นพบการหาที่อยู่อาศัยแบบใหม่ ร่อนเร่ตามเกาะแก่งต่าง ๆ และใช้เรือเคลื่อนที่เร็วเพื่อรับจ้างทำงานเป็นอาชีพ</div>
<div>
</div>โอรังอัสลี, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, อัตลักษณ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=234https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/377-cover.jpg
234วารสารชาวโอรังอัสลี ภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย<div>
โอรังอัสลีในจังหวัดยะลาและนราธิวาสอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าของเทือกเขาสันกะลาคีรี ซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรขนาดใหญ่ คาบสมุทรมลายูหรือแหลมมลายู ชาวมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกเทือกเขาสันกาลาคีรีในภาษามลายูว่า "บูกิตบือชา" และในงานศึกษานี้พื้นที่ศึกษาเกือบทั้งหมดอยู่ในอุทยานแห่งชาติบางลางและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลาและบางส่วนอยู่ในพื้นที่ชุมชนรอบป่า ซึ่งโอรังอัสลีมีความสัมพันธ์ในสภาพแวดล้อมตนเองอย่างเข้มข้นพวกเขาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีพื้นฐานและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการยังชีพเพื่อความอยู่รอด สามารถพัฒนาความเชี่ยวชาญจากสังคมล่าสัตว์และเก็บหาของป่าเข้าสู่โลกทันสมัยหลากหลายมิติ จากสภาพแวดล้อมที่อาศัยที่อุดมสมบูรณ์แวดล้อมด้วยสรรพสัตว์ พรรณไม้ ภายหลังรัฐบาลไทยได้สร้างเขื่อนบางลางทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ส่งผลต่อการลดลงของความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางถนนเข้าสู่ใจกลางป่า เส้นทางเรือที่เปิดให้คนเดินทางเข้าพื้นที่ แต่กระนั้นแม้ระบบนิเวศน์เปลี่ยนแปลงไปพวกเขาจำนวนหนึ่งก็สามารถปรับตัวกับการอาศัยในสภาพแวดล้อมระบบนิเวศทางน้ำ ค้นพบการหาที่อยู่อาศัยแบบใหม่ ร่อนเร่ตามเกาะแก่งต่าง ๆ และใช้เรือเคลื่อนที่เร็วเพื่อรับจ้างทำงานเป็นอาชีพ</div>
<div>
</div>โอรังอัสลี, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, อัตลักษณ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=234https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/377-cover.jpg
234บทความชาวโอรังอัสลี ภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย<div>
โอรังอัสลีในจังหวัดยะลาและนราธิวาสอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าของเทือกเขาสันกะลาคีรี ซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรขนาดใหญ่ คาบสมุทรมลายูหรือแหลมมลายู ชาวมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกเทือกเขาสันกาลาคีรีในภาษามลายูว่า "บูกิตบือชา" และในงานศึกษานี้พื้นที่ศึกษาเกือบทั้งหมดอยู่ในอุทยานแห่งชาติบางลางและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลาและบางส่วนอยู่ในพื้นที่ชุมชนรอบป่า ซึ่งโอรังอัสลีมีความสัมพันธ์ในสภาพแวดล้อมตนเองอย่างเข้มข้นพวกเขาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีพื้นฐานและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการยังชีพเพื่อความอยู่รอด สามารถพัฒนาความเชี่ยวชาญจากสังคมล่าสัตว์และเก็บหาของป่าเข้าสู่โลกทันสมัยหลากหลายมิติ จากสภาพแวดล้อมที่อาศัยที่อุดมสมบูรณ์แวดล้อมด้วยสรรพสัตว์ พรรณไม้ ภายหลังรัฐบาลไทยได้สร้างเขื่อนบางลางทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ส่งผลต่อการลดลงของความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางถนนเข้าสู่ใจกลางป่า เส้นทางเรือที่เปิดให้คนเดินทางเข้าพื้นที่ แต่กระนั้นแม้ระบบนิเวศน์เปลี่ยนแปลงไปพวกเขาจำนวนหนึ่งก็สามารถปรับตัวกับการอาศัยในสภาพแวดล้อมระบบนิเวศทางน้ำ ค้นพบการหาที่อยู่อาศัยแบบใหม่ ร่อนเร่ตามเกาะแก่งต่าง ๆ และใช้เรือเคลื่อนที่เร็วเพื่อรับจ้างทำงานเป็นอาชีพ</div>
<div>
</div>โอรังอัสลี, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, อัตลักษณ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=234https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/377-cover.jpg
234วิทยานิพนธ์ชาวโอรังอัสลี ภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย<div>
โอรังอัสลีในจังหวัดยะลาและนราธิวาสอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าของเทือกเขาสันกะลาคีรี ซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรขนาดใหญ่ คาบสมุทรมลายูหรือแหลมมลายู ชาวมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกเทือกเขาสันกาลาคีรีในภาษามลายูว่า "บูกิตบือชา" และในงานศึกษานี้พื้นที่ศึกษาเกือบทั้งหมดอยู่ในอุทยานแห่งชาติบางลางและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลาและบางส่วนอยู่ในพื้นที่ชุมชนรอบป่า ซึ่งโอรังอัสลีมีความสัมพันธ์ในสภาพแวดล้อมตนเองอย่างเข้มข้นพวกเขาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีพื้นฐานและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการยังชีพเพื่อความอยู่รอด สามารถพัฒนาความเชี่ยวชาญจากสังคมล่าสัตว์และเก็บหาของป่าเข้าสู่โลกทันสมัยหลากหลายมิติ จากสภาพแวดล้อมที่อาศัยที่อุดมสมบูรณ์แวดล้อมด้วยสรรพสัตว์ พรรณไม้ ภายหลังรัฐบาลไทยได้สร้างเขื่อนบางลางทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ส่งผลต่อการลดลงของความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางถนนเข้าสู่ใจกลางป่า เส้นทางเรือที่เปิดให้คนเดินทางเข้าพื้นที่ แต่กระนั้นแม้ระบบนิเวศน์เปลี่ยนแปลงไปพวกเขาจำนวนหนึ่งก็สามารถปรับตัวกับการอาศัยในสภาพแวดล้อมระบบนิเวศทางน้ำ ค้นพบการหาที่อยู่อาศัยแบบใหม่ ร่อนเร่ตามเกาะแก่งต่าง ๆ และใช้เรือเคลื่อนที่เร็วเพื่อรับจ้างทำงานเป็นอาชีพ</div>
<div>
</div>โอรังอัสลี, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, อัตลักษณ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=234https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/377-cover.jpg
234รายงานงานวิจัยชาวโอรังอัสลี ภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย<div>
โอรังอัสลีในจังหวัดยะลาและนราธิวาสอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าของเทือกเขาสันกะลาคีรี ซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรขนาดใหญ่ คาบสมุทรมลายูหรือแหลมมลายู ชาวมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกเทือกเขาสันกาลาคีรีในภาษามลายูว่า "บูกิตบือชา" และในงานศึกษานี้พื้นที่ศึกษาเกือบทั้งหมดอยู่ในอุทยานแห่งชาติบางลางและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลาและบางส่วนอยู่ในพื้นที่ชุมชนรอบป่า ซึ่งโอรังอัสลีมีความสัมพันธ์ในสภาพแวดล้อมตนเองอย่างเข้มข้นพวกเขาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีพื้นฐานและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการยังชีพเพื่อความอยู่รอด สามารถพัฒนาความเชี่ยวชาญจากสังคมล่าสัตว์และเก็บหาของป่าเข้าสู่โลกทันสมัยหลากหลายมิติ จากสภาพแวดล้อมที่อาศัยที่อุดมสมบูรณ์แวดล้อมด้วยสรรพสัตว์ พรรณไม้ ภายหลังรัฐบาลไทยได้สร้างเขื่อนบางลางทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ส่งผลต่อการลดลงของความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางถนนเข้าสู่ใจกลางป่า เส้นทางเรือที่เปิดให้คนเดินทางเข้าพื้นที่ แต่กระนั้นแม้ระบบนิเวศน์เปลี่ยนแปลงไปพวกเขาจำนวนหนึ่งก็สามารถปรับตัวกับการอาศัยในสภาพแวดล้อมระบบนิเวศทางน้ำ ค้นพบการหาที่อยู่อาศัยแบบใหม่ ร่อนเร่ตามเกาะแก่งต่าง ๆ และใช้เรือเคลื่อนที่เร็วเพื่อรับจ้างทำงานเป็นอาชีพ</div>
<div>
</div>โอรังอัสลี, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, อัตลักษณ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=234https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/377-cover.jpg
234รายงานชาวโอรังอัสลี ภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย<div>
โอรังอัสลีในจังหวัดยะลาและนราธิวาสอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าของเทือกเขาสันกะลาคีรี ซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรขนาดใหญ่ คาบสมุทรมลายูหรือแหลมมลายู ชาวมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกเทือกเขาสันกาลาคีรีในภาษามลายูว่า "บูกิตบือชา" และในงานศึกษานี้พื้นที่ศึกษาเกือบทั้งหมดอยู่ในอุทยานแห่งชาติบางลางและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลาและบางส่วนอยู่ในพื้นที่ชุมชนรอบป่า ซึ่งโอรังอัสลีมีความสัมพันธ์ในสภาพแวดล้อมตนเองอย่างเข้มข้นพวกเขาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีพื้นฐานและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการยังชีพเพื่อความอยู่รอด สามารถพัฒนาความเชี่ยวชาญจากสังคมล่าสัตว์และเก็บหาของป่าเข้าสู่โลกทันสมัยหลากหลายมิติ จากสภาพแวดล้อมที่อาศัยที่อุดมสมบูรณ์แวดล้อมด้วยสรรพสัตว์ พรรณไม้ ภายหลังรัฐบาลไทยได้สร้างเขื่อนบางลางทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ส่งผลต่อการลดลงของความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางถนนเข้าสู่ใจกลางป่า เส้นทางเรือที่เปิดให้คนเดินทางเข้าพื้นที่ แต่กระนั้นแม้ระบบนิเวศน์เปลี่ยนแปลงไปพวกเขาจำนวนหนึ่งก็สามารถปรับตัวกับการอาศัยในสภาพแวดล้อมระบบนิเวศทางน้ำ ค้นพบการหาที่อยู่อาศัยแบบใหม่ ร่อนเร่ตามเกาะแก่งต่าง ๆ และใช้เรือเคลื่อนที่เร็วเพื่อรับจ้างทำงานเป็นอาชีพ</div>
<div>
</div>โอรังอัสลี, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, อัตลักษณ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=234https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/377-cover.jpg
234หนังสือชาวโอรังอัสลี ภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย<div>
โอรังอัสลีในจังหวัดยะลาและนราธิวาสอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าของเทือกเขาสันกะลาคีรี ซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรขนาดใหญ่ คาบสมุทรมลายูหรือแหลมมลายู ชาวมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกเทือกเขาสันกาลาคีรีในภาษามลายูว่า "บูกิตบือชา" และในงานศึกษานี้พื้นที่ศึกษาเกือบทั้งหมดอยู่ในอุทยานแห่งชาติบางลางและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลาและบางส่วนอยู่ในพื้นที่ชุมชนรอบป่า ซึ่งโอรังอัสลีมีความสัมพันธ์ในสภาพแวดล้อมตนเองอย่างเข้มข้นพวกเขาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีพื้นฐานและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการยังชีพเพื่อความอยู่รอด สามารถพัฒนาความเชี่ยวชาญจากสังคมล่าสัตว์และเก็บหาของป่าเข้าสู่โลกทันสมัยหลากหลายมิติ จากสภาพแวดล้อมที่อาศัยที่อุดมสมบูรณ์แวดล้อมด้วยสรรพสัตว์ พรรณไม้ ภายหลังรัฐบาลไทยได้สร้างเขื่อนบางลางทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ส่งผลต่อการลดลงของความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางถนนเข้าสู่ใจกลางป่า เส้นทางเรือที่เปิดให้คนเดินทางเข้าพื้นที่ แต่กระนั้นแม้ระบบนิเวศน์เปลี่ยนแปลงไปพวกเขาจำนวนหนึ่งก็สามารถปรับตัวกับการอาศัยในสภาพแวดล้อมระบบนิเวศทางน้ำ ค้นพบการหาที่อยู่อาศัยแบบใหม่ ร่อนเร่ตามเกาะแก่งต่าง ๆ และใช้เรือเคลื่อนที่เร็วเพื่อรับจ้างทำงานเป็นอาชีพ</div>
<div>
</div>โอรังอัสลี, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, อัตลักษณ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=234https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/377-cover.jpg
234จุลสารชาวโอรังอัสลี ภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย<div>
โอรังอัสลีในจังหวัดยะลาและนราธิวาสอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าของเทือกเขาสันกะลาคีรี ซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรขนาดใหญ่ คาบสมุทรมลายูหรือแหลมมลายู ชาวมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกเทือกเขาสันกาลาคีรีในภาษามลายูว่า "บูกิตบือชา" และในงานศึกษานี้พื้นที่ศึกษาเกือบทั้งหมดอยู่ในอุทยานแห่งชาติบางลางและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลาและบางส่วนอยู่ในพื้นที่ชุมชนรอบป่า ซึ่งโอรังอัสลีมีความสัมพันธ์ในสภาพแวดล้อมตนเองอย่างเข้มข้นพวกเขาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีพื้นฐานและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการยังชีพเพื่อความอยู่รอด สามารถพัฒนาความเชี่ยวชาญจากสังคมล่าสัตว์และเก็บหาของป่าเข้าสู่โลกทันสมัยหลากหลายมิติ จากสภาพแวดล้อมที่อาศัยที่อุดมสมบูรณ์แวดล้อมด้วยสรรพสัตว์ พรรณไม้ ภายหลังรัฐบาลไทยได้สร้างเขื่อนบางลางทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ส่งผลต่อการลดลงของความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางถนนเข้าสู่ใจกลางป่า เส้นทางเรือที่เปิดให้คนเดินทางเข้าพื้นที่ แต่กระนั้นแม้ระบบนิเวศน์เปลี่ยนแปลงไปพวกเขาจำนวนหนึ่งก็สามารถปรับตัวกับการอาศัยในสภาพแวดล้อมระบบนิเวศทางน้ำ ค้นพบการหาที่อยู่อาศัยแบบใหม่ ร่อนเร่ตามเกาะแก่งต่าง ๆ และใช้เรือเคลื่อนที่เร็วเพื่อรับจ้างทำงานเป็นอาชีพ</div>
<div>
</div>โอรังอัสลี, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, อัตลักษณ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=234https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/377-cover.jpg
234สูจิบัตรชาวโอรังอัสลี ภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย<div>
โอรังอัสลีในจังหวัดยะลาและนราธิวาสอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าของเทือกเขาสันกะลาคีรี ซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรขนาดใหญ่ คาบสมุทรมลายูหรือแหลมมลายู ชาวมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกเทือกเขาสันกาลาคีรีในภาษามลายูว่า "บูกิตบือชา" และในงานศึกษานี้พื้นที่ศึกษาเกือบทั้งหมดอยู่ในอุทยานแห่งชาติบางลางและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลาและบางส่วนอยู่ในพื้นที่ชุมชนรอบป่า ซึ่งโอรังอัสลีมีความสัมพันธ์ในสภาพแวดล้อมตนเองอย่างเข้มข้นพวกเขาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีพื้นฐานและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการยังชีพเพื่อความอยู่รอด สามารถพัฒนาความเชี่ยวชาญจากสังคมล่าสัตว์และเก็บหาของป่าเข้าสู่โลกทันสมัยหลากหลายมิติ จากสภาพแวดล้อมที่อาศัยที่อุดมสมบูรณ์แวดล้อมด้วยสรรพสัตว์ พรรณไม้ ภายหลังรัฐบาลไทยได้สร้างเขื่อนบางลางทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ส่งผลต่อการลดลงของความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางถนนเข้าสู่ใจกลางป่า เส้นทางเรือที่เปิดให้คนเดินทางเข้าพื้นที่ แต่กระนั้นแม้ระบบนิเวศน์เปลี่ยนแปลงไปพวกเขาจำนวนหนึ่งก็สามารถปรับตัวกับการอาศัยในสภาพแวดล้อมระบบนิเวศทางน้ำ ค้นพบการหาที่อยู่อาศัยแบบใหม่ ร่อนเร่ตามเกาะแก่งต่าง ๆ และใช้เรือเคลื่อนที่เร็วเพื่อรับจ้างทำงานเป็นอาชีพ</div>
<div>
</div>โอรังอัสลี, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, อัตลักษณ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=234https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/377-cover.jpg
235อื่นๆพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนจังหวัดตากและจังหวัดกำแพงเพชร ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
ลักษณะวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษา โครงการวิจัย “พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนของจังหวัดตากและกำแพงเพชร” มีความซับซ้อนระหว่างพลวัตที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากการพัฒนาโดยเฉพาะตั้งแต่การสร้างเขื่อนภูมิพลที่อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เป็นต้นมา ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศทำให้มีการอพยพข้ามแดนของชาวกะเหรี่ยงและการตั้งศูนย์อพยพในฝั่งประเทศไทยตามแนวจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน ทำให้เห็นผลกระทบต่อแบบแผนภูมิปัญญาอย่างสอดคล้องกับระบบนิเวศน์ที่เผชิญกับการเปลี่ยนผ่านทั้งเกี่ยวข้องกับป่าและพื้นราบ รวมถึงความเชื่อที่ทำให้เกิดการแบ่งกลุ่มที่แตกต่าง เป็นผลมาจากกระบวนการทางประวัติศาสตร์สังคมที่ผ่านมา ตลอดจนเงื่อนไขทางการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองที่ต้องต่อรองกับปัญหาที่ทำกินและการตั้งถิ่นฐานจากผลของการพัฒนาและนโยบายที่ทำกินในพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทย ปัญหาของกะเหรี่ยงในพื้นที่นี้จึงมีลักษณะซับซ้อน และเป็นประเด็นมีความน่าสนใจที่ควรทำการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกลุ่มนี้</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง,แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=235https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/378-cover.jpg
235วารสารพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนจังหวัดตากและจังหวัดกำแพงเพชร ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
ลักษณะวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษา โครงการวิจัย “พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนของจังหวัดตากและกำแพงเพชร” มีความซับซ้อนระหว่างพลวัตที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากการพัฒนาโดยเฉพาะตั้งแต่การสร้างเขื่อนภูมิพลที่อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เป็นต้นมา ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศทำให้มีการอพยพข้ามแดนของชาวกะเหรี่ยงและการตั้งศูนย์อพยพในฝั่งประเทศไทยตามแนวจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน ทำให้เห็นผลกระทบต่อแบบแผนภูมิปัญญาอย่างสอดคล้องกับระบบนิเวศน์ที่เผชิญกับการเปลี่ยนผ่านทั้งเกี่ยวข้องกับป่าและพื้นราบ รวมถึงความเชื่อที่ทำให้เกิดการแบ่งกลุ่มที่แตกต่าง เป็นผลมาจากกระบวนการทางประวัติศาสตร์สังคมที่ผ่านมา ตลอดจนเงื่อนไขทางการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองที่ต้องต่อรองกับปัญหาที่ทำกินและการตั้งถิ่นฐานจากผลของการพัฒนาและนโยบายที่ทำกินในพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทย ปัญหาของกะเหรี่ยงในพื้นที่นี้จึงมีลักษณะซับซ้อน และเป็นประเด็นมีความน่าสนใจที่ควรทำการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกลุ่มนี้</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง,แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=235https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/378-cover.jpg
235บทความพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนจังหวัดตากและจังหวัดกำแพงเพชร ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
ลักษณะวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษา โครงการวิจัย “พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนของจังหวัดตากและกำแพงเพชร” มีความซับซ้อนระหว่างพลวัตที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากการพัฒนาโดยเฉพาะตั้งแต่การสร้างเขื่อนภูมิพลที่อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เป็นต้นมา ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศทำให้มีการอพยพข้ามแดนของชาวกะเหรี่ยงและการตั้งศูนย์อพยพในฝั่งประเทศไทยตามแนวจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน ทำให้เห็นผลกระทบต่อแบบแผนภูมิปัญญาอย่างสอดคล้องกับระบบนิเวศน์ที่เผชิญกับการเปลี่ยนผ่านทั้งเกี่ยวข้องกับป่าและพื้นราบ รวมถึงความเชื่อที่ทำให้เกิดการแบ่งกลุ่มที่แตกต่าง เป็นผลมาจากกระบวนการทางประวัติศาสตร์สังคมที่ผ่านมา ตลอดจนเงื่อนไขทางการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองที่ต้องต่อรองกับปัญหาที่ทำกินและการตั้งถิ่นฐานจากผลของการพัฒนาและนโยบายที่ทำกินในพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทย ปัญหาของกะเหรี่ยงในพื้นที่นี้จึงมีลักษณะซับซ้อน และเป็นประเด็นมีความน่าสนใจที่ควรทำการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกลุ่มนี้</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง,แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=235https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/378-cover.jpg
235วิทยานิพนธ์พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนจังหวัดตากและจังหวัดกำแพงเพชร ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
ลักษณะวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษา โครงการวิจัย “พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนของจังหวัดตากและกำแพงเพชร” มีความซับซ้อนระหว่างพลวัตที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากการพัฒนาโดยเฉพาะตั้งแต่การสร้างเขื่อนภูมิพลที่อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เป็นต้นมา ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศทำให้มีการอพยพข้ามแดนของชาวกะเหรี่ยงและการตั้งศูนย์อพยพในฝั่งประเทศไทยตามแนวจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน ทำให้เห็นผลกระทบต่อแบบแผนภูมิปัญญาอย่างสอดคล้องกับระบบนิเวศน์ที่เผชิญกับการเปลี่ยนผ่านทั้งเกี่ยวข้องกับป่าและพื้นราบ รวมถึงความเชื่อที่ทำให้เกิดการแบ่งกลุ่มที่แตกต่าง เป็นผลมาจากกระบวนการทางประวัติศาสตร์สังคมที่ผ่านมา ตลอดจนเงื่อนไขทางการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองที่ต้องต่อรองกับปัญหาที่ทำกินและการตั้งถิ่นฐานจากผลของการพัฒนาและนโยบายที่ทำกินในพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทย ปัญหาของกะเหรี่ยงในพื้นที่นี้จึงมีลักษณะซับซ้อน และเป็นประเด็นมีความน่าสนใจที่ควรทำการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกลุ่มนี้</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง,แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=235https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/378-cover.jpg
235รายงานงานวิจัยพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนจังหวัดตากและจังหวัดกำแพงเพชร ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
ลักษณะวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษา โครงการวิจัย “พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนของจังหวัดตากและกำแพงเพชร” มีความซับซ้อนระหว่างพลวัตที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากการพัฒนาโดยเฉพาะตั้งแต่การสร้างเขื่อนภูมิพลที่อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เป็นต้นมา ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศทำให้มีการอพยพข้ามแดนของชาวกะเหรี่ยงและการตั้งศูนย์อพยพในฝั่งประเทศไทยตามแนวจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน ทำให้เห็นผลกระทบต่อแบบแผนภูมิปัญญาอย่างสอดคล้องกับระบบนิเวศน์ที่เผชิญกับการเปลี่ยนผ่านทั้งเกี่ยวข้องกับป่าและพื้นราบ รวมถึงความเชื่อที่ทำให้เกิดการแบ่งกลุ่มที่แตกต่าง เป็นผลมาจากกระบวนการทางประวัติศาสตร์สังคมที่ผ่านมา ตลอดจนเงื่อนไขทางการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองที่ต้องต่อรองกับปัญหาที่ทำกินและการตั้งถิ่นฐานจากผลของการพัฒนาและนโยบายที่ทำกินในพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทย ปัญหาของกะเหรี่ยงในพื้นที่นี้จึงมีลักษณะซับซ้อน และเป็นประเด็นมีความน่าสนใจที่ควรทำการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกลุ่มนี้</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง,แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=235https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/378-cover.jpg
235รายงานพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนจังหวัดตากและจังหวัดกำแพงเพชร ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
ลักษณะวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษา โครงการวิจัย “พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนของจังหวัดตากและกำแพงเพชร” มีความซับซ้อนระหว่างพลวัตที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากการพัฒนาโดยเฉพาะตั้งแต่การสร้างเขื่อนภูมิพลที่อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เป็นต้นมา ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศทำให้มีการอพยพข้ามแดนของชาวกะเหรี่ยงและการตั้งศูนย์อพยพในฝั่งประเทศไทยตามแนวจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน ทำให้เห็นผลกระทบต่อแบบแผนภูมิปัญญาอย่างสอดคล้องกับระบบนิเวศน์ที่เผชิญกับการเปลี่ยนผ่านทั้งเกี่ยวข้องกับป่าและพื้นราบ รวมถึงความเชื่อที่ทำให้เกิดการแบ่งกลุ่มที่แตกต่าง เป็นผลมาจากกระบวนการทางประวัติศาสตร์สังคมที่ผ่านมา ตลอดจนเงื่อนไขทางการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองที่ต้องต่อรองกับปัญหาที่ทำกินและการตั้งถิ่นฐานจากผลของการพัฒนาและนโยบายที่ทำกินในพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทย ปัญหาของกะเหรี่ยงในพื้นที่นี้จึงมีลักษณะซับซ้อน และเป็นประเด็นมีความน่าสนใจที่ควรทำการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกลุ่มนี้</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง,แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=235https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/378-cover.jpg
235หนังสือพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนจังหวัดตากและจังหวัดกำแพงเพชร ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
ลักษณะวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษา โครงการวิจัย “พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนของจังหวัดตากและกำแพงเพชร” มีความซับซ้อนระหว่างพลวัตที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากการพัฒนาโดยเฉพาะตั้งแต่การสร้างเขื่อนภูมิพลที่อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เป็นต้นมา ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศทำให้มีการอพยพข้ามแดนของชาวกะเหรี่ยงและการตั้งศูนย์อพยพในฝั่งประเทศไทยตามแนวจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน ทำให้เห็นผลกระทบต่อแบบแผนภูมิปัญญาอย่างสอดคล้องกับระบบนิเวศน์ที่เผชิญกับการเปลี่ยนผ่านทั้งเกี่ยวข้องกับป่าและพื้นราบ รวมถึงความเชื่อที่ทำให้เกิดการแบ่งกลุ่มที่แตกต่าง เป็นผลมาจากกระบวนการทางประวัติศาสตร์สังคมที่ผ่านมา ตลอดจนเงื่อนไขทางการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองที่ต้องต่อรองกับปัญหาที่ทำกินและการตั้งถิ่นฐานจากผลของการพัฒนาและนโยบายที่ทำกินในพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทย ปัญหาของกะเหรี่ยงในพื้นที่นี้จึงมีลักษณะซับซ้อน และเป็นประเด็นมีความน่าสนใจที่ควรทำการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกลุ่มนี้</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง,แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=235https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/378-cover.jpg
235จุลสารพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนจังหวัดตากและจังหวัดกำแพงเพชร ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
ลักษณะวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษา โครงการวิจัย “พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนของจังหวัดตากและกำแพงเพชร” มีความซับซ้อนระหว่างพลวัตที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากการพัฒนาโดยเฉพาะตั้งแต่การสร้างเขื่อนภูมิพลที่อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เป็นต้นมา ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศทำให้มีการอพยพข้ามแดนของชาวกะเหรี่ยงและการตั้งศูนย์อพยพในฝั่งประเทศไทยตามแนวจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน ทำให้เห็นผลกระทบต่อแบบแผนภูมิปัญญาอย่างสอดคล้องกับระบบนิเวศน์ที่เผชิญกับการเปลี่ยนผ่านทั้งเกี่ยวข้องกับป่าและพื้นราบ รวมถึงความเชื่อที่ทำให้เกิดการแบ่งกลุ่มที่แตกต่าง เป็นผลมาจากกระบวนการทางประวัติศาสตร์สังคมที่ผ่านมา ตลอดจนเงื่อนไขทางการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองที่ต้องต่อรองกับปัญหาที่ทำกินและการตั้งถิ่นฐานจากผลของการพัฒนาและนโยบายที่ทำกินในพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทย ปัญหาของกะเหรี่ยงในพื้นที่นี้จึงมีลักษณะซับซ้อน และเป็นประเด็นมีความน่าสนใจที่ควรทำการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกลุ่มนี้</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง,แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=235https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/378-cover.jpg
235สูจิบัตรพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนจังหวัดตากและจังหวัดกำแพงเพชร ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
ลักษณะวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษา โครงการวิจัย “พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ในเขตตอนบนของจังหวัดตากและกำแพงเพชร” มีความซับซ้อนระหว่างพลวัตที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากการพัฒนาโดยเฉพาะตั้งแต่การสร้างเขื่อนภูมิพลที่อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เป็นต้นมา ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศทำให้มีการอพยพข้ามแดนของชาวกะเหรี่ยงและการตั้งศูนย์อพยพในฝั่งประเทศไทยตามแนวจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน ทำให้เห็นผลกระทบต่อแบบแผนภูมิปัญญาอย่างสอดคล้องกับระบบนิเวศน์ที่เผชิญกับการเปลี่ยนผ่านทั้งเกี่ยวข้องกับป่าและพื้นราบ รวมถึงความเชื่อที่ทำให้เกิดการแบ่งกลุ่มที่แตกต่าง เป็นผลมาจากกระบวนการทางประวัติศาสตร์สังคมที่ผ่านมา ตลอดจนเงื่อนไขทางการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองที่ต้องต่อรองกับปัญหาที่ทำกินและการตั้งถิ่นฐานจากผลของการพัฒนาและนโยบายที่ทำกินในพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทย ปัญหาของกะเหรี่ยงในพื้นที่นี้จึงมีลักษณะซับซ้อน และเป็นประเด็นมีความน่าสนใจที่ควรทำการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกลุ่มนี้</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง,แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=235https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/378-cover.jpg
236อื่นๆพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานี และนครสวรรค์ ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
งานศึกษาวิจัยชิ้นนี้ได้สำรวจและศึกษาชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานีและจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 ถึง สิงหาคม 2562 โดยใช้วิธีการศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณนา การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตการณ์ภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมในพิธีกรรมสำคัญของชุมชน โดยสะท้อนให้เห็นว่า พลวัตของชุมชนกะเหรี่ยงในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีการเปลี่ยนแปลงภายใต้ผลกระทบของการพัฒนาทั้งเรื่องของการใช้ประโยชน์จากที่ดินและป่าไม้ การออกกฎหมายของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องป่าไม้และที่ดินที่กระทบต่อสิทธิและความเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และการเป็นชุมชนดั้งเดิมที่อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ การเปลี่ยนแปลงในด้านวิถีการผลิตจากการทำไร่หมุนเวียนสู่การปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมกะเหรี่ยงที่มีความแตกต่างกัน ภายใต้ลัทธิทางความเชื่อทางศาสนาหรือลัทธิเจ้าวัด ทั้งความเชื่อเรื่องด้ายเหลือง ด้ายขาวและกินน้ำสุก ในชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีลัทธิเจ้าวัดถือเป็นศูนย์กลางทางความเชื่อและความรู้ทางประเพณีวัฒนธรรมที่สำคัญของชุมชนกะเหรี่ยง การปรับตัวภายใต้วิถีของการท่องเที่ยวและการพัฒนาชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณแนวกันชนห้วยขาแข้ง ในขณะที่ชุมชนกะเหรี่ยงในจังหวัดนครสวรรค์ไม่ปรากฏชุมชนกะเหรี่ยงดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่ มีเพียงกะเหรี่ยงนอกหรือกะเหรี่ยงที่มาจากฝั่งพม่าที่เข้ามาทำงานในจังหวัดนครสวรรค์และการรวมกลุ่มของแรงงานข้ามชาติในการจัดงานเชิงวัฒนธรรม การผูกข้อมือกะเหรี่ยง ที่เป็นงานเชิงวัฒนธรรมและเชิงการเมืองที่สำคัญของชาวกะเหรี่ยงบนแผ่นดินข้ามแดน</p>พลวัต, ชุมชนชาติพันธุ์, กลุ่มชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=236https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/379-cover.jpg
236วารสารพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานี และนครสวรรค์ ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
งานศึกษาวิจัยชิ้นนี้ได้สำรวจและศึกษาชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานีและจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 ถึง สิงหาคม 2562 โดยใช้วิธีการศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณนา การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตการณ์ภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมในพิธีกรรมสำคัญของชุมชน โดยสะท้อนให้เห็นว่า พลวัตของชุมชนกะเหรี่ยงในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีการเปลี่ยนแปลงภายใต้ผลกระทบของการพัฒนาทั้งเรื่องของการใช้ประโยชน์จากที่ดินและป่าไม้ การออกกฎหมายของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องป่าไม้และที่ดินที่กระทบต่อสิทธิและความเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และการเป็นชุมชนดั้งเดิมที่อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ การเปลี่ยนแปลงในด้านวิถีการผลิตจากการทำไร่หมุนเวียนสู่การปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมกะเหรี่ยงที่มีความแตกต่างกัน ภายใต้ลัทธิทางความเชื่อทางศาสนาหรือลัทธิเจ้าวัด ทั้งความเชื่อเรื่องด้ายเหลือง ด้ายขาวและกินน้ำสุก ในชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีลัทธิเจ้าวัดถือเป็นศูนย์กลางทางความเชื่อและความรู้ทางประเพณีวัฒนธรรมที่สำคัญของชุมชนกะเหรี่ยง การปรับตัวภายใต้วิถีของการท่องเที่ยวและการพัฒนาชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณแนวกันชนห้วยขาแข้ง ในขณะที่ชุมชนกะเหรี่ยงในจังหวัดนครสวรรค์ไม่ปรากฏชุมชนกะเหรี่ยงดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่ มีเพียงกะเหรี่ยงนอกหรือกะเหรี่ยงที่มาจากฝั่งพม่าที่เข้ามาทำงานในจังหวัดนครสวรรค์และการรวมกลุ่มของแรงงานข้ามชาติในการจัดงานเชิงวัฒนธรรม การผูกข้อมือกะเหรี่ยง ที่เป็นงานเชิงวัฒนธรรมและเชิงการเมืองที่สำคัญของชาวกะเหรี่ยงบนแผ่นดินข้ามแดน</p>พลวัต, ชุมชนชาติพันธุ์, กลุ่มชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=236https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/379-cover.jpg
236บทความพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานี และนครสวรรค์ ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
งานศึกษาวิจัยชิ้นนี้ได้สำรวจและศึกษาชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานีและจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 ถึง สิงหาคม 2562 โดยใช้วิธีการศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณนา การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตการณ์ภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมในพิธีกรรมสำคัญของชุมชน โดยสะท้อนให้เห็นว่า พลวัตของชุมชนกะเหรี่ยงในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีการเปลี่ยนแปลงภายใต้ผลกระทบของการพัฒนาทั้งเรื่องของการใช้ประโยชน์จากที่ดินและป่าไม้ การออกกฎหมายของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องป่าไม้และที่ดินที่กระทบต่อสิทธิและความเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และการเป็นชุมชนดั้งเดิมที่อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ การเปลี่ยนแปลงในด้านวิถีการผลิตจากการทำไร่หมุนเวียนสู่การปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมกะเหรี่ยงที่มีความแตกต่างกัน ภายใต้ลัทธิทางความเชื่อทางศาสนาหรือลัทธิเจ้าวัด ทั้งความเชื่อเรื่องด้ายเหลือง ด้ายขาวและกินน้ำสุก ในชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีลัทธิเจ้าวัดถือเป็นศูนย์กลางทางความเชื่อและความรู้ทางประเพณีวัฒนธรรมที่สำคัญของชุมชนกะเหรี่ยง การปรับตัวภายใต้วิถีของการท่องเที่ยวและการพัฒนาชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณแนวกันชนห้วยขาแข้ง ในขณะที่ชุมชนกะเหรี่ยงในจังหวัดนครสวรรค์ไม่ปรากฏชุมชนกะเหรี่ยงดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่ มีเพียงกะเหรี่ยงนอกหรือกะเหรี่ยงที่มาจากฝั่งพม่าที่เข้ามาทำงานในจังหวัดนครสวรรค์และการรวมกลุ่มของแรงงานข้ามชาติในการจัดงานเชิงวัฒนธรรม การผูกข้อมือกะเหรี่ยง ที่เป็นงานเชิงวัฒนธรรมและเชิงการเมืองที่สำคัญของชาวกะเหรี่ยงบนแผ่นดินข้ามแดน</p>พลวัต, ชุมชนชาติพันธุ์, กลุ่มชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=236https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/379-cover.jpg
236วิทยานิพนธ์พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานี และนครสวรรค์ ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
งานศึกษาวิจัยชิ้นนี้ได้สำรวจและศึกษาชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานีและจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 ถึง สิงหาคม 2562 โดยใช้วิธีการศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณนา การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตการณ์ภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมในพิธีกรรมสำคัญของชุมชน โดยสะท้อนให้เห็นว่า พลวัตของชุมชนกะเหรี่ยงในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีการเปลี่ยนแปลงภายใต้ผลกระทบของการพัฒนาทั้งเรื่องของการใช้ประโยชน์จากที่ดินและป่าไม้ การออกกฎหมายของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องป่าไม้และที่ดินที่กระทบต่อสิทธิและความเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และการเป็นชุมชนดั้งเดิมที่อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ การเปลี่ยนแปลงในด้านวิถีการผลิตจากการทำไร่หมุนเวียนสู่การปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมกะเหรี่ยงที่มีความแตกต่างกัน ภายใต้ลัทธิทางความเชื่อทางศาสนาหรือลัทธิเจ้าวัด ทั้งความเชื่อเรื่องด้ายเหลือง ด้ายขาวและกินน้ำสุก ในชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีลัทธิเจ้าวัดถือเป็นศูนย์กลางทางความเชื่อและความรู้ทางประเพณีวัฒนธรรมที่สำคัญของชุมชนกะเหรี่ยง การปรับตัวภายใต้วิถีของการท่องเที่ยวและการพัฒนาชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณแนวกันชนห้วยขาแข้ง ในขณะที่ชุมชนกะเหรี่ยงในจังหวัดนครสวรรค์ไม่ปรากฏชุมชนกะเหรี่ยงดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่ มีเพียงกะเหรี่ยงนอกหรือกะเหรี่ยงที่มาจากฝั่งพม่าที่เข้ามาทำงานในจังหวัดนครสวรรค์และการรวมกลุ่มของแรงงานข้ามชาติในการจัดงานเชิงวัฒนธรรม การผูกข้อมือกะเหรี่ยง ที่เป็นงานเชิงวัฒนธรรมและเชิงการเมืองที่สำคัญของชาวกะเหรี่ยงบนแผ่นดินข้ามแดน</p>พลวัต, ชุมชนชาติพันธุ์, กลุ่มชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=236https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/379-cover.jpg
236รายงานงานวิจัยพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานี และนครสวรรค์ ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
งานศึกษาวิจัยชิ้นนี้ได้สำรวจและศึกษาชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานีและจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 ถึง สิงหาคม 2562 โดยใช้วิธีการศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณนา การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตการณ์ภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมในพิธีกรรมสำคัญของชุมชน โดยสะท้อนให้เห็นว่า พลวัตของชุมชนกะเหรี่ยงในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีการเปลี่ยนแปลงภายใต้ผลกระทบของการพัฒนาทั้งเรื่องของการใช้ประโยชน์จากที่ดินและป่าไม้ การออกกฎหมายของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องป่าไม้และที่ดินที่กระทบต่อสิทธิและความเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และการเป็นชุมชนดั้งเดิมที่อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ การเปลี่ยนแปลงในด้านวิถีการผลิตจากการทำไร่หมุนเวียนสู่การปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมกะเหรี่ยงที่มีความแตกต่างกัน ภายใต้ลัทธิทางความเชื่อทางศาสนาหรือลัทธิเจ้าวัด ทั้งความเชื่อเรื่องด้ายเหลือง ด้ายขาวและกินน้ำสุก ในชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีลัทธิเจ้าวัดถือเป็นศูนย์กลางทางความเชื่อและความรู้ทางประเพณีวัฒนธรรมที่สำคัญของชุมชนกะเหรี่ยง การปรับตัวภายใต้วิถีของการท่องเที่ยวและการพัฒนาชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณแนวกันชนห้วยขาแข้ง ในขณะที่ชุมชนกะเหรี่ยงในจังหวัดนครสวรรค์ไม่ปรากฏชุมชนกะเหรี่ยงดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่ มีเพียงกะเหรี่ยงนอกหรือกะเหรี่ยงที่มาจากฝั่งพม่าที่เข้ามาทำงานในจังหวัดนครสวรรค์และการรวมกลุ่มของแรงงานข้ามชาติในการจัดงานเชิงวัฒนธรรม การผูกข้อมือกะเหรี่ยง ที่เป็นงานเชิงวัฒนธรรมและเชิงการเมืองที่สำคัญของชาวกะเหรี่ยงบนแผ่นดินข้ามแดน</p>พลวัต, ชุมชนชาติพันธุ์, กลุ่มชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=236https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/379-cover.jpg
236รายงานพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานี และนครสวรรค์ ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
งานศึกษาวิจัยชิ้นนี้ได้สำรวจและศึกษาชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานีและจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 ถึง สิงหาคม 2562 โดยใช้วิธีการศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณนา การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตการณ์ภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมในพิธีกรรมสำคัญของชุมชน โดยสะท้อนให้เห็นว่า พลวัตของชุมชนกะเหรี่ยงในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีการเปลี่ยนแปลงภายใต้ผลกระทบของการพัฒนาทั้งเรื่องของการใช้ประโยชน์จากที่ดินและป่าไม้ การออกกฎหมายของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องป่าไม้และที่ดินที่กระทบต่อสิทธิและความเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และการเป็นชุมชนดั้งเดิมที่อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ การเปลี่ยนแปลงในด้านวิถีการผลิตจากการทำไร่หมุนเวียนสู่การปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมกะเหรี่ยงที่มีความแตกต่างกัน ภายใต้ลัทธิทางความเชื่อทางศาสนาหรือลัทธิเจ้าวัด ทั้งความเชื่อเรื่องด้ายเหลือง ด้ายขาวและกินน้ำสุก ในชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีลัทธิเจ้าวัดถือเป็นศูนย์กลางทางความเชื่อและความรู้ทางประเพณีวัฒนธรรมที่สำคัญของชุมชนกะเหรี่ยง การปรับตัวภายใต้วิถีของการท่องเที่ยวและการพัฒนาชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณแนวกันชนห้วยขาแข้ง ในขณะที่ชุมชนกะเหรี่ยงในจังหวัดนครสวรรค์ไม่ปรากฏชุมชนกะเหรี่ยงดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่ มีเพียงกะเหรี่ยงนอกหรือกะเหรี่ยงที่มาจากฝั่งพม่าที่เข้ามาทำงานในจังหวัดนครสวรรค์และการรวมกลุ่มของแรงงานข้ามชาติในการจัดงานเชิงวัฒนธรรม การผูกข้อมือกะเหรี่ยง ที่เป็นงานเชิงวัฒนธรรมและเชิงการเมืองที่สำคัญของชาวกะเหรี่ยงบนแผ่นดินข้ามแดน</p>พลวัต, ชุมชนชาติพันธุ์, กลุ่มชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=236https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/379-cover.jpg
236หนังสือพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานี และนครสวรรค์ ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
งานศึกษาวิจัยชิ้นนี้ได้สำรวจและศึกษาชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานีและจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 ถึง สิงหาคม 2562 โดยใช้วิธีการศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณนา การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตการณ์ภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมในพิธีกรรมสำคัญของชุมชน โดยสะท้อนให้เห็นว่า พลวัตของชุมชนกะเหรี่ยงในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีการเปลี่ยนแปลงภายใต้ผลกระทบของการพัฒนาทั้งเรื่องของการใช้ประโยชน์จากที่ดินและป่าไม้ การออกกฎหมายของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องป่าไม้และที่ดินที่กระทบต่อสิทธิและความเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และการเป็นชุมชนดั้งเดิมที่อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ การเปลี่ยนแปลงในด้านวิถีการผลิตจากการทำไร่หมุนเวียนสู่การปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมกะเหรี่ยงที่มีความแตกต่างกัน ภายใต้ลัทธิทางความเชื่อทางศาสนาหรือลัทธิเจ้าวัด ทั้งความเชื่อเรื่องด้ายเหลือง ด้ายขาวและกินน้ำสุก ในชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีลัทธิเจ้าวัดถือเป็นศูนย์กลางทางความเชื่อและความรู้ทางประเพณีวัฒนธรรมที่สำคัญของชุมชนกะเหรี่ยง การปรับตัวภายใต้วิถีของการท่องเที่ยวและการพัฒนาชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณแนวกันชนห้วยขาแข้ง ในขณะที่ชุมชนกะเหรี่ยงในจังหวัดนครสวรรค์ไม่ปรากฏชุมชนกะเหรี่ยงดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่ มีเพียงกะเหรี่ยงนอกหรือกะเหรี่ยงที่มาจากฝั่งพม่าที่เข้ามาทำงานในจังหวัดนครสวรรค์และการรวมกลุ่มของแรงงานข้ามชาติในการจัดงานเชิงวัฒนธรรม การผูกข้อมือกะเหรี่ยง ที่เป็นงานเชิงวัฒนธรรมและเชิงการเมืองที่สำคัญของชาวกะเหรี่ยงบนแผ่นดินข้ามแดน</p>พลวัต, ชุมชนชาติพันธุ์, กลุ่มชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=236https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/379-cover.jpg
236จุลสารพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานี และนครสวรรค์ ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
งานศึกษาวิจัยชิ้นนี้ได้สำรวจและศึกษาชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานีและจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 ถึง สิงหาคม 2562 โดยใช้วิธีการศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณนา การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตการณ์ภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมในพิธีกรรมสำคัญของชุมชน โดยสะท้อนให้เห็นว่า พลวัตของชุมชนกะเหรี่ยงในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีการเปลี่ยนแปลงภายใต้ผลกระทบของการพัฒนาทั้งเรื่องของการใช้ประโยชน์จากที่ดินและป่าไม้ การออกกฎหมายของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องป่าไม้และที่ดินที่กระทบต่อสิทธิและความเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และการเป็นชุมชนดั้งเดิมที่อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ การเปลี่ยนแปลงในด้านวิถีการผลิตจากการทำไร่หมุนเวียนสู่การปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมกะเหรี่ยงที่มีความแตกต่างกัน ภายใต้ลัทธิทางความเชื่อทางศาสนาหรือลัทธิเจ้าวัด ทั้งความเชื่อเรื่องด้ายเหลือง ด้ายขาวและกินน้ำสุก ในชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีลัทธิเจ้าวัดถือเป็นศูนย์กลางทางความเชื่อและความรู้ทางประเพณีวัฒนธรรมที่สำคัญของชุมชนกะเหรี่ยง การปรับตัวภายใต้วิถีของการท่องเที่ยวและการพัฒนาชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณแนวกันชนห้วยขาแข้ง ในขณะที่ชุมชนกะเหรี่ยงในจังหวัดนครสวรรค์ไม่ปรากฏชุมชนกะเหรี่ยงดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่ มีเพียงกะเหรี่ยงนอกหรือกะเหรี่ยงที่มาจากฝั่งพม่าที่เข้ามาทำงานในจังหวัดนครสวรรค์และการรวมกลุ่มของแรงงานข้ามชาติในการจัดงานเชิงวัฒนธรรม การผูกข้อมือกะเหรี่ยง ที่เป็นงานเชิงวัฒนธรรมและเชิงการเมืองที่สำคัญของชาวกะเหรี่ยงบนแผ่นดินข้ามแดน</p>พลวัต, ชุมชนชาติพันธุ์, กลุ่มชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=236https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/379-cover.jpg
236สูจิบัตรพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานี และนครสวรรค์ ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
งานศึกษาวิจัยชิ้นนี้ได้สำรวจและศึกษาชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานีและจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 ถึง สิงหาคม 2562 โดยใช้วิธีการศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณนา การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตการณ์ภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมในพิธีกรรมสำคัญของชุมชน โดยสะท้อนให้เห็นว่า พลวัตของชุมชนกะเหรี่ยงในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีการเปลี่ยนแปลงภายใต้ผลกระทบของการพัฒนาทั้งเรื่องของการใช้ประโยชน์จากที่ดินและป่าไม้ การออกกฎหมายของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องป่าไม้และที่ดินที่กระทบต่อสิทธิและความเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และการเป็นชุมชนดั้งเดิมที่อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ การเปลี่ยนแปลงในด้านวิถีการผลิตจากการทำไร่หมุนเวียนสู่การปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมกะเหรี่ยงที่มีความแตกต่างกัน ภายใต้ลัทธิทางความเชื่อทางศาสนาหรือลัทธิเจ้าวัด ทั้งความเชื่อเรื่องด้ายเหลือง ด้ายขาวและกินน้ำสุก ในชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี มีลัทธิเจ้าวัดถือเป็นศูนย์กลางทางความเชื่อและความรู้ทางประเพณีวัฒนธรรมที่สำคัญของชุมชนกะเหรี่ยง การปรับตัวภายใต้วิถีของการท่องเที่ยวและการพัฒนาชุมชนกะเหรี่ยงบริเวณแนวกันชนห้วยขาแข้ง ในขณะที่ชุมชนกะเหรี่ยงในจังหวัดนครสวรรค์ไม่ปรากฏชุมชนกะเหรี่ยงดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่ มีเพียงกะเหรี่ยงนอกหรือกะเหรี่ยงที่มาจากฝั่งพม่าที่เข้ามาทำงานในจังหวัดนครสวรรค์และการรวมกลุ่มของแรงงานข้ามชาติในการจัดงานเชิงวัฒนธรรม การผูกข้อมือกะเหรี่ยง ที่เป็นงานเชิงวัฒนธรรมและเชิงการเมืองที่สำคัญของชาวกะเหรี่ยงบนแผ่นดินข้ามแดน</p>พลวัต, ชุมชนชาติพันธุ์, กลุ่มชาติพันธุ์, กะเหรี่ยง, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=236https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/379-cover.jpg
237อื่นๆพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
โครงการวิจัย พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษาสามจังหวัดทางภาคตะวันตกของไทย ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรีและเพชรบุรี ที่มีบริบทแวดล้อมของพื้นติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน อันส่งผลกระทบในหลายมิติทั้งต่อการตั้งถิ่นฐาน การเคลื่อนย้าย และการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากร สังคมและวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงจากอดีตเรื่อยมากระทั่งปัจจุบัน เช่น ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ “กะเหรี่ยงไทย” หรือ “ไทยกะเหรี่ยง” ดำเนินไปในลักษณะคู่ขนานกับบริบทการเมืองของพม่าหรือเมียนมาร์มาช้านาน ภาพลักษณ์ของชาวกะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทยปรากฏปฏิสัมพันธ์เชิงบวก จาก “ผู้อพยพพลัดถิ่น” มาพำนักอาศัยเคลื่อนสู่ลักษณะ “คนพื้นเมืองพื้นถิ่น” บางชุมชนผสมผสานกลืนกลายเป็นไทยทั้งทางพลเมืองและทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน “ความเป็นกะเหรี่ยง/กะหร่าง” ปรากฏอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการธำรงชาติพันธุ์เชื่อมโยงสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างชุมชนเป็นเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่ขยายตัวออกไป</p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, คนพลัดถิ่น, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=237https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/380-cover.jpg
237วารสารพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
โครงการวิจัย พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษาสามจังหวัดทางภาคตะวันตกของไทย ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรีและเพชรบุรี ที่มีบริบทแวดล้อมของพื้นติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน อันส่งผลกระทบในหลายมิติทั้งต่อการตั้งถิ่นฐาน การเคลื่อนย้าย และการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากร สังคมและวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงจากอดีตเรื่อยมากระทั่งปัจจุบัน เช่น ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ “กะเหรี่ยงไทย” หรือ “ไทยกะเหรี่ยง” ดำเนินไปในลักษณะคู่ขนานกับบริบทการเมืองของพม่าหรือเมียนมาร์มาช้านาน ภาพลักษณ์ของชาวกะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทยปรากฏปฏิสัมพันธ์เชิงบวก จาก “ผู้อพยพพลัดถิ่น” มาพำนักอาศัยเคลื่อนสู่ลักษณะ “คนพื้นเมืองพื้นถิ่น” บางชุมชนผสมผสานกลืนกลายเป็นไทยทั้งทางพลเมืองและทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน “ความเป็นกะเหรี่ยง/กะหร่าง” ปรากฏอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการธำรงชาติพันธุ์เชื่อมโยงสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างชุมชนเป็นเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่ขยายตัวออกไป</p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, คนพลัดถิ่น, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=237https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/380-cover.jpg
237บทความพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
โครงการวิจัย พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษาสามจังหวัดทางภาคตะวันตกของไทย ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรีและเพชรบุรี ที่มีบริบทแวดล้อมของพื้นติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน อันส่งผลกระทบในหลายมิติทั้งต่อการตั้งถิ่นฐาน การเคลื่อนย้าย และการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากร สังคมและวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงจากอดีตเรื่อยมากระทั่งปัจจุบัน เช่น ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ “กะเหรี่ยงไทย” หรือ “ไทยกะเหรี่ยง” ดำเนินไปในลักษณะคู่ขนานกับบริบทการเมืองของพม่าหรือเมียนมาร์มาช้านาน ภาพลักษณ์ของชาวกะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทยปรากฏปฏิสัมพันธ์เชิงบวก จาก “ผู้อพยพพลัดถิ่น” มาพำนักอาศัยเคลื่อนสู่ลักษณะ “คนพื้นเมืองพื้นถิ่น” บางชุมชนผสมผสานกลืนกลายเป็นไทยทั้งทางพลเมืองและทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน “ความเป็นกะเหรี่ยง/กะหร่าง” ปรากฏอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการธำรงชาติพันธุ์เชื่อมโยงสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างชุมชนเป็นเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่ขยายตัวออกไป</p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, คนพลัดถิ่น, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=237https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/380-cover.jpg
237วิทยานิพนธ์พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
โครงการวิจัย พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษาสามจังหวัดทางภาคตะวันตกของไทย ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรีและเพชรบุรี ที่มีบริบทแวดล้อมของพื้นติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน อันส่งผลกระทบในหลายมิติทั้งต่อการตั้งถิ่นฐาน การเคลื่อนย้าย และการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากร สังคมและวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงจากอดีตเรื่อยมากระทั่งปัจจุบัน เช่น ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ “กะเหรี่ยงไทย” หรือ “ไทยกะเหรี่ยง” ดำเนินไปในลักษณะคู่ขนานกับบริบทการเมืองของพม่าหรือเมียนมาร์มาช้านาน ภาพลักษณ์ของชาวกะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทยปรากฏปฏิสัมพันธ์เชิงบวก จาก “ผู้อพยพพลัดถิ่น” มาพำนักอาศัยเคลื่อนสู่ลักษณะ “คนพื้นเมืองพื้นถิ่น” บางชุมชนผสมผสานกลืนกลายเป็นไทยทั้งทางพลเมืองและทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน “ความเป็นกะเหรี่ยง/กะหร่าง” ปรากฏอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการธำรงชาติพันธุ์เชื่อมโยงสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างชุมชนเป็นเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่ขยายตัวออกไป</p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, คนพลัดถิ่น, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=237https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/380-cover.jpg
237รายงานงานวิจัยพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
โครงการวิจัย พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษาสามจังหวัดทางภาคตะวันตกของไทย ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรีและเพชรบุรี ที่มีบริบทแวดล้อมของพื้นติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน อันส่งผลกระทบในหลายมิติทั้งต่อการตั้งถิ่นฐาน การเคลื่อนย้าย และการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากร สังคมและวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงจากอดีตเรื่อยมากระทั่งปัจจุบัน เช่น ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ “กะเหรี่ยงไทย” หรือ “ไทยกะเหรี่ยง” ดำเนินไปในลักษณะคู่ขนานกับบริบทการเมืองของพม่าหรือเมียนมาร์มาช้านาน ภาพลักษณ์ของชาวกะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทยปรากฏปฏิสัมพันธ์เชิงบวก จาก “ผู้อพยพพลัดถิ่น” มาพำนักอาศัยเคลื่อนสู่ลักษณะ “คนพื้นเมืองพื้นถิ่น” บางชุมชนผสมผสานกลืนกลายเป็นไทยทั้งทางพลเมืองและทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน “ความเป็นกะเหรี่ยง/กะหร่าง” ปรากฏอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการธำรงชาติพันธุ์เชื่อมโยงสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างชุมชนเป็นเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่ขยายตัวออกไป</p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, คนพลัดถิ่น, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=237https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/380-cover.jpg
237รายงานพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
โครงการวิจัย พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษาสามจังหวัดทางภาคตะวันตกของไทย ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรีและเพชรบุรี ที่มีบริบทแวดล้อมของพื้นติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน อันส่งผลกระทบในหลายมิติทั้งต่อการตั้งถิ่นฐาน การเคลื่อนย้าย และการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากร สังคมและวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงจากอดีตเรื่อยมากระทั่งปัจจุบัน เช่น ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ “กะเหรี่ยงไทย” หรือ “ไทยกะเหรี่ยง” ดำเนินไปในลักษณะคู่ขนานกับบริบทการเมืองของพม่าหรือเมียนมาร์มาช้านาน ภาพลักษณ์ของชาวกะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทยปรากฏปฏิสัมพันธ์เชิงบวก จาก “ผู้อพยพพลัดถิ่น” มาพำนักอาศัยเคลื่อนสู่ลักษณะ “คนพื้นเมืองพื้นถิ่น” บางชุมชนผสมผสานกลืนกลายเป็นไทยทั้งทางพลเมืองและทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน “ความเป็นกะเหรี่ยง/กะหร่าง” ปรากฏอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการธำรงชาติพันธุ์เชื่อมโยงสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างชุมชนเป็นเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่ขยายตัวออกไป</p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, คนพลัดถิ่น, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=237https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/380-cover.jpg
237หนังสือพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
โครงการวิจัย พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษาสามจังหวัดทางภาคตะวันตกของไทย ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรีและเพชรบุรี ที่มีบริบทแวดล้อมของพื้นติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน อันส่งผลกระทบในหลายมิติทั้งต่อการตั้งถิ่นฐาน การเคลื่อนย้าย และการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากร สังคมและวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงจากอดีตเรื่อยมากระทั่งปัจจุบัน เช่น ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ “กะเหรี่ยงไทย” หรือ “ไทยกะเหรี่ยง” ดำเนินไปในลักษณะคู่ขนานกับบริบทการเมืองของพม่าหรือเมียนมาร์มาช้านาน ภาพลักษณ์ของชาวกะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทยปรากฏปฏิสัมพันธ์เชิงบวก จาก “ผู้อพยพพลัดถิ่น” มาพำนักอาศัยเคลื่อนสู่ลักษณะ “คนพื้นเมืองพื้นถิ่น” บางชุมชนผสมผสานกลืนกลายเป็นไทยทั้งทางพลเมืองและทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน “ความเป็นกะเหรี่ยง/กะหร่าง” ปรากฏอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการธำรงชาติพันธุ์เชื่อมโยงสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างชุมชนเป็นเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่ขยายตัวออกไป</p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, คนพลัดถิ่น, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=237https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/380-cover.jpg
237จุลสารพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
โครงการวิจัย พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษาสามจังหวัดทางภาคตะวันตกของไทย ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรีและเพชรบุรี ที่มีบริบทแวดล้อมของพื้นติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน อันส่งผลกระทบในหลายมิติทั้งต่อการตั้งถิ่นฐาน การเคลื่อนย้าย และการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากร สังคมและวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงจากอดีตเรื่อยมากระทั่งปัจจุบัน เช่น ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ “กะเหรี่ยงไทย” หรือ “ไทยกะเหรี่ยง” ดำเนินไปในลักษณะคู่ขนานกับบริบทการเมืองของพม่าหรือเมียนมาร์มาช้านาน ภาพลักษณ์ของชาวกะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทยปรากฏปฏิสัมพันธ์เชิงบวก จาก “ผู้อพยพพลัดถิ่น” มาพำนักอาศัยเคลื่อนสู่ลักษณะ “คนพื้นเมืองพื้นถิ่น” บางชุมชนผสมผสานกลืนกลายเป็นไทยทั้งทางพลเมืองและทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน “ความเป็นกะเหรี่ยง/กะหร่าง” ปรากฏอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการธำรงชาติพันธุ์เชื่อมโยงสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างชุมชนเป็นเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่ขยายตัวออกไป</p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, คนพลัดถิ่น, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=237https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/380-cover.jpg
237สูจิบัตรพลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี ชุดโครงการศึกษาวิจัยพลวัตของชุมชนชาติพันธุ์เพื่อการสร้างแผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต ปีที่ 1 (พ.ศ. 2562)<p>
โครงการวิจัย พลวัตชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทย ระยะที่ 1 พื้นที่ศึกษาสามจังหวัดทางภาคตะวันตกของไทย ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรีและเพชรบุรี ที่มีบริบทแวดล้อมของพื้นติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน อันส่งผลกระทบในหลายมิติทั้งต่อการตั้งถิ่นฐาน การเคลื่อนย้าย และการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากร สังคมและวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงจากอดีตเรื่อยมากระทั่งปัจจุบัน เช่น ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ “กะเหรี่ยงไทย” หรือ “ไทยกะเหรี่ยง” ดำเนินไปในลักษณะคู่ขนานกับบริบทการเมืองของพม่าหรือเมียนมาร์มาช้านาน ภาพลักษณ์ของชาวกะเหรี่ยงภาคตะวันตกของไทยปรากฏปฏิสัมพันธ์เชิงบวก จาก “ผู้อพยพพลัดถิ่น” มาพำนักอาศัยเคลื่อนสู่ลักษณะ “คนพื้นเมืองพื้นถิ่น” บางชุมชนผสมผสานกลืนกลายเป็นไทยทั้งทางพลเมืองและทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน “ความเป็นกะเหรี่ยง/กะหร่าง” ปรากฏอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการธำรงชาติพันธุ์เชื่อมโยงสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างชุมชนเป็นเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่ขยายตัวออกไป</p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, ชุมชนชาติพันธุ์, คนพลัดถิ่น, แผนที่วัฒนธรรมมีชีวิต4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=237https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/380-cover.jpg
238อื่นๆลักษณะเฉพาะของลูกปัดแก้วยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายและสมัยทวารวดีจากแหล่งโบราณคดีในภาคกลางของประเทศไทย (ปีที่ 2)<p>
ลูกปัดแก้วจัดเป็นหนึ่งในสินค้าที่ส่งออกแพร่หลายไปทั่วโลก โดยมีอินเดียเป็นศูนย์กลางใหญ่ในการผลิตและส่งออกลูกปัดนานาชนิด ประเทศไทยพบลูกปัดแก้วในแหล่งโบราณคดีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายทั่วทุกภูมิภาค มีสีสัน และรูปทรงที่หลากหลาย ลูกปัดแก้วเหล่านี้มิได้มีประโยชน์ในฐานะเครื่องประดับเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาความรู้ทางเทคโนโลยีของมนุษย์ วิถีชีวิตคนในชุมชน ความเชื่อ และการค้าขายของผู้คนในช่วงสมัยดังกล่าว การศึกษาวิจัยนี้มีขอบเขตการศึกษาในช่วงยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายต่อเนื่องจนถึงสมัยทวารวดี บริเวณพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย เนื่องจากในช่วงสมัยและพื้นที่ศึกษาพบแหล่งโบราณคดีที่มีลูกปัดแก้วจำนวนมาก อีกทั้งเพื่อศึกษาคุณลักษณะต่างๆ ทั้งทางกายภาพและคุณลักษณะทางเคมี องค์ความรู้เรื่องการค้าของผู้คนในสมัยโบราณ และเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันเพื่อให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ต่อไป</p>
<p>
</p>โบราณวัตถุ, มรดกวัฒนธรรม, แหล่งโบราณคดี, ลูกปัดแก้ว4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=238https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/381-cover.jpg
238วารสารลักษณะเฉพาะของลูกปัดแก้วยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายและสมัยทวารวดีจากแหล่งโบราณคดีในภาคกลางของประเทศไทย (ปีที่ 2)<p>
ลูกปัดแก้วจัดเป็นหนึ่งในสินค้าที่ส่งออกแพร่หลายไปทั่วโลก โดยมีอินเดียเป็นศูนย์กลางใหญ่ในการผลิตและส่งออกลูกปัดนานาชนิด ประเทศไทยพบลูกปัดแก้วในแหล่งโบราณคดีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายทั่วทุกภูมิภาค มีสีสัน และรูปทรงที่หลากหลาย ลูกปัดแก้วเหล่านี้มิได้มีประโยชน์ในฐานะเครื่องประดับเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาความรู้ทางเทคโนโลยีของมนุษย์ วิถีชีวิตคนในชุมชน ความเชื่อ และการค้าขายของผู้คนในช่วงสมัยดังกล่าว การศึกษาวิจัยนี้มีขอบเขตการศึกษาในช่วงยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายต่อเนื่องจนถึงสมัยทวารวดี บริเวณพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย เนื่องจากในช่วงสมัยและพื้นที่ศึกษาพบแหล่งโบราณคดีที่มีลูกปัดแก้วจำนวนมาก อีกทั้งเพื่อศึกษาคุณลักษณะต่างๆ ทั้งทางกายภาพและคุณลักษณะทางเคมี องค์ความรู้เรื่องการค้าของผู้คนในสมัยโบราณ และเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันเพื่อให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ต่อไป</p>
<p>
</p>โบราณวัตถุ, มรดกวัฒนธรรม, แหล่งโบราณคดี, ลูกปัดแก้ว4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=238https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/381-cover.jpg
238บทความลักษณะเฉพาะของลูกปัดแก้วยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายและสมัยทวารวดีจากแหล่งโบราณคดีในภาคกลางของประเทศไทย (ปีที่ 2)<p>
ลูกปัดแก้วจัดเป็นหนึ่งในสินค้าที่ส่งออกแพร่หลายไปทั่วโลก โดยมีอินเดียเป็นศูนย์กลางใหญ่ในการผลิตและส่งออกลูกปัดนานาชนิด ประเทศไทยพบลูกปัดแก้วในแหล่งโบราณคดีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายทั่วทุกภูมิภาค มีสีสัน และรูปทรงที่หลากหลาย ลูกปัดแก้วเหล่านี้มิได้มีประโยชน์ในฐานะเครื่องประดับเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาความรู้ทางเทคโนโลยีของมนุษย์ วิถีชีวิตคนในชุมชน ความเชื่อ และการค้าขายของผู้คนในช่วงสมัยดังกล่าว การศึกษาวิจัยนี้มีขอบเขตการศึกษาในช่วงยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายต่อเนื่องจนถึงสมัยทวารวดี บริเวณพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย เนื่องจากในช่วงสมัยและพื้นที่ศึกษาพบแหล่งโบราณคดีที่มีลูกปัดแก้วจำนวนมาก อีกทั้งเพื่อศึกษาคุณลักษณะต่างๆ ทั้งทางกายภาพและคุณลักษณะทางเคมี องค์ความรู้เรื่องการค้าของผู้คนในสมัยโบราณ และเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันเพื่อให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ต่อไป</p>
<p>
</p>โบราณวัตถุ, มรดกวัฒนธรรม, แหล่งโบราณคดี, ลูกปัดแก้ว4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=238https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/381-cover.jpg
238วิทยานิพนธ์ลักษณะเฉพาะของลูกปัดแก้วยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายและสมัยทวารวดีจากแหล่งโบราณคดีในภาคกลางของประเทศไทย (ปีที่ 2)<p>
ลูกปัดแก้วจัดเป็นหนึ่งในสินค้าที่ส่งออกแพร่หลายไปทั่วโลก โดยมีอินเดียเป็นศูนย์กลางใหญ่ในการผลิตและส่งออกลูกปัดนานาชนิด ประเทศไทยพบลูกปัดแก้วในแหล่งโบราณคดีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายทั่วทุกภูมิภาค มีสีสัน และรูปทรงที่หลากหลาย ลูกปัดแก้วเหล่านี้มิได้มีประโยชน์ในฐานะเครื่องประดับเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาความรู้ทางเทคโนโลยีของมนุษย์ วิถีชีวิตคนในชุมชน ความเชื่อ และการค้าขายของผู้คนในช่วงสมัยดังกล่าว การศึกษาวิจัยนี้มีขอบเขตการศึกษาในช่วงยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายต่อเนื่องจนถึงสมัยทวารวดี บริเวณพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย เนื่องจากในช่วงสมัยและพื้นที่ศึกษาพบแหล่งโบราณคดีที่มีลูกปัดแก้วจำนวนมาก อีกทั้งเพื่อศึกษาคุณลักษณะต่างๆ ทั้งทางกายภาพและคุณลักษณะทางเคมี องค์ความรู้เรื่องการค้าของผู้คนในสมัยโบราณ และเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันเพื่อให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ต่อไป</p>
<p>
</p>โบราณวัตถุ, มรดกวัฒนธรรม, แหล่งโบราณคดี, ลูกปัดแก้ว4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=238https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/381-cover.jpg
238รายงานงานวิจัยลักษณะเฉพาะของลูกปัดแก้วยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายและสมัยทวารวดีจากแหล่งโบราณคดีในภาคกลางของประเทศไทย (ปีที่ 2)<p>
ลูกปัดแก้วจัดเป็นหนึ่งในสินค้าที่ส่งออกแพร่หลายไปทั่วโลก โดยมีอินเดียเป็นศูนย์กลางใหญ่ในการผลิตและส่งออกลูกปัดนานาชนิด ประเทศไทยพบลูกปัดแก้วในแหล่งโบราณคดีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายทั่วทุกภูมิภาค มีสีสัน และรูปทรงที่หลากหลาย ลูกปัดแก้วเหล่านี้มิได้มีประโยชน์ในฐานะเครื่องประดับเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาความรู้ทางเทคโนโลยีของมนุษย์ วิถีชีวิตคนในชุมชน ความเชื่อ และการค้าขายของผู้คนในช่วงสมัยดังกล่าว การศึกษาวิจัยนี้มีขอบเขตการศึกษาในช่วงยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายต่อเนื่องจนถึงสมัยทวารวดี บริเวณพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย เนื่องจากในช่วงสมัยและพื้นที่ศึกษาพบแหล่งโบราณคดีที่มีลูกปัดแก้วจำนวนมาก อีกทั้งเพื่อศึกษาคุณลักษณะต่างๆ ทั้งทางกายภาพและคุณลักษณะทางเคมี องค์ความรู้เรื่องการค้าของผู้คนในสมัยโบราณ และเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันเพื่อให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ต่อไป</p>
<p>
</p>โบราณวัตถุ, มรดกวัฒนธรรม, แหล่งโบราณคดี, ลูกปัดแก้ว4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=238https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/381-cover.jpg
238รายงานลักษณะเฉพาะของลูกปัดแก้วยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายและสมัยทวารวดีจากแหล่งโบราณคดีในภาคกลางของประเทศไทย (ปีที่ 2)<p>
ลูกปัดแก้วจัดเป็นหนึ่งในสินค้าที่ส่งออกแพร่หลายไปทั่วโลก โดยมีอินเดียเป็นศูนย์กลางใหญ่ในการผลิตและส่งออกลูกปัดนานาชนิด ประเทศไทยพบลูกปัดแก้วในแหล่งโบราณคดีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายทั่วทุกภูมิภาค มีสีสัน และรูปทรงที่หลากหลาย ลูกปัดแก้วเหล่านี้มิได้มีประโยชน์ในฐานะเครื่องประดับเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาความรู้ทางเทคโนโลยีของมนุษย์ วิถีชีวิตคนในชุมชน ความเชื่อ และการค้าขายของผู้คนในช่วงสมัยดังกล่าว การศึกษาวิจัยนี้มีขอบเขตการศึกษาในช่วงยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายต่อเนื่องจนถึงสมัยทวารวดี บริเวณพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย เนื่องจากในช่วงสมัยและพื้นที่ศึกษาพบแหล่งโบราณคดีที่มีลูกปัดแก้วจำนวนมาก อีกทั้งเพื่อศึกษาคุณลักษณะต่างๆ ทั้งทางกายภาพและคุณลักษณะทางเคมี องค์ความรู้เรื่องการค้าของผู้คนในสมัยโบราณ และเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันเพื่อให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ต่อไป</p>
<p>
</p>โบราณวัตถุ, มรดกวัฒนธรรม, แหล่งโบราณคดี, ลูกปัดแก้ว4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=238https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/381-cover.jpg
238หนังสือลักษณะเฉพาะของลูกปัดแก้วยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายและสมัยทวารวดีจากแหล่งโบราณคดีในภาคกลางของประเทศไทย (ปีที่ 2)<p>
ลูกปัดแก้วจัดเป็นหนึ่งในสินค้าที่ส่งออกแพร่หลายไปทั่วโลก โดยมีอินเดียเป็นศูนย์กลางใหญ่ในการผลิตและส่งออกลูกปัดนานาชนิด ประเทศไทยพบลูกปัดแก้วในแหล่งโบราณคดีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายทั่วทุกภูมิภาค มีสีสัน และรูปทรงที่หลากหลาย ลูกปัดแก้วเหล่านี้มิได้มีประโยชน์ในฐานะเครื่องประดับเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาความรู้ทางเทคโนโลยีของมนุษย์ วิถีชีวิตคนในชุมชน ความเชื่อ และการค้าขายของผู้คนในช่วงสมัยดังกล่าว การศึกษาวิจัยนี้มีขอบเขตการศึกษาในช่วงยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายต่อเนื่องจนถึงสมัยทวารวดี บริเวณพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย เนื่องจากในช่วงสมัยและพื้นที่ศึกษาพบแหล่งโบราณคดีที่มีลูกปัดแก้วจำนวนมาก อีกทั้งเพื่อศึกษาคุณลักษณะต่างๆ ทั้งทางกายภาพและคุณลักษณะทางเคมี องค์ความรู้เรื่องการค้าของผู้คนในสมัยโบราณ และเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันเพื่อให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ต่อไป</p>
<p>
</p>โบราณวัตถุ, มรดกวัฒนธรรม, แหล่งโบราณคดี, ลูกปัดแก้ว4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=238https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/381-cover.jpg
238จุลสารลักษณะเฉพาะของลูกปัดแก้วยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายและสมัยทวารวดีจากแหล่งโบราณคดีในภาคกลางของประเทศไทย (ปีที่ 2)<p>
ลูกปัดแก้วจัดเป็นหนึ่งในสินค้าที่ส่งออกแพร่หลายไปทั่วโลก โดยมีอินเดียเป็นศูนย์กลางใหญ่ในการผลิตและส่งออกลูกปัดนานาชนิด ประเทศไทยพบลูกปัดแก้วในแหล่งโบราณคดีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายทั่วทุกภูมิภาค มีสีสัน และรูปทรงที่หลากหลาย ลูกปัดแก้วเหล่านี้มิได้มีประโยชน์ในฐานะเครื่องประดับเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาความรู้ทางเทคโนโลยีของมนุษย์ วิถีชีวิตคนในชุมชน ความเชื่อ และการค้าขายของผู้คนในช่วงสมัยดังกล่าว การศึกษาวิจัยนี้มีขอบเขตการศึกษาในช่วงยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายต่อเนื่องจนถึงสมัยทวารวดี บริเวณพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย เนื่องจากในช่วงสมัยและพื้นที่ศึกษาพบแหล่งโบราณคดีที่มีลูกปัดแก้วจำนวนมาก อีกทั้งเพื่อศึกษาคุณลักษณะต่างๆ ทั้งทางกายภาพและคุณลักษณะทางเคมี องค์ความรู้เรื่องการค้าของผู้คนในสมัยโบราณ และเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันเพื่อให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ต่อไป</p>
<p>
</p>โบราณวัตถุ, มรดกวัฒนธรรม, แหล่งโบราณคดี, ลูกปัดแก้ว4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=238https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/381-cover.jpg
238สูจิบัตรลักษณะเฉพาะของลูกปัดแก้วยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายและสมัยทวารวดีจากแหล่งโบราณคดีในภาคกลางของประเทศไทย (ปีที่ 2)<p>
ลูกปัดแก้วจัดเป็นหนึ่งในสินค้าที่ส่งออกแพร่หลายไปทั่วโลก โดยมีอินเดียเป็นศูนย์กลางใหญ่ในการผลิตและส่งออกลูกปัดนานาชนิด ประเทศไทยพบลูกปัดแก้วในแหล่งโบราณคดีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายทั่วทุกภูมิภาค มีสีสัน และรูปทรงที่หลากหลาย ลูกปัดแก้วเหล่านี้มิได้มีประโยชน์ในฐานะเครื่องประดับเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาความรู้ทางเทคโนโลยีของมนุษย์ วิถีชีวิตคนในชุมชน ความเชื่อ และการค้าขายของผู้คนในช่วงสมัยดังกล่าว การศึกษาวิจัยนี้มีขอบเขตการศึกษาในช่วงยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายต่อเนื่องจนถึงสมัยทวารวดี บริเวณพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย เนื่องจากในช่วงสมัยและพื้นที่ศึกษาพบแหล่งโบราณคดีที่มีลูกปัดแก้วจำนวนมาก อีกทั้งเพื่อศึกษาคุณลักษณะต่างๆ ทั้งทางกายภาพและคุณลักษณะทางเคมี องค์ความรู้เรื่องการค้าของผู้คนในสมัยโบราณ และเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันเพื่อให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ต่อไป</p>
<p>
</p>โบราณวัตถุ, มรดกวัฒนธรรม, แหล่งโบราณคดี, ลูกปัดแก้ว4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=238https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/381-cover.jpg
239อื่นๆการศึกษาภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว<p>
กลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในอาเซียนที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน เดิมมีถิ่นฐานพำนักอาศัยอยู่ในเมืองเชียงตุง หัวเมืองใหญ่ทางตะวันออกของที่ราบสูงฉาน ในช่วงระยะหลายร้อยปีที่ผ่านมาได้มีการอพยพ เคลื่อนย้าย และตั้งถิ่นฐานเพื่อพำนักอยู่อาศัยอยู่กระจัดกระจายตามพื้นที่ในเมืองเล็กเมืองน้อย รวมไปจนถึงพื้นที่ของสิบสองพันนา โดยการตั้งถิ่นฐานปัจจุบันพบว่าอาศัยอยู่ในหลายพื้นที่ทั้งในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และในภาคเหนือของประเทศไทย เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย ในด้านภูมิปัญญาชาวไทขึนมีภูมิปัญญาด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่น่าสนใจและน่าศึกษา เพราะใช้การรักษาแบบท้องถิ่นหรือแบบพื้นบ้าน ในลักษณะของการรักษาแบบองค์รวม โดยมีมุมมองต่อสุขภาพความเจ็บป่วยทางกายและทางจิตใจในลักษณะที่ไม่ได้แยกจากกัน ความเจ็บป่วยที่มีอาการต่างกันหรือเป็นโรคต่างกัน อาจจะมีสาเหตุเดียวกัน และมีวิธีการเยียวยารักษาแบบเดียวกัน โดยวิธีการเยียวยาความเจ็บป่วยอาจจะใช้มากกว่าหนึ่งวิธี การรักษาความเจ็บป่วยของชาวไทขึนจึงต้องอาศัยความรู้ที่หลากหลายและมีความสัมพันธ์กันทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคมวัฒนธรรม สภาพการเปลี่ยนแปลงในสังคมโลกปัจจุบันโดยเฉพาะเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ได้มีบทบาทมาช่วยเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ส่งผลให้ภูมิปัญญาในการดูแลรักษาสุขภาพดังกล่าว กำลังจะถูกลืมเลือนและสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนนั้น ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญประการหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและ การรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้อย่างดี สามารถนำมาพัฒนาคลังข้อมูลดิจิทัลภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพ และเป็นแนวทางในการจัดการองค์ความรู้และภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งจะนำมาสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประยุกต์ใช้งานให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมต่อไป</p>
<p>
</p>ภูมิปัญญา, คลังข้อมูล, พิธีกรรม, กลุ่มชาติพันธุ์, ไทขึน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=239https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/382-cover.jpg
239วารสารการศึกษาภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว<p>
กลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในอาเซียนที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน เดิมมีถิ่นฐานพำนักอาศัยอยู่ในเมืองเชียงตุง หัวเมืองใหญ่ทางตะวันออกของที่ราบสูงฉาน ในช่วงระยะหลายร้อยปีที่ผ่านมาได้มีการอพยพ เคลื่อนย้าย และตั้งถิ่นฐานเพื่อพำนักอยู่อาศัยอยู่กระจัดกระจายตามพื้นที่ในเมืองเล็กเมืองน้อย รวมไปจนถึงพื้นที่ของสิบสองพันนา โดยการตั้งถิ่นฐานปัจจุบันพบว่าอาศัยอยู่ในหลายพื้นที่ทั้งในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และในภาคเหนือของประเทศไทย เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย ในด้านภูมิปัญญาชาวไทขึนมีภูมิปัญญาด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่น่าสนใจและน่าศึกษา เพราะใช้การรักษาแบบท้องถิ่นหรือแบบพื้นบ้าน ในลักษณะของการรักษาแบบองค์รวม โดยมีมุมมองต่อสุขภาพความเจ็บป่วยทางกายและทางจิตใจในลักษณะที่ไม่ได้แยกจากกัน ความเจ็บป่วยที่มีอาการต่างกันหรือเป็นโรคต่างกัน อาจจะมีสาเหตุเดียวกัน และมีวิธีการเยียวยารักษาแบบเดียวกัน โดยวิธีการเยียวยาความเจ็บป่วยอาจจะใช้มากกว่าหนึ่งวิธี การรักษาความเจ็บป่วยของชาวไทขึนจึงต้องอาศัยความรู้ที่หลากหลายและมีความสัมพันธ์กันทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคมวัฒนธรรม สภาพการเปลี่ยนแปลงในสังคมโลกปัจจุบันโดยเฉพาะเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ได้มีบทบาทมาช่วยเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ส่งผลให้ภูมิปัญญาในการดูแลรักษาสุขภาพดังกล่าว กำลังจะถูกลืมเลือนและสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนนั้น ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญประการหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและ การรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้อย่างดี สามารถนำมาพัฒนาคลังข้อมูลดิจิทัลภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพ และเป็นแนวทางในการจัดการองค์ความรู้และภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งจะนำมาสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประยุกต์ใช้งานให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมต่อไป</p>
<p>
</p>ภูมิปัญญา, คลังข้อมูล, พิธีกรรม, กลุ่มชาติพันธุ์, ไทขึน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=239https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/382-cover.jpg
239บทความการศึกษาภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว<p>
กลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในอาเซียนที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน เดิมมีถิ่นฐานพำนักอาศัยอยู่ในเมืองเชียงตุง หัวเมืองใหญ่ทางตะวันออกของที่ราบสูงฉาน ในช่วงระยะหลายร้อยปีที่ผ่านมาได้มีการอพยพ เคลื่อนย้าย และตั้งถิ่นฐานเพื่อพำนักอยู่อาศัยอยู่กระจัดกระจายตามพื้นที่ในเมืองเล็กเมืองน้อย รวมไปจนถึงพื้นที่ของสิบสองพันนา โดยการตั้งถิ่นฐานปัจจุบันพบว่าอาศัยอยู่ในหลายพื้นที่ทั้งในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และในภาคเหนือของประเทศไทย เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย ในด้านภูมิปัญญาชาวไทขึนมีภูมิปัญญาด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่น่าสนใจและน่าศึกษา เพราะใช้การรักษาแบบท้องถิ่นหรือแบบพื้นบ้าน ในลักษณะของการรักษาแบบองค์รวม โดยมีมุมมองต่อสุขภาพความเจ็บป่วยทางกายและทางจิตใจในลักษณะที่ไม่ได้แยกจากกัน ความเจ็บป่วยที่มีอาการต่างกันหรือเป็นโรคต่างกัน อาจจะมีสาเหตุเดียวกัน และมีวิธีการเยียวยารักษาแบบเดียวกัน โดยวิธีการเยียวยาความเจ็บป่วยอาจจะใช้มากกว่าหนึ่งวิธี การรักษาความเจ็บป่วยของชาวไทขึนจึงต้องอาศัยความรู้ที่หลากหลายและมีความสัมพันธ์กันทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคมวัฒนธรรม สภาพการเปลี่ยนแปลงในสังคมโลกปัจจุบันโดยเฉพาะเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ได้มีบทบาทมาช่วยเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ส่งผลให้ภูมิปัญญาในการดูแลรักษาสุขภาพดังกล่าว กำลังจะถูกลืมเลือนและสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนนั้น ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญประการหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและ การรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้อย่างดี สามารถนำมาพัฒนาคลังข้อมูลดิจิทัลภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพ และเป็นแนวทางในการจัดการองค์ความรู้และภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งจะนำมาสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประยุกต์ใช้งานให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมต่อไป</p>
<p>
</p>ภูมิปัญญา, คลังข้อมูล, พิธีกรรม, กลุ่มชาติพันธุ์, ไทขึน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=239https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/382-cover.jpg
239วิทยานิพนธ์การศึกษาภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว<p>
กลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในอาเซียนที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน เดิมมีถิ่นฐานพำนักอาศัยอยู่ในเมืองเชียงตุง หัวเมืองใหญ่ทางตะวันออกของที่ราบสูงฉาน ในช่วงระยะหลายร้อยปีที่ผ่านมาได้มีการอพยพ เคลื่อนย้าย และตั้งถิ่นฐานเพื่อพำนักอยู่อาศัยอยู่กระจัดกระจายตามพื้นที่ในเมืองเล็กเมืองน้อย รวมไปจนถึงพื้นที่ของสิบสองพันนา โดยการตั้งถิ่นฐานปัจจุบันพบว่าอาศัยอยู่ในหลายพื้นที่ทั้งในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และในภาคเหนือของประเทศไทย เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย ในด้านภูมิปัญญาชาวไทขึนมีภูมิปัญญาด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่น่าสนใจและน่าศึกษา เพราะใช้การรักษาแบบท้องถิ่นหรือแบบพื้นบ้าน ในลักษณะของการรักษาแบบองค์รวม โดยมีมุมมองต่อสุขภาพความเจ็บป่วยทางกายและทางจิตใจในลักษณะที่ไม่ได้แยกจากกัน ความเจ็บป่วยที่มีอาการต่างกันหรือเป็นโรคต่างกัน อาจจะมีสาเหตุเดียวกัน และมีวิธีการเยียวยารักษาแบบเดียวกัน โดยวิธีการเยียวยาความเจ็บป่วยอาจจะใช้มากกว่าหนึ่งวิธี การรักษาความเจ็บป่วยของชาวไทขึนจึงต้องอาศัยความรู้ที่หลากหลายและมีความสัมพันธ์กันทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคมวัฒนธรรม สภาพการเปลี่ยนแปลงในสังคมโลกปัจจุบันโดยเฉพาะเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ได้มีบทบาทมาช่วยเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ส่งผลให้ภูมิปัญญาในการดูแลรักษาสุขภาพดังกล่าว กำลังจะถูกลืมเลือนและสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนนั้น ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญประการหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและ การรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้อย่างดี สามารถนำมาพัฒนาคลังข้อมูลดิจิทัลภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพ และเป็นแนวทางในการจัดการองค์ความรู้และภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งจะนำมาสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประยุกต์ใช้งานให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมต่อไป</p>
<p>
</p>ภูมิปัญญา, คลังข้อมูล, พิธีกรรม, กลุ่มชาติพันธุ์, ไทขึน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=239https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/382-cover.jpg
239รายงานงานวิจัยการศึกษาภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว<p>
กลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในอาเซียนที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน เดิมมีถิ่นฐานพำนักอาศัยอยู่ในเมืองเชียงตุง หัวเมืองใหญ่ทางตะวันออกของที่ราบสูงฉาน ในช่วงระยะหลายร้อยปีที่ผ่านมาได้มีการอพยพ เคลื่อนย้าย และตั้งถิ่นฐานเพื่อพำนักอยู่อาศัยอยู่กระจัดกระจายตามพื้นที่ในเมืองเล็กเมืองน้อย รวมไปจนถึงพื้นที่ของสิบสองพันนา โดยการตั้งถิ่นฐานปัจจุบันพบว่าอาศัยอยู่ในหลายพื้นที่ทั้งในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และในภาคเหนือของประเทศไทย เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย ในด้านภูมิปัญญาชาวไทขึนมีภูมิปัญญาด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่น่าสนใจและน่าศึกษา เพราะใช้การรักษาแบบท้องถิ่นหรือแบบพื้นบ้าน ในลักษณะของการรักษาแบบองค์รวม โดยมีมุมมองต่อสุขภาพความเจ็บป่วยทางกายและทางจิตใจในลักษณะที่ไม่ได้แยกจากกัน ความเจ็บป่วยที่มีอาการต่างกันหรือเป็นโรคต่างกัน อาจจะมีสาเหตุเดียวกัน และมีวิธีการเยียวยารักษาแบบเดียวกัน โดยวิธีการเยียวยาความเจ็บป่วยอาจจะใช้มากกว่าหนึ่งวิธี การรักษาความเจ็บป่วยของชาวไทขึนจึงต้องอาศัยความรู้ที่หลากหลายและมีความสัมพันธ์กันทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคมวัฒนธรรม สภาพการเปลี่ยนแปลงในสังคมโลกปัจจุบันโดยเฉพาะเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ได้มีบทบาทมาช่วยเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ส่งผลให้ภูมิปัญญาในการดูแลรักษาสุขภาพดังกล่าว กำลังจะถูกลืมเลือนและสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนนั้น ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญประการหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและ การรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้อย่างดี สามารถนำมาพัฒนาคลังข้อมูลดิจิทัลภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพ และเป็นแนวทางในการจัดการองค์ความรู้และภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งจะนำมาสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประยุกต์ใช้งานให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมต่อไป</p>
<p>
</p>ภูมิปัญญา, คลังข้อมูล, พิธีกรรม, กลุ่มชาติพันธุ์, ไทขึน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=239https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/382-cover.jpg
239รายงานการศึกษาภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว<p>
กลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในอาเซียนที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน เดิมมีถิ่นฐานพำนักอาศัยอยู่ในเมืองเชียงตุง หัวเมืองใหญ่ทางตะวันออกของที่ราบสูงฉาน ในช่วงระยะหลายร้อยปีที่ผ่านมาได้มีการอพยพ เคลื่อนย้าย และตั้งถิ่นฐานเพื่อพำนักอยู่อาศัยอยู่กระจัดกระจายตามพื้นที่ในเมืองเล็กเมืองน้อย รวมไปจนถึงพื้นที่ของสิบสองพันนา โดยการตั้งถิ่นฐานปัจจุบันพบว่าอาศัยอยู่ในหลายพื้นที่ทั้งในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และในภาคเหนือของประเทศไทย เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย ในด้านภูมิปัญญาชาวไทขึนมีภูมิปัญญาด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่น่าสนใจและน่าศึกษา เพราะใช้การรักษาแบบท้องถิ่นหรือแบบพื้นบ้าน ในลักษณะของการรักษาแบบองค์รวม โดยมีมุมมองต่อสุขภาพความเจ็บป่วยทางกายและทางจิตใจในลักษณะที่ไม่ได้แยกจากกัน ความเจ็บป่วยที่มีอาการต่างกันหรือเป็นโรคต่างกัน อาจจะมีสาเหตุเดียวกัน และมีวิธีการเยียวยารักษาแบบเดียวกัน โดยวิธีการเยียวยาความเจ็บป่วยอาจจะใช้มากกว่าหนึ่งวิธี การรักษาความเจ็บป่วยของชาวไทขึนจึงต้องอาศัยความรู้ที่หลากหลายและมีความสัมพันธ์กันทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคมวัฒนธรรม สภาพการเปลี่ยนแปลงในสังคมโลกปัจจุบันโดยเฉพาะเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ได้มีบทบาทมาช่วยเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ส่งผลให้ภูมิปัญญาในการดูแลรักษาสุขภาพดังกล่าว กำลังจะถูกลืมเลือนและสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนนั้น ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญประการหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและ การรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้อย่างดี สามารถนำมาพัฒนาคลังข้อมูลดิจิทัลภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพ และเป็นแนวทางในการจัดการองค์ความรู้และภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งจะนำมาสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประยุกต์ใช้งานให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมต่อไป</p>
<p>
</p>ภูมิปัญญา, คลังข้อมูล, พิธีกรรม, กลุ่มชาติพันธุ์, ไทขึน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=239https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/382-cover.jpg
239หนังสือการศึกษาภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว<p>
กลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในอาเซียนที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน เดิมมีถิ่นฐานพำนักอาศัยอยู่ในเมืองเชียงตุง หัวเมืองใหญ่ทางตะวันออกของที่ราบสูงฉาน ในช่วงระยะหลายร้อยปีที่ผ่านมาได้มีการอพยพ เคลื่อนย้าย และตั้งถิ่นฐานเพื่อพำนักอยู่อาศัยอยู่กระจัดกระจายตามพื้นที่ในเมืองเล็กเมืองน้อย รวมไปจนถึงพื้นที่ของสิบสองพันนา โดยการตั้งถิ่นฐานปัจจุบันพบว่าอาศัยอยู่ในหลายพื้นที่ทั้งในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และในภาคเหนือของประเทศไทย เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย ในด้านภูมิปัญญาชาวไทขึนมีภูมิปัญญาด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่น่าสนใจและน่าศึกษา เพราะใช้การรักษาแบบท้องถิ่นหรือแบบพื้นบ้าน ในลักษณะของการรักษาแบบองค์รวม โดยมีมุมมองต่อสุขภาพความเจ็บป่วยทางกายและทางจิตใจในลักษณะที่ไม่ได้แยกจากกัน ความเจ็บป่วยที่มีอาการต่างกันหรือเป็นโรคต่างกัน อาจจะมีสาเหตุเดียวกัน และมีวิธีการเยียวยารักษาแบบเดียวกัน โดยวิธีการเยียวยาความเจ็บป่วยอาจจะใช้มากกว่าหนึ่งวิธี การรักษาความเจ็บป่วยของชาวไทขึนจึงต้องอาศัยความรู้ที่หลากหลายและมีความสัมพันธ์กันทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคมวัฒนธรรม สภาพการเปลี่ยนแปลงในสังคมโลกปัจจุบันโดยเฉพาะเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ได้มีบทบาทมาช่วยเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ส่งผลให้ภูมิปัญญาในการดูแลรักษาสุขภาพดังกล่าว กำลังจะถูกลืมเลือนและสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนนั้น ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญประการหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและ การรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้อย่างดี สามารถนำมาพัฒนาคลังข้อมูลดิจิทัลภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพ และเป็นแนวทางในการจัดการองค์ความรู้และภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งจะนำมาสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประยุกต์ใช้งานให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมต่อไป</p>
<p>
</p>ภูมิปัญญา, คลังข้อมูล, พิธีกรรม, กลุ่มชาติพันธุ์, ไทขึน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=239https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/382-cover.jpg
239จุลสารการศึกษาภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว<p>
กลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในอาเซียนที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน เดิมมีถิ่นฐานพำนักอาศัยอยู่ในเมืองเชียงตุง หัวเมืองใหญ่ทางตะวันออกของที่ราบสูงฉาน ในช่วงระยะหลายร้อยปีที่ผ่านมาได้มีการอพยพ เคลื่อนย้าย และตั้งถิ่นฐานเพื่อพำนักอยู่อาศัยอยู่กระจัดกระจายตามพื้นที่ในเมืองเล็กเมืองน้อย รวมไปจนถึงพื้นที่ของสิบสองพันนา โดยการตั้งถิ่นฐานปัจจุบันพบว่าอาศัยอยู่ในหลายพื้นที่ทั้งในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และในภาคเหนือของประเทศไทย เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย ในด้านภูมิปัญญาชาวไทขึนมีภูมิปัญญาด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่น่าสนใจและน่าศึกษา เพราะใช้การรักษาแบบท้องถิ่นหรือแบบพื้นบ้าน ในลักษณะของการรักษาแบบองค์รวม โดยมีมุมมองต่อสุขภาพความเจ็บป่วยทางกายและทางจิตใจในลักษณะที่ไม่ได้แยกจากกัน ความเจ็บป่วยที่มีอาการต่างกันหรือเป็นโรคต่างกัน อาจจะมีสาเหตุเดียวกัน และมีวิธีการเยียวยารักษาแบบเดียวกัน โดยวิธีการเยียวยาความเจ็บป่วยอาจจะใช้มากกว่าหนึ่งวิธี การรักษาความเจ็บป่วยของชาวไทขึนจึงต้องอาศัยความรู้ที่หลากหลายและมีความสัมพันธ์กันทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคมวัฒนธรรม สภาพการเปลี่ยนแปลงในสังคมโลกปัจจุบันโดยเฉพาะเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ได้มีบทบาทมาช่วยเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ส่งผลให้ภูมิปัญญาในการดูแลรักษาสุขภาพดังกล่าว กำลังจะถูกลืมเลือนและสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนนั้น ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญประการหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและ การรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้อย่างดี สามารถนำมาพัฒนาคลังข้อมูลดิจิทัลภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพ และเป็นแนวทางในการจัดการองค์ความรู้และภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งจะนำมาสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประยุกต์ใช้งานให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมต่อไป</p>
<p>
</p>ภูมิปัญญา, คลังข้อมูล, พิธีกรรม, กลุ่มชาติพันธุ์, ไทขึน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=239https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/382-cover.jpg
239สูจิบัตรการศึกษาภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว<p>
กลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในอาเซียนที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน เดิมมีถิ่นฐานพำนักอาศัยอยู่ในเมืองเชียงตุง หัวเมืองใหญ่ทางตะวันออกของที่ราบสูงฉาน ในช่วงระยะหลายร้อยปีที่ผ่านมาได้มีการอพยพ เคลื่อนย้าย และตั้งถิ่นฐานเพื่อพำนักอยู่อาศัยอยู่กระจัดกระจายตามพื้นที่ในเมืองเล็กเมืองน้อย รวมไปจนถึงพื้นที่ของสิบสองพันนา โดยการตั้งถิ่นฐานปัจจุบันพบว่าอาศัยอยู่ในหลายพื้นที่ทั้งในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และในภาคเหนือของประเทศไทย เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย ในด้านภูมิปัญญาชาวไทขึนมีภูมิปัญญาด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่น่าสนใจและน่าศึกษา เพราะใช้การรักษาแบบท้องถิ่นหรือแบบพื้นบ้าน ในลักษณะของการรักษาแบบองค์รวม โดยมีมุมมองต่อสุขภาพความเจ็บป่วยทางกายและทางจิตใจในลักษณะที่ไม่ได้แยกจากกัน ความเจ็บป่วยที่มีอาการต่างกันหรือเป็นโรคต่างกัน อาจจะมีสาเหตุเดียวกัน และมีวิธีการเยียวยารักษาแบบเดียวกัน โดยวิธีการเยียวยาความเจ็บป่วยอาจจะใช้มากกว่าหนึ่งวิธี การรักษาความเจ็บป่วยของชาวไทขึนจึงต้องอาศัยความรู้ที่หลากหลายและมีความสัมพันธ์กันทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคมวัฒนธรรม สภาพการเปลี่ยนแปลงในสังคมโลกปัจจุบันโดยเฉพาะเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ได้มีบทบาทมาช่วยเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ส่งผลให้ภูมิปัญญาในการดูแลรักษาสุขภาพดังกล่าว กำลังจะถูกลืมเลือนและสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนนั้น ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญประการหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและ การรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้อย่างดี สามารถนำมาพัฒนาคลังข้อมูลดิจิทัลภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพ และเป็นแนวทางในการจัดการองค์ความรู้และภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งจะนำมาสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประยุกต์ใช้งานให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมต่อไป</p>
<p>
</p>ภูมิปัญญา, คลังข้อมูล, พิธีกรรม, กลุ่มชาติพันธุ์, ไทขึน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=239https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/382-cover.jpg
240อื่นๆพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน<p>
การวิจัยในครั้งนี้มุ่งศึกษาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวนในหลายด้าน อันได้แก่ ด้านการศึกษาพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศในการสื่อสารการรับรู้ข้อมูลต่างๆ กระแสความนิยม รวมถึงการเข้าเรียนในระบบการศึกษาของไทยภาคบังคับ ซึ่งให้ผู้เข้าเรียนใช้ภาษากลางในการสื่อสารพูดคุย มีการนำวัฒนธรรมของชาวพวนมาพัฒนากิจกรรมให้เกิดความโดดเด่นหรือการผลิตใหม่ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวไทยพวนให้กับคนทั่วไปได้รู้จัก ยอมรับจนเกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมขึ้น ส่วนในด้านการสืบทอดของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่า ชาวพวนรับรู้และมีสำนึกในความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พวนที่อพยพมาจากประเทศลาวเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย มีการสร้างตัวตน และการยอมรับโดยการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านเครือข่ายทั้งในระดับหมู่บ้านจนถึงระดับประเทศ</p>
<p>
</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, พวน, วัฒนธรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=240https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/383-cover.jpg
240วารสารพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน<p>
การวิจัยในครั้งนี้มุ่งศึกษาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวนในหลายด้าน อันได้แก่ ด้านการศึกษาพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศในการสื่อสารการรับรู้ข้อมูลต่างๆ กระแสความนิยม รวมถึงการเข้าเรียนในระบบการศึกษาของไทยภาคบังคับ ซึ่งให้ผู้เข้าเรียนใช้ภาษากลางในการสื่อสารพูดคุย มีการนำวัฒนธรรมของชาวพวนมาพัฒนากิจกรรมให้เกิดความโดดเด่นหรือการผลิตใหม่ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวไทยพวนให้กับคนทั่วไปได้รู้จัก ยอมรับจนเกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมขึ้น ส่วนในด้านการสืบทอดของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่า ชาวพวนรับรู้และมีสำนึกในความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พวนที่อพยพมาจากประเทศลาวเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย มีการสร้างตัวตน และการยอมรับโดยการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านเครือข่ายทั้งในระดับหมู่บ้านจนถึงระดับประเทศ</p>
<p>
</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, พวน, วัฒนธรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=240https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/383-cover.jpg
240บทความพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน<p>
การวิจัยในครั้งนี้มุ่งศึกษาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวนในหลายด้าน อันได้แก่ ด้านการศึกษาพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศในการสื่อสารการรับรู้ข้อมูลต่างๆ กระแสความนิยม รวมถึงการเข้าเรียนในระบบการศึกษาของไทยภาคบังคับ ซึ่งให้ผู้เข้าเรียนใช้ภาษากลางในการสื่อสารพูดคุย มีการนำวัฒนธรรมของชาวพวนมาพัฒนากิจกรรมให้เกิดความโดดเด่นหรือการผลิตใหม่ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวไทยพวนให้กับคนทั่วไปได้รู้จัก ยอมรับจนเกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมขึ้น ส่วนในด้านการสืบทอดของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่า ชาวพวนรับรู้และมีสำนึกในความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พวนที่อพยพมาจากประเทศลาวเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย มีการสร้างตัวตน และการยอมรับโดยการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านเครือข่ายทั้งในระดับหมู่บ้านจนถึงระดับประเทศ</p>
<p>
</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, พวน, วัฒนธรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=240https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/383-cover.jpg
240วิทยานิพนธ์พลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน<p>
การวิจัยในครั้งนี้มุ่งศึกษาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวนในหลายด้าน อันได้แก่ ด้านการศึกษาพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศในการสื่อสารการรับรู้ข้อมูลต่างๆ กระแสความนิยม รวมถึงการเข้าเรียนในระบบการศึกษาของไทยภาคบังคับ ซึ่งให้ผู้เข้าเรียนใช้ภาษากลางในการสื่อสารพูดคุย มีการนำวัฒนธรรมของชาวพวนมาพัฒนากิจกรรมให้เกิดความโดดเด่นหรือการผลิตใหม่ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวไทยพวนให้กับคนทั่วไปได้รู้จัก ยอมรับจนเกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมขึ้น ส่วนในด้านการสืบทอดของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่า ชาวพวนรับรู้และมีสำนึกในความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พวนที่อพยพมาจากประเทศลาวเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย มีการสร้างตัวตน และการยอมรับโดยการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านเครือข่ายทั้งในระดับหมู่บ้านจนถึงระดับประเทศ</p>
<p>
</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, พวน, วัฒนธรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=240https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/383-cover.jpg
240รายงานงานวิจัยพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน<p>
การวิจัยในครั้งนี้มุ่งศึกษาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวนในหลายด้าน อันได้แก่ ด้านการศึกษาพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศในการสื่อสารการรับรู้ข้อมูลต่างๆ กระแสความนิยม รวมถึงการเข้าเรียนในระบบการศึกษาของไทยภาคบังคับ ซึ่งให้ผู้เข้าเรียนใช้ภาษากลางในการสื่อสารพูดคุย มีการนำวัฒนธรรมของชาวพวนมาพัฒนากิจกรรมให้เกิดความโดดเด่นหรือการผลิตใหม่ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวไทยพวนให้กับคนทั่วไปได้รู้จัก ยอมรับจนเกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมขึ้น ส่วนในด้านการสืบทอดของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่า ชาวพวนรับรู้และมีสำนึกในความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พวนที่อพยพมาจากประเทศลาวเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย มีการสร้างตัวตน และการยอมรับโดยการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านเครือข่ายทั้งในระดับหมู่บ้านจนถึงระดับประเทศ</p>
<p>
</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, พวน, วัฒนธรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=240https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/383-cover.jpg
240รายงานพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน<p>
การวิจัยในครั้งนี้มุ่งศึกษาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวนในหลายด้าน อันได้แก่ ด้านการศึกษาพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศในการสื่อสารการรับรู้ข้อมูลต่างๆ กระแสความนิยม รวมถึงการเข้าเรียนในระบบการศึกษาของไทยภาคบังคับ ซึ่งให้ผู้เข้าเรียนใช้ภาษากลางในการสื่อสารพูดคุย มีการนำวัฒนธรรมของชาวพวนมาพัฒนากิจกรรมให้เกิดความโดดเด่นหรือการผลิตใหม่ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวไทยพวนให้กับคนทั่วไปได้รู้จัก ยอมรับจนเกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมขึ้น ส่วนในด้านการสืบทอดของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่า ชาวพวนรับรู้และมีสำนึกในความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พวนที่อพยพมาจากประเทศลาวเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย มีการสร้างตัวตน และการยอมรับโดยการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านเครือข่ายทั้งในระดับหมู่บ้านจนถึงระดับประเทศ</p>
<p>
</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, พวน, วัฒนธรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=240https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/383-cover.jpg
240หนังสือพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน<p>
การวิจัยในครั้งนี้มุ่งศึกษาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวนในหลายด้าน อันได้แก่ ด้านการศึกษาพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศในการสื่อสารการรับรู้ข้อมูลต่างๆ กระแสความนิยม รวมถึงการเข้าเรียนในระบบการศึกษาของไทยภาคบังคับ ซึ่งให้ผู้เข้าเรียนใช้ภาษากลางในการสื่อสารพูดคุย มีการนำวัฒนธรรมของชาวพวนมาพัฒนากิจกรรมให้เกิดความโดดเด่นหรือการผลิตใหม่ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวไทยพวนให้กับคนทั่วไปได้รู้จัก ยอมรับจนเกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมขึ้น ส่วนในด้านการสืบทอดของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่า ชาวพวนรับรู้และมีสำนึกในความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พวนที่อพยพมาจากประเทศลาวเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย มีการสร้างตัวตน และการยอมรับโดยการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านเครือข่ายทั้งในระดับหมู่บ้านจนถึงระดับประเทศ</p>
<p>
</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, พวน, วัฒนธรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=240https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/383-cover.jpg
240จุลสารพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน<p>
การวิจัยในครั้งนี้มุ่งศึกษาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวนในหลายด้าน อันได้แก่ ด้านการศึกษาพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศในการสื่อสารการรับรู้ข้อมูลต่างๆ กระแสความนิยม รวมถึงการเข้าเรียนในระบบการศึกษาของไทยภาคบังคับ ซึ่งให้ผู้เข้าเรียนใช้ภาษากลางในการสื่อสารพูดคุย มีการนำวัฒนธรรมของชาวพวนมาพัฒนากิจกรรมให้เกิดความโดดเด่นหรือการผลิตใหม่ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวไทยพวนให้กับคนทั่วไปได้รู้จัก ยอมรับจนเกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมขึ้น ส่วนในด้านการสืบทอดของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่า ชาวพวนรับรู้และมีสำนึกในความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พวนที่อพยพมาจากประเทศลาวเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย มีการสร้างตัวตน และการยอมรับโดยการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านเครือข่ายทั้งในระดับหมู่บ้านจนถึงระดับประเทศ</p>
<p>
</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, พวน, วัฒนธรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=240https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/383-cover.jpg
240สูจิบัตรพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน<p>
การวิจัยในครั้งนี้มุ่งศึกษาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวนในหลายด้าน อันได้แก่ ด้านการศึกษาพลวัตและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศในการสื่อสารการรับรู้ข้อมูลต่างๆ กระแสความนิยม รวมถึงการเข้าเรียนในระบบการศึกษาของไทยภาคบังคับ ซึ่งให้ผู้เข้าเรียนใช้ภาษากลางในการสื่อสารพูดคุย มีการนำวัฒนธรรมของชาวพวนมาพัฒนากิจกรรมให้เกิดความโดดเด่นหรือการผลิตใหม่ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวไทยพวนให้กับคนทั่วไปได้รู้จัก ยอมรับจนเกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมขึ้น ส่วนในด้านการสืบทอดของกลุ่มชาติพันธุ์พวน พบว่า ชาวพวนรับรู้และมีสำนึกในความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พวนที่อพยพมาจากประเทศลาวเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย มีการสร้างตัวตน และการยอมรับโดยการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านเครือข่ายทั้งในระดับหมู่บ้านจนถึงระดับประเทศ</p>
<p>
</p>พลวัต, กลุ่มชาติพันธุ์, พวน, วัฒนธรรม4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=240https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/383-cover.jpg
241อื่นๆความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย<p>
โครงการวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย เล่มนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่มีพื้นที่เป้าหมายงานวิจัยคืออำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และเก็บข้อมูลบางส่วนที่ชุมชนลื้อแขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และชุมชนลื้อที่เมืองสิบสองปันนา มนฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ผลการวิจัยพบว่า ชาวลื้อทั้งสามประเทศมีการยึดโยงความสัมพันธ์กันบนฐานของความเป็นชาติพันธุ์ลื้อด้วยกัน มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านระบบเครือญาติ และเครือญาติโดยการสมรส ผ่านงานประเพณีและวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และที่มาของคนลื้อแต่ละพื้นที่ ความเชื่อด้านผีบรรพบุรุษและสายสกุล รวมถึงผีบ้านและผีเมืองที่ชาวลื้อเคารพนับถือ มีบางส่วนที่มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายอย่างเป็นทางการผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมของหน่วยงานภาครัฐ และความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายการค้าขายและการทำธุรกิจ ในปัจจุบันปัจจัยที่สำคัญที่ช่วยให้คนลื้อได้กระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้นแม้จะอยู่คนละประเทศคือการมีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ช่วยให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้เร็วและง่ายขึ้น</p>ลื้อ, กลุ่มชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ความสัมพันธ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=241https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/384-cover.jpg
241วารสารความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย<p>
โครงการวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย เล่มนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่มีพื้นที่เป้าหมายงานวิจัยคืออำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และเก็บข้อมูลบางส่วนที่ชุมชนลื้อแขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และชุมชนลื้อที่เมืองสิบสองปันนา มนฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ผลการวิจัยพบว่า ชาวลื้อทั้งสามประเทศมีการยึดโยงความสัมพันธ์กันบนฐานของความเป็นชาติพันธุ์ลื้อด้วยกัน มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านระบบเครือญาติ และเครือญาติโดยการสมรส ผ่านงานประเพณีและวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และที่มาของคนลื้อแต่ละพื้นที่ ความเชื่อด้านผีบรรพบุรุษและสายสกุล รวมถึงผีบ้านและผีเมืองที่ชาวลื้อเคารพนับถือ มีบางส่วนที่มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายอย่างเป็นทางการผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมของหน่วยงานภาครัฐ และความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายการค้าขายและการทำธุรกิจ ในปัจจุบันปัจจัยที่สำคัญที่ช่วยให้คนลื้อได้กระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้นแม้จะอยู่คนละประเทศคือการมีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ช่วยให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้เร็วและง่ายขึ้น</p>ลื้อ, กลุ่มชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ความสัมพันธ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=241https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/384-cover.jpg
241บทความความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย<p>
โครงการวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย เล่มนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่มีพื้นที่เป้าหมายงานวิจัยคืออำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และเก็บข้อมูลบางส่วนที่ชุมชนลื้อแขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และชุมชนลื้อที่เมืองสิบสองปันนา มนฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ผลการวิจัยพบว่า ชาวลื้อทั้งสามประเทศมีการยึดโยงความสัมพันธ์กันบนฐานของความเป็นชาติพันธุ์ลื้อด้วยกัน มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านระบบเครือญาติ และเครือญาติโดยการสมรส ผ่านงานประเพณีและวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และที่มาของคนลื้อแต่ละพื้นที่ ความเชื่อด้านผีบรรพบุรุษและสายสกุล รวมถึงผีบ้านและผีเมืองที่ชาวลื้อเคารพนับถือ มีบางส่วนที่มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายอย่างเป็นทางการผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมของหน่วยงานภาครัฐ และความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายการค้าขายและการทำธุรกิจ ในปัจจุบันปัจจัยที่สำคัญที่ช่วยให้คนลื้อได้กระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้นแม้จะอยู่คนละประเทศคือการมีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ช่วยให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้เร็วและง่ายขึ้น</p>ลื้อ, กลุ่มชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ความสัมพันธ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=241https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/384-cover.jpg
241วิทยานิพนธ์ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย<p>
โครงการวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย เล่มนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่มีพื้นที่เป้าหมายงานวิจัยคืออำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และเก็บข้อมูลบางส่วนที่ชุมชนลื้อแขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และชุมชนลื้อที่เมืองสิบสองปันนา มนฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ผลการวิจัยพบว่า ชาวลื้อทั้งสามประเทศมีการยึดโยงความสัมพันธ์กันบนฐานของความเป็นชาติพันธุ์ลื้อด้วยกัน มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านระบบเครือญาติ และเครือญาติโดยการสมรส ผ่านงานประเพณีและวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และที่มาของคนลื้อแต่ละพื้นที่ ความเชื่อด้านผีบรรพบุรุษและสายสกุล รวมถึงผีบ้านและผีเมืองที่ชาวลื้อเคารพนับถือ มีบางส่วนที่มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายอย่างเป็นทางการผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมของหน่วยงานภาครัฐ และความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายการค้าขายและการทำธุรกิจ ในปัจจุบันปัจจัยที่สำคัญที่ช่วยให้คนลื้อได้กระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้นแม้จะอยู่คนละประเทศคือการมีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ช่วยให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้เร็วและง่ายขึ้น</p>ลื้อ, กลุ่มชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ความสัมพันธ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=241https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/384-cover.jpg
241รายงานงานวิจัยความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย<p>
โครงการวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย เล่มนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่มีพื้นที่เป้าหมายงานวิจัยคืออำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และเก็บข้อมูลบางส่วนที่ชุมชนลื้อแขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และชุมชนลื้อที่เมืองสิบสองปันนา มนฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ผลการวิจัยพบว่า ชาวลื้อทั้งสามประเทศมีการยึดโยงความสัมพันธ์กันบนฐานของความเป็นชาติพันธุ์ลื้อด้วยกัน มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านระบบเครือญาติ และเครือญาติโดยการสมรส ผ่านงานประเพณีและวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และที่มาของคนลื้อแต่ละพื้นที่ ความเชื่อด้านผีบรรพบุรุษและสายสกุล รวมถึงผีบ้านและผีเมืองที่ชาวลื้อเคารพนับถือ มีบางส่วนที่มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายอย่างเป็นทางการผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมของหน่วยงานภาครัฐ และความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายการค้าขายและการทำธุรกิจ ในปัจจุบันปัจจัยที่สำคัญที่ช่วยให้คนลื้อได้กระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้นแม้จะอยู่คนละประเทศคือการมีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ช่วยให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้เร็วและง่ายขึ้น</p>ลื้อ, กลุ่มชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ความสัมพันธ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=241https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/384-cover.jpg
241รายงานความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย<p>
โครงการวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย เล่มนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่มีพื้นที่เป้าหมายงานวิจัยคืออำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และเก็บข้อมูลบางส่วนที่ชุมชนลื้อแขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และชุมชนลื้อที่เมืองสิบสองปันนา มนฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ผลการวิจัยพบว่า ชาวลื้อทั้งสามประเทศมีการยึดโยงความสัมพันธ์กันบนฐานของความเป็นชาติพันธุ์ลื้อด้วยกัน มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านระบบเครือญาติ และเครือญาติโดยการสมรส ผ่านงานประเพณีและวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และที่มาของคนลื้อแต่ละพื้นที่ ความเชื่อด้านผีบรรพบุรุษและสายสกุล รวมถึงผีบ้านและผีเมืองที่ชาวลื้อเคารพนับถือ มีบางส่วนที่มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายอย่างเป็นทางการผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมของหน่วยงานภาครัฐ และความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายการค้าขายและการทำธุรกิจ ในปัจจุบันปัจจัยที่สำคัญที่ช่วยให้คนลื้อได้กระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้นแม้จะอยู่คนละประเทศคือการมีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ช่วยให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้เร็วและง่ายขึ้น</p>ลื้อ, กลุ่มชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ความสัมพันธ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=241https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/384-cover.jpg
241หนังสือความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย<p>
โครงการวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย เล่มนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่มีพื้นที่เป้าหมายงานวิจัยคืออำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และเก็บข้อมูลบางส่วนที่ชุมชนลื้อแขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และชุมชนลื้อที่เมืองสิบสองปันนา มนฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ผลการวิจัยพบว่า ชาวลื้อทั้งสามประเทศมีการยึดโยงความสัมพันธ์กันบนฐานของความเป็นชาติพันธุ์ลื้อด้วยกัน มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านระบบเครือญาติ และเครือญาติโดยการสมรส ผ่านงานประเพณีและวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และที่มาของคนลื้อแต่ละพื้นที่ ความเชื่อด้านผีบรรพบุรุษและสายสกุล รวมถึงผีบ้านและผีเมืองที่ชาวลื้อเคารพนับถือ มีบางส่วนที่มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายอย่างเป็นทางการผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมของหน่วยงานภาครัฐ และความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายการค้าขายและการทำธุรกิจ ในปัจจุบันปัจจัยที่สำคัญที่ช่วยให้คนลื้อได้กระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้นแม้จะอยู่คนละประเทศคือการมีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ช่วยให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้เร็วและง่ายขึ้น</p>ลื้อ, กลุ่มชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ความสัมพันธ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=241https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/384-cover.jpg
241จุลสารความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย<p>
โครงการวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย เล่มนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่มีพื้นที่เป้าหมายงานวิจัยคืออำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และเก็บข้อมูลบางส่วนที่ชุมชนลื้อแขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และชุมชนลื้อที่เมืองสิบสองปันนา มนฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ผลการวิจัยพบว่า ชาวลื้อทั้งสามประเทศมีการยึดโยงความสัมพันธ์กันบนฐานของความเป็นชาติพันธุ์ลื้อด้วยกัน มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านระบบเครือญาติ และเครือญาติโดยการสมรส ผ่านงานประเพณีและวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และที่มาของคนลื้อแต่ละพื้นที่ ความเชื่อด้านผีบรรพบุรุษและสายสกุล รวมถึงผีบ้านและผีเมืองที่ชาวลื้อเคารพนับถือ มีบางส่วนที่มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายอย่างเป็นทางการผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมของหน่วยงานภาครัฐ และความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายการค้าขายและการทำธุรกิจ ในปัจจุบันปัจจัยที่สำคัญที่ช่วยให้คนลื้อได้กระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้นแม้จะอยู่คนละประเทศคือการมีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ช่วยให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้เร็วและง่ายขึ้น</p>ลื้อ, กลุ่มชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ความสัมพันธ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=241https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/384-cover.jpg
241สูจิบัตรความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย<p>
โครงการวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อในจีน ลาว และไทย เล่มนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่มีพื้นที่เป้าหมายงานวิจัยคืออำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และเก็บข้อมูลบางส่วนที่ชุมชนลื้อแขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และชุมชนลื้อที่เมืองสิบสองปันนา มนฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ผลการวิจัยพบว่า ชาวลื้อทั้งสามประเทศมีการยึดโยงความสัมพันธ์กันบนฐานของความเป็นชาติพันธุ์ลื้อด้วยกัน มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านระบบเครือญาติ และเครือญาติโดยการสมรส ผ่านงานประเพณีและวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และที่มาของคนลื้อแต่ละพื้นที่ ความเชื่อด้านผีบรรพบุรุษและสายสกุล รวมถึงผีบ้านและผีเมืองที่ชาวลื้อเคารพนับถือ มีบางส่วนที่มีการยึดโยงความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายอย่างเป็นทางการผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมของหน่วยงานภาครัฐ และความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายการค้าขายและการทำธุรกิจ ในปัจจุบันปัจจัยที่สำคัญที่ช่วยให้คนลื้อได้กระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้นแม้จะอยู่คนละประเทศคือการมีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ช่วยให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้เร็วและง่ายขึ้น</p>ลื้อ, กลุ่มชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ความสัมพันธ์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=241https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/384-cover.jpg
242อื่นๆพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีศึกษาแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยเรื่อง “พัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ โดยมีพื้นที่ศึกษาในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และเก็บข้อมูลเพิ่มเติมที่อำเภอเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และเมืองตองยี รัฐฉาน ประเทศสหภาพเมียนมาร์ ผลการวิจัยพบว่า แรงงานไทใหญ่ที่เข้ามาทำงานในอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่มีทั้งแรงงานถูกกฎหมายและแรงงานผิดกฎหมาย แรงงานเหล่านี้พัฒนาการการเคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 ยุค ซึ่งในแต่ละยุคมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแตกต่างกัน ทั้งปัจจัยในประเทศสหภาพเมียนมาร์และปัจจัยในประเทศไทย</p>ไทใหญ่, กลุ่มชาติพันธุ์, แรงงานข้ามชาติ, อาเซียน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=242https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/385-cover.jpg
242วารสารพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีศึกษาแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยเรื่อง “พัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ โดยมีพื้นที่ศึกษาในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และเก็บข้อมูลเพิ่มเติมที่อำเภอเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และเมืองตองยี รัฐฉาน ประเทศสหภาพเมียนมาร์ ผลการวิจัยพบว่า แรงงานไทใหญ่ที่เข้ามาทำงานในอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่มีทั้งแรงงานถูกกฎหมายและแรงงานผิดกฎหมาย แรงงานเหล่านี้พัฒนาการการเคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 ยุค ซึ่งในแต่ละยุคมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแตกต่างกัน ทั้งปัจจัยในประเทศสหภาพเมียนมาร์และปัจจัยในประเทศไทย</p>ไทใหญ่, กลุ่มชาติพันธุ์, แรงงานข้ามชาติ, อาเซียน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=242https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/385-cover.jpg
242บทความพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีศึกษาแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยเรื่อง “พัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ โดยมีพื้นที่ศึกษาในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และเก็บข้อมูลเพิ่มเติมที่อำเภอเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และเมืองตองยี รัฐฉาน ประเทศสหภาพเมียนมาร์ ผลการวิจัยพบว่า แรงงานไทใหญ่ที่เข้ามาทำงานในอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่มีทั้งแรงงานถูกกฎหมายและแรงงานผิดกฎหมาย แรงงานเหล่านี้พัฒนาการการเคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 ยุค ซึ่งในแต่ละยุคมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแตกต่างกัน ทั้งปัจจัยในประเทศสหภาพเมียนมาร์และปัจจัยในประเทศไทย</p>ไทใหญ่, กลุ่มชาติพันธุ์, แรงงานข้ามชาติ, อาเซียน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=242https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/385-cover.jpg
242วิทยานิพนธ์พัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีศึกษาแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยเรื่อง “พัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ โดยมีพื้นที่ศึกษาในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และเก็บข้อมูลเพิ่มเติมที่อำเภอเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และเมืองตองยี รัฐฉาน ประเทศสหภาพเมียนมาร์ ผลการวิจัยพบว่า แรงงานไทใหญ่ที่เข้ามาทำงานในอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่มีทั้งแรงงานถูกกฎหมายและแรงงานผิดกฎหมาย แรงงานเหล่านี้พัฒนาการการเคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 ยุค ซึ่งในแต่ละยุคมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแตกต่างกัน ทั้งปัจจัยในประเทศสหภาพเมียนมาร์และปัจจัยในประเทศไทย</p>ไทใหญ่, กลุ่มชาติพันธุ์, แรงงานข้ามชาติ, อาเซียน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=242https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/385-cover.jpg
242รายงานงานวิจัยพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีศึกษาแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยเรื่อง “พัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ โดยมีพื้นที่ศึกษาในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และเก็บข้อมูลเพิ่มเติมที่อำเภอเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และเมืองตองยี รัฐฉาน ประเทศสหภาพเมียนมาร์ ผลการวิจัยพบว่า แรงงานไทใหญ่ที่เข้ามาทำงานในอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่มีทั้งแรงงานถูกกฎหมายและแรงงานผิดกฎหมาย แรงงานเหล่านี้พัฒนาการการเคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 ยุค ซึ่งในแต่ละยุคมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแตกต่างกัน ทั้งปัจจัยในประเทศสหภาพเมียนมาร์และปัจจัยในประเทศไทย</p>ไทใหญ่, กลุ่มชาติพันธุ์, แรงงานข้ามชาติ, อาเซียน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=242https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/385-cover.jpg
242รายงานพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีศึกษาแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยเรื่อง “พัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ โดยมีพื้นที่ศึกษาในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และเก็บข้อมูลเพิ่มเติมที่อำเภอเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และเมืองตองยี รัฐฉาน ประเทศสหภาพเมียนมาร์ ผลการวิจัยพบว่า แรงงานไทใหญ่ที่เข้ามาทำงานในอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่มีทั้งแรงงานถูกกฎหมายและแรงงานผิดกฎหมาย แรงงานเหล่านี้พัฒนาการการเคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 ยุค ซึ่งในแต่ละยุคมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแตกต่างกัน ทั้งปัจจัยในประเทศสหภาพเมียนมาร์และปัจจัยในประเทศไทย</p>ไทใหญ่, กลุ่มชาติพันธุ์, แรงงานข้ามชาติ, อาเซียน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=242https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/385-cover.jpg
242หนังสือพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีศึกษาแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยเรื่อง “พัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ โดยมีพื้นที่ศึกษาในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และเก็บข้อมูลเพิ่มเติมที่อำเภอเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และเมืองตองยี รัฐฉาน ประเทศสหภาพเมียนมาร์ ผลการวิจัยพบว่า แรงงานไทใหญ่ที่เข้ามาทำงานในอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่มีทั้งแรงงานถูกกฎหมายและแรงงานผิดกฎหมาย แรงงานเหล่านี้พัฒนาการการเคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 ยุค ซึ่งในแต่ละยุคมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแตกต่างกัน ทั้งปัจจัยในประเทศสหภาพเมียนมาร์และปัจจัยในประเทศไทย</p>ไทใหญ่, กลุ่มชาติพันธุ์, แรงงานข้ามชาติ, อาเซียน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=242https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/385-cover.jpg
242จุลสารพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีศึกษาแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยเรื่อง “พัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ โดยมีพื้นที่ศึกษาในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และเก็บข้อมูลเพิ่มเติมที่อำเภอเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และเมืองตองยี รัฐฉาน ประเทศสหภาพเมียนมาร์ ผลการวิจัยพบว่า แรงงานไทใหญ่ที่เข้ามาทำงานในอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่มีทั้งแรงงานถูกกฎหมายและแรงงานผิดกฎหมาย แรงงานเหล่านี้พัฒนาการการเคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 ยุค ซึ่งในแต่ละยุคมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแตกต่างกัน ทั้งปัจจัยในประเทศสหภาพเมียนมาร์และปัจจัยในประเทศไทย</p>ไทใหญ่, กลุ่มชาติพันธุ์, แรงงานข้ามชาติ, อาเซียน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=242https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/385-cover.jpg
242สูจิบัตรพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีศึกษาแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยเรื่อง “พัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในตลาดแรงงานอาเซียน: กรณีแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาพัฒนาการการเคลื่อนย้ายแรงงานและการปรับตัวของแรงงานข้ามชาติไทใหญ่ โดยมีพื้นที่ศึกษาในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และเก็บข้อมูลเพิ่มเติมที่อำเภอเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และเมืองตองยี รัฐฉาน ประเทศสหภาพเมียนมาร์ ผลการวิจัยพบว่า แรงงานไทใหญ่ที่เข้ามาทำงานในอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่มีทั้งแรงงานถูกกฎหมายและแรงงานผิดกฎหมาย แรงงานเหล่านี้พัฒนาการการเคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 ยุค ซึ่งในแต่ละยุคมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแตกต่างกัน ทั้งปัจจัยในประเทศสหภาพเมียนมาร์และปัจจัยในประเทศไทย</p>ไทใหญ่, กลุ่มชาติพันธุ์, แรงงานข้ามชาติ, อาเซียน4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=242https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/385-cover.jpg
243อื่นๆการปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทยและ ลาว<p>
โครงการ “การปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และลาว” จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และประเทศลาว ศึกษาเปรียบเทียบด้านการปรับตัวให้เข้ากับบริบททางสังคมปัจจุบัน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ มีการปรับตัวไปตามพื้นที่อยู่อาศัย เช่น กลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ราบใกล้กับชุมชนเมืองเชียงใหม่ปรับตัวได้รวดเร็ว มีความกลมกลืนกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่ผสมผสานกันอย่างหลากหลายจนแยกไม่ออกเมื่อดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนเมือง มีความพยายามในการรวมกลุ่มเพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ด้วยการใช้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นยุคตำนานสร้างเครือข่ายขึ้น ขณะเดียวกันการปรับตัวด้านความเชื่อและพิธีกรรม มีปัจจัยที่เอื้อต่อกันในการปรับลด เพิ่ม และคงที่ในสิ่งที่สืบทอดมา คือ ปัจจัยในการลดจำนวนผีที่เลี้ยงลงเนื่องจากการรับเอาพุทธศาสนาเข้ามาในชุมชน การยกเลิกใช้เครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างที่เคยจำเป็นในอดีตเนื่องจากมีสิ่งทดแทนที่ทันสมัยกว่า ประกอบกับความเจริญด้านการรักษาพยาบาล การคมนาคมขนส่ง การศึกษา ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้ามการโหยหาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่ออธิบายภูมิหลังความเป็นมา สร้างอัตลักษณ์และตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะทำให้เกิดการสร้างประเพณีพิธีกรรมขึ้นใหม่ผ่านตำนานเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์และยอมรับในความเป็นลัวะและแสดงออกทางอัตลักษณ์มากขึ้น</p>กลุ่มชาติพันธุ์, ลัวะ, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, ประวัติศาสตร์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=243https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/386-cover.jpg
243วารสารการปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทยและ ลาว<p>
โครงการ “การปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และลาว” จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และประเทศลาว ศึกษาเปรียบเทียบด้านการปรับตัวให้เข้ากับบริบททางสังคมปัจจุบัน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ มีการปรับตัวไปตามพื้นที่อยู่อาศัย เช่น กลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ราบใกล้กับชุมชนเมืองเชียงใหม่ปรับตัวได้รวดเร็ว มีความกลมกลืนกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่ผสมผสานกันอย่างหลากหลายจนแยกไม่ออกเมื่อดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนเมือง มีความพยายามในการรวมกลุ่มเพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ด้วยการใช้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นยุคตำนานสร้างเครือข่ายขึ้น ขณะเดียวกันการปรับตัวด้านความเชื่อและพิธีกรรม มีปัจจัยที่เอื้อต่อกันในการปรับลด เพิ่ม และคงที่ในสิ่งที่สืบทอดมา คือ ปัจจัยในการลดจำนวนผีที่เลี้ยงลงเนื่องจากการรับเอาพุทธศาสนาเข้ามาในชุมชน การยกเลิกใช้เครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างที่เคยจำเป็นในอดีตเนื่องจากมีสิ่งทดแทนที่ทันสมัยกว่า ประกอบกับความเจริญด้านการรักษาพยาบาล การคมนาคมขนส่ง การศึกษา ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้ามการโหยหาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่ออธิบายภูมิหลังความเป็นมา สร้างอัตลักษณ์และตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะทำให้เกิดการสร้างประเพณีพิธีกรรมขึ้นใหม่ผ่านตำนานเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์และยอมรับในความเป็นลัวะและแสดงออกทางอัตลักษณ์มากขึ้น</p>กลุ่มชาติพันธุ์, ลัวะ, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, ประวัติศาสตร์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=243https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/386-cover.jpg
243บทความการปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทยและ ลาว<p>
โครงการ “การปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และลาว” จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และประเทศลาว ศึกษาเปรียบเทียบด้านการปรับตัวให้เข้ากับบริบททางสังคมปัจจุบัน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ มีการปรับตัวไปตามพื้นที่อยู่อาศัย เช่น กลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ราบใกล้กับชุมชนเมืองเชียงใหม่ปรับตัวได้รวดเร็ว มีความกลมกลืนกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่ผสมผสานกันอย่างหลากหลายจนแยกไม่ออกเมื่อดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนเมือง มีความพยายามในการรวมกลุ่มเพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ด้วยการใช้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นยุคตำนานสร้างเครือข่ายขึ้น ขณะเดียวกันการปรับตัวด้านความเชื่อและพิธีกรรม มีปัจจัยที่เอื้อต่อกันในการปรับลด เพิ่ม และคงที่ในสิ่งที่สืบทอดมา คือ ปัจจัยในการลดจำนวนผีที่เลี้ยงลงเนื่องจากการรับเอาพุทธศาสนาเข้ามาในชุมชน การยกเลิกใช้เครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างที่เคยจำเป็นในอดีตเนื่องจากมีสิ่งทดแทนที่ทันสมัยกว่า ประกอบกับความเจริญด้านการรักษาพยาบาล การคมนาคมขนส่ง การศึกษา ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้ามการโหยหาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่ออธิบายภูมิหลังความเป็นมา สร้างอัตลักษณ์และตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะทำให้เกิดการสร้างประเพณีพิธีกรรมขึ้นใหม่ผ่านตำนานเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์และยอมรับในความเป็นลัวะและแสดงออกทางอัตลักษณ์มากขึ้น</p>กลุ่มชาติพันธุ์, ลัวะ, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, ประวัติศาสตร์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=243https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/386-cover.jpg
243วิทยานิพนธ์การปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทยและ ลาว<p>
โครงการ “การปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และลาว” จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และประเทศลาว ศึกษาเปรียบเทียบด้านการปรับตัวให้เข้ากับบริบททางสังคมปัจจุบัน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ มีการปรับตัวไปตามพื้นที่อยู่อาศัย เช่น กลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ราบใกล้กับชุมชนเมืองเชียงใหม่ปรับตัวได้รวดเร็ว มีความกลมกลืนกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่ผสมผสานกันอย่างหลากหลายจนแยกไม่ออกเมื่อดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนเมือง มีความพยายามในการรวมกลุ่มเพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ด้วยการใช้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นยุคตำนานสร้างเครือข่ายขึ้น ขณะเดียวกันการปรับตัวด้านความเชื่อและพิธีกรรม มีปัจจัยที่เอื้อต่อกันในการปรับลด เพิ่ม และคงที่ในสิ่งที่สืบทอดมา คือ ปัจจัยในการลดจำนวนผีที่เลี้ยงลงเนื่องจากการรับเอาพุทธศาสนาเข้ามาในชุมชน การยกเลิกใช้เครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างที่เคยจำเป็นในอดีตเนื่องจากมีสิ่งทดแทนที่ทันสมัยกว่า ประกอบกับความเจริญด้านการรักษาพยาบาล การคมนาคมขนส่ง การศึกษา ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้ามการโหยหาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่ออธิบายภูมิหลังความเป็นมา สร้างอัตลักษณ์และตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะทำให้เกิดการสร้างประเพณีพิธีกรรมขึ้นใหม่ผ่านตำนานเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์และยอมรับในความเป็นลัวะและแสดงออกทางอัตลักษณ์มากขึ้น</p>กลุ่มชาติพันธุ์, ลัวะ, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, ประวัติศาสตร์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=243https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/386-cover.jpg
243รายงานงานวิจัยการปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทยและ ลาว<p>
โครงการ “การปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และลาว” จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และประเทศลาว ศึกษาเปรียบเทียบด้านการปรับตัวให้เข้ากับบริบททางสังคมปัจจุบัน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ มีการปรับตัวไปตามพื้นที่อยู่อาศัย เช่น กลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ราบใกล้กับชุมชนเมืองเชียงใหม่ปรับตัวได้รวดเร็ว มีความกลมกลืนกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่ผสมผสานกันอย่างหลากหลายจนแยกไม่ออกเมื่อดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนเมือง มีความพยายามในการรวมกลุ่มเพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ด้วยการใช้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นยุคตำนานสร้างเครือข่ายขึ้น ขณะเดียวกันการปรับตัวด้านความเชื่อและพิธีกรรม มีปัจจัยที่เอื้อต่อกันในการปรับลด เพิ่ม และคงที่ในสิ่งที่สืบทอดมา คือ ปัจจัยในการลดจำนวนผีที่เลี้ยงลงเนื่องจากการรับเอาพุทธศาสนาเข้ามาในชุมชน การยกเลิกใช้เครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างที่เคยจำเป็นในอดีตเนื่องจากมีสิ่งทดแทนที่ทันสมัยกว่า ประกอบกับความเจริญด้านการรักษาพยาบาล การคมนาคมขนส่ง การศึกษา ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้ามการโหยหาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่ออธิบายภูมิหลังความเป็นมา สร้างอัตลักษณ์และตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะทำให้เกิดการสร้างประเพณีพิธีกรรมขึ้นใหม่ผ่านตำนานเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์และยอมรับในความเป็นลัวะและแสดงออกทางอัตลักษณ์มากขึ้น</p>กลุ่มชาติพันธุ์, ลัวะ, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, ประวัติศาสตร์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=243https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/386-cover.jpg
243รายงานการปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทยและ ลาว<p>
โครงการ “การปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และลาว” จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และประเทศลาว ศึกษาเปรียบเทียบด้านการปรับตัวให้เข้ากับบริบททางสังคมปัจจุบัน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ มีการปรับตัวไปตามพื้นที่อยู่อาศัย เช่น กลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ราบใกล้กับชุมชนเมืองเชียงใหม่ปรับตัวได้รวดเร็ว มีความกลมกลืนกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่ผสมผสานกันอย่างหลากหลายจนแยกไม่ออกเมื่อดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนเมือง มีความพยายามในการรวมกลุ่มเพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ด้วยการใช้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นยุคตำนานสร้างเครือข่ายขึ้น ขณะเดียวกันการปรับตัวด้านความเชื่อและพิธีกรรม มีปัจจัยที่เอื้อต่อกันในการปรับลด เพิ่ม และคงที่ในสิ่งที่สืบทอดมา คือ ปัจจัยในการลดจำนวนผีที่เลี้ยงลงเนื่องจากการรับเอาพุทธศาสนาเข้ามาในชุมชน การยกเลิกใช้เครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างที่เคยจำเป็นในอดีตเนื่องจากมีสิ่งทดแทนที่ทันสมัยกว่า ประกอบกับความเจริญด้านการรักษาพยาบาล การคมนาคมขนส่ง การศึกษา ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้ามการโหยหาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่ออธิบายภูมิหลังความเป็นมา สร้างอัตลักษณ์และตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะทำให้เกิดการสร้างประเพณีพิธีกรรมขึ้นใหม่ผ่านตำนานเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์และยอมรับในความเป็นลัวะและแสดงออกทางอัตลักษณ์มากขึ้น</p>กลุ่มชาติพันธุ์, ลัวะ, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, ประวัติศาสตร์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=243https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/386-cover.jpg
243หนังสือการปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทยและ ลาว<p>
โครงการ “การปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และลาว” จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และประเทศลาว ศึกษาเปรียบเทียบด้านการปรับตัวให้เข้ากับบริบททางสังคมปัจจุบัน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ มีการปรับตัวไปตามพื้นที่อยู่อาศัย เช่น กลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ราบใกล้กับชุมชนเมืองเชียงใหม่ปรับตัวได้รวดเร็ว มีความกลมกลืนกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่ผสมผสานกันอย่างหลากหลายจนแยกไม่ออกเมื่อดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนเมือง มีความพยายามในการรวมกลุ่มเพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ด้วยการใช้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นยุคตำนานสร้างเครือข่ายขึ้น ขณะเดียวกันการปรับตัวด้านความเชื่อและพิธีกรรม มีปัจจัยที่เอื้อต่อกันในการปรับลด เพิ่ม และคงที่ในสิ่งที่สืบทอดมา คือ ปัจจัยในการลดจำนวนผีที่เลี้ยงลงเนื่องจากการรับเอาพุทธศาสนาเข้ามาในชุมชน การยกเลิกใช้เครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างที่เคยจำเป็นในอดีตเนื่องจากมีสิ่งทดแทนที่ทันสมัยกว่า ประกอบกับความเจริญด้านการรักษาพยาบาล การคมนาคมขนส่ง การศึกษา ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้ามการโหยหาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่ออธิบายภูมิหลังความเป็นมา สร้างอัตลักษณ์และตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะทำให้เกิดการสร้างประเพณีพิธีกรรมขึ้นใหม่ผ่านตำนานเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์และยอมรับในความเป็นลัวะและแสดงออกทางอัตลักษณ์มากขึ้น</p>กลุ่มชาติพันธุ์, ลัวะ, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, ประวัติศาสตร์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=243https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/386-cover.jpg
243จุลสารการปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทยและ ลาว<p>
โครงการ “การปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และลาว” จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และประเทศลาว ศึกษาเปรียบเทียบด้านการปรับตัวให้เข้ากับบริบททางสังคมปัจจุบัน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ มีการปรับตัวไปตามพื้นที่อยู่อาศัย เช่น กลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ราบใกล้กับชุมชนเมืองเชียงใหม่ปรับตัวได้รวดเร็ว มีความกลมกลืนกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่ผสมผสานกันอย่างหลากหลายจนแยกไม่ออกเมื่อดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนเมือง มีความพยายามในการรวมกลุ่มเพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ด้วยการใช้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นยุคตำนานสร้างเครือข่ายขึ้น ขณะเดียวกันการปรับตัวด้านความเชื่อและพิธีกรรม มีปัจจัยที่เอื้อต่อกันในการปรับลด เพิ่ม และคงที่ในสิ่งที่สืบทอดมา คือ ปัจจัยในการลดจำนวนผีที่เลี้ยงลงเนื่องจากการรับเอาพุทธศาสนาเข้ามาในชุมชน การยกเลิกใช้เครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างที่เคยจำเป็นในอดีตเนื่องจากมีสิ่งทดแทนที่ทันสมัยกว่า ประกอบกับความเจริญด้านการรักษาพยาบาล การคมนาคมขนส่ง การศึกษา ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้ามการโหยหาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่ออธิบายภูมิหลังความเป็นมา สร้างอัตลักษณ์และตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะทำให้เกิดการสร้างประเพณีพิธีกรรมขึ้นใหม่ผ่านตำนานเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์และยอมรับในความเป็นลัวะและแสดงออกทางอัตลักษณ์มากขึ้น</p>กลุ่มชาติพันธุ์, ลัวะ, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, ประวัติศาสตร์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=243https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/386-cover.jpg
243สูจิบัตรการปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทยและ ลาว<p>
โครงการ “การปรับตัวในมิติความเชื่อและพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และลาว” จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย และประเทศลาว ศึกษาเปรียบเทียบด้านการปรับตัวให้เข้ากับบริบททางสังคมปัจจุบัน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ มีการปรับตัวไปตามพื้นที่อยู่อาศัย เช่น กลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ราบใกล้กับชุมชนเมืองเชียงใหม่ปรับตัวได้รวดเร็ว มีความกลมกลืนกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่ผสมผสานกันอย่างหลากหลายจนแยกไม่ออกเมื่อดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนเมือง มีความพยายามในการรวมกลุ่มเพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ด้วยการใช้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นยุคตำนานสร้างเครือข่ายขึ้น ขณะเดียวกันการปรับตัวด้านความเชื่อและพิธีกรรม มีปัจจัยที่เอื้อต่อกันในการปรับลด เพิ่ม และคงที่ในสิ่งที่สืบทอดมา คือ ปัจจัยในการลดจำนวนผีที่เลี้ยงลงเนื่องจากการรับเอาพุทธศาสนาเข้ามาในชุมชน การยกเลิกใช้เครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างที่เคยจำเป็นในอดีตเนื่องจากมีสิ่งทดแทนที่ทันสมัยกว่า ประกอบกับความเจริญด้านการรักษาพยาบาล การคมนาคมขนส่ง การศึกษา ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้ามการโหยหาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่ออธิบายภูมิหลังความเป็นมา สร้างอัตลักษณ์และตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะทำให้เกิดการสร้างประเพณีพิธีกรรมขึ้นใหม่ผ่านตำนานเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์และยอมรับในความเป็นลัวะและแสดงออกทางอัตลักษณ์มากขึ้น</p>กลุ่มชาติพันธุ์, ลัวะ, ความเชื่อ, พิธีกรรม, วิถีชีวิต, ประวัติศาสตร์4 มิถุนายน พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=243https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/386-cover.jpg
244อื่นๆประมวล 10 ผลงานสำคัญของ 10 นักมานุษยวิทยา<p>
มานุษยวิทยา (Anthropology) เป็นสาขาวิชาอันเกี่ยวข้องกับการศึกษามนุษย์ หากขอบเขตของมานุษยวิทยาค่อนข้างกว้าง ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของสังคมโบราณดั้งเดิมจนถึงสังคมร่วมสมัย วงการมานุษยวิทยาแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ในยุคแรกเริ่มบุกเบิกโดยนักมานุษยวิทยาจากฝั่งอังกฤษและอเมริกา นำโดย Sir Edward Burnett Tylor และ Franz Boas ซึ่งได้กรุยทางการศึกษามานุษยวิทยาให้เป็นสาขาวิชาที่เข้มแข็งจวบจนปัจจุบัน ถัดจากนักมานุษยวิทยาสองท่านในรุ่นบุกเบิกแล้ว “ประมวล 10 ผลงานของ 10 นักมานุษยวิทยา” ได้พิจารณาจากผลงาน ชื่อเสียงที่ถูกกล่าวขานเป็นที่รู้จักในแวดวงวิชาการมานุษยวิทยาไทย กอปรกับคุณูปการทางวิชาการอันเป็นที่ประจักษ์และได้รับความนิยมในการอ้างอิงถึงเป็นสำคัญอีก 8 ท่าน นอกจากนั้นแล้ว ยังผนวกรวมนักคิดร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงทางสังคมศาสตร์ในโลกตะวันตกชาวฝรั่งเศส 2 ท่านรวมเข้ามาด้วย ได้แก่ มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault, 1926 -1984) และ ปิแอร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu, 1930 – 2002) ด้วยพิจารณาว่าผลงานทางวิชาการของทั้งสองส่งผลต่อการนำแนวความคิดเชิงทฤษฎียุคหลังโครงสร้างนิยมได้ถูกนำไปใช้ในการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการและนักศึกษามานุษยวิทยาไทยอย่างกว้างขวาง ดังนั้นจึงนำเสนอ 10 นักมานุษยวิทยาตามยุคสมัยและลำดับเวลาของแต่ละคน ด้วยประวัติโดยสังเขป และแนะนำผลงานหนังสือ บทความ งานรวบรวมผลงานเขียนที่เลือกสรรมา และหนังสือที่เขียนถึงหรือเกี่ยวข้องกับแต่ละท่าน ทั้งในเชิงประวัติส่วนตัว คุณูปการทางวิชาการ และสังคม รวมผลงานการเฉลิมฉลองในวาระพิเศษ หรือรวมผลงานฉบับผู้อ่านทั่วไป</p>มานุษยวิทยา, นักมานุษยวิทยา, สังคมศาสตร์29 ตุลาคม พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=244https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/198-cover.jpg
244วารสารประมวล 10 ผลงานสำคัญของ 10 นักมานุษยวิทยา<p>
มานุษยวิทยา (Anthropology) เป็นสาขาวิชาอันเกี่ยวข้องกับการศึกษามนุษย์ หากขอบเขตของมานุษยวิทยาค่อนข้างกว้าง ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของสังคมโบราณดั้งเดิมจนถึงสังคมร่วมสมัย วงการมานุษยวิทยาแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ในยุคแรกเริ่มบุกเบิกโดยนักมานุษยวิทยาจากฝั่งอังกฤษและอเมริกา นำโดย Sir Edward Burnett Tylor และ Franz Boas ซึ่งได้กรุยทางการศึกษามานุษยวิทยาให้เป็นสาขาวิชาที่เข้มแข็งจวบจนปัจจุบัน ถัดจากนักมานุษยวิทยาสองท่านในรุ่นบุกเบิกแล้ว “ประมวล 10 ผลงานของ 10 นักมานุษยวิทยา” ได้พิจารณาจากผลงาน ชื่อเสียงที่ถูกกล่าวขานเป็นที่รู้จักในแวดวงวิชาการมานุษยวิทยาไทย กอปรกับคุณูปการทางวิชาการอันเป็นที่ประจักษ์และได้รับความนิยมในการอ้างอิงถึงเป็นสำคัญอีก 8 ท่าน นอกจากนั้นแล้ว ยังผนวกรวมนักคิดร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงทางสังคมศาสตร์ในโลกตะวันตกชาวฝรั่งเศส 2 ท่านรวมเข้ามาด้วย ได้แก่ มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault, 1926 -1984) และ ปิแอร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu, 1930 – 2002) ด้วยพิจารณาว่าผลงานทางวิชาการของทั้งสองส่งผลต่อการนำแนวความคิดเชิงทฤษฎียุคหลังโครงสร้างนิยมได้ถูกนำไปใช้ในการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการและนักศึกษามานุษยวิทยาไทยอย่างกว้างขวาง ดังนั้นจึงนำเสนอ 10 นักมานุษยวิทยาตามยุคสมัยและลำดับเวลาของแต่ละคน ด้วยประวัติโดยสังเขป และแนะนำผลงานหนังสือ บทความ งานรวบรวมผลงานเขียนที่เลือกสรรมา และหนังสือที่เขียนถึงหรือเกี่ยวข้องกับแต่ละท่าน ทั้งในเชิงประวัติส่วนตัว คุณูปการทางวิชาการ และสังคม รวมผลงานการเฉลิมฉลองในวาระพิเศษ หรือรวมผลงานฉบับผู้อ่านทั่วไป</p>มานุษยวิทยา, นักมานุษยวิทยา, สังคมศาสตร์29 ตุลาคม พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=244https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/198-cover.jpg
244บทความประมวล 10 ผลงานสำคัญของ 10 นักมานุษยวิทยา<p>
มานุษยวิทยา (Anthropology) เป็นสาขาวิชาอันเกี่ยวข้องกับการศึกษามนุษย์ หากขอบเขตของมานุษยวิทยาค่อนข้างกว้าง ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของสังคมโบราณดั้งเดิมจนถึงสังคมร่วมสมัย วงการมานุษยวิทยาแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ในยุคแรกเริ่มบุกเบิกโดยนักมานุษยวิทยาจากฝั่งอังกฤษและอเมริกา นำโดย Sir Edward Burnett Tylor และ Franz Boas ซึ่งได้กรุยทางการศึกษามานุษยวิทยาให้เป็นสาขาวิชาที่เข้มแข็งจวบจนปัจจุบัน ถัดจากนักมานุษยวิทยาสองท่านในรุ่นบุกเบิกแล้ว “ประมวล 10 ผลงานของ 10 นักมานุษยวิทยา” ได้พิจารณาจากผลงาน ชื่อเสียงที่ถูกกล่าวขานเป็นที่รู้จักในแวดวงวิชาการมานุษยวิทยาไทย กอปรกับคุณูปการทางวิชาการอันเป็นที่ประจักษ์และได้รับความนิยมในการอ้างอิงถึงเป็นสำคัญอีก 8 ท่าน นอกจากนั้นแล้ว ยังผนวกรวมนักคิดร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงทางสังคมศาสตร์ในโลกตะวันตกชาวฝรั่งเศส 2 ท่านรวมเข้ามาด้วย ได้แก่ มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault, 1926 -1984) และ ปิแอร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu, 1930 – 2002) ด้วยพิจารณาว่าผลงานทางวิชาการของทั้งสองส่งผลต่อการนำแนวความคิดเชิงทฤษฎียุคหลังโครงสร้างนิยมได้ถูกนำไปใช้ในการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการและนักศึกษามานุษยวิทยาไทยอย่างกว้างขวาง ดังนั้นจึงนำเสนอ 10 นักมานุษยวิทยาตามยุคสมัยและลำดับเวลาของแต่ละคน ด้วยประวัติโดยสังเขป และแนะนำผลงานหนังสือ บทความ งานรวบรวมผลงานเขียนที่เลือกสรรมา และหนังสือที่เขียนถึงหรือเกี่ยวข้องกับแต่ละท่าน ทั้งในเชิงประวัติส่วนตัว คุณูปการทางวิชาการ และสังคม รวมผลงานการเฉลิมฉลองในวาระพิเศษ หรือรวมผลงานฉบับผู้อ่านทั่วไป</p>มานุษยวิทยา, นักมานุษยวิทยา, สังคมศาสตร์29 ตุลาคม พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=244https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/198-cover.jpg
244วิทยานิพนธ์ประมวล 10 ผลงานสำคัญของ 10 นักมานุษยวิทยา<p>
มานุษยวิทยา (Anthropology) เป็นสาขาวิชาอันเกี่ยวข้องกับการศึกษามนุษย์ หากขอบเขตของมานุษยวิทยาค่อนข้างกว้าง ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของสังคมโบราณดั้งเดิมจนถึงสังคมร่วมสมัย วงการมานุษยวิทยาแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ในยุคแรกเริ่มบุกเบิกโดยนักมานุษยวิทยาจากฝั่งอังกฤษและอเมริกา นำโดย Sir Edward Burnett Tylor และ Franz Boas ซึ่งได้กรุยทางการศึกษามานุษยวิทยาให้เป็นสาขาวิชาที่เข้มแข็งจวบจนปัจจุบัน ถัดจากนักมานุษยวิทยาสองท่านในรุ่นบุกเบิกแล้ว “ประมวล 10 ผลงานของ 10 นักมานุษยวิทยา” ได้พิจารณาจากผลงาน ชื่อเสียงที่ถูกกล่าวขานเป็นที่รู้จักในแวดวงวิชาการมานุษยวิทยาไทย กอปรกับคุณูปการทางวิชาการอันเป็นที่ประจักษ์และได้รับความนิยมในการอ้างอิงถึงเป็นสำคัญอีก 8 ท่าน นอกจากนั้นแล้ว ยังผนวกรวมนักคิดร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงทางสังคมศาสตร์ในโลกตะวันตกชาวฝรั่งเศส 2 ท่านรวมเข้ามาด้วย ได้แก่ มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault, 1926 -1984) และ ปิแอร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu, 1930 – 2002) ด้วยพิจารณาว่าผลงานทางวิชาการของทั้งสองส่งผลต่อการนำแนวความคิดเชิงทฤษฎียุคหลังโครงสร้างนิยมได้ถูกนำไปใช้ในการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการและนักศึกษามานุษยวิทยาไทยอย่างกว้างขวาง ดังนั้นจึงนำเสนอ 10 นักมานุษยวิทยาตามยุคสมัยและลำดับเวลาของแต่ละคน ด้วยประวัติโดยสังเขป และแนะนำผลงานหนังสือ บทความ งานรวบรวมผลงานเขียนที่เลือกสรรมา และหนังสือที่เขียนถึงหรือเกี่ยวข้องกับแต่ละท่าน ทั้งในเชิงประวัติส่วนตัว คุณูปการทางวิชาการ และสังคม รวมผลงานการเฉลิมฉลองในวาระพิเศษ หรือรวมผลงานฉบับผู้อ่านทั่วไป</p>มานุษยวิทยา, นักมานุษยวิทยา, สังคมศาสตร์29 ตุลาคม พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=244https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/198-cover.jpg
244รายงานงานวิจัยประมวล 10 ผลงานสำคัญของ 10 นักมานุษยวิทยา<p>
มานุษยวิทยา (Anthropology) เป็นสาขาวิชาอันเกี่ยวข้องกับการศึกษามนุษย์ หากขอบเขตของมานุษยวิทยาค่อนข้างกว้าง ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของสังคมโบราณดั้งเดิมจนถึงสังคมร่วมสมัย วงการมานุษยวิทยาแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ในยุคแรกเริ่มบุกเบิกโดยนักมานุษยวิทยาจากฝั่งอังกฤษและอเมริกา นำโดย Sir Edward Burnett Tylor และ Franz Boas ซึ่งได้กรุยทางการศึกษามานุษยวิทยาให้เป็นสาขาวิชาที่เข้มแข็งจวบจนปัจจุบัน ถัดจากนักมานุษยวิทยาสองท่านในรุ่นบุกเบิกแล้ว “ประมวล 10 ผลงานของ 10 นักมานุษยวิทยา” ได้พิจารณาจากผลงาน ชื่อเสียงที่ถูกกล่าวขานเป็นที่รู้จักในแวดวงวิชาการมานุษยวิทยาไทย กอปรกับคุณูปการทางวิชาการอันเป็นที่ประจักษ์และได้รับความนิยมในการอ้างอิงถึงเป็นสำคัญอีก 8 ท่าน นอกจากนั้นแล้ว ยังผนวกรวมนักคิดร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงทางสังคมศาสตร์ในโลกตะวันตกชาวฝรั่งเศส 2 ท่านรวมเข้ามาด้วย ได้แก่ มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault, 1926 -1984) และ ปิแอร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu, 1930 – 2002) ด้วยพิจารณาว่าผลงานทางวิชาการของทั้งสองส่งผลต่อการนำแนวความคิดเชิงทฤษฎียุคหลังโครงสร้างนิยมได้ถูกนำไปใช้ในการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการและนักศึกษามานุษยวิทยาไทยอย่างกว้างขวาง ดังนั้นจึงนำเสนอ 10 นักมานุษยวิทยาตามยุคสมัยและลำดับเวลาของแต่ละคน ด้วยประวัติโดยสังเขป และแนะนำผลงานหนังสือ บทความ งานรวบรวมผลงานเขียนที่เลือกสรรมา และหนังสือที่เขียนถึงหรือเกี่ยวข้องกับแต่ละท่าน ทั้งในเชิงประวัติส่วนตัว คุณูปการทางวิชาการ และสังคม รวมผลงานการเฉลิมฉลองในวาระพิเศษ หรือรวมผลงานฉบับผู้อ่านทั่วไป</p>มานุษยวิทยา, นักมานุษยวิทยา, สังคมศาสตร์29 ตุลาคม พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=244https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/198-cover.jpg
244รายงานประมวล 10 ผลงานสำคัญของ 10 นักมานุษยวิทยา<p>
มานุษยวิทยา (Anthropology) เป็นสาขาวิชาอันเกี่ยวข้องกับการศึกษามนุษย์ หากขอบเขตของมานุษยวิทยาค่อนข้างกว้าง ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของสังคมโบราณดั้งเดิมจนถึงสังคมร่วมสมัย วงการมานุษยวิทยาแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ในยุคแรกเริ่มบุกเบิกโดยนักมานุษยวิทยาจากฝั่งอังกฤษและอเมริกา นำโดย Sir Edward Burnett Tylor และ Franz Boas ซึ่งได้กรุยทางการศึกษามานุษยวิทยาให้เป็นสาขาวิชาที่เข้มแข็งจวบจนปัจจุบัน ถัดจากนักมานุษยวิทยาสองท่านในรุ่นบุกเบิกแล้ว “ประมวล 10 ผลงานของ 10 นักมานุษยวิทยา” ได้พิจารณาจากผลงาน ชื่อเสียงที่ถูกกล่าวขานเป็นที่รู้จักในแวดวงวิชาการมานุษยวิทยาไทย กอปรกับคุณูปการทางวิชาการอันเป็นที่ประจักษ์และได้รับความนิยมในการอ้างอิงถึงเป็นสำคัญอีก 8 ท่าน นอกจากนั้นแล้ว ยังผนวกรวมนักคิดร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงทางสังคมศาสตร์ในโลกตะวันตกชาวฝรั่งเศส 2 ท่านรวมเข้ามาด้วย ได้แก่ มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault, 1926 -1984) และ ปิแอร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu, 1930 – 2002) ด้วยพิจารณาว่าผลงานทางวิชาการของทั้งสองส่งผลต่อการนำแนวความคิดเชิงทฤษฎียุคหลังโครงสร้างนิยมได้ถูกนำไปใช้ในการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการและนักศึกษามานุษยวิทยาไทยอย่างกว้างขวาง ดังนั้นจึงนำเสนอ 10 นักมานุษยวิทยาตามยุคสมัยและลำดับเวลาของแต่ละคน ด้วยประวัติโดยสังเขป และแนะนำผลงานหนังสือ บทความ งานรวบรวมผลงานเขียนที่เลือกสรรมา และหนังสือที่เขียนถึงหรือเกี่ยวข้องกับแต่ละท่าน ทั้งในเชิงประวัติส่วนตัว คุณูปการทางวิชาการ และสังคม รวมผลงานการเฉลิมฉลองในวาระพิเศษ หรือรวมผลงานฉบับผู้อ่านทั่วไป</p>มานุษยวิทยา, นักมานุษยวิทยา, สังคมศาสตร์29 ตุลาคม พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=244https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/198-cover.jpg
244หนังสือประมวล 10 ผลงานสำคัญของ 10 นักมานุษยวิทยา<p>
มานุษยวิทยา (Anthropology) เป็นสาขาวิชาอันเกี่ยวข้องกับการศึกษามนุษย์ หากขอบเขตของมานุษยวิทยาค่อนข้างกว้าง ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของสังคมโบราณดั้งเดิมจนถึงสังคมร่วมสมัย วงการมานุษยวิทยาแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ในยุคแรกเริ่มบุกเบิกโดยนักมานุษยวิทยาจากฝั่งอังกฤษและอเมริกา นำโดย Sir Edward Burnett Tylor และ Franz Boas ซึ่งได้กรุยทางการศึกษามานุษยวิทยาให้เป็นสาขาวิชาที่เข้มแข็งจวบจนปัจจุบัน ถัดจากนักมานุษยวิทยาสองท่านในรุ่นบุกเบิกแล้ว “ประมวล 10 ผลงานของ 10 นักมานุษยวิทยา” ได้พิจารณาจากผลงาน ชื่อเสียงที่ถูกกล่าวขานเป็นที่รู้จักในแวดวงวิชาการมานุษยวิทยาไทย กอปรกับคุณูปการทางวิชาการอันเป็นที่ประจักษ์และได้รับความนิยมในการอ้างอิงถึงเป็นสำคัญอีก 8 ท่าน นอกจากนั้นแล้ว ยังผนวกรวมนักคิดร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงทางสังคมศาสตร์ในโลกตะวันตกชาวฝรั่งเศส 2 ท่านรวมเข้ามาด้วย ได้แก่ มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault, 1926 -1984) และ ปิแอร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu, 1930 – 2002) ด้วยพิจารณาว่าผลงานทางวิชาการของทั้งสองส่งผลต่อการนำแนวความคิดเชิงทฤษฎียุคหลังโครงสร้างนิยมได้ถูกนำไปใช้ในการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการและนักศึกษามานุษยวิทยาไทยอย่างกว้างขวาง ดังนั้นจึงนำเสนอ 10 นักมานุษยวิทยาตามยุคสมัยและลำดับเวลาของแต่ละคน ด้วยประวัติโดยสังเขป และแนะนำผลงานหนังสือ บทความ งานรวบรวมผลงานเขียนที่เลือกสรรมา และหนังสือที่เขียนถึงหรือเกี่ยวข้องกับแต่ละท่าน ทั้งในเชิงประวัติส่วนตัว คุณูปการทางวิชาการ และสังคม รวมผลงานการเฉลิมฉลองในวาระพิเศษ หรือรวมผลงานฉบับผู้อ่านทั่วไป</p>มานุษยวิทยา, นักมานุษยวิทยา, สังคมศาสตร์29 ตุลาคม พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=244https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/198-cover.jpg
244จุลสารประมวล 10 ผลงานสำคัญของ 10 นักมานุษยวิทยา<p>
มานุษยวิทยา (Anthropology) เป็นสาขาวิชาอันเกี่ยวข้องกับการศึกษามนุษย์ หากขอบเขตของมานุษยวิทยาค่อนข้างกว้าง ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของสังคมโบราณดั้งเดิมจนถึงสังคมร่วมสมัย วงการมานุษยวิทยาแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ในยุคแรกเริ่มบุกเบิกโดยนักมานุษยวิทยาจากฝั่งอังกฤษและอเมริกา นำโดย Sir Edward Burnett Tylor และ Franz Boas ซึ่งได้กรุยทางการศึกษามานุษยวิทยาให้เป็นสาขาวิชาที่เข้มแข็งจวบจนปัจจุบัน ถัดจากนักมานุษยวิทยาสองท่านในรุ่นบุกเบิกแล้ว “ประมวล 10 ผลงานของ 10 นักมานุษยวิทยา” ได้พิจารณาจากผลงาน ชื่อเสียงที่ถูกกล่าวขานเป็นที่รู้จักในแวดวงวิชาการมานุษยวิทยาไทย กอปรกับคุณูปการทางวิชาการอันเป็นที่ประจักษ์และได้รับความนิยมในการอ้างอิงถึงเป็นสำคัญอีก 8 ท่าน นอกจากนั้นแล้ว ยังผนวกรวมนักคิดร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงทางสังคมศาสตร์ในโลกตะวันตกชาวฝรั่งเศส 2 ท่านรวมเข้ามาด้วย ได้แก่ มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault, 1926 -1984) และ ปิแอร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu, 1930 – 2002) ด้วยพิจารณาว่าผลงานทางวิชาการของทั้งสองส่งผลต่อการนำแนวความคิดเชิงทฤษฎียุคหลังโครงสร้างนิยมได้ถูกนำไปใช้ในการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการและนักศึกษามานุษยวิทยาไทยอย่างกว้างขวาง ดังนั้นจึงนำเสนอ 10 นักมานุษยวิทยาตามยุคสมัยและลำดับเวลาของแต่ละคน ด้วยประวัติโดยสังเขป และแนะนำผลงานหนังสือ บทความ งานรวบรวมผลงานเขียนที่เลือกสรรมา และหนังสือที่เขียนถึงหรือเกี่ยวข้องกับแต่ละท่าน ทั้งในเชิงประวัติส่วนตัว คุณูปการทางวิชาการ และสังคม รวมผลงานการเฉลิมฉลองในวาระพิเศษ หรือรวมผลงานฉบับผู้อ่านทั่วไป</p>มานุษยวิทยา, นักมานุษยวิทยา, สังคมศาสตร์29 ตุลาคม พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=244https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/198-cover.jpg
244สูจิบัตรประมวล 10 ผลงานสำคัญของ 10 นักมานุษยวิทยา<p>
มานุษยวิทยา (Anthropology) เป็นสาขาวิชาอันเกี่ยวข้องกับการศึกษามนุษย์ หากขอบเขตของมานุษยวิทยาค่อนข้างกว้าง ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของสังคมโบราณดั้งเดิมจนถึงสังคมร่วมสมัย วงการมานุษยวิทยาแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ในยุคแรกเริ่มบุกเบิกโดยนักมานุษยวิทยาจากฝั่งอังกฤษและอเมริกา นำโดย Sir Edward Burnett Tylor และ Franz Boas ซึ่งได้กรุยทางการศึกษามานุษยวิทยาให้เป็นสาขาวิชาที่เข้มแข็งจวบจนปัจจุบัน ถัดจากนักมานุษยวิทยาสองท่านในรุ่นบุกเบิกแล้ว “ประมวล 10 ผลงานของ 10 นักมานุษยวิทยา” ได้พิจารณาจากผลงาน ชื่อเสียงที่ถูกกล่าวขานเป็นที่รู้จักในแวดวงวิชาการมานุษยวิทยาไทย กอปรกับคุณูปการทางวิชาการอันเป็นที่ประจักษ์และได้รับความนิยมในการอ้างอิงถึงเป็นสำคัญอีก 8 ท่าน นอกจากนั้นแล้ว ยังผนวกรวมนักคิดร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงทางสังคมศาสตร์ในโลกตะวันตกชาวฝรั่งเศส 2 ท่านรวมเข้ามาด้วย ได้แก่ มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault, 1926 -1984) และ ปิแอร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu, 1930 – 2002) ด้วยพิจารณาว่าผลงานทางวิชาการของทั้งสองส่งผลต่อการนำแนวความคิดเชิงทฤษฎียุคหลังโครงสร้างนิยมได้ถูกนำไปใช้ในการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการและนักศึกษามานุษยวิทยาไทยอย่างกว้างขวาง ดังนั้นจึงนำเสนอ 10 นักมานุษยวิทยาตามยุคสมัยและลำดับเวลาของแต่ละคน ด้วยประวัติโดยสังเขป และแนะนำผลงานหนังสือ บทความ งานรวบรวมผลงานเขียนที่เลือกสรรมา และหนังสือที่เขียนถึงหรือเกี่ยวข้องกับแต่ละท่าน ทั้งในเชิงประวัติส่วนตัว คุณูปการทางวิชาการ และสังคม รวมผลงานการเฉลิมฉลองในวาระพิเศษ หรือรวมผลงานฉบับผู้อ่านทั่วไป</p>มานุษยวิทยา, นักมานุษยวิทยา, สังคมศาสตร์29 ตุลาคม พ.ศ. 2563ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=244https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/198-cover.jpg
245อื่นๆถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษ ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553<div>
โครงการถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ได้มีการศึกษาใน 4 พื้นที่ ประกอบด้วย 1) บ้านห้วยหินลาดใน ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย 2) บ้านจะแก หมู่ 6 ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 3) บ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ และ 4) บ้านเลตองคุ ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก ผลการศึกษาพบว่า ในอดีตพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความโดดเด่นในด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจของชาวบ้านในชุมชนทั้ง 4 พื้นที่ ต่อความหมายของการประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ แบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ กลุ่มแรก รับรู้และเข้าใจความหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้นําชุมชนที่ทํางานใกล้ชิดกับหน่วยงานของรัฐ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ไม่เคยรับรู้และไม่เข้าใจความหมาย หรือเคยได้ยินบ้างแต่ไม่รับรู้ความหมาย และ กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ให้ความสําคัญกับการถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษเพราะไม่ รู้สึกว่ามีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขา แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่หลังการประกาศให้เป็นพื้นที่นําร่องเขตวัฒนธรรมพิเศษ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์และฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ควรต้องมีแนวทางที่แตกต่างกันไป เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความแตกต่างกัน คือบ้านห้วย หินลาดในเป็นพื้นที่ซึ่งชุมชนมีความเข้มแข็งในการรักษาอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ กะเหรี่ยงที่มีมาตั้งแต่อดีต บ้านจะแกเป็นพื้นที่ซึ่งเริ่มมีปัญหาการคุกคามอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชน ส่วนบ้านหนองมณฑาและบ้านเลตองคุเป็นพื้นที่ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมไปค่อนข้างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการได้รับประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ </div>กะเหรี่ยง, เขตวัฒนธรรมพิเศษ, ชาติพันธุ์4 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=245https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/387-cover.jpg
245วารสารถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษ ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553<div>
โครงการถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ได้มีการศึกษาใน 4 พื้นที่ ประกอบด้วย 1) บ้านห้วยหินลาดใน ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย 2) บ้านจะแก หมู่ 6 ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 3) บ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ และ 4) บ้านเลตองคุ ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก ผลการศึกษาพบว่า ในอดีตพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความโดดเด่นในด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจของชาวบ้านในชุมชนทั้ง 4 พื้นที่ ต่อความหมายของการประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ แบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ กลุ่มแรก รับรู้และเข้าใจความหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้นําชุมชนที่ทํางานใกล้ชิดกับหน่วยงานของรัฐ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ไม่เคยรับรู้และไม่เข้าใจความหมาย หรือเคยได้ยินบ้างแต่ไม่รับรู้ความหมาย และ กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ให้ความสําคัญกับการถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษเพราะไม่ รู้สึกว่ามีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขา แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่หลังการประกาศให้เป็นพื้นที่นําร่องเขตวัฒนธรรมพิเศษ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์และฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ควรต้องมีแนวทางที่แตกต่างกันไป เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความแตกต่างกัน คือบ้านห้วย หินลาดในเป็นพื้นที่ซึ่งชุมชนมีความเข้มแข็งในการรักษาอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ กะเหรี่ยงที่มีมาตั้งแต่อดีต บ้านจะแกเป็นพื้นที่ซึ่งเริ่มมีปัญหาการคุกคามอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชน ส่วนบ้านหนองมณฑาและบ้านเลตองคุเป็นพื้นที่ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมไปค่อนข้างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการได้รับประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ </div>กะเหรี่ยง, เขตวัฒนธรรมพิเศษ, ชาติพันธุ์4 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=245https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/387-cover.jpg
245บทความถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษ ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553<div>
โครงการถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ได้มีการศึกษาใน 4 พื้นที่ ประกอบด้วย 1) บ้านห้วยหินลาดใน ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย 2) บ้านจะแก หมู่ 6 ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 3) บ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ และ 4) บ้านเลตองคุ ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก ผลการศึกษาพบว่า ในอดีตพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความโดดเด่นในด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจของชาวบ้านในชุมชนทั้ง 4 พื้นที่ ต่อความหมายของการประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ แบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ กลุ่มแรก รับรู้และเข้าใจความหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้นําชุมชนที่ทํางานใกล้ชิดกับหน่วยงานของรัฐ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ไม่เคยรับรู้และไม่เข้าใจความหมาย หรือเคยได้ยินบ้างแต่ไม่รับรู้ความหมาย และ กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ให้ความสําคัญกับการถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษเพราะไม่ รู้สึกว่ามีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขา แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่หลังการประกาศให้เป็นพื้นที่นําร่องเขตวัฒนธรรมพิเศษ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์และฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ควรต้องมีแนวทางที่แตกต่างกันไป เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความแตกต่างกัน คือบ้านห้วย หินลาดในเป็นพื้นที่ซึ่งชุมชนมีความเข้มแข็งในการรักษาอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ กะเหรี่ยงที่มีมาตั้งแต่อดีต บ้านจะแกเป็นพื้นที่ซึ่งเริ่มมีปัญหาการคุกคามอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชน ส่วนบ้านหนองมณฑาและบ้านเลตองคุเป็นพื้นที่ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมไปค่อนข้างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการได้รับประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ </div>กะเหรี่ยง, เขตวัฒนธรรมพิเศษ, ชาติพันธุ์4 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=245https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/387-cover.jpg
245วิทยานิพนธ์ถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษ ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553<div>
โครงการถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ได้มีการศึกษาใน 4 พื้นที่ ประกอบด้วย 1) บ้านห้วยหินลาดใน ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย 2) บ้านจะแก หมู่ 6 ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 3) บ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ และ 4) บ้านเลตองคุ ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก ผลการศึกษาพบว่า ในอดีตพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความโดดเด่นในด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจของชาวบ้านในชุมชนทั้ง 4 พื้นที่ ต่อความหมายของการประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ แบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ กลุ่มแรก รับรู้และเข้าใจความหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้นําชุมชนที่ทํางานใกล้ชิดกับหน่วยงานของรัฐ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ไม่เคยรับรู้และไม่เข้าใจความหมาย หรือเคยได้ยินบ้างแต่ไม่รับรู้ความหมาย และ กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ให้ความสําคัญกับการถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษเพราะไม่ รู้สึกว่ามีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขา แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่หลังการประกาศให้เป็นพื้นที่นําร่องเขตวัฒนธรรมพิเศษ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์และฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ควรต้องมีแนวทางที่แตกต่างกันไป เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความแตกต่างกัน คือบ้านห้วย หินลาดในเป็นพื้นที่ซึ่งชุมชนมีความเข้มแข็งในการรักษาอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ กะเหรี่ยงที่มีมาตั้งแต่อดีต บ้านจะแกเป็นพื้นที่ซึ่งเริ่มมีปัญหาการคุกคามอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชน ส่วนบ้านหนองมณฑาและบ้านเลตองคุเป็นพื้นที่ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมไปค่อนข้างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการได้รับประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ </div>กะเหรี่ยง, เขตวัฒนธรรมพิเศษ, ชาติพันธุ์4 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=245https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/387-cover.jpg
245รายงานงานวิจัยถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษ ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553<div>
โครงการถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ได้มีการศึกษาใน 4 พื้นที่ ประกอบด้วย 1) บ้านห้วยหินลาดใน ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย 2) บ้านจะแก หมู่ 6 ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 3) บ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ และ 4) บ้านเลตองคุ ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก ผลการศึกษาพบว่า ในอดีตพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความโดดเด่นในด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจของชาวบ้านในชุมชนทั้ง 4 พื้นที่ ต่อความหมายของการประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ แบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ กลุ่มแรก รับรู้และเข้าใจความหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้นําชุมชนที่ทํางานใกล้ชิดกับหน่วยงานของรัฐ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ไม่เคยรับรู้และไม่เข้าใจความหมาย หรือเคยได้ยินบ้างแต่ไม่รับรู้ความหมาย และ กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ให้ความสําคัญกับการถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษเพราะไม่ รู้สึกว่ามีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขา แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่หลังการประกาศให้เป็นพื้นที่นําร่องเขตวัฒนธรรมพิเศษ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์และฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ควรต้องมีแนวทางที่แตกต่างกันไป เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความแตกต่างกัน คือบ้านห้วย หินลาดในเป็นพื้นที่ซึ่งชุมชนมีความเข้มแข็งในการรักษาอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ กะเหรี่ยงที่มีมาตั้งแต่อดีต บ้านจะแกเป็นพื้นที่ซึ่งเริ่มมีปัญหาการคุกคามอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชน ส่วนบ้านหนองมณฑาและบ้านเลตองคุเป็นพื้นที่ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมไปค่อนข้างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการได้รับประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ </div>กะเหรี่ยง, เขตวัฒนธรรมพิเศษ, ชาติพันธุ์4 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=245https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/387-cover.jpg
245รายงานถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษ ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553<div>
โครงการถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ได้มีการศึกษาใน 4 พื้นที่ ประกอบด้วย 1) บ้านห้วยหินลาดใน ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย 2) บ้านจะแก หมู่ 6 ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 3) บ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ และ 4) บ้านเลตองคุ ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก ผลการศึกษาพบว่า ในอดีตพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความโดดเด่นในด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจของชาวบ้านในชุมชนทั้ง 4 พื้นที่ ต่อความหมายของการประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ แบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ กลุ่มแรก รับรู้และเข้าใจความหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้นําชุมชนที่ทํางานใกล้ชิดกับหน่วยงานของรัฐ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ไม่เคยรับรู้และไม่เข้าใจความหมาย หรือเคยได้ยินบ้างแต่ไม่รับรู้ความหมาย และ กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ให้ความสําคัญกับการถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษเพราะไม่ รู้สึกว่ามีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขา แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่หลังการประกาศให้เป็นพื้นที่นําร่องเขตวัฒนธรรมพิเศษ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์และฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ควรต้องมีแนวทางที่แตกต่างกันไป เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความแตกต่างกัน คือบ้านห้วย หินลาดในเป็นพื้นที่ซึ่งชุมชนมีความเข้มแข็งในการรักษาอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ กะเหรี่ยงที่มีมาตั้งแต่อดีต บ้านจะแกเป็นพื้นที่ซึ่งเริ่มมีปัญหาการคุกคามอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชน ส่วนบ้านหนองมณฑาและบ้านเลตองคุเป็นพื้นที่ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมไปค่อนข้างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการได้รับประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ </div>กะเหรี่ยง, เขตวัฒนธรรมพิเศษ, ชาติพันธุ์4 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=245https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/387-cover.jpg
245หนังสือถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษ ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553<div>
โครงการถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ได้มีการศึกษาใน 4 พื้นที่ ประกอบด้วย 1) บ้านห้วยหินลาดใน ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย 2) บ้านจะแก หมู่ 6 ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 3) บ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ และ 4) บ้านเลตองคุ ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก ผลการศึกษาพบว่า ในอดีตพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความโดดเด่นในด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจของชาวบ้านในชุมชนทั้ง 4 พื้นที่ ต่อความหมายของการประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ แบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ กลุ่มแรก รับรู้และเข้าใจความหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้นําชุมชนที่ทํางานใกล้ชิดกับหน่วยงานของรัฐ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ไม่เคยรับรู้และไม่เข้าใจความหมาย หรือเคยได้ยินบ้างแต่ไม่รับรู้ความหมาย และ กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ให้ความสําคัญกับการถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษเพราะไม่ รู้สึกว่ามีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขา แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่หลังการประกาศให้เป็นพื้นที่นําร่องเขตวัฒนธรรมพิเศษ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์และฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ควรต้องมีแนวทางที่แตกต่างกันไป เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความแตกต่างกัน คือบ้านห้วย หินลาดในเป็นพื้นที่ซึ่งชุมชนมีความเข้มแข็งในการรักษาอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ กะเหรี่ยงที่มีมาตั้งแต่อดีต บ้านจะแกเป็นพื้นที่ซึ่งเริ่มมีปัญหาการคุกคามอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชน ส่วนบ้านหนองมณฑาและบ้านเลตองคุเป็นพื้นที่ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมไปค่อนข้างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการได้รับประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ </div>กะเหรี่ยง, เขตวัฒนธรรมพิเศษ, ชาติพันธุ์4 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=245https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/387-cover.jpg
245จุลสารถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษ ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553<div>
โครงการถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ได้มีการศึกษาใน 4 พื้นที่ ประกอบด้วย 1) บ้านห้วยหินลาดใน ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย 2) บ้านจะแก หมู่ 6 ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 3) บ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ และ 4) บ้านเลตองคุ ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก ผลการศึกษาพบว่า ในอดีตพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความโดดเด่นในด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจของชาวบ้านในชุมชนทั้ง 4 พื้นที่ ต่อความหมายของการประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ แบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ กลุ่มแรก รับรู้และเข้าใจความหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้นําชุมชนที่ทํางานใกล้ชิดกับหน่วยงานของรัฐ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ไม่เคยรับรู้และไม่เข้าใจความหมาย หรือเคยได้ยินบ้างแต่ไม่รับรู้ความหมาย และ กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ให้ความสําคัญกับการถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษเพราะไม่ รู้สึกว่ามีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขา แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่หลังการประกาศให้เป็นพื้นที่นําร่องเขตวัฒนธรรมพิเศษ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์และฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ควรต้องมีแนวทางที่แตกต่างกันไป เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความแตกต่างกัน คือบ้านห้วย หินลาดในเป็นพื้นที่ซึ่งชุมชนมีความเข้มแข็งในการรักษาอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ กะเหรี่ยงที่มีมาตั้งแต่อดีต บ้านจะแกเป็นพื้นที่ซึ่งเริ่มมีปัญหาการคุกคามอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชน ส่วนบ้านหนองมณฑาและบ้านเลตองคุเป็นพื้นที่ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมไปค่อนข้างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการได้รับประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ </div>กะเหรี่ยง, เขตวัฒนธรรมพิเศษ, ชาติพันธุ์4 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=245https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/387-cover.jpg
245สูจิบัตรถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษ ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553<div>
โครงการถอดบทเรียนพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ได้มีการศึกษาใน 4 พื้นที่ ประกอบด้วย 1) บ้านห้วยหินลาดใน ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย 2) บ้านจะแก หมู่ 6 ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 3) บ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ และ 4) บ้านเลตองคุ ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก ผลการศึกษาพบว่า ในอดีตพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความโดดเด่นในด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจของชาวบ้านในชุมชนทั้ง 4 พื้นที่ ต่อความหมายของการประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ แบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ กลุ่มแรก รับรู้และเข้าใจความหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้นําชุมชนที่ทํางานใกล้ชิดกับหน่วยงานของรัฐ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ไม่เคยรับรู้และไม่เข้าใจความหมาย หรือเคยได้ยินบ้างแต่ไม่รับรู้ความหมาย และ กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ให้ความสําคัญกับการถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษเพราะไม่ รู้สึกว่ามีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขา แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่หลังการประกาศให้เป็นพื้นที่นําร่องเขตวัฒนธรรมพิเศษ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์และฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ควรต้องมีแนวทางที่แตกต่างกันไป เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง มีความแตกต่างกัน คือบ้านห้วย หินลาดในเป็นพื้นที่ซึ่งชุมชนมีความเข้มแข็งในการรักษาอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ กะเหรี่ยงที่มีมาตั้งแต่อดีต บ้านจะแกเป็นพื้นที่ซึ่งเริ่มมีปัญหาการคุกคามอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชน ส่วนบ้านหนองมณฑาและบ้านเลตองคุเป็นพื้นที่ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมไปค่อนข้างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการได้รับประกาศเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ </div>กะเหรี่ยง, เขตวัฒนธรรมพิเศษ, ชาติพันธุ์4 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=245https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/387-cover.jpg
246อื่นๆนัยสำคัญของ "พื้นที่คุ้มครอง" ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)<p>
โครงการ “นัยสําคัญของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทาง ชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)” ศึกษาข้อถกเถียงว่าด้วยผลกระทบของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คนพื้นถิ่น พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ ด้วยกรอบการทําความเข้าใจเชิงเปรียบเทียบข้ามสังคม วัฒนธรรม โดยแบ่งวิธีการศึกษาออกเป็นสองส่วนคือ การวิจัยเอกสาร และ การศึกษาภาคสนามเชิงชาติพันธุ์ วรรณนา โครงการวิจัยนี้นําเสนอเนื้อหาหลัก 3 ประเด็นคือ ประเด็นแรก ทบทวนความสําคัญของข้อถกเถียง เกี่ยวกับการศึกษาพื้นที่คุ้มครองในทางมานุษยวิทยา ประเด็นที่สอง นําเสนอพัฒนาการอย่างย่อของแนว การศึกษา “นิเวศวิทยาการเมือง” โดยจัดวางการทําความเข้าใจลงบนข้อถกเถียงว่าด้วยการแบ่งยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ของยุคสมัยปัจจุบัน และประเด็นที่สาม นําเสนอประวัติศาสตร์วิธีคิดของ “พื้นที่คุ้มครอง” ทั้งใน ฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม นิเวศวิทยา และประวัติศาสตร์ และทั้งพื้นที่ศึกษาทางวิชาการ </p>พื้นที่คุ้มครอง, นิเวศวิทยาการเมือง, ชาติพันธุ์5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=246https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/388-cover.jpg
246วารสารนัยสำคัญของ "พื้นที่คุ้มครอง" ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)<p>
โครงการ “นัยสําคัญของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทาง ชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)” ศึกษาข้อถกเถียงว่าด้วยผลกระทบของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คนพื้นถิ่น พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ ด้วยกรอบการทําความเข้าใจเชิงเปรียบเทียบข้ามสังคม วัฒนธรรม โดยแบ่งวิธีการศึกษาออกเป็นสองส่วนคือ การวิจัยเอกสาร และ การศึกษาภาคสนามเชิงชาติพันธุ์ วรรณนา โครงการวิจัยนี้นําเสนอเนื้อหาหลัก 3 ประเด็นคือ ประเด็นแรก ทบทวนความสําคัญของข้อถกเถียง เกี่ยวกับการศึกษาพื้นที่คุ้มครองในทางมานุษยวิทยา ประเด็นที่สอง นําเสนอพัฒนาการอย่างย่อของแนว การศึกษา “นิเวศวิทยาการเมือง” โดยจัดวางการทําความเข้าใจลงบนข้อถกเถียงว่าด้วยการแบ่งยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ของยุคสมัยปัจจุบัน และประเด็นที่สาม นําเสนอประวัติศาสตร์วิธีคิดของ “พื้นที่คุ้มครอง” ทั้งใน ฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม นิเวศวิทยา และประวัติศาสตร์ และทั้งพื้นที่ศึกษาทางวิชาการ </p>พื้นที่คุ้มครอง, นิเวศวิทยาการเมือง, ชาติพันธุ์5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=246https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/388-cover.jpg
246บทความนัยสำคัญของ "พื้นที่คุ้มครอง" ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)<p>
โครงการ “นัยสําคัญของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทาง ชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)” ศึกษาข้อถกเถียงว่าด้วยผลกระทบของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คนพื้นถิ่น พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ ด้วยกรอบการทําความเข้าใจเชิงเปรียบเทียบข้ามสังคม วัฒนธรรม โดยแบ่งวิธีการศึกษาออกเป็นสองส่วนคือ การวิจัยเอกสาร และ การศึกษาภาคสนามเชิงชาติพันธุ์ วรรณนา โครงการวิจัยนี้นําเสนอเนื้อหาหลัก 3 ประเด็นคือ ประเด็นแรก ทบทวนความสําคัญของข้อถกเถียง เกี่ยวกับการศึกษาพื้นที่คุ้มครองในทางมานุษยวิทยา ประเด็นที่สอง นําเสนอพัฒนาการอย่างย่อของแนว การศึกษา “นิเวศวิทยาการเมือง” โดยจัดวางการทําความเข้าใจลงบนข้อถกเถียงว่าด้วยการแบ่งยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ของยุคสมัยปัจจุบัน และประเด็นที่สาม นําเสนอประวัติศาสตร์วิธีคิดของ “พื้นที่คุ้มครอง” ทั้งใน ฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม นิเวศวิทยา และประวัติศาสตร์ และทั้งพื้นที่ศึกษาทางวิชาการ </p>พื้นที่คุ้มครอง, นิเวศวิทยาการเมือง, ชาติพันธุ์5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=246https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/388-cover.jpg
246วิทยานิพนธ์นัยสำคัญของ "พื้นที่คุ้มครอง" ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)<p>
โครงการ “นัยสําคัญของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทาง ชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)” ศึกษาข้อถกเถียงว่าด้วยผลกระทบของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คนพื้นถิ่น พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ ด้วยกรอบการทําความเข้าใจเชิงเปรียบเทียบข้ามสังคม วัฒนธรรม โดยแบ่งวิธีการศึกษาออกเป็นสองส่วนคือ การวิจัยเอกสาร และ การศึกษาภาคสนามเชิงชาติพันธุ์ วรรณนา โครงการวิจัยนี้นําเสนอเนื้อหาหลัก 3 ประเด็นคือ ประเด็นแรก ทบทวนความสําคัญของข้อถกเถียง เกี่ยวกับการศึกษาพื้นที่คุ้มครองในทางมานุษยวิทยา ประเด็นที่สอง นําเสนอพัฒนาการอย่างย่อของแนว การศึกษา “นิเวศวิทยาการเมือง” โดยจัดวางการทําความเข้าใจลงบนข้อถกเถียงว่าด้วยการแบ่งยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ของยุคสมัยปัจจุบัน และประเด็นที่สาม นําเสนอประวัติศาสตร์วิธีคิดของ “พื้นที่คุ้มครอง” ทั้งใน ฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม นิเวศวิทยา และประวัติศาสตร์ และทั้งพื้นที่ศึกษาทางวิชาการ </p>พื้นที่คุ้มครอง, นิเวศวิทยาการเมือง, ชาติพันธุ์5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=246https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/388-cover.jpg
246รายงานงานวิจัยนัยสำคัญของ "พื้นที่คุ้มครอง" ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)<p>
โครงการ “นัยสําคัญของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทาง ชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)” ศึกษาข้อถกเถียงว่าด้วยผลกระทบของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คนพื้นถิ่น พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ ด้วยกรอบการทําความเข้าใจเชิงเปรียบเทียบข้ามสังคม วัฒนธรรม โดยแบ่งวิธีการศึกษาออกเป็นสองส่วนคือ การวิจัยเอกสาร และ การศึกษาภาคสนามเชิงชาติพันธุ์ วรรณนา โครงการวิจัยนี้นําเสนอเนื้อหาหลัก 3 ประเด็นคือ ประเด็นแรก ทบทวนความสําคัญของข้อถกเถียง เกี่ยวกับการศึกษาพื้นที่คุ้มครองในทางมานุษยวิทยา ประเด็นที่สอง นําเสนอพัฒนาการอย่างย่อของแนว การศึกษา “นิเวศวิทยาการเมือง” โดยจัดวางการทําความเข้าใจลงบนข้อถกเถียงว่าด้วยการแบ่งยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ของยุคสมัยปัจจุบัน และประเด็นที่สาม นําเสนอประวัติศาสตร์วิธีคิดของ “พื้นที่คุ้มครอง” ทั้งใน ฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม นิเวศวิทยา และประวัติศาสตร์ และทั้งพื้นที่ศึกษาทางวิชาการ </p>พื้นที่คุ้มครอง, นิเวศวิทยาการเมือง, ชาติพันธุ์5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=246https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/388-cover.jpg
246รายงานนัยสำคัญของ "พื้นที่คุ้มครอง" ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)<p>
โครงการ “นัยสําคัญของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทาง ชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)” ศึกษาข้อถกเถียงว่าด้วยผลกระทบของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คนพื้นถิ่น พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ ด้วยกรอบการทําความเข้าใจเชิงเปรียบเทียบข้ามสังคม วัฒนธรรม โดยแบ่งวิธีการศึกษาออกเป็นสองส่วนคือ การวิจัยเอกสาร และ การศึกษาภาคสนามเชิงชาติพันธุ์ วรรณนา โครงการวิจัยนี้นําเสนอเนื้อหาหลัก 3 ประเด็นคือ ประเด็นแรก ทบทวนความสําคัญของข้อถกเถียง เกี่ยวกับการศึกษาพื้นที่คุ้มครองในทางมานุษยวิทยา ประเด็นที่สอง นําเสนอพัฒนาการอย่างย่อของแนว การศึกษา “นิเวศวิทยาการเมือง” โดยจัดวางการทําความเข้าใจลงบนข้อถกเถียงว่าด้วยการแบ่งยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ของยุคสมัยปัจจุบัน และประเด็นที่สาม นําเสนอประวัติศาสตร์วิธีคิดของ “พื้นที่คุ้มครอง” ทั้งใน ฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม นิเวศวิทยา และประวัติศาสตร์ และทั้งพื้นที่ศึกษาทางวิชาการ </p>พื้นที่คุ้มครอง, นิเวศวิทยาการเมือง, ชาติพันธุ์5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=246https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/388-cover.jpg
246หนังสือนัยสำคัญของ "พื้นที่คุ้มครอง" ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)<p>
โครงการ “นัยสําคัญของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทาง ชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)” ศึกษาข้อถกเถียงว่าด้วยผลกระทบของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คนพื้นถิ่น พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ ด้วยกรอบการทําความเข้าใจเชิงเปรียบเทียบข้ามสังคม วัฒนธรรม โดยแบ่งวิธีการศึกษาออกเป็นสองส่วนคือ การวิจัยเอกสาร และ การศึกษาภาคสนามเชิงชาติพันธุ์ วรรณนา โครงการวิจัยนี้นําเสนอเนื้อหาหลัก 3 ประเด็นคือ ประเด็นแรก ทบทวนความสําคัญของข้อถกเถียง เกี่ยวกับการศึกษาพื้นที่คุ้มครองในทางมานุษยวิทยา ประเด็นที่สอง นําเสนอพัฒนาการอย่างย่อของแนว การศึกษา “นิเวศวิทยาการเมือง” โดยจัดวางการทําความเข้าใจลงบนข้อถกเถียงว่าด้วยการแบ่งยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ของยุคสมัยปัจจุบัน และประเด็นที่สาม นําเสนอประวัติศาสตร์วิธีคิดของ “พื้นที่คุ้มครอง” ทั้งใน ฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม นิเวศวิทยา และประวัติศาสตร์ และทั้งพื้นที่ศึกษาทางวิชาการ </p>พื้นที่คุ้มครอง, นิเวศวิทยาการเมือง, ชาติพันธุ์5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=246https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/388-cover.jpg
246จุลสารนัยสำคัญของ "พื้นที่คุ้มครอง" ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)<p>
โครงการ “นัยสําคัญของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทาง ชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)” ศึกษาข้อถกเถียงว่าด้วยผลกระทบของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คนพื้นถิ่น พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ ด้วยกรอบการทําความเข้าใจเชิงเปรียบเทียบข้ามสังคม วัฒนธรรม โดยแบ่งวิธีการศึกษาออกเป็นสองส่วนคือ การวิจัยเอกสาร และ การศึกษาภาคสนามเชิงชาติพันธุ์ วรรณนา โครงการวิจัยนี้นําเสนอเนื้อหาหลัก 3 ประเด็นคือ ประเด็นแรก ทบทวนความสําคัญของข้อถกเถียง เกี่ยวกับการศึกษาพื้นที่คุ้มครองในทางมานุษยวิทยา ประเด็นที่สอง นําเสนอพัฒนาการอย่างย่อของแนว การศึกษา “นิเวศวิทยาการเมือง” โดยจัดวางการทําความเข้าใจลงบนข้อถกเถียงว่าด้วยการแบ่งยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ของยุคสมัยปัจจุบัน และประเด็นที่สาม นําเสนอประวัติศาสตร์วิธีคิดของ “พื้นที่คุ้มครอง” ทั้งใน ฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม นิเวศวิทยา และประวัติศาสตร์ และทั้งพื้นที่ศึกษาทางวิชาการ </p>พื้นที่คุ้มครอง, นิเวศวิทยาการเมือง, ชาติพันธุ์5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=246https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/388-cover.jpg
246สูจิบัตรนัยสำคัญของ "พื้นที่คุ้มครอง" ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)<p>
โครงการ “นัยสําคัญของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คน พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทาง ชีวกายภาพ (ระยะที่ 1)” ศึกษาข้อถกเถียงว่าด้วยผลกระทบของ “พื้นที่คุ้มครอง” ต่อวิถีชีวิตของผู้คนพื้นถิ่น พรรณพืช พรรณสัตว์ และภูมิทัศน์ทางชีวกายภาพ ด้วยกรอบการทําความเข้าใจเชิงเปรียบเทียบข้ามสังคม วัฒนธรรม โดยแบ่งวิธีการศึกษาออกเป็นสองส่วนคือ การวิจัยเอกสาร และ การศึกษาภาคสนามเชิงชาติพันธุ์ วรรณนา โครงการวิจัยนี้นําเสนอเนื้อหาหลัก 3 ประเด็นคือ ประเด็นแรก ทบทวนความสําคัญของข้อถกเถียง เกี่ยวกับการศึกษาพื้นที่คุ้มครองในทางมานุษยวิทยา ประเด็นที่สอง นําเสนอพัฒนาการอย่างย่อของแนว การศึกษา “นิเวศวิทยาการเมือง” โดยจัดวางการทําความเข้าใจลงบนข้อถกเถียงว่าด้วยการแบ่งยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ของยุคสมัยปัจจุบัน และประเด็นที่สาม นําเสนอประวัติศาสตร์วิธีคิดของ “พื้นที่คุ้มครอง” ทั้งใน ฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม นิเวศวิทยา และประวัติศาสตร์ และทั้งพื้นที่ศึกษาทางวิชาการ </p>พื้นที่คุ้มครอง, นิเวศวิทยาการเมือง, ชาติพันธุ์5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=246https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/388-cover.jpg
247อื่นๆแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี<p>
การศึกษาเรื่อง “แนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตําบลทองหลาง อําเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี” มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์เชิงพื้นที่ วิถีชีวิตวัฒนธรรม และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง รัฐกับชุมชนด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เพื่อศึกษาวิเคราะห์และถอดบทเรียนรูปแบบการจัดการความขัดแย้งเชิง สร้างสรรค์ด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ชุมชนบ้านภูเหม็น ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 และเพื่อเสนอแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เป็นชุมชนดั้งเดิมมีประวัติศาสตร์ตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนาน ในอดีตทําเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ปัจจุบันเหลือเพียงการทําไร่ข้าว นับถือ “เจ้าวัด” ซึ่งเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณ มีสถานการณ์ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน ที่มีผลจากการประกาศป่าสงวนแห่งชาติ สวนป่า และวนอุทยานทับที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนที่เคยอาศัยอยู่มาก่อน จากการศึกษา พบว่า แนวทางการจัดการที่ดินทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ควรบริหารจัดการในรูปแบบพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม หรือ พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ โดย กําหนดแนวเขตรอบนอกให้ชัดเจน ภายในให้จัดโซนพื้นที่อย่างละเอียดทั้งพื้นที่การใช้ประโยชน์ และพื้นที่อนุรักษ์ แล้วร่วมกันบริหารจัดการร่วมกัน ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 </p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, โผล่ว, พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=247https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/389-cover.jpg
247วารสารแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี<p>
การศึกษาเรื่อง “แนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตําบลทองหลาง อําเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี” มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์เชิงพื้นที่ วิถีชีวิตวัฒนธรรม และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง รัฐกับชุมชนด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เพื่อศึกษาวิเคราะห์และถอดบทเรียนรูปแบบการจัดการความขัดแย้งเชิง สร้างสรรค์ด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ชุมชนบ้านภูเหม็น ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 และเพื่อเสนอแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เป็นชุมชนดั้งเดิมมีประวัติศาสตร์ตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนาน ในอดีตทําเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ปัจจุบันเหลือเพียงการทําไร่ข้าว นับถือ “เจ้าวัด” ซึ่งเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณ มีสถานการณ์ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน ที่มีผลจากการประกาศป่าสงวนแห่งชาติ สวนป่า และวนอุทยานทับที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนที่เคยอาศัยอยู่มาก่อน จากการศึกษา พบว่า แนวทางการจัดการที่ดินทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ควรบริหารจัดการในรูปแบบพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม หรือ พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ โดย กําหนดแนวเขตรอบนอกให้ชัดเจน ภายในให้จัดโซนพื้นที่อย่างละเอียดทั้งพื้นที่การใช้ประโยชน์ และพื้นที่อนุรักษ์ แล้วร่วมกันบริหารจัดการร่วมกัน ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 </p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, โผล่ว, พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=247https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/389-cover.jpg
247บทความแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี<p>
การศึกษาเรื่อง “แนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตําบลทองหลาง อําเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี” มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์เชิงพื้นที่ วิถีชีวิตวัฒนธรรม และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง รัฐกับชุมชนด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เพื่อศึกษาวิเคราะห์และถอดบทเรียนรูปแบบการจัดการความขัดแย้งเชิง สร้างสรรค์ด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ชุมชนบ้านภูเหม็น ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 และเพื่อเสนอแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เป็นชุมชนดั้งเดิมมีประวัติศาสตร์ตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนาน ในอดีตทําเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ปัจจุบันเหลือเพียงการทําไร่ข้าว นับถือ “เจ้าวัด” ซึ่งเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณ มีสถานการณ์ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน ที่มีผลจากการประกาศป่าสงวนแห่งชาติ สวนป่า และวนอุทยานทับที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนที่เคยอาศัยอยู่มาก่อน จากการศึกษา พบว่า แนวทางการจัดการที่ดินทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ควรบริหารจัดการในรูปแบบพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม หรือ พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ โดย กําหนดแนวเขตรอบนอกให้ชัดเจน ภายในให้จัดโซนพื้นที่อย่างละเอียดทั้งพื้นที่การใช้ประโยชน์ และพื้นที่อนุรักษ์ แล้วร่วมกันบริหารจัดการร่วมกัน ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 </p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, โผล่ว, พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=247https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/389-cover.jpg
247วิทยานิพนธ์แนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี<p>
การศึกษาเรื่อง “แนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตําบลทองหลาง อําเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี” มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์เชิงพื้นที่ วิถีชีวิตวัฒนธรรม และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง รัฐกับชุมชนด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เพื่อศึกษาวิเคราะห์และถอดบทเรียนรูปแบบการจัดการความขัดแย้งเชิง สร้างสรรค์ด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ชุมชนบ้านภูเหม็น ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 และเพื่อเสนอแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เป็นชุมชนดั้งเดิมมีประวัติศาสตร์ตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนาน ในอดีตทําเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ปัจจุบันเหลือเพียงการทําไร่ข้าว นับถือ “เจ้าวัด” ซึ่งเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณ มีสถานการณ์ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน ที่มีผลจากการประกาศป่าสงวนแห่งชาติ สวนป่า และวนอุทยานทับที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนที่เคยอาศัยอยู่มาก่อน จากการศึกษา พบว่า แนวทางการจัดการที่ดินทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ควรบริหารจัดการในรูปแบบพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม หรือ พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ โดย กําหนดแนวเขตรอบนอกให้ชัดเจน ภายในให้จัดโซนพื้นที่อย่างละเอียดทั้งพื้นที่การใช้ประโยชน์ และพื้นที่อนุรักษ์ แล้วร่วมกันบริหารจัดการร่วมกัน ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 </p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, โผล่ว, พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=247https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/389-cover.jpg
247รายงานงานวิจัยแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี<p>
การศึกษาเรื่อง “แนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตําบลทองหลาง อําเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี” มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์เชิงพื้นที่ วิถีชีวิตวัฒนธรรม และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง รัฐกับชุมชนด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เพื่อศึกษาวิเคราะห์และถอดบทเรียนรูปแบบการจัดการความขัดแย้งเชิง สร้างสรรค์ด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ชุมชนบ้านภูเหม็น ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 และเพื่อเสนอแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เป็นชุมชนดั้งเดิมมีประวัติศาสตร์ตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนาน ในอดีตทําเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ปัจจุบันเหลือเพียงการทําไร่ข้าว นับถือ “เจ้าวัด” ซึ่งเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณ มีสถานการณ์ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน ที่มีผลจากการประกาศป่าสงวนแห่งชาติ สวนป่า และวนอุทยานทับที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนที่เคยอาศัยอยู่มาก่อน จากการศึกษา พบว่า แนวทางการจัดการที่ดินทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ควรบริหารจัดการในรูปแบบพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม หรือ พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ โดย กําหนดแนวเขตรอบนอกให้ชัดเจน ภายในให้จัดโซนพื้นที่อย่างละเอียดทั้งพื้นที่การใช้ประโยชน์ และพื้นที่อนุรักษ์ แล้วร่วมกันบริหารจัดการร่วมกัน ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 </p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, โผล่ว, พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=247https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/389-cover.jpg
247รายงานแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี<p>
การศึกษาเรื่อง “แนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตําบลทองหลาง อําเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี” มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์เชิงพื้นที่ วิถีชีวิตวัฒนธรรม และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง รัฐกับชุมชนด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เพื่อศึกษาวิเคราะห์และถอดบทเรียนรูปแบบการจัดการความขัดแย้งเชิง สร้างสรรค์ด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ชุมชนบ้านภูเหม็น ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 และเพื่อเสนอแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เป็นชุมชนดั้งเดิมมีประวัติศาสตร์ตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนาน ในอดีตทําเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ปัจจุบันเหลือเพียงการทําไร่ข้าว นับถือ “เจ้าวัด” ซึ่งเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณ มีสถานการณ์ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน ที่มีผลจากการประกาศป่าสงวนแห่งชาติ สวนป่า และวนอุทยานทับที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนที่เคยอาศัยอยู่มาก่อน จากการศึกษา พบว่า แนวทางการจัดการที่ดินทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ควรบริหารจัดการในรูปแบบพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม หรือ พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ โดย กําหนดแนวเขตรอบนอกให้ชัดเจน ภายในให้จัดโซนพื้นที่อย่างละเอียดทั้งพื้นที่การใช้ประโยชน์ และพื้นที่อนุรักษ์ แล้วร่วมกันบริหารจัดการร่วมกัน ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 </p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, โผล่ว, พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=247https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/389-cover.jpg
247หนังสือแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี<p>
การศึกษาเรื่อง “แนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตําบลทองหลาง อําเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี” มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์เชิงพื้นที่ วิถีชีวิตวัฒนธรรม และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง รัฐกับชุมชนด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เพื่อศึกษาวิเคราะห์และถอดบทเรียนรูปแบบการจัดการความขัดแย้งเชิง สร้างสรรค์ด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ชุมชนบ้านภูเหม็น ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 และเพื่อเสนอแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เป็นชุมชนดั้งเดิมมีประวัติศาสตร์ตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนาน ในอดีตทําเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ปัจจุบันเหลือเพียงการทําไร่ข้าว นับถือ “เจ้าวัด” ซึ่งเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณ มีสถานการณ์ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน ที่มีผลจากการประกาศป่าสงวนแห่งชาติ สวนป่า และวนอุทยานทับที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนที่เคยอาศัยอยู่มาก่อน จากการศึกษา พบว่า แนวทางการจัดการที่ดินทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ควรบริหารจัดการในรูปแบบพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม หรือ พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ โดย กําหนดแนวเขตรอบนอกให้ชัดเจน ภายในให้จัดโซนพื้นที่อย่างละเอียดทั้งพื้นที่การใช้ประโยชน์ และพื้นที่อนุรักษ์ แล้วร่วมกันบริหารจัดการร่วมกัน ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 </p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, โผล่ว, พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=247https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/389-cover.jpg
247จุลสารแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี<p>
การศึกษาเรื่อง “แนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตําบลทองหลาง อําเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี” มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์เชิงพื้นที่ วิถีชีวิตวัฒนธรรม และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง รัฐกับชุมชนด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เพื่อศึกษาวิเคราะห์และถอดบทเรียนรูปแบบการจัดการความขัดแย้งเชิง สร้างสรรค์ด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ชุมชนบ้านภูเหม็น ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 และเพื่อเสนอแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เป็นชุมชนดั้งเดิมมีประวัติศาสตร์ตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนาน ในอดีตทําเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ปัจจุบันเหลือเพียงการทําไร่ข้าว นับถือ “เจ้าวัด” ซึ่งเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณ มีสถานการณ์ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน ที่มีผลจากการประกาศป่าสงวนแห่งชาติ สวนป่า และวนอุทยานทับที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนที่เคยอาศัยอยู่มาก่อน จากการศึกษา พบว่า แนวทางการจัดการที่ดินทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ควรบริหารจัดการในรูปแบบพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม หรือ พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ โดย กําหนดแนวเขตรอบนอกให้ชัดเจน ภายในให้จัดโซนพื้นที่อย่างละเอียดทั้งพื้นที่การใช้ประโยชน์ และพื้นที่อนุรักษ์ แล้วร่วมกันบริหารจัดการร่วมกัน ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 </p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, โผล่ว, พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=247https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/389-cover.jpg
247สูจิบัตรแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี<p>
การศึกษาเรื่อง “แนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตําบลทองหลาง อําเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี” มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์เชิงพื้นที่ วิถีชีวิตวัฒนธรรม และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง รัฐกับชุมชนด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เพื่อศึกษาวิเคราะห์และถอดบทเรียนรูปแบบการจัดการความขัดแย้งเชิง สร้างสรรค์ด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในเขตพื้นที่ชุมชนบ้านภูเหม็น ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 และเพื่อเสนอแนวทางการจัดการเขตพื้นที่ทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เป็นชุมชนดั้งเดิมมีประวัติศาสตร์ตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนาน ในอดีตทําเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ปัจจุบันเหลือเพียงการทําไร่ข้าว นับถือ “เจ้าวัด” ซึ่งเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณ มีสถานการณ์ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน ที่มีผลจากการประกาศป่าสงวนแห่งชาติ สวนป่า และวนอุทยานทับที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยของชุมชนที่เคยอาศัยอยู่มาก่อน จากการศึกษา พบว่า แนวทางการจัดการที่ดินทํากิน ที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ควรบริหารจัดการในรูปแบบพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม หรือ พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ โดย กําหนดแนวเขตรอบนอกให้ชัดเจน ภายในให้จัดโซนพื้นที่อย่างละเอียดทั้งพื้นที่การใช้ประโยชน์ และพื้นที่อนุรักษ์ แล้วร่วมกันบริหารจัดการร่วมกัน ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 </p>กะเหรี่ยง, กลุ่มชาติพันธุ์, โผล่ว, พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=247https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/389-cover.jpg
248อื่นๆการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์<p>
โครงการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นโครงการวิจัยเชิงเอกสารเพื่อสำรวจกรณีศึกษาจากประเทศต่างๆ ทั้งระบบกฎหมายและนโยบายส่งเสริมคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศ รวมถึงกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนกิจการเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งประวัติความเป็นมาของบรรดาชนเผ่าพื้นเมืองโดยสังเขป ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหากลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นแนวทางพิจารณาประกอบยกร่างกฎหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย </p>กลุ่มชาติพันธุ์, ชนเผ่าพื้นเมือง, กฎหมาย, นโยบาย5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=248https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/390-cover.jpg
248วารสารการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์<p>
โครงการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นโครงการวิจัยเชิงเอกสารเพื่อสำรวจกรณีศึกษาจากประเทศต่างๆ ทั้งระบบกฎหมายและนโยบายส่งเสริมคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศ รวมถึงกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนกิจการเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งประวัติความเป็นมาของบรรดาชนเผ่าพื้นเมืองโดยสังเขป ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหากลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นแนวทางพิจารณาประกอบยกร่างกฎหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย </p>กลุ่มชาติพันธุ์, ชนเผ่าพื้นเมือง, กฎหมาย, นโยบาย5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=248https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/390-cover.jpg
248บทความการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์<p>
โครงการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นโครงการวิจัยเชิงเอกสารเพื่อสำรวจกรณีศึกษาจากประเทศต่างๆ ทั้งระบบกฎหมายและนโยบายส่งเสริมคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศ รวมถึงกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนกิจการเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งประวัติความเป็นมาของบรรดาชนเผ่าพื้นเมืองโดยสังเขป ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหากลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นแนวทางพิจารณาประกอบยกร่างกฎหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย </p>กลุ่มชาติพันธุ์, ชนเผ่าพื้นเมือง, กฎหมาย, นโยบาย5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=248https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/390-cover.jpg
248วิทยานิพนธ์การวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์<p>
โครงการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นโครงการวิจัยเชิงเอกสารเพื่อสำรวจกรณีศึกษาจากประเทศต่างๆ ทั้งระบบกฎหมายและนโยบายส่งเสริมคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศ รวมถึงกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนกิจการเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งประวัติความเป็นมาของบรรดาชนเผ่าพื้นเมืองโดยสังเขป ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหากลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นแนวทางพิจารณาประกอบยกร่างกฎหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย </p>กลุ่มชาติพันธุ์, ชนเผ่าพื้นเมือง, กฎหมาย, นโยบาย5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=248https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/390-cover.jpg
248รายงานงานวิจัยการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์<p>
โครงการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นโครงการวิจัยเชิงเอกสารเพื่อสำรวจกรณีศึกษาจากประเทศต่างๆ ทั้งระบบกฎหมายและนโยบายส่งเสริมคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศ รวมถึงกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนกิจการเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งประวัติความเป็นมาของบรรดาชนเผ่าพื้นเมืองโดยสังเขป ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหากลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นแนวทางพิจารณาประกอบยกร่างกฎหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย </p>กลุ่มชาติพันธุ์, ชนเผ่าพื้นเมือง, กฎหมาย, นโยบาย5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=248https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/390-cover.jpg
248รายงานการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์<p>
โครงการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นโครงการวิจัยเชิงเอกสารเพื่อสำรวจกรณีศึกษาจากประเทศต่างๆ ทั้งระบบกฎหมายและนโยบายส่งเสริมคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศ รวมถึงกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนกิจการเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งประวัติความเป็นมาของบรรดาชนเผ่าพื้นเมืองโดยสังเขป ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหากลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นแนวทางพิจารณาประกอบยกร่างกฎหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย </p>กลุ่มชาติพันธุ์, ชนเผ่าพื้นเมือง, กฎหมาย, นโยบาย5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=248https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/390-cover.jpg
248หนังสือการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์<p>
โครงการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นโครงการวิจัยเชิงเอกสารเพื่อสำรวจกรณีศึกษาจากประเทศต่างๆ ทั้งระบบกฎหมายและนโยบายส่งเสริมคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศ รวมถึงกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนกิจการเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งประวัติความเป็นมาของบรรดาชนเผ่าพื้นเมืองโดยสังเขป ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหากลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นแนวทางพิจารณาประกอบยกร่างกฎหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย </p>กลุ่มชาติพันธุ์, ชนเผ่าพื้นเมือง, กฎหมาย, นโยบาย5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=248https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/390-cover.jpg
248จุลสารการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์<p>
โครงการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นโครงการวิจัยเชิงเอกสารเพื่อสำรวจกรณีศึกษาจากประเทศต่างๆ ทั้งระบบกฎหมายและนโยบายส่งเสริมคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศ รวมถึงกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนกิจการเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งประวัติความเป็นมาของบรรดาชนเผ่าพื้นเมืองโดยสังเขป ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหากลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นแนวทางพิจารณาประกอบยกร่างกฎหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย </p>กลุ่มชาติพันธุ์, ชนเผ่าพื้นเมือง, กฎหมาย, นโยบาย5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=248https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/390-cover.jpg
248สูจิบัตรการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์<p>
โครงการวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นโครงการวิจัยเชิงเอกสารเพื่อสำรวจกรณีศึกษาจากประเทศต่างๆ ทั้งระบบกฎหมายและนโยบายส่งเสริมคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศ รวมถึงกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนกิจการเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งประวัติความเป็นมาของบรรดาชนเผ่าพื้นเมืองโดยสังเขป ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหากลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นแนวทางพิจารณาประกอบยกร่างกฎหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย </p>กลุ่มชาติพันธุ์, ชนเผ่าพื้นเมือง, กฎหมาย, นโยบาย5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=248https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/390-cover.jpg
249อื่นๆเวทีวิชาการสาธารณะ "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานสู่การขับเคลื่อนนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในเทศไทย<p>
เวทีวิชาการสาธารณะเรื่อง ความเข้าใจประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานพลังสู่การขับเคลื่อนงานนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นการเปิดพื้นที่วิชาการสาธารณะในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" ร่วมกัน โดยการนำเสนอจักรวาลวิทยา (cosmology) ที่ได้นำเอาวิธีการวิทยาทางมานุษยวิทยาที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อและประวัติศาสตร์ นำไปสู่การสร้างกฏ กติกา และจารีตประเพณี ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม และวิถีการดำรงชีวิตของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นการเปิดประตูและหน้าต่าง ทำให้เข้าใจและมองเห็น ความสัมพันธ์ในมิติต่างๆ อย่างเป็นพลวัตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่อบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ที่เขาอาศัยอยู่ และดำรงอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การพัฒนาความมั่นคงทางสังคม สร้างทางเลือกใหม่ ความเข้มแข็ง วิธีคิดและภูมิปัญญาในการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ในเวทีครั้งนี้ ยังเป็นพื้นที่ในการทำความเข้าใจประเด็นเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองในบริบทของประเทศไทยที่ เชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ผู้แทนในประเทศไทยได้ร่วมขับเคลื่อนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในระดับภูมิภาคและนานาชาติ</p>ชนเผ่าพื้นเมือง, กลุ่มชาติพันธุ์, กฎหมาย, นโยบาย, จักรวาลวิทยา5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=249https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/391-cover.jpg
249วารสารเวทีวิชาการสาธารณะ "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานสู่การขับเคลื่อนนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในเทศไทย<p>
เวทีวิชาการสาธารณะเรื่อง ความเข้าใจประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานพลังสู่การขับเคลื่อนงานนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นการเปิดพื้นที่วิชาการสาธารณะในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" ร่วมกัน โดยการนำเสนอจักรวาลวิทยา (cosmology) ที่ได้นำเอาวิธีการวิทยาทางมานุษยวิทยาที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อและประวัติศาสตร์ นำไปสู่การสร้างกฏ กติกา และจารีตประเพณี ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม และวิถีการดำรงชีวิตของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นการเปิดประตูและหน้าต่าง ทำให้เข้าใจและมองเห็น ความสัมพันธ์ในมิติต่างๆ อย่างเป็นพลวัตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่อบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ที่เขาอาศัยอยู่ และดำรงอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การพัฒนาความมั่นคงทางสังคม สร้างทางเลือกใหม่ ความเข้มแข็ง วิธีคิดและภูมิปัญญาในการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ในเวทีครั้งนี้ ยังเป็นพื้นที่ในการทำความเข้าใจประเด็นเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองในบริบทของประเทศไทยที่ เชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ผู้แทนในประเทศไทยได้ร่วมขับเคลื่อนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในระดับภูมิภาคและนานาชาติ</p>ชนเผ่าพื้นเมือง, กลุ่มชาติพันธุ์, กฎหมาย, นโยบาย, จักรวาลวิทยา5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=249https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/391-cover.jpg
249บทความเวทีวิชาการสาธารณะ "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานสู่การขับเคลื่อนนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในเทศไทย<p>
เวทีวิชาการสาธารณะเรื่อง ความเข้าใจประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานพลังสู่การขับเคลื่อนงานนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นการเปิดพื้นที่วิชาการสาธารณะในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" ร่วมกัน โดยการนำเสนอจักรวาลวิทยา (cosmology) ที่ได้นำเอาวิธีการวิทยาทางมานุษยวิทยาที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อและประวัติศาสตร์ นำไปสู่การสร้างกฏ กติกา และจารีตประเพณี ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม และวิถีการดำรงชีวิตของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นการเปิดประตูและหน้าต่าง ทำให้เข้าใจและมองเห็น ความสัมพันธ์ในมิติต่างๆ อย่างเป็นพลวัตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่อบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ที่เขาอาศัยอยู่ และดำรงอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การพัฒนาความมั่นคงทางสังคม สร้างทางเลือกใหม่ ความเข้มแข็ง วิธีคิดและภูมิปัญญาในการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ในเวทีครั้งนี้ ยังเป็นพื้นที่ในการทำความเข้าใจประเด็นเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองในบริบทของประเทศไทยที่ เชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ผู้แทนในประเทศไทยได้ร่วมขับเคลื่อนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในระดับภูมิภาคและนานาชาติ</p>ชนเผ่าพื้นเมือง, กลุ่มชาติพันธุ์, กฎหมาย, นโยบาย, จักรวาลวิทยา5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=249https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/391-cover.jpg
249วิทยานิพนธ์เวทีวิชาการสาธารณะ "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานสู่การขับเคลื่อนนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในเทศไทย<p>
เวทีวิชาการสาธารณะเรื่อง ความเข้าใจประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานพลังสู่การขับเคลื่อนงานนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นการเปิดพื้นที่วิชาการสาธารณะในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" ร่วมกัน โดยการนำเสนอจักรวาลวิทยา (cosmology) ที่ได้นำเอาวิธีการวิทยาทางมานุษยวิทยาที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อและประวัติศาสตร์ นำไปสู่การสร้างกฏ กติกา และจารีตประเพณี ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม และวิถีการดำรงชีวิตของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นการเปิดประตูและหน้าต่าง ทำให้เข้าใจและมองเห็น ความสัมพันธ์ในมิติต่างๆ อย่างเป็นพลวัตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่อบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ที่เขาอาศัยอยู่ และดำรงอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การพัฒนาความมั่นคงทางสังคม สร้างทางเลือกใหม่ ความเข้มแข็ง วิธีคิดและภูมิปัญญาในการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ในเวทีครั้งนี้ ยังเป็นพื้นที่ในการทำความเข้าใจประเด็นเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองในบริบทของประเทศไทยที่ เชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ผู้แทนในประเทศไทยได้ร่วมขับเคลื่อนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในระดับภูมิภาคและนานาชาติ</p>ชนเผ่าพื้นเมือง, กลุ่มชาติพันธุ์, กฎหมาย, นโยบาย, จักรวาลวิทยา5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=249https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/391-cover.jpg
249รายงานงานวิจัยเวทีวิชาการสาธารณะ "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานสู่การขับเคลื่อนนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในเทศไทย<p>
เวทีวิชาการสาธารณะเรื่อง ความเข้าใจประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานพลังสู่การขับเคลื่อนงานนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นการเปิดพื้นที่วิชาการสาธารณะในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" ร่วมกัน โดยการนำเสนอจักรวาลวิทยา (cosmology) ที่ได้นำเอาวิธีการวิทยาทางมานุษยวิทยาที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อและประวัติศาสตร์ นำไปสู่การสร้างกฏ กติกา และจารีตประเพณี ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม และวิถีการดำรงชีวิตของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นการเปิดประตูและหน้าต่าง ทำให้เข้าใจและมองเห็น ความสัมพันธ์ในมิติต่างๆ อย่างเป็นพลวัตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่อบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ที่เขาอาศัยอยู่ และดำรงอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การพัฒนาความมั่นคงทางสังคม สร้างทางเลือกใหม่ ความเข้มแข็ง วิธีคิดและภูมิปัญญาในการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ในเวทีครั้งนี้ ยังเป็นพื้นที่ในการทำความเข้าใจประเด็นเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองในบริบทของประเทศไทยที่ เชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ผู้แทนในประเทศไทยได้ร่วมขับเคลื่อนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในระดับภูมิภาคและนานาชาติ</p>ชนเผ่าพื้นเมือง, กลุ่มชาติพันธุ์, กฎหมาย, นโยบาย, จักรวาลวิทยา5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=249https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/391-cover.jpg
249รายงานเวทีวิชาการสาธารณะ "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานสู่การขับเคลื่อนนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในเทศไทย<p>
เวทีวิชาการสาธารณะเรื่อง ความเข้าใจประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานพลังสู่การขับเคลื่อนงานนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นการเปิดพื้นที่วิชาการสาธารณะในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" ร่วมกัน โดยการนำเสนอจักรวาลวิทยา (cosmology) ที่ได้นำเอาวิธีการวิทยาทางมานุษยวิทยาที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อและประวัติศาสตร์ นำไปสู่การสร้างกฏ กติกา และจารีตประเพณี ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม และวิถีการดำรงชีวิตของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นการเปิดประตูและหน้าต่าง ทำให้เข้าใจและมองเห็น ความสัมพันธ์ในมิติต่างๆ อย่างเป็นพลวัตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่อบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ที่เขาอาศัยอยู่ และดำรงอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การพัฒนาความมั่นคงทางสังคม สร้างทางเลือกใหม่ ความเข้มแข็ง วิธีคิดและภูมิปัญญาในการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ในเวทีครั้งนี้ ยังเป็นพื้นที่ในการทำความเข้าใจประเด็นเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองในบริบทของประเทศไทยที่ เชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ผู้แทนในประเทศไทยได้ร่วมขับเคลื่อนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในระดับภูมิภาคและนานาชาติ</p>ชนเผ่าพื้นเมือง, กลุ่มชาติพันธุ์, กฎหมาย, นโยบาย, จักรวาลวิทยา5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=249https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/391-cover.jpg
249หนังสือเวทีวิชาการสาธารณะ "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานสู่การขับเคลื่อนนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในเทศไทย<p>
เวทีวิชาการสาธารณะเรื่อง ความเข้าใจประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานพลังสู่การขับเคลื่อนงานนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นการเปิดพื้นที่วิชาการสาธารณะในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" ร่วมกัน โดยการนำเสนอจักรวาลวิทยา (cosmology) ที่ได้นำเอาวิธีการวิทยาทางมานุษยวิทยาที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อและประวัติศาสตร์ นำไปสู่การสร้างกฏ กติกา และจารีตประเพณี ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม และวิถีการดำรงชีวิตของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นการเปิดประตูและหน้าต่าง ทำให้เข้าใจและมองเห็น ความสัมพันธ์ในมิติต่างๆ อย่างเป็นพลวัตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่อบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ที่เขาอาศัยอยู่ และดำรงอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การพัฒนาความมั่นคงทางสังคม สร้างทางเลือกใหม่ ความเข้มแข็ง วิธีคิดและภูมิปัญญาในการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ในเวทีครั้งนี้ ยังเป็นพื้นที่ในการทำความเข้าใจประเด็นเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองในบริบทของประเทศไทยที่ เชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ผู้แทนในประเทศไทยได้ร่วมขับเคลื่อนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในระดับภูมิภาคและนานาชาติ</p>ชนเผ่าพื้นเมือง, กลุ่มชาติพันธุ์, กฎหมาย, นโยบาย, จักรวาลวิทยา5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=249https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/391-cover.jpg
249จุลสารเวทีวิชาการสาธารณะ "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานสู่การขับเคลื่อนนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในเทศไทย<p>
เวทีวิชาการสาธารณะเรื่อง ความเข้าใจประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานพลังสู่การขับเคลื่อนงานนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นการเปิดพื้นที่วิชาการสาธารณะในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" ร่วมกัน โดยการนำเสนอจักรวาลวิทยา (cosmology) ที่ได้นำเอาวิธีการวิทยาทางมานุษยวิทยาที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อและประวัติศาสตร์ นำไปสู่การสร้างกฏ กติกา และจารีตประเพณี ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม และวิถีการดำรงชีวิตของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นการเปิดประตูและหน้าต่าง ทำให้เข้าใจและมองเห็น ความสัมพันธ์ในมิติต่างๆ อย่างเป็นพลวัตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่อบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ที่เขาอาศัยอยู่ และดำรงอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การพัฒนาความมั่นคงทางสังคม สร้างทางเลือกใหม่ ความเข้มแข็ง วิธีคิดและภูมิปัญญาในการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ในเวทีครั้งนี้ ยังเป็นพื้นที่ในการทำความเข้าใจประเด็นเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองในบริบทของประเทศไทยที่ เชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ผู้แทนในประเทศไทยได้ร่วมขับเคลื่อนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในระดับภูมิภาคและนานาชาติ</p>ชนเผ่าพื้นเมือง, กลุ่มชาติพันธุ์, กฎหมาย, นโยบาย, จักรวาลวิทยา5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=249https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/391-cover.jpg
249สูจิบัตรเวทีวิชาการสาธารณะ "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานสู่การขับเคลื่อนนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในเทศไทย<p>
เวทีวิชาการสาธารณะเรื่อง ความเข้าใจประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" สานพลังสู่การขับเคลื่อนงานนโยบายและสนับสนุนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย เป็นการเปิดพื้นที่วิชาการสาธารณะในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็น "ชนเผ่าพื้นเมือง" ร่วมกัน โดยการนำเสนอจักรวาลวิทยา (cosmology) ที่ได้นำเอาวิธีการวิทยาทางมานุษยวิทยาที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อและประวัติศาสตร์ นำไปสู่การสร้างกฏ กติกา และจารีตประเพณี ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม และวิถีการดำรงชีวิตของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นการเปิดประตูและหน้าต่าง ทำให้เข้าใจและมองเห็น ความสัมพันธ์ในมิติต่างๆ อย่างเป็นพลวัตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่อบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ที่เขาอาศัยอยู่ และดำรงอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การพัฒนาความมั่นคงทางสังคม สร้างทางเลือกใหม่ ความเข้มแข็ง วิธีคิดและภูมิปัญญาในการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ในเวทีครั้งนี้ ยังเป็นพื้นที่ในการทำความเข้าใจประเด็นเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองในบริบทของประเทศไทยที่ เชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ผู้แทนในประเทศไทยได้ร่วมขับเคลื่อนขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในระดับภูมิภาคและนานาชาติ</p>ชนเผ่าพื้นเมือง, กลุ่มชาติพันธุ์, กฎหมาย, นโยบาย, จักรวาลวิทยา5 พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=249https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/391-cover.jpg
252อื่นๆพลวัตทางสังคมและวัฒนธรรมมุสลิมศึกษา<p>
การทำบุญ-กินบุญ ของชาวมุสลิม เป็นพิธีกรรมที่มีการปฏิบัติกันเนื่องในวิถีชีวิตและโอกาสพิเศษต่าง ๆ มีลักษณะเป็นการชุมนุม มีการเชิญแขกเหรื่อ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องและคนในชุมชน โดยในส่วนของพิธีกรรมมีการร่วมกันอ่านบทสวดภาษาอาหรับที่บรรจงร้อยเรียงจากโองการต่าง ๆ ของพระคัมภีร์อัลกุรอาน การกล่าวรำลึกถึงพระเจ้า การสรรเสริญศาสดามุฮัมมัดและการขอดุอาต่อพระผู้เป็นเจ้า หลังจากส่วนของพิธีกรรมก็จะมีการเลี้ยงสำรับอาหารคาวหวานก่อนที่จะแยกย้ายกลับ แนวคิดเรื่องการทำบุญ-กินบุญเชื่อมโยงกับมิติความเชื่อของศาสนาอิสลามในเรื่องการประกอบกรรมดี และการบริจาคเพื่อแสวงหาความความจำเริญและสิริมงคลแก่ผู้มาร่วมชุมนุม เป็นการสะสมเสบียงความดีเพื่อให้รอดพ้นจากการลงโทษในโลกหลังความตายและวันพิพากษา อีกทั้งยังเชื่อว่าผลบุญที่กระทำนั้นสามารถส่งต่อโดยการตั้งเจตนาอุทิศให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วได้อีกด้วย จากการสำรวจเก็บข้อมูลภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมเพื่อศึกษาผ่านพิธีกรรมการทำบุญ-กินบุญของชาวมุสลิมเชื้อสายชวาและเชื้อสายมลายูในชุมชนแห่งนี้ ชี้ให้เห็นถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงในด้านของความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรม ทั้งการผสมผสานความเชื่อของศาสนาอิสลามแบบรหัสนัยนิยมกับความเชื่อท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงการต่อรองและปรับตัวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในบริบทของชุมชนเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังความวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังพบว่าอีกทั้งการทำบุญ-กินบุญเป็นเครื่องมือสำคัญในการธำรงอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ของตนเองผ่านภาษาและอาหารที่ใช้ประกอบในงานอีกด้วย</p>กินบุญ, ทำบุญ, ศาสนาอิสลาม, ชาวมุสลิม, พิธีกรรม, ประเพณี, พลวัตทางสังคมวัฒนธรรม, ชุมชนมัสยิดยะวา1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=252https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/394-cover.jpg
252วารสารพลวัตทางสังคมและวัฒนธรรมมุสลิมศึกษา<p>
การทำบุญ-กินบุญ ของชาวมุสลิม เป็นพิธีกรรมที่มีการปฏิบัติกันเนื่องในวิถีชีวิตและโอกาสพิเศษต่าง ๆ มีลักษณะเป็นการชุมนุม มีการเชิญแขกเหรื่อ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องและคนในชุมชน โดยในส่วนของพิธีกรรมมีการร่วมกันอ่านบทสวดภาษาอาหรับที่บรรจงร้อยเรียงจากโองการต่าง ๆ ของพระคัมภีร์อัลกุรอาน การกล่าวรำลึกถึงพระเจ้า การสรรเสริญศาสดามุฮัมมัดและการขอดุอาต่อพระผู้เป็นเจ้า หลังจากส่วนของพิธีกรรมก็จะมีการเลี้ยงสำรับอาหารคาวหวานก่อนที่จะแยกย้ายกลับ แนวคิดเรื่องการทำบุญ-กินบุญเชื่อมโยงกับมิติความเชื่อของศาสนาอิสลามในเรื่องการประกอบกรรมดี และการบริจาคเพื่อแสวงหาความความจำเริญและสิริมงคลแก่ผู้มาร่วมชุมนุม เป็นการสะสมเสบียงความดีเพื่อให้รอดพ้นจากการลงโทษในโลกหลังความตายและวันพิพากษา อีกทั้งยังเชื่อว่าผลบุญที่กระทำนั้นสามารถส่งต่อโดยการตั้งเจตนาอุทิศให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วได้อีกด้วย จากการสำรวจเก็บข้อมูลภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมเพื่อศึกษาผ่านพิธีกรรมการทำบุญ-กินบุญของชาวมุสลิมเชื้อสายชวาและเชื้อสายมลายูในชุมชนแห่งนี้ ชี้ให้เห็นถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงในด้านของความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรม ทั้งการผสมผสานความเชื่อของศาสนาอิสลามแบบรหัสนัยนิยมกับความเชื่อท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงการต่อรองและปรับตัวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในบริบทของชุมชนเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังความวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังพบว่าอีกทั้งการทำบุญ-กินบุญเป็นเครื่องมือสำคัญในการธำรงอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ของตนเองผ่านภาษาและอาหารที่ใช้ประกอบในงานอีกด้วย</p>กินบุญ, ทำบุญ, ศาสนาอิสลาม, ชาวมุสลิม, พิธีกรรม, ประเพณี, พลวัตทางสังคมวัฒนธรรม, ชุมชนมัสยิดยะวา1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=252https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/394-cover.jpg
252บทความพลวัตทางสังคมและวัฒนธรรมมุสลิมศึกษา<p>
การทำบุญ-กินบุญ ของชาวมุสลิม เป็นพิธีกรรมที่มีการปฏิบัติกันเนื่องในวิถีชีวิตและโอกาสพิเศษต่าง ๆ มีลักษณะเป็นการชุมนุม มีการเชิญแขกเหรื่อ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องและคนในชุมชน โดยในส่วนของพิธีกรรมมีการร่วมกันอ่านบทสวดภาษาอาหรับที่บรรจงร้อยเรียงจากโองการต่าง ๆ ของพระคัมภีร์อัลกุรอาน การกล่าวรำลึกถึงพระเจ้า การสรรเสริญศาสดามุฮัมมัดและการขอดุอาต่อพระผู้เป็นเจ้า หลังจากส่วนของพิธีกรรมก็จะมีการเลี้ยงสำรับอาหารคาวหวานก่อนที่จะแยกย้ายกลับ แนวคิดเรื่องการทำบุญ-กินบุญเชื่อมโยงกับมิติความเชื่อของศาสนาอิสลามในเรื่องการประกอบกรรมดี และการบริจาคเพื่อแสวงหาความความจำเริญและสิริมงคลแก่ผู้มาร่วมชุมนุม เป็นการสะสมเสบียงความดีเพื่อให้รอดพ้นจากการลงโทษในโลกหลังความตายและวันพิพากษา อีกทั้งยังเชื่อว่าผลบุญที่กระทำนั้นสามารถส่งต่อโดยการตั้งเจตนาอุทิศให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วได้อีกด้วย จากการสำรวจเก็บข้อมูลภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมเพื่อศึกษาผ่านพิธีกรรมการทำบุญ-กินบุญของชาวมุสลิมเชื้อสายชวาและเชื้อสายมลายูในชุมชนแห่งนี้ ชี้ให้เห็นถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงในด้านของความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรม ทั้งการผสมผสานความเชื่อของศาสนาอิสลามแบบรหัสนัยนิยมกับความเชื่อท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงการต่อรองและปรับตัวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในบริบทของชุมชนเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังความวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังพบว่าอีกทั้งการทำบุญ-กินบุญเป็นเครื่องมือสำคัญในการธำรงอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ของตนเองผ่านภาษาและอาหารที่ใช้ประกอบในงานอีกด้วย</p>กินบุญ, ทำบุญ, ศาสนาอิสลาม, ชาวมุสลิม, พิธีกรรม, ประเพณี, พลวัตทางสังคมวัฒนธรรม, ชุมชนมัสยิดยะวา1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=252https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/394-cover.jpg
252วิทยานิพนธ์พลวัตทางสังคมและวัฒนธรรมมุสลิมศึกษา<p>
การทำบุญ-กินบุญ ของชาวมุสลิม เป็นพิธีกรรมที่มีการปฏิบัติกันเนื่องในวิถีชีวิตและโอกาสพิเศษต่าง ๆ มีลักษณะเป็นการชุมนุม มีการเชิญแขกเหรื่อ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องและคนในชุมชน โดยในส่วนของพิธีกรรมมีการร่วมกันอ่านบทสวดภาษาอาหรับที่บรรจงร้อยเรียงจากโองการต่าง ๆ ของพระคัมภีร์อัลกุรอาน การกล่าวรำลึกถึงพระเจ้า การสรรเสริญศาสดามุฮัมมัดและการขอดุอาต่อพระผู้เป็นเจ้า หลังจากส่วนของพิธีกรรมก็จะมีการเลี้ยงสำรับอาหารคาวหวานก่อนที่จะแยกย้ายกลับ แนวคิดเรื่องการทำบุญ-กินบุญเชื่อมโยงกับมิติความเชื่อของศาสนาอิสลามในเรื่องการประกอบกรรมดี และการบริจาคเพื่อแสวงหาความความจำเริญและสิริมงคลแก่ผู้มาร่วมชุมนุม เป็นการสะสมเสบียงความดีเพื่อให้รอดพ้นจากการลงโทษในโลกหลังความตายและวันพิพากษา อีกทั้งยังเชื่อว่าผลบุญที่กระทำนั้นสามารถส่งต่อโดยการตั้งเจตนาอุทิศให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วได้อีกด้วย จากการสำรวจเก็บข้อมูลภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมเพื่อศึกษาผ่านพิธีกรรมการทำบุญ-กินบุญของชาวมุสลิมเชื้อสายชวาและเชื้อสายมลายูในชุมชนแห่งนี้ ชี้ให้เห็นถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงในด้านของความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรม ทั้งการผสมผสานความเชื่อของศาสนาอิสลามแบบรหัสนัยนิยมกับความเชื่อท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงการต่อรองและปรับตัวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในบริบทของชุมชนเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังความวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังพบว่าอีกทั้งการทำบุญ-กินบุญเป็นเครื่องมือสำคัญในการธำรงอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ของตนเองผ่านภาษาและอาหารที่ใช้ประกอบในงานอีกด้วย</p>กินบุญ, ทำบุญ, ศาสนาอิสลาม, ชาวมุสลิม, พิธีกรรม, ประเพณี, พลวัตทางสังคมวัฒนธรรม, ชุมชนมัสยิดยะวา1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=252https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/394-cover.jpg
252รายงานงานวิจัยพลวัตทางสังคมและวัฒนธรรมมุสลิมศึกษา<p>
การทำบุญ-กินบุญ ของชาวมุสลิม เป็นพิธีกรรมที่มีการปฏิบัติกันเนื่องในวิถีชีวิตและโอกาสพิเศษต่าง ๆ มีลักษณะเป็นการชุมนุม มีการเชิญแขกเหรื่อ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องและคนในชุมชน โดยในส่วนของพิธีกรรมมีการร่วมกันอ่านบทสวดภาษาอาหรับที่บรรจงร้อยเรียงจากโองการต่าง ๆ ของพระคัมภีร์อัลกุรอาน การกล่าวรำลึกถึงพระเจ้า การสรรเสริญศาสดามุฮัมมัดและการขอดุอาต่อพระผู้เป็นเจ้า หลังจากส่วนของพิธีกรรมก็จะมีการเลี้ยงสำรับอาหารคาวหวานก่อนที่จะแยกย้ายกลับ แนวคิดเรื่องการทำบุญ-กินบุญเชื่อมโยงกับมิติความเชื่อของศาสนาอิสลามในเรื่องการประกอบกรรมดี และการบริจาคเพื่อแสวงหาความความจำเริญและสิริมงคลแก่ผู้มาร่วมชุมนุม เป็นการสะสมเสบียงความดีเพื่อให้รอดพ้นจากการลงโทษในโลกหลังความตายและวันพิพากษา อีกทั้งยังเชื่อว่าผลบุญที่กระทำนั้นสามารถส่งต่อโดยการตั้งเจตนาอุทิศให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วได้อีกด้วย จากการสำรวจเก็บข้อมูลภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมเพื่อศึกษาผ่านพิธีกรรมการทำบุญ-กินบุญของชาวมุสลิมเชื้อสายชวาและเชื้อสายมลายูในชุมชนแห่งนี้ ชี้ให้เห็นถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงในด้านของความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรม ทั้งการผสมผสานความเชื่อของศาสนาอิสลามแบบรหัสนัยนิยมกับความเชื่อท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงการต่อรองและปรับตัวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในบริบทของชุมชนเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังความวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังพบว่าอีกทั้งการทำบุญ-กินบุญเป็นเครื่องมือสำคัญในการธำรงอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ของตนเองผ่านภาษาและอาหารที่ใช้ประกอบในงานอีกด้วย</p>กินบุญ, ทำบุญ, ศาสนาอิสลาม, ชาวมุสลิม, พิธีกรรม, ประเพณี, พลวัตทางสังคมวัฒนธรรม, ชุมชนมัสยิดยะวา1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=252https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/394-cover.jpg
252รายงานพลวัตทางสังคมและวัฒนธรรมมุสลิมศึกษา<p>
การทำบุญ-กินบุญ ของชาวมุสลิม เป็นพิธีกรรมที่มีการปฏิบัติกันเนื่องในวิถีชีวิตและโอกาสพิเศษต่าง ๆ มีลักษณะเป็นการชุมนุม มีการเชิญแขกเหรื่อ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องและคนในชุมชน โดยในส่วนของพิธีกรรมมีการร่วมกันอ่านบทสวดภาษาอาหรับที่บรรจงร้อยเรียงจากโองการต่าง ๆ ของพระคัมภีร์อัลกุรอาน การกล่าวรำลึกถึงพระเจ้า การสรรเสริญศาสดามุฮัมมัดและการขอดุอาต่อพระผู้เป็นเจ้า หลังจากส่วนของพิธีกรรมก็จะมีการเลี้ยงสำรับอาหารคาวหวานก่อนที่จะแยกย้ายกลับ แนวคิดเรื่องการทำบุญ-กินบุญเชื่อมโยงกับมิติความเชื่อของศาสนาอิสลามในเรื่องการประกอบกรรมดี และการบริจาคเพื่อแสวงหาความความจำเริญและสิริมงคลแก่ผู้มาร่วมชุมนุม เป็นการสะสมเสบียงความดีเพื่อให้รอดพ้นจากการลงโทษในโลกหลังความตายและวันพิพากษา อีกทั้งยังเชื่อว่าผลบุญที่กระทำนั้นสามารถส่งต่อโดยการตั้งเจตนาอุทิศให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วได้อีกด้วย จากการสำรวจเก็บข้อมูลภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมเพื่อศึกษาผ่านพิธีกรรมการทำบุญ-กินบุญของชาวมุสลิมเชื้อสายชวาและเชื้อสายมลายูในชุมชนแห่งนี้ ชี้ให้เห็นถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงในด้านของความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรม ทั้งการผสมผสานความเชื่อของศาสนาอิสลามแบบรหัสนัยนิยมกับความเชื่อท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงการต่อรองและปรับตัวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในบริบทของชุมชนเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังความวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังพบว่าอีกทั้งการทำบุญ-กินบุญเป็นเครื่องมือสำคัญในการธำรงอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ของตนเองผ่านภาษาและอาหารที่ใช้ประกอบในงานอีกด้วย</p>กินบุญ, ทำบุญ, ศาสนาอิสลาม, ชาวมุสลิม, พิธีกรรม, ประเพณี, พลวัตทางสังคมวัฒนธรรม, ชุมชนมัสยิดยะวา1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=252https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/394-cover.jpg
252หนังสือพลวัตทางสังคมและวัฒนธรรมมุสลิมศึกษา<p>
การทำบุญ-กินบุญ ของชาวมุสลิม เป็นพิธีกรรมที่มีการปฏิบัติกันเนื่องในวิถีชีวิตและโอกาสพิเศษต่าง ๆ มีลักษณะเป็นการชุมนุม มีการเชิญแขกเหรื่อ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องและคนในชุมชน โดยในส่วนของพิธีกรรมมีการร่วมกันอ่านบทสวดภาษาอาหรับที่บรรจงร้อยเรียงจากโองการต่าง ๆ ของพระคัมภีร์อัลกุรอาน การกล่าวรำลึกถึงพระเจ้า การสรรเสริญศาสดามุฮัมมัดและการขอดุอาต่อพระผู้เป็นเจ้า หลังจากส่วนของพิธีกรรมก็จะมีการเลี้ยงสำรับอาหารคาวหวานก่อนที่จะแยกย้ายกลับ แนวคิดเรื่องการทำบุญ-กินบุญเชื่อมโยงกับมิติความเชื่อของศาสนาอิสลามในเรื่องการประกอบกรรมดี และการบริจาคเพื่อแสวงหาความความจำเริญและสิริมงคลแก่ผู้มาร่วมชุมนุม เป็นการสะสมเสบียงความดีเพื่อให้รอดพ้นจากการลงโทษในโลกหลังความตายและวันพิพากษา อีกทั้งยังเชื่อว่าผลบุญที่กระทำนั้นสามารถส่งต่อโดยการตั้งเจตนาอุทิศให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วได้อีกด้วย จากการสำรวจเก็บข้อมูลภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมเพื่อศึกษาผ่านพิธีกรรมการทำบุญ-กินบุญของชาวมุสลิมเชื้อสายชวาและเชื้อสายมลายูในชุมชนแห่งนี้ ชี้ให้เห็นถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงในด้านของความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรม ทั้งการผสมผสานความเชื่อของศาสนาอิสลามแบบรหัสนัยนิยมกับความเชื่อท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงการต่อรองและปรับตัวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในบริบทของชุมชนเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังความวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังพบว่าอีกทั้งการทำบุญ-กินบุญเป็นเครื่องมือสำคัญในการธำรงอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ของตนเองผ่านภาษาและอาหารที่ใช้ประกอบในงานอีกด้วย</p>กินบุญ, ทำบุญ, ศาสนาอิสลาม, ชาวมุสลิม, พิธีกรรม, ประเพณี, พลวัตทางสังคมวัฒนธรรม, ชุมชนมัสยิดยะวา1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=252https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/394-cover.jpg
252จุลสารพลวัตทางสังคมและวัฒนธรรมมุสลิมศึกษา<p>
การทำบุญ-กินบุญ ของชาวมุสลิม เป็นพิธีกรรมที่มีการปฏิบัติกันเนื่องในวิถีชีวิตและโอกาสพิเศษต่าง ๆ มีลักษณะเป็นการชุมนุม มีการเชิญแขกเหรื่อ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องและคนในชุมชน โดยในส่วนของพิธีกรรมมีการร่วมกันอ่านบทสวดภาษาอาหรับที่บรรจงร้อยเรียงจากโองการต่าง ๆ ของพระคัมภีร์อัลกุรอาน การกล่าวรำลึกถึงพระเจ้า การสรรเสริญศาสดามุฮัมมัดและการขอดุอาต่อพระผู้เป็นเจ้า หลังจากส่วนของพิธีกรรมก็จะมีการเลี้ยงสำรับอาหารคาวหวานก่อนที่จะแยกย้ายกลับ แนวคิดเรื่องการทำบุญ-กินบุญเชื่อมโยงกับมิติความเชื่อของศาสนาอิสลามในเรื่องการประกอบกรรมดี และการบริจาคเพื่อแสวงหาความความจำเริญและสิริมงคลแก่ผู้มาร่วมชุมนุม เป็นการสะสมเสบียงความดีเพื่อให้รอดพ้นจากการลงโทษในโลกหลังความตายและวันพิพากษา อีกทั้งยังเชื่อว่าผลบุญที่กระทำนั้นสามารถส่งต่อโดยการตั้งเจตนาอุทิศให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วได้อีกด้วย จากการสำรวจเก็บข้อมูลภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมเพื่อศึกษาผ่านพิธีกรรมการทำบุญ-กินบุญของชาวมุสลิมเชื้อสายชวาและเชื้อสายมลายูในชุมชนแห่งนี้ ชี้ให้เห็นถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงในด้านของความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรม ทั้งการผสมผสานความเชื่อของศาสนาอิสลามแบบรหัสนัยนิยมกับความเชื่อท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงการต่อรองและปรับตัวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในบริบทของชุมชนเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังความวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังพบว่าอีกทั้งการทำบุญ-กินบุญเป็นเครื่องมือสำคัญในการธำรงอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ของตนเองผ่านภาษาและอาหารที่ใช้ประกอบในงานอีกด้วย</p>กินบุญ, ทำบุญ, ศาสนาอิสลาม, ชาวมุสลิม, พิธีกรรม, ประเพณี, พลวัตทางสังคมวัฒนธรรม, ชุมชนมัสยิดยะวา1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=252https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/394-cover.jpg
252สูจิบัตรพลวัตทางสังคมและวัฒนธรรมมุสลิมศึกษา<p>
การทำบุญ-กินบุญ ของชาวมุสลิม เป็นพิธีกรรมที่มีการปฏิบัติกันเนื่องในวิถีชีวิตและโอกาสพิเศษต่าง ๆ มีลักษณะเป็นการชุมนุม มีการเชิญแขกเหรื่อ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องและคนในชุมชน โดยในส่วนของพิธีกรรมมีการร่วมกันอ่านบทสวดภาษาอาหรับที่บรรจงร้อยเรียงจากโองการต่าง ๆ ของพระคัมภีร์อัลกุรอาน การกล่าวรำลึกถึงพระเจ้า การสรรเสริญศาสดามุฮัมมัดและการขอดุอาต่อพระผู้เป็นเจ้า หลังจากส่วนของพิธีกรรมก็จะมีการเลี้ยงสำรับอาหารคาวหวานก่อนที่จะแยกย้ายกลับ แนวคิดเรื่องการทำบุญ-กินบุญเชื่อมโยงกับมิติความเชื่อของศาสนาอิสลามในเรื่องการประกอบกรรมดี และการบริจาคเพื่อแสวงหาความความจำเริญและสิริมงคลแก่ผู้มาร่วมชุมนุม เป็นการสะสมเสบียงความดีเพื่อให้รอดพ้นจากการลงโทษในโลกหลังความตายและวันพิพากษา อีกทั้งยังเชื่อว่าผลบุญที่กระทำนั้นสามารถส่งต่อโดยการตั้งเจตนาอุทิศให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วได้อีกด้วย จากการสำรวจเก็บข้อมูลภาคสนามอย่างมีส่วนร่วมเพื่อศึกษาผ่านพิธีกรรมการทำบุญ-กินบุญของชาวมุสลิมเชื้อสายชวาและเชื้อสายมลายูในชุมชนแห่งนี้ ชี้ให้เห็นถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงในด้านของความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรม ทั้งการผสมผสานความเชื่อของศาสนาอิสลามแบบรหัสนัยนิยมกับความเชื่อท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงการต่อรองและปรับตัวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในบริบทของชุมชนเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังความวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังพบว่าอีกทั้งการทำบุญ-กินบุญเป็นเครื่องมือสำคัญในการธำรงอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ของตนเองผ่านภาษาและอาหารที่ใช้ประกอบในงานอีกด้วย</p>กินบุญ, ทำบุญ, ศาสนาอิสลาม, ชาวมุสลิม, พิธีกรรม, ประเพณี, พลวัตทางสังคมวัฒนธรรม, ชุมชนมัสยิดยะวา1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=252https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/394-cover.jpg
254อื่นๆชาติพันธุ์วรรณาว่าด้วยภาษาในภาวะวิกฤตระยะสุดท้าย: ชอง ชอุ้ง กะซอง และซำเร (ระยะที่ 1)<p>
ปัญหาภาวะวิกฤตของภาษา เป็นปัญหาที่สำคัญที่ได้รับความสนใจในระดับนานาชาติ เพราะภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารในวิถีชีวิตของกลุ่มชนต่างๆ สำหรับประเทศไทยมีความหลากหลายด้านภาษาและวัฒนธรรมมากกว่า 70 กลุ่มภาษา จากการศึกษาพบภาษาที่อยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สูญจำนวน 15 กลุ่ม ซึ่งในจำนวน 15 กลุ่มนี้ พบว่ามี 4 กลุ่มภาษาที่อยู่ใน "ภาวะวิกฤตหนัก" เป็นภาษาที่กฤตระยะสุดท้าย ได้แก่ กลุ่มชอง กลุ่มกะซอง กลุ่มซำเร และกลุ่มชอุ้ง จัดเป็นภาษาที่อยู่ใสตระกูลออสโตรเอเชียติก สาขาเพียริก โดยโครงการวิจัยได้เลือกทำการศึกษาทั้ง 4 กลุ่มภาษา ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ตราด และกาญจนบุรี</p>ชอง, กะซอง, ซำเร, ชอุ้ง, ชาติพันธุ์1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=254https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/396-cover.jpg
254วารสารชาติพันธุ์วรรณาว่าด้วยภาษาในภาวะวิกฤตระยะสุดท้าย: ชอง ชอุ้ง กะซอง และซำเร (ระยะที่ 1)<p>
ปัญหาภาวะวิกฤตของภาษา เป็นปัญหาที่สำคัญที่ได้รับความสนใจในระดับนานาชาติ เพราะภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารในวิถีชีวิตของกลุ่มชนต่างๆ สำหรับประเทศไทยมีความหลากหลายด้านภาษาและวัฒนธรรมมากกว่า 70 กลุ่มภาษา จากการศึกษาพบภาษาที่อยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สูญจำนวน 15 กลุ่ม ซึ่งในจำนวน 15 กลุ่มนี้ พบว่ามี 4 กลุ่มภาษาที่อยู่ใน "ภาวะวิกฤตหนัก" เป็นภาษาที่กฤตระยะสุดท้าย ได้แก่ กลุ่มชอง กลุ่มกะซอง กลุ่มซำเร และกลุ่มชอุ้ง จัดเป็นภาษาที่อยู่ใสตระกูลออสโตรเอเชียติก สาขาเพียริก โดยโครงการวิจัยได้เลือกทำการศึกษาทั้ง 4 กลุ่มภาษา ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ตราด และกาญจนบุรี</p>ชอง, กะซอง, ซำเร, ชอุ้ง, ชาติพันธุ์1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=254https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/396-cover.jpg
254บทความชาติพันธุ์วรรณาว่าด้วยภาษาในภาวะวิกฤตระยะสุดท้าย: ชอง ชอุ้ง กะซอง และซำเร (ระยะที่ 1)<p>
ปัญหาภาวะวิกฤตของภาษา เป็นปัญหาที่สำคัญที่ได้รับความสนใจในระดับนานาชาติ เพราะภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารในวิถีชีวิตของกลุ่มชนต่างๆ สำหรับประเทศไทยมีความหลากหลายด้านภาษาและวัฒนธรรมมากกว่า 70 กลุ่มภาษา จากการศึกษาพบภาษาที่อยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สูญจำนวน 15 กลุ่ม ซึ่งในจำนวน 15 กลุ่มนี้ พบว่ามี 4 กลุ่มภาษาที่อยู่ใน "ภาวะวิกฤตหนัก" เป็นภาษาที่กฤตระยะสุดท้าย ได้แก่ กลุ่มชอง กลุ่มกะซอง กลุ่มซำเร และกลุ่มชอุ้ง จัดเป็นภาษาที่อยู่ใสตระกูลออสโตรเอเชียติก สาขาเพียริก โดยโครงการวิจัยได้เลือกทำการศึกษาทั้ง 4 กลุ่มภาษา ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ตราด และกาญจนบุรี</p>ชอง, กะซอง, ซำเร, ชอุ้ง, ชาติพันธุ์1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=254https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/396-cover.jpg
254วิทยานิพนธ์ชาติพันธุ์วรรณาว่าด้วยภาษาในภาวะวิกฤตระยะสุดท้าย: ชอง ชอุ้ง กะซอง และซำเร (ระยะที่ 1)<p>
ปัญหาภาวะวิกฤตของภาษา เป็นปัญหาที่สำคัญที่ได้รับความสนใจในระดับนานาชาติ เพราะภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารในวิถีชีวิตของกลุ่มชนต่างๆ สำหรับประเทศไทยมีความหลากหลายด้านภาษาและวัฒนธรรมมากกว่า 70 กลุ่มภาษา จากการศึกษาพบภาษาที่อยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สูญจำนวน 15 กลุ่ม ซึ่งในจำนวน 15 กลุ่มนี้ พบว่ามี 4 กลุ่มภาษาที่อยู่ใน "ภาวะวิกฤตหนัก" เป็นภาษาที่กฤตระยะสุดท้าย ได้แก่ กลุ่มชอง กลุ่มกะซอง กลุ่มซำเร และกลุ่มชอุ้ง จัดเป็นภาษาที่อยู่ใสตระกูลออสโตรเอเชียติก สาขาเพียริก โดยโครงการวิจัยได้เลือกทำการศึกษาทั้ง 4 กลุ่มภาษา ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ตราด และกาญจนบุรี</p>ชอง, กะซอง, ซำเร, ชอุ้ง, ชาติพันธุ์1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=254https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/396-cover.jpg
254รายงานงานวิจัยชาติพันธุ์วรรณาว่าด้วยภาษาในภาวะวิกฤตระยะสุดท้าย: ชอง ชอุ้ง กะซอง และซำเร (ระยะที่ 1)<p>
ปัญหาภาวะวิกฤตของภาษา เป็นปัญหาที่สำคัญที่ได้รับความสนใจในระดับนานาชาติ เพราะภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารในวิถีชีวิตของกลุ่มชนต่างๆ สำหรับประเทศไทยมีความหลากหลายด้านภาษาและวัฒนธรรมมากกว่า 70 กลุ่มภาษา จากการศึกษาพบภาษาที่อยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สูญจำนวน 15 กลุ่ม ซึ่งในจำนวน 15 กลุ่มนี้ พบว่ามี 4 กลุ่มภาษาที่อยู่ใน "ภาวะวิกฤตหนัก" เป็นภาษาที่กฤตระยะสุดท้าย ได้แก่ กลุ่มชอง กลุ่มกะซอง กลุ่มซำเร และกลุ่มชอุ้ง จัดเป็นภาษาที่อยู่ใสตระกูลออสโตรเอเชียติก สาขาเพียริก โดยโครงการวิจัยได้เลือกทำการศึกษาทั้ง 4 กลุ่มภาษา ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ตราด และกาญจนบุรี</p>ชอง, กะซอง, ซำเร, ชอุ้ง, ชาติพันธุ์1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=254https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/396-cover.jpg
254รายงานชาติพันธุ์วรรณาว่าด้วยภาษาในภาวะวิกฤตระยะสุดท้าย: ชอง ชอุ้ง กะซอง และซำเร (ระยะที่ 1)<p>
ปัญหาภาวะวิกฤตของภาษา เป็นปัญหาที่สำคัญที่ได้รับความสนใจในระดับนานาชาติ เพราะภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารในวิถีชีวิตของกลุ่มชนต่างๆ สำหรับประเทศไทยมีความหลากหลายด้านภาษาและวัฒนธรรมมากกว่า 70 กลุ่มภาษา จากการศึกษาพบภาษาที่อยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สูญจำนวน 15 กลุ่ม ซึ่งในจำนวน 15 กลุ่มนี้ พบว่ามี 4 กลุ่มภาษาที่อยู่ใน "ภาวะวิกฤตหนัก" เป็นภาษาที่กฤตระยะสุดท้าย ได้แก่ กลุ่มชอง กลุ่มกะซอง กลุ่มซำเร และกลุ่มชอุ้ง จัดเป็นภาษาที่อยู่ใสตระกูลออสโตรเอเชียติก สาขาเพียริก โดยโครงการวิจัยได้เลือกทำการศึกษาทั้ง 4 กลุ่มภาษา ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ตราด และกาญจนบุรี</p>ชอง, กะซอง, ซำเร, ชอุ้ง, ชาติพันธุ์1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=254https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/396-cover.jpg
254หนังสือชาติพันธุ์วรรณาว่าด้วยภาษาในภาวะวิกฤตระยะสุดท้าย: ชอง ชอุ้ง กะซอง และซำเร (ระยะที่ 1)<p>
ปัญหาภาวะวิกฤตของภาษา เป็นปัญหาที่สำคัญที่ได้รับความสนใจในระดับนานาชาติ เพราะภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารในวิถีชีวิตของกลุ่มชนต่างๆ สำหรับประเทศไทยมีความหลากหลายด้านภาษาและวัฒนธรรมมากกว่า 70 กลุ่มภาษา จากการศึกษาพบภาษาที่อยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สูญจำนวน 15 กลุ่ม ซึ่งในจำนวน 15 กลุ่มนี้ พบว่ามี 4 กลุ่มภาษาที่อยู่ใน "ภาวะวิกฤตหนัก" เป็นภาษาที่กฤตระยะสุดท้าย ได้แก่ กลุ่มชอง กลุ่มกะซอง กลุ่มซำเร และกลุ่มชอุ้ง จัดเป็นภาษาที่อยู่ใสตระกูลออสโตรเอเชียติก สาขาเพียริก โดยโครงการวิจัยได้เลือกทำการศึกษาทั้ง 4 กลุ่มภาษา ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ตราด และกาญจนบุรี</p>ชอง, กะซอง, ซำเร, ชอุ้ง, ชาติพันธุ์1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=254https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/396-cover.jpg
254จุลสารชาติพันธุ์วรรณาว่าด้วยภาษาในภาวะวิกฤตระยะสุดท้าย: ชอง ชอุ้ง กะซอง และซำเร (ระยะที่ 1)<p>
ปัญหาภาวะวิกฤตของภาษา เป็นปัญหาที่สำคัญที่ได้รับความสนใจในระดับนานาชาติ เพราะภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารในวิถีชีวิตของกลุ่มชนต่างๆ สำหรับประเทศไทยมีความหลากหลายด้านภาษาและวัฒนธรรมมากกว่า 70 กลุ่มภาษา จากการศึกษาพบภาษาที่อยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สูญจำนวน 15 กลุ่ม ซึ่งในจำนวน 15 กลุ่มนี้ พบว่ามี 4 กลุ่มภาษาที่อยู่ใน "ภาวะวิกฤตหนัก" เป็นภาษาที่กฤตระยะสุดท้าย ได้แก่ กลุ่มชอง กลุ่มกะซอง กลุ่มซำเร และกลุ่มชอุ้ง จัดเป็นภาษาที่อยู่ใสตระกูลออสโตรเอเชียติก สาขาเพียริก โดยโครงการวิจัยได้เลือกทำการศึกษาทั้ง 4 กลุ่มภาษา ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ตราด และกาญจนบุรี</p>ชอง, กะซอง, ซำเร, ชอุ้ง, ชาติพันธุ์1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=254https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/396-cover.jpg
254สูจิบัตรชาติพันธุ์วรรณาว่าด้วยภาษาในภาวะวิกฤตระยะสุดท้าย: ชอง ชอุ้ง กะซอง และซำเร (ระยะที่ 1)<p>
ปัญหาภาวะวิกฤตของภาษา เป็นปัญหาที่สำคัญที่ได้รับความสนใจในระดับนานาชาติ เพราะภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารในวิถีชีวิตของกลุ่มชนต่างๆ สำหรับประเทศไทยมีความหลากหลายด้านภาษาและวัฒนธรรมมากกว่า 70 กลุ่มภาษา จากการศึกษาพบภาษาที่อยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สูญจำนวน 15 กลุ่ม ซึ่งในจำนวน 15 กลุ่มนี้ พบว่ามี 4 กลุ่มภาษาที่อยู่ใน "ภาวะวิกฤตหนัก" เป็นภาษาที่กฤตระยะสุดท้าย ได้แก่ กลุ่มชอง กลุ่มกะซอง กลุ่มซำเร และกลุ่มชอุ้ง จัดเป็นภาษาที่อยู่ใสตระกูลออสโตรเอเชียติก สาขาเพียริก โดยโครงการวิจัยได้เลือกทำการศึกษาทั้ง 4 กลุ่มภาษา ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ตราด และกาญจนบุรี</p>ชอง, กะซอง, ซำเร, ชอุ้ง, ชาติพันธุ์1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=254https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/396-cover.jpg
255อื่นๆการศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน<p>
จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีผู้คนหลากหลาย ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ มีไม่น้อยกว่า 10 กลุ่มชาติพันธุ์ ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ในอำเภอต่างๆ ซึ่งอาจจำแนกออกเป็นกลุ่มสำคัญ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มชนพื้นเมือง กลุ่มไทพื้นราบและกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยกับโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ ทว่าความคาดหวังที่พวกเขามีต่อพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์เป็นอันดับแรกนั้น ไม่ใช่เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ แต่เป็นเรื่องความสำคัญทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม กลไกสำคัญในการจัดแสดงอัตลักษณ์ วัฒนธรรม การรื้อฟื้นสืบสานภาษา ภูมิปัญญาความรู้ของบรรพชนที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังต่อไป</p>แม่ฮ่องสอน, ความเหลื่อมล้ำ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์, การมีส่วนร่วม1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=255https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/397-cover.jpg
255วารสารการศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน<p>
จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีผู้คนหลากหลาย ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ มีไม่น้อยกว่า 10 กลุ่มชาติพันธุ์ ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ในอำเภอต่างๆ ซึ่งอาจจำแนกออกเป็นกลุ่มสำคัญ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มชนพื้นเมือง กลุ่มไทพื้นราบและกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยกับโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ ทว่าความคาดหวังที่พวกเขามีต่อพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์เป็นอันดับแรกนั้น ไม่ใช่เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ แต่เป็นเรื่องความสำคัญทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม กลไกสำคัญในการจัดแสดงอัตลักษณ์ วัฒนธรรม การรื้อฟื้นสืบสานภาษา ภูมิปัญญาความรู้ของบรรพชนที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังต่อไป</p>แม่ฮ่องสอน, ความเหลื่อมล้ำ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์, การมีส่วนร่วม1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=255https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/397-cover.jpg
255บทความการศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน<p>
จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีผู้คนหลากหลาย ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ มีไม่น้อยกว่า 10 กลุ่มชาติพันธุ์ ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ในอำเภอต่างๆ ซึ่งอาจจำแนกออกเป็นกลุ่มสำคัญ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มชนพื้นเมือง กลุ่มไทพื้นราบและกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยกับโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ ทว่าความคาดหวังที่พวกเขามีต่อพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์เป็นอันดับแรกนั้น ไม่ใช่เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ แต่เป็นเรื่องความสำคัญทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม กลไกสำคัญในการจัดแสดงอัตลักษณ์ วัฒนธรรม การรื้อฟื้นสืบสานภาษา ภูมิปัญญาความรู้ของบรรพชนที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังต่อไป</p>แม่ฮ่องสอน, ความเหลื่อมล้ำ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์, การมีส่วนร่วม1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=255https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/397-cover.jpg
255วิทยานิพนธ์การศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน<p>
จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีผู้คนหลากหลาย ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ มีไม่น้อยกว่า 10 กลุ่มชาติพันธุ์ ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ในอำเภอต่างๆ ซึ่งอาจจำแนกออกเป็นกลุ่มสำคัญ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มชนพื้นเมือง กลุ่มไทพื้นราบและกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยกับโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ ทว่าความคาดหวังที่พวกเขามีต่อพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์เป็นอันดับแรกนั้น ไม่ใช่เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ แต่เป็นเรื่องความสำคัญทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม กลไกสำคัญในการจัดแสดงอัตลักษณ์ วัฒนธรรม การรื้อฟื้นสืบสานภาษา ภูมิปัญญาความรู้ของบรรพชนที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังต่อไป</p>แม่ฮ่องสอน, ความเหลื่อมล้ำ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์, การมีส่วนร่วม1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=255https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/397-cover.jpg
255รายงานงานวิจัยการศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน<p>
จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีผู้คนหลากหลาย ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ มีไม่น้อยกว่า 10 กลุ่มชาติพันธุ์ ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ในอำเภอต่างๆ ซึ่งอาจจำแนกออกเป็นกลุ่มสำคัญ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มชนพื้นเมือง กลุ่มไทพื้นราบและกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยกับโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ ทว่าความคาดหวังที่พวกเขามีต่อพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์เป็นอันดับแรกนั้น ไม่ใช่เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ แต่เป็นเรื่องความสำคัญทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม กลไกสำคัญในการจัดแสดงอัตลักษณ์ วัฒนธรรม การรื้อฟื้นสืบสานภาษา ภูมิปัญญาความรู้ของบรรพชนที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังต่อไป</p>แม่ฮ่องสอน, ความเหลื่อมล้ำ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์, การมีส่วนร่วม1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=255https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/397-cover.jpg
255รายงานการศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน<p>
จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีผู้คนหลากหลาย ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ มีไม่น้อยกว่า 10 กลุ่มชาติพันธุ์ ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ในอำเภอต่างๆ ซึ่งอาจจำแนกออกเป็นกลุ่มสำคัญ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มชนพื้นเมือง กลุ่มไทพื้นราบและกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยกับโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ ทว่าความคาดหวังที่พวกเขามีต่อพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์เป็นอันดับแรกนั้น ไม่ใช่เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ แต่เป็นเรื่องความสำคัญทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม กลไกสำคัญในการจัดแสดงอัตลักษณ์ วัฒนธรรม การรื้อฟื้นสืบสานภาษา ภูมิปัญญาความรู้ของบรรพชนที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังต่อไป</p>แม่ฮ่องสอน, ความเหลื่อมล้ำ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์, การมีส่วนร่วม1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=255https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/397-cover.jpg
255หนังสือการศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน<p>
จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีผู้คนหลากหลาย ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ มีไม่น้อยกว่า 10 กลุ่มชาติพันธุ์ ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ในอำเภอต่างๆ ซึ่งอาจจำแนกออกเป็นกลุ่มสำคัญ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มชนพื้นเมือง กลุ่มไทพื้นราบและกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยกับโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ ทว่าความคาดหวังที่พวกเขามีต่อพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์เป็นอันดับแรกนั้น ไม่ใช่เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ แต่เป็นเรื่องความสำคัญทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม กลไกสำคัญในการจัดแสดงอัตลักษณ์ วัฒนธรรม การรื้อฟื้นสืบสานภาษา ภูมิปัญญาความรู้ของบรรพชนที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังต่อไป</p>แม่ฮ่องสอน, ความเหลื่อมล้ำ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์, การมีส่วนร่วม1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=255https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/397-cover.jpg
255จุลสารการศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน<p>
จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีผู้คนหลากหลาย ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ มีไม่น้อยกว่า 10 กลุ่มชาติพันธุ์ ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ในอำเภอต่างๆ ซึ่งอาจจำแนกออกเป็นกลุ่มสำคัญ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มชนพื้นเมือง กลุ่มไทพื้นราบและกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยกับโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ ทว่าความคาดหวังที่พวกเขามีต่อพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์เป็นอันดับแรกนั้น ไม่ใช่เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ แต่เป็นเรื่องความสำคัญทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม กลไกสำคัญในการจัดแสดงอัตลักษณ์ วัฒนธรรม การรื้อฟื้นสืบสานภาษา ภูมิปัญญาความรู้ของบรรพชนที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังต่อไป</p>แม่ฮ่องสอน, ความเหลื่อมล้ำ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์, การมีส่วนร่วม1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=255https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/397-cover.jpg
255สูจิบัตรการศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน<p>
จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีผู้คนหลากหลาย ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ มีไม่น้อยกว่า 10 กลุ่มชาติพันธุ์ ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ในอำเภอต่างๆ ซึ่งอาจจำแนกออกเป็นกลุ่มสำคัญ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มชนพื้นเมือง กลุ่มไทพื้นราบและกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยกับโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ ทว่าความคาดหวังที่พวกเขามีต่อพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์เป็นอันดับแรกนั้น ไม่ใช่เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ แต่เป็นเรื่องความสำคัญทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม กลไกสำคัญในการจัดแสดงอัตลักษณ์ วัฒนธรรม การรื้อฟื้นสืบสานภาษา ภูมิปัญญาความรู้ของบรรพชนที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังต่อไป</p>แม่ฮ่องสอน, ความเหลื่อมล้ำ, กลุ่มชาติพันธุ์, พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์, การมีส่วนร่วม1 มิถุนายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=255https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/397-cover.jpg
257อื่นๆการประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อการริเริ่มนโยบาย<p>
การประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อริเริ่มนโยบาย (YALPI) 2020 ก้าวสู่ปีที่ 4 ภายใต้หัวข้อ "พัฒนาบทบาทเยาวชนสู่ประชาคมแห่งการมีส่วนร่วมของอาเซียน" โดยให้ความสำคัญกับ 3 หัวข้อหลัก คือ ความยุติธรรมทางสังคม การกระจายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ในปี 2020 นี้มีตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมจาก 14 ประเทศ ทั้งภายในและนอกภูมิภาคอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์และพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งภายหลังข้อเสนอแนะดังกล่าวได้ถูกส่งต่อให้กับกลุ่มองค์กร นักการเมือง และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป </p>อาเซียน, เยาวชน, นโยบาย30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=257https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
257วารสารการประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อการริเริ่มนโยบาย<p>
การประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อริเริ่มนโยบาย (YALPI) 2020 ก้าวสู่ปีที่ 4 ภายใต้หัวข้อ "พัฒนาบทบาทเยาวชนสู่ประชาคมแห่งการมีส่วนร่วมของอาเซียน" โดยให้ความสำคัญกับ 3 หัวข้อหลัก คือ ความยุติธรรมทางสังคม การกระจายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ในปี 2020 นี้มีตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมจาก 14 ประเทศ ทั้งภายในและนอกภูมิภาคอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์และพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งภายหลังข้อเสนอแนะดังกล่าวได้ถูกส่งต่อให้กับกลุ่มองค์กร นักการเมือง และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป </p>อาเซียน, เยาวชน, นโยบาย30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=257https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
257บทความการประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อการริเริ่มนโยบาย<p>
การประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อริเริ่มนโยบาย (YALPI) 2020 ก้าวสู่ปีที่ 4 ภายใต้หัวข้อ "พัฒนาบทบาทเยาวชนสู่ประชาคมแห่งการมีส่วนร่วมของอาเซียน" โดยให้ความสำคัญกับ 3 หัวข้อหลัก คือ ความยุติธรรมทางสังคม การกระจายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ในปี 2020 นี้มีตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมจาก 14 ประเทศ ทั้งภายในและนอกภูมิภาคอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์และพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งภายหลังข้อเสนอแนะดังกล่าวได้ถูกส่งต่อให้กับกลุ่มองค์กร นักการเมือง และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป </p>อาเซียน, เยาวชน, นโยบาย30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=257https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
257วิทยานิพนธ์การประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อการริเริ่มนโยบาย<p>
การประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อริเริ่มนโยบาย (YALPI) 2020 ก้าวสู่ปีที่ 4 ภายใต้หัวข้อ "พัฒนาบทบาทเยาวชนสู่ประชาคมแห่งการมีส่วนร่วมของอาเซียน" โดยให้ความสำคัญกับ 3 หัวข้อหลัก คือ ความยุติธรรมทางสังคม การกระจายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ในปี 2020 นี้มีตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมจาก 14 ประเทศ ทั้งภายในและนอกภูมิภาคอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์และพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งภายหลังข้อเสนอแนะดังกล่าวได้ถูกส่งต่อให้กับกลุ่มองค์กร นักการเมือง และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป </p>อาเซียน, เยาวชน, นโยบาย30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=257https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
257รายงานงานวิจัยการประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อการริเริ่มนโยบาย<p>
การประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อริเริ่มนโยบาย (YALPI) 2020 ก้าวสู่ปีที่ 4 ภายใต้หัวข้อ "พัฒนาบทบาทเยาวชนสู่ประชาคมแห่งการมีส่วนร่วมของอาเซียน" โดยให้ความสำคัญกับ 3 หัวข้อหลัก คือ ความยุติธรรมทางสังคม การกระจายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ในปี 2020 นี้มีตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมจาก 14 ประเทศ ทั้งภายในและนอกภูมิภาคอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์และพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งภายหลังข้อเสนอแนะดังกล่าวได้ถูกส่งต่อให้กับกลุ่มองค์กร นักการเมือง และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป </p>อาเซียน, เยาวชน, นโยบาย30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=257https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
257รายงานการประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อการริเริ่มนโยบาย<p>
การประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อริเริ่มนโยบาย (YALPI) 2020 ก้าวสู่ปีที่ 4 ภายใต้หัวข้อ "พัฒนาบทบาทเยาวชนสู่ประชาคมแห่งการมีส่วนร่วมของอาเซียน" โดยให้ความสำคัญกับ 3 หัวข้อหลัก คือ ความยุติธรรมทางสังคม การกระจายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ในปี 2020 นี้มีตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมจาก 14 ประเทศ ทั้งภายในและนอกภูมิภาคอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์และพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งภายหลังข้อเสนอแนะดังกล่าวได้ถูกส่งต่อให้กับกลุ่มองค์กร นักการเมือง และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป </p>อาเซียน, เยาวชน, นโยบาย30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=257https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
257หนังสือการประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อการริเริ่มนโยบาย<p>
การประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อริเริ่มนโยบาย (YALPI) 2020 ก้าวสู่ปีที่ 4 ภายใต้หัวข้อ "พัฒนาบทบาทเยาวชนสู่ประชาคมแห่งการมีส่วนร่วมของอาเซียน" โดยให้ความสำคัญกับ 3 หัวข้อหลัก คือ ความยุติธรรมทางสังคม การกระจายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ในปี 2020 นี้มีตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมจาก 14 ประเทศ ทั้งภายในและนอกภูมิภาคอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์และพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งภายหลังข้อเสนอแนะดังกล่าวได้ถูกส่งต่อให้กับกลุ่มองค์กร นักการเมือง และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป </p>อาเซียน, เยาวชน, นโยบาย30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=257https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
257จุลสารการประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อการริเริ่มนโยบาย<p>
การประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อริเริ่มนโยบาย (YALPI) 2020 ก้าวสู่ปีที่ 4 ภายใต้หัวข้อ "พัฒนาบทบาทเยาวชนสู่ประชาคมแห่งการมีส่วนร่วมของอาเซียน" โดยให้ความสำคัญกับ 3 หัวข้อหลัก คือ ความยุติธรรมทางสังคม การกระจายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ในปี 2020 นี้มีตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมจาก 14 ประเทศ ทั้งภายในและนอกภูมิภาคอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์และพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งภายหลังข้อเสนอแนะดังกล่าวได้ถูกส่งต่อให้กับกลุ่มองค์กร นักการเมือง และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป </p>อาเซียน, เยาวชน, นโยบาย30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=257https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
257สูจิบัตรการประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อการริเริ่มนโยบาย<p>
การประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียนเพื่อริเริ่มนโยบาย (YALPI) 2020 ก้าวสู่ปีที่ 4 ภายใต้หัวข้อ "พัฒนาบทบาทเยาวชนสู่ประชาคมแห่งการมีส่วนร่วมของอาเซียน" โดยให้ความสำคัญกับ 3 หัวข้อหลัก คือ ความยุติธรรมทางสังคม การกระจายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ในปี 2020 นี้มีตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมจาก 14 ประเทศ ทั้งภายในและนอกภูมิภาคอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์และพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งภายหลังข้อเสนอแนะดังกล่าวได้ถูกส่งต่อให้กับกลุ่มองค์กร นักการเมือง และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป </p>อาเซียน, เยาวชน, นโยบาย30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=257https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
264อื่นๆโครงการศึกษาสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนปกาเกอะญอ ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ เป็นโครงการที่ถูกพัฒนาขึ้นระหว่างหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ในการนำข้อมูลที่เกิดจากการลงพื้นที่สำรวจสู่การต่อยอดสังเคราะห์ข้อมูลกลายเป็นองค์ความรู้เบื้องต้นที่สามารถนำไปสู่การสื่อความหมายทางวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่โดยการมีส่วนร่วมและยอมรับในทางวิชาการและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนในชุมชน ด้วยเครื่องมือ 3 ชิ้น ได้แก่ ประวัติศาสตร์ชุมชน แผนที่เดินดิน และปฏิทินชุมชน ท้ายที่สุดจึงเกิดการรวบรวมองค์ความรู้และการจัดการข้อมมูลชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ หมู่ที่ 6 และ 11 ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ อย่างเป็นระบบและมีส่วนร่วม จนเกิดเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์การยืนยันความมีตัวตนและความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมในพื้นที่ เป็นประโยชน์ต่อชุมชนสู่การบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชุมชนชาติพันธุ์</p>ชาติพันธุ์, ปกาเกอะญอ, วัฒนธรรม, เชียงใหม่30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=264https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
264วารสารโครงการศึกษาสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนปกาเกอะญอ ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ เป็นโครงการที่ถูกพัฒนาขึ้นระหว่างหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ในการนำข้อมูลที่เกิดจากการลงพื้นที่สำรวจสู่การต่อยอดสังเคราะห์ข้อมูลกลายเป็นองค์ความรู้เบื้องต้นที่สามารถนำไปสู่การสื่อความหมายทางวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่โดยการมีส่วนร่วมและยอมรับในทางวิชาการและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนในชุมชน ด้วยเครื่องมือ 3 ชิ้น ได้แก่ ประวัติศาสตร์ชุมชน แผนที่เดินดิน และปฏิทินชุมชน ท้ายที่สุดจึงเกิดการรวบรวมองค์ความรู้และการจัดการข้อมมูลชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ หมู่ที่ 6 และ 11 ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ อย่างเป็นระบบและมีส่วนร่วม จนเกิดเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์การยืนยันความมีตัวตนและความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมในพื้นที่ เป็นประโยชน์ต่อชุมชนสู่การบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชุมชนชาติพันธุ์</p>ชาติพันธุ์, ปกาเกอะญอ, วัฒนธรรม, เชียงใหม่30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=264https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
264บทความโครงการศึกษาสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนปกาเกอะญอ ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ เป็นโครงการที่ถูกพัฒนาขึ้นระหว่างหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ในการนำข้อมูลที่เกิดจากการลงพื้นที่สำรวจสู่การต่อยอดสังเคราะห์ข้อมูลกลายเป็นองค์ความรู้เบื้องต้นที่สามารถนำไปสู่การสื่อความหมายทางวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่โดยการมีส่วนร่วมและยอมรับในทางวิชาการและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนในชุมชน ด้วยเครื่องมือ 3 ชิ้น ได้แก่ ประวัติศาสตร์ชุมชน แผนที่เดินดิน และปฏิทินชุมชน ท้ายที่สุดจึงเกิดการรวบรวมองค์ความรู้และการจัดการข้อมมูลชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ หมู่ที่ 6 และ 11 ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ อย่างเป็นระบบและมีส่วนร่วม จนเกิดเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์การยืนยันความมีตัวตนและความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมในพื้นที่ เป็นประโยชน์ต่อชุมชนสู่การบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชุมชนชาติพันธุ์</p>ชาติพันธุ์, ปกาเกอะญอ, วัฒนธรรม, เชียงใหม่30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=264https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
264วิทยานิพนธ์โครงการศึกษาสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนปกาเกอะญอ ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ เป็นโครงการที่ถูกพัฒนาขึ้นระหว่างหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ในการนำข้อมูลที่เกิดจากการลงพื้นที่สำรวจสู่การต่อยอดสังเคราะห์ข้อมูลกลายเป็นองค์ความรู้เบื้องต้นที่สามารถนำไปสู่การสื่อความหมายทางวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่โดยการมีส่วนร่วมและยอมรับในทางวิชาการและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนในชุมชน ด้วยเครื่องมือ 3 ชิ้น ได้แก่ ประวัติศาสตร์ชุมชน แผนที่เดินดิน และปฏิทินชุมชน ท้ายที่สุดจึงเกิดการรวบรวมองค์ความรู้และการจัดการข้อมมูลชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ หมู่ที่ 6 และ 11 ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ อย่างเป็นระบบและมีส่วนร่วม จนเกิดเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์การยืนยันความมีตัวตนและความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมในพื้นที่ เป็นประโยชน์ต่อชุมชนสู่การบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชุมชนชาติพันธุ์</p>ชาติพันธุ์, ปกาเกอะญอ, วัฒนธรรม, เชียงใหม่30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=264https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
264รายงานงานวิจัยโครงการศึกษาสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนปกาเกอะญอ ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ เป็นโครงการที่ถูกพัฒนาขึ้นระหว่างหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ในการนำข้อมูลที่เกิดจากการลงพื้นที่สำรวจสู่การต่อยอดสังเคราะห์ข้อมูลกลายเป็นองค์ความรู้เบื้องต้นที่สามารถนำไปสู่การสื่อความหมายทางวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่โดยการมีส่วนร่วมและยอมรับในทางวิชาการและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนในชุมชน ด้วยเครื่องมือ 3 ชิ้น ได้แก่ ประวัติศาสตร์ชุมชน แผนที่เดินดิน และปฏิทินชุมชน ท้ายที่สุดจึงเกิดการรวบรวมองค์ความรู้และการจัดการข้อมมูลชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ หมู่ที่ 6 และ 11 ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ อย่างเป็นระบบและมีส่วนร่วม จนเกิดเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์การยืนยันความมีตัวตนและความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมในพื้นที่ เป็นประโยชน์ต่อชุมชนสู่การบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชุมชนชาติพันธุ์</p>ชาติพันธุ์, ปกาเกอะญอ, วัฒนธรรม, เชียงใหม่30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=264https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
264รายงานโครงการศึกษาสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนปกาเกอะญอ ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ เป็นโครงการที่ถูกพัฒนาขึ้นระหว่างหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ในการนำข้อมูลที่เกิดจากการลงพื้นที่สำรวจสู่การต่อยอดสังเคราะห์ข้อมูลกลายเป็นองค์ความรู้เบื้องต้นที่สามารถนำไปสู่การสื่อความหมายทางวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่โดยการมีส่วนร่วมและยอมรับในทางวิชาการและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนในชุมชน ด้วยเครื่องมือ 3 ชิ้น ได้แก่ ประวัติศาสตร์ชุมชน แผนที่เดินดิน และปฏิทินชุมชน ท้ายที่สุดจึงเกิดการรวบรวมองค์ความรู้และการจัดการข้อมมูลชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ หมู่ที่ 6 และ 11 ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ อย่างเป็นระบบและมีส่วนร่วม จนเกิดเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์การยืนยันความมีตัวตนและความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมในพื้นที่ เป็นประโยชน์ต่อชุมชนสู่การบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชุมชนชาติพันธุ์</p>ชาติพันธุ์, ปกาเกอะญอ, วัฒนธรรม, เชียงใหม่30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=264https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
264หนังสือโครงการศึกษาสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนปกาเกอะญอ ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ เป็นโครงการที่ถูกพัฒนาขึ้นระหว่างหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ในการนำข้อมูลที่เกิดจากการลงพื้นที่สำรวจสู่การต่อยอดสังเคราะห์ข้อมูลกลายเป็นองค์ความรู้เบื้องต้นที่สามารถนำไปสู่การสื่อความหมายทางวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่โดยการมีส่วนร่วมและยอมรับในทางวิชาการและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนในชุมชน ด้วยเครื่องมือ 3 ชิ้น ได้แก่ ประวัติศาสตร์ชุมชน แผนที่เดินดิน และปฏิทินชุมชน ท้ายที่สุดจึงเกิดการรวบรวมองค์ความรู้และการจัดการข้อมมูลชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ หมู่ที่ 6 และ 11 ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ อย่างเป็นระบบและมีส่วนร่วม จนเกิดเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์การยืนยันความมีตัวตนและความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมในพื้นที่ เป็นประโยชน์ต่อชุมชนสู่การบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชุมชนชาติพันธุ์</p>ชาติพันธุ์, ปกาเกอะญอ, วัฒนธรรม, เชียงใหม่30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=264https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
264จุลสารโครงการศึกษาสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนปกาเกอะญอ ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ เป็นโครงการที่ถูกพัฒนาขึ้นระหว่างหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ในการนำข้อมูลที่เกิดจากการลงพื้นที่สำรวจสู่การต่อยอดสังเคราะห์ข้อมูลกลายเป็นองค์ความรู้เบื้องต้นที่สามารถนำไปสู่การสื่อความหมายทางวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่โดยการมีส่วนร่วมและยอมรับในทางวิชาการและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนในชุมชน ด้วยเครื่องมือ 3 ชิ้น ได้แก่ ประวัติศาสตร์ชุมชน แผนที่เดินดิน และปฏิทินชุมชน ท้ายที่สุดจึงเกิดการรวบรวมองค์ความรู้และการจัดการข้อมมูลชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ หมู่ที่ 6 และ 11 ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ อย่างเป็นระบบและมีส่วนร่วม จนเกิดเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์การยืนยันความมีตัวตนและความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมในพื้นที่ เป็นประโยชน์ต่อชุมชนสู่การบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชุมชนชาติพันธุ์</p>ชาติพันธุ์, ปกาเกอะญอ, วัฒนธรรม, เชียงใหม่30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=264https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
264สูจิบัตรโครงการศึกษาสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่<p>
โครงการวิจัยสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนปกาเกอะญอ ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ เป็นโครงการที่ถูกพัฒนาขึ้นระหว่างหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ในการนำข้อมูลที่เกิดจากการลงพื้นที่สำรวจสู่การต่อยอดสังเคราะห์ข้อมูลกลายเป็นองค์ความรู้เบื้องต้นที่สามารถนำไปสู่การสื่อความหมายทางวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่โดยการมีส่วนร่วมและยอมรับในทางวิชาการและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนในชุมชน ด้วยเครื่องมือ 3 ชิ้น ได้แก่ ประวัติศาสตร์ชุมชน แผนที่เดินดิน และปฏิทินชุมชน ท้ายที่สุดจึงเกิดการรวบรวมองค์ความรู้และการจัดการข้อมมูลชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ หมู่ที่ 6 และ 11 ต.สะเมิงใต้ จ.เชียงใหม่ อย่างเป็นระบบและมีส่วนร่วม จนเกิดเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์การยืนยันความมีตัวตนและความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมในพื้นที่ เป็นประโยชน์ต่อชุมชนสู่การบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชุมชนชาติพันธุ์</p>ชาติพันธุ์, ปกาเกอะญอ, วัฒนธรรม, เชียงใหม่30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=264https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/399-cover.jpg
265อื่นๆการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 1<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=265https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/410-cover.jpg
265วารสารการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 1<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=265https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/410-cover.jpg
265บทความการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 1<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=265https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/410-cover.jpg
265วิทยานิพนธ์การตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 1<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=265https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/410-cover.jpg
265รายงานงานวิจัยการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 1<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=265https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/410-cover.jpg
265รายงานการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 1<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=265https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/410-cover.jpg
265หนังสือการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 1<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=265https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/410-cover.jpg
265จุลสารการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 1<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=265https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/410-cover.jpg
265สูจิบัตรการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 1<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=265https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/410-cover.jpg
266อื่นๆการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 2<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=266https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/411-cover.jpg
266วารสารการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 2<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=266https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/411-cover.jpg
266บทความการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 2<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=266https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/411-cover.jpg
266วิทยานิพนธ์การตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 2<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=266https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/411-cover.jpg
266รายงานงานวิจัยการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 2<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=266https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/411-cover.jpg
266รายงานการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 2<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=266https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/411-cover.jpg
266หนังสือการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 2<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=266https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/411-cover.jpg
266จุลสารการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 2<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=266https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/411-cover.jpg
266สูจิบัตรการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 2<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=266https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/411-cover.jpg
267อื่นๆการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 3<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=267https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/412-cover.jpg
267วารสารการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 3<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=267https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/412-cover.jpg
267บทความการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 3<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=267https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/412-cover.jpg
267วิทยานิพนธ์การตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 3<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=267https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/412-cover.jpg
267รายงานงานวิจัยการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 3<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=267https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/412-cover.jpg
267รายงานการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 3<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=267https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/412-cover.jpg
267หนังสือการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 3<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=267https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/412-cover.jpg
267จุลสารการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 3<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=267https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/412-cover.jpg
267สูจิบัตรการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ 2 : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ 3<p>
"หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึก เปรียบเสมือนหลักศักดิ์สิทธิ์หรืออีกนัยยะหนึ่งคือรูปเคารพ ซึ่งข้อความที่ปรากฏในหลักจารึกไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสื่อสารกับมนุษย์ หากแต่ต้องการที่จะสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" หนึ่งในข้อสังเกตุจากผู้วิจัย เรื่อง ผลการตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อันเป็นการย้อนทบทวนตรวจสอบชำระ ปรับปรุงทะเบียนโบราณวัตถุ และศึกษาการกระจายตัวของโบราณวัตถุประเภทจารึกที่สัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดี ภูมิศาสตร์ ในพื้นที่ดังกล่าว ผลการวิจับพบโบราณวัตถุประเภทจารึกกว่า 245 รายการ ประกอบด้วยจารึกจำนวน 247 หลัก ที่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งสถานที่พบซึ่งสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือโบราณสถานและเมืองโบราณ</p>จารึก, ภูมิสารสนเทศ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ21 พ.ศ. 2565ไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)Attribution-NonCommercial (CC BY-NC)https://www.sac.or.th/databases/sac_research/research-item-search.php?ob_id=267https://www.sac.or.th/databases/sac_research/file_thb/412-cover.jpg